PDA

View Full Version : เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ.......การประมง


สายชล
10-06-2009, 09:59
กระดานข่าวที่แล้ว เราได้รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประมงไทยไว้ เพื่อให้ผู้สนใจเข้ามารับรู้และเรียนรู้

เมื่อมาเปิดกระดานข่าวใหม่ สายชลก็คิดว่าเราน่าจะรวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการประมงจากทั่วโลกมาไว้ในกระดานข่าวใหม่ เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนทั่วไป

เริ่มเลยนะคะ....

สายชล
10-06-2009, 10:00
กรุงเทพธุรกิจ


การขจัดการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU fishing) โดย สกล หาญสุทธิวารินทร์

การทำประมงที่ผิดกฎหมาย Illegal Unreported and Unregulated fishing (IUU Fishing) ถือเป็นภัยคุกคามต่อปริมาณปลาและสัตว์น้ำที่เป็นแหล่ งอาหารที่สำคัญของมนุษย์ และความหลากหลายของพันธุ์สัตว์น้ำ เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศวิทยาทางทะเล และเป็นการเอาเปรียบชาวประมงที่ทำการประมงโดยถูกต้อง ทั้ง FAO และประเทศต่างๆ หลายประเทศก็ได้พยายามร่วมกันในการหามาตรการขจัดและต ่อต้าน สหภาพยุโรปเป็นกลุ่มประเทศแรกที่ได้กำหนดมาตรการเพื่ อป้องกันและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมายดังกล่าว โดยออกเป็นกฎระเบียบที่ 1005/2008 ลงวันที่ 29 กันยายน 2551 จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553


กฎระเบียบของสหภาพยุโรปดังกล่าวให้ความหมายของการทำป ระมงที่ผิดกฎหมายไว้คือ

- Illegal fishing เป็นกรณีทำการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยฝ่าฝืนต่อระเบียบและกฎหมาย หรือเป็นกรณีทำการประมงโดยเรือที่ชักธงของประเทศที่เ ป็นสมาชิกองค์กรในภูมิภาคที่รับผิดชอบบริหารจัดการกา รทำประมง โดยฝ่าฝืนต่อมาตรการที่กำหนดขึ้นเพื่อการอนุรักษ์ปลา ที่ประเทศนั้นได้ผูกพันไว้ หรือเป็นกรณีที่ทำการประมงโดยเรือประมง ด้วยการฝืนกฎหมาย หรือฝ่าฝืนพันธกรณีระหว่างประเทศด้านการประมง รวมทั้งพันธกรณีตามความตกลงร่วมมือทางประมงในภูมิภาค ด้วย

- Unreported fishing เป็นกรณีทำการประมงแล้วไม่ได้รายงาน หรือรายงานอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่กำ หนดไว้ ต่อหน่วยงานกำกับดูแลการประมงแห่งชาติ หรือองค์กรบริหารจัดการการประมงในภูมิภาคแล้วแต่กรณี

- Unregulated fishing เป็นกรณีทำการประมงในเขตพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรบร ิหารจัดการการประมงในภูมิภาค โดยเรือไม่ปรากฏสัญชาติ หรือโดยเรือที่ติดธงของประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก หรือโดยองค์กรประมงอื่นๆ ในประการที่ไม่สอดคล้องหรือฝ่าฝืนต่อมาตรการที่กำหนด ขึ้น เพื่อการอนุรักษ์ปลา รวมถึงการทำประมงในบริเวณสงวนเพื่อการเพิ่มจำนวนปลาท ี่ยังไม่เป็นบริเวณที่มีการกำหนดมาตรการอนุรักษ์ไว้ ในประการที่ไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบของรัฐ เพื่อการสงวนอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำภายใต้กฎหมายระ หว่างประเทศ

ผลของกฎระเบียบที่มีต่อการส่งออกสินค้าประมง กฎระเบียบของสหภาพยุโรปส่วนที่มีผลต่อการส่งออกสินค้ าประมงที่สำคัญ คือ ส่วนที่บัญญัติว่าสินค้าประมงที่ผลิตหรือกำเนิดมาจาก การจับปลาที่ผิดกฎหมายเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเ ข้าสหภาพยุโรป และกำหนดให้สินค้าประมงที่จะนำเข้าสหภาพยุโรป จะต้องมีหนังสือรับรองการจับปลา (catch certificate) ออกโดยหน่วยงานของรัฐของเรือประมงที่จับปลา หรือที่ได้ปลามา รับรองว่าไม่ได้เป็นหรือผลิตจากปลาที่จับโดยผิดกฎหมา ย ประกอบการนำเข้าสหภาพยุโรปด้วย กฎระเบียบดังกล่าวครอบคลุมถึงสินค้าประมงทุกประเภท ไม่ว่าจะมีชีวิต สด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูป แต่ไม่รวมถึงปลาและสัตว์น้ำจืด ปลาและสัตว์น้ำที่ได้จากการเพาะเลี้ยง และสัตว์น้ำประเภทหอยบางชนิด

ผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงของไทย สินค้าประมงเป็นสินค้าส่งออกที่ทำรายได้ให้ประเทศไทย ที่สำคัญในลำดับต้นๆ กฎระเบียบของสหภาพยุโรปดังกล่าว ย่อมมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าประมงของไทยอย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ ปัญหาคือไทยมีความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบดังก ล่าวแล้วหรือไม่ เบื้องแรกคือผู้อยู่ในวงจรการค้าสินค้าประมง ตั้งแต่ผู้จับปลา ผู้ค้า ผู้แปรรูป ผู้ส่งออกสินค้าประมง เข้าใจต่อกฎระเบียบดังกล่าว และพร้อมที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วหรือไม่ หน่วยงานของไทยที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการค้าการส่ งออกสินค้าประมงของไทยมีหน่วยงานหลักอย่างน้อยสองหน่ วย คือ กรมประมงที่มีหน้าที่รับผิดชอบกำกับดูแลการประมงของไ ทย และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศที่มีหน้าที่บริหารการส่งออก และเป็นผู้ให้บริการการออกหนังสือรับรองการส่งออกต่า งๆ มีความพร้อมที่จะให้บริการในการออกหนังสือรับรองการจ ับปลา ตลอดจนหนังสือรับรองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และมีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าปร ะมงหรือให้เกิดให้น้อยที่สุด

ทั้งกรมประมงและกรมการค้าต่างประเทศ จะต้องประสานร่วมมือกันในการดำเนินการต่างๆ และหากมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขหรือเจรจาแก้ไข ก็ควรต้องประสานร่วมมือกันดำเนินการให้เป็นไปในทิศทา งเดียวกัน ดังเช่นในอดีตที่เคยมีปัญหาการส่งออกปลาโบนิโตกระป๋อ งไปสหภาพยุโรป ทั้งกรมประมงและกรมการค้าต่างประเทศประสานและให้ความ ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างดียิ่ง จนปัญหาดังกล่าวลุล่วงไปในทางที่ดี ไม่มีประเด็นปัญหาว่าปลาและสัตว์น้ำเป็นของฉันท่านอย ่ามายุ่ง การออกหนังสือรับรองและการเจรจาการค้าสินค้าเป็นของก รมฉันในส่วนนี้ฉันขอดำเนินการเอง เพราะมิฉะนั้นแล้ว การดำเนินการของทางราชการจะกลับกลายเป็นการเพิ่มอุปส รรคให้การส่งออกสินค้าประมงเข้าไปอีก ถ้าหากเกิดเหตุเช่นที่กล่าวขึ้น จนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าประมงมากขึ้นไป อีก ก็คงต้องมีการนำมาบอกกล่าวให้สังคมได้รับทราบกันบ้าง ละครับว่า หน่วยงานใดเป็นผู้ก่อปัญหา

อนึ่ง มีเสียงสะท้อนมาจากผู้ส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่บางรา ย ว่า หากไทยยังมีความพร้อมไม่สมบูรณ์ในการปฏิบัติตามกฎระเ บียบดังกล่าว ก็ควรร้องขอต่อสหภาพยุโรปโดยหากร้องในนามอาเซียนได้ก ็เป็นการดี ขอขยายเวลาการบังคับใช้หรือการต้องปฏิบัติตามกฎดังกล ่าวออกไปอีกระยะหนึ่ง โดยแสดงให้เห็นว่าไทยเห็นด้วยกับการต่อต้านและขจัดกา รทำประมงที่ผิดกฎหมาย เรื่องใดที่ไทยพร้อมแล้ว และเรื่องใดที่ต้องใช้เวลาเตรียมตัวเตรียมความพร้อมอีกระยะหนึ่ง

8 มิถุนายน 2552

สายชล
10-06-2009, 10:01
ข่าวสด


ชี้ปัญหาประมงพื้นที่แก้ยาก

ตราด - นายวิระชาญ ประทีปาระยะกุล นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคลองใหญ่ จ.ตราด เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มประมงพื้นบ้านของ ต.คลองใหญ่ และกลุ่มประมงอวนลากมีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องพื้นท ี่ทำกินในทะเลของ อ.คลองใหญ่ จนมีการปะทะและการชุมนุมประท้วงกันบ่อยครั้ง ทำให้ทางอำเภอคลองใหญ่ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้บ่อยคร ั้งแต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จนเกิดความขัดแย้ง อยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้ทางอำเภอและท้องถิ่นใน อ.คลองใหญ่ ได้เคยคิดที่จะแก้ไขปัญหาโดยการออกกฎหมายของท้องถิ่น 4 องค์กร เพื่อป้องกันมิให้เรือประมงอวนลากเข้ามาทำประมงในพื้ นที่ทำกินของประมงพื้นบ้าน แต่จากการศึกษาปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจังปรากฏว่ายั งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

"กฎหมายท้องถิ่นยังไม่สามารถออกมาให้ครอบคลุมหรือป้อ งกันไม่ให้เรือประมงอวนลากเข้ามาในพื้นที่ 3,000 เมตรได้เนื่องจากกฎหมายท้องถิ่นครอบคลุมไปไม่ถึง จึงไม่สามารถแก้ไขได้ จำเป็นต้องสร้างจิตสำนึกให้กับชาวประมงทั้ง 2 ฝ่าย และขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายเคารพกติกาที่ทางราชการได้กำหนดไว้ กฎหมายประมงก็ได้มีการออกมาเพื่อป้องกันไว้แล้วแต่ต้ องมีการใช้อย่างเข็มงวด"




มติชน


ชาวประมง"ภูเก็ต"ต่อต้านสร้างมารีน่าลงในทะเล

นายจุรุณ ราชพล ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรป่าคลอก อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พร้อมตัวแทนกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านยามู กลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลนบ้านผักฉีดและบางลา ร่วมยื่นหนังสือต่อนายสุนันท์ ศิริมากุล ประมงจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.เพื่อผ่านไปถึงอธิบดีกรมประมง เกี่ยวกับการคัดค้านการอนุญาตสร้างท่าเทียบเรือมารีน ่าแหลมยามู เพราะทะเลและชายฝั่งเป็นสาธารณสมบัติที่ประชาชนสามาร ถใช้ประโยชน์ร่วมกัน

"พื้นที่ ต.ป่าคลอก ยังได้รับงบประมาณจากจังหวัด 1.6 ล้านบาท ทำโครงการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทั้งตำบล เป็นโครงการตามพระราชดำริ โดยมีสำนักงานประมงจังหวัดภูเก็ต ร่วมกับหลายหน่วยงาน หากอนุญาตให้สร้างมารีน่าลงในทะเล จะกระทบต่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมง แหล่งหญ้าทะเล ปะการัง และสัตว์ทะเลหายาก เช่น พะยูน เต่า ซึ่งการสร้างมารีน่าเป็นการใช้ประโยชน์เกินความจำเป็ น และเพิ่มมูลค่าให้สิ่งปลูกสร้างบนฝั่ง อีกทั้ง จ.ภูเก็ต ยังมีโครงการสร้างมารีน่าไว้บริการนักท่องเที่ยวตามโ ครงการพัฒนาอ่าวภูเก็ต จึงไม่สมควรที่จะส่งเสริมท่าเทียบเรือมารีน่าโดยไม่ม ีการควบคุม เพราะมีผลกระทบต่อฐานการผลิตทรัพยากรประมง และทำลายวิถีชีวิตชุมชน รวมถึงความมั่นคงของห่วงโซ่อาหารในอนาคต หากอนุญาตให้เอกชนก่อสร้าง ชาวบ้านพร้อมใจกันเดินหน้าคัดค้านให้ถึงที่สุด" นายจุรุณ กล่าว



10 มิถุนายน 2552

สายชล
10-06-2009, 10:14
เดลินิวส์


ประมงเตรียมเดินสาย สร้างความเข้าใจ กฏเหล็กอียูต่อต้านการทำประมงผิดกฏหมาย


ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมประมงได้ดำเนินการเตรียมความพร้อมเพื่อจัดท ำระบบ รองรับการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ โดย กรมประมงได้แต่งตั้งคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการ ดำเนินงานเพื่อรองรับกฎระเบียบสหภาพยุโรปในการต่อต้า นการทำประมงผิด กฎหมาย ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอ กชน ในการจัดทำแนวทางการตรวจรับรองสินค้าประมงที่ได้จากก ารจับสัตว์น้ำ ส่งออกไปสหภาพยุโรป นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา ได้นำคณะเจ้าหน้าที่กรมประมงเข้าพบและหารือกับเจ้าหน ้าที่ระดับ สูงของกระทรวงประมงและกิจการทางทะเล ของสหภาพยุโรป เกี่ยวกับความชัดเจนของกฎระเบียบดังกล่าว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามได้และไม่เป็นอุปส รรคทางการค้า และได้เน้นย้ำให้สหภาพยุโรปเข้าใจถึงความซับซ้อนในทา งปฏิบัติตามกฎระเบียบดังกล่าว ทั้งในด้านวัตถุดิบที่มาจากเรือไทยและที่นำเข้าจากปร ะเทศอื่น ซึ่งประกอบด้วยชนิดพันธุ์ที่มีความหลากหลาย

ทั้งนี้ ประเทศไทยเห็นว่าหากสหภาพยุโรปปรับแนวทางการดำเนินกา รตามกฎระเบียบให้ง่ายต่อการปฏิบัติจะเป็นประโยชน์อย่ างยิ่ง แก่ทั้งสองฝ่าย โดยสามารถควบคุมและบริหารจัดการทรัพยากรประมง และต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายได้โดยไม่เป็นอุปสรรคท างการค้าสำหรับผู้ที่ทำการประมงโดยสุจริต นอกจากนั้นได้มีการหารือเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการ บังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวออกไป ซึ่งในขั้น ต้นเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรปให้ความเห็นว่า กฎระเบียบนี้เป็นกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมา ธิการแห่งสหภาพยุโรป ซึ่งมาจากผู้แทนของประเทศสมาชิก ยากที่จะเลื่อนออกไปได้ อย่างไรก็ตาม กรมประมงจะได้หารือในเรื่องดังกล่าวในเวทีของคณะทำงา นประมงอาเซียนที่จะมีการประชุมในต้นเดือนมิถุนายน 2552 ที่ประเทศเวียดนามต่อไป

พร้อมกันนี้จะมีการจัดสัมมนาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั ้งภาครัฐและภาคเอกชนตลอดสายการผลิต ทั้งในภาคกลาง จ.สมุทรสาคร ภาคตะวันออก จ.ระยอง ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จ.สงขลา และภาคใต้ฝั่งอันดามัน จ.ภูเก็ต เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การทำประมงทะเลของประเทศไทย และได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเป็นระบบร่วมกับผู้ม ีส่วนได้เสียที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี ่ยวข้องจะสามารถดำเนินการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำไ ด้ทันตามกำหนดเวลาในเดือนมกราคม 2553

ทั้งนี้เนื่องจากที่สหภาพยุโรปได้ออกกฎระเบียบ EC No 1005/2008 ลงวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2008 ว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป โดยประกาศดังกล่าว บังคับให้สินค้าประมงที่ส่งขายไปยังประชาคมยุโรปต้อง แนบใบรับรองการ จับสัตว์น้ำ เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสินค้าปร ะมงเหล่านั้นได้.

วันที่ 5 มิถุนายน 2552

สายชล
10-06-2009, 10:15
แนวหน้า


กลุ่มชาวประมงเมืองดาบได้เฮ มาตราการปิดอ่าวช่วยเพิ่มสัตว์น้ำ

กระบี่:นายมานิต ดำกุล นายกสมาคมชาวประมงจังหวดกระบี่ กล่าวว่า ภายหลังจากที่ทางกลุ่มจังหวัดอันดามัน ได้แก่ จ.กระบี่ พังงา และภูเก็ต ได้ประกาศปิดอ่าวในช่วงฤดูปลาวางไข่ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2552 เป็นต้นไป โดยมีระยะเวลา 3 เดือน ขณะนี้พบว่าจำนวนสัตว์น้ำมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อาชีพทำประมงทุกชนิด ทั้งกลุ่มประมงพื้นบ้าน กลุ่มประมงชายฝั่ง และเรือพาณิชย์ต่างรับทรัพย์ไปตามๆ กัน เนื่องจากมีผลผลิตที่เพิ่มขึ้น บวกกับราคาสัตว์น้ำในระยะหลังมานี้มีราคาสูงขึ้น

สำหรับมูลเหตุที่ทำให้สัตว์น้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากการประกาศปิดอ่าว 3 เดือนในช่วงที่ปลาวางไข่และถือปฏิบัติมาร่วม 5 ปี ติดต่อกันแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกประการ คือ การทำงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมประมงทะเลฝั่งอันดามั น ที่ได้มีการนำเรือออกปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีกลุ่มอาสาสมัครแจ้งเหตุไม่น้อยกว่า 600 คน เข้าร่วมคอยตรวจตรากลุ่มประมงที่กระทำผิดกฎหมายและสา มารถจับกุมได้ทุกครั้ง


วันที่ 2 มิถุนายน 2552

สายชล
10-06-2009, 10:18
แนวหน้า


กรมประมงประกาศให้รางวัล พบปลาลัง-ปลาทู-ปลาทูแขก ติดเครื่องหมาย-จ่ายตัวละ 200

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่าปลาลัง ปลาทู ปลาทูแขก นับเป็นทรัพยากรปลาผิวน้ำ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาคเอเ ชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากสัตว์น้ำกลุ่มนี้มีพฤติกรรมการเคลื่อนย้ ายของประชากร และการอพยพย้ายถิ่นเพื่อวางไข่และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน ข้อมูลดังกล่าวจึงมีความสำคัญเพื่อใช้กำหนดมาตรการจั ดการทรัพยากรสัตว์น้ำเหล่านี้ให้มีความยั่งยืนได้ตลอ ดไป โดยกรมประมง ประเทศไทย และประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 7 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จึงร่วมกันจัดทำโครงการติดเครื่องหมายปลาผิวน้ำชนิดท ี่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในบริเวณทะเลจีนใต้และทะเลอ ันดามันขึ้น จำนวน 17 จุด เพื่อเป็นฐานข้อมูลวิเคราะห์ประชากรและอนุประชากรของ ทรัพยากรสัตว์น้ำ โดยกำหนดพื้นที่ดำเนินงาน จำนวน 4 จุด คือ บริเวณน่านน้ำในจังหวัดตราด สงขลา ระนอง และสตูล เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวสามารถบ่งชี้ถึงการเคลื่อนย ้ายของปลาผิวน้ำได้อย่างชัดเจน เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับน่านน้ำของประเทศเพื่อนบ้าน

อธิบดีกรมประมงกล่าวว่า หากชาวประมงพบหรือจับปลาที่ติดเครื่องหมายปลาผิวน้ำอ ันได้แก่ ปลาลัง ปลาทู และปลาทูแขกได้ สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินตัวละ 200 บาท โดยปลาที่นำมาแลกจะต้องทำการแช่แข็ง และบันทึก วัน เดือน ปี รวมถึงบริเวณที่ทำการประมง หรือสถานที่พบปลาติดเครื่องหมาย หรือชื่อเรือประมงที่จับปลาติดเครื่องหมายด้วย โดยติดต่อขอแลกเปลี่ยนจากเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของ กรมประมงทุกแห่งใกล้บ้าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลอ่าวไทยฝั่งตะวันออก จังหวัดระยอง สำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเล กรมประมงโทรศัพท์ 0-3865-1764


วันที่ 28 พฤษภาคม 2552

สายชล
10-06-2009, 11:25
เนชั่น

ประมงไทย100ลำถอนสมออินโดฯเล็งเข้าพม่า
4 มิย. 2552 12:44 น.


นายทวี บุญยิ่ง ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสมาคมประมงแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมประมงจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า จากปัญหาที่กองเรือประมงของไทยได้ทยอยกลับจากน่ายน้ำประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นเขตพื้นที่จับปลาสำคัญของไทยสำคัญ 2 แหล่งที่อยู่บริเวณประเทศอินโดนีเซีย คือย่านทะเลจีนใต้ และเขตน่านน้ำอาราปูล่า ที่มีกองเรือประมงจากประเทศไทย เข้าไปทำการประมงประมาณ 1,000 ลำ แต่จากการที่ทางประเทศอินโดนีเซีย ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบการทำประมงใหม่ด้วยการยกเลิกระบบสัมปทาน เปลี่ยนเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการในท้องถิ่นแทน ( JOINCE VENTURE )

พร้อมทั้งกำหนดให้ต้องนำปลาที่จับได้ขึ้นที่ท่าเรือประมงของอินโดนีเซีย ไม่อนุญาตให้ขนกลับมายังประเทศไทยเช่นที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการประมงไทยเล็งเห็นว่าไม่คุ้มกับการลงทุนเพราะราคาซื้อขายปลาที่อินโดนีเซียถูกมาก อีกทั้งหากจะนำย้อนกลับมายังประเทศไทยก็เท่ากับเป็นการซื้อขาย 2 ต่อส่งผลให้ราคาสูงจนไม่สามารับได้จึงทำให้ผู้ประกอบการประมงเริ่มทยอยเดินทางกลับมาแล้วจำนวนมาก

การทยอยเดินทางกลับมาของกองเรือประมงจากประเทศอินโดนีเซีย เท่ากับมาเพิ่มจำนวนเรือในเขตน่านน้ำไทย รวมถึงเรือประมงส่วนหนึ่งที่เดินทางกลับจากอินโดนีเซียขณะนี้ทราบว่า กำลังมองหาลู่ทางขยายเข้าไปทำประมงในน่านน้ำพม่าจำนวนประมาณ 100 ลำ ส่วนหนึ่งทำให้ผู้ประกอบการประมงในเขตพื้นที่ระนองซึ่งมีกองเรือประมง 3,000 ลำ จับปลาในเขตน่านน้ำพม่าประมาณกว่า 200 ลำ กำลังหวาดวิตกว่ากองเรือประมงจากอินโดนีเซีย ที่ทยอยกลับนั้นทราบว่า ส่วนหนึ่งประมาณ 100 ลำ ได้เดินทางมายังจังหวัดระนองเพื่อหาช่องทางการเข้าไปทำประมงในน่านน้ำพม่า

ปัจจุบันยอมรับว่าปริมาณสัตว์น้ำที่เรือประมงไทยจับได้มีจำนวนมากพอสมควร และแต่หากมีกองเรือประมงเข้าไปเพิ่มเติมอาจจะเป็นการแย่งทรัพยากรกันเอง เพราะเขตพื้นที่หรือโซนที่ได้รับสัมปทานมีจำนวนจำกัด ดังนั้นตนจึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงความสมดุลจำนวนเรือกับปริมาณสัตว์น้ำ

นายสุรินทร์ โหลสงค์ เจ้าของเรือประมงที่ได้รับตั๋วสัมปทานเข้าไปทำประมงในเขตน่านน้ำพม่ากล่าวว่า ปัจจุบันมีเรือประมงพม่าออกทำการประมงในน่านน้ำพม่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ลำ หากรวมกับกองเรือประมงไทยและของชาติอื่นๆทั้งหมดที่อยู่ในน่านน้ำพม่าไม่น่าจะต่ำกว่า 5,000 ลำ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มากพอสมควร

ดังนั้นหากจะมีจำนวนเรือประมงที่จะเข้าไปจับปลาในน่านน้ำพม่าเพิ่มขึ้นอีกนั้น ตนมองว่าควรจะศึกษาข้อมูลในละเอียดถึงจำนวน และความเหมาะสม รวมถึงการเจรจากับรัฐบาลพม่าถึงความเป็นไปได้ในการขยายเขตพื้นที่สัมปทาน เพราะหากมีเขตพื้นที่จำกัด แต่มีเรือประมงมากอีกไม่นานปลาก็จะหมด ซึ่งจะส่งผลเสียตามมาในอนาคต

ส่วนน่านน้ำในประเทศอื่นๆที่น่าสนใจและทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะเข้ามาช่วยเพื่อหาช่องทางที่จะขยายเข้าไปคือเขตน่านน้ำของอินเดีย ซึ่งขณะนี้มีเรือประมงจากระนองเข้าไปทำประมงประมาณ 20 ลำ ทราบว่าผลตอบรับดีมาก แต่ติดขัดเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องใช้วิธีการหลบเลี่ยงจึงจะทำประมงได้ แต่หากสามารถเข้าไปได้อย่างถูกต้อง เปิดเผยตนมองว่าจะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ


http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=384685

สายชล
10-06-2009, 11:31
ล้วงลึกขบวนการค้าแรงงานประมง


เรื่องโดย : นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์มูลนิธิกระจกเงา www.notforsale.in.th



จำนวนตัวเลขผู้เสียหายกว่า60 กรณีที่แจ้งเข้ามาขอความช่วยเหลือยังศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ทำให้พอมองเห็นภาพได้ว่า ปัญหาการล่อลวงและบังคับใช้แรงงานในภาคประมงนอกน่านน้ำ ยังเป็นปัญหาอาชญากรรมที่แก้ไม่ตก ถึงแม้ว่า วาระแห่งชาติเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จะถูกกล่าวอ้างจากหน่วยงานภาครัฐเสมอมา แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในกรณีนี้กลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง



เมื่อเกิดสภาวะวิกฤติการขาดแคลนแรงงานภาคประมงคู่ขนานมากับปัญหาคนในชนบท ตกงานและต้องเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาหางานทำในเมืองหลวง ขบวนการค้ามนุษย์ที่แอบแฝงอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ จึงอาศัยจังหวะนี้ “ลงมือ” ล่อลวงพา “เหยื่อ” ไปขายให้กับเรือประมงอีกทอดหนึ่ง



ขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้มีโครงสร้างอย่างไร และเหตุใดการค้าคนในลักษณะนี้ จึงยังดำรงอยู่ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์มูลนิธิกระจกเงามีคำตอบในเรื่องนี้



ใบสั่งจากเรือประมง



ถึงแม้ว่าปัจจุบันปัญหาพิษทางเศรษฐกิจจะรุมเร้าภาคอุตสาหกรรมทำให้เกิดภาวะการว่างงานจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ประกาศเมื่อปลายปีที่แล้วว่า อุตสาหกรรมประมงทะเลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากประมงทะเลยังคงขาดแคลนแรงงานเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เรือประมงที่กำลังออกจากท่าเรือไปหาปลาในน่านน้ำต่างประเทศ ยังต้องการแรงงานเพื่อให้ครบตามตำแหน่งงานก่อนออกเรือ ซึ่งเรือประมงส่วนใหญ่จะใช้แรงงานประมาณ 10-40 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือ



ปัญหาเรื่องการค้าแรงงานประมง จะอยู่ตรงที่ ผู้ประกอบการบางราย ได้จ้างเหมาให้ ผู้ควบคุมเรือประมง (ไต๋ก๋ง) เป็นผู้บริหารจัดการแรงงานและส่วนแบ่งจากการจับปลา เป็นผลให้ ผู้ควบคุมเรือประมงต้องทำทุกวิถีทางให้มีแรงงานประมงครบตามจำนวนก่อนเรือออกเดินทาง “ใบสั่งแรงงาน” จึงเกิดขึ้นและส่งไปถึง “นายหน้าค้าแรงงานประมง” เพื่อบอกจำนวนแรงงานที่ต้องการและวันที่เรือต้องออกเดินทาง



วิธีการสั่งแรงงานจะอยู่ในรูปของการโทรศัพท์ติดต่อระหว่างผู้ควบคุมเรือกับนายหน้าค้าแรงงาน ซึ่งนายหน้าค้าแรงงานจะมีขบวนการหลายทอดหลายต่อเริ่มตั้งแต่ นายหน้านกต่อ นายหน้าพักแรงงาน และนายหน้าท่าเรือ



นายหน้านกต่อ



นายหน้านกต่อ เป็นนายหน้าค้าคนลำดับแรก ที่จะหลอกล่อเหยื่อให้ติดกับ โดยนายหน้าเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 พื้นที่เสี่ยงในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต สถานีรถไฟหัวลำโพง บริเวณสนามหลวง บริเวณวงเวียนใหญ่ และสวนสาธารณะรมณีนาถ นายหน้าเหล่านี้เป็นมิจฉาชีพที่แฝงตัวอยู่ตามสถานที่ดังกล่าวมานานจนคนในย่านนั้นต่างคุ้นหน้าเป็นอย่างดีว่า “หากินแถวนี้” แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่กลุ่มนายหน้าค้าคนเหล่านี้ กลับไม่อยู่ในบัญชีประวัติอาชญากร หรือ บุคคลเฝ้าระวัง ของตำรวจในพื้นที่นั้นๆ แต่อย่างใด

นายหน้ากลุ่มนี้มีทั้งเพศชายและเพศหญิง อายุตั้งแต่คนวัยทำงานยันคนแก่ มีวาทศิลป์และจิตวิทยาเป็นเลิศ มีความอดทนใช้เวลาในการหว่านล้อมและมีเทคนิคแพรวพราว ทั้งพูดจาภาษาถิ่นเดียวกัน เสนอเงื่อนไขและลักษณะงานที่น่าสนใจ บางกรณีอาจจะมีการเลี้ยงอาหารหรือสุราแก่เหยื่อด้วย ซึ่งกลุ่มนายหน้าเหล่านี้ดูภายนอกท่าทางภูมิฐานและน่าเชื่อถือ



นายหน้าเหล่านี้มีทั้งแบบ FULL TIME และ PART TIME คือแบบพวกหาเหยื่ออย่างเดียว และแบบมีอาชีพประจำเพื่อบังหน้า เช่น จักรยานยนต์รับจ้าง และคนขับแท็กซี่



โดยปกตินายหน้ากลุ่มหนึ่งจะมีหลายคนกระจายตัวกันไป เวลาหาเหยื่อจะลงมือทำงานเพียงคนเดียวต่อเหยื่อหนึ่งราย จะไม่ใช้กำลังบังคับหรือประทุษร้าย แต่จะใช้คำโฆษณาชวนเชื่อจนเหยื่อติดกับแล้วเดินตามไปเอง ซึ่งกลุ่มคนพวกนี้มักจะอ้างตอนถูกจับกุม ว่าเป็นความสมัครใจของผู้เสียหายเอง จึงทำให้หลายครั้งที่มีการแจ้งเบาะแสไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปตรวจสอบกลุ่มนายหน้าที่เดินเร่หาเหยื่อ พวกนี้จึงถูกดำเนินคดีแค่ฐานสร้างความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ โทษปรับแค่ 500 บาท !!!!



นายหน้าพักแรงงาน



นายหน้าพักแรงงาน จะเป็นนายหน้าลำดับที่สอง ที่รับช่วงต่อจาก นายหน้านกต่อ โดยเมื่อล่อลวงแรงงานมาจากสถานที่ต่างๆ ได้แล้ว นายหน้านกต่อจะนำเหยื่อมา “ขาย” ให้กับนายหน้าพักแรงงานในราคา 1,000-3,000 บาทต่อราย จากนั้นภารกิจของนายหน้านกต่อเป็นอันเสร็จสิ้น



นายหน้าพักแรงงาน จะมีบ้านพักเหยื่อ เพื่อรอให้ได้แรงงานตาม ออเดอร์ ก่อนส่งไปตามท่าเรือประมงต่างๆ โดยในพื้นที่กรงุเทพฯและใกล้เคียงมีพิกัดบ้านพักแรงงาน ดังนี้ ชุมชนหลังวัดดงมูลเหล็ก , ชุมชนกิโลเมตรที่ 11 (หลังสวนรถไฟ) , ชุมชนท้ายบ้าน ปากน้ำ , และในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร



กรณีตัวอย่างของนายหน้าพักแรงงาน ที่จังหวัดสมุทรสาคร มีขาใหญ่ อยู่ 2 ราย อักษรย่อ ป๋า พ. และ เจ๊ ต. กลุ่มนายหน้าเหล่านี้จะเช่าบ้านไว้พักเหยื่อตามจุดต่างๆ ในสมุทรสาคร มีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนบ้านไปเรื่อยๆ ภายในบ้านจะมีลูกน้องเป็นชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธคอยควบคุมเหยื่ออยู่อีกชั้นหนึ่ง



บ้านพักแรงงานของ เจ๊ ต. เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจเมืองสมุทรสาคร และภูธรจังหวัดสมุทรสาคร โดยบ้านพักแรงงานของเจ๊ ต เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ มีรั้วล้อมขอบชิด และเดินลวดหนามไว้รอบบ้าน ภายในมีชายฉกรรจ์อยู่หลายคน บ้านหลังนี้มีทางเข้าออกทะลุได้หลายช่องทาง และมีลูกน้องของเจ๊ ต. ซึ่งเป็น วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างดักอยู่ทุกทางเข้าออก ทำให้เจ๊ ต. จะทราบความเคลื่อนไหวของคนนอกหรือเจ้าหน้าที่ ซึ่งแปลกปลอมเข้าไปในพื้นที่!!!


ซึ่งจากสายข่าวของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา ทราบว่า จะมี รถแท็กซี่ขาประจำ นำเหยื่อมาส่งที่บ้านหลังนี้เกือบทุกวันในช่วงเวลา ตี 3 ถึง 6 โมงเช้า โดยมีเหยื่อโดนหลอกมาครั้งละ 1-3 ราย เมื่อได้รับออเดอร์จากนายหน้าท่าเรือประมง นายหน้ากลุ่มนี้จะนำเหยื่อขึ้นรถกระบะ หรือรถสาธารณะ ไปส่งในพื้นที่สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสงขลา อีกทอดหนึ่ง



พฤติกรรมอันอุจอาจของนายหน้ากลุ่มนี้ที่ยังลอยนวลอยู่ได้ ถึงแม้จะมีผู้เสียหายถูกกักขังอยู่ในบ้านก็ตาม เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้น เหยื่อหลายรายซึ่งต้องเป็นพยานก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกหลอก เพราะนึกแต่เพียงว่ากำลังรอไปทำงาน ประกอบกับในทางกฏหมายมองว่ายังไม่ได้นำผู้เสียหายไปทำงาน จึงยังไม่มีการแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้น จึงยังไม่ครบองค์ประกอบของการ ค้ามนุษย์ !!!



นายหน้าท่าเรือ



นายหน้าท่าเรือจะเป็นนายหน้าลำดับสุดท้าย ที่รับเหยื่อต่อมาจากนายหน้าพักแรงงาน โดยนายหน้าท่าเรือจะจ่ายเงิน “ค่าหัว” แรงงานในอัตรา 5,000-20,000 บาทต่อราย ให้กับนายหน้าพักแรงงาน จากนั้น นายหน้าท่าเรือ อาจจะนำเหยื่อขึ้นเรือประมงทันที หรือถ้าเรือยังไม่ออก ก็จะพาเหยื่อไปพักยังห้องเช่า ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณท่าเรือประมง ซึ่งเมื่อนายหน้าท่าเรือนำเหยื่อไปขายให้กับผู้ควบคุมเรือแล้ว จะได้ “ค่าหัว” ตั้งแต่ 10,000-30,000 บาทต่อคนเลยทีเดียว ดังนั้น เมื่อผู้ควบคุมเรือได้จ่ายเงินเป็นค่าหัวของแรงงานเหล่านั้นให้กับนายหน้าแล้ว ย่อมหมายความว่า แรงงานประมงเหล่า ต้องทำงานฟรี หรือได้รับเงินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากๆ



นายหน้าท่าเรือประมง จะอยู่ตามพื้นที่ท่าเรือประมงต่างๆ ในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และสงขลา คอยรับใบสั่งจากผู้ควบคุมเรือว่าต้องการแรงงานจำนวนเท่าใด และกำหนดวันที่เรือต้องออกเดินทางเพื่อมาส่งแรงงานให้ทันตามกำหนด ซึ่งในวงการจะทราบกันเป็นอย่างดีว่าใครเป็นคนทำธุรกิจมืดนี้บ้าง นายหน้าประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยเป็นผู้ควบคุมเรือหรือเคยทำงานบนเรือประมงมาก่อน แล้วผันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจมืดนี้ จึงทำให้รู้จักกับผู้ควบคุมเรือประมงลำต่างๆ เป็นอย่างดี



นายหน้าท่าเรือที่รัฐควรจับตามอง มีอยู่ 2 คนที่น่าสนใจ ได้แก่ นาย ต. เป็นนายหน้าอยู่ที่สมุทรปราการ และ นาย ช. เป็นนายหน้าอยู่ที่จังหวัดสงขลา ทั้งสองคนนี้มีพฤติกรรมในการเป็นนายหน้ามาเป็นเวลานาน เคยถูกจับกุมดำเนินคดี แต่ก็รอดไปได้ เนื่องจากขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมของไทยใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะถึงการพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่สามารถติดตามผู้เสียหายมาขึ้นศาลได้ เนื่องจากผู้เสียหายมักประกอบอาชีพรับจ้างไม่เป็นหลักแหล่ง ประกอบกับพนักงานอัยการไม่ได้ร้องขอให้สืบพยานล่วงหน้าไว้ก่อน ดังนั้น คดีค้ามนุษย์แรงงานประมงส่วนใหญ่จึงมักลงเอยด้วยการ ยกฟ้อง!!!



นี่คงเป็นเพียงเศษเสี้ยวของปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้ามนุษย์ในรูปแบบค้าแรงงานประมงนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ในมุมมืด เนื่องจากมีกลุ่มอิทธิพลและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง การทำมาหากินบนชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นเรื่องที่โหดร้ายทารุณ หน่วยงานรัฐจึงอย่าปิดหูปิดตาต่อปัญหาที่เกิดขึ้น หากมีกลุ่มอิทธิพลและการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องก็จำเป็นต้องแก้ด้วยการเมืองเช่นเดียวกัน คงถึงเวลาแล้วที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องขยับทำงานมากกว่าการแจกเงินสงเคราะห์และถุงยังชีพเสียที...


ข้อมูลจาก................http://www.thaihealth.or.th/node/7733

สายชล
07-07-2009, 12:51
แนวหน้า


เกษตรเร่งสร้างความเข้าใจกฎเหล็ก"อียู" ตีกรอบนำเข้าสินค้า-สกัดทำประมงผิดกม.

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบฉบับใหม่ของสหภาพยุโรปว่าด้วยการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ iuu ซึ่งกำหนดให้การค้าสินค้าสัตว์น้ำที่จะส่งไปขายยังสหภาพยุโรปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ต้องมีใบรับรองการจับสัตว์น้ำกำกับด้วยทุกครั้ง เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ประมงเหล่านั้นว่า ได้ปฏิบัติตามระเบียบการต่อต้านการทำประมงแบบ iuu หรือไม่

ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงเร่งประชาสัมพันธ์รายละเอียดและข้อปฏิบัติของกฎระเบียบ iuu ให้ทุกภาคส่วนทราบผ่านการสัมมนาใน 5 พื้นที่ ซึ่งครอบคลุมเขตการทำประมงทะเลของประเทศไทย ได้แก่ สงขลา สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี กระบี่ และระยอง ซึ่งเชื่อมั่นว่า หากร่วมมือกันศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจัง ทันต่อเวลาที่สหภาพยุโรปกำหนดที่กำลังจะมาถึงในอีก 6 เดือนข้างหน้า การส่งออกสินค้าประมงไทยไปยังสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบดังกล่าวจะเป็นโอกาสดีมากกว่าวิกฤติอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ยังจะร่วมมือกับผู้ประกอบการธุรกิจประมง ชาวประมงพื้นบ้าน ชาวประมงพาณิชย์ แพปลา และผู้ประกอบการโรงงาน ทดสอบระบบปฏิบัติการตามขั้นตอนของกฎระเบียบ iuu โดยทดลองดำเนินการให้มีความใกล้เคียงกับสถานการณ์ที่ต้องปฏิบัติจริงตั้งแต่ขั้นตอนแรก จนถึงขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรคและเร่งนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ไม่มีข้อผิดพลาด และสร้างความคุ้นเคย อันจะส่งผลให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติจริงอีกด้วย

สายชล
07-07-2009, 12:57
คม ชัด ลึก


ประมงเผยฉลามวาฬโดนใบพัดเรือนักท่องเที่ยว

นายปราโมทย์ ชุ่มเชื้อ ประธานกลุ่มประมงบ้านอ่าวยาง กล่าวว่า ภายหลังข่าวการพบฉลามวาฬ 2 ตัว เผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดเรือรับจ้างเพื่อให้บริการพากลุ่มชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเข้าไปดูฉลามวาฬอย่างใกล้ชิด โดยเก็บครั้งละ 10 บาท หรือ 20 บาทต่อคน ขณะนี้พบว่ามีฉลามตัวใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกใบพัดเรือแล้ว อาจส่งผลให้ฉลามวาฬไม่กลับมาที่นี่อีกก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ข้อควรระวังในการเข้าไปดูฉลามวาฬคือไม่ควรจับ ขี่ ไล่กวด หรือเข้าไปใกล้มากๆ โดยจะต้องเว้นระยะห่างจากตัวปลาไม่น้อยกว่า 4 เมตร สำหรับการตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังและช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากนั้น เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างเร่งด่วน และเห็นด้วยที่ภาคเอกชนเสนอเข้ามาเป็นคนกลาง ซึ่งจะป็นการรักษาพันธุ์สัตว์ทะเลหายากเพื่อดูแลให้อยู่คู่ทะเล ด้านสมาชิกเครือข่ายฯ ในเบื้องต้นจะเป็นกลุ่มประมงหมู่ 3 บ้านอ่าวยางก่อน และวางแผนเชิญชวนทั้งพี่น้องชาวประมงบวกกับพี่น้องทั่วไป ที่อยากเป็นอาสามัครมาช่วยกันทำงานด้านนี้

นายลิขิต บุญสิทธิ์ หัวหน้าฝ่ายบริหารจัดการด้านการประมง สำนักงานโครงการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน กล่าวว่า กลุ่มอาสาสมัครอนุรักษ์สัตว์น้ำบางสะพานซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชาวประมง 9 กลุ่ม ตั้งแต่อ่าวบางสะพาน เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ยินดีให้ความร่วมมือจัดตั้งเครือข่ายฯ เพราะในพื้นที่จะพบสัตว์ทะเลหายากหลายชนิด ได้แก่ ฉลามวาฬ ปลาโลมา เต่าตนุ ซึ่งนับวันจะยิ่งหาดูได้ยากและใกล้สูญพันธุ์ หากมีการดูแลและร่วมมือกันโดยเฉพาะการนำกลุ่มประมงทุกกลุ่มรวมทั้งกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่อำเภอบางสะพานเข้าร่วมเป็นพันธมิตร จะช่วยปกป้องและรักษาสัตว์ทะเลเหล่านี้ให้อยู่คู่ทะเลไทยและทะเลบางสะพานไปอีกนาน

ส่วนภายหลังการพบฉลามวาฬในพื้นที่นั้น ทางกรมประมงได้ส่งเรือเข้าไปดูแลและเฝ้าตลอดเวลาตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งจากการเฝ้าระวังจะเห็นนักท่องเที่ยวเข้ามาดูจำนวนมากแต่ยังไม่พบรายงานว่ามีเรือลำใดเข้าไปทำร้ายฉลามวาฬหรือไม่ จะมีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งพบนักท่องเที่ยววัยรุ่นเข้าไปดูด้วยคึกคะนอง ซึ่งได้ว่ากล่าวตักเตือนไป อย่างไรก็ตามช่วงนี้จะพบว่าภายหลังมีนักท่องเที่ยวเข้าไปดูจำนวนมากจึงทำให้ปลาฉลามวาฬไม่ค่อยได้ขึ้นมาให้เห็นเท่าไร จึงมีข้อสันนิษฐานได้หลายประการ เช่น การมีคนมาดูตลอดทั้งวัน เรือเข้าไปรบกวน ซึ่งกระทบวิถีชีวิต หรือข้อสันนิษฐานที่ว่าอาจโดนใบพัดเรือที่เข้ามาดูก็เป็นไปได้

นายสมศักดิ์ ศิวะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ศูนย์บริหารจัดการและส่งเสริมสิ่งแวดล้อม เครือสหวิริยา ได้เข้าไปหารือเบื้องต้นกับสำนักงานโครงการจัดการประมง โดยชุมชนอ่าวบางสะพานและตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบอาชีพประมงในพื้นที่ เรื่องการจัดตั้ง “เครือข่ายเฝ้าระวังและช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก” หลังพบฉลามวาฬหลายครั้งทั้งในพื้นที่อำเภอบางสะพาน อำเภอทับสะแก และอำเภอหัวหิน โดยรูปแบบของการตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังฯ นั้น ศูนย์สิ่งแวดล้อมฯ เครือสหวิริยา จะทำหน้าที่เป็นส่วนกลางในการประสานงานให้กับส่วนราชการและกลุ่มประมงในพื้นที่ซึ่งจะตั้งเป็นหน่วยรับแจ้งเรื่องสัตว์ทะเลหายาก ทั้งวาฬ เต่า หรือโลมา โดยมีหน่วยงานจากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จังหวัดชุมพร เป็นหน่วยงานหลัก ในการเข้ามาดูแลร่วมกันและร่วมกันศึกษา เพื่อให้เฝ้าระวังและดูแลสัตว์ทะเลทุกชนิด

สายชล
07-07-2009, 12:58
บ้านเมือง


พบฉลามวาฬยืนยันสมดุลสิ่งแวดล้อม เดินหน้าตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังสัตว์ทะเล

ประจวบคีรีขันธ์/ นายสมศักดิ์ ศิวะไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด บริษัทในเครือสหวิริยา เปิดเผยกรณีพบฉลามวาฬ บริเวณบ้านหนองมงคล อำเภอบางสะพาน ว่า เป็นดัชนีชี้วัดว่าในขณะที่มีอุตสาหกรรมเหล็กอยู่ในพื้นที่มาเกือบ 20 ปี แต่ความอุดมสมบูรณ์ของทะเลแถบนี้ก็ยังมีอยู่ ซึ่งความสมบูรณ์ของทะเลที่ อ.บางสะพาน มีการพูดถึงอยู่เสมอ แม้กระทั่งบริเวณหน้าท่าเรือประจวบฯ เอง ที่ชาวประมงก็สามารถจับปลาได้จำนวนมากเป็นประจำ เนื่องจากแหล่งอาหารที่หลากหลาย รวมทั้งแนวปะการังเทียม-เขื่อนกันคลื่นของท่าเรือก็น่าจะเป็นแรงดึงดูดที่ดีด้วย และจากผลการศึกษาของศูนย์วิจัยทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง พบว่าพื้นที่บริเวณอ่าวไทยในบริเวณ จ.ประจวบฯ เป็นจุดที่สามารถพบโลมาและวาฬได้ปกติ มีเปอร์เซ็นต์การพบโลมาถึง 63% และพบวาฬถึง 30%

กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือประจวบ กล่าวว่า ในกรณีที่จะมีโครงการท่าเรือส่วนขยายเกิดขึ้น รวมทั้งโครงการโรงถลุงเหล็กนั้น เชื่อมั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทะเลบางสะพานแน่นอน เนื่องจากตัวท่าเรือที่จะสร้างใหม่เป็นแบบโครงสร้างโปร่ง มีตัวอย่างท่าเรือขนส่งสินแร่ที่ควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ที่สามารถอยู่ร่วมกับชาวประมงและสัตว์ทะเลได้เป็นอย่างดี รวมถึงเทคโนโลโลยีที่ใช้สำหรับโรงถลุงเหล็กเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เทคโนโลยีน้ำเสียเป็นศูนย์ คือนำน้ำในการผลิตมาบำบัดและกลับมาใช้ใหม่ทั้งหมด ไม่มีการปล่อยออกนอกโครงการ สำหรับในอนาคต การสนับสนุนหรือช่วยเหลือเรื่องสัตว์ทะเลหายาก ทั้งข้อมูล, กำลังคน หรือเครื่องมือนั้น กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท่าเรือประจวบ กล่าวว่า ยินดีและเต็มใจให้ความช่วยเหลือชุมชน โดยบริษัทฯ มีแนวคิดจัดตั้ง “เครือข่ายเฝ้าระวังและช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายาก” ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการหารือกับชุมชนและปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อร่วมเป็นภาคีกันต่อไป

สายชล
07-07-2009, 12:58
ผู้จัดการออนไลน์


รวบ 9 ผู้ต้องหาลอบจับสัตว์น้ำในเขตหวงห้ามกลางทะเลกระบี่

กระบี่-เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ จับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ.การประมง ในเขตหวงห้าม 1 ราย ได้ผู้ต้องหา 9 คน เป็นลูกเรือชาวพม่า 6 คน ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายประเวช อวิรุทธพาณิชย์ เจ้าหน้าที่บริหารงานประมงอาวุโส พร้อมด้วย นายสุขเกษม ศรีงาม เจ้าหน้าที่ท้ายเรือกลชายทะเล ศูนย์ป้องกัน และปราบปรามประมงทะเลฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ 6 คน ทำการจับกุมผู้กระทำผิด พ.ร.บ.การประมง ในเขตหวงห้าม 1 ราย ได้ผู้ต้องหา 9 คน โดยมี นายวัชระ แก้วประเสริฐ เป็นไต๋ก๋งเรือ พร้อมลูกเรือรวม 9 คน มีนายพล ไชยวงค์ นายจุมพล จันทเวช และชาวพม่า อีก 6 คน พร้อมของกลางเรือประมงชื่อ “น.ชัยมงคล 1” และ “น ชัยมงคล 2” เครื่องมืออวนลากคู่ พร้อมอุปกรณ์ และสัตว์น้ำเบญจพรรณ ชนิดต่าง ๆ จำนวน 200 กิโลกรัม อยู่ในสภาพเน่าเสีย ซึ่งทำลายทิ้งไปแล้ว

ผู้ต้องหาทั้งหมดลักลอบทำการประมงในเขตหวงห้ามบริเวณ ใกล้แนวชายฝั่งห่างจากบริเวณเกาะหมา หมู่ 7 ตำบลอ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ อยู่ในเขตหวงห้าม 3,000 เมตร เขตห้ามจับสัตว์น้ำด้วยเรืออวนลากคู่ ซึ่งนำตัวมาสอบสวนที่ศูนย์ป้องกัน และปราบปรามประมงทะเลฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ เบื้องต้น ให้การรับสารภาพ จึงส่งตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมาย.

สายชล
07-07-2009, 12:59
ผู้จัดการออนไลน์


ชาวประมงพื้นบ้านภูเก็ตวอนทุกหน่วยแก้ปัญหาระบบนิเวศชายฝั่งถูกทำลาย

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ชาวประมงพื้นบ้านภูเก็ตระบุระบบนิเวศบริเวณชายฝั่งถูกทำลาย เหตุเกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยว วอนทุกหน่วยร่วมมือกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

นายสุธา ประทีป ณ ถลาง ตัวแทนชาวประมงพื้นบ้าน ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึงปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งทะเลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตว่า ปัจจุบันนี้บริเวณชายฝั่งทะเลทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายไปจำนวนมาก และที่ผ่านระบบนิเวศชายฝั่งได้รับผลกระทบจากการใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวซึ่งไม่สามารถที่จะจัดการได้ เช่น เรื่องของน้ำเสียที่มาจากทั้งครัวเรือน จากสถานประกอบ รวมทั้งเรื่องของการก่อสร้างเปิดหน้าดิน ปริมาณน้ำจืดที่ไหลลงทะเลลดน้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบริเวณชายฝั่งเป็นอย่างมาก ส่งผลให้สัตว์น้ำวัยอ่อนในแนวปะการังลดลง เมื่อระบบนิเวศชายฝั่งมีปัญหาไม่ใช่เฉพาะผู้ประกอบการประมงพื้นบ้านเท่านั้นที่มีปัญหาแต่รวมไปถึงประมงพาณิชย์ที่หากินนอกบริเวณชายฝั่งด้วย

“สำหรับระบบนิเวศบริเวณชายฝั่งของจังหวัดภูเก็ตนั้นถือว่าแย่มากในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่การท่องเที่ยวจะเข้ามาก็คาดว่าน่าจะลดลงไปประมาณ 50% สัตว์น้ำบางชนิดก็สูญพันธ์ไป” นายสุธา กล่าวและว่า

เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศชายฝั่งให้กลับมามีสภาพดีขึ้น อยากให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมมือกันในการดูแลและฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อม เพราะการที่จะรอให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นผู้ดูแลเพียงหน่วยงานเดียวคิดว่าไม่น่าจะทำได้ คงจะต้องอาศัยความร่วมมือและบูรณาการในการดูแลให้เกิดเป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากหน่วยงานราชการแล้วในส่วนของผู้ประกอบการก็จะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องมานั่งคุยกันเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

นายสุธากล่าวต่อไปว่า การจะนำกฎหมายมาบังคับใช้เพียงอย่างเดียวคิดว่าไม่ใช่ทางออกของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่ง ทางออกที่ดีของการแก้ปัญหาเรื่องของสิ่งแวดล้อมนั้น คิดว่าควรที่จะเริ่มจากการพูดคุยมากกว่าที่จะนำกฎหมายมาบังคับใช้ เพราะเชื่อว่าทุกคนน่าจะให้ความร่วมมือและพูดคุยกันได้แต่จะต้องนำความจริงมาพูดคุยกัน ถ้าทำได้เชื่อว่าการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณชายฝั่งน่าจะประสบความสำเร็จ


***************************************************************************************


ชาวแม่รำพึงพบฉลามวาฬหากินใกล้ฝั่ง

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 52 เวลาประมาณ 17.00 น. บริเวณชายหาดระหว่างบ้านหนองมงคลกับหาดบ้านดอนสำราญ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ฉลามวาฬ ขนาดใหญ่ 2 ตัว มีลำตัวยาวประมาณเกือบ 10 เมตร ส่วนอีกตัวมีความยาวประมาณ 6 เมตร เข้าหากินอาหาร ลูกปลาบริเวณหน้าหาดบ้านหนองมงคล ซึ่งเป็นหาดที่เชื่อมต่อระหว่างหาดบ้านดอนสำราญ และหาดบ้านกรูด ห่างจากฝั่งไม่ถึง 30 เมตรสามารถมองเห็นได้ด้วยตาจากชายหาด

นายนินทร์ ศรีเมือง อายุ 45 ปี ชาวประมงชายฝั่งที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว เล่าว่า ปกติจะพบเห็นฉลามวาฬเมื่อออกเรือไปหาปลาไกลฝั่ง แต่ช่วงนี้ฉลามวาฬเข้ามาหากินใกล้ฝั่งมาก

“วันนี้เป็นวันที่ที่ 3 แล้วที่เห็นฉลามวาฬคู่นี้เข้ามาหากินใกล้ฝั่งขนาดนี้ ผมจะเห็นมันว่ายหากินตรงหน้าหาดบ้านหนองมงคล แล้วก็ตรงหน้าหาดบ้านดอนสำราญซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน”

นายสุพจน์ ส่งเสียง รองประธานกลุ่มอนุรักษ์แม่รำพึง ซึ่งลงเรือเพื่อบันทึกภาพฉลามวาฬในครั้งนี้ กล่าวว่า จากที่ได้พูดคุยกับชาวบ้านทราบว่าปกติก็จะมีฉลามวาฬมาหากินบริเวณนี้เป็นประจำอยู่แล้วแต่ส่วนใหญ่จะเจอเวลาที่ออกเรือไปหาปลาซึ่งจะอยู่ห่างจากฝั่งมากกว่านี้ แต่ช่วงนี้ ฉลามวาฬได้เข้ามาใกล้ฝั่งมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยไม่ต้องส่องกล้อง

“ธรรมชาติของสัตว์ตระลฉลามหรือวาฬ จะมาหากินในเฉพาะในทะเลที่มีความสมบูรณ์”

นายสุพจน์กล่าวต่อว่า เมื่อช่วงเช้าก็มีชาวประมงจาก อ.ทับสะแก แจ้งว่า เห็นฉลามวาฬเช่นกัน นั่นก็แสดงให้เห็นว่าชายหาดบริเวณนี้เป็นหาดที่มีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก คงเป็นเพราะชายหาดบริเวณอ่าวแม่รำพึง มีปริมาณแพลงตอนสูงมากโดยไหลออกมาจากป่าพรุแม่รำพึง ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์น้ำวัยอ่อนและลูกปลาเล็กปลาน้อย ลูกปลาเหล่านี้เป็นอาหารในอีกห่วงโซ่หนึ่งของปลาที่ใหญ่กว่า เช่นฉลามวาฬที่เราพบกันในวันนี้

“บริเวณที่พบฉลามวาฬนี้ก็อยู่ห่างจากที่ตั้งของโครงการโรงถลุงเหล็กที่ชาวบ้านคัดค้านการก่อสร้างไม่ถึง 1 กม. พวกเราจึงอยากให้กลุ่มทุนที่พยายามผลักดันโครงการนี้มองเห็นถึงความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลที่เรามีอยู่อย่าได้เอาอุตสาหกรรมที่มีมลพิษสูงอย่างโรงถลุงเหล็ก มาทำลายความสมบูรณ์และความสวยงามของบางสะพานเลย เราควรส่งเสริมการพัฒนาตามศักยภาพที่โดดเด่นในพื้นที่ของเรา เช่น เรื่องของการท่องเที่ยวและการเกษตรกรรมจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนมากกว่า และยังเป็นการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย” นายสุพจน์ กล่าว

สายชล
29-07-2009, 19:12
ผู้จัดการออนไลน์


กระบี่จับเรือประมงลากคู่จับปลาเขตหวงห้าม

http://pics.manager.co.th/Images/552000008888801.JPEG http://pics.manager.co.th/Images/552000008888802.JPEG

กระบี่ - จนท.ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ จับเรือประมงอวนลากคู่ ในเขตหวงห้ามบริเวณหน้าอ่าวมาหยา ได้ผู้ต้องหา 20 คน เป็น พม่า 9 มอญ 9 พร้อมของกลางสัตว์น้ำเบญจพรรณ กว่า 400 กิโลกรัม

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 22 กรกฎาคม 2552 เจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลชายฝั่งอันดามันจังหวัดกระบี่ โดย นายแสน สีงาม หัวหน้าศูนย์ป้องกันละปราบปรามประมงทะเลชายฝั่งอันดามันจังหวัดกระบี่ จ่าเอก อำพน คงแก้ว เจ้าพนักงานสื่อสารชำนาญงาน นายสุรีย์ สิงห์สถิตย์ เจ้าพนักงานเดินเรือชำนาญงาน และเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 11 นาย ร่วมกันจับกุม เรือประมงอวนลากคู่ 4 ลำ ลักลอบจับปลา ในเขตหวงห้ามบริเวณ หน้าอ่าวมาหยา เกาะพีพี ม.7 ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่

จากการจับกุมได้ผู้ต้องหาจำนวน 20 คน ประกอบด้วย ผู้ควบคุมเรือ 2 คน ทราบชื่อ คือ นายวิจิตร หอมสมบัติ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59/111 ม.7 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต และ นายนิคม ศรีทำเลา อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ม.2 ต.องมหาริน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย เป็นไต๋กง พร้อมลูกเรือสัญชาติพม่า 9 คน และสัญชาติมอญ 9 คน

นอกจากนั้น ยังตรวจยึดของกลางไว้ได้รวม 8 รายการ ประกอบด้วย เรือประมง 4 ลำ ชื่อ ร.พัฒนาจำนวน 2 ลำ และ เรือ ส.พัฒนา จำนวน 2 ลำ พร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องมือประมงอวนลากคู่ จำนวน 2 ปาก และสัตว์น้ำเบญจพรรณ จำนวนกว่า 400 กิโลกรัม

ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ ได้รับแจ้งว่า มีเรือเรือประมงอวนลากคู่เข้าลักลอบทำการประมงในเขตหวงห้าม ระยะ 3,000 เมตร ที่บริเวณ ด้านทิศตะวันตกของเกาะพญานาค และเกาะปิด๊ะนอก ห่างจากอ่าวมายา ประมาณ 1 ไมล์ทะเล จึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำเรือตรวจประมงทะเล 606 เข้าทำการตรวจสอบ พบผู้ต้องหาทั้งหมด กำลังทำการประมงอยู่ จึงเข้าจับกุม พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักลอบทำการประมงอวนลากคู่ประกอบเรือยนต์ในเขตหวงห้าม 3,000 เมตร เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ จึงนำส่งเจ้าพนักงานสอบสวนสภ.เมืองกระบี่ดำเนินคดีตามกฎหมาย

สายชล
29-07-2009, 19:14
ผู้จัดการออนไลน์


ชาวประมงกระบี่แห่จับปลาทูได้จำนวนมากผลพ่วงจากการขยายเวลาปิดอ่าวห้ามจับปลา

http://pics.manager.co.th/Images/552000009112401.JPEG

ชาวกระบี่จับปลาทูได้จำนวนมาก จากการที่ปิด่อาวเป็นเวลานานทำให้ปลาทูขยายพันธุ์ได้จำนวนมาก

กระบี่ - ชาวประมงชายฝั่งจังหวัดกระบี่ แห่จับปลาทูได้จำนวนมาก คนละไม่ต่ำกว่า 300-1,000 กิโลกรัมต่อวัน รายได้เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 3,000-7,000 บาท เผยเป็นผลพวงมาจากการขยายเวลาปิดอ่าวห้ามจับปลาในฤดูวางไข่เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำปริมาณมากเป็นประวัติการณ์

วันนี้ (27 ก.ค.) ที่บริเวณท่าเรือประมงพื้นบ้าน บ้านไหนหนัง หมู่ที่ 3 ต.เขาคราม อ.เมือง จ.กระบี่ กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านได้นำลูกหลานช่วยกันเก็บอวน และช่วยกันสลัดปลาทูที่ติดอวนอยู่จำนวนนับพันกิโลกรัมมากองรวมกันบนพื้น ภายหลังจากที่นำเรือหางยาวออกไปทำการประมงที่บริเวณชายฝั่งทะเล บริเวณอ่าวบ้านไหนหนัง ซึ่งแต่ละลำได้ปลากลับมาเกือบเต็มลำเรือ ทำให้ชาวประมงมีรายได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว

โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ชาวประมงบ้านไหนหนังมีรายได้เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 3,000-7,000 บาทต่อวัน สร้างรายได้ให้แก่ชาวประมงเพิ่มมากขึ้น

นายดลหล้อ เหมพิทักษ์ อายุ 50 ปี ตัวแทนกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านบ้านไหนหนัง กล่าวว่า ตนทำอาชีพประมงมานานกว่า 30 ปี แต่ยังไม่เคยเห็นปลาทูขึ้นมากขนาดนี้มาก่อน ซึ่งในปีนี้ถือว่ามีปริมาณมากเป็นประวัติการณ์ เพราะทุกๆ ปีที่ผ่านมาชาวประมงนำเรือออกไปวางอวนจับปลาทู จะได้ปลาอย่างมากลำละไม่เกิน 50-100 กิโลกรัม แต่ในช่วงต้นเดือนกรกรกฎาคมที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ชาวประมงหาปลาได้ปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัว ได้อย่างน้อยลำละ 300-1,000 กิโลกรัมต่อวัน มีรายได้เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 3,000-7,000 บาท

บางคนมีรายได้วันละ 10,000 บาท ก็ยังมีในบางวันบางช่วง แต่อย่างไรก็ตามราคาที่พ่อค้ามารับซื้อนั้นยังถูกมากไม่เป็นที่พอใจของชาวประมงมากนัก เพราะพ่อค้าจะมารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 7-10 บาท แต่ราคาในท้องตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละ 25-30 บาท จึงถือว่าเป็นการกดราคากันเกินไป

นายแสน ศรีงาม หัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลชายฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณสัตว์น้ำในบริเวณชายฝั่งกระบี่ตั้งแต่เริ่มเปิดอ่าวในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน พบว่าชาวประมงในหลายพื้นที่สามารถจับสัตว์น้ำได้ปริมาณมากขึ้นและปลามีขนาดใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านที่อยู่แถบชายฝั่ง เช่น ในพื้นที่ อำเภอเมือง อำเภอ อ่าวลึก อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา

ทั้งนี้ สาเหตุเนื่องมาจากในปีนี้มีการเพิ่มระยะเวลาปิดอ่าว ห้ามจับปลานานขึ้นกว่าเดิม จากเดิมจะปิดอ่าวเป็นเวลา 2 เดือน แต่ในปีนี้ขยายเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 3 เดือน ทำให้สัตว์น้ำมีระยะเวลาขยายพันธุ์มากขึ้น และนอกจากนี้ยังมีการขยายเขตห้ามจับสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นด้วย

สายชล
29-07-2009, 19:15
เนชั่นแชนแนล : เนชั่นทันข่าว


ผลขยายปิดอ่าวกระบี่ ทำประมงชายฝั่งมีรายได้เพียบ

วันที่ 27 ก.ค.52 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณท่าเรือประมงพื้นบ้าน บ้านไหนหนัง หมู่ที่ 3 ต.เขาคราม อ.เมือง จ.กระบี่ กลุ่มชาวประมงพื้นบ้านได้นำลูกหลานช่วยกันสาวอวน และช่วยกันสลัดปลาทูที่ติดอวนอยู่จำนวนนับพันกิโลกรัมมากองรวมกันบนพื้น

หลังจากที่นำเรือหางยาวออกไปทำการประมงที่บริเวณชายฝั่งทะเลบริเวณใกล้เคียงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งแต่ละลำได้ปลากลับมาเกือบเต็มลำเรือ ทำให้ชาวประมงมีรายได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ชาวประมงบ้านไหนหนังมีรายได้เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า3,000-7,000 บาทต่อวัน สร้างความดีใจให้กับชาวประมงเป็นอย่างมาก

นายดลหล้อ เหมพิทักษ์ อายุ 50 ปี ตัวแทนกลุ่มชาวประมงบ้านไหนหนัง กล่าวว่า ตนทำอาชีพประมงมานานกว่า30 ปี แต่ยังไม่เคยเห็นปลาทูขึ้นมากขนาดนี้มาก่อน ซึ่งในปีนี้ถือว่ามีปริมาณมากเป็นประวัติการณ์ เพราะทุกๆปีที่ผ่านมาชาวประมงนำเรือออกไปวางอวนลอย จะได้ปลาอย่างมากลำละไม่เกิน 50-100 กิโลกรัมเท่านั้น

แต่ในช่วงต้นเดือน ก.ค.52 ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ชาวประมงหาปลาได้ปริมาณมากขึ้นหลายเท่าตัว ได้อย่างน้อยลำละ 300-1,000 กิโลกรัมต่อวัน มีรายได้เฉลี่ยคนละไม่ต่ำกว่า 3,000-7,000 บาท บางคนได้วันละ 10,000 บาทก็ยังมี

แต่อย่างไรก็ตามราคาที่พ่อค้ามารับซื้อนั้นยังถูกมากไม่เป็นที่พอใจของชาวประมงมากนัก เพราะพ่อค้าจะมารับซื้อในราคากิโลกรัมละ 7-10 บาท แต่ราคาในท้องตลาดอยู่ที่กิโลกรัมละ 25- 30 บาท

นายแสน ศรีงาม หัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลชายฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณสัตว์น้ำในบริเวณชายฝั่งกระบี่ ตั้งแต่เริ่มเปิดอ่าวในวันที่1 กรกฎาคม2552ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน พบว่าชาวประมงในหลายพื้นที่สามารถจับสัตว์น้ำได้ปริมาณมากขึ้นและปลามีขนาดใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้านที่อยู่แถบชายฝั่ง เช่น ในพื้นที่ อำเภอเมือง อำเภออ่าวลึก อำเภอคลองท่อม และอำเภอเกาะลันตา

ทั้งนี้สาเหตุ เนื่องมาจากในปีนี้มีการเพิ่มระยะเวลาปิดอ่าว ห้ามจับปลานานขึ้นกว่าเดิม จากเดิมจะปิดอ่าวเป็นเวลา2 เดือน แต่ในปีนี้ขยายเวลาเพิ่มขึ้นเป็น3 เดือน ทำให้สัตว์น้ำมีระยะเวลาขยายพันธุ์มากขึ้น และนอกจากนี้ยังมีการขยายเขตห้ามจับสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นด้วย

ด้านนายมานิต ดำกุล นายกสมาคมชาวประมงจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า การที่ชาวประมงพื้นบ้านจับปลาออกมาขายได้ในปริมาณที่มากขึ้นเป็นสิ่งดี เนื่องจากทรัพยากรสัตว์น้ำมีปริมาณเพิ่มจำนวนมากขึ้น เนื่องจากนโยบายของกรมประมงที่มีการประกาศปิดอ่าว เพื่อมิให้มีการจับปลาในฤดูวางไข่ แต่เมื่อมีการเปิดอ่าวในวันที่ 1 ก.ค.52 ที่ผ่านมา ชาวประมงพื้นที่บ้าน บ้านไหนหนัง หมู่ที่ 3 ต.เขาคราม อ.เมือง บ้านบางกัน ต.อ่าวลึกน้อย อ.อ่าวลึก และบ้านแหลมสัก ต.แหลมสัก อ.อ่าวลึก สามารถจับปลาทูบริเวณอ่าวปาเกาะ ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอเมืองกระบี่และอำเภออ่าวลึก วันละ 1 แสนกิโลกรัม ขายในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ส่งโรงงานแปรูปลาทูนึ่งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดสงขลา ทำให้มีเงินหมุนเวียน 1 ล้านบาทต่อวัน

แต่สาเหตุที่ราคากิโลกรัมละ 7-10 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำ เนื่องจากการจับปลาของประมงพื้นบ้านไม่มีการเก็บไว้ในห้องเย็นเหมือนกับเรือพาณิชย์ทั่วไป ทำให้ปลานิ่ม คุณภาพต่ำ ราคาจึงแตกต่างถึง 10-20 บาท เพราะปลาทูที่ประมงพื้นบ้านจับมาได้นั้นส่งโรงงานปลาทูนึ่งและทำปลาเค็มได้เท่านั้น

สายชล
21-08-2009, 20:00
เดลินิวส์


กรมประมงคุมเข้มการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่น

สิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่ง อาจเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตธรรมดา ๆ ที่ไม่อาจรุกรานใครได้ แต่เมื่อย้ายถิ่นฐานไปยังถิ่นอื่น จะเบียด บังสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ก่อนแล้ว จนต้องถอย ร่นให้กับผู้มาใหม่ที่รุกราน สิ่งมีชีวิตประเภทนี้เรียกว่า “เอเลี่ยนสปีชีส์”

ภาวะคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ประเด็นหนึ่ง คือ การนำเข้าและการแพร่ระบาดของชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นรุกราน สำหรับประเทศไทยได้มีการนำเข้าชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นจากต่างประเทศมาก มายหลาย สายพันธุ์ ด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันโดยอาจนำมาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์น้ำสวยงาม จำหน่าย หรือนำมาพัฒนาปรับปรุงพันธุ์เพื่อการบริโภค กิจกรรมมากมายของมนุษย์ได้ชักนำให้ชนิดพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นเข้าสู่ พื้นที่ใหม่ที่ไม่อาจไปถึงได้โดยวิถีทางธรรมชาติ ซึ่งการแพร่ระบาดของสัตว์น้ำต่างถิ่นรุกรานก่อให้เกิดการสูญเสียต่อความหลาก หลายทางชีวภาพ โดยเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศและทำให้ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นสูญพันธุ์และยังมีผล กระทบเชื่อมโยงไป ถึงด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสุข อนามัย

เมื่อสัตว์น้ำต่างถิ่นหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติแล้วจะสามารถ ปรับตัวและเจริญเติบโตหรือแทนที่ชนิดพันธุ์พื้นเมืองที่อยู่อาศัยในพื้นที่ ได้ดี บางชนิดสามารถแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนได้รวดเร็วและแพร่กระจายไปได้ทั่ว อาจก่อให้เกิดผลกระทบในภาพรวม อาทิ การล่าปลาพื้นเมืองกินเป็นอาหาร เป็นตัวแก่งแย่งถิ่นที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร แหล่งวางไข่ของปลาพื้นเมืองเดิม และอาจนำโรคหรือปรสิตมาสู่คนได้

สำหรับสัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกรานแล้ว ตามทะเบียนชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรป้องกัน ควบคุม และกำจัดของไทย ได้แก่ ปลาช่อนอเมซอน หอยเชอรี่ ปลาซัคเกอร์ ปลาดุกแอฟริกัน ปลาหมอเทศ เต่าญี่ปุ่น ตะพาบไต้หวัน และสัตว์น้ำต่างถิ่นที่มีแนวโน้มรุกราน ได้แก่ ปลาหมอสียักษ์ ปลาจะละเม็ดน้ำจืด ปลาคู้ดำ ปลาแกมบูเซีย ปลากดหลวง ปลาเรนโบว์เทร้าท์ ปลาหางนกยูง ปลามอลลี่ ปลาเซลฟิน กบ บลูฟร็อก และกุ้งเครย์ฟิช

ทั้งนี้ กรมประมงได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว ในส่วนของการควบคุมและกำกับดูแลได้ดำเนินการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาห้ามมิให้ นำสัตว์น้ำบางชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฯ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2547 และมีผลบังคับใช้แล้ว นอกจากนี้ ยังได้มีคณะกรรมการระดับสถาบันด้านความปลอดภัย และความหลากหลายทางชีวภาพของกรม ประมงคอยกำกับดูแลและพิจารณาอนุมัติการนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นที่ผู้นำเข้า เสนอขออนุญาตต่อกรมประมงอีกทางหนึ่ง เพื่อจะได้ควบคุมการนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมิให้มีผลกระทบต่อทรัพยากร ชีวภาพสัตว์น้ำของชาติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การปฏิบัติอย่างได้ผลคงจะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทั้งผู้นำ เข้า ผู้เลี้ยง ตลอดจนประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยกันเฝ้าระวังการเพิ่มจำนวนของสัตว์น้ำต่างถิ่นในแหล่ง น้ำธรรมชาติ ทางกรมประมงแจ้งมาว่าอยาก ให้ผู้ที่มีสัตว์น้ำต่างถิ่นในครอบครอง ไม่ปล่อย สัตว์น้ำดังกล่าวลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เพื่อรักษาระบบนิเวศให้คงอยู่ตลอดไป ในกรณีที่ไม่สามารถเลี้ยงและดูแลต่อไปได้ เช่น มีขนาดใหญ่กว่าภาชนะที่เลี้ยง หรือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ควรส่งมอบให้กับกรมประมงเพื่อดำเนินการบริหารจัดการต่อไป.


วันที่ 21 สิงหาคม 2552

สายชล
21-08-2009, 20:07
ข่าวสด


ประมงประจวบฯสนองพระราชดำริ เล็งฝึกเกษตรกรเพาะ"ปลานวลจันทร์"ในบ่อดิน

ประจวบ คีรีขันธ์ - นายฐานันดร์ ทัตตานนท์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง เปิดเผยว่า กรมประมงน้อมนำพระราชดำริศึกษาวิจัยปลานวลจันทร์ทะเล เพื่อเตรียมพร้อมขยายผลสู่เกษตรกรเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์มาดำเนินการ ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ เพาะเลี้ยงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ในบ่อดินได้สำเร็จ ซึ่งปลานวลจันทร์เลี้ยงง่ายโตไว รสชาติดี ถอดก้างแล่เนื้อ ทำอาหารได้หลายชนิด จากนั้นจะฝึกอบรมเกษตรกรที่สนใจตามโครงการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนด้านประมงชายฝั่งให้มีความรู้ในเรื่องนี้ และจะมอบลูกปลาให้ไปทดลองเลี้ยงเป็นอาชีพต่อไป

นายฐานันดร์ กล่าวด้วยว่า การเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ทะเลนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยเมื่อครั้งเสด็จฯ พร้อมสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทอดพระเนตรปลานวลจันทร์ทะเลที่สถานีประมงคลองวาฬ เมื่อปี 2508 ซึ่งปรากฏในกระแสพระราชดำรัสวันที่ 4 ธ.ค. 2544

ด้าน น.ส.จินตนา นักระนาด ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งประจวบ คีรีขันธ์ กล่าวว่า หลังจากประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปลานวลจันทร์ในบ่อดินได้นำผลผลิตมา แปรรูป เช่น ปลาต้มเค็ม ปลาส้ม ปลาแหนม ปลาร้า ทำทอดมันและเปาะ เปี๊ยะ เพิ่มเติมจากที่ประสบความสำเร็จในการวิจัยสัตว์น้ำชายฝั่งที่มีความสำคัญทาง เศรษฐกิจมาแล้ว อาทิ งานอนุรักษ์หอยมือเสือ งานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์ทะเลชายฝั่ง เช่น หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หอยหวาน หอยชักตีน การเพาะเลี้ยงแพลงตอนพืช และแพลงตอนสัตว์





..................................................................


แนวหน้า


กษ.เร่งสร้างปะการังเทียม ร่วมสนองพระราชเสาวนีย์

กษ.:ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(กษ) เปิดเผยว่า ตามที่นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมประมง เร่งดำเนินการจัดสร้างปะการังเทียมให้แก่ชาวประมงพื้นบ้านในพื้นที่ จ.ปัตตานี และนราธิวาส ตามที่ได้เข้าชื่อร้องมา โดยได้ขอความร่วมมือไปยังกระทรวงคมนาคมและกรุงเทพมหานคร เพื่อขอรับการสนับสนุนตู้รถไฟเก่าและรถขนขยะที่ไม่ใช้งานแล้ว ทั้งนี้เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรม ราชินีนาถ ที่ได้ทรงกล่าวในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2552

ดังนั้นจึงได้สั่งการให้ประมง จ.ปัตตานีและนราธิวาส รวจในพื้นที่จริงเพื่อดูความเหมาะ สมเชิงวิชาการด้านระบบนิเวศพร้อมทั้งลงจุดพิกัดให้แน่นอน โดยให้เร่งดำเนินการโดยด่วนและให้แล้วเสร็จภายใน 31 ส.ค. นี้ ซึ่งคาดว่าผลจากการสร้างปะการังเทียม จะช่วยทำให้ชาวประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20-30 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้ได้ผลอย่างยั่งยืนอีกด้วย


วันที่ 21 สิงหาคม 2552

สายชล
04-11-2009, 11:18
ตัวอย่างการทำประมงแบบล้างผลาญ กับ การทำประมงแบบอนุรักษ์ ต่างกันอย่างไร ลองมาอ่านข้อพิพาทเรื่องนี้กันนะคะ....


ไทยรัฐ


เพชรบุรี-แม่กลอง เปิดศึกชิงหอย

"ถ้าเราไม่โพงหอย เราจะทำอะไรกิน"

เสียงยายม่วย พยุง อายุกว่า 70 ปี พึมพำ ท่ามกลางเสียงคลื่นอ่าวบ้านแหลม เบื้องหน้ายายเต็มไปด้วยหอยแครงตัวเล็กๆ ที่เพิ่งงมขึ้นมาจากทะเล เพื่อให้เห็นกันชัดๆว่า หอยแครงที่ชาวแม่กลองกับชาวบ้านอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เปิดศึกชิงกันนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

ริมอ่าวไทย บริเวณตั้งแต่ชลบุรี เลาะเลียบป่าชายเลนเรื่อยไปจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ละปีไม่บริเวณใดก็บริเวณหนึ่ง หรือไม่ก็หลายบริเวณจะมี "หอยเกิด"

คำว่า หอยเกิด ชาวประมงหมายถึง ไข่ของหอยแครงฟักเป็นตัวออกมาตัวเล็กๆ เริ่มจากขนาดเท่าเม็ดทราย ค่อยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามวงจรชีวิตของหอยแครง ช่วงเวลานี้เองคือ "วันที่รอคอย" ของชาวบ้านมงริมอ่าวไทย

ยายม่วยแม้จะชราภาพ แต่ด้วยความชำนาญในอาชีพ ประกอบกับฐานะยากจนจึงยึดอาชีพโพงหอยเลี้ยงชีพ หอยที่ได้ยายนำมาเลี้ยงและขาย

ยายบอกว่าทำมาตั้งแต่เยาว์วัยเรื่อยมาจนบัดนี้อายุกว่า 70 ปีแล้วก็ยังทำอยู่ และยืนยันว่าจะทำต่อไป

การโพงหอย หรือช้อนหอยแครงเล็กๆ จากทะเล ชาวประมงจะทำกันอย่างเอิกเกริกเมื่อรู้ว่าหอยเกิดในบริเวณใด และไม่ว่าจะเป็นอ่าวไหน แต่มาปีนี้ เมื่อหอยเกิดบริเวณอ่าวย่านตำบลบางขุนไทร อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ชาวแม่กลองและย่านอื่นๆจึงพากันไปจับเหมือนปฏิบัติกันมา แต่ปีนี้กลับถูกเจ้าถิ่นต่อต้าน

"ทำไมต้องมาหวงกันด้วย ในเมื่อหอยเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และเราก็ทำมาหากินกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ" นายนิกรถาม

นายนิกร แก้วประสม อายุ 74 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 หมู่ 4 ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ยึดอาชีพโพงหอย

หลังตั้งคำถามแล้วยังบอกอีกว่า ชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นตำบลคลองโคน หรือถิ่นอื่นๆ พากันตระเวนหาโพงหอยกันทั้ง 5 จังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสุราษฎร์ธานี พอรู้ว่าหอยเกิดก็จะพากันไปจับกันเพื่อการดำรงชีพ

เครื่องมือประกอบอาชีพโพงหอยคือ เรือ 1 ลำ ชะเนาะสำหรับช้อน 1 อัน กะละมัง 1 ใบ และกระดานเลน 1 อัน ก็สามารถหากินได้แล้ว

วิธีการโพงหอยของชาวบ้านคือ พายเรือออกไปที่หอยเกิด ผูกกะละมังให้ลอยน้ำไว้กับเรือ แล้วดำลงไป ใช้ชะเนาะครูดผิวดินแผ่วๆแล้วโผล่ขึ้นมาเทสิ่งที่ครูดได้นั้นลงกะละมัง จากนั้นคัดแยกหอยตามต้องการ ส่วนปลอมปนใดๆที่ติดมาก็ปล่อยคืนทะเลไป

การเดินทางไปโพงหอยที่อ่าวบ้านแหลม นายสมพงษ์ สุดสนิท อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 33/1 หมู่ 4 ต.คลองโคน ฉายภาพชีวิตให้เห็นว่า แล่นเรือออกจากบ้านไปตั้งแต่เย็นย่ำ ระยะทางจากบ้านคลองโคนถึงอ่าวบ้านแหลมประมาณ 30 กม. ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เสียน้ำมันเครื่องเรือประมาณ 4 ลิตร ถ้าไปกลับก็ประมาณ 8 ลิตร

การช้อนหอยเริ่มประมาณ 20.00 น. เพราะน้ำทะเลเริ่มลง

ระดับน้ำที่ลงโพงหอย ตั้งแต่ระดับท่วมหัวลดลงมาเรื่อยๆ บ่า อก เอว และถ้าเป็นกลางวันก็ใช้กระดานเลนวางลงไป นั่งคุกเข่าบนกระดาน ใช้เท้าถีบลื่นไปบนเลน เก็บหอยขนาดต่างๆตามต้องการ

หอยแครงเล็กๆที่เก็บมาได้ ขายกิโลกรัมละ 30-100 บาท ขึ้นอยู่กับขนาด ถ้าตัวหอยขนาดเล็กราคาก็จะแพงกว่า

หอยที่ได้มาส่วนหนึ่งขาย ส่วนหนึ่งใส่คอกเลี้ยง

คอกหอยแครงล้อมด้วยเฝือก ลักษณะเป็นไม้ไผ่ผ่าซี่ ถักออกมาเป็นแผงปักลงในน้ำ หอยในคอกใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 1.5 ปีถึง 2 ปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขนาดของหอยที่ใส่คอกไปว่าเล็กหรือใหญ่

สมพงษ์บอกว่า ทำมาหากินกันอย่างนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่เคยมีปัญหาอะไร แต่คราวนี้กลับมามีปัญหา และย้ำว่า "ที่หอยเกิดที่บ้านเรา หน้าอ่าวคลองโคนของเรา คนถิ่นอื่นๆเข้ามาจับพวกเขาก็เข้ามาจับ เราไม่เห็นว่าอะไรเลย เราไม่เห็นต้องไปหวงห้ามอะไรเขาเลย อย่างปี พ.ศ. 2550 นั่นก็เกิดมาก ทาง สกว.เขามาสำรวจแล้วบอกว่า ถ้าคิดเป็นเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท"

สำหรับเหตุการณ์เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา กรณีข่าวว่าชาวบ้านล้อมประมงที่เข้าไปตรวจตรานั้น ผู้นำคนหนึ่งของตำบลคลองโคน บอกว่า จริงๆแล้ว ชาวบ้านไม่ได้ไปล้อมชาวประมง แต่ต้องการเข้าไปพูดจากันให้รู้เรื่อง

"เราต้องเข้าไปคุยไม่ได้ไปจับ เขา เพราะชาวบ้านที่ถูกจับไปต้องจ่ายค่าปรับ 5,000 บาท คิดดูสิครับ ถ้าจ่ายค่าปรับไปเราจะเอาอะไรกิน ต้องกู้หนี้ยืมสินเข้าไปจ่าย ข่าวที่ออกไปว่าเราไปล้อมจับนั้น ไม่เป็นความจริง"

ความจริงในวันนั้นคือ "เราเข้าไปล้อมเพื่อจะพูดคุยเท่านั้น เมื่อ เราเข้าไปประมงก็หนีเข้าแม่น้ำไป เลยไม่รู้เรื่องกัน แล้วเขาก็โทร.บอกตำรวจ" ผู้นำชาวบ้านคลองโคนยืนยัน

เหตุการณ์วันต่อมา "ตำรวจนัดไปคุยกันที่บ้านแหลม แต่เราตกลงกันไม่ได้ นายอำเภอก็จัดการไม่ได้ วันที่ 30 ที่ผ่านมา เราเลยจะไปกัน 4-5 คน แต่เราได้ยินว่าทางโน้น (คนบ้านแหลม) เขาให้คนมาด้วย พวกเรารู้กันก็เลยไปกัน 6-700 คน และยังมีชาวบ้านที่จับหอยจากที่อื่นๆมาสมทบอีก"

ชาวบ้านแหลมห้ามจับหอยด้วยเหตุผลอะไร

ผู้นำชาวบ้านคลองโคนบอกว่า ทางบ้านแหลมบอกว่าต้อง การอนุรักษ์ ถ้าจะไปจับต้องใช้มืออย่างเดียว ไม่ให้ใช้ชะเนาะ "เราถามหน่อยเถอะ ถ้าต้องการอนุรักษ์ ทำไมมีนายทุนหนุนหลัง ใช้เรือเครื่องคราดหอยได้"

" เมื่อทางโน้นเขาไม่ยอม อ้างว่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ เราก็ไม่ว่าล่ะ เอาอย่างนี้ได้ไหม ขอบางส่วนที่เข้าไปเก็บ ขอพื้นที่แค่ 1 ใน 3 ก็ได้" นายทศพลแนะทางออก

นายทศพล แดงชื่น อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 4 ตำบลคลองโคน เป็นหนึ่งในคนโพงหอย นอกจากแนะทางออกแล้วยังเปรยว่า หากินมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นแม่ หอยมันเกิดของมันแต่ละที ปีเว้นปี "ผมเกรงว่า เมื่อหอยโตเขาก็จะให้นายทุนเข้ามาลาก" นายทศพลบอก

และว่า "คนตำบลบางขุนไทร เมื่อก่อนเขามีอาชีพโพงหอยที่ไหน เขาทำหอยเสียบกัน เขาเพิ่งมารู้จักหอยแครง ก็ทำเป็นกลุ่มอนุรักษ์ขึ้นมา เมื่อเราเข้าไปโพงหอยก็โดนจับ" ทศพลยืนยัน

คนที่เคยถูกเจ้าหน้าที่จับ นายไพโรจน์ พยุง อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 44/3 หมู่ 4 ต.คลองโคน บอกว่า ถูกจับที่บางขุนไทร เขตอ่าวบ้านแหลม ขณะกำลังจับหอยอยู่มีชาวบ้านและประมงเข้ามาจับตัวไป

"เขาขังผมไว้ 1 คืน ปรับผมไป 5,000 บาท แล้วก็ปล่อยตัวมาครับ ตอนนี้ผมอยู่ในระหว่างภาคทัณฑ์ ถ้าโดนจับอีกจะต้องติดคุก 4 เดือน" นายไพโรจน์บอก

กลุ่มของไพโรจน์ถูกจับไป 4 คน ต้องจ่ายค่าปรับไป 20,000 บาท เงินจำนวนนี้แยกเป็นค่าปรับรายละ 4,000 บาท และค่าออกจับของเจ้าหน้าที่อีกรายละ 1,000 บาท

เสียงจากบ้านคลองโคน ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ แต่อีกฟากฝั่งหนึ่งเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องฟังและต้องทำความเข้าใจร่วมกัน.

http://www.saveoursea.net/forums/attachment.php?attachmentid=4335&stc=1&d=1257294135

สายชล
04-11-2009, 11:22
ลองมาฟังเจ้าถิ่น นักอนุรักษ์พูดบ้างนะคะ....


ไทยรัฐ


คนหัวไทรเสียงแข็ง จับหอยได้ห้ามโพง

"ถ้าใช้มือจับเราไม่ว่า แต่นี่มาโพงเราไม่ยอม"

สมยศเสียงแข็ง

สม ยศ ภู่ระหงษ์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 หมู่ 3 ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี หนึ่งในคนต่อต้านการมาจับหอยของชาวบ้าน ตำบลคลองโคน จังหวัดสมุทรสงคราม และชุมชนอื่นๆ ที่มาจับลูกหอยแครงในอ่าวบ้านแหลม

เมื่อคนถิ่นอื่นเข้ามาจับ เจ้าถิ่นจึงรวมตัวกันต่อต้าน โดยอาศัยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ประมง ชาวบ้าน อาวุธสำคัญของชาวบ้านแหลมคือ ประกาศของจังหวัดเพชรบุรี เรื่องกำหนดห้ามทำการประมงหอยสองฝา

การ ผลักดันของเจ้าหน้าที่ราชการ และชาวบ้านที่เข้ามาจับหอยที่อ่าวบ้านแหลม ทำให้มีการกระทบกระทั่งกัน กลายเป็นศึก "ชิงหอยแครง" มาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม

"ผมใช้มือเก็บ และเก็บตัวขนาดตั้งแต่ 6 มิลลิเมตรขึ้นไป ไม่ได้โพง"

สมยศยืนยันและบอกว่า ยึดอาชีพเก็บหอยขายมาตั้งแต่อายุ 21 ปี รายได้แต่ละวันเริ่มจาก 200 บาทเรื่อยไปจนถึงประมาณ 300 บาท

" ผมไม่เคยไปเก็บที่อื่น เครื่องมือผมมีแค่ใช้กระดานเลนวางลงไป แล้วเลื่อนไปเรื่อยๆ ใช้มือเก็บเอา ถ้าเขามาเก็บแล้วใช้มือผมไม่ว่าหรอก ต้องทำให้เหมือนกันสิ คนแถวบ้านผมเก็บหอยขนาด 6 มิลลิเมตรขึ้นไปเท่านั้น ไม่เก็บตัวเล็กลงมาหรอก" สมยศยืนยัน

และบอกว่า "หอยเล็กๆ 1 กิโลกรัม จะมีประมาณ 10,000 ตัว มันเล็กเกินไปครับ จับไปอย่างนี้เท่ากับตัดวงจรหอย"

การ ถีบกระดานเลนเก็บหอยแครงนี้ นายผิน อ้นเปี่ยม อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 155/1 หมู่ 10 ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม เป็นอีกคนหนึ่งที่ยืนยันว่า ชาวบ้านแหลมใช้วิธีถีบกระดานเก็บเท่านั้น ไม่ได้ใช้วิธีการอื่นๆ

"ผม มายึดอาชีพนี้ตั้งแต่ไล่ทหาร (อายุ 21 ปี) ตอนนี้อายุกว่า 60 แล้ว ทำมาตั้งกว่า 40 ปี รายได้วันหนึ่งตั้งแต่ 100 บาทเรื่อยไปจนถึง 300 บาท ได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับน้ำแห้งมากแห้งน้อย ถ้าแห้งมากก็จะได้มาก เพราะพื้นที่เก็บเยอะ" นายผินบอก

"ถ้าเขาเก็บเหมือนเรา ทำเหมือนเราละก็เข้ามาจับเลย เราไม่ว่าหรอก ไม่มีการหวงห้าม แต่นี่เขามาจับเอาตัวเล็กๆไป" ผู้ใหญ่จรรยงบอก

ผู้ใหญ่จรรยง พิทักษ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต.บางขุนไทร อ.บ้านแหลม หนึ่งในผู้นำต่อต้านการเข้ามาจับหอยแครงของชาวบ้านถิ่นอื่นๆ

การกำหนดมาตรการดูแล ผู้ใหญ่บอกว่า เราให้เจ้าหน้าที่จัดการไปก่อน ให้เป็นไปตามกฎหมายและประกาศของจังหวัด ถ้าใครทำผิดก็ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย ประกาศของจังหวัดเพชรบุรีนั้น ออกเมื่อ พ.ศ.2551 สมัยผู้ว่าการการจังหวัด ชื่อนายสยุมพร ลิ่มไทย

เนื้อหาสำคัญคือ
1. ห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงทุกชนิด ทำการประมงหอยสองฝาในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลตำบลบ้านแหลม ตำบลบางขุนไทร และตำบลปากทะเล อำเภอบ้านแหลม ยกเว้นการทำประมงหอยสองฝาด้วยวิธีการจับหรือเก็บด้วยมือเท่านั้น

2. ประกาศนี้มิได้ใช้บังคับแก่การทำการประมงเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ และได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมประมง และ

3. ประกาศนี้เมื่อมีผลบังคับใช้แล้ว ให้ยกเลิกประกาศอื่นที่มีข้อความขัดแย้งกับประกาศนี้ ลงวันที่ 18 กันยายน พ.ศ.2551

พื้นที่ห้ามในประกาศ หมายถึงพื้นที่ชายทะเล ตั้งแต่อ่าวบ้าน-แหลม ต.บ้านแหลม ลากยาวขนานทะเลไปจนถึงอ่าวปากทะเล ตำบลปากทะเล ใครจะมาจับหอยในพื้นที่เหล่านี้ ต้องใช้มือจับเท่านั้น ถ้ามีอุปกรณ์ช่วยจับใดๆ ถือว่าผิดกฎหมายทั้งสิ้น

ถ้าฝ่าฝืนจะถูกจับและปรับคนละ 4,000 บาท และค่าจับอีก 1,000 บาท อย่างที่ชาวคลองโคน จังหวัดสมุทรสงครามถูกจับและเสียค่าปรับไปแล้ว

ผู้ใหญ่จรรยงบอกว่า การห้ามเป็นเรื่องยาก "เพราะเขาไม่เคารพกติกาของบ้านเมือง เขามาเป็นม็อบตลอด ทุกครั้งเขาอยู่เหนือกฎหมายกันไปเสียหมด ถ้าเคารพกติกาของชุมชนเรา จะมาเก็บมาจับเอาไปเท่าไรก็ได้"
สาเหตุที่ต้องเก็บหอยไว้ "เพราะเราต้องการอนุรักษ์ไว้เพื่อลูกเพื่อหลานของเรารุ่นต่อๆไป..."

ผู้ใหญ่ยังเปรยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลว่า "นับจากแม่กลองมาถึงบ้านแหลม คุณลองไปดูสิ เขาให้สัมปทานใช้พื้นที่ชายทะเลกันหมด มีคอกหอยเต็มไปหมด เหลือพื้นที่ของเราที่บ้านแหลมที่เดียวที่เราไม่ยอมให้มีคอกหอย เมื่อหอยมาเกิดที่นี่ก็เลยเกิดปัญหาที่นี่"

พลางยืนยันเสียงแข็งว่า "พื้นที่นี้เป็นตายอย่างไรเราก็ไม่ให้หรอก เราไม่ทำ เพราะเราต้องการอนุรักษ์ไว้ คนเก็บหอยบ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวย พอกิน พอใช้ไปวันๆ แต่ชาวบ้านรักเพราะเป็นอาชีพอิสระ ออกไปหาหอยกลับมาอย่างไรก็มีกินแน่ๆ ขอให้ขยันอย่างเดียว" ผู้ใหญ่พิทักษ์บอก

พื้นที่เกิดหอยของอ่าวบ้านแหลม นายพัทยา เกษมรุ่ง อายุ 45 ปี บ้านเลขที่ 105/1 หมู่ 10 ต.บางขุนไทรบอกว่า อ่าวบ้านแหลมเป็นแหล่งพันธุ์หอยธรรมชาติที่ชุกชุมมาก อาจจะเป็นแหล่งเดียวของโลก

เพราะความอุดมสมบูรณ์นี้ ชาวบ้านจึงหวงแหนและเก็บหอยไป "ส่วนคนแม่กลองเขามาช้อนไปใส่คอก เขามีคอกเป็นส่วนตัวของเขา แต่พวกเราไม่มีคอก แค่จับหอยขายไปวันๆ และยึดอาชีพจับหอยขายอย่างเดียว จึงกลายเป็นเรื่องขัดแย้งกัน เพราะถ้าหอยที่นี่หมด พวกเราก็ไม่รู้จะไปจับที่ไหน" นายพัทยาบอก

เกี่ยวกับหอยแครง ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Arca granulosa เป็นหอย จำพวกกาบคู่ อาศัยอยู่พื้นท้องทะเลชายฝั่งตื้นๆ ที่เป็นโคลนหรือโคลนเหลว พบมากที่จังหวัดที่มีชายทะเล เช่น สมุทรสงคราม จังหวัดชลบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และปัตตานี เป็นต้น
อาหารของหอยแคลงคือ พวกไดอะตอม แพลงก์ตอนพืช และแพลงก์-ตอนสัตว์

หอยแครงจะมีอุปนิสัยชอบฝังตัวอยู่ตามผิวดินโคลน ลึกตั้งแต่ 1-12 นิ้ว โดยเราจะสังเกตเห็นเป็นรูจำนวน 2 รูป ที่ผิวดินซึ่งเป็นช่องทางน้ำเข้า-ออก และสามารถเห็นรอยการเคลื่อนที่ของหอยเป็นร่องๆ โดยใช้เท้าในการเคลื่อนที่เพื่อหาอาหาร

หลบหลีกศัตรู และเพื่อหาสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม หอยแครงจะขึ้นมาที่ผิวดินเมื่อน้ำขึ้นเพื่อหาอาหาร และจะฝังตัวใต้ผิวดินเมื่อน้ำลงเพื่อป้องกันน้ำออกภายนอกตัวหอย แต่จะเปิดฝาทั้ง 2 เล็กน้อย

หอยแครงมีหลายชนิด เช่น หอยแครงเทศ หอยแครงขุ่ย หอยแครงปากมุ้ม หอยแครงมัน หรือหอยแครงเบี้ยว เป็นหอยที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ชนิดที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่จะเรียกหอยครางหรือหอยแครงขน

หอยแครงชนิดที่ชาวบ้านจับและมีปัญหากันอยู่ นายศรีเพชร สุ่มอ่ำ อายุ 40 ปี อบต.บางขุนไทร บอกว่า คือหอยแครงปากมุ้ม ถ้าจับตัวเล็กๆ ขนาดเม็ดทรายต้องใช้เวลาดูแลประมาณ 1 กว่าถึง 2 ปี

ถ้าจับตัวขนาด 6 มิลลิเมตร ใน 1 กิโลกรัม จะมีหอยประมาณ 3-400 ตัว อนุบาลไว้ประมาณ 7 เดือน น้ำหนัก 1 กิโลกรัม จำนวนตัวหอยจะเหลือประมาณ 60-70 ตัวเท่านั้น และขนาดนี้ก็นำไปประกอบอาหารได้แล้ว

นายศรีเพชร สุ่มอ่ำ อบต.บางขุนไทร บอกว่า สาเหตุที่อนุรักษ์ไว้ นอกจากเป็นอาชีพของชาวบ้าน ต่อไปจะเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศและที่สำคัญ "เด็กๆช่วงปิดเทอมก็สามารถมาจับหอย การทำอาชีพเก็บหอยไม่มีเกษียณอายุ ทำได้ตั้งแต่เด็กๆ เรื่อยไปจนถึงแก่เฒ่า ตราบใดที่ยังมีหอย ขอให้มีความขยันอย่างเดียว อย่างไรก็มีกิน" นายศรีเพชรบอก

ศึกชิงหอยแครงในอ่าวบ้านแหลม ระหว่างคนพื้นที่กับคนถิ่นอื่นๆ แม้จะไม่รุนแรงนัก แต่เป็นสัญญาณให้รู้ว่า การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ เกิดปัญหาแล้ว.

สายชล
04-11-2009, 11:25
http://www.saveoursea.net/forums/attachment.php?attachmentid=4121&stc=1&d=1255075639 http://www.saveoursea.net/forums/attachment.php?attachmentid=4122&stc=1&d=1255075639

คงจำกันได้....พวกเราชาว SOS เพิ่งไปปล่อยปูม้าสองแสนตัว และหอยแครงล้านตัว ที่แหลมผักเบี้ย ที่ไม่ไกลจากอ่าวบ้านแหลม ที่กำลังมีเรื่องพิพาทเรื่องคนจากคลองโคน สมุทรสงคราม เข้าไป "โพงหอยแครง" ในเขตอนุรักษ์ของชาวบ้านแหลมนัก

เราได้เห็นภาพประทับใจว่าคนที่นั่น เขางมหอยแครงด้วยมือเปล่า โดยไม่ใช้เครื่องมืออื่นใดมาช่วย ตามแนวทางที่ชาวบ้านได้ร่วมกันตั้งกฎไว้ เพื่ออนุรักษ์หอยแครงและสัตว์น้ำอื่นๆในบริเวณนี้

แล้วมันผิดด้วยหรือ.....ถ้าเจ้าถิ่นที่เริ่มรู้จักคำว่า "อนุรักษ์" พากันจับกุ้งหอยปูปลาที่มีในท้องถิ่นของตนมากินมาขายกันแบบพอเพียงด้วยมือเปล่า เพื่อให้มีสัตว์น้ำเหลือไว้กินในวันข้างหน้า ถ้าคนถิ่นอื่นจะเข้าไปหากินในเขตอนุรักษ์ และทำตามกฎที่เขาวางไว้ ไม่ใช่ทำแบบกอบโกยอย่างนี้ เขาก็คงจะไม่ร่วมกันต่อต้านให้เดือดร้อนกันอย่างที่เป็นข่าวนะคะ

milo15
04-11-2009, 16:16
จริงๆแล้ว พวก"โพงหอยแครง" น่าจะตระหนักบ้างนะว่า วิธีการดังกล่าวนั้นทำให้ หอยแครงลดจำนวนลงแทบจะสูญพันธุ์ ในบริเวณที่เคยทำมาหากินกันมา เลยต้องตะเลิดเปิดเปิง ข้ามถิ่นมารุกล้ำที่ทำมาหากินของคนอื่นเขา เขาก็ไม่ว่า ยอมแบ่งบันให้ เพียงให้ใช้วิธีจับแบบของเขา คือ "ใช้มือจับ" พวก"โพงหอยแครง"ไม่พอใจ จะใช้วิธีของเขาให้ได้ คงเป็นเพราะความโลภฝังหัว ปัญหาจึงเกิด.... เรื่องคงยาวครับ อ.สองสาย คนเพชรบุรีบ้านผม ไม่ยอมใครหรอกครับ ถ้าไม่ผิด....

สายชล
18-03-2010, 09:42
เดลินิวส์


รองรับกฏระเบียบของสหภาพยุโรป ประมงไทยมีความคืบหน้า

สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้ออก กฎระเบียบฉบับที่ 1005/2008 ลงวันที่ 29 กันยายน 2551 ว่าด้วยการจัดตั้งระบบของประชาคมยุโรปเพื่อป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือการทำการประมง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป กฎระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงซึ่งได้จากการทำประมง ทะเลที่จะส่งเข้าไปยังสหภาพยุโรป จะต้องมีเอกสารรับรองการจับ ว่าไม่ได้มาจากการทำประมง นอกจากนี้ จะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับ ถึงแหล่งที่มาของสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงทะเลได้ตลอดสายการผลิต อีกด้วย กฎระเบียบนี้จะส่งผลกระทบต่อการส่งสินค้าสัตว์น้ำของประเทศไทยไปยังประเทศ สหภาพยุโรป ซึ่งไทยส่งออกสินค้าสัตว์น้ำไปขายต่างประเทศทั้งในรูปสัตว์น้ำมีชีวิต สดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยในปี 2551 ที่ผ่านมาสินค้าสัตว์น้ำที่ส่งออกทั้งสิ้นมีปริมาณรวม 1,907,072 ตัน คิดเป็นมูลค่า 228,218 ล้านบาท ในจำนวนนี้ส่งเข้าสหภาพยุโรป 268,806 ตัน คิดเป็นมูลค่า 36,232 ล้านบาท

ล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้ดำเนินการเพื่อรองรับกฎระเบียบของสหภาพยุโรปไว้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา โดยทางกรมประมงได้จัดประชุมสัมมนาในเรื่องของกฎระเบียบสหภาพยุโรปเกี่ยวกับ การประมงแบบป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และเตรียมตัวรองรับกฎระเบียบดังกล่าว โดยมีวิทยากรจากสหภาพยุโรปมาชี้แจง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากสหภาพยุโรป ร่วมกันศึกษาผลที่เกิดแก่ประเทศไทยหลังกฎระเบียบนี้บังคับใช้แล้ว ซึ่งจากผลการศึกษาทราบว่าประเทศไทยมีศักยภาพและสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบ ได้อย่างแน่นอน แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการเพื่อรองรับกฎระเบียบของสหภาพยุโรป โดย กรมประมงได้จัดวางระบบการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ ระบบการตรวจสอบย้อนกลับโดยใช้ระบบการควบคุมการทำประมงให้เป็นไปตามกฎหมาย รวมทั้งมี การรายงานการทำการประมง และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กรมประมงเป็นหน่วยงาน ในการรับรองสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการทำการประมงที่ไม่ได้มาจากการทำประมงไอยูยู

พร้อมกันนี้ได้จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจในกฎระเบียบ เกี่ยวกับเรื่องของการทำการประมงไอยูยู เพื่อรองรับกฎระเบียบดังกล่าวแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ประกอบการเรือประมง และผู้ส่งออกสินค้า รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ตลอดจนจัดพิมพ์สมุดบันทึกการทำการประมงแจกให้ชาวประมง เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียว กัน

มีการจัดทำกิจกรรมเร่งด่วน 6 กิจกรรม ได้แก่ การตรวจสอบรับรองสัตว์น้ำขึ้นท่าและการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ การควบคุมการทำประมงให้สอดคล้องกับกฎระเบียบดังกล่าว การปรับปรุงสุข อนามัยเรือประมงและท่าเทียบเรือประมง จัดตั้งศูนย์ข้อมูลตรวจสอบรับรองการจับสัตว์น้ำ การประชาสัมพันธ์การดำเนินการตามกฎระเบียบนี้ และตั้งศูนย์ประสานงานการออกใบรับรองการจับสัตว์น้ำ

แจกสมุดบันทึกการทำการประมงไปแล้วจำนวน 2,242 เล่ม และมีผู้ส่งสำเนา คืน 1,383 แผ่น ร่วมกับกรมเจ้าท่าออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ ให้บริการจดทะเบียน เรือ และออกใบอนุญาตใช้เรือ รวมทั้งออกอาชญาบัตรการทำการประมง ในพื้นที่ 22 จังหวัดชายทะเล โดยเริ่มที่จังหวัดชลบุรี เป็นจังหวัดนำร่อง ระหว่างวันที่ 18-19 กุมภาพันธ์ และ ระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม ที่ผ่านมานี้ โดยมีชาวประมงมาใช้ บริการ 117 ราย และมีเป้าหมายรวม 7,000 ราย สำหรับปีงบประมาณ 2553 นี้

และเพื่อให้การประมงของไทยได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบฉบับนี้น้อยที่สุด ทางกรมประมงจึงขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวประมง ผู้ประกอบการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้แก่ แพปลา ผู้รับซื้อสัตว์น้ำ และผู้ประกอบการโรงงานแปรรูป ได้ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของระบบต่าง ๆ ที่กรมประมงได้วางไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์อันพึงได้ของส่วนที่เกี่ยวข้องต่องานด้านการประมงไทย นั้นเอง.

สายน้ำ
21-03-2010, 06:59
กระบี่ สั่งปิดอ่าวช่วงฤดูปลาวางไข่


กระบี่ - นายเจริญ โอมณี หน.ศูนย์ป้องกันและปราบปราม ประมงทะเลฝั่งอันดามัน จ.กระบี่ เปิดเผยว่า ตามที่กรมประมง กระทรวงเกษตรฯ ออกประกาศเรื่องกำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ทำการประมงในฤดูปลาที่มีไข่ และวางไข่เลี้ยงลูก ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง เป็นประจำทุกปี ในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. รวมระยะเวลา 3 เดือน บริเวณที่มีการประกาศปิดอ่าว เริ่มตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ถึงตะวันออกปลายแหลมหัวล้านเกาะยาวใหญ่ อ.เมือง จ.พังงา ถึงปลายแหลมเกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ถึงปลายแหลมเกาะลิบง จ.ตรัง ถึงเกาะสุกร ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง

สำหรับเครื่องมือประมงที่ห้ามมีอยู่ 3 ชนิด คือ อวนลากทุกประเภท ทุกขนาดที่ใช้ประกอบเรือกล อวนล้มจับทุกชนิด และอวนติดตา ขนาดช่องตาเล็กกว่า 4.7 ซ.ม. ทำการประมงในพื้นที่หวงห้าม ยกเว้นเครื่องมืออวนล้มจับปลากะตักในเวลากลางวัน เครื่องมืออวนลากคานถ่าง ที่ใช้ประกอบเรือกล เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเข้ มีคานถ่างหรืออวนลากที่ประกอบเรือกล ซึ่งใช้เชือกเส้นใย ประดิษฐ์เป็นสายลากอวน ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับและมีการริบเครื่องมือทำการประมงด้วย



จาก : ข่าวสด วันที่ 21 มีนาคม 2553

Super_Srinuanray
23-03-2010, 19:09
เมื่อ 4 วันที่ผ่านมา สังเกตุ เหมือนว่า ปลาที่สิมิลัน ก็ท้องป่อง เหมือนจะมีไข่ เหมือนกันนะคะ

ทำไม ไม่ปิดอ่าวที่ พังงา หรือจังหวัดชายทะเล บ้างคะ จะได้มีปลาไว้จับ ช่วงที่เค้าเจริญเติบโตเต็มที่

สายน้ำ
03-04-2010, 07:38
ประกาศปิดอ่าวฝั่งอันดามัน3เดือน อนุรักษ์ปลาวางไข่-ห้ามเด็ดขาดเรือกลอวนลาก


กระบี่ - นายกมล จิตระวัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีประกาศใช้มาตรการปิดอ่าวฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2553 อนุรักษ์สัตว์น้ำวางไข่ 3 เดือน โดยมีการบวงสรวง พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พร้อมปล่อยเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติงาน ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำจำพวก กุ้งทะเล 1 ล้านตัว ปลากะพงขาว 1 แสนตัว ปูม้า 1 แสนตัว และเต่าตนุ 5 ตัว

มีนายประสิทธิ์ โอสถานนท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ นายวิฑูร พ่วงทิพากร ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการด้านการประมง ข้าราชการ ประชาชนผู้ประกอบอาชีพทำการประมงและเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต กว่า 1,000 คน เข้าร่วมพิธี ซึ่งทุกปีในช่วงที่มีการประกาศใช้มาตรการปิดอ่าว ทำให้พันธุ์สัตว์มีจำนวนเพิ่มขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น ทำให้ประชากรชาวประมงสามารถจับสัตว์น้ำหลังจากพ้นระยะเวลาการปิดอ่าวได้เป็นจำนวนมาก และสร้างรายได้ ประชากรชาวประมงในพื้นที่ 4 จังหวัด มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทุกปี

สำหรับการประกาศปิดอ่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน-30 มิถุนายนของทุกปี ในพื้นที่บางส่วนของจังหวัดกระบี่ พังงา ภูเก็ต และจังหวัดตรัง เริ่มตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ถึงตะวันออกปลายแหลมหัวล้านเกาะยาวใหญ่ อ.เมือง จ.พังงา ถึงปลายแหลมเกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ถึงปลายแหลมเกาะลิบง จังหวัดตรัง ถึงเกาะสุกร ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง รวมเนื้อที่ 4,696 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,935,000 ไร่

สำหรับเครื่องมือประมงที่ห้ามมีอยู่ 3 ชนิด คือ อวนลากทุกประเภท ทุกขนาดที่ใช้ประกอบเรือกล อวนล้อมจับทุกชนิด และอวนติดตาขนาดช่องตาเล็กกว่า 4.7 เซนติเมตร ทำการประมงในพื้นที่หวงห้าม ยกเว้นเครื่องมืออวนล้อมจับปลากะตักในเวลากลางวัน เครื่องมืออวนลากคานถ่างที่ใช้ประกอบเรือกล เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเข้ มีคานถ่างหรืออวนลากที่ประกอบเรือกล ซึ่งใช้เชือกเส้นใย ประดิษฐ์เป็นสายลากอวน หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีการริบเครื่องมือทำการประมงด้วย



จาก : ข่าวสด วันที่ 3 เมษายน 2553

Super_Srinuanray
03-04-2010, 22:07
ม่ายยยย พอค่ะ อยากให้ปิดไปถึงเขต ระนองเลย เริ่ม ตั้งแต่ นาใต้ ถึง ระนองเลย

นะคะ คุณผู้ว่าเจ้าขา.....

สายน้ำ
15-02-2011, 08:09
แนวหน้า


กรมประมงประกาศปิดอ่าว ให้สัตว์น้ำวางไข่ขยายพันธุ์

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงเตรียมจัดพิธีประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ในฤดูปลาที่มีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน ฝั่งทะเลอ่าวไทย (ปิดอ่าวฝั่งทะเลไทย) ประจำปี 2554 ในช่วงระหว่างวันที่ 15 ก.พ. - 15 พ.ค.2554 รวมระยะเวลา 3 เดือน มีผลบังคับใช้ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 26,400 ตารางกิโลเมตรของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี โดยการกำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการแพร่พันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์และสัตว์น้ำวัยอ่อนในท้องทะเลอ่าวไทย

ทั้งนี้จากการศึกษาวิจัยยังคงพบว่าช่วงระหว่างวันที่ 15 ก.พ.- 15 พ.ค.ของทุกปี ในท้องทะเลบางส่วนของ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี เป็นแหล่งวางไข่และเลี้ยงตัวในวัยอ่อนของสัตว์น้ำหลายชนิด และจากการเก็บข้อมูลจำนวนประชากรสัตว์น้ำในช่วงหลังฤดูกาลปิดอ่าวฯ เมื่อปี 2553 พบว่าปริมาณการจับสัตว์น้ำได้มีจำนวนมากถึง 43,115.1 ตัน ซึ่งมากกว่าช่วงก่อนปิดอ่าวฯ กว่าเท่าตัว แสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวนี้สามารถสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลให้คืนกลับมาได้อย่างยั่งยืน ส่งผลให้ชาวประมงมีรายได้ในการประกอบอาชีพได้อย่างดี

หากมีชาวประมงรายใดฝ่าฝืนใช้เครื่องมือต้องห้ามทำการประมงในพื้นที่ที่ได้ ประกาศปิดอ่าวฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ


****************************************************


ประกาศปิดอ่าวไทย 3 เดือน เกษตรฯดีเดย์15กพ.-15พค. เข้มห้ามจับปลาช่วงวางไข่

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เดินทางไปยังท่าเทียบเรือ ต.ท่ายาง อ.เมือง จ.ชุมพร เพื่อเป็นประธานในพิธีประกาศปิดอ่าวฝั่งทะเลอ่าวไทยเป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์-15 พฤษภาคม

นายธีระ กล่าวว่า ในขณะที่ศักยภาพทางการประมงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ประชากรสัตว์น้ำกลับลดน้อยลงไปทุกวัน ดังนั้นการดูแลฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ จึงเป็นนโยบายหลักที่กระทรวงเกษตรฯให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ โดยเฉพาะมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูปลาที่มีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อนฝั่งทะเลอ่าวไทย หรือที่เรียกว่า "ปิดอ่าว" ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 15 พฤษภาคมของทุกปี คลุมพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี รวมอาณาเขต 26,400 ตารางกิโลเมตร

โดยมีการกำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดที่อาจส่งผลต่อการแพร่พันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์และสัตว์น้ำวัยอ่อนในท้องทะเลอ่าวไทย โดยเฉพาะ "ปลาทู" สัตว์น้ำที่มีคุณค่าและความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามประกาศกระทรวงเกษตรฯ สามารถที่จะช่วยสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลให้คืนกลับมาได้อย่างยั่งยืน

ด้านนางสมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์ จึงได้ตั้งศูนย์เฉพาะกิจฯ ขึ้นมา แบ่งตามภารกิจเป็น 4 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงและประชาชนเข้าใจถึงผลดีของการปิดอ่าวฯ
2.กลุ่มควบคุมดูแลปราบปราม รับผิดชอบการควบคุมตรวจปราบปรามผู้กระทำผิดตามกฎหมาย
3.กลุ่มติดตามผลการดำเนินคดี รับผิดชอบในการติดตามผลการดำเนินคดีในการจับกลุ่มผู้กระทำผิด และ
4.กลุ่มประเมินผลทางวิชาการ ทำหน้าที่สำรวจ รวบรวมข้อมูล ศึกษาและประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำ
ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มได้ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างบูรณาการ และเพื่อให้กลุ่มชาวประมงและชุมชนชาวประมงในท้องถิ่นเกิดความรู้ความเข้าใจในมาตรการปิดอ่าวฯ และตระหนักถึงความสำคัญต่อการอนุรักษ์สัตว์น้ำ

สายน้ำ
09-06-2012, 07:58
การนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน : อีกครั้งของความล้มเหลวในการจัดการประมงทะเลไทย ......................... โดย ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิจัยอิสระด้านการจัดการประมง

http://pics.manager.co.th/Images/555000006815801.JPEG

ในขณะนี้กรมประมงกำลังพิจารณาเสนอให้มีการ “นิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อนทั่วประเทศ” อีก 2,107 ลำ โดยให้เหตุผลว่าผลผลิตของเรืออวนลากเถื่อนเหล่านี้ไม่สามารถส่งออกให้กับสหภาพยุโรปได้ เพราะการบังคับใช้มาตรการ IUU Fishing ในการนำเข้าสินค้าของสหภาพยุโรป “IUU Fishing” มาจากคำว่า Illegal, Unreported and Unregulated Fishing ซึ่งแปลว่าการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ซึ่งหมายความว่าสหภาพยุโรปจะไม่นำเข้าสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฏหมาย การทำประมงที่ขาดการรายงานแหล่งที่มาของสัตว์น้ำ และเป็นการทำประมงที่ไม่มีการควบคุม

เพื่อทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจในประเด็นนี้มากขึ้น เพื่อเกิดการวิพากษ์ในประเด็นอย่างกว้างขวาง ผู้เขียนจึงมขอเสนอข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการทำประมงอวนลากดังต่อไปนี้

ด้วยความช่วยเหลือของประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันนีทำให้การทำประมงอวนลากเกิดขึ้นในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นระยะแรกเริ่มของการพัฒนาประมงทะเลของไทย ด้วยศักยภาพของเครื่องมืออวนลากทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ของทรัพยากรสัตว์น้ำหน้าดินสูงสุด

งานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวไว้ว่า อ่าวไทยมีศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของสัตว์น้ำหน้าดินอยู่ที่ประมาณ 750,000 ตัน ซึ่งต้องการการลงแรงประมงอวนลาก (fishing effort) อยู่ที่ 8.6 ล้านชั่วโมง (Muntana, Somsak, 1982 อ้างโดย the Southeast Asian Fisheries Development Center, 1987) อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมาได้มีการจับสัตว์น้ำหน้าดินด้วยอวนลากเกินศักยภาพการผลิตของทะเล โดยที่ในปี พศ. 2525 ผลผลิตของประมงอวนลากอยู่ที่ 990,000 ตัน ซึ่งเกินกว่ากำลังการผลิตของทะเลกว่า 30% ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งของความเสื่อมโทรมของทรัพยากรทะเล ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2529 ผลผลิตของเรือประมงอวนลากลดลงเหลือ 648,560 ตันแต่ต้องลงแรงทำการประมงถึง 11.9 ล้านชั่วโมง

จากสำรวจของกรมประมงพบว่า อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของการทำประมงอวนลากลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2504 อัตราการจับสัตว์น้ำของอวนลากอยู่ที่ 297.6 กก./ชม. ลดลงเหลือ 49.2 กก./ชม. ในปี พ.ศ. 2525 และ 22.78 กก./ชม. ในปี พ.ศ. 2534 (Phasuk, 1994) ในปี พ.ศ. 2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียง 14.126 กก./ชม. (โอภาส ชามะสนธิ และ คณิต เชื้อพันธุ์, 2552)

ในขณะที่งานวิจัยเรื่ององค์ประกอบของผลผลิตอวนลากได้พบว่า สัดส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการมีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ดร้อยละ 66.7 และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดเป็นสัตว์ส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อน (Chantawong, 1993)

ผลงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่นำเสนอโดย FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations) ร่วมกับกรมประมงในปี พ.ศ. 2547 ได้กล่าวว่า เพื่อคงไว้ซึ่งศักยภาพการผลิตของทะเลสูงสุดของสัตว์หน้าดิน การทำประมงอวนลากในอ่าวไทยต้องลดลงอีก 40% แต่ถ้าต้องการทำให้เกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุดต้องลดลงอีก 50% ของการลงแรงประมงที่เป็นอยู่

นอกจากนี้แล้ว งานวิจัยทัศนคติของชาวประมงชายฝั่งต่อผลกระทบของการทำประมงอวนลาก พบว่า ชาวประมงพื้นบ้านชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนจากเรือประมงอวนลากอย่างหนักหนาสาหัสทั่วหน้ากัน อวนลากไม่เพียงแต่ทำลายสัตวน้ำเศรษฐกิจวัยอ่อน ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและระบบนิเวศสัตว์น้ำชายฝั่ง แต่ยังได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงพื้นบ้านที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักจับสัตว์น้ำให้เสียหายอีกด้วย

จึงกล่าวได้ว่าการทำประมงอวนลากส่งผลกระทบทางลบทั้งต่อตัวทรัพยากรทะเล และวิถีการทำประมงของชุมชนชายฝั่งซึ่งเป็นชาวประมงส่วนใหญ่ของประเทศ

ถึงแม้ว่าการทำประมงอวนลากจะถูกห้ามดำเนินการในเขตพื้นที่ชายฝั่ง 3,000 เมตรทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา แต่ด้วยข้อจำกัดหลายประการของกรมประมงทำให้การควบคุมการทำประมงอวนลากให้ปฏิบัติตามกฏหมายที่ผ่านมาขาดประสิทธิภาพและเป็นไปได้ยาก ความพยายามของกรมประมงในการควบคุมจำนวนเรือประมงอวนลากก็ไม่ประสบความสำเร็จในทางปฏิบัติ

ในปี พ.ศ.2523 กรมประมงประกาศที่จะไม่ออกใบอนุญาติทำประมงให้กับเรือประมงอวนลากใหม่ เพื่อเป้าหมายในการลดจำนวนเรืออวนลากในระยะยาว แต่ด้วยการเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการและกลุ่มประมงอวนลากในขณะนั้น ทำให้กรมประมงอนุญาติให้เรืออวนลากผิดกฏหมายที่ไม่มีทะเบียนมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย (ขออนุญาตเรียกว่า นิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน) เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น 3 ครั้งด้วยกัน ในปี พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2532 และ พ.ศ.2539

ทำให้เห็นว่าการควบคุมจำนวนเรืออวนลากของกรมประมงที่ผ่านมา เป็นเพียงการควบคุมตัวเลขเรืออวนลากที่จดทะเบียนเท่านั้น แต่มีเรืออวนลากเถื่อนเต็มท้องทะเลที่กำลังรอวันนิรโทษกรรม

ดังนั้น การที่กรมประมงกำลังดำเนินการพิจารณานิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนอยู่ในขณะนี้ ด้วยเหตุผลเพื่อแก้ปัญหาการส่งสินค้าประมงของไทยเข้าสหภาพยุโรปตามมาตรการ IUU Fishing แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลวิชาการเรื่องผลกระทบของการทำประมงอวนลากข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่บิดเบือนเจตนารมณ์ของมาตรการ IUU Fishing ของสหภาพยุโรป ที่ต่อต้านการประมงที่ผิดกฎหมาย การทำประมงที่ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ที่ถือว่าเป็นการทำประมงที่ส่งผลร้ายแรงต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของทรัพยากรประมงและสิ่งแวดล้อมทางทะเล

ผู้เขียนคิดว่า บทบาทหน้าที่ของกรมประมงควรตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญสองประการ

- ประการแรกคือ การจัดการประมงให้เกิดการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน เพื่อคงไว้ซึ่งการผลิตอาหารและการประกอบอาชีพของชาวประมงทั่วประเทศ และ

- ประการที่สองคือ การกระจายการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรมที่จะช่วยลดความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำในสังคม และเกิดธรรมมาภิบาลในการบริหารจัดการประมง ถ้ากรมประมงดำเนินงานอยู่บนหลักสองประการนี้ก็จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายอื่นๆของกรมประมงที่ได้ตั้งไว้




จาก ...................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 พฤษภาคม 2555

สายน้ำ
14-06-2012, 08:22
การนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน : อีกครั้งของความล้มเหลวในการจัดการประมงทะเลไทย (2) ......................... โดย ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิจัยอิสระด้านการจัดการประมง

http://pics.manager.co.th/Images/555000007626001.JPEG

ลักษณะการทำงานของอวนลากบริเวณพื้นท้องทะเล

การทำประมงอวนลากเกิดขึ้นในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2503 ซึ่งเป็นระยะแรกเริ่มของการพัฒนาประมงทะเลของไทย อวนลากมีศักยภาพสูงในการจับสัตว์น้ำ โดยเฉพาะสัตว์น้ำที่อาศัยอยู่บริเวณหน้าดินท้องทะเล (demersal fish) ทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ในปริมาณมากเกินศักยภาพการผลิต (carrying capacity) ของทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมา ด้วยลักษณะของเครื่องมืออวนลากที่เป็นถุงอวนแข็งแรงขนาดใหญ่ มีโซ่ร้อยที่ปากอวนเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ปากอวนเปิดกว้าง และกินน้ำได้ลึกในขณะทำการประมง และวิธีการทำประมงของอวนลากที่ลากครูดไปกับพื้นท้องทะเลได้ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เช่น แหล่งปะการัง หน้าดินพื้นท้องทะเล เป็นต้น ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัยและแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศชายฝั่งเสื่อมโทรมลง

นอกจากนี้แล้ว การลากอวนขนาดใหญ่ไปตามพื้นท้องทะเลเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถเลือกจับทั้งชนิด และขนาดของสัตว์น้ำได้ จากผลงานวิจัยพบว่า สัดส่วนของสัตว์น้ำที่ได้แต่ละครั้งจะมีสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่ต้องการ (target species) อยู่เพียงหนึ่งในสามของสัตว์น้ำที่จับได้ทั้งหมด ที่เหลืออีกสองในสามเป็นปลาเป็ด (trash fish) เพื่อขายให้แก่โรงงานปลาป่นผลิตอาหารสัตว์ และประมาณร้อยละสามสิบของปลาเป็ดเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่สามารถเจริญเติบโตมีมูลค่าสูงต่อไปได้

ข้อมูลวิชาการจำนวนมากได้พิสูจน์แล้วว่า อวนลากเป็นเครื่องมือประมงที่มีศักยภาพในการทำลายล้างสูง ถึงแม้ พ.ร.บ.ประมงจะห้ามทำการประมงอวนลากในเขต 3,000 เมตรจากชายฝั่ง และให้ควบคุมจำนวนเรืออวนลากไม่ให้มีเพิ่มขึ้นอีก แต่การบังคับควบคุมให้การทำประมงอวนลากเป็นไปตามกฏหมายของกรมประมงก็ดูเหมือนไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากมากที่สุดคือ ชาวประมงขนาดเล็กที่ทำมาหากินอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลทุกจังหวัดของประเทศไทย

นอกเหนือจากการเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรสัตว์น้ำอันเนื่องมาจากการทำประมงอวนลากแล้ว พวกเขายังต้องสูญเสียเครื่องมือประมงที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักจับสัตว์น้ำไปกับการทำประมงอวนลากอีกด้วย โดยเฉพาะชาวประมงอวนจมปู และชาวประมงลอบหมึก อวนจมปูหนึ่งชุดมีมูลค่าประมาณ 7,000-10,000 บาท หรือลอบหมึกหนึ่งชุดประมาณ 30-40 ลูก มีราคาประมาณ 3,000-5,000 บาท การสูญเสียเครื่องมือประมงไม่ได้หมายถึงแค่การสูญเสียเครื่องมือทำมาหากิน แต่พวกเขาได้สูญเสียรายได้ที่จะเลี้ยงครอบครัว และการมีหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ชาวประมงอวนจมปูรายหนึ่งที่อ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์กล่าวว่า “ผมเพิ่งซื้ออวนปูชุดใหม่ เอาไปวางไว้ในทะเลเมื่อวานนี้ พอวันนี้อวนทั้งหมดหายไปกับอวนลาก ผมจะไปกู้ยืมเงินก้อนใหม่จากกลุ่มเงินทุนหมุนเวียนประมงไม่ได้อีก เพราะว่ายังไม่ได้คืนเงินเก่า ทางเดียวที่ทำได้คือ กลับไปหาพ่อค้าคนกลางเพราะเค้ามีเงินให้ยืมเสมอสำหรับชาวประมงที่เป็นลูกหนี้ที่ดี” ในการลากอวนของเรืออวนลากแต่ละเที่ยวไม่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กเพียงแค่คนเดียว แต่ได้ทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงหลายคนที่วางไว้ในรัศมีการลากอวนของเรืออวนลากลำนั้นๆ

จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการเก็บข้อมูลงานวิจัยเกือบทุกจังหวัดชายฝั่งทั่วประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี พบว่า ชุมชนประมงชายฝั่งทุกชุมชนที่ได้ให้สัมภาษณ์มีประสบการณ์ในทางลบกับเรือประมงอวนลากด้วยกันทั้งสิ้น ผลกระทบที่ได้รับหนักหนาสาหัสต่อการประกอบอาชีพประมงเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว พวกเขาได้เรียนรู้ว่า การพึ่งพาหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้เขาได้ เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษแล้วที่มีชุมชนชายฝั่งมากมายหลายชุมชนลุกขึ้นมาปกป้องพื้นที่ชายฝั่งหน้าหมู่บ้านของตนเองให้รอดพ้นจากการรุกล้ำของเรือประมงอวนลาก มีการตั้งกลุ่มอาสาสมัครอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งเพื่อสอดส่องดูแลการทำประมงที่ผิดกฏหมาย และเมื่อมีกรณีเกิดขึ้นก็จะขับไล่ให้พ้นไปจากพื้นที่ทะเลหน้าชุมชน หรือประสานงานกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการจับกุมผู้กระทำความผิด

นอกจากนี้ ชุมชนยังได้พยายามฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดัง เดิมด้วยการจัดกิจกรรมอนุรักษ์ที่หลากหลาย เช่น การสร้างบ้านให้ปลาด้วยการทำซั้งกอ เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย วางไข่ และขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ พร้อมด้วยมาตรการห้ามทำการประมงรอบซั้งที่สร้างไว้เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในบริเวณรอบซั้งเหล่านั้น มีการจัดตั้งธนาคารปู ธนาคารกุ้ง เพื่อให้แม่พันธุ์ที่มีไข่เต็มท้องที่ถูกจับได้มีโอกาสวางไข่ก่อนที่จะถูกนำไปขาย มีการปลูกป่าชายเลนเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนที่สำคัญ เป็นต้น


พื้นที่โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน

โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นอีกความพยายามหนึ่งของชุมชนชายฝั่ง 9 ชุมชนในอ่าวบางสะพานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบของการทำประมงอวนลาก ก่อนที่โครงการนำร่องการจะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2542 ชาวประมงชาวขนาดเล็กในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการทำประมงอวนลากอย่างแสนสาหัส เรือประมงอวนลากจากจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ เพชรบุรี และบางพื้นที่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้บุกรุกเข้ามาลากอวนในเขต 3,000 เมตร ของชายฝั่งอ่าวบางสะพาน

การรุกล้ำพื้นที่ชายฝั่งของอวนลาก ทำให้ชาวประมงในท้องถิ่นทำมาหากินได้อย่างยากลำบาก เพราะระบบนิเวศชายฝั่งถูกทำลาย ทรัพยากรสัตว์น้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงขนาดเล็กที่วางทิ้งไว้ในทะเลเพื่อดักสัตว์น้ำให้เสียหายอีกด้วย ผลกระทบจากการทำประมงอวนลากดังกล่าว ทำให้ชาวประมงท้องถิ่นส่วนใหญ่มีรายได้ลดลง มีต้นทุนการทำประมงสูงขึ้น และมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงในการประกอบอาชีพ ซึ่งได้ขยายไปสู่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองฝ่าย มีการต่อสู้ทั้งทางวาจา และการใช้กำลังทำให้ชาวประมงขนาดเล็กซึ่งมีสถานภาพทางสังคมที่ด้อยกว่า มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตอีกด้วย

ด้วยการต่อสู้เรียกร้องของชาวประมงในพื้นที่ต่อปัญหาเรือประมงอวนลากอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้น ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างชุมชนชาวประมงในอ่าวบางสะพาน และเจ้าหน้าที่ประมงในท้องถิ่นในการดำเนิน “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้ประกาศเขตพื้นที่โครงการนำร่อง: เส้นสีเหลือง (ดูภาพประกอบที่ 2) และห้ามอวนลากเข้ามาทำการประมงในพื้นที่โครงการ ทำให้เขตห้ามทำการประมงงอวนลากในอ่าวบางสะพาน ขยายจาก 3 กิโลเมตร หรือเขตเส้นสีแดงออกไปถึงประมาณ 10 กิโลเมตรจากชายฝั่ง หรือเขตเส้นสีเหลือง พร้อมทั้งมีการตั้งกลุ่มชาวประมงอาสาอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งดำเนินการตรวจจับการทำประมงผิดกฏหมายร่วมกับเจ้าหน้าที่โครงการนำร่องอีกด้วย

http://pics.manager.co.th/Images/555000007626002.JPEG

ความสำเร็จที่สำคัญประการหนึ่งของ “โครงการนำร่องการจัดการประมงโดยชุมชนอ่าวบางสะพาน” ที่ดำเนินเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 13 ปี คือ ชาวประมงในพื้นที่กว่า 400 ครัวเรือนยอมรับว่า โครงการนำร่องนี้เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาเรืออวนลากให้พวกเขาได้อย่างแท้จริง เพราะเรือประมงอวนลากได้หายไปจากพื้นที่โครงการเกือบทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกๆ ของการดำเนินโครงการ

นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน และผู้สนใจทั่วไปที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะโครงการนำร่องอ่าวบางสะพานนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่นมีศักยภาพเพียงพอในการปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนทั้งต่อคนในท้องถิ่น และต่อประเทศโดยรวม ถ้าพวกเขาได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากภาครัฐที่มีอำนาจ และทรัพยากรอยู่ในมือ เพราะโดยการจัดการเพียงลำพังของภาครัฐก็ยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้

กรมประมงกำลังดำเนินการพิจารณานิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนที่มีอยู่มากมายในท้องทะเลไทย ให้มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฏหมายอีกกว่า 2,000 ลำ ด้วยเหตุผลว่า เรือประมงอวนลากเถื่อนเหล่านี้ไม่สามารถส่งสินค้าไปขายให้แก่สหภาพยุโรปได้ภายใต้มาตรการ IUU Fishing (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) ซึ่งเป็นมาตรการที่สหภาพยุโรปห้ามนำเข้าสินค้าประมงที่มาจากการทำประมงผิดกฏหมาย (Illegal) ไม่มีการรายงานแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ (Unreported) และไม่มีการควบคุมการได้มาซึ่งสินค้านั้นๆ (Unregulated)

การที่กรมประมงจะทำให้เรืออวนลากเถื่อนที่ผิดกฏหมายกลายเป็นถูกกฏหมาย จึงเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสหภาพยุโรปในการใช้มาตรการ IUU Fishing เพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการทำประมงอย่างรับผิดชอบ และความยั่งยืนของการใช้ทรัพยากรทางทะเลของประเทศผู้ส่งออกสัตว์น้ำ ที่สำคัญ ยังเป็นการทำร้ายจิตใจชาวประมงขนาดเล็กชายฝั่งทั่วประเทศที่เฝ้าปก ป้องรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้รอดพ้นจากการทำร้ายของการประมงอวนลาก และรณรงค์ต่อสู้เพื่อให้เรือประมงอวนลากหมดไปจากท้องทะเลไทย

ดังนั้น ก่อนที่กรมประมงจะเดินหน้าตัดสินใจนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน กรมประมงน่าจะปรึกษาหารือกับพี่น้องชาวประมงชายฝั่งว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ในฐานะที่พวกเขาได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในการตรวจจับเรือประมงอวนลากผิดกฏหมาย และร่วมฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งกับกรมประมงมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทั้งปวงที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผู้เขียนมีความเชื่อว่า จะไม่มีชุมชนชาวประมงขนาดเล็กแม้เพียงชุมชนเดียวที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของกรมประมงในครั้งนี้




จาก ...................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 13 มิถุนายน 2555

สายน้ำ
11-01-2013, 10:00
ในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยถอยจมเลยต้องเอา “ปลากะพงมาเลี้ยงกุ้งฝอย” ..................... โดย สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ

http://pics.manager.co.th/Images/556000000178001.JPEG
สัตว์น้ำที่จับได้โดยเรือประมงอวนลากมีหลากหลายชนิดแ ละขนาด จากสถิติปริมาณไม่ถึงร้อยละ 40 มีคุณภาพดีพอสำหรับการบริโภค ที่เหลือส่งขายโรงงานปลาป่น

การที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตร เพียงเล็กน้อย ทำให้ระบบนิเวศทางทะเล และชายฝั่งของประเทศมีความหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่ งของโลก ประกอบกับการมีชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวกว่าสองพันกิโลเม ตร ทำให้เราได้เปรียบประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศ ทั้งในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรประมง ที่มีหลากหลายชนิดและมีปริมาณมากมายมหาศาล ตลอดจนความกว้างใหญ่ของอาณาเขตพื้นที่ทะเลให้ชาวประม งไทยได้ทำมาหากินกัน

ด้วยลักษณะทางธรรมชาติของทะเลในเขตร้อน ทำให้องค์ประกอบชนิดของปลาในทะเลมีความหลากหลาย (Multi Species Composition) มากกว่าทะเลในเขตอบอุ่น ซึ่งมีองค์ประกอบชนิดของปลาที่มีความหลากหลายน้อยกว่ า (Single Specie Composition) ดังนั้น การทำประมงของไทยที่เป็นการทำประมงขนาดใหญ่ ซึ่งใช้เครื่องมือประมงที่มีประสิทธิภาพสูงในการจับส ัตว์น้ำ เช่น เครื่องมือประมงอวนลาก หรือการทำประมงที่ใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เลือกจับช นิดสัตว์น้ำ เช่น อวนรุน โพงพาง เป็นต้น จะจับปลาได้หลากหลายชนิด และหลากหลายขนาดในการทำประมงแต่ละครั้ง

ดังตัวอย่างงานวิจัยของกรมประมงที่ได้เสนอไว้ว่า องค์ประกอบของผลผลิตสัตว์น้ำอวนลากมีสัดส่วนของสัตว์ น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องการ (targeted species) มีเพียงร้อยละ 33.3 ที่เหลือเป็นปลาเป็ด (ไม่สามารถใช้บริโภค ใช้สำหรับผลิตอาหารสัตว์) ถึงร้อยละ 66.7 และร้อยละ 30.1 ของปลาเป็ดทั้งหมด เป็นสัดส่วนของสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจวัยอ่อ น (Chantawong, 1993) ซึ่งถ้าคำนวนร้อยละ 30 ของสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนที่สูญเสียไปของผลผลิตสัต ว์น้ำของอวนลากทั้งหมดทั่วประเทศ จะเห็นว่าเป็นตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูญเสียไปอย่างมหาศาลในแต่ละปี

ในอดีต การผลิตปลาป่นเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมการประมง โดยจะใช้ของเหลือจากการทำประมง หรือที่เรียกว่า “ปลาเป็ด” ซึ่งประกอบด้วยปลาที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะไม่เป็นที่นิยมรับประทานกัน และ/หรือปลาที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง แต่มีขนาดเล็กเกินไป เช่น ลูกปลาอินทรี ปลาทู ปลาเก๋า ปลากระพง เป็นต้น ที่ติดมากับเครื่องมือประมงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต “ปลาป่น” เพื่อนำไปใช้เลี้ยงกุ้งในฟาร์มเป็นหลัก และใช้ในการเลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นๆรองลงไป

แต่หลังจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ปีกในประเทศไทยได้พัฒนาขึ้นเป็นอย่างมา ก และรวดเร็วในระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้การผลิตปลาป่นกลายเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมกา รผลิตอาหารสัตว์ของประเทศ ที่มีการกำหนดเป้าหมายการผลิต และปริมาณความต้องการผลผลิตปลาป่นที่ชัดเจนขึ้น การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีข ีดจำกัด เพื่อเป็นอาหารของคนในประเทศ และเพื่อการส่งออก ส่งผลให้ความต้องการปลาป่นมีปริมาณสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อความต้องการผลผลิตปลาป่นมีปริมาณที่สูงขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งปรับเปลี่ยนพฤติก รรมการทำประมงให้ตอบสนองกับความต้องการนี้ ตัวอย่างเช่น ในประมาณปี พ.ศ.2545 ผู้เขียนได้รับข้อมูลมาว่า ในฤดูปิดอ่าวไทยในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้ปลาทูวางไข่ และเจริญเติบโต มีเรือประมงอวนล้อมปั่นไฟขนาดใหญ่เข้ามาแอบลักลอบจับ ลูกปลาทูในเขตห้ามทำการประมง เพื่อนำไปขายให้แก่โรงงานปลาป่นด้วยราคาเพียง 5 บาทต่อกิโลกรัม (ขณะนั้นราคาปลาขนาดปกติซื้อขายที่แพปลาราคา 17 บาทต่อกิโลกรัม) อวนล้อมแต่ละลำสามารถจับลูกปลาทูได้ประมาณ 10-20 ตันต่อคืน ทำให้ลูกปลาทูถูกจับอย่างมากมายมหาศาลในช่วงฤดูวางไข่ของแต่ละปี

หรือตัวอย่างของการทำประมงอวนลาก ที่ทำประมงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดพัก เพราะถึงแม้ว่าการทำประมงในบางช่วงเวลาจะไม่สามารถจั บปลาเศรษฐกิจเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจ แต่เรืออวนลากเหล่านี้ก็ยังสามารถจับปลาเป็ดขายให้แก่โรงงานปลาป่นได้

http://pics.manager.co.th/Images/556000000178002.JPEG
ลูกเรือประมงกำลังคัดเลือกสัตว์น้ำที่จับโดยเครื่องมือประมงอวนลาก ซึ่งใช้วิธีกวาดต้อนใต้ท้องทะเลมาก่อน แล้วค่อยคัดแยกที่หลัง ทำให้เกิดการทำลายระบบนิเวศท้องทะเล และตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญๆ

อาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมปลาป่นได้สร้างแรงจูงใจให้เกิดการทำประมงอ ย่างเอารัดเอาเปรียบธรรมชาติ ทะเลไม่มีโอกาสฟื้นตัว และลูกปลาวัยอ่อนมีโอกาสถูกจับมากกว่าได้เจริญเติบโต เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป ปลาเป็ดที่ขายให้แก่โรงงานปลาป่นมาจากการทำประมงขนาดใหญ่ ที่เน้นจับปลาในปริมาณมาก ไม่เลือกชนิดสัตว์น้ำ จับมาก่อน และค่อยคัดแยกทีหลัง

ในขณะที่ผลผลิตที่มาจากเรือประมงขนาดเล็กส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ชนิด และขนาดที่เหมาะสมของสัตว์น้ำเป้าหมายดังที่ตั้งใจไว้ เช่น ถ้าจะจับปูม้าก็ใช้อวนลอยปู จับกุ้งก็จะใช้อวนลอยกุ้งสามชั้น จับหมึกหอมก็จะใช้ลอบหมึก หรือจับปลากระบอกก็จะใช้อวนลอยปลากระบอก เป็นต้น อาจจะมีสัตว์น้ำชนิดอื่นๆติดมาบ้าง ก็จะถูกนำมาเป็นอาหารสำหรับสมาชิกในครัวเรือน

เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า ปลาทะเลเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีคุณต่อสุขภาพสูงกว่าเนื้อสัตว์ประเภทไก่ หมู และเนื้อวัว แต่ปลาทะเลที่มีคุณค่า และมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกลับถูกตัดวงจรชีวิต ถูกจับมาแปรรูปเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์เหล่านี้

การกระทำเช่นนี้ขัดแย้งกับสำนวนไทยที่ว่า “เอากุ้งฝอยมาตกปลากะพง” ซึ่งหมายถึงการเอาสิ่งใดใดที่มีมูลค่าต่ำมาแลกเปลี่ย น หรือมาทำให้เกิดสิ่งอื่นๆที่มีมูลค่าสูงกว่า เพราะเรากำลังเอา “ปลากะพงไปเลี้ยงกุ้งฝอย” ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพราะ “ปลากะพง” นั้นไม่มีเจ้าของ เป็นสมบัติสาธารณะ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบของรัฐไม่สามารถบริหารจัดการได ้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ “กุ้งฝอย” กลับเป็นของบริษัทผลิตปลาป่น และอาหารรายใหญ่ของประเทศ



จาก ...................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 8 มกราคม 2556

สายน้ำ
11-01-2013, 10:10
จาก ......... ไทยรัฐ วันที่ 10 มกราคม 2556

สายชล
12-02-2014, 09:47
ปิดอ่าวไทยช่วงปลาวางไข่ 3 เดือน ................... หลากเรื่องราว

http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/556992.jpeg

เป็นประจำทุกปีที่ กรมประมง ประกาศปิดอ่าวไทยเป็นระยะเวลา 3 เดือนในช่วงระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์–15 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูปลาที่มีไข่ วางไข่ และเลี้ยงตัวในวัยอ่อนในฝั่งทะเลอ่าวไทย เพื่อเปิดโอกาสให้สัตว์น้ำได้แพร่ขยายพันธุ์ตามฤดูกาล พร้อมขอความร่วมมือชาวประมงปฏิบัติตามกฎหมาย โดยปีนี้จะมีการทำพิธีปล่อยขบวนเรือตรวจประมงทะเลออกปฏิบัติการ ภายใต้ประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 57 นี้ ณ บริเวณท่าเทียบเรือเทศบาลปากน้ำชุมพร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวกรมประมงจะประกาศห้ามให้ชาวประมงใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดทำประมงในช่วงเวลาดังกล่าว ในพื้นที่จับสัตว์น้ำบางส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานีอย่างเด็ดขาด หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการจับกุมทันทีไม่มีการผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น

นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล อธิบดีกรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการประกาศใช้มาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำนั้น ครอบคลุมพื้นที่ทำการประมงประมาณ 26,400 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี โดยกำหนดห้ามใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ที่อาจส่งผลต่อการขยายพันธุ์ของพ่อแม่พันธุ์และสัตว์น้ำวัยอ่อนในท้องทะเลอ่าวไทย โดยเครื่องมือทำการประมงที่ห้ามจำนวน 6 ประเภท คือ

1. เครื่องมืออวนลากทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกล ยกเว้นเครื่องมืออวนลากที่ใช้ประกอบกับเรือกลลำเดียวที่ความยาวเรือไม่เกิน 16 เมตร ให้ทำการประมงได้เฉพาะในเวลากลางคืน

2. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมงด้วยวิธีล้อมติดปลาทู หรือด้วยวิธีอื่นใดที่คล้ายคลึงกัน

3. เครื่องมืออวนติดตาทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมง ยกเว้น ก. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลที่วางเครื่องกลางลำไม่มีเก๋ง (หลังคา) ขนาดความยาวเรือไม่เกิน 14 เมตร หรือการใช้เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือยนต์เพลาใบจักรยาว ข. เครื่องมืออวนติดตาที่ใช้ประกอบกับเรือกลและเครื่องมือกว้าน ช่วยในการทำการประมงโดยใช้อวนที่มีขนาดความลึกอวนไม่เกิน 70 ช่องตาอวน ความยาวอวนตั้งแต่ 4,000 เมตร ลงมาในขณะทำการประมงแต่ละครั้ง ทำการประมงในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม ของทุกปี กรณีใช้อวนตามข้อ ข. วรรคแรกซึ่งมีความยาวอวนเกินกว่า 4,000 เมตร ขึ้นไป ในขณะทำการประมงในแต่ละครั้ง ห้ามใช้เครื่องมือกว้านช่วยในการทำการประมง การนับความยาวอวนให้นับความยาวอวนทั้งหมดรวมกันขณะทำการประมง

http://www.dailynews.co.th/imagecache/670x490/cover/556993.jpeg

4. เครื่องมืออวนล้อมจับทุกชนิดที่ใช้ประกอบกับเรือกลทำการประมง

5. เครื่องมืออวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ทำการประมงปลากะตัก และ

6. เครื่องมืออวนรุนที่ใช้ประกอบกับเรือกลที่มีขนาดความยาวเรือเกินกว่า 14 เมตรขึ้นไป ในการวัดขนาดความยาวของเรือกลที่ใช้ประกอบกับเครื่องมือทำการประมง ตามความในประกาศนี้ให้ใช้วิธีการวัดขนาดความยาวเรือตลอดลำ (Length Over All : L.O.A.) คือ วัดความยาวเรือทั้งหมด

หากพบมีชาวประมงรายใดฝ่าฝืนใช้เครื่องมือต้องห้ามทำการประมงในพื้นที่ที่ได้ประกาศปิดอ่าวฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการประกาศปิดอ่าวฯ ของกรมประมงแสดงให้เห็นว่ามาตรการดังกล่าวนี้เป็นอีกแนวทางที่จะสามารถสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำในท้องทะเลให้คืนกลับมาอย่างยั่งยืน ชาวประมงมีรายได้จากการประกอบอาชีพประมง และพี่น้องประชาชนมีสัตว์น้ำบริโภคตลอดไป.


จาก....เดลินิวส์ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557

สายชล
10-06-2014, 12:28
กฎหมายการประมงของไทยฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ " พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐" และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง ศึกษาได้ที่นี่ค่ะ


http://www.fisheries.go.th/if-phayao/Menu_head/law.htm


พระราชบัญญัติ

การประมง

พ.ศ. ๒๔๙๐

---------------

ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

รังสิต กรมขุนชัยนาทนเรนทร พระยามานวราชเสวี

ให้ไว้ ณ วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2490

เป็นปีที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบัน



โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการประมง พระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้



มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490



มาตรา 2(1) พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป



มาตรา 3 ให้ยกเลิก

(1) พระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ รัตนโกสินทรศก 120
(2) พระราชบัญญัติเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอากรค่าน้ำรัตนโกสินทรศก 120
(3) ประกาศแก้ไขพระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ ร.ศ.120
(4) พระราชบัญญัติเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ ศก 120
(5) พระราชบัญญัติอากรค่าน้ำแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2472
(6) พระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ รัตนโกสินทรศก 120 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2477
(7) พระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2479
(8) พระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ (ฉบับที่ 7) พุทธศักราช 2481
(9) กฎกระทรวงว่าด้วยวิธีจัดการและตั้งอัตราเก็บเงินอากรค่าน้ำตามความในพระราชบัญญัติอากรค่าน้ำ ศก 120
และบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่น ๆ ในส่วนที่มีบทบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้หรือซึ่งขัดแย้งกับบทแห่ง
พระราชบัญญัตินี้



มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้

(1)(1) สัตว์น้ำ หมายความว่า สัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำหรือมีวงจรชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ในน้ำหรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ำท่วมถึง เช่น ปลา กุ้ง ปู แมงดาทะเล หอย เต่า กระ ตะพาบน้ำ จระเข้ รวมทั้งไข่ของสัตว์น้ำนั้น สัตว์น้ำจำพวกเลี้ยงลูกด้วยนม ปลิงทะเล ฟองน้ำ หินปะการัง กัลปังหา และสาหร่ายทะเล ทั้งนี้ รวมทั้งซากหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของสัตว์น้ำเหล่านั้น และหมายความรวมถึงพันธุ์ไม้น้ำตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุชื่อ

(2)(1 ทวิ) ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นโดยใช้สัตว์น้ำตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีการะบุชื่อเป็นวัตถุดิบ

(2) ทำการประมง หมายความว่า จับ ดัก ล่อ ทำอันตราย ฆ่าหรือเก็บสัตว์น้ำในที่จับสัตว์น้ำด้วยเครื่องมือทำการประมงหรือด้วยวิธีใด ๆ

(3) เครื่องมือทำการประมง หมายความว่า เครื่องกลไกเครื่องใช้ เครื่องอุปกรณ์ ส่วนประกอบ อาวุธ เสา หลัก หรือเรือบรรดาที่ใช้ทำการประมง

(4) เรือ หมายความว่า ยานพาหนะทางน้ำทุกชนิด

(5) ที่จับสัตว์น้ำ หมายความว่า ที่ซึ่งมีน้ำขังหรือไหล เช่น ทะเล แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง บ่อ เป็นต้น และหาดทั้งปวง บรรดาซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รวมทั้งป่าไม้ และพื้นดินซึ่งน้ำท่วมในฤดูน้ำไม่ว่าจะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินอันบุคคลถือกรรมสิทธิ และภายในเขตน่านน้ำไทยหรือน่านน้ำอื่นใด ซึ่งประเทศไทยใช้อยู่หรือมีสิทธิที่จะใช้ต่อไปในการทำการประมง โดยที่น่านน้ำเหล่านั้น ปรากฏโดยทั่วไปว่ามีขอบเขตตามกฎหมายท้องถิ่น หรือธรรมเนียมประเพณี หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสนธิสัญญาหรือด้วยประการใด

(6) บ่อล่อสัตว์น้ำ หมายความว่า ที่ล่อสัตว์น้ำเพื่อประโยชน์ในการทำการประมงตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

(7) บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ หมายความว่า ที่เลี้ยงสัตว์น้ำ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

(8) ประทานบัตร หมายความว่า ใบอนุญาตซึ่งข้าหลวงประจำจังหวัดออกให้บุคคลผู้ประมูลได้ ให้มีสิทธิทำการประมงในที่ว่าประมูล

(9) ใบอนุญาต หมายความว่า ใบอนุญาตซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่บุคคลใดใช้ทำการประมง หรือทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่อนุญาต

(10) อาชญาบัตร หมายความว่า ใบอนุญาตซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ออกให้แก่ผู้รับอนุญาตเพื่อใช้เครื่องมือทำการประมง

(11) ผู้รับอนุญาต หมายความว่า บุคคลผู้ได้รับประทานบัตร ใบอนุญาต อาชญาบัตร หรือผู้ได้รับอนุญาตให้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัตินี้

(12) เครื่องมือประจำที่ หมายความว่า เครื่องมือทำการประมงซึ่งใช้วิธีลงหลักปัก ผูก ขึง รั้ง ถ่วง หรือวิธีอื่นใด อันทำให้เครื่องมือนั้นอยู่กับที่ในเวลาทำการประมง

(13) เครื่องมือในพิกัด หมายความว่า เครื่องมือทำการประมงซึ่งระบุชื่อ ลักษณะ หรือวิธีใช้ไว้ในกฎกระทรวง

(14) เครื่องมือนอกพิกัด หมายความว่า เครื่องมือทำการประมงซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในกฎกระทรวงว่าเป็นเครื่องมือในพิกัด

(15) สถิติการประมง หมายความว่า สถิติหรือข้อความที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ การค้าสินค้าสัตว์น้ำ การทำการประมง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

(16) พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอท้องที่ พนักงานประมง และผู้ซึ่งรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้มีหน้าที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้

(17) อธิบดี หมายความว่า อธิบดีกรมการประมง

(18) รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้



มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราอากร และค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้และกำหนดกิจการอื่น ๆ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้



กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้



หมวด 1 ที่จับสัตว์น้ำ



มาตรา 6 บรรดาที่จับสัตว์น้ำทั้งปวงให้กำหนดเป็น 4 ประเภท คือ

(1) ที่รักษาพืชพันธุ์
(2) ที่ว่าประมูล
(3) ที่อนุญาต
(4) ที่สาธารณประโยชน์



มาตรา 7 ให้คณะกรมการจังหวัดโดยอนุมัติของรัฐมนตรี มีอำนาจประกาศกำหนดประเภทที่จับสัตว์น้ำภายในเขตท้องที่ของตนว่า เข้าอยู่ในประเภทที่รักษาพืชพันธุ์ ที่ว่าประมูล หรือที่อนุญาตที่จับสัตว์น้ำซึ่งมิได้มีประกาศตามความในวรรคหนึ่งให้ถือเป็นที่สาธารณประโยชน์



มาตรา 8 ที่รักษาพืชพันธุ์ คือที่จับสัตว์น้ำซึ่งอยู่ในบริเวณพระอารามหรือปูชนียสถาน หรือติดกับเขตสถานที่ ดังกล่าวแล้ว บริเวณประตูน้ำ ประตูระบายน้ำ ฝาย หรือทำนบ หรือที่ซึ่งเหมาะแก่การรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำ



มาตรา 9 ห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่รักษาพืชพันธุ์ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดให้



มาตรา 10 ที่ว่าประมูล คือที่จับสัตว์น้ำซึ่งสมควรจะให้บุคคลว่าประมูลผูกขาดทำการประมง และ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การกำหนดที่จับสัตว์น้ำแห่งใดเป็นที่ว่าประมูลนั้น จะต้องไม่อยู่ในเขตชลประทานหลวง หรือไม่เป็นการเสียหายแก่การทำนา หรือการสัญจรทางน้ำ



มาตรา 11 ห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่ว่าประมูล เว้นแต่ผู้รับอนุญาตผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด



การทำการประมงในที่ว่าประมูลเฉพาะเพื่อบริโภคภายในครอบครัวให้กระทำได้ แต่ต้องใช้เครื่องมือทำการประมงตามที่คณะกรรมการจังหวัดประกาศกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี



มาตรา 12 ที่อนุญาต คือที่จับสัตว์น้ำซึ่งอนุญาตให้บุคคลทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และรวมตลอดถึงบ่อล่อสัตว์น้ำ



มาตรา 13 ห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่อนุญาต เว้นแต่ผู้รับอนุญาตผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด



มาตรา 14 ห้ามมิให้บุคคลใดขุดหรือสร้างบ่อล่อสัตว์น้ำในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนในที่ดินอันบุคคลถือกรรมสิทธิ์ บุคคลย่อมขุดหรือสร้างบ่อล่อสัตว์น้ำได้แต่ต้องไม่เป็นการเสียหายแก่พันธุ์สัตว์น้ำในที่รักษาพืชพันธุ์



มาตรา 15 ผู้รับอนุญาตมีหน้าที่ติดโคมไฟและเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยของการสัญจรในทางน้ำตามที่กำหนดในกฎกระทรวง



มาตรา 16 ที่สาธารณประโยชน์ คือที่จับสัตว์น้ำซึ่งบุคคลทุกคนมีสิทธิทำการประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้บุคคลใดซึ่งทำการประมงหรือเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณประโยชน์ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา



มาตรา 17(1) ห้ามมิให้บุคคลใดปลูกสร้างสิ่งใดลงไปในที่รักษาพืชพันธุ์ที่ว่าประมูล ที่อนุญาต ซึ่งมิใช่ที่ของเอกชนและที่สาธารณประโยชน์ หรือปลูกบัวข้าว ปอ พืชหรือพันธุ์ไม้น้ำอื่นใดตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีการะบุชื่อในที่เช่นว่านั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด



มาตรา 18(2) ห้ามมิให้บุคคลใดวิดน้ำในที่รักษาพืชพันธุ์ ที่ว่าประมูลที่อนุญาต ซึ่งมิใช่ที่ของเอกชน และที่สาธารณประโยชน์ หรือบ่อล่อสัตว์น้ำ หรือทำให้น้ำในที่จับสัตว์น้ำเช่นว่านั้นแห้งหรือลดน้อยลง เพื่อทำการประมง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้รับอนุญาตจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด



มาตรา 19(3) ห้ามมิให้บุคคลใด เท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้วัตถุมีพิษตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาลงไปในที่จับสัตว์น้ำ หรือกระทำการใด ๆ อันทำให้สัตว์น้ำมึนเมาหรือเท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้สิ่งใดลงไปในที่จับสัตว์น้ำในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำหรือทำให้ที่จับสัตว์น้ำเกิดมลพิษ เว้นแต่เป็นการทดลองเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์และได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่



มาตรา 20 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้วัตถุระเบิดในที่จับสัตว์น้ำ เว้นไว้แต่ในกรณีที่ทำเพื่อประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์และได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนดให้



มาตรา 20 ทวิ(4) ห้ามมิให้บุคคลใดมีไว้ในครอบครองเพื่อการค้าซึ่งสัตว์น้ำ โดยรู้ว่าได้มาโดยการกระทำผิดตามมาตรา 20



มาตรา 21 ห้ามมิให้บุคคลใดทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งมิได้อยู่ในที่ดินอันบุคคลถือกรรมสิทธิ์ให้ผิดไปจากสภาพที่เป็นอยู่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้



มาตรา 22 ห้ามมิให้บุคคลใด ติดตั้ง วาง หรือสร้างเขื่อน ทำนบรั้ว เครื่องมือที่เป็นตาข่าย หรือเครื่องมือทำการประมงอื่น ๆ ในที่จับสัตว์น้ำซึ่งกางกั้นทางเดินของสัตว์น้ำ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกระทำการเช่นว่านั้นเพื่อประโยชน์แก่การกสิกรรมในที่ดิน อันบุคคลถือกรรมสิทธิ์

ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดให้ เช่นบันไดปลาโจน หรือเครื่องอุปกรณ์อื่น ๆเพื่อให้สัตว์น้ำว่ายขึ้นลงได้

สายชล
10-06-2014, 12:39
พรบ. การประมง พศ. 2490 (ต่อ)


หมวด 2 บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ



มาตรา 23 ห้ามมิให้บุคคลใดขุดหรือสร้างบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้รับอนุญาตต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต



มาตรา 24 การทำการประมงในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำไม่ต้องขออนุญาตและไม่ต้องเสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้







หมวด 3 การจดทะเบียนและการขออนุญาต



มาตรา 25 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศกำหนดให้ผู้มีอาชีพในการประมง การค้าสินค้าสัตว์น้ำผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ และอุตสาหกรรมสัตว์น้ำตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีการะบุไว้ในท้องที่ใด ๆ มาจดทะเบียนได้ และจะกำหนดให้ผู้มีอาชีพเช่นว่านี้มาขออนุญาตต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อนดำเนินอาชีพเช่นว่านั้น โดยให้เสียค่าธรรมเนียมหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้



มาตรา 26 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศกำหนดให้เจ้าของ หรือผู้ครอบครองเครื่องมือทำการประมงชนิดหนึ่งชนิดใดในท้องที่ใด ๆ จดทะเบียนการมีไว้ในครอบครองซึ่งเครื่องมือนั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่



มาตรา 27 เมื่อมีกรณีจำเป็นแก่ราชการหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยอนุมัติรัฐมนตรี ข้าหลวงประจำจังหวัดอาจสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาต หรือประทานบัตรรายใด ๆ ก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้ผู้รับอนุญาตได้รับคืนเงินอากรเฉพาะส่วนที่ต้องเพิกถอน



มาตรา 28 บุคคลใดจะใช้เครื่องมือในพิกัดทำการประมงได้ต่อเมื่อได้รับอาชญาบัตรระบุชื่อบุคคลนั้นและเสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้แล้วรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศยกเว้นไม่ต้องให้รับอาชญาบัตรสำหรับเครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในท้องที่ใด ๆ ก็ได้



มาตรา 28 ทวิ(1) บุคคลใดเป็นเจ้าของเรือ ใช้หรือยอมให้ใช้เรือของตนทำการประมงหรือเพื่อทำการประมง จนเป็นเหตุให้มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้คนประจำเรือหรือผู้โดยสารไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อันเกิดจากการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคนภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยดังกล่าว

ในกรณีที่ไม่สามารถแจ้งคำวินิจฉัยแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง เพราะไม่พบตัวบุคคลดังกล่าวหรือไม่มีผู้ใดยอมรับแทน ให้ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการแล้วในเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ส่งคำวินิจฉัยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือปิดคำวินิจฉัยไว้ในที่เห็นได้ง่าย ณ สำนักงานภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ของบุคคลดังกล่าวโดยมีพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นพยานในการนั้น



มาตรา 29 เครื่องมือในพิกัดซึ่งได้รับอาชญาบัตรในท้องที่จังหวัดใดแล้ว ถ้าบุคคลใดประสงค์จะนำไปใช้ทำการประมงในท้องที่จังหวัดอื่น ซึ่งจะต้องเสียเงินอากรสูงกว่า จะต้องเสียอากรเพิ่มเติมให้ครบตามอัตราในท้องที่นั้นเสียก่อนจึงจะใช้เครื่องมือนั้นได้



มาตรา 30 บุคคลใดประสงค์จะทำการประมงในที่อนุญาต ต้องขออนุญาตและเสียเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้ และเงินซึ่งผู้รับอนุญาตที่จะต้องชำระโดยการว่าประมูล ให้ถือว่าเป็นเงินอากรตามพระราชบัญญัตินี้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศยกเว้นไม่ต้องเสียเงินอากรค่าอนุญาตในที่อนุญาตรายตัวบุคคลได้ ในกรณีเช่นว่านี้ให้ถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว



มาตรา 31 ห้ามมิให้บุคคลใดตั้ง หรือปัก หรือสร้างเครื่องมือประจำที่ลงในที่สาธารณประโยชน์ ส่วนที่จับสัตว์น้ำ อื่น ๆ ห้ามมิให้บุคคลใดกระทำการเช่นว่านั้น โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่



มาตรา 32 รัฐมนตรีหรือข้าหลวงประจำจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีเฉพาะภายในเขตท้องที่ของตน มีอำนาจประกาศกำหนดได้ดังต่อไปนี้
(1) กำหนดขนาดตาและระยะช่องเครื่องมือทำการประมงทุกชนิด กำหนดขนาด ชนิดจำนวนและส่วนประกอบของเครื่องมือทำการประมงที่อนุญาตให้ใช้ในที่จับสัตว์น้ำ

(2) กำหนดมิให้ใช้เครื่องมือทำการประมงอย่างหนึ่งอย่างใดในที่จับสัตว์น้ำโดยเด็ดขาด

ุ(3) กำหนดระยะที่ตั้งเครื่องมือประจำที่ให้ห่างกันเพียงใด

(4) กำหนดวิธีใช้เครื่องมือทำการประมงต่าง ๆ

(5) กำหนดฤดูปลาที่มีไข่และวางไข่เลี้ยงลูก กำหนดเครื่องมือที่ให้ใช้และกำหนดวิธีทำ การประมงในที่จับสัตว์น้ำใด ๆ ในฤดูดังกล่าว

(6) กำหนดชนิด ขนาด และจำนวนอย่างสูงของสัตว์น้ำที่อนุญาตให้ทำการประมง

(7) กำหนดมิให้ทำการประมงสัตว์น้ำชนิดหนึ่งชนิดใดโดยเด็ดขาด



มาตรา 33 การโอนประทานบัตร ใบอนุญาตและอาชญาบัตรและการออกใบแทนเอกสารเช่นว่านั้น และการสลักหลังอาชญาบัตร เพื่อแก้ไขหรือเพิ่มเติมผู้มีสิทธิใช้เครื่องมือทำการประมงจะต้องเสียค่าธรรมเนียมตามพระราชบัญญัตินี้

ใบอนุญาตหรืออาชญาบัตรใดซึ่งหมดอายุแล้ว แต่ได้ยื่นคำขอต่ออายุก่อนวันสิ้นอายุมิให้ถือว่าการทำการประมง หรือการใช้เครื่องมือนั้นเป็นการกระทำโดยมิได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ จนกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้แจ้งว่าไม่อนุญาต



มาตรา 34 ห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงหรือทำการใด ๆ ในเครื่องมือประจำที่ของผู้รับอนุญาต หรือในบริเวณที่ตั้งเครื่องมือเช่นว่านั้นตามที่คณะกรมการจังหวัดจะได้ประกาศกำหนดเขตโดยอนุมัติรัฐมนตรี



มาตรา 35 ผู้รับอนุญาตจะต้องนำประทานบัตร ใบอนุญาต และอาชญาบัตร ติดตัวไปด้วยเสมอในเวลาไปทำการประมงและต้องนำออกแสดงเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขอตรวจ



มาตรา 36 ในกรณีที่ผู้รับอนุญาตกระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้หรือปฏิบัติผิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประทานบัตร ใบอนุญาต หรืออาชญาบัตรหรือค้างเงินอากรที่เกี่ยวกับประทานบัตรใบอนุญาต หรืออาชญาบัตรพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งเพิกถอนประทานบัตร ใบอนุญาต หรืออาชญาบัตรนั้นเสียก็ได้


มาตรา 37 ในขณะใดหรือในท้องที่ใดยังไม่สมควรจะเก็บเงินอากรให้ประกาศยกเว้นโดยพระราชกฤษฎีกา



มาตรา 38 โดยอนุมัติรัฐมนตรี ให้คณะกรมการจังหวัดมีอำนาจยกเว้น งด หรือคืนอากรค่าประทานบัตรใบอนุญาต และอาชญาบัตร ให้บางส่วนหรือทั้งหมดตามแต่จะเห็นสมควร



มาตรา 39 โดยอนุมัติรัฐมนตรี ให้คณะกรมการจังหวัดมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ผ่อนเวลาชำระเงินอากรได้ตามที่เห็นสมควรสำหรับเงินอากรที่ค้างนั้น ผู้รับอนุญาตจะต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละสิบต่อปีของเงินอากรและเงินดอกเบี้ยนี้ให้ถือเป็นเงินอากรค้าง



มาตรา 40 ถ้าผู้รับอนุญาตค้างชำระเงินอากร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการดังต่อไปนี้

(1) ประกาศหรือแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้รับอนุญาตนำเงินอากรที่ค้างมาชำระภายในเวลาตามที่เห็นสมควร

(2) เมื่อได้ดำเนินการตามอนุมาตรา (1) แล้ว ผู้รับอนุญาตยังเพิกเฉยอยู่ พนักงานเจ้าหน้าที่อาจสั่งให้หยุดทำการประมง

(3) จัดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ผู้รับอนุญาตนำมาวางเป็นหลักประกัน หรือจัดการเรียกร้องให้ผู้ค้ำประกันชำระเงินอากรแทนผู้รับอนุญาต เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดให้คิดชำระเงินอากรและค่าใช้จ่ายในการขายทอดตลาดจนครบ เหลือเท่าใดให้คืนแก่ผู้รับอนุญาตหรือผู้ค้ำประกัน แล้วแต่กรณี



มาตรา 41 เงินอากรที่ค้างชำระนั้น พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจยึดและจัดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้รับอนุญาตแต่พอคุ้มกับเงินอากรที่ค้างชำระ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการยึดและการขายทอดตลาด



มาตรา 42 ประทานบัตร ใบอนุญาตหรืออาชญาบัตรที่ถูกสั่งเพิกถอนตามมาตรา 36 นั้น อากรที่ชำระแล้วจะเรียกคืนมิได้



มาตรา 43 กำหนดอายุอาชญาบัตรสำหรับการขออนุญาตและเสียเงินอากรนั้น ให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง วันที่ 31 มีนาคม



มาตรา 44 ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 43 เพื่อประโยชน์แก่การเก็บอากรโดยอนุมัติรัฐมนตรี ให้คณะกรรมการจังหวัดมีอำนาจประกาศกำหนดฤดูกาลทำการประมงตามความเหมาะสมแห่งท้องที่ โดยให้นับเวลาสิบสองเดือนเป็นหนึ่งฤดู และให้ถือระยะเวลาดังกล่าวแล้วเป็นระยะเวลาสำหรับการขออนุญาตและเสียอากรสำหรับหนึ่งปี



มาตรา 45 ในการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องออกไปตรวจสอบหรือกำหนดที่ตั้งเครื่องมือประจำที่ให้แก่ผู้ขออนุญาตใช้เครื่องมือ ให้ผู้ขออนุญาตจัดหาพาหนะรับและส่งพนักงานเจ้าหน้าที่หรือออกค่าใช้จ่ายให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่เท่าที่จำเป็นและจ่ายจริงตามแต่ผู้ขออนุญาตจะเลือก



มาตรา 46 ในกรณีที่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกประทานบัตรใบอนุญาตและอาชญาบัตรไม่ยอมออกเอกสารเช่นว่านั้น ให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียอุทธรณ์ไปยังรัฐมนตรีได้โดยยื่นอุทธรณ์ต่อเจ้าพนักงานเช่นว่านั้นภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ทราบคำสั่ง คำอุทธรณ์นั้นให้เจ้าพนักงานเช่นว่านั้นเสนอรัฐมนตรีโดยมิชักช้า คำวินิจฉัยของรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด







หมวด 4 สถิติการประมง



มาตรา 47 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจประกาศให้ทำการเก็บสถิติการประมงในท้องที่ใด ๆ ได้ตามที่เห็นสมควร



มาตรา 48 เมื่อได้มีประกาศตามความในมาตรา 47 แล้ว อธิบดีอาจขอให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มีอาชีพเกี่ยวกับสัตว์น้ำส่งรายการข้อความจำนวนเกี่ยวกับสถิตินั้นได้



มาตรา 49 คำขอของอธิบดีนั้น ให้ทำเป็นหนังสือระบุชื่อเจ้าของกิจการผู้จัดการหรือผู้แทน และให้กำหนดเวลา สถานที่และวิธีการยื่น



มาตรา 50 บุคคลซึ่งได้รับคำขอตามมาตรา 48 ต้องกรอกคำตอบลงในแบบพิมพ์แสดงรายการข้อความจำนวนตามที่รู้เห็น พร้อมทั้งลงชื่อกำกับ และจัดการยื่นตามกำหนดเวลา ณ สถานที่และตามวิธีการที่กำหนดในคำขอ



มาตรา 51 ถ้ามีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของทางราชการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีเพื่อการนี้ มีอำนาจเข้าในสถานที่ทำการของผู้รับคำขอในเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อทำการตรวจสอบ จดข้อความจำนวนเกี่ยวกับสถิติการประมง และให้เป็นหน้าที่ของผู้รับคำขอ หรือผู้แทนตอบคำถาม อำนวยความสะดวกและช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการนี้

สายชล
10-06-2014, 12:43
พรบ. การประมง พศ. 2490 (ต่อ)


หมวด 5 การควบคุม



มาตรา 52 โดยอนุมัติรัฐมนตรี ให้คณะกรมการจังหวัดมีอำนาจประกาศห้ามมิให้บุคคลอื่นนอกจากผู้รับอนุญาต เข้าไปในที่จับสัตว์น้ำแห่งหนึ่งแห่งใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้รับอนุญาตหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน



มาตรา 53(1) ห้ามมิให้บุคคลใดมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่ระบุไว้ ในพระราชกฤษฎีกา หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำชนิดใดชนิดหนึ่งเกินจำนวนหรือปริมาณ หรือเล็กกว่าขนาดที่ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่สัตว์น้ำที่ห้ามบุคคลมีไว้ในครอบครองเป็นชนิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคลหรือสาธารณชน ให้กำหนดลักษณะของสัตว์น้ำนั้นว่าจะมีอันตรายอย่างใด และกำหนดเวลาสำหรับผู้ซึ่งมีสัตว์น้ำนั้นในครอบครองอยู่แล้วส่งมอบสัตว์น้ำนั้นให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ในพระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งด้วย

การขออนุญาตและการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

บุคคลใดมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำในวันที่พระราชกฤษฎีกาออกตามความในวรรคหนึ่งใช้บังคับ ถ้าประสงค์จะมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นต่อไป ต้องยื่นคำขออนุญาตตามวรรคสามภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ เว้นแต่ในกรณีสัตว์น้ำตามวรรคสอง จะขออนุญาตหรืออนุญาตมิได้ และในระหว่างเวลาที่กำหนดไว้ สำหรับการขออนุญาตจนถึงวันที่ได้รับคำสั่งไม่อนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่มิให้นำมาตรา 67 ทวิ มาใช้บังคับ

ในกรณีที่บุคคลตามวรรคสี่ยื่นคำขออนุญาตแล้วแต่ไม่ได้รับอนุญาตอธิบดีมีอำนาจสั่งให้บุคคลดังกล่าวส่งมอบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำนั้นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายในเจ็ดวันนับแต่วันได้รับคำสั่ง

ในกรณีมีการส่งมอบสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำตามวรรคสองหรือวรรคห้า ให้กรมประมงคิดราคาสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำดังกล่าวตามสมควรแก่ผู้ส่งมอบ

ความในวรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ วรรคห้า และวรรคหก มิให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นเฉพาะที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา



มาตรา 54 ห้ามมิให้นำสัตว์น้ำชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่ระบุในพระราชกฤษฎีกาเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่



มาตรา 55 ห้ามมิให้บุคคลใดนำสัตว์น้ำชนิดหนึ่งชนิดใดตามที่ระบุในพระราชกฤษฎีกา ไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำแห่งหนึ่งแห่งใด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่



มาตรา 56 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจที่จะเข้าไปในที่จับสัตว์น้ำแห่งใด ๆ หรือเรือทำการประมงของบุคคลใด ๆ เพื่อตรวจการทำการประมงเครื่องมือทำการประมงสัตว์น้ำ หลักฐานบัญชีและเอกสารต่าง ๆ ของผู้รับอนุญาตได้ทุกเมื่อ ผู้รับอนุญาตต้องอำนวยความสดวกและชี้แจงแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ทุกประการ



มาตรา 57 เมื่อปรากฏว่าบุคคลใดกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัตินี้ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทำการเช่นว่านั้น ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมผู้นั้นพร้อมด้วยเรือ เครื่องมือทำการประมง สัตว์น้ำ และสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้ในการกระทำผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย



มาตรา 58 ให้ข้าหลวงประจำจังหวัดมีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้รับอนุญาตรื้อถอนเครื่องมือทำการประมงสิ่งปลูกสร้างหรือสิ่งใด ๆ ในที่จับสัตว์น้ำ ซึ่งได้กระทำโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งประทานบัตรหรือใบอนุญาตได้สิ้นอายุแล้วบรรดาที่เป็นของผู้รับอนุญาต ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนดังกล่าวแล้ว ให้ผู้รับอนุญาตเป็นผู้ออก



มาตรา 59 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำการรื้อถอน ทำลายหรือยึดเครื่องมือซึ่งตั้งอยู่ในที่จับสัตว์น้ำ โดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ และสิ่งต่าง ๆ ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 58 ในกรณีที่ผู้รับคำสั่งไม่ได้รื้อถอนไปภายในเวลาอันสมควร ค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนดังกล่าวให้ผู้รับอนุญาตหรือผู้ฝ่าฝืนเป็นผู้ออก



มาตรา 60 การประกาศตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้ามิได้กำหนดวิธีการไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัตินี้แล้ว ให้ทำเป็นหนังสือปิดไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและศาลากลางจังหวัดประจำท้องที่เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวัน


หมวด 6 บทกำหนดโทษ



มาตรา 61(1) บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 11 มาตรา 14 มาตรา 15 มาตรา 16 วรรคสอง มาตรา 23 มาตรา 31 มาตรา 34 หรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 62(2) บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 9 มาตรา 13 มาตรา 17 มาตรา 18 มาตรา 21 มาตรา 22 มาตรา 30 มาตรา 54 หรือมาตรา 55 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 62 ทวิ(3) บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 19 หรือมาตรา 20 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท



มาตรา 62 ตรี(4) บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 20 ทวิ มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกิน ห้าพันบาท



มาตรา 63 บุคคลใดไม่ปฏิบัติตามประกาศของรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 25 หรือมาตรา 26 มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 64(5) บุคคลใดใช้เครื่องมือทำการประมง ซึ่งต้องมีอาชญาบัตรตามพระราชบัญญัติโดยไม่มีอาชญาบัตรตามมาตรา 28 หรือมิได้เสียเงินอากรเพิ่มเติมตามมาตรา 29 ต้องระวางโทษปรับสามเท่าของเงินอากรและให้อธิบดีหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่อธิบดีมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบได้

เมื่อผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสิบห้าวันให้คดีนั้นเป็นอันเลิกกัน



มาตรา 64 ทวิ(6) บุคคลใดไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการตามมาตรา 28 ทวิ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทหรือจำคุกไม่เกินห้าปีหรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 65(7) บุคคลใดฝ่าฝืนประกาศของรัฐมนตรีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งประกาศตามความในมาตรา 32 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 66 ผู้รับอนุญาตใดไม่ปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 35 มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าสิบบาท



มาตรา 67 บุคคลซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติการตามมาตรา 50 หรือมาตรา 51 หรือมาตรา 56 ละเลยไม่ปฏิบัติการเช่นว่านั้น มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท



มาตรา 67 ทวิ(8) บุคคลใดฝ่าฝืนมาตรา 53 วรรคหนึ่งหรือวรรคห้าต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ

ถ้าหากปรากฏว่าสัตว์น้ำนั้นเป็นสัตว์ชนิดที่อาจก่อให้เกิดอันตรายตามมาตรา 53วรรคสอง ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนสองหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหกปีหรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 68 ผู้รับอนุญาตใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของข้าหลวงประจำจังหวัด ซึ่งสั่งตามมาตรา 58 มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาทหรือจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ



มาตรา 69(9) เรือ เครื่องมือทำการประมง สัตว์น้ำ และสิ่งอื่น ๆ ที่ใช้หรือได้มาโดยการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัตินี้ ศาลจะริบเสียก็ได้แต่ถ้าสิ่งเช่นว่านั้น ได้ใช้หรือได้มาโดยการกระทำความผิดในที่รักษาพืชพันธุ์หรือโดยการฝ่าฝืนมาตรา 20 ให้ศาลริบเสียทั้งสิ้น



มาตรา 70 เครื่องมือทำการประมงที่ได้มีประกาศตามความในมาตรา 32 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้โดยเด็ดขาดนั้น ถ้านำมาใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำ ให้ศาลริบเครื่องมือนั้นเสีย

มาตรา 71 ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด แต่ต้องไม่เกินสองพันบาทและต้องชดใช้เงินซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปตามมาตรา 59 ในกรณีที่ศาลลงโทษผู้กระทำความผิดให้ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินดังกล่าวแล้ว ถ้าไม่ชำระให้จัดการตามมาตรา 18 แห่งกฎหมายลักษณะอาญาโดยถือเสมือนว่าเป็นค่าปรับ



มาตรา 72 บุคคลใดทำลาย ถอดถอน หรือทำให้โคมไฟ เครื่องหมายหลักเขต แผ่นประกาศหรือสิ่งอื่น ๆ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำไว้ในที่จับสัตว์น้ำบุบสลาย หรือเสียหายด้วยประการใด ๆ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ







บทเฉพาะกาล



มาตรา 73 ในกรณีที่ได้มีประกาศกำหนดประเภทที่จับสัตว์น้ำไว้ก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นประกาศที่ออกตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้นไป ประทานบัตร อาชญาบัตร และใบอนุญาตที่ออกก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นประทานบัตร อาชญาบัตร และใบอนุญาตที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้แล้วแต่กรณี และให้คงใช้ต่อไปได้จนหมดอายุแห่งประทานบัตร อาชญาบัตร และใบอนุญาตนั้น ๆ





ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเรือตรี ถ. ธำรงนาวาสวัสดิ์
นายกรัฐมนตรี







บัญชีหมายเลข 1 อัตราเงินอากรค่าที่อนุญาต

บัญชีหมายเลข 2 อัตราเงินอากรอาชญาบัตรสำหรับเครื่องมือในพิกัด

บัญชีหมายเลข 3 อัตราเงินอากรค่าใบอนุญาตรายบุคคลผู้ทำการประมง

บัญชีหมายเลข 4 อัตราค่าธรรมเนียม

สายชล
10-06-2014, 12:46
พรบ. การประมง พศ. 2490 แก้ไขเพิ่มเติม



พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ด้วยปรากฏว่าเวลานี้มีผู้ใช้วัตถุระเบิดทำการประมงทั้งในน่านน้ำจืดและน่านน้ำเค็มกันเป็นจำนวนมาก อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ผู้ฝ่าฝืนไม่ค่อยกลัวเกรง เพราะโทษแห่งความผิดได้กำหนดไว้ให้ในอัตราต่ำ และการจับกุมผู้กระทำผิด ก็จับได้ด้วยความยากลำบาก การใช้วัตถุระเบิดทำการประมงนั้น ปรากฏจากผลของการทดลองของกองทัพเรือ ร่วมกับกรมการประมงว่า เป็นการทำลายพันธุ์ปลาชนิดดี ๆ อย่างร้ายแรงมาก การใช้วัตถุระเบิดส่วนมาก ผู้ฝ่าฝืนใช้ตามหินกองในท้องทะเลซึ่งมีปลาพันธุ์ดีอาศัยอยู่ เช่น ปลาเหลือง ปลาสีกุน การระเบิดครั้งหนึ่ง ๆ ปรากฏว่าได้ทำลายพันธุ์ปลาที่อยู่ในรัศมีการระเบิดโดยสิ้นเชิง ทั้งปลาใหญ่และลูกปลาที่เป็นปลาที่มีราคาและปลาเหล่านี้เป็นปลาประจำท้องที่ ถ้าหากยังมีการฝ่าฝืนเช่นนี้ต่อไปอีก ไม่ช้าพันธุ์ปลาดี ๆ ในท้องทะเลก็จะถูกทำลายให้สูญพันธุ์ในกาลต่อไปได้ เป็นการทำลายอาชีพการประมงของบรรดาชาวประมง และบัดนี้ก็ปรากฏว่าเครื่องมือทำการประมงบางชนิดเช่น อวนยอ อวนมุโร เบ็ดสาย ลอบปะทุน ทำการประมงไม่ได้ผล เพราะบริเวณที่ใดถูกระเบิดปลาก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น ไม่มีพันธุ์พอที่จะเกิดและเพิ่มปริมาณให้มีการจับได้อีกเป็นเวลานาน ทำให้ชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประจำที่ทำการจับไม่ได้ต่างพากันร้องว่าเดือดร้อน ฉะนั้น จึงควรกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ในอัตราสูง เพื่อปราบปรามให้เข็ดหลาบ และป้องกันการทำลายพันธุ์ปลาไว้มิให้ถูกทำลายหมดไป โดยการกระทำของผู้เห็นประโยชน์ส่วนตัวเฉพาะหน้า

อนึ่ง ปรากฏว่ามีผู้ฝ่าฝืนทำการบุกรุกและวิดน้ำจับสัตว์น้ำ ในที่จับสัตว์น้ำอันเป็นที่สาธารณประโยชน์ โดยมิได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้เกิดการเสียหายแก่ที่จับสัตว์น้ำและพันธุ์สัตว์น้ำ จึงเห็นควรแก้ไขให้การควบคุมและการรักษาสัตว์น้ำได้ประโยชน์รัดกุมยิ่งขึ้น

*[รก.2496/61/1145/29 กันยายน 2496]





พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกำหนดฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าได้มีผู้มีปลาปิรันยา (PIRANHA) หรือปลาคาริบี (CARIBE) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดในสกุลเซราซาลมัส (SERASALMUS) และมีแหล่งกำเนิดเดิมอยู่ในแม่น้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล ไว้ในครอบครอง ปลาชนิดนี้เป็นปลาขนาดเล็ก รูปร่างคล้ายปลาแปบ หรือปลาโคก แต่มีฟันคมและมีนิสัยดุร้ายมาก ชอบอาศัยอยู่เป็นฝูง ชอบรุมกัดกินเนื้อมนุษย์และสัตว์ทุกขนาดเป็นอาหาร เช่น โค กระบือ ม้า ฯลฯ ที่ลงไปในแม่น้ำลำคลองที่ปลานี้อาศัยอยู่ และบัดนี้มีผู้นำหรือสั่งปลาในสกุลนี้มาจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทยหลายราย โดยจำหน่ายเป็นปลาประเภทสวยงาม และแปลกประหลาด ถ้าปล่อยให้มีปลาในสกุลนี้ไว้ในครอบครองอาจจะมีการผสมพันธุ์ปลาในสกุลนี้ขึ้นจำหน่าย หรืออาจจะมีผู้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะ ปลาสกุลนี้จะขยายพันธุ์และแพร่หลายทั่วไปจะเป็นอันตรายต่อประชาชน สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำอย่างยิ่ง จึงจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง โดยห้ามมิให้มีสัตว์น้ำตามที่ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะมีไว้เพื่อการค้าหรือไม่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และโดยที่เป็นกรณีเหตุฉุกเฉินมีความจำเป็นรีบด่วนในอันจะรักษาความปลอดภัยสาธารณะหรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ ก่อนที่จะได้มีการขยายพันธุ์จนสายเกินที่จะป้องกันกำจัดได้ สมควรออกพระราชกำหนดโดยด่วน

*[รก.2513/27/1พ./30 มีนาคม 2513]





พระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าได้มีมีผู้นำปลาปิรันยา (Piranha) หรือปลาคาริบี (Caribe)ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดในสกุลเซราซาลมัส (Serasalmus) จากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรหลายราย เพื่อจำหน่ายและเลี้ยงเป็นปลาประเภทสวยงาม ปลาชนิดนี้มีเหล่งกำเนิดเดิมอยู่ในแม่น้ำอะเมซอน ประเทศบราซิล เป็นปลาขนาดเล็ก รุปร่างคล้ายปลาแปบหรือปลาโคก แต่เป็นปลาที่มีฟันคมและมีนิสัยดุร้ายมาก อาศัยอยู่เป็นฝูง ชอบรุมกัดกินเนื้อมนุษย์และสัตว์มีชีวิตทุกขนาดเป็นอาหาร เช่น โค กระบือ ม้า ฯลฯ ที่ลงไปในแม่น้ำลำคลองที่ปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ ถ้าปล่อยให้บุคคลมีปลาชนิดนี้ไว้ในครอบครอง อาจจะมีการผสมขยายพันธุ์พืชเพื่อจำหน่ายหรืออาจจะมีผู้นำไปปล่อยในแหล่งน้ำสาธารณะ ปลาชนิดนี้สามารถขยายพันธุ์ได้โดยรวดเร็ว เพราะถิ่นกำเนิดเดิมมีอุณหภูมิอยู่ในระดับเดียวกับ ประเทศไทย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประชาชน สัตว์เลี้ยงและสัตว์น้ำอย่างร้ายแรง เพื่อป้องกันภัยพิบัติสาธารณะดังกล่าวแล้ว และเห็นว่าเป็นกรณีจำเป็นและรีบด่วน จึงจำเป็นต้องออกเป็นพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 โดยบัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดมีสัตว์น้ำตามระบุในพระราชกฤษฎีกาไว้ในครอบครองไม่ว่าจะมีไว้เพื่อการค้าหรือไม่ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ สำหรับผู้ที่มีปลาชนิดนี้ไว้ในครอบครองในวันพระราชกฤษฎีกาออกใช้บังคับ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศให้นำปลาชนิดนี้มาส่งมอบแก่เจ้าพนักงานกรมประมงภายใน 7 วัน โดยกรมประมงจะคิดค่าสัตว์น้ำให้ตามสมควรจึงได้ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 พ.ศ. 2513 ประกาศในราชกิจจนุเบกษา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2513 ฉะนั้น จึงเห็นสมควรออกพระราชบัญญัติอนุมัติพระราชกำหนดดังกล่าวตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 146 ต่อไป





พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 (มาตรา 15)

มาตรา 15 บรรดาพระราชกฤษฎีกาและประกาศรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาหรือประกาศรัฐมนตรีให้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง แล้วแต่กรณี





พระราชบัญญัติการประมง (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘

หมายเหตุ:- เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจากปรากฏว่าในปัจจุบันนี้มีประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ใช้วัตถุมีพิษเพื่อทำการประมงอันอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคสัตว์น้ำได้ จึงสมควรจะได้กำหนดมาตรการควบคุมให้เหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมกับกำหนดความรับผิดของเจ้าของเรือ กรณีที่มีการละเมิดน่านน้ำของต่างประเทศ และทำให้คนประจำเรือหรือผู้โดยสารไปกับเรือต้องตกค้างอยู่ ณ ต่างประเทศ ประกอบกับมีสัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าในทางเศรษฐกิจ เช่น เต่า และกระ ได้ถูกจับจนเกินปริมาณที่สมควร หากไม่มีมาตรการอนุรักษ์ที่เหมาะสมแล้ว สัตว์น้ำที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจประเภทดังกล่าวจะถูกทำลายจนไม่มีเหลือสำหรับแพร่พันธุ์ หรือนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกต่อไป จึงสมควรที่จะออกมาตรการห้ามครอบครองสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำบางชนิดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจดังกล่าว และโดยที่พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ไม่มีบทบัญญัติครอบคลุมไปถึงมาตรการเหล่านี้ อีกทั้งโทษบางมาตราที่บัญญัติไว้มีอัตราต่ำไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

*[รก.2528/120/38พ./5 กันยายน 2528][/B]

สายชล
10-06-2014, 12:59
จะเห็นได้ว่า กฏหมายการประมงที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ยึด พรบ. การประมง พศ. 2490 เป็นหลัก เมื่อสถานการณ์ด้านการประมงของไทยและของโลกเปลี่ยนไป มีแนวความคิดใหม่ๆ ที่ต้องการให้มีการทำประมงแบบยั่งยืน คิดถึงเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ มีการประท้วงเรื่องการทำประมงแบบล้างผลาญ กับทั้งมีกลุ่มประมงพื้นบ้านเข้ามามีส่วนในการประสานและต่อรองกับทางการมากขึ้น จึงมีความพยายามที่จะมีการแก้ไขกฎหมายการประมงให้ทันยุคทันสมัย ใช้ได้กับโลกในปัจจุบัน...

ลองอ่านข่าวคราวเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายการประมงดูนะคะ

สายชล
10-06-2014, 13:03
พระราชบัญญัติกรมประมงฉบับใหม่

เป้าคลี่คลายปัญหาการประมง


ผลผลิตของภาคการประมงสามารถ ทำรายได้ให้แก่ประเทศปีละกว่า 2 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันการประมงต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย อาทิ ภัยธรรมชาติ ความเสื่อมโทรม ของทรัพยากรประมง มลพิษในแหล่งน้ำ รวม ถึงการแย่งชิงทรัพยากรประมง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการทาง กฎหมายว่าด้วยการประมงที่ล้าสมัย ซึ่งบังคับใช้มาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 ทำให้ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป หลายฝ่ายจึงเห็นพ้องต้องกันว่าควรแก่ การปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า กรมประมงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ........ โดยยกเลิกกฎหมายเดิมทั้งฉบับ และเพิ่มหลักการใหม่ ๆ ที่สำคัญ ๆ อาทิ มีการกำหนดให้มีแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต อย่างชัดเจน ได้แก่ เขตประมงน้ำจืด เขตประมงทะเลชายฝั่ง และเขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในทุกเกือบพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง และมีความรุนแรงมากขึ้น

กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนผู้ประสงค์จะเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของตนให้ได้มาตรฐาน และออกหนังสือรับรองให้ ซึ่งจะทำให้สัตว์น้ำที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า

กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ และการขนส่ง โดยรัฐออกหนังสือรับรองให้ กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประมง โดยกำหนดให้มีส่วนร่วมใน 2 ลักษณะ คือ การให้ตัวแทนภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการนโยบายประ มงแห่งชาติ และกำหนด ให้กรมประมงมีหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำภายในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง และกำหนดให้มี คณะกรรมการประมงนอกน่านน้ำไทย เพื่อเสนอแนะนโยบายและแนวทางการพัฒนาการประมงนอกน่านน้ำไทยต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ และเสนอแนะต่อหน่วยงานในการออกกฎ ระเบียบต่าง ๆ ในการจัดระเบียบการใช้เรือไทยออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยเป็นการเฉพาะ

สำหรับหลักการอื่น ๆ ยังคงยึดถือแนวทางตามกฎหมายฉบับเดิม เพียงแต่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันให้มากขึ้น เช่น การกำหนดอัตราโทษ อัตราค่าอากร ค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสม กับสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้น ทั้งนี้ กรมประมงได้เริ่มยกร่างกฎหมายนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนหลายครั้งมาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำการแก้ไขปรับปรุงมาเป็นลำดับ ซึ่งคณะกรรมการ กฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาและนำเสนอคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันให้ความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในเวลาไม่ช้านี้

“หวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายประมงฉบับใหม่นี้ จะเป็นคำตอบหรือเป็นกลไกที่สำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทางการประมงในปัจจุบัน และพัฒนาการประมงของประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ของกรมประมงที่ว่า มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการประมงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน” ดร.สมหญิง เปี่ยมสมบูรณ์ อธิบดีกรมประมง กล่าว.




ข้อมูลจาก....http://www.farmrachan.com/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html

สายชล
10-06-2014, 13:06
สาระสำคัญของกฎหมายการประมงฉบับใหม่

กฎหมายการประมงที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันคือ พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. 2490 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน จึงไม่เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน

ปัญหาด้านการประมงนับว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ในแต่ละปีการประมงสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่ต่ำกว่าปีละ 2 แสนล้านบาท แต่การประมงก็พบกับอุปสรรคมากมายนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมโทรมของธรรมชาติ มลพิษในน้ำที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม กากน้ำมันของเรือต่างๆ ระบบนิเวศน์ถูกทำลาย

ร่างกฎหมาย พ.ร.บ. การประมง พ.ศ... จะมีหลักการใหม่ ๆ ที่สำคัญๆ เช่น การกำหนดแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต คือ (1) เขตประมงน้ำจืด หมายถึง เขตประมงที่อยู่ในแผ่นดิน (2) เขตประมงทะเลชายฝั่ง หมายถึง เขตตั้งแต่ชายฝั่งทะเลออกไป 3 ไมล์ทะเล และอาจขยายได้แต่ไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล และ (3)เขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง หมายถึง เขตทะเลนอกเหนือจากเขตทะเลชายฝั่งออกไปจนสุดเขตน่านน้ำไทย ในแต่ละเขตมีการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำแตกต่างกันตามความเหมาะสม ตามประเภทของเครื่องมือประมง และสภาพพื้นที่การใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมกับทรัพยากรสัตว์น้ำ จะทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์ก่อนวัยอันควร การใช้เครื่องมือประมงที่ถูกต้องและเหมาะสมตามสภาพ ย่อมเป็นวิธีที่จะรักษาระบบนิเวศน์อีกด้วย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในทุกเกือบพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง

การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รัฐสามารถออกมาตรการควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมีมาตรฐาน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีการกำหนดไว้ชัดเจน จึงทำให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ผ่านมามีการใช้สารเคมี จึงมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า

การกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานขั้นพื้นฐานด้านสุขอนามัยสำหรับประชาชน นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ การแปรรูป และการขนส่งหรือการขนถ่ายสัตว์น้ำ อันจะส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสัตว์น้ำให้มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบทบัญญัติส่งเสริมควบคุมด้านสุขอนามัย ทำให้ไม่สามารถควบคุมสัตว์น้ำให้มีคุณภาพสุขอนามัย

การกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ บำรุงรักษา อนุรักษ์ฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ อันจะทำให้รัฐสามารถกำหนดมาตรการด้านการบริหารจัดการได้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ และความต้องการของประชาชน ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้

การกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาการประมงของประเทศ แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ แนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้านการประมง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย ซึ่งกฎหมายเดิมไม่มีบัญญัติไว้ จึงทำให้ขาดการบริหารจัดการการประมงภาพรวม และทำให้เกิดปัญหาการทำการประมงโดยละเมิดน่านน้ำและฝ่าฝืนข้อตกลงระหว่างประเทศ

การแก้ไขพ.ร.บ การประมง โดยแก้ไขหลักการที่สำคัญต่างๆเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น และมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมการประมง แต่พื้นที่การประมงยังคงมีเท่าเดิม และการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโนบายประมงแห่งชาติ จึงน่าจะทำให้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆด้านการประมงลดน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาด้านการประมง เพื่อการจัดการทรัพยากรประมง การผลิตสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อให้ได้คุณภาพต่อการบริโภคของประชากรในประเทศ และเพื่อการส่งออกอันจะเป็นการสร้างอาชีพและทำรายได้ให้กับประเทศ

ร่างกฎหมายฉบับใหม่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตามกฎหมายที่จะใช้บังคับจะสัมฤทธิ์ผลเพียงใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนที่ต้องร่วมมือกันปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ที่ออกมาใช้บังคับอย่างจริงจัง

รุจิระ บุนนาค

rujira_bunnag@yahoo.com

Twitter : @ RujiraBunnag


ข้อมูลจาก....http://www.naewna.com/politic/columnist/7603

สายชล
10-06-2014, 13:09
ระดมสมอง…ยกร่าง กม.ประมงฉบับใหม่

พิมพ์ครั้งแรกที่ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (15 ธันวาคม 2555)

โดย ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

ที่ผ่านมาจะเห็นข่าวการทะเลาะกันระหว่างชาวประมงพื้นบ้านกับหน่วยงานรัฐ หรือภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่นั้นๆ อยู่บ่อยๆนั่นก็เพราะว่าโครงสร้างกฎหมายประมงเดิมได้รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจและการดำเนินการไว้ที่รัฐมนตรีและกรมประมงเป็นหลัก ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจ เมื่อนโยบายส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจับสัตว์น้ำให้ได้มากเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารทะเล

ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันประมงโลกเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จึงได้จัดการสัมมนาชาวประมงพื้นบ้านในประเทศไทยขึ้นภายใต้หัวข้อ “การมีส่วนร่วมของชาวประมงพื้นบ้านกับกระบวนการแก้ไขปัญหาการประมงและทะเลไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อให้ชาวประมงและเจ้าหน้าที่ของกรมประมงได้แลก

เปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนชาวประมงและชุมชนชายฝั่งตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสิทธิชุมชนในร่าง พ.ร.บ.การประมงฉบับใหม่อีกทั้งยังย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญของการประมงขนาดเล็ก

ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การหารือร่วมกันครั้งนี้ จะเป็นการหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการประมงและชายฝั่งทะเลในสถานการณ์ ปัจจุบัน ทั้งด้านแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเขตประมงชายฝั่งการบริหาร จัดการทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชนมีส่วนร่วม ปัญหาการตลาดและการ

เก็บรักษาสัตว์น้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมโดยการหารือดัง กล่าวจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นระหว่างกรมประมงและ ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน

ขณะที่ วิมล จันทรโรทัยอธิบดีกรมประมงกล่าวถึงการจัดการทรัพยากรประมงทะเลไทยยุคใหม่ว่า ปัจจุบันผลผลิตประมงไทยลดลงเหลือเพียงปีละ 1.6 ล้านตัน จากเดิมที่มีผลผลิตสูงถึง 3-4 ล้านตัน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้กรมประมงต้องจัดทำแผนแม่บททะเลไทย เพื่อคงระดับผลผลิตประมงไทยไม่ให้ลดต่ำไปกว่านี้ เพราะผลผลิตประมงไทยมีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยดึงชาวบ้านชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำด้วย เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่ประมงพื้นบ้านและทะเลไทยต้องเจอ คือ ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงในด้านอาชีพ ความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ(ราคาสินค้าตกต่ำ) ความเสี่ยงในด้านสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลงและความขัดแย้งกันทั้งระหว่างชาวบ้านกันเอง ผู้ประกอบการเอกชนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ และภาครัฐ

ส่งผลให้ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ร่วมกันขึ้นมาเพื่อบรรจุไว้ในแผนแม่บททะเลไทยเช่น ด้านเศรษฐกิจ ต้องจับสัตว์น้ำที่มีขนาดเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องอนุรักษ์ให้ปริมาณสัตว์น้ำมีเพียงพอสำหรับอนาคตด้วยและด้านขนาดพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ

“ที่ผ่านมากรมประมงได้มีการปรับปรุงกฎหมายในร่าง พ.ร.บ.การประมง (ฉบับที่ 4)พ.ศ. … ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายมากขึ้น มีการกำหนดขอบเขตประมงชายฝั่งที่ชัดเจน โดยนับจากขอบน้ำชายฝั่งออกไป 5 ไมล์ทะเล เว้นแต่บริเวณใดที่มีความจำเป็นที่สามารถได้เป็น 12 ไมล์ทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน” วิมลกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการประมงจังหวัด ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม กำกับดูแลสนับสนุน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานขององค์กรชุมชนประมง เพื่อใช้เป็นกลไกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน

สะมะแอ เจะมูดอนายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันประเทศไทยมีหมู่บ้านชาวประมงประมาณ 3,800 หมู่บ้าน หรือ 5.7 หมื่นครอบครัว และที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งในประเทศไทยได้มีบทบาทอย่างมากในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ทั้งยังเป็นผู้ผลิตสินค้าประมงเกรดเอปลอดสารเคมีและได้มาจากการทำประมงอย่างรับผิดชอบ ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป แต่ในแง่ของการบริหารจัดการทรัพยากรนั้น กลับยังไม่มีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร ดังนั้นจึงได้รวมตัวกันขององค์กรชาวประมงพื้นบ้านใน 13 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคใต้ เพื่อส่งเสริมการรวมพลังของชาวประมงพื้นบ้านให้มีส่วนร่วมมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การที่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมมือในการดำเนินการตามแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย เพราะตระหนักดีว่าชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กจะเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน


ข้อมูลจาก...http://thailawwatch.org/2012/12/brainstorming_fishery/

สายชล
10-06-2014, 13:13
ประมงพื้นบ้านเข้ากรุง ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาชน

ประมงพื้นบ้าน เข้ากรุง พร้อม10,000 รายชื่อ ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาชน



เมื่อวันที่1-2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย นำโดยนายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคม รวมทั้งคณะกรรมการสมาคมและสมาชิกเครือข่ายกว่า 30 คน จากทั้วประเทศ ได้มายื่นรายชื่อหนึ่งหมื่นชื่อในการร่างกฎหมายประมงฉบับชาวบ้าน ที่รัฐสภาโดยทั้งนี้ได้มีการเข้าพบหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมประมงแห่งประเทศไทย กรมประมง

ซึ่งวันที่1 พฤศจิกายน 2555 ในช่วงเช้าได้เข้าหารือกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย โดยมีนายนายภูเบศ จันทนิมิต นายกสมาคมประมงแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ ในการพื้นคุยในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการระหว่างเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงพานิชย์ ซึ่งในอดีตถือเป็นคู่ขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรทางทะเล แต่โดยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องมีการพูดคุยหารือในวาระที่จะมีการผลักดัน พรบ.ประมงฉบับใหม่ ซึ่งมีผลกระทบทั้งเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงพานิชย์ วาระในการพูดคุยครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการผลักดันให้ในเรื่องสิทธิชุมชน เข้ากลับมาอยู่ในพรบ.ประมงฉบับใหม่ แต่เนื่องจากกกฤษฎีกาได้ตัดเนื่อหาส่วนนี้ออกจาก พรบ.ประมงฉบับประชาชน โดยแนวคิดสิทธิชุมชนในพรบ.ประมงฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิด ทั้งนี้ในการจัดการทรัพยากรทางทะเล โดยให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัด และหลังจากนี้จะมีการพบปะหารือกันมากขึ้นเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเลในแต่ละพื้นที่ด้ว




ในช่วงบ่าย คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อพบกับอธิบดีของกรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งส่วนของการเข้าหารือกับอธิบดีกรมประมง และราชการในกรมประมง นายสะมะแอ เจ๊มูดอ ได้กล่าวว่า ทางกรมประมงเห็นด้วยกับการร่วมมือเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างชาวประมงพื้นบ้านและกรมประมง ทั้งนี้จะเร่งผลักดัน ให้เกิดเครือข่ายระดับดังหวัด ที่มีอำนาจในการจัดการด้านการประมง ที่มีครบทุกภาคส่วน อีกทั้งในเรื่องของการเสนอพรบ.ประมงฉบับประชาชน ในส่วนโควต้าของกรมประมง ที่ได้สัดสวน5 คน นั้น ทางกรมประมงจะให้เป็นโควต้าของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 3 คน




ต่อมาวันที่2 พฤศจิกายน 2555 คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยได้เดินทางไปยังรัฐสภาเพื่อนยื่นรายชื่อ ประชาชน10,000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายประมงและกฎหมายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีเลขาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนออกมาต้อนรับและร่วมแถลงข่าวการยื่นรายชื่อในครั้งนี้




หลังจากนั้นทางคณะได้เดินทางเข้าพบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในส่วนของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึงในส่วนของฝ่ายรัฐบาลให้เข้าพบกับตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อไทย โดยทั้งสองพรรคจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรคในเวลาต่อไป แต่ทั้งนี้ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าจะให้โควต้ากรรมาธิการแก่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยหนึ่งคน และในส่วนของพรรประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ก็ยินดีที่จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรค เพื่อหาิศทางที่จะสนับสนุน พรบ.ฉบับประชาชนฉบับนี้ และยืนยัยว่าในส่วนของโควต้ากรรมาธิการที่พรรคฝ่ายค้านได้ จะให้กับสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านหนึ่งคน

โดยพรบ.ประมงฉบับใหม่นี้จะเข้าพิจจารณาในสมัยการประชุมที่จะถึงนี้


ข้อมูลจาก....http://www.oknation.net/blog/print.php?id=833886

สายชล
10-06-2014, 20:24
มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ และต่อด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฏร....จนบัดนี้ พ.ร.บ. การประมง ฉบับใหม่ ที่ยกร่างไว้แล้ว ก็ยังค้างเติ่งไม่ได้คลอดออกมา...:(

สายชล
11-06-2014, 21:29
สื่ออังกฤษเปิดโปง! ชะตากรรมแรงงานทาสต่างด้าวบนเรือประมงไทย


http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFVTzN5vxrFvKIdqtRmtMBHpZa35BeqvKTJt4BJ.jpg
ภาพที่ถูกตีพิมพ์ลงในรายงานข่าวของเดอะ การ์เดียน


นสพ. เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ เปิดโปงชะตากรรมของแรงงานต่างด้าวอาเซียน บนเรือประมงไทย ถูกกระทำเยี่ยงทาส โดนทารุณสารพัด และถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง เพื่อจับกุ้งส่งไปยังบรรดาซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่ วโลก ทั้งวอลมาร์ต และเทสโก้..

เว็บไซต์ของสำนักข่าว เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ รายงานเปิดโปงชะตากรรมของแรงงานทาสจากอาเซียนที่ต้อง มาทำงานบนเรือประมงของไทย เพื่อจับกุ้งป้อนส่งตามซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในสหรั ฐฯ และอังกฤษ โดยระบุว่า เรือประมงเถื่อนของไทย ใช้แรงงานต่างด้าวเยี่ยงทาส, โหดร้ายทารุณ แม้กระทั่งโดนฆ่าทิ้ง ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งกุ้งไปจำหน่ายทั่ว โลก

เดอะ การ์เดียน เปิดเผยว่า จากการสืบหาข่าวเกี่ยวกับการใช้แรงงานทาสในช่วง 6 เดือน พบว่า มีผู้ชายเป็นจำนวนมากถูกซ้ือและขายเยี่ยงสัตว์ อีกทั้งยังถูกควบคุมไว้บนเรือประมงนอกชายฝั่งของไทย เพ่ือจับกุ้งส่งไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ อย่างวอลมาร์ต,คาร์ฟูร์, คอสต์โก้ และเทสโก้

พร้อมกันนั้น เดอะ การ์เดียน ยังรายงานด้วยว่า แรงงานต่างด้าวบนเรือประมงของไทย ต้องทำงานหนักถึงวันละ 20 ชั่วโมง ซึ่งพวกเขาโดนทุบตีและทรมานเป็นประจำ จนถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง โดยมีแรงงานบางคนต้องอยู่บนเรือในทะเลนานหลายปี ,มีบางคนโดนล่อให้ทำงานต่อไป ด้วยการให้ยาบ้า อีกทั้งมีบางคนเห็นเพื่อนแรงงานด้วยกันถูกสังหารต่อห น้าต่อตา

หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ เปิดโปงต่อไปว่า มีคนงานต่างด้าว 15 คน จากพม่า และกัมพูชา เล่าว่า พวกเขาถูกใช้งานเยี่ยงทาสกันอย่างไร รวมถึงยังบอกว่าพวกเขาต้องจ่ายเงินค่านายหน้าเพ่ือช่ วยในการหางานตามโรงงานในประเทศไทย หรือไม่ก็ทำงานด้านก่อสร้าง แต่สุดท้ายพวกเขากลับถูกขายให้กับบรรดาเจ้าของเรือปร ะมง ซึ่งมีบางครั้ง ถูกขายด้วยค่าตัวเพียงแค่ 250 ปอนด์หรือประมาณ 14,000 บาทเท่านั้น


ข้อมูลจาก....ไทยรัฐ ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2557

สายชล
11-06-2014, 21:32
Trafficked into slavery on Thai trawlers to catch food for prawns

The Thai fishing industry is built on slavery, with men often beaten, tortured and sometimes killed - all to catch 'trash fish' to feed the cheap farmed prawns sold in the west

http://i.guim.co.uk/w-1430/h--/q-95/sys-images/Guardian/Pix/pictures/2014/6/9/1402332310743/Burmese-migrant-workers-l-010.jpg


There is nothing but a jagged line of splinters where Myint Thein’s teeth once stood – a painful reminder, he says, of the day he was beaten and sold on to a Thai fishing boat.

The tattooed Burmese fisherman, 29, bears a number of other “reminders” of his life at sea: two deep cuts on each arm, calloused fingers contorted like claws and facial muscles that twitch involuntarily from fear. For the past two years, Myint Thein has been forced to work 20-hour days as a slave on the high seas, enduring regular beatings from his Thai captain and eating little more than a plate of rice each day. But now that he’s been granted a rare chance to come back to port, he’s planning something special to mark the occasion: his escape.

Using a pair of rusty scissors, Myint Thein chops off his long, scraggly locks. He rinses himself down with a hose, slips on his only pair of trousers and, peering out at his surroundings, remembers not to open his mouth too wide. A man with no teeth is easy to remember.


Under the tinny roof of Songkhla’s commercial port, on Thailand’s south-east coast, the imperial-blue cargo boat that brought Myint Thein back to shore is unloading its catch, barrel by barrel. The day’s international fish trading has just begun, and buyers are milling about in bright yellow rubber boots, running slimy scales between their fingers, as hobbling cats nibble at the fishbones and guts strewn across the pavement.

Myint Thein doesn’t have much time to talk, so he tells us the basics. He paid a middleman two years ago to smuggle him across the border into Thailand and find him a job in a factory. After an arduous journey travelling through dense jungle, over bumpy roads and across rough waves, Myint Thein finally arrived in Kantang, a Thai port on its western, Andaman coast, where he discovered he’d been sold to a boat captain. “When I realised what had happened, I told them I wanted to go back,” he says hurriedly. “But they wouldn’t let me go. When I tried to escape, they beat me and smashed all my teeth.”

For the next 20 months, Myint Thein and three other Burmese men who were also sold to the boat trawled international waters, catching anything from squid and tuna to “trash fish”, also known as bycatch – inedible or infant species of fish later ground into fishmeal for Thailand’s multibillion-dollar farmed prawn industry. The supply chain runs from the slaves through the fishmeal to the prawns to UK and US retailers. The product of Myint Thein’s penniless labour might well have ended up on your dinner plate.


http://i.guim.co.uk/w-620/h--/q-95/sys-images/Guardian/Pix/pictures/2014/6/6/1402071843441/018bcdc7-8f48-409a-a61a-c6e6faa3e9c3-620x372.jpeg



Despite public promises to clean up the industry, many Thai officials not only turn a blind eye to abuse, the Guardian found, they are often complicit in it, from local police through to high-ranking politicians and members of the judiciary – meaning that slaves often have nowhere to turn when they have the opportunity to run.

“One day I was stopped by the police and asked if I had a work permit,” says Ei Ei Lwin, 29, a Burmese migrant who was detained on the docks at Songkhla port. “They wanted a 10,000 baht (£180) bribe to release me. I didn’t have it, and I didn’t know anyone else who would, so they took me to a secluded area, handed me over to a broker, and sent me to work on a trawler.”
Brokers
Advertisement

Thailand produces roughly 4.2m tonnes of seafood every year, 90% of which is destined for export, official figures show. The US, UK and EU are prime buyers of this seafood – with Americans buying half of all Thailand’s seafood exports and the UK alone consuming nearly 7% of all Thailand’s prawn exports.

“The use of trafficked labour is systematic in the Thai fishing industry,” says Phil Robertson, deputy director of Human Rights Watch’s Asia division, who describes a “predatory relationship” between these migrant workers and the captains who buy them.

“The industry would have a hard time operating in its current form without it.”

Speaking on condition of anonymity, a high-ranking broker explained to the Guardian how Thai boat owners phone him directly with their “order”: the quantity of men they need and the amount they’re willing to pay for them.

“Each guy costs about 25,000-35,000 baht [£450-£640] – we go find them,” explains the goateed broker, who operates out of the industrial fishing and prawn-processing hub of Samut Sakhon, just south of the capital, Bangkok.

“The boat owner finds the way to pay and then that debt goes to the labourers.”

At various points along the way, checkpoints are passed and officials bribed – with Thai border police often playing an integral role.

“Police and brokers – the way I see it – we’re business partners,” explains the broker, who claims to have trafficked thousands of migrants into Thailand over the past five years. “We have officers working on both sides of the Thai-Burmese border. If I can afford the bribe, I let the cop sit in the car and we take the main road.

“This is a big chain,” he adds. “You have to understand: everyone’s profiting from it. These are powerful people with powerful positions – politicians.”

The price captains pay for these men is a extremely low even by historical standards. According to the anti-trafficking activist Kevin Bales, slaves cost 95% less than they did at the height of the 19th-century slave trade – meaning that they are not regarded as investments for important cash crops such as cotton or sugar, as they were historically, but as disposable commodities.

For the migrants who believed Thailand would bring them opportunity, the reality of being sent out to sea is devastating.

“They told me I was going to work in a pineapple factory,” recalls Kyaw, a broad-shouldered 21-year-old from rural Burma. “But when I saw the boats, I realised I’d been sold … I was so depressed, I wanted to die.”
Chained

Life on a 15-metre trawler is brutal, violent and unpredictable. Many of the slaves interviewed by the Guardian recalled being fed just a plate of rice a day. Men would take fitful naps in sleeping quarters so cramped they would crawl to enter them, before being summoned back out to trawl fish at any hour. Those who were too ill to work were thrown overboard, some interviewees reported, while others said they were beaten if they so much as took a lavatory break.

Many of these slave ships stay out at sea for years at a time, trading slaves from one boat to another and being serviced by cargo boats, which travel out from Thai ports towards international borders to pick up the slave boats’ catch and drop off supplies.

The vessels catch fish and shellfish for domestic and international markets, including roughly 350,000 tonnes of trash fish, every year, according to the UN’s Food and Agriculture Organisation (FAO). This trash fish is separated at sea and ferried back on cargo boats to shore, where it is ground down and turned into fishmeal for multinational companies such as CP Foods, which use it in animal feed for prawn, pig and chicken farming.

CP in turn supplies food retailers and giant international supermarkets including Walmart, Tesco, Carrefour, Costco, Morrisons, the Co-operative and Iceland, with frozen and fresh prawns, and ready-made meals.


ข้อมูลจาก....http://www.theguardian.com/global-development/2014/jun/10/-sp-migrant-workers-new-life-enslaved-thai-fishing

สายชล
13-06-2014, 18:41
“ซีพีเอฟ” ซัด “เดอะการ์เดียน” ตั้งธงโจมตี ยันพร้อมแก้ “แรงงานทาส” คุมมาตรฐานซื้อปลาป่น


“ซีพีเอฟ” โต้ “เดอะการ์เดียน” ลั่นพร้อมประณามการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมง ควบคุมการจัดซื้อปลาป่นให้ได้มาตรฐาน แจงมีโครงการคุ้มครองน่านน้ำไทย แก้ละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือ ติงสื่ออังกฤษมุ่งโจมตีประเด็นแรงงานทาส ไม่พูดถึงแผนปรับปรุงที่บริษัทกำลังทำ ย้ำหากจำเป็น พร้อมพัฒนาโปรตีนใช้แทนปลาป่นทั้งหมดในปี 2021

หลังจากหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ ได้นำเสนอรายงานปัญหาการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมปลาป่นและการผลิตกุ้งในประเทศไทย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผู้ผลิตอาหารายใหญ่ของประเทศไทย ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ว่า บทความของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วทั้งอุตสาหกรรมในห่วงโซอุปทานอาหารทะเลของประเทศไทยนั้น ซีพีเอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากล็อบบี และไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลไทย หนังสือพิมพ์ได้หันมากดดันแบรนด์และธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกเพื่อผลักดันให้ปรับปรุงสถานการณ์ทันที

ซีพีเอฟเป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสื่อและตอบคำถามสื่อ โดยพื้นฐานแล้ว ซีพีเอฟ เชื่อว่า แต่ละคนที่ทำงานให้ซีพีเอฟ ทำงานกับซีพีเอฟในฐานะผู้ค้า หรือผ่านส่วนใดของห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเรือประมง สมควรต้องได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและด้วยเกียรติภูมิทุกขณะเป็นอย่างน้อย ในเรื่องนี้ ซีพีเอฟจึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบปฏิบัติการทั้งหมดของบริษัทเพื่อประณามการใช้แรงงานทาสตลอดแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานของเรา และนำระบบตรวจสอบอิสระแบบสุ่ม (spot check) ที่ได้รับการประสานงานมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเราไม่มีและยังคงไม่มีการใช้แรงงานทาส

ส่วนการดำเนินการระยะยาว ในฐานะผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทยและผู้นำการผลิตของภูมิภาค ซีพีเอฟมีพันธสัญญาที่จะควบคุมระบบการจัดซื้อปลาป่นให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อขจัดการทำประมงผิดกฎหมายและปรับปรุงการทำประมง ทั้งนี้ ซีพีเอฟใช้ปลาป่นประมาณ 10% ของส่วนประกอบในการผลิตอาหารเลี้ยงกุ้ง มีโรงผลิตอาหารสัตว์น้ำ 5 แห่งในประเทศไทย แต่ละแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานแนวปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Best Aquaculture Practice) และบริษัทซื้อปลาป่นที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารเลี้ยงปลาจากโรงงานแปรรูปปลาป่นอิสระ 55 แห่ง ในจำนวนนี้ 40 แห่งปฏิบัติตามมาตรฐานรับรองการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (non-IUU certification scheme) ของกรมประมงเต็มรูปแบบ

ซีพีเอฟชี้แจงอีกว่า โรงงานปลาป่นอิสระที่เราซื้อปลาป่นแปรรูปปลาป่นจากผลพลอยได้ (by-product) ที่ได้จากการตัดแต่งทูน่าและปูอัดและทั้งหมดได้รับการรับรองว่าได้จากการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย หรือปลาที่เหลือจากการจับ (by-catch) ที่บางครั้งเรียกว่า “ปลาเป็ด” จากน่านน้ำนอกประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ (อินโดนีเซีย) และเป็นประเด็นที่เดอะการ์เดียนยกขึ้นมาโจมตีว่ามีแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายประมาณ 200,000 ราย ถูกเอาเปรียบจากหัวหน้าแก๊ง ซีพีเอฟพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยโครงการ “ทำประมงในอ่าวไทยอย่างยั่งยืน” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2013 เพื่อคุ้มครองอนาคตของน่านน้ำของประเทศไทย และเพื่อให้ชุมชนชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ถึงรุ่นลูกหลาน โครงการนี้ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจของการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งการจัดการปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือประมงไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ

นอกจากนี้ ซีพีเอฟพยายามใช้คู่ค้าหรือซัปพลายเออร์ที่ซื้อวัตถุดิบจากผลพลอยได้ให้มากที่สุด ปัจจุบันทำได้แล้ว 42% และเป้าหมายของเราคือ 70% ภายในปี 2016 ผู้ค้าปลาป่นรายใหญ่ที่สุดคือ คิงฟิชเชอร์ (Kingfisher) ใช้ผลพลอยได้จากทูน่าที่ได้จากมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นบริษัทปลาป่นรายแรกที่ได้รับมาตรฐานรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นผู้ค้าที่รับผิดชอบ (responsible supply) ส่วนคู่ค้า 40 จากทั้งหมด 55 ราย ได้รับการรับรองตามมาตรฐานรัฐบาลไทยว่าด้วยการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย คิดเป็น 73% ของคู่ค้าและเราตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ 100%

นอกจากนี้ ซีพีเอฟเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่จ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบว่าไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมายแก่คู่ค้า ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปี 2013 ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มไปแล้วอีก 48.2 ล้านบาท

ซีพีเอฟชี้แจงกรณีเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามแผนความยั่งยืนโดยทั่วไป ซึ่งบริษัทตัดสินใจจะสื่อสารกับหนังสือพิมพ์ ด้วยเข้าใจว่าในฐานะเป็นหนังสือพิมพ์ที่รับผิดชอบ บริษัทหวังว่าเดอะการ์เดียนจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ที่จำเป็นในงานที่บริษัทกำลังทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับแผนปรับปรุงการทำประมงที่ทั้ง SPF และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลนำเสนอ

ระหว่างการติดต่อสื่อสาร บริษัทส่งคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสถิติการส่งออกมหภาคและรายละเอียดการกำกับดูแลห่วงโซ่อาหารในขณะนี้ ข้อมูลคู่ค้าปลาป่นและความคืบหน้าในการควบคุมการจัดซื้อปลาป่นให้เข้มงวดขึ้นอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเจาะประเด็นแรงงานทาสเพียงประเด็นเดียวโดดๆ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับแผนปรับปรุงการทำประมงโดยรวม

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สามารถช่วยได้ด้วยการเขียนข่าวโดยมีบริบทผูกโยงกับงานที่ซีพีเอฟกำลังทำ แต่หากหนังสือพิมพ์เลือกที่จะแค่ตั้งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสอย่างที่กำลังทำอยู่ งานของเราก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของทั้งอุตสาหกรรม

ซีพีเอฟมีทางเลือกสามารถเลือกที่จะไม่ใช้ปลาป่นอีกต่อไป ทั้งนี้ เราได้พัฒนาโปรตีนซึ่งสามารถนำมาใช้แทนปลาป่น และเรามีพันธะสัญญาที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จภายในปี 2021 หากจำเป็น หรือสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไปและประพฤติตัวด้วยความรับผิดชอบด้วยการใช้พลังและศักยภาพของเราเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม สิ่งที่เราทำกำลังคืบหน้าไปด้วยดี แต่ขณะนี้เรายืนอยู่บนจุดหักเห เราสามารถเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยและเฝ้าดูปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมพวกนี้ทำลายน่านน้ำรอบประเทศไทยรวมทั้งอุตสาหกรรมประมงในอีกหลายรุ่นข้างหน้า หรือไม่เราสามารถช่วยผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมงที่ SFP และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ



รายละเอียดคำชี้แจงของซีพีเอฟ

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน - การตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ


ปัญหา

· ซีพีเอฟเป็นผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย

· ปลาป่นเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์ เพราะมีโอกาสเป็นผลพวงจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) การทำประมงผิดกฎหมายนี้นำไปสู่ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมร้ายแรงหลายอย่างรวมถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนโจมตี

· บทความเมื่อวานนี้ (11 มิถุนายน 2557) เป็นบทความล่าสุดในรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน (The Guardian) ซึ่งเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วทั้งอุตสาหกรรมในห่วงโซอุปทานอาหารทะเลของประเทศไทย ซีพีเอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
· หลังจากล็อบบี และไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลไทย หนังสือพิมพ์ได้หันมากดดันแบรนด์และธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกเพื่อผลักดันให้ปรับปรุงสถานการณ์ทันที


ท่าทีและการดำเนินการของซีพี


การดำเนินการทันที

· ซีพีเอฟเป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสื่อและตอบคำถามสื่อ

· โดยพื้นฐานแล้ว ซีพีเอฟเชื่อว่าแต่ละคนที่ทำงานให้ซีพีเอฟ ทำงานกับซีพีเอฟในฐานะผู้ค้า หรือผ่านส่วนใดของห่วงโซอุปทานของซีพีเอฟ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเรือประมง สมควรต้องได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและด้วยเกียรติภูมิทุกขณะเป็นอย่างน้อย

· ในเรื่องนี้ ซีพีเอฟจึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบปฏิบัติการทั้งหมดของบริษัทเพื่อ

o ประณามการใช้แรงงานทาสตลอดแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานของเรา

o นำระบบตรวจสอบอิสระแบบสุ่ม (spot check) ที่ได้รับการประสานงานมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเราไม่มีและยังคงไม่มีการใช้แรงงานทาส


การดำเนินการระยะยาว

ในฐานะผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทยและผู้นำการผลิตของภูมิภาค ซีพีเอฟมีพันธะสัญญาที่จะ

1. ควบคุมระบบการจัดซื้อปลาป่นของเราให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย

2. ปรับปรุงการทำประมงเพื่อปกป้องคุ้มครองน่านน้ำไทยให้กับคนรุ่นหลัง


ความเข้าใจเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานปลาป่นในขณะนี้ของเรา

· ซีพีเอฟใช้ปลาป่นเป็นส่วนประกอบในจำนวนไม่มาก (ประมาณ 10% ของส่วนประกอบ) ในการผลิตอาหารเลี้ยงกุ้ง เรามีโรงผลิตอาหารสัตว์น้ำ 5 แห่งในประเทศไทย ซึ่งทุกโรงใช้ปลาป่นในการผลิตอาหารปลา (โรงงานบ้านบึง มหาชัย หนองแค บ้านพรุ น้ำน้อย)

· โรงงานผลิตอาหารสัตว์แต่ละแห่งของเราได้รับการรับรองมาตรฐานแนวปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Best Aquaculture Practice) http://www.gaalliance.org/

· ปัจจุบันบริษัทซื้อปลาป่นที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารเลี้ยงปลาจากโรงงานแปรรูปปลาป่นอิสระ 55 แห่ง ซึ่ง 40 แห่งจากทั้งหมด ปฏิบัติตามมาตรฐานรับรองการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (non-IUU certification scheme) ของกรมประมงเต็มรูปแบบ


โรงงานแปรรูปผลิตปลาป่นอย่างไร

· โรงงานปลาป่นอิสระที่เราซื้อปลาป่นแปรรูปปลาป่นจากผลพลอยได้ (by-product) หรือ ปลาที่เหลือจากการจับ (by-catch)

Ø ผลพลอยได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดแต่งทูน่าและปูอัดและทั้งหมดได้รับการรับรองว่าได้จากการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย ผลพลอยได้จากทูน่าส่วนใหญ่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิกและจากเรือประมงที่มีผู้สังเกตการณ์อิสระประจำภูมิภาคบนเรือเพื่อรับรองความถูกต้องของวิธีจับสัตว์น้ำ ผู้สังเกตการณ์อิสระนี้มาจากคณะกรรมาธิการการประมงแปซิฟิกตะวันตก และแปซิฟิกกลาง (WCPFC) http://www.wcpfc.int/

Ø ปลาที่เหลือจากการจับหรือที่บางครั้งเรียกว่า “ปลาเป็ด” จะมาจากน่านน้ำนอกประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ (อินโดนีเซีย) และเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของสัตว์น้ำที่เรือจับได้โดยเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้อย่างสิ้นเชิงไม่ว่าในตลาดใด ปกติแล้ว ปลาที่เหลือจากการจับจะถูกแช่แข็งในเรือขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “เรือแม่” ซึ่งจะออกเดินทะเลเป็นเวลาหลายๆ เดือนในแต่ละครั้ง เรือขนส่งลำเล็กจะไปรับบล็อกปลาแช่แข็งจากเรือใหญ่นี้เพื่อนำมาขายต่อที่ท่าเรือประมงของไทย

สายชล
13-06-2014, 18:49
ซีพีเอฟ” ซัด “เดอะการ์เดียน” (ต่อ)



ปลาที่เหลือจากการจับและเรือแม่เป็นประเด็นที่เดอะการ์เดียนยกขึ้นมาโจมตี

· ขณะนี้ มีแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายประมาณ 200,000 ราย ที่ทำงานในอุตสาหกรรมประมงของไทย หลายคนทำงานบน “เรือแม่” มีการกล่าวหาว่าบางราย (16% ตามรายงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ) ถูกเอาเปรียบจาก “หัวหน้าแก๊งค์” และตัวแทนเพียงเพราะเรือพวกนี้ต้องอาศัยแรงงานประเภทนี้ ชาวพม่าและเขมรมักเป็นเหยื่อที่หาได้ง่ายของนายจ้างผู้เอารัดเอาเปรียบที่สามารถจัดหาแรงงานให้ได้ทันที และเรือเหล่านี้ชักธงไทยไม่ทางใดทางหนึ่ง

ซีพีเอฟทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายจากปลาที่เหลือจับ รวมทั้งกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน/ใช้แรงงานผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องใน “เรือแม่”

โครงการ “ทำประมงในอ่าวไทยอย่างยั่งยืน” ของซีพีเอฟเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2013 เพื่อคุ้มครองอนาคตของน่านน้ำของประเทศไทยและเพื่อให้ชุมชนชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ถึงรุ่นลูกหลาน

โครงการของซีพีเอฟนี้ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งการจัดการปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือประมงไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้เท่านั้น

ขณะนี้ เรากำลังร่วมมือกับหุ้นส่วน ผู้มีส่วนได้เสียรายสำคัญและองค์กรพัฒนาเอกชน ทั่วโลกที่มองโลกด้วยหลักการและเหตุผล เพื่อช่วยขับเคลื่อนโครงการนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงซับซ้อนมากและจำเป็นต้องทำทีละขั้นตอน


สรุปกิจกรรมหลักๆ จนถึงขณะนี้

แผน 10 ประการของซีพีเอฟ


เราสามารถบรรลุเป้าหมายแผน 10 ประการ – มีหลายประเด็นในแผนที่จะส่งผลต่อสังคม อาทิ การกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาส ตามที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนไฮไลต์ สิ่งที่เราทำคือใช้คู่ค้าหรือซัปพลายเออร์ที่ซื้อวัตถุดิบจากผลพลอยได้ (by-product) ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ปัจจุบันเราทำได้แล้ว 42% และเป้าหมายของเราคือ 70% ภายในปี 2016 ซึ่งขณะที่เรากำลังเพิ่มสัดส่วนนี้ การพึ่งปลาที่เหลือจากการจับของเราก็ลดลงเป็นจำนวนมหาศาล ผู้ค้าปลาป่นรายใหญ่ที่สุดของเรา ซึ่งก็คือ คิงฟิชเชอร์ (Kingfisher) ใช้ผลพลอยได้จากทูน่าที่ได้จากมหาสมุทรแปซิฟิกและเป็นบริษัทปลาป่นรายแรกที่ได้รับมาตรฐานรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นผู้ค้าที่รับผิดชอบ (responsible supply)


การรับรองภายใต้มาตรฐานการไม่ทำประมงผิดกฎหมายของรัฐบาลไทย

ขณะนี้ คู่ค้า 40 จากทั้งหมด 55 รายของเราได้รับการรับรองตามมาตรฐานรัฐบาลไทยว่าด้วยการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้โรงงานแปรรูปต้องยื่นเอกสารทั้งหมด รวมถึงเอกสารการซื้อสัตว์น้ำที่จับได้ หนังสือรับรองการจับสัตว์น้ำ คำแถลงของกัปตัน และหนังสือรับรองการทำประมง ซึ่งทั้งหมดคิดเป็น 73% ของคู่ค้าของเราและเราตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ 100%


ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับคู่ค้าที่ไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (supplier premium for non-IUU)


ขั้นตอนหนึ่งที่ทำได้ทันทีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ค้าปลาป่นของเราทุกรายเข้าร่วมในโครงการนี้ คือเราเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่จ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบว่าไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมายแก่คู่ค้า ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปี 2013 ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มไปแล้วอีก 48.2 ล้านบาท


การรับรองห่วงโซ่อุปทานอิสระผ่านทาง Chain of Custody


ขั้นตอนที่ 2 คือขณะนี้เรากำลังทำงานกับ IFFO ในโครงการผู้ปรับปรุง IFFO RS (IFFO RS Improvers Program)http://www.iffo.net/node/493 ซึ่งเป็นโครงการตรวจสอบอิสระเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้าทุกรายของเรานำกลไกที่ปรับปรุงการทำงานของตนมาใช้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขั้นตอนที่ต้องทำก่อนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการผู้ปรับปรุง IFFO RS อย่างเป็นทางการคือคู่ค้าต้องได้รับมาตรฐานการรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นคู่ค้าที่รับผิดชอบwww.gmpplus.org ก่อน

ในเดือนนี้ โรงงานบ้านบึงของซีพีเอฟจะเป็นโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกในเอเชียที่จะได้รับการรับรอง IFFO RS CoC (Chain of Custody) ผ่านคู่ค้าปลาป่นรายหนึ่งของเรา และภายใน 3 ปี โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าว่าจะใช้ปลาป่น 100% จากคู่ค้าผู้ได้รับการรับรองมาตรฐาน IFFO RS ตามพันธะสัญญาที่เราทำไว้ในแผน 10 ประการของเรา


การทำงานกับรัฐบาลไทย

เราเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียวในเอเชียที่ทำงานกับรัฐบาลไทย (กรมประมง) เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายประมง โดยได้มีการประชุมอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานรัฐตลอดปี 2013 และในไตรมาสแรกของปี 2014 ขณะนี้ กฎหมายใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา


การผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมง – แถบอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้แปรรูปอาหารทะเลไทยรายสำคัญ 8 ราย*ลงนามในบันทึกเพื่อความเข้าใจ (MOU) (เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014) พร้อมโครงร่างแผนที่นำทางเพื่อการพัฒนาการประมงไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งงานนี้จะมีการนำประเด็นสังคมว่าด้วยการใช้แรงงาน “ทาส” ที่ถูกกล่าวหามาแก้ไขด้วย ขณะนี้ ผู้แปรรูปกำลังจัดทำแผนปรับปรุงการทำประมง (Fishery Improvement Plan – FIP) สำหรับอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แต่จำเป็นต้องมีเงินทุน c$500,000 ดอลลาร์เพื่อว่าจ้าง Sustainable Fisheries Partnership (SFP) http://www/sustainablefish.orgและองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) www.wwf.or.th/en/ซึ่งมีทั้งทักษะและความเชี่ยวชาญในการทำการศึกษา ซีพีเอฟอยู่ระหว่างการระดมทุนก้อนแรก


*สมาคมอาหารสัตว์ไทย สมาคมประมงแห่งชาติ สมาคมประมงไทยต่างประเทศ สมาคมผู้ผลิตปลาป่นประจำประเทศไทย สมาคมอาหารแช่แข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมปลาทูน่าไทย และสมาคมผู้แปรรูปอาหารไทย


การที่บริษัทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน


หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามแผนความยั่งยืนโดยทั่วไปของเรา ซึ่งบริษัทตัดสินใจจะสื่อสารกับหนังสือพิมพ์ ด้วยเข้าใจว่าในฐานะเป็นหนังสือพิมพ์ที่รับผิดชอบ บริษัทหวังว่าเดอะการ์เดียนจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ที่จำเป็นในงานที่บริษัทกำลังทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับแผนปรับปรุงการทำประมงที่ทั้ง SPF และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ


ระหว่างการติดต่อสื่อสาร บริษัทส่งคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสถิติการส่งออกมหภาคและรายละเอียดการกำกับดูแลห่วงโซ่อาหารในขณะนี้ของเรา ข้อมูลคู่ค้าปลาป่นและความคืบหน้าที่ดีในการควบคุมการจัดซื้อปลาป่นของเราให้เข้มงวดขึ้น หนึ่งในตัวอย่างคืองานที่เรากำลังทำกับ IFFO เพื่อผลักดัน “โครงการ IFFO RS Improvers Chain of Custody”


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเจาะประเด็นแรงงานทาสเพียงประเด็นเดียวโดดๆ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับแผนปรับปรุงการทำประมงโดยรวม


หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สามารถช่วยได้ด้วยการเขียนข่าวโดยมีบริบทผูกโยงกับงานที่ซีพีเอฟกำลังทำ แต่หากหนังสือพิมพ์เลือกที่จะแค่ตั้งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสอย่างที่กำลังทำอยู่ งานของเราก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของทั้งอุตสาหกรรม


ซีพีเอฟมีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะไม่ใช้ปลาป่นอีกต่อไป ทั้งนี้ เราได้พัฒนาโปรตีนซึ่งสามารถนำมาใช้แทนปลาป่น และเรามีพันธะสัญญาที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จภายในปี 2021 หากจำเป็น (แผน 10 ประการของซีพีเอฟ)


หรือเราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไปและประพฤติตัวด้วยความรับผิดชอบด้วยการใช้พลังและศักยภาพของเราเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม


สิ่งที่เราทำกำลังคืบหน้าไปด้วยดี แต่ขณะนี้เรายืนอยู่บนจุดหักเห เราสามารถเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยและเฝ้าดูปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมพวกนี้ทำลายน่านน้ำรอบประเทศไทยรวมทั้งอุตสาหกรรมประมงในอีกหลายรุ่นข้างหน้า หรือไม่เราสามารถช่วยผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมงที่ SFP และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ


นอกเหนือจากที่ซีพีเอฟได้ออกเงินสนับสนุนไปแล้ว ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการพัฒนาแผนเพื่อระดมทุน ในการนำเงินไปใช้ในการจัดทำแผนและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้เพื่อความยั่งยืน


ข้อมูลจาก....ผู้จัดการออนไลน์ ประจำวันที่ 13 มิย. 57
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9570000066612

สายชล
11-12-2014, 16:40
ประมงไทยปะทะบทโหดมะกัน-อียู


โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ 11 ธ.ค. 2557 06:01


http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFIsrIoYLSY9yW0rSr6hPA7tDmkdfZzfx7dy0AE.jpg




ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ในปี 2558 จะเป็นปีลุ้นระทึกสำหรับอุตสาหกรรมประมงและการส่งออกสินค้าประมงไทย เพราะมีอุปสรรคใหญ่ในตลาดหลักคือยุโรปและสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 76,000 ล้านบาท หรือกว่า 30% ของการส่งออกประมงปีละกว่า 200,000 ล้านบาท โดยตลาดยุโรปมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท มีการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ทำให้กุ้งไทยแข่งขันได้ลำบาก นอกจากนี้ ยังต้องจับตาสหภาพยุโรป (อียู) ที่อาจออกมาตรการกีดกันสินค้าไทยเพิ่มเติม โดยใช้กฎระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้านและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งล่าสุดอียูได้แจ้งเตือนผ่านทางสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตรประจำกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม ว่า พบว่าไทยยังดำเนินการได้ไม่เข้มงวด โดยให้เวลาแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งใกล้ครบกำหนดแล้ว หากไทยไม่สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขอาจถูกอียูออกใบแดง หรือมาตรการงดนำเข้าสินค้าประมงจากไทยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯพยายามแก้ไขปัญหานี้ โดยเร่งออกกฎหมายควบคุมกิจกรรมการประมง และการติดตั้งระบบติดตามเรือประมง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนลำละประมาณ 40,000 บาท จากเรือประมงพาณิชย์และเรือประมงนอกน่านน้ำที่ขึ้นทะเบียนไว้ทั้งสิ้นประมาณ 8,500 ลำ

สำหรับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 44,000 ล้านบาท ยังต้องติดตามผลกระทบจากกรณีสหรัฐฯประกาศให้จัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในไทยให้ลงไปอยู่ในระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด ซึ่งไทยมีเวลาดำเนินการแก้ไขในปีหน้า แม้ว่าการจัดอันดับการค้ามนุษย์ประเทศต่างๆ ตามกฎหมายของสหรัฐฯ จะไม่มีมาตรการสั่งห้ามนำเข้าสินค้า แต่กรณีนี้สินค้าประมงจากไทย จะมีภาพลักษณ์ที่เสียหายในสายตาของผู้บริโภคในสหรัฐฯ.


ข้อมูลจาก....http://www.thairath.co.th/content/468416

สายชล
25-04-2015, 14:38
อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

โพสต์เมื่อ : 22 เมษายน 2558 เวลา 08:19:40


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti.jpg


อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน


กระทรวงการต่างประเทศ แถลงผิดหวังอียูแจกใบเหลืองไทย พร้อมขีดเส้นตาย 6 เดือน แก้ปัญหาประมงเถื่อน ขู่ถ้าแก้ไม่ได้ส่อระงับการนำเข้าอาหารทะเล สูญกว่า 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ได้เผยแพร่เอกสารแถลงข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมได้ลงมติภาคทัณฑ์ หรือให้ใบเหลืองกับประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เพื่อแจ้งเตือนไทยอย่างเป็นทางการต่อกรณีที่ยังไม่มีมาตรการเพียงพอตามกฎระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไร้การควบคุม หรือกฎระเบียบ (ไอยูยู) ทั้งนี้ไทยมีเวลาอีก 6 เดือน เพื่อแก้ไขปัญหากิจการประมงผิดกฎหมาย

http://img.kapook.com/u/settawoot/578293-01.jpg

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

ทั้งนี้ สำนักข่าวเอพี รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างคำพูดแหล่งข่าวว่า การเตือนครั้งนี้ของอียูจะเป็นการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย หากไทยถูกอียูสั่งห้ามนำเข้าสินค้าประมงจริง ไทยจะสูญเสียรายได้เกือบ 30,000 หมื่นล้านบาทต่อปี

ขณะที่ นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากการออกหน่วยเคลื่อนที่แบบเบ็ดเสร็จ 112 หน่วยใน 23 จังหวัดชายทะเล เพื่อรับจดทะเบียนและออกใบอนุญาตทำการประมงให้กับเรือประมงไทย พบว่า ขณะนี้มีเรือประมงเข้ารับการจดทะเบียนใหม่ จำนวน 4,243 ลำ และสามารถออกอาชญาบัตรการทำประมงได้ จำนวน 12,455 ลำ โดยมีเรือประมงที่จดทะเบียนรวมทั้งหมด 50,710 ลำ และเรือประมงมีใบอนุญาตทำการประมง รวม 28,364 ลำ

ส่วนความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU Fishing) กรมประมง ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ควบคุมเฝ้าระวัง จำนวน 18 ศูนย์ และเตรียมจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกของเรือประมงอีก 26 ศูนย์ เพื่อทำหน้าที่รับแจ้งและตรวจสอบเรือประมงผิดกฎหมายต่อไป


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti02.jpg

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน


ทั้งนี้ในเวลาต่อมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงชี้แจงถึงเรื่องที่คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) แจกใบเหลืองไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ไทยรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจออกประกาศเตือนดังกล่าวซึ่งสะท้อนว่า อียู มิได้ตระหนักถึงความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมของไทยในการแก้ปัญหา ไอยูยู รวมถึงความร่วมมือระหว่างไทยกับ อียู ในการต่อต้าน การประมง ไอยูยู ที่มีมายาวนาน

2. ไทยเรียกร้องให้ อียู พิจารณาการดำเนินการของไทยในเชิงเทคนิคตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่มีความโปร่งใสและเที่ยงตรง อย่างไม่เลือกปฏิบัติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริงในไทย

3. ไทยจะสานต่อความร่วมมือกับ อียู เพื่อให้ไทยออกจากกลุ่มที่ถูกประกาศเตือน รวมทั้งสามารถแก้ไขและป้องกันการทำประมงแบบ ไอยูยู ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรทางทะเลและกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมงแบบไอยูยูเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติที่ต้องแก้ไขโดยความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานหลักได้เป็นผู้นำในการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการตามแผนงานหลัก6แผนงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

(1) การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง

(2) การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง ไอยูยู

(3) การเร่งจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง

(4) การพัฒนาระบบควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง โดยเฉพาะการควบคุมการเข้า-ออกท่าของเรือประมง

(5) การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System - VMS)

(6) การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti03.jpg

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ การรักษาทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำประมงเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลนี้ และรัฐบาลจะยังคงดำเนินการอย่างแข็งขันในการแก้ปัญหาภายใต้การนำของผู้นำระดับสูงต่อไป

สายชล
25-04-2015, 14:41
'ประวิตร' ยันไม่ใช้ ม.44 แก้ 'อียู' ใบเหลืองประมงไทย

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 เม.ย. 2558 14:12

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFtLr0pUpOiSBWKsIX6vbMWusXQxev2GNMwOxUW.jpg


"ประวิตร" เรียกถกแก้ปัญหา "อียู" แจกใบเหลืองประมงไทย ยันไม่จำเป็นต้องใช้ ม.44 เตรียมออก พ.ร.ก. แก้ปัญหา ตั้งเป้า 3 เดือนปัญหาจบ และจะได้ใบเขียวภายใน 6 เดือน ...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 เม.ย. ที่อาคารรับรองเกษะโกมล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) หลังจากสหภาพยุโรป หรืออียู ประกาศให้ใบเหลืองไทยด้านการประมงที่ผิดกฎหมาย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงคมนาคม ผบ.ทร. ผบ.ตร. กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหานั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเสนอที่ประชุมให้ออกพระราชกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 21 ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่อง IUU โดยตรง และควบคุมการทำประมงนอกน่านน้ำของเรือประมงไทย ทั้งในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวง เพื่อให้ทันก่อนที่อียูจะมาตรวจสอบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาในเดือนพฤษภาคมนี้ และยังเป็นการอุดช่องว่างระหว่างที่รอราชกิจจานุเบกษา ประกาศแก้ไข พ.ร.บ.ประมง ซึ่งจะมีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน หลังวันประกาศ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวในที่ประชุมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน ขณะที่หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกชนและประชาชน ต่างก็ให้ความร่วมมือที่จะเร่งแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มิฉะนั้น จะกระทบกับอุตสาหกรรมประมงในประเทศได้ ทั้งนี้ อยากขอความร่วมมืออุตสาหกรรมประมง ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ขณะที่ประชาชนเองก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะให้การสนับสนุนภาครัฐ เมื่อเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จะต้องรีบแจ้งโดยทันที

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งนี้ การที่เราโดนใบเหลืองไม่มีปัญหา เราจะต้องร่วมมือกับทางอียูว่า อะไรบ้างที่เรายังทำไม่สมบูรณ์ ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่า ทางอียูต้องการกฎหมายที่มองว่ายังไม่เป็นไปตามหลักสากล และยังไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ ตลอดจนเรื่องการติดตามเรือ การตรวจสอบ คือเรายังทำไม่ครบและไม่เป็นไปตามกำหนดเวลา และเราก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะให้ใบเหลืองกับเรา เพราะที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปมาก แต่เมื่อเขาแจ้งมาทั้งหมด ซึ่งเราก็ทำ แต่ยังไม่เป็นไปตามหลักสากล หรืออย่างที่อียูต้องการ ประเทศอื่นๆ ที่เคยประสบปัญหาเหมือนเรา แต่เขาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า เขาจะดำเนินการอย่างไรในอนาคต ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ตนได้ทำความเข้าใจกับหน่วยงานทั้งหมดว่าเราจำเป็นต้องแก้ไข และต้องทำให้ได้ทั้งหมด และตกลงกันได้แล้วว่า ทุกส่วนจะไปดำเนินการในเรื่องกฎหมาย การออกของประมง การทำประมงผิดกฎหมาย การติดตามเรื่องจีพีเอส ทั้งเรื่องเรือประมงย้อนกลับว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเราจะดำเนินการทั้งหมด

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า เรามีความจำเป็นต้องจัดตั้งชุดเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่ไปชี้แจงกับอียู ได้รับทราบว่า เราทำอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะในส่วนเรือที่จะออกท่า เราจะตั้งจุดเฉพาะกิจใน 22 จังหวัด ในห้วงระยะเวลา 2 เดือน อย่างไรก็ตาม จะมีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งชุดเฉพาะกิจมาประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามความคืบหน้า

"ผมมั่นใจว่าเราจะได้ใบเขียวภายใน 6 เดือนข้างหน้า ถ้าเราดำเนินตามที่อียูต้องการ เพราะผมตั้งเป้าไว้ว่า 1 เดือน เราต้องมีความชัดเจน และ 3 เดือน การแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวต้องจบ ทั้งนี้ ทางอียูจะเดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าในเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งเรามีความชัดเจนในการแก้ปัญหาเตรียมให้เขาดูแล้ว ซึ่งผมไม่หนักใจอะไร เราพร้อมให้ความร่วมมือกับอียูทุกเรื่อง" พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า จะใช้พระราชกำหนด หรือมาตรา 44 ในการออกกฎหมายแก้ไขปัญหา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มาตรา 44 คงไม่ใช้ ถ้าเราออก พ.ร.บ.ไปแล้ว และไม่ได้ ก็ต้องออกกฎหมายลูก เพื่อให้เกิดความครอบคลุม ถ้ากฎหมายลูกยังไม่พอ ก็ออกเป็นพระราชกำหนดได้อีก เมื่อถามย้ำว่าจะใช้พระราชกำหนดแทนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช้พระราชกำหนดได้ เพราะมาตรา 44 เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงในอนาคต และเราจะใช้เมื่อจำเป็น ตอนนี้ไม่มีความจำเป็น เพราะเรามีกฎหมายตัวอื่นอยู่ ส่วนการแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจชี้แจงกับอียูนั้น ตนจะแต่งตั้งเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือ รมว.ต่างประเทศ ก็ได้ ตลอดจนถึงปลัดกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง

เมื่อถามว่า ห่วงเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ของไทยที่ภายหลังสหรัฐอเมริกาลดระดับให้อยู่ใน เทียร์ 3 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต่อไปเราจะมีหารือกันในเรื่อง เทียร์ 3 เพราะที่ผ่านมา เราได้ส่งเอกสารชี้แจงไป 2 ครั้งแล้ว ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องการจับกุม การดำเนินคดี ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับ เราต้องเรียกประชุมใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และให้เกิดความมั่นใจว่าทางสหรัฐฯ จะลดจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2.

สายชล
25-04-2015, 14:44
กรมเจ้าท่าใช้ไม้แข็ง

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2558 05:52

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFtMvJ34w4dRQkRrdDnp8jHigtHC7igyQCmVGWm.jpg

ปราบเรือประมงฝ่าฝืน! เร่งปลดล็อกใบเหลือง

กรมเจ้าท่าออกโรงลุยจัดระเบียบเรือประมง หวังปลดล็อกไทยพ้นใบเหลือง “ไอยูยู ฟิชชิง” สั่งติดตั้งระบบติดตามเรือวีเอ็มเอสใน 3 เดือน แก้กฎหมายบังคับเพิ่มเรือ 30 ตันกรอสต้องแจ้งเข้า-ออก พร้อมเข้มจดทะเบียนเรือ ท่าเรือ ลูกเรือ ลงโทษหนักใครฝ่าฝืน ด้านอธิบดีกรมประมงเข้าพบ รมว.มหาดไทยหารือแนวทางแก้ปัญหา “บิ๊กป๊อก” เร่งทุกหน่วยคืนความเชื่อมั่นอียู กำชับเรือประมงติดเครื่องมือตรวจสอบ ขณะที่รัฐบาลแจงออก พ.ร.ก.อุดช่องปัญหาประมง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมง ไม่อาจทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หลังอียูให้ใบเหลืองไทย ต่างพากันขวนขวายแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ว่า ในฐานะคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู ฟิชชิง) ได้เร่งบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบเรือประมง และปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมงและการทำประมงผิดกฎหมายหลายรูปแบบ เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากการที่ถูกคณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเล ประกาศขึ้นบัญชีประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมง ภายในเวลา 6 เดือน โดยมาตรการที่ดำเนินการประกอบด้วย การออกกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ โดยอาศัยอำนาจตามความมาตรา 163 ของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย บังคับให้เรือขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือ วีเอ็มเอส ให้เสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 26 เม.ย.58 หากพ้นกำหนดไปแล้ว ให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคเร่งตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

นายจุฬากล่าวด้วยว่า กรมฯยังเร่งแก้กฎหมายตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย มาตรา 23 ซึ่งเพิ่มเติมในมาตรา 23/1 เพื่อบังคับเรือตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ที่เดินเรือในน่านน้ำไทยสำหรับเรือประมง จะต้องแจ้งเข้าและแจ้งออก เป็นการควบคุมและติดตามเรือ ช่วยการตรวจสอบเรื่องแรงงานประมงกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หลังจากที่ผ่านมาจะบังคับการแจ้งเข้า-ออก เฉพาะเรือ 60 ตันกรอสขึ้นไป ที่ออกไปจับปลาต่างประเทศหรือนอกน่านน้ำไทย จะต้องแจ้งก่อน 6 ชม. และหลังจากเรือที่เข้ามาต้องแจ้งเข้าภายใน 24 ชม.

อธิบดีกรมเจ้าท่ากล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเน้นให้ประเทศไทย ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วม ในการกระทำผิดในเรื่องค้ามนุษย์นั้น กรมให้ความสำคัญเต็มที่ โดยให้คำแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ในการลงโทษขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการออกตรวจตราปราบปราม ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันยังมีการบูรณาการ ในการตรวจตราลงโทษ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-31 มี.ค.58 มีการออกตรวจเรือ 548 ครั้ง ตรวจเรือได้ 4,049 ลำ พบการกระทำผิด 270 ลำ มีบทลงโทษด้วยการปรับ ตั้งแต่ 500-10,000 บาท และยังได้เร่งรัดให้มีการจดทะเบียนเรือประมงให้ถูกต้อง โดยให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ออกหน่วยทะเบียนเรือเคลื่อนที่ 351 ครั้ง รวมทั้งออกประกาศกระทรวง งดเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตรวจเรือสำหรับเรือประมงขนาดไม่เกิน 20 ตันกรอส 1 ปี จนถึงวันที่ 12 มี.ค.59 เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวก พร้อมกับตรวจตราบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยให้จัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี ซึ่งนับตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.58 มีเรือประมงเข้าสู่การจดทะเบียนเรือใหม่ 5,166 ลำ และมีเรือประมงต่ออายุ 7,153 ลำ

ขณะเดียวกันยังเข้มงวดการอนุญาตให้ลงทำการในเรือ ตามมาตรา 285 พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 โดยการที่คนประจำเรือ หรือแรงงานจะลงทำการในเรือประมง ต้องแจ้งขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงจะทำการในเรือได้ หากเป็นแรงงานต่างด้าว ต้องนำใบอนุญาตให้ทำงานกรมการจัดหางานและสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง มาเป็นเอกสารประกอบในการขออนุญาต โดยปัจจุบันมีการอนุญาตผู้ทำการในเรือ 703 ลำ เป็นคนไทย 1,651 คน คนต่างด้าว 6,981 คน รวมอนุญาต 8,632 คน ตลอดจนได้สำรวจข้อมูลท่าเทียบเรือและแพปลาที่รองรับเรือขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ซึ่งเบื้องต้นมีอยู่ 319 แห่ง และจะรณรงค์ให้ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือและแพปลาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องขออนุญาตสร้าง หรือประกอบกิจการท่าเทียบเรือและแพปลาให้ถูกต้อง ตลอดจนให้มีการส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรือประมงที่ฝ่าฝืน หรือไม่กรอกข้อมูลแจ้งเข้า-ออก ให้ศูนย์แจ้งเรือเข้า-เรือออกด้วย

“การดำเนินการมาตรการต่างๆในการจัดระเบียบเรือประมง ทำให้เรือประมงเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนเรือเพิ่มขึ้น กำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และกรมยังคงเร่งทำตามแผนแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมงและการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อสกัดกั้นขบวนการการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง แสดงถึงความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการยุโรป ในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย” นายจุฬากล่าว

วันเดียวกัน นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หารือแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมาย ในเรื่องความคืบหน้าการลงทะเบียนแรงงานประมง พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า การทำงานของชุดเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้น เพื่อตรวจสอบและจดทะเบียนแรงงาน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยพร้อมสนับสนุนทุกด้าน เน้นการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนด โดยการทำงานร่วมกัน หลังจากมีกฎหมายหรือพระราชกำหนดออกมา กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปช่วยกันกำกับให้เป็นไปตามมาตรการ โดยมหาดไทย กรมเจ้าท่า ตำรวจน้ำ กรมประมง กระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมกันเป็นชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษ ถือเป็นเรื่องสำคัญของชาติ ถ้าแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้จะเกิดผลกระทบมาก สิ่งที่ต้องทำคือการดำเนินมาตรการในท่าเรือ 26 แห่ง โดยกำชับให้ติดเครื่องมือตรวจสอบ ส่วนนี้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้อียูมีความเชื่อมั่น และให้กรีนการ์ดกับประมงไทย

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมายว่า รัฐบาลเร่งดำเนินการ ออกกฎหมายให้ครอบคลุมสิ่งที่อียูเรียกร้อง ก่อนหน้านี้ เราได้แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2490 ที่ล้าสมัยให้เป็นสากลไปแล้ว กำลังรอประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา จึงทำให้สาระสำคัญบางประการไม่ได้ถูกกำหนดลงใน พ.ร.บ.ประมงฉบับที่ปรับปรุง ด้วยเหตุนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงจำเป็นต้องเตรียมร่างพระราชกำหนดขึ้นมาเพื่อปิดช่องโหว่ อาทิ การตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงจากแหล่งจับ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเป็นสัตว์น้ำที่ได้มาจากการประมงที่ถูกกฎหมาย กำหนดบทลงโทษที่เป็นสากล คาดว่าจะประกาศออกมาในทันทีที่ พ.ร.บ.ประมงมีผลบังคับใช้ ส่วนการใช้มาตรา 44 ร่วมแก้ไขก็เพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติงาน โดยไม่ขัดกับหลักกฎหมายที่มีอยู่

ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการเร่งแก้ไขปัญหาหลังจากอียู ให้ใบเหลืองเตือนไทยเรื่องการทำประมงที่ผิดกฎหมายว่า ได้แก้ปัญหาดังกล่าวมาตลอด มีคณะทำงานเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนการใช้มาตรา 44 เป็นการใช้เพื่อจะบูรณาการ ให้เกิดความรวดเร็ว นำไปสู่การปฏิบัติได้เลย เรื่องการได้ใบเหลือง อย่าวิตก โทษใครไม่ได้ รัฐบาลนี้จะแก้ไขอย่างเต็มที่ แต่ไม่รับประกันได้ว่าจะเสร็จภายใน 6 เดือนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทุกคน แต่หวังว่าจะแก้ปัญหาได้ภายใน 6 เดือน ยืนยันว่าจะทำงานเต็มที่ ส่วนผลกระทบเรื่องการส่งออกนั้น คุยกับภาคเอกชนแล้ว อาจจะมีผลกระทบไม่มากนัก อย่าไปมองว่าอียูจับผิดอะไร เพราะเขาทำเหมือนกันหมดทุกประเทศ แม้จะเป็นปัญหาหนักพอสมควร แต่อย่าท้อถอยจะใช้วิกฤติเป็นโอกาส สร้างความเข้าใจ ร่วมมือกัน การเดินทางไปอินโดนีเซียช่วงที่ผ่านมา ได้คุยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการประมงอาเซียนร่วมกัน เพราะไทยมีปัญหาเยอะพอควรที่เรือประมงต่างๆ ไปทำผิดที่อินโดนีเซีย

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญนายเฆซูส มิเกล ซันส์ เอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย เข้าหารือกับนายนภดล เทพพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความผิดหวังที่อียูประกาศเตือนหรือให้ใบเหลืองกับไทยเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) พร้อมกับยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่แก้ไขปัญหาในภาคประมงอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติ และเริ่มมีผลคืบหน้าให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม จึงอยากให้อียูยกเลิกประกาศเตือนในไทยโอกาสแรก ขณะที่ไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับอียูอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป รวมถึงการแจ้งให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ไปขอข้อมูลกับทางการประเทศนั้นๆ ว่าได้ร่วมมือกับอียูอย่างไรในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้หลุดจากประเทศในกลุ่มที่อียูให้ใบเหลืองได้ตามกรอบเวลา

สายชล
29-04-2015, 10:42
มีผลแล้ว! พ.ร.บ.การประมง ฉบับใหม่ “ประวิตร” ชง “กองทัพเรือ” บูรณาการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

28 เมษายน 2558 19:04


มีผลแล้ว! พ.ร.บ. การประมง ฉบับใหม่ “ประวิตร” สั่งกฤษฎีกา พิจารณาจัดทำรายละเอียดคำสั่งต่างๆ ตาม พ.ร.บ. ให้ กองทัพเรือ บูรณาการทุกหน่วยงานแก้ไข พร้อมสั่งการให้ กระทรวงเกษตรฯ จัดทำร่าง พ.ร.ก. ปิดช่องโหว่ต่างๆ ตามที่อียูได้ท้วงติงมา ส่วน “พ.ร.บ. ค้ามนุษย์” เพิ่มอํานาจทางปกครองให้แก่เจ้าหน้าที่

วันนี้ (28 เม.ย.) มีรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศใช้ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ และ พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘

โดย เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในปัจจุบันที่มีความรุนแรง ซับซ้อน และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ

จึงเห็นควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์โดยกําหนดให้มีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้พบเห็นเหตุการค้ามนุษย์แจ้งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกําหนดมาตรการเพิ่มอํานาจทางปกครองให้แก่เจ้าหน้าที่ รวมทั้งปรับปรุงบทกําหนดโทษที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จะมีการตั้ง คณะกรรมการ ปคม. ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ ปกค. เป็นรองประธานกรรมการ รมว.กลาโหม รมว.การต่างประเทศ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.มหาดไทย รมว.ยุติธรรม รมว.แรงงาน และ ผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 4 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ด้านการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดฟื้นฟูและการประสานงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไม่น้อยกว่าเจ็ดปี ด้านละหนึ่งคน โดยต้องเป็นภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ

ทั้งนี้ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์หรือพบการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ในสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะตามมาตรา ๑๖/๑ หากเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะ ดังกล่าวไม่สามารถชี้แจงหรือพิสูจน์ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง เชื่อได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณีแล้ว ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองมีอํานาจสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

(๑) ปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว
(๒) พักใช้ใบอนุญาตประกอบการสําหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน
(๓) ห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราว
(๔) ดําเนินมาตรการที่จําเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทําผิดเกิดขึ้นอีก

ทั้งนี้ การสั่งตาม (๑) (๒) และ (๓) ต้องไม่เกินครั้งละสามสิบวันนับแต่วันที่เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับทราบคําสั่งในกรณีมีการออกคําสั่งใดๆ ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองแจ้งให้หน่วยงานซึ่งควบคุมสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบ และให้หน่วยงานดังกล่าวถือปฏิบัติตามนั้น การพิจารณาปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว การพักใช้ใบอนุญาตประกอบการ

สําหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน การห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราวหรือการดําเนินมาตรการที่จําเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทําผิดเกิดขึ้นอีก ตามวรรคหนึ่ง และการแจ้งให้หน่วยงานรับทราบตามวรรคสามให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด

มาตรา ๑๖/๓ ให้แจ้งคําสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต่อเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดําเนินกิจการ สถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบเป็นหนังสือ ณ ภูมิลําเนาของผู้นั้น ภายในเจ็ดวันนับแต่วันออกคําสั่ง

ในกรณีที่ไม่มีผู้รับ ให้ปิดคําสั่งไว้ที่ภูมิลําเนาของผู้นั้นในที่เปิดเผย และให้ถือว่าเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับแจ้งคําสั่งนั้นแล้ว เมื่อพ้นกําหนดสิบห้าวันนับแต่วันปิดคําสั่ง

ในกรณีเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะไม่เห็นด้วยกับคําสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งจากคณะอนุกรรมการ

การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุ ุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองคําวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ คณะกรรมการและคณะกรรมการ ปกค. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการและคณะกรรมการ ปกค. มอบหมายก็ได้ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการตามมาตรา ๑๖/๒ให้นํามาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานโดยอนุโลม”

มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๖/๑) ของมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ “(๖/๑) ค่าปรับตามที่กระทรวงการคลังอนุญาต ให้นําไปใช้ได้โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน”

มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๒ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑“มาตรา ๕๓/๑ ถ้าการกระทําผิดตามมาตรา ๕๒ หรือมาตรา ๕๓ วรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทํา

(๑) รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่แปดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจําคุกตลอดชีวิต
(๒) ถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตมาตรา ๕๓/๒ เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงานหรือยานพาหนะ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ส่วน พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มี เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการประมงได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำจํานวนจํากัด ในขณะที่เทคโนโลยีด้านการประมงได้พัฒนาไปอย่างมากและถูกนําไปใช้เป็นเครื่องมือทําการประมง อันส่งผลให้สัตว์น้ำลดจํานวนลงอย่างรวดเร็ว จึงสมควรปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำและการประมงของประเทศ

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/034/1.PDF

ให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ด้านการประมง และสภาพของสังคมในปัจจุบัน โดยกําหนดให้มีมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการ

การบํารุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ และการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริม
ให้ประชาชนหรือชุมชนประมงท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างสมดุล เพื่อให้สามารถนําทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
และกําหนดมาตรการในการส่งเสริมให้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้จากการทําการประมงหรือจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมทั้งกําหนดมาตรการควบคุมและจัดระเบียบการใช้เรือประมงไทยในการทําการประมงทั้งในน่านน้ำและนอกน่านน้ำไทย

มีรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (28 เม.ย.) ได้มีการหารือเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing ซึ่งประเทศไทยถูกสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศภาคทัณฑ์ โดย ครม. รับทราบว่า ขณะนี้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประมง พ.ศ. 2558 ฉบับปรับปรุง ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 60 วัน

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานในที่ประชุม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาจัดทำรายละเอียดคำสั่งต่างๆ ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวเพื่อให้ กองทัพเรือ เป็นหน่วยงานบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการแก้ไขเรื่องต่างๆตามมติของอนุกรรมการฯ และได้สั่งการให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆตามที่อียูได้ท้วงติงมาให้พร้อม เพื่อประกาศออกมาทันทีที่ พ.ร.บ.ประมงมีผลบังคับใช้”




http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/034/1.PDF

สายชล
29-04-2015, 10:43
พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/034/1.PDF

สายชล
29-04-2015, 21:28
คำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฏหมายค่ะ



...........................................................................


คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘

เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม 23 ข้อ ผู้ใดกระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ ถ้าได้กระทําความผิดนั้นซ้ำอีกต้องระวางโทษเป็นทวีคูณ

วันนี้(29 เม.ย.) มีรายงานว่า เวปไซด์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

มีใจความว่า จากการที่ประเทศไทยได้รับการประกาศเตือนจากสหภาพยุโรปถึงการจัดให้มีมาตรการในการป้องกันยับยั้ง และขจัดการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ซึ่งหากไม่มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังโดยเร่งด่วนภายในหกเดือนอาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเทศไทยในอนาคตและความมั่นคงของประเทศไทยในภาพรวม ดังนั้น เพื่อให้สามารถเร่งดําเนินการแก้ปัญหาให้การทําการประมงสามารถดําเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ และยกระดับมาตรฐานการประมงของประเทศไทยให้สอดคล้องกับ
มาตรฐานสากล รวมทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมง อุตสาหกรรมต่อเนื่องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากมิได้มีการป้องกันและแก้ไขโดยเร่งด่วน จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศได้ เพื่อดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้จัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย” (Command Center for Combating Illegal Fishing) เรียกโดยย่อว่า ศปมผ. (CCCIF) เป็นศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ผบ.ศปมผ.) และทั้งนี้ ให้ ศปมผ. เริ่มปฏิบัติการตามคําสั่งนี้ ตั้งแต่วันที่๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

ข้อ ๒ ศปมผ. มีโครงสร้างการปฏิบัติการดังต่อไปนี้

(๑) ให้คณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทําประมงผิดกฎหมายซึ่งจัดตั้งขึ้นตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๕๒/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในระดับรัฐบาล

(๒) ให้กองทัพเรือ และศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) ซึ่งจัดตั้งโดยมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๐ และวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักของ ศปมผ. ในการปฏิบัติการทางทะเลและชายฝั่ง และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

(๓) ให้มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก (Port In - Port Out Controlling Center)และศูนย์ให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่เรือประมงแบบเบ็ดเสร็จ (Fishing One Stop Service)ประจําในแต่ละจังหวัดชายทะเล ทั้งนี้ ตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๓ ให้ ศปมผ. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑) กําหนดแนวทางของไทยและจัดทําแผนปฏิบัติการแห่งชาติในการแก้ปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Thailand’s National Plan of Action to Prevent, Deter and Eliminate IUU Fishing, NPOA - IUU) ตลอดจนกํากับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนนั้น รวมถึงดําเนินงานทําความเข้าใจกับสหภาพยุโรป

(๒) ควบคุม สั่งการ กํากับดูแล และประสานการปฏิบัติการทั้งปวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สํานักงานตํารวจแห่งชาติและส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม

(๓) พิจารณาเสนอแนะ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมายให้เป็นมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการทําการประมงที่ผิดกฎหมายและบทลงโทษที่เหมาะสม

(๔) กําหนดโครงสร้างและอัตรากําลังของ ศปมผ. โดยในโครงสร้างนี้ต้องกําหนดให้มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก รวมถึงศูนย์ให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่เรือประมงแบบเบ็ดเสร็จประจําในแต่ละจังหวัดชายทะเล

(๕) แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติงานใน ศปมผ. จากข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม

(๖) แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางาน เพื่อดูแลรับผิดชอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะได้ตามความเหมาะสม

(๗) เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ หรือภาคเอกชน รวมทั้ง หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อร่วมประชุมแนวทางการดําเนินงาน ประสานการปฏิบัติและติดตามผลการดําเนินงานตามความเหมาะสม

(๘) ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งยกระดับความร่วมมือกับประเทศที่สามโดยเฉพาะประเทศที่เรือที่ชักธงไทยเข้าไปทําการจับปลาในน่านน้ำของประเทศนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ

(๙) รายงานผลการปฏิบัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสหภาพยุโรปได้ยกเลิกประกาศเตือนประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรการอย่างเพียงพอในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

(๑๐) ปฏิบัติการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

ข้อ ๔ ให้ ศรชล. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑) จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นใน ศรชล. ประกอบด้วยกําลังทั้งเรือ อากาศยาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่าง ๆ ใน ศรชล. ปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่เพื่อบังคับใช้กฎหมายในทะเลและควบคุมการปฏิบัติต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดโดยเร็วที่สุด

(๒) ควบคุมและสั่งการหน่วยงานที่มาปฏิบัติการภายใต้ ศรชล.

(๓) บูรณาการข้อมูลข่าวสารทางทะเลที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ภาพสถานการณ์ทางทะเล

(๔) จัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประจําในศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางทะเล (ศขท.)จากหน่วยงานต่าง ๆ ใน ศรชล. ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าติดตาม พิสูจน์ทราบ และตรวจสอบพฤติกรรมการทําประมงผิดกฎหมายของเรือประมง โดยปฏิบัติหน้าที่เป็นศูนย์ติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง(Monitoring Control and Surveillance Center : MCS) ด้วย เพื่อให้ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) มีความครบถ้วนสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด

(๕) ปฏิบัติการอื่นตามที่ ศปมผ. มอบหมาย

ข้อ ๕ ให้สํานักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับ ศปมผ. และ ศรชล.เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน โดยเบิกค่าใช้จ่ายตามระเบียบของทางราชการ

ข้อ ๖ ให้เจ้าของหรือผู้ประกอบการเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ที่มีขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสส์ขึ้นไป หรือตามขนาดที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดต้องดําเนินการดังต่อไปนี้

(๑) จัดทําสมุดบันทึกการทําการประมง ตามรูปแบบ ระยะเวลา และวิธีการที่ ศปมผ.ประกาศกําหนด

(๒) ติดตั้งระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System : VMS) ซึ่งมีมาตรฐาน
สมรรถนะของอุปกรณ์และข้อกําหนดเชิงหน้าที่ (Performance Standards and Functional
Requirements) ตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด โดยจะต้องติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาตามที่
ศปมผ. ประกาศกําหนด

(๓) แจ้งการเข้า - ออก ท่าเทียบเรือทุกครั้ง ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดเมื่อได้ดําเนินการติดตั้ง VMS แล้ว ให้เจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการตามวรรคหนึ่ง แจ้งรหัสการเข้าถึงระบบการติดตามเรือ (Access Code) ให้ ศปมผ. ทราบ และต้องเปิดเครื่องไว้ตลอดเวลาขณะอยู่ในทะเล เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตําบลที่เรือได้ ในกรณีที่อุปกรณ์ดังกล่าวขัดข้องหรือไม่สามารถส่งตําบลที่เรือได้ด้วยประการใด ๆ ให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดเจ้าของหรือผู้ประกอบการตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าระบบเพื่อตรวจสอบจุดพิกัดของเรือ

ข้อ ๗ ให้นายทะเบียนเรือตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยมีคําสั่งเพิกถอนทะเบียนเรือไทยสําหรับการประมงหรือเรืออ่วนตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด และจําหน่ายทะเบียนเรือออกจากสมุดทะเบียนในกรณีดังต่อไปนี้

(๑) เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย
พุทธศักราช ๒๔๘๑

(๒) เจ้าของเรือแสดงความประสงค์เป็นหนังสือขอเลิกใช้ทะเบียนเรือไทยต่อนายทะเบียนเรือ

(๓) เรือไทยที่ได้จดทะเบียนแล้วแต่ไม่ได้รับใบอนุญาตใช้เรือ หรือใบอนุญาตใช้เรือสิ้นอายุเป็นเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่สามปีขึ้นไปเมื่อได้มีคําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนเรือแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของเรือส่งคืนใบทะเบียนเรือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสอจากนายทะเบียนเรือ

ข้อ ๘ เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ห้ามมิให้เจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการเรือประมงยินยอมให้บุคคลใด ๆ กระทําการดังต่อไปนี้ในเรือประมงของตน

(๑) ครอบครองเครื่องมือทําการประมงที่ไม่ได้รับอนุญาตในเรือประมง

(๒) นําเรือประมงซึ่งมีเครื่องมือทําการประมงที่ไม่ถูกต้องตรงกับเครื่องมือที่ได้รับอาชญาบัตรหรือไม่ได้รับอาชญาบัตรหรือเครื่องมือทําการประมง ออกจากท่าเทียบเรือไปทําการประมง

(๓) นําเรือประมงซึ่งปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยกฎหมายว่าด้วยเรือไทย กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองออกจากท่าเทยบเร ี ือจนกว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้นให้ครบถ้วน

ข้อ ๙ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เรือประมงออกไปทําการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวง หรือนําเรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ออกไปน่านน้ำต่างประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก ศปมผ. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ศปมผ. อาจมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้อนุญาตแทนได้

ข้อ ๑๐ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เรือประมงออกไปทําการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวงโดยฝ่าฝืนกฎข้อบังคับด้านการประมงของรัฐชายฝั่งที่เข้าไปทําการประมงหรือขององค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาค

(มีต่อ)

สายชล
29-04-2015, 21:30
คำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฏหมาย (ต่อ)


..................................................................................


ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะนําเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดทุกขนาดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ออกนอกน่านน้ำไทยหรือเดินทางมาจากน่านน้ำต่างประเทศหรือทะเลหลวงเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องออกจากท่าเรือหรือเข้าจอดเรือ ณ ท่าเรือหรือแพปลาที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๑๒ ห้ามมิให้ผู้ใดนําเรือประมงต่างประเทศ หรือเรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็นที่อยู่ในบัญชีเรือที่ห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด เข้ามาเทียบท่าในราชอาณาจักร

ข้อ ๑๓ เจ้าของท่าเรือและเจ้าของแพปลาในทุกจังหวัดชายทะเล รวมถึงตามเกาะแก่งต่าง ๆต้องจดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดทุกขนาดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช ้ทําการประมงทุกลําที่เข้าใช้บริการจอดเรือหรือขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำก็บไว้เพื่อการตรวจสอบในกรณีเรือตามวรรคหนึ่ง เป็นเรือที่ต้องปฏิบัติตามข้อ ๑๑ เจ้าของเรือและเจ้าของแพปลาต้องดําเนินการรวบรวมและจัดส่งรายงานการเข้า - ออกเรือ มาที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออกตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดรายงานตามวรรคหนึ่งต้องกําหนดให้ครอบคลุมกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือปฏิเสธแจ้งการเข้า - ออก ซึ่งเจ้าของท่าเทียบเรือหรือเจ้าของแพปลาจะต้องทําหน้าที่รายงานฝ่ายเดียว

ข้อ ๑๔ ให้ ศปมผ. และ ศรชล. แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามคําสั่งนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งมีอํานาจขึ้นตรวจสอบเรือ หรือกักเรือทุกลําที่กระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ กฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย กฎหมายว่าด้วยเรือไทยกฎหมายว่าด้วยการประมง กฎหมายว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเดินเรือในการขึ้นตรวจสอบเรือตามข้อ ๑๒ หากมีเหตุสงสัยว่าเรือดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทําการประมง
ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจสั่งห้ามการขนถ่ายสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำขึ้นจากเรือ และในกรณีที่เป็นเรือประมงต่างประเทศจะสั่งให้นําเรือออกไปจากราชอาณาจักรก็ได้ และให้ ศปมผ. แจ้งให้รัฐเจ้าของธงและองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาคเพื่อดําเนินการต่อไป

ข้อ ๑๕ พนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ ศปมผ. และ ศรชล. ที่กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทําผิดกฎหมายแต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ ๑๖ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการป้องกันปราบปรามผู้กระทําผิดด้านการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมและปฏิบัติตามแผน npoa - iuu อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องเร่งดําเนินการในเรื่องการจดทะเบียนเรือประมง การออกใบอนุญาตใช้เรือ การต่อใบอนุญาตใช้เรือ การออกอาชญาบัตรและใบอนุญาตทําการประมงและเอกสารทางราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทําผิด

ข้อ ๑๗ เพื่อให้การปฏิบัติตามคําสั่งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ ศปมผ.และเจ้าหน้าที่ ศรชล. ได้สั่งการให้ส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทําการหรืองดเว้นกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งในการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ แต่ส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นเพิกเฉยหรือละเลยไม่กระทําการหรืองดเว้นกระทําการตามคําสั่งของเจ้าหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ให้เจ้าหน้าที่ ศปมผ.หรือเจ้าหน้าที่ ศรชล. รายงานพฤติกรรมดังกล่าวไปยัง ผบ.ศปมผ. และ ผบ.ศปมผ. มีอํานาจสั่งย้ายหัวหน้าส่วนราชการแห่งนั้นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นออกจากพื้นที่รับผิดชอบได้ทันที และให้แจ้งรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐที่หัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผลในการนี้ ให้รัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการดําเนินการเพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยเร็ว และในกรณีที่มีมูลความผิดทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุของหัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นต่อไป

คําสั่งของ ผบ.ศปมผ. ตามวรรคหนึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาในศาลปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒

ข้อ ๑๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ ๖ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ข้อ ๑๙ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อ ๑๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามสิบล้านบาท

ข้อ ๒๐ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ ๗ วรรคสอง และข้อ ๑๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ข้อ ๒๑ ผู้ใดกระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ ถ้าได้กระทําความผิดนั้นซ้ำอีกต้องระวางโทษเป็นทวีคูณ

ข้อ ๒๒ ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ประกอบการเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็นตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่าย หรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิด ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งนี้ นอกจากจะต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ตามคําสั่งนี้ ให้ ศปมผ. มีอํานาจสั่งให้มีการยกเลิกเอกสารทางราชการหรือใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ด้วย โดยห้ามมิให้หน่วยงานที่มีอํานาจออกใบอนุญาตออกเอกสารทางราชการหรือใบอนุญาตให้ใหม่เป็นเวลาหนึ่งปี หรือตามระยะเวลาที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๒๓ ประกาศของ ศปมผ. ที่ออกตามคําสั่งนี้ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

ทั้งนี้ นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

สายชล
21-07-2015, 13:59
ไทยรัฐ
29-04-2015

จ่อออก พ.ร.ก.-ใช้ ม.44 แก้ประมง นายกฯไม่ให้ชี้ชัด 6 เดือนเสร็จ “เข้าใจตรงกันนะ”

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFtMtt5PWU0RQbhv3xqFEeY0z5R1yxO1fyRC2gT.jpg

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

วานนี้ (28 เม.ย.) รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) ประกาศให้ใบเหลืองไทยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ใน พ.ร.บ.ประมง พ.ศ. 2558 และโปรดเกล้าฯลงมาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเร็วๆนี้ และจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน

ขณะเดียวกัน ครม.มีมติเกี่ยวกับการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อมาอุดช่องว่างของกฎหมายบางประเด็นที่อียูต้องกา ร ซึ่งยังไม่ได้มีการแก้ไขใน พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 โดยระบุว่า ควรออก พ.ร.ก.มาหลังจากที่ พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้จะดีกว่าการออกในขณะนี้ ส่วนเหตุผลที่ต้องออก พ.ร.ก.เพิ่มเติม เนื่องจากในระหว่างมีพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประมง นั้น เราไม่ได้ ทราบถึงปัญหาของอียู

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ก็ไม่ต้องเกรงว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำจะไม ่เต็มที่ เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอุดช่องว่างทางกฎหมายที่อีย ูต้องการได้ เช่น ได้ให้อำนาจทหารเรือในการตรวจตราเรือทุกลำก่อนออกจาก ท่าเรือ เช่น หากพบเรือลำใดมีอวนลากก็จะไม่อนุญาตให้ออกเรือ เพื่อไม่ให้มีโอกาสในการนำอวนลากไปใช้จับปลา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สื่อสารใหม่ ให้เข้าใจตรงกันด้วยว่า ไม่ให้สื่อสารว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จใน 6 เดือน แต่รัฐบาลให้พยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่แน่นอน

ด้าน น.ส.สุภาวดี แย้มกมล อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า เพื่อรับมือกับการแข่งขันในตลาดอาหารทะเลโลกและอียู ภาครัฐและเอกชนไทยต้องเร่งดำเนินการใน 4 เรื่อง คือ 1.แก้ปัญหาแรงงาน ค้ามนุษย์ และที่สำคัญการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (ไอยูยู) 2.หาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3.ส่งเสริมระบบการตรวจสอบคุณภาพและปรับปรุงโครงสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำเพื่อแก้ปัญหาด้านสุขอนามัย ตามมาตรฐานสากล และ 4.ส่งเสริมการขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ.

สายชล
21-07-2015, 14:03
เดลินิวส์
30-04-2015

'บิ๊กตู่' มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตั้ง ศปมผ. เร่งแก้ปัญหาประมง

http://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News/580430_Dailynews_zpst64lhvvr.jpg

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา แพร่คำสั่งหัวหน้า คสช. อาศัย ม.44 จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหม าย พร้อมดำเนินงานทำความเข้าใจสหภาพยุโรป จนกว่าจะยกเลิกประกาศเตือนไทย

เมื่อวันที่29เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่10/2558เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า จากกรณีที่ประเทศไทยได้รับคำเตือนจากสหภาพยุโรปเกี่ย วกับมาตรการในการป้องกันยับยั้ง การประมงผิดกฎหมาย หากไม่ดำเนินการภายใน 6 เดือนอาจมีผลกระทบกับการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเ ทศไทย จึงอาศัยอำนาจตาม ม.44ของ รธน.ชั่วคราว หัวหน้า คสช. จึงมีคำสั่ง ให้จัดตั้ง "ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย " (ศปมผ.) เป็นศูนย์เฉพาะกิจขึ้นตรงกับนายกฯ โดยมี ผบ.ทร. เป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯ และให้เริ่มปฏิบัติตามคำสั่งตั้งแต่วันที่1พ.ค. โดยให้ศูนย์ดังกล่าวกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา รวมถึงดําเนินงานทําความเข้าใจกับสหภาพยุโรป ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเสนอแนะ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนากฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายให้เป็นมาตรฐา นสากล และให้รายงานผลการปฏิบัติให้หัวหน้า คสช.ทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสหภาพยุโรปได้ยกเลิกประ กาศเตือนประเทศไทย ให้ผู้ประกอบการเรือประมง ที่มีขนาดตั้งแต่30ตันกรอสส์ขึ้นไป หรือตามขนาดที่ ศปมผ. ประกาศกำหนดต้องดำเนินการ จัดทำสมุดบันทึกการทำประมง ติดตั้งระบบติดตามเรือประมง ห้ามเรือประมงออกไปทำการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประ เทศและในทะเลหลวง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก ศปมผ.ทั้งนี้ นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป..

สายชล
21-07-2015, 14:08
ผู้จัดการออนไลน์
30-04-2015

ผู้ว่าฯภูเก็ตนำทีมออกตรวจเรือประมงป้องกันการค้ามนุ ษย์และทำประมงผิดกฎหมาย


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005084003.JPEG


ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ว่าฯ ภูเก็ต นำทีมออกตรวจสอบเรือประมงบริเวณปากร่องน้ำคลองท่าจีน ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ฯลฯ ผลตรวจสอบเรือประมง 3 ลำ ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (29 เม.ย.) นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พินิจ ศิริชัย รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ศิริพงษ์ เพ็ชรศิริรักข์ ผกก.8 บก.รน. พ.ต.ท.ปัญญา ชัยชนะ สว.ส.รน.3 กก.8บก.รน.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยต่างๆ ประกอบด้วย ทัพเรือภาคที่ 3 ประมง จัดหางาน แรงงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงเรือตรวจการณ์คุณพุ่มบูรณาการตรวจเรือประมงทุกประเ ภท บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าจีน เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการตรวจสอบเรือประมง จำนวน 3 ลำ ลูกเรือทั้งหมด 47 คน เป็นสัญชาติไทย 7 คน พม่า 40 คน ไม่พบการกระทำผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน น้ำมันเถื่อน พ.ร.บ.การเดินเรือ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ยาเสพติดหรืออาชญากรรมข้ามชาติ แต่อย่างใด

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการบูรณาการร่วมทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง ออกตรวจเรือประมงในครั้งนี้ว่า การลงมาปฏิบัติงานในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนนโยบายขอ งรัฐบาล ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการดูแลเกี่ยวกับเรื่องการประมงผิดกฎหมายหรือ IUU ที่เราได้รับใบเหลืองจากสหภาพยุโรป ในขณะเดียวกันการทำงานในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงการบูรณาการประสานความร่วมมือจากหน่วย งานหลายๆ ฝ่าย ในการออกตรวจเรือประมงต่างๆ ซึ่งทำให้เรามีข้อมูลของแต่ละฝ่ายและง่ายต่อการตรวจส อบ

ทั้งนี้จากการออกตรวจเรือประมงเหล่านี้ ปัญหาที่พบคือใช้เวลาพอสมควร ตรวจเรือ 3 ลำใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง คิดว่าเรื่องนี้ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น และที่สำคัญเอกสารที่แต่ละหน่วยงานทำขึ้นมาเพื่อตรวจ สอบเรือประมงนั้น คิดว่าต้องมีลายเซ็นจากเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเป็นการรับรองว่า เรือได้รับการตรวจแล้ว มีการปฏิบัติตามระเบียบของ IUU เรื่องการค้ามนุษย์หรือเรื่องของคุณภาพชีวิตคนบนเรือ ต่างๆ เพราะฉะนั้น ลักษณะการทำงานแบบนี้ น่าจะช่วยแก้ปัญหาเทียร์ 3 เรื่องการค้ามนุษย์ที่เรากำลังเป็นปัญหาหรือเรื่องขอ ง IUU ที่เรากำลังประสบอยู่


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005084004.JPEG


นายนิสิต กล่าวอีกว่า สำหรับผลการตรวจสอบ ณ จุดหนึ่งที่เราตรวจสอบ มีความเห็นว่าผู้ประกอบการเรือหรือไต้ก๋งเรือ ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการเพราะยังขาดเอกสารต่างๆ เช่นใบสัญญาของผู้ประกอบการในการแจ้งเข้า-ออกเรือ เป็นต้น ที่ทางกรมประมงทำขึ้น แต่ว่าเขาไม่ได้เอาออกมา อีกประเภทยังมีแรงงานที่ยังไม่มีบัตร แต่ก็มีเป็นส่วนน้อย ซึ่งเรื่องนี้เราได้เปิดโอกาสให้เรือประมงในภูเก็ตทำ ให้เสร็จก่อนกลุ่มอื่นๆ คือภายในเดือนพฤษภาคม ตนตกลงกับทางจัดหางานจังหวัดและแรงงานจังหวัดว่า เราจะเร่งรีบดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด คือบัตรยังไม่ครบแต่ก็เป็นส่วนน้อย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบการหรือไต้ก๋งเรือลืมนำเอ กสารต่างๆ มาไว้บนเรือที่จะให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบถึงความถูก ต้องของด้านต่างๆ ซึ่งจะแจ้งให้ทางกรมประมงได้สื่อสารทำความเข้าใจกับผ ู้ประกอบการถึงการเตรียมความพร้อมเรื่องเอกสารหลักฐา นต่างๆ ไว้บนเรือให้พร้อมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจ รวมถึงวิธีการตรวจเพื่อให้เกิดความรวดเร็วไม่เป็นการ รบกวนผู้ประกอบการมากเกินไป

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยังได้มอบนโยบายในเรื่องของการออกตรวจแบบบูรณาการร่ว มหลายฝ่าย ให้ออกตรวจในทุกๆ เดือน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อสุ่มตรวจตามที่ต่างๆ ร่วมกับตำรวจน้ำ ทหารเรือ ซึ่งพร้อมช่วยเราอยู่แล้วในการทำงาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ติดปัญหาในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งจะหาแนวทางแก้ไขกันต่อไป

สายชล
21-07-2015, 14:17
ผู้จัดการออนไลน์
04-05-201

ปัญหาการประมง : “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” ....................... โดย ประสาท มีแต้ม

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้รับคำเตือนหรือ “ใบเหลือง” เนื่องจากการทำประมงที่ผิดกฎระเบียบที่เรียกว่า “ ระเบียบ-ไอยูยู (IUU-fishing คือ ผิดกฎหมาย (Illegal), ขาดการรายงาน (Unreported), ไม่มีการควบคุม (Unregulated)” เป็นเวลา 6 เดือนจากสหภาพยุโรปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการแก้ไขให้เป็นที่พอใจ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปซึ่งอ้างว่าเป็นผู้นำเข้าสิน ค้าจากการประมงมากที่สุดในโลกก็จะไม่รับซื้อสินค้าดั งกล่าวจากประเทศไทย

เราจึงควรมาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ลึกกันสักหน่ อยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ (1) ประเทศไทยส่งออกปลาและผลิตภัณฑ์การประมงคิดเป็นมูลค่ ามากเป็นอัน 3 ของโลกรองจากจีนและนอร์เวย์ และ (2) เป็นเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลไม่เฉพาะแต่ สำหรับคนไทยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ในอนาคตของคนทั้งโลกอีกด้วย

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจกันแน่ ในช่วงเวลาที่ใกล้กันนั้นได้มีข่าวการค้ามนุษย์หรือแ รงงานทาสในภาคการประมงเกิดขึ้นด้วย จึงทำให้สื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวจนทำให้คนไทยเข้าใจค ลาดเคลื่อนว่า “ไอยูยู” มีเฉพาะปัญหาแรงงานทาสที่รัฐบาลไทยได้แก้ไขไปแล้วรวม ทั้งการผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รวดเดียว 3 วาระในสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย

ในบทความนี้ ผมขอนำเสนอเป็นข้อๆ รวม 5 ข้อดังนี้


หนึ่ง เหตุผลของสหภาพยุโรป

สหภาพยุโรป (European Commission) ถือว่าการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU-fishing) เป็นปัญหาที่รุนแรงของโลกปัญหาหนึ่ง เพราะส่งผลให้เกิด (1) การประมงที่มากเกินไป (overfishing) (2) ทำลายการแข่งขันทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้ชาวประมงที่ซื่อ สัตย์เสียเปรียบ และ (3) ทำให้ชุมชนชายฝั่งอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อ “ส่งเสริมและสนับสนุนการทำประมงที่เหมาะสม สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับทรัพยากรสัตว์น้ำที่เ ป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลก”

สหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้มาตรการ IUU-fishing ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยอ้างว่าได้ร่วมทำงานกับผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วโลก โดยใช้บังคับทั้งในน่านน้ำของแต่ละประเทศและในน่านน้ ำสากลด้วย มาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างจริ งจังก็คือประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปจำนวน 27 ประเทศจะไม่รับซื้ออาหารทะเลและผลิตภัณฑ์จากประเทศที ่ไม่ให้ความร่วมมือ โดยเริ่มต้นให้เวลาในการปรับตัวนาน 15 เดือน

จากเอกสารของอียูเอง (21 เมษายน 2558) ระบุว่า ในแต่ละปีปริมาณสัตว์น้ำจากการประมงที่ผิดกฎหมายทั่ว โลกมีประมาณ 11 ถึง 26 ล้านตัน หรือ 15% ของสัตว์น้ำทะเลที่จับได้ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 8,000 ถึง 19,000 ล้านยูโร ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก อียูไม่มีความปรารถนาที่จะร่วมในการกระทำความผิดนี้ และไม่ยินยอมให้สินค้าเหล่านั้นเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโร ป

คำว่า “ผิดกฎหมาย” นี้ทาง FAO ได้ให้ขยายความว่า เป็นการทำประมงในเขตของประเทศอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายประมงหรือระเบียบของประเ ทศนั้นๆ เอง เช่น ทำประมงในช่วงเวลาที่ห้ามทำ หรือในบางพื้นที่อนุรักษ์เป็นพิเศษ เป็นต้น

ในการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความเข้าใจในภาพรวมของ IUU-fishing ทั่วโลก นักวิจัยได้สรุปว่า “IUU-fishing นั้น ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันในประเทศที่รัฐอ่อนแอ มีการคอร์รัปชันในวงกว้างมีความลังเลในการออกกฎหมาย และขาดความมุ่งมั่นหรือประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎห มายที่มีอยู่แล้ว” (ที่มา The Future of Fish – The Fisheries of the Future, world ocean review)


สอง ทำไมอียูจึงให้ใบเหลืองประเทศไทย

จากเอกสารของอียูที่ประกาศเมื่อ 21 เมษายน 2558 ได้ให้เหตุผลว่า “จากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและแลกเปลี่ยนความเห็นก ับทางการไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 คณะกรรมการจึงกล่าวโทษ (denounce) ข้อบกพร่องของประเทศไทยที่เกี่ยวกับระบบการติดตามสัง เกต ควบคุม และลงโทษในการทำประมง โดยสรุปว่าประเทศไทยไม่ได้ใช้มาตรการที่เพียงพอในการ ร่วมแก้ปัญหาในระดับสากลเพื่อแก้ปัญหา IUU-fishing”

มาตรการไม่ซื้อสินค้าดังกล่าวทางอียูได้ใช้มาแล้วกับ ประเทศเบลีซ (Belize ในอเมริกากลาง ประชากรไม่ถึง 3 แสนคน) ประเทศกินี (Guinea ในทวีปแอฟริกา ประชากร 8 ล้านคน) กัมพูชาและศรีลังกา ในขณะที่ประเทศเกาหลีและฟิลิปปินส์ก็เคยได้รับใบเหลื องเช่นเดียวกับไทย แต่ก็ได้รับการแก้ไขจนเป็นปกติแล้ว


สาม สถานการณ์ประมงในประเทศไทย

ถ้ายึดกันตามระเบียบ IUU-fishing ตามตัวอักษรแล้ว ก็พบว่าการประมงในประเทศไทยก็มีปัญหาครบตามที่ทาง FAO ขยายความทั้งในเขตน่านน้ำไทยเอง และในน่านน้ำสากลรวมทั้งเขตของประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวคือ เรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาทำประมงในเขตไม่เกิน 3 พันเมตรจากชายฝั่งตามที่ระเบียบได้ห้ามไว้ ชาวประมงพื้นบ้านเล่าให้ผมฟังว่า มีเรือประมงที่ต้องห้ามเข้ามาทำประมงประมาณ 1 พันเมตรเท่านั้น แต่ทางการก็ไม่สามารถเข้าจับคุมได้ นอกจากนี้ยังมีเรือที่ไม่มีใบอนุญาตอีกจำนวนมาก บางรายมีใบอนุญาตใบเดียวแต่มีเรือหลายลำ เป็นต้น

แต่ถ้ายึดกันตามวัตถุประสงค์ของอียูที่ว่า “สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับทรัพยากรสัตว์น้ำที่ เป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลก” เราจะพบว่าในเขตน่านน้ำของประเทศไทยก็ได้สูญเสียความ ยั่งยืนไปนานแล้ว

จากงานวิจัยด้วยการสำรวจของกรมประมงชิ้นล่าสุด (2549, จากวารสารวิจัยเทคโนโลยีประมง) ที่เกี่ยวกับในอ่าวไทยตอนบนโดยใช้เรืออวนลากแผ่นตะเฆ ่ พบว่า ผลการจับสัตว์น้ำต่อหนึ่งชั่วโมงลงงานได้ลดลงจาก ที่ 256 กิโลกรัมต่อชั่วโมงในปี พ.ศ. 2506 ลงมาเหลือ 14 กิโลกรัมต่อชั่วโมงลงงาน ในปี พ.ศ. 2549 หรือลดลงจาก 100% ลงมาเหลือ 5% เท่านั้น ผมได้นำรายละเอียดและผลสรุปเอาไว้ด้วยครับ

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005230201.JPEG

(มีต่อ)

สายชล
21-07-2015, 14:22
ปัญหาการประมง : “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” ....................... โดย ประสาท มีแต้ม (ต่อ)

งานวิจัยชิ้นนี้ยังได้นำเสนอด้วยว่า ในบริเวณจังหวัดเพชรบุรีสามารถจับได้เพียง 7 กิโลกรัมต่อชั่วโมงลงงานเท่านั้น ดังนั้น เราพอจะคิดกันเองได้ว่าน่านน้ำในอ่าวไทยของเรามีปัญห ารุนแรงขนาดไหนทั้งในฐานะชาวประมงและในฐานะคนกินปลา

นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลการจับในปี 2549 ได้สูงกว่าในปี 2542 ซึ่งได้ 12.46 กิโลกรัม (ผมไม่ได้สรุปไว้ในตารางนี้) ว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในปี 2549 สูงกว่าในปี 2542 ทำให้จำนวนเรือประมงที่ออกทำการประมงในปี 2549 จึงน้อยลงด้วย แล้ว “ทำให้เรือสำรวจจับสัตว์น้ำได้สูงขึ้น”

แม้ผลการจับสัตว์น้ำในปี 2542 กับ 2549 อาจจะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผมว่าแนวคิดของผู้วิจัยที่ซ่อนอยู่ในงานวิจัยนี้ม ีความสำคัญมาก คือจำนวนเรือประมงมีผลต่อความยั่งยืนของทรัพยากร ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหภาพยุโรปที่ได้กล่า วมาแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์ต่อการเลือกใช้เครื่อง มือประมง (ซึ่งจะกล่าวต่อไป) คือผลการสำรวจครั้งนี้ยังพบอีกว่า ร้อยละ 46 (โดยน้ำหนัก) ของสัตว์น้ำที่จับได้เป็นปลาหน้าดิน โดยมีปลาเป็ดแท้เพียง 13% (คือปลาขนาดเล็กที่คนไม่นิยมบริโภคโดยตรง มักใช้ทำปลาป่นหรือน้ำปลา) ดังนั้น การใช้อวนลาก (ที่ทางอียูยังไม่ได้ยกขึ้นมาเป็นประเด็น) จึงเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยอย่างถาวรของปลาจำนวนเกื อบครึ่งหนึ่งในทะเล


สี่ สิ่งที่ทางกรมประมงพยายามแก้ปัญหา

เมื่อทางสหภาพยุโรปได้ตั้งกติกาว่าด้วย IUU-fishing ทางกรมประมงจึงมีแนวคิดที่จะทำเรือที่ผิดกฎหมายอยู่แ ล้วในขณะนี้ให้ถูกกฎหมายเสีย ตามกติกาของอียู แต่ในเรื่องการติดตาม ตรวจตราและการควบคุม ทางกรมประมงก็อ้างว่าได้ทำเต็มที่แล้วตามกำลังที่มีอ ยู่

วิธีการของกรมประมงที่จะทำเรือประมงที่ผิดกฎหมายอยู่ แล้วให้ถูกฎหมายก็โดยการอ้างงานวิจัยในปี 2546 โดยองค์กรด้านอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับกรมประมงพบว่า จำนวนเรืออวนลากของประเทศไทยเกินศักยภาพที่ทรัพยากรจ ะรองรับได้ไป 33% หรือมีจำนวนเรืออวนลากมากเกินไปนั่นเอง โดยที่ขณะนั้นมีเรืออวนลากจำนวน7,968 ลำ

ในปี 2552 ทางกรมประมงพบว่ามีเรืออวนลากที่จดทะเบียนอย่างถูกกฎ หมายหรือมีเรืออวนลากที่ได้รับอาชญาบัตรไปแล้ว 3,619 ลำ ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามงานวิจัยในปี 2546 และกติกาของสหภาพยุโรป ทางกรมประมงจึงได้จิ้มเครื่องคิดเลขแล้วได้ข้อสรุปว่ า สามารถอนุญาตให้เรืออวนลากที่เป็นเรือเถื่อนอยู่ในขณ ะนี้ สามารถขึ้นทะเบียนเป็นถูกกฎหมายได้อีกประมาณ 2,300 ลำ

น่าเสียดายที่ทางกรมประมงได้เลือกเอาเฉพาะงานวิจัยบา งชิ้นมาปฏิบัติ (ชิ้นปี 2546) แต่ไม่ได้คำนึงถึงงานวิจัยในปี 2549 (ซึ่งผมนำมาสรุปไว้ข้างตน) ซึ่งแสดงอย่างชัดเจนว่าแนวโน้มของทรัพยากรสัตว์น้ำใน อ่าวไทยกำลังจะหมดไปจนเหลือแต่น้ำ และงานวิจัยชิ้นหลังนี้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขอ งสหภาพยุโรปที่อยากจะรักษาทรัพยากรไว้ให้ทั้งคนรุ่นน ี้และลูกหลานในอนาคตด้วย

ผมขอหยุดเรื่องปัญหาการประมงไทยเอาไว้เพียงแค่นี้นะค รับ ต่อไปนี้ผมขอนำข้อมูลและแนวคิดของนักวิชาการในระดับโ ลกมาเล่าสู่กันฟังครับ ว่ากันแบบเบาๆ มีรูปประกอบ เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะนำไปเล่าต่อเพื่อสร้างจิตสำนึก สาธารณะของลูกหลานต่อไปซึ่งก็เป็นวัตถุประสงค์ของสหภ าพยุโรปที่อยากให้รัฐบาลทำด้วย


ห้า ข้อมูล รูปภาพและแนวคิดของนักวิชาการระดับโลกบางคน

ผมได้เรื่องนี้มาจากการฟังคำบรรยายของศาสตราจารย์ Jeremy Jackson อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ ท่านเป็นนักนิเวศวิทยาที่เชี่ยวชาญเรื่องปะการัง ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ฟังด้วยตนเอง มีคำแปล 23 ภาษารวมทั้งภาษาไทย (https://www.ted.com/talks/jeremy_jackson) ท่านพูดในเวที TED Talk ซึ่งใช้เวลาประมาณ 19 นาที

รูปแรกเป็นการเปรียบเทียบขนาดปลาจากนักกีฬาตกปลาที่ท ่าเรือแห่งหนึ่ง จากเรือลำเดียวกัน แต่เวลาต่างกันถึง 60 ปี


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005230202.JPEG


ภาพถัดไปเป็นร่องรอยท้องทะเลที่ถูกเรืออวนลากทำลาย


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005230203.JPEG


ภาพถัดมาเป็นภาพวาดแสดงการทำงานของเรืออวนลาก (ไม่ได้มาจากคำบรรยายของศาสตราจารย์ Jackson)


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005230204.JPEG


หลังจากได้ฟังคำบรรยายแล้ว ผมค้นคว้าเพิ่มเติม จึงได้พบสิ่งที่น่าสนใจมากซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อนครับ

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000005230205.JPEG


ในตอนสรุปคำบรรยายเรื่อง “เราทำให้มหาสมุทรอับปางได้อย่างไร” ศาสตราจารย์ Jackson ว่า

“เราทั้งหมดจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร? เรามีวิธีหลายวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ แต่ท้ายที่สุดนะครับ สิ่งที่เราต้องแก้จริงๆ คือตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องของปลาไม่ใช่เรื่องของมลพิษ ไม่ใช่เรื่องของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องของเรา เรื่องของความโลภและความกระหายการเติบโต และความไร้ความสามารถของเราที่จะนึกภาพ โลกที่แตกต่างไปจากโลกที่เห็นแก่ตัว ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ฉะนั้นคำถามคือ เราจะรับมือกับเรื่องนี้หรือไม่? ผมจะบอกว่าอนาคตของชีวิต และศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ตั้งอยู่บนการทำเรื่องนี้เลยครับ”


สรุป

ผมได้นำข้อความ “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” มาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบทความนี้ ก็เพราะประทับใจและเห็นความจริงบางอย่าง ในฐานะที่เคยเป็นกรรมการสมาคมรักษ์ทะเลไทย ผมได้มีโอกาสเห็นชาวประมงพื้นบ้านร่วมกันตั้งธนาคารป ู โดยการเสียสละปูม้าที่ตนจับได้ที่อยู่ในสภาพไข่หน้าท ้องมาเพาะฝักต่อ แล้วปล่อยไข่ปูนับแสนๆ ฟองลงสู่ทะเล ผลที่ตามมา ภายในเวลาไม่นานปรากฏว่ามีลูกปูนับพันๆ ตัวมาวิ่งเล่นตามชายหาดเต็มไปหมด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นที่อ่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดประจ วบคีรีขันธ์

ผมสรุปว่า ชาวประมงพื้นบ้านเริ่มมีความสามารถในการคิดถึงในสิ่ง ที่แตกต่างไปจากความเห็นแก่ตัวได้แล้วครับ แต่กับกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว ข้าราชการระดับสูงรวมทั้งนักการเมือง ผมยังไม่เห็นครับ

สายชล
21-07-2015, 14:39
ไทยรัฐ
07-05-2015


เงี่ยหูฟังแก้ปัญหาประมง

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFtKz4scndRpjvJ0k5l4GCBqDMNYEMaOKzVPjam.jpg

“ประยุทธ์” เช็กข้อมูลก่อนทีมอียูถึงไทย

ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ผู้แทนกองทัพเรือได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้ แจงถึงความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการประมง ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างการร่างกฎหมายลำดับรอง 70 ฉบับ ที่จะต้องออกตาม พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน ส่วนการจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันยับยั้งไอยูยูน ั้น นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ทำให้เสร็จก่อนเดือน พ.ค.นี้

ด้านนายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เจ้าหน้าที่จากอียูจะเดินทางมาไทย เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาไอยูยู ซึ่งกรมได้แปล พ.ร.บ.การประมง 2558 ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเรือ ความก้าวหน้าการติดตั้งระบบติดตามเรือ (วีเอ็มเอส) ไว้รองรับ และพร้อมพาไปดูระบบการจัดการเรือเข้า-ออกจากท่าเรือไทย (พอร์ตอิน-พอร์ตเอาต์) หากอียูต้องการลงพื้นที่ ซึ่งหลังจากการเข้ามาประเมินในวันที่ 10 พ.ค.นี้ อียูก็จะเข้ามาประเมินอีกเป็นระยะ และจะตัดสินสินค้าประมงไทยอีกครั้งประมาณเดือน ต.ค.นี้”

ส่วนการเตรียมการออก พ.ร.ก.ประมง เพื่อให้มีผลบังคับใช้แก้ปัญหาไอยูยูได้อย่างรวดเร็ว อุดช่องโหว่ทางกฎหมายในช่วงที่ พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2558 ยังไม่ทันมีผลบังคับใช้นั้น ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ.

สายชล
21-07-2015, 14:50
คม ชัด ลึก
10-05-2015

เรื่องเล่าอ่าวคั่นกระได จาก 'ผู้ร้าย' กลายเป็น 'พระเอก' ..................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง สมาคมรักษ์ทะเลไทย

http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2015/05/08/87j8ci8aa989f5j7a7bk7.jpg

คนต้องการ "บ้าน" เป็นที่อยู่อาศัย สัตว์น้ำก็เช่นเดียวกัน !

ในปี 2551 สภาพเศรษฐกิจในหมู่บ้านคั่นกระไดย่ำแย่มาก เพราะทะเลเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชาวบ้านบางคนต้องหันไปเป็นคนงานก่อสร้าง ทุกคนต่างมีคำถามอยู่ในใจว่า “จะทำอย่างไรให้ปลากลับมา ?”

หลังจากได้เดินทางไปศึกษาดูงานการอนุรักษ์ทะเลที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช และได้เห็นชาวบ้านที่นั่นทำ “บ้านปู” พวกเขาก็กลับมาด้วยความหวัง

“พี่รุ่งแกเคยไปออกเรือใหญ่แถวทางใต้ แกเล่าให้ฟังว่า พวกเรือประมงพาณิชย์ชอบใช้วิธีทำ “ซั้ง” เพื่อล่อปลาเข้ามาเป็นฝูงแล้วก็ล้อมจับ วิธีนี้น่าจะเอามาดัดแปลงเป็น “บ้านปลา” ได้ แต่เราจะไม่ทำเหมือนเรือพาณิชย์ที่ใช้ซั้งล่อปลามาจับ เราจะทำซั้งเพื่อให้ลูกปลาได้เข้ามาหลบภัย ให้มันได้เจริญเติบโต แล้วก็ต้องตกลงกติกากันว่า ห้ามจับปลาที่ซั้ง เราจะปล่อยให้มันโต”

“ซั้งกอ” หรือบ้านปลา คือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ประยุกต์มาจากการสังเกตธรรมชาติของฝูงปลา ที่จะต้องมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน มีที่หลบภัย ซั้งกอจะทำหน้าที่คล้ายปะการังเทียม แต่ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในหมู่บ้าน ประกอบไปด้วย

ทางมะพร้าว สำหรับทำเป็นกิ่งก้านของซั้งกอ เพื่อให้สัตว์น้ำได้เข้ามาหลบภัยโดยทางมะพร้าวที่ใช้นั้น ต้องเป็นทางมะพร้าวสด เพราะจะมีกลิ่นหอมที่ปลาชอบ ซั้งกอ 1 ต้นใช้ทางมะพร้าวราว 3-4 ต้น ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ

ไม้ไผ่ยาว 8-10 เมตร ใช้สำหรับทำเป็นต้นซั้งกอ

ทุ่นซีเมนต์หล่อเป็นแท่ง หนักประมาณ 80 กิโลกรัม ใช้สำหรับถ่วงต้นซั้งไว้ให้อยู่กับที่เมื่อทิ้งซั้งกอลงสู่ทะเล

“ครั้งแรกเลยที่ทำซั้งกัน เราไปทิ้ง 3 กอ พอเช้ามา น้าเล็กแกมาโวยวายใหญ่เลย พวกมึงมาทิ้งกันอย่างนี้แล้วกูจะวางอวนได้ยังไง มันเกะกะนะ กูไม่ให้ทิ้ง ว่าแล้วแกก็ไปของแกคนเดียวเลย จัดการลากซั้ง 3 กอมารวมกันเป็นกระจุกเดียว เราก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะน้าเล็กแกเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วอีกอย่างเราก็ยังไม่รู้ว่าซั้งมันจะได้ผลหรือเปล่าด้วย ปรากฏว่าแค่ 3 วันเท่านั้นเอง ปลาไอ้หม่องโกยมันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันมาตอมอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็มีแต่น้าเล็กคนเดียวที่วางอวนอยู่ตรงนั้น รอบนั้นคาดว่าแกจะวางไอ้หม่องโกยขายได้เป็นแสน เติมน้ำมันออกไปแค่ 3 ลิตรเอง เราก็ไปถาม เป็นไงล่ะคุณน้า ซั้งของพวกฉัน แกก็ยิ้มบอกว่า เออๆ ใช้ได้ๆ หลังจากนั้นมาเวลาที่เราทิ้งซั้งกัน น้าเล็กจะเข้ามาช่วยเป็นตัวหลักทุกครั้ง”

นอกจากซั้งกอแล้ว บ้านคั่นกระไดยังมีกระชังปูไข่ หรือ “ธนาคารปู” ที่ปัจจุบันชุมชนประมงพื้นบ้านในหลายจังหวัดเริ่มทำกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะเป็นวิธีการขยายพันธุ์ปูม้าให้เพิ่มขึ้นอย่างได้ผล กิจกรรมนี้จะมีกลุ่มเด็กๆ เยาวชนในหมู่บ้านเป็นผู้ดูแลอย่างกระตือรือร้น เพราะนอกจากความสนุกสนานแล้ว แม่ปูที่สลัดไข่เสร็จ เด็กๆ ก็จะนำไปขายเป็นรายได้ของกลุ่มเยาวชน

“ทุกวันนี้ เราจะทิ้งซั้งกันปีละ 2 ครั้ง มีคนถามว่าที่จริงซั้งก็เหมือนกับปะการังเทียม ทำไมเราไม่ทิ้งปะการังเทียมไปเลย เราคิดว่า ซั้งกอมันมีความหมายมากกว่าปะการังเทียมที่ต้องใช้งบประมาณมาก ต้องติดต่อประสานให้ประมงจังหวัดมาช่วย แต่ซั้งเราทำจากวัสดุที่หาได้เอง ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก เวลาทำซั้งคนในหมู่บ้านก็จะมาช่วยกันทำ พอทุกคนได้มีส่วนร่วมก็จะรู้สึกว่าเป็นเจ้าของซั้งแล้วก็จะช่วยกันดูแล ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ แต่พวกเด็กๆ ก็จะมาช่วยกัน ทำให้เด็กๆ ของเราได้เรียนรู้ซึมซับการดูแลรักษาทะเลไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่ด้วย”

เมื่อปลากลับบ้าน... เกิดอะไรขึ้นที่นี่

“โอ้โหย ขึ้นกันหัวขาวๆ เลย”

พี่น้อย โกศล จิตรจำลอง นายกสมาคมประมงพื้นบ้านอ่าวคั่นกระได ชี้ให้เด็กๆ ในเรือดูลูกปลาทูฝูงใหญ่ที่ดำผุดดำว่ายอยู่ตามแนวซั้งกอ วันนี้ชาวบ้านออกมาทิ้งซั้งเพิ่มเพื่อเสริมแนวซั้งชุดเก่าที่เริ่มผุพัง กิจกรรมนี้พวกเขาทำต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว เพราะการทำซั้งกอบังเกิดผลอย่างเกินคาดหมาย ทุกวันนี้ชาวประมงคั่นกระไดแทบไม่ต้องออกเรือไปหาปลาไกลถึงต่างหมู่บ้านอีกเลย

“เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องออกเรือไปไกล แค่หน้าบ้านก็มีปลาให้จับ บางช่วงหมู่บ้านอื่นไม่ได้ปลากันเลย แต่หน้าบ้านเราได้กุ้งเป็นร้อยๆ กิโล แถมยังเป็นกุ้งไซส์ใหญ่ทั้งนั้น ขนาดน้าเล็กแกเรือลำเล็ก ออกได้แต่น้ำตื้น บางวันยังได้ปลาตั้งสองสามร้อยกิโล”

ไม่เพียงแต่ปลาเท่านั้น การทำธนาคารปูมากว่า 3 ปีก็ทำให้ปูม้าในอ่าวคั่นกระไดชุกชุมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“พ่อเลยลงทุนทำอวนปูให้ผมออก ออกเองใช้เวลาว่างตอนกลับจากโรงเรียนมาก็วางอวนปูทิ้งไว้ อีก 2-3 วันก็ออกไปเก็บครั้งหนึ่ง ขายปูได้ พ่อก็ให้เป็นรายได้ของผมเลยครับ บางครั้งขายปูได้ 1,000-2,000 บาท รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นปูที่ผมกับเพื่อนๆ ทำกระชังเลี้ยงปูไข่”

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/05/08/hgdaejgghac5fgi77hb98.jpg

น้องนนท์ ลูกชายของหน่องเล่าถึงงานอดิเรกของตัวเอง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านคั่นกระไดที่ได้ประโยชน์จากการทำซั้งกอ ปัจจุบันอ่าวคั่นกระไดได้กลายเป็นทำเลหากินที่ดึงดูดเรือประมงต่างถิ่นเข้ามามากมาย ซึ่งในระยะแรกๆ พวกเขาต้องหมั่นเพียรชี้แจงทำความเข้าใจกฎระเบียบที่ห้ามจับปลาในซั้ง จนเป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวประมงพื้นบ้านใกล้เคียง

แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ เรืออวนล้อม และเรือปั่นไฟที่มักแอบเข้ามาล้อมจับลูกปลาในแนวซั้ง

3 วันต่อมา พี่น้อยก็บ่นพึมพำอย่างหัวเสีย

“ปลาทูฝูงนั้นหายไปแล้ว พวกอวนล้อมมากวาดไปเรียบ”

เช้าวันรุ่งขึ้น เรือคั่นกระได 4 ลำออกทะเลแต่เช้ามืด มุ่งหน้าตรงสู่เรือประมงพาณิชย์ที่กำลังปล่อยอวนล้อมลูกปลาทู

“พวกเราทำเขตอนุรักษ์ แต่พวกพี่มาจับลูกปลา มันไม่ถูกนะพี่นะ” หน่อง ส่งเสียงถึงคู่กรณีผ่านทางวิทยุสื่อสาร มีเสียงโต้ตอบกลับมาทันใดทางดอกลำโพง

“เฮ้ย ลูกปลาอะไร เขาจับกันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ของเราเป็นประมงพื้นบ้าน เรือต่ำกว่า 7 วา”

“ผมรู้ว่าเรือพี่เป็นประมงพื้นบ้าน แต่ไอ้เครื่องมือของพี่น่ะ มันไม่ใช่นะ...”

การโต้เถียงยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งเรือคั่นกระไดทั้ง 4 ลำแล่นประชิดเข้ารายล้อมเรือประมงพาณิชย์ลำดังกล่าว สุดท้าย เรืออวนล้อมยอมล่าถอยออกนอกเขตซั้งแต่โดยดี โชคดีที่วันนี้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

ฉากเหตุการณ์เช่นนี้ มักเกิดขึ้นเสมอหลังจากที่พวกเขาทำให้ “ปลากลับบ้าน” ได้เป็นผลสำเร็จ มันได้ทำให้พวกเขาเรียนรู้มากขึ้นว่า การที่จะฟื้นฟูทรัพยากรให้ได้นั้น นอกจากองค์ความรู้แล้ว พวกเขายังต้องมีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องเขตอนุรักษ์จากการทำประมงแบบทำลายล้าง

“ช่วงแรกๆ มีปัญหาบ่อยมาก ถึงขั้นชักปืนขู่กันก็เคยมี บางทีเรือพวกนี้มาลากซั้งไปทั้งกอเลย เราทำซั้งแล้วไม่ใช่ไปทิ้งไว้เฉยๆ แต่ต้องคอยดูแล ต้องสร้างกฎกติกาของบ้านเราขึ้นมา แล้วคนอื่นที่เข้ามา เราก็ต้องทำให้เขาเคารพในกติกาของบ้านเราด้วย”

“เมื่อมีการรวมกลุ่มกัน สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นเยอะ เสียงเราก็จะดังขึ้น อำนาจต่อรองก็เกิดขึ้นเมื่อต้องเจรจาแก้ไขปัญหา”

หน่องสรุปประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ของเขา...

สายชล
21-07-2015, 15:01
คม ชัด ลึก


เรื่องเล่าอ่าวคั่นกระได จาก 'ผู้ร้าย' กลายเป็น 'พระเอก' (จบ) ................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง สมาคมรักษ์ทะเลไทย

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/05/15/k69a8dhkb6bjee9kbcb76.jpg

เมื่อพวกเขารวมตัวกันได้ จึงก้าวข้ามความกลัว!!!

ในปี 2552 บ้านคั่นกระไดต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่จากโครงการบ่อบำบัดขยะและโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในบริเวณช่องเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้าน โครงการนี้ถูกชักนำเข้ามาโดยผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ชาวบ้านใน ต.อ่าวน้อย ต่างเกรงกลัวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

ภูเขาดังกล่าว มีชื่อว่า ทุ่งกระต่ายขัง ตั้งอยู่ห่างชายฝั่ง 500 เมตร และเป็นจุดกำเนิดต้นน้ำที่ใช้สำหรับผลิตน้ำประปาของหมู่บ้านในบริเวณดังกล่าว ส่วนพื้นที่ระหว่างช่องเขาก็ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะจากเทศบาลเมืองประจวบฯ มาหลายปีแล้ว จนกองขยะเริ่มใหญ่โต ส่งกลิ่นเหม็น และควันไฟจากการเผาขยะก็แพร่ไปไกลถึงเรือประมงที่กำลังวางอวนหาปลา ภายใต้โครงการดังกล่าวนี้ ในอนาคตขยะจากทั้งจังหวัดหรืออาจรวมไปถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วย จะถูกขนมาจัดการที่นี่ ทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลกันมาก แต่ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ ความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของผู้ที่ชักนำโครงการโรงไฟฟ้าขยะเข้ามา

“เรายกขบวนกันไปปรึกษาพี่กระรอก (กรณ์อุมา พงษ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก) ว่าจะเอายังไงกันดี พี่รอกบอกว่า อันดับแรกเลยต้องถามก่อนว่า ถ้าจะค้านเรื่องนี้ กลัวไหม ? พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ พี่รอกก็ว่าถ้าจะค้าน อันดับแรกต้อง ก้าวข้ามความกลัว ให้ได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกันว่าจะเดินกันยังไงต่อ”

ความโหดเหี้ยมมาแต่ครั้งอดีตของผู้มีอิทธิพลดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนใน ต.อ่าวน้อย เล่าขานกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า และคนคั่นกระไดเองบางคนก็เคยถูกข่มเหงรังแกมาก่อน การลุกขึ้นคัดง้างกับอำนาจอิทธิพลเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในแถบชายทะเล ต.อ่าวน้อย

“ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรามา เวลาอยู่ต่อหน้าเขาได้แต่ยืนเอามือกุมเป้า ถ้าเราไม่มีความกล้า ลูกเราก็ต้องยืนกุมเป้าต่อหน้าลูกเขาต่อไป” หรั่ง มองย้อนไปถึงความคิดในตอนนั้น

“ถ้าเรากลัวก็ต้องลำบากไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถ้าเราสู้ตั้งแต่ตอนนี้ เรายังมีโอกาสรอด พี่น้อยบอกว่างั้นเราค้านกัน มากรีดเลือดกินน้ำสาบานกันเลย”

พวกเขายกขบวนกลับไปหาพี่กระรอกอีกครั้ง จากนั้นการวางแผน “เดินงานมวลชน” ก็เริ่มต้นขึ้น ภายใต้การหนุนช่วยของพันธมิตรจากบ้านทุ่งน้อย บ่อนอก บ้านกรูด ที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินมาก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ถูกกำชับมาจากนักต่อสู้รุ่นพี่ก็คือ พวกเขาจะต้องสู้ด้วยตัวเอง ต้องสร้างความคิด “พึ่งพาตนเอง” ให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องสมาชิกในชุมชนให้ได้

“วันแรกที่ออกไปแจกใบปลิว กลับมาถึงบ้านไม่กล้านอนบนเตียง ลงไปนอนอยู่ใต้เตียง กลัวมาก”

บุช เล่าถึงตัวเองอย่างขันๆ ชาวบ้านคั่นกระไดได้ก้าวข้ามความกลัวที่ฝังรากลึกอยู่ในชุมชนจนสำเร็จ ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าขยะได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนช่องเขาทุ่งกระต่ายขัง ที่ถูกเอกชนบุกรุกยึดครองไปเป็นที่ทิ้งขยะ ก็ถูกทางการยึดกลับมาเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินตามเดิม นี่คือผลพวงจากพลังแห่งความร่วมมือของคนเล็กคนน้อยในชุมชน

การ “ก้าวข้ามความกลัว” และหันกลับมา “พึ่งตัวเอง” ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในสำนึกของชาวบ้านคั่นกระได พวกเขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการเคารพตนเอง เลิกมองตัวเองเป็นผู้ต่ำต้อยอ่อนแอ

กลุ่มประมงเรือเล็กอ่าวคั่นกระได มี “เสื้อเขียว” เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการคนเสื้อเขียว” ที่ประกอบไปด้วยชุมชนนักต่อสู้รุ่นพี่อื่นๆ ตั้งแต่ อ.กุยบุรี อ.เมือง อ.ทับสะแก ไปจนถึง อ.บางสะพาน ชุมชนเหล่านี้ประสานกันเป็นเครือข่ายในนาม “พันธมิตรสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์” และเมื่อใดที่ชุมชนประสบปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่มาจากนโยบายของรัฐ พวกเขาก็จะรวมตัวกัน

“ยังจำคำพูดของพี่เจริญ(เจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก)ได้ดี ที่บอกว่า เราสู้ได้ ถ้าพี่น้องประชาชนรวมตัวกัน” คือคำพูดของหรั่งที่มักบอกเล่าต่อผู้มาเยี่ยมเยือนเสมอ

แต่ปัญหาก็ไม่จบเพียงแค่นั้น

11 สิงหาคม 2556 ปิยะ เทศแย้ม ชาวประมงแห่งบ้านทุ่งน้อย อ.กุยบุรี ถูกรุมซ้อมจนสะบักสะบอมขณะขึ้นปลาที่สะพานปลาประจวบฯ เขาคือนายกสมาคมประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้มีบทบาทในการดูแลรักษาทะเลมานานกว่าสิบปี ปิยะ ถูกรุมทำร้ายโดยสมุนของนายทุน “เรือคราดหอยลาย” ซึ่งมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มประมงพื้นบ้านแทบจะทุกๆ ชายฝั่งของประเทศไทยมาช้านาน และกลางท้องทะเลที่ไกปืนเที่ยง การสาดกระสุนปืนเข้าใส่เรือของกันและกันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทุกภูมิภาค และอาจยังคงเกิดขึ้นได้อีกเสมอ

ราวปี 2554 เครือข่ายประมงพื้นบ้านจากหลายอำเภอเริ่มรณรงค์เคลื่อนไหวกดดันต่อทางจังหวัดให้แก้ไขปัญหาเรือคราดหอยอย่างจริงจัง โดยมีการเสนอข้อมูลวิชาการและข้อเรียกร้องต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ปรับปรุงกฎหมาย ขยายเขตห้ามคราดหอยจากระยะ 3,000 เมตรเป็น 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง และให้ทางจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างชุมชนและราชการเพื่อเฝ้าระวังเรือคราดหอยที่รุกล้ำเขตหวงห้าม

ด้วยการเกาะติดปัญหาของชาวบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่อาจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังเช่นที่เป็นมาได้อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น เรือคราดหอยในอ่าวประจวบที่มีอยู่ทั้งสิ้น 7 ลำก็ต้องเปลี่ยนเครื่องมือไปทำประมงอย่างอื่น คงเหลือเพียง 2 ลำ ที่ยังออกคราดหอยลายตามเดิม

ในขณะเดียวกัน การแก้ไขกฎหมายที่ชาวบ้านผลักดันต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ทางกระทรวงรับข้อเรียกร้องของชาวบ้านไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะแนวเขตที่เหมาะสมในทางวิชาการที่จะกำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเครื่องมือคราดหอย จนในที่สุดเดือนธันวาคม 2555 ก็มีการออกประกาศกระทรวงฯ กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมือคราดหอยจากเดิม 3,000 เมตร เป็น 5,400 เมตร หรือ 3 ไมล์ทะเล ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 5 อำเภอนับตั้งแต่ อ.หัวหิน จนถึง อ.เมืองประจวบฯ

แม้ว่าประกาศกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดระยะหวงห้ามไว้เพียง 3 ไมล์ทะเล ไม่ใช่ 12 ไมล์ทะเลตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินยอมออกประกาศขยายเขตห้ามเรือคราดหอยตามคำเรียกร้องของชาวประมง ทำให้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดเดียวของประเทศไทยในขณะนี้ที่มีการขยายเขตอนุรักษ์ชายทะเลออกไปถึง 5,400 เมตร

อย่างไรก็ตาม เรือคราดหอย 2 ลำ ที่เหลือในอ่าวประจวบ ยังคงออกทำการอย่างไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อถูกชาวบ้านแจ้งจับหลายครั้งเข้าก็เกิดความโกรธแค้น และสั่งลูกน้องให้มาดักรุม ปิยะ ที่สะพานปลา

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ ปิยะ ถูกทำร้ายบาดเจ็บ ชาวบ้านร่วมร้อยคนจากหลายหมู่บ้านตำบลก็มาประชุมที่ศาลาบ้านโพธิ์เรียง ปิยะ ในสภาพหน้าตาบวมช้ำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สะพานปลาจนกระทั่งไปถึงสถานีตำรวจ ซึ่งผลปรากฏว่าตำรวจสั่งปรับทั้งสองฝ่ายโดยสรุปว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกดักรุมทำร้ายโดยชายฉกรรจ์ถึง 3 คน และในระหว่างที่ถูกรุม เขาได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดว่า “เสือกแจ้งดีนัก”

“ผมโทรแจ้งประมงให้ออกไปจับ ก็มีแต่ประมงที่รู้ว่าผมเป็นคนแจ้ง แล้วมันรู้ได้ไง”

ปิยะ ถามขึ้นโดยไม่ต้องการคำตอบ ที่ประชุมชาวบ้านต่างก่นด่า “ประมง” กันดังขรม ก่อนที่จะปรึกษาหารือกันถึงการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ ปิยะ หัวข้อถกเถียงมาสะดุดอยู่ที่การกำหนดวันเคลื่อนไหวที่หาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้เสียที เพราะชาวบ้านต้องประสานงานนัดหมายกันถึง 14 หมู่บ้านอย่างกะทันหัน

“โต้ง” ภูษิต จิตรจำลอง จากบ้านคั่นกระได ที่ปกติแล้วเป็นคนพูดน้อย จึงลุกขึ้นกล่าวเสียงดังว่า

“เราไม่ใช่คนทุ่งน้อยก็จริง แต่เห็นแล้วยอมไม่ได้ ถ้าใครไปเห็นปิยะถูกทำเมื่อวานนี้ เห็นลูกปิยะที่เดือดร้อนตอนนี้ จะบอกได้เลยว่าพรุ่งนี้ก็ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าทำมันเลยเรื่องอนุรักษ์น่ะ”

ทุกคนต่างปรบมือสนับสนุนความเห็นของโต้ง การตัดสินใจของเครือข่ายประมงพื้นบ้านครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ เช่นนี้เอง

13 สิงหาคม 2556 ขบวนชาวบ้านจาก 14 หมู่บ้านใน อ.กุยบุรี และ อ.เมือง ตั้งแถวยาวเหยียดออกเดินรณรงค์รอบเทศบาลเมืองประจวบฯ ปราศรัยบอกเล่าปัญหาของเรือคราดหอยที่ทำลายทรัพยากร และความป่าเถื่อนที่กระทำต่อ ปิยะ เทศแย้ม ต่อสังคม สุดท้าย ขบวนแถวชาวบ้านก็ไปหยุดยั้งอยู่ที่สุดปลายอ่าวประจวบ ใกล้บ้านของนายทุนเรือคราดหอยคู่กรณี เรือคราดหอยยังคงลอยลำสงบนิ่งอยู่หน้าหาด

เสียงปราศรัยของ ปิยะ ดังก้องไปทั่วตลาด เพื่อให้นายทุนเห็นว่า จะต้องต่อสู้กับอะไร ถ้ายังขืนใช้อิทธิพลเถื่อนคราดหอยแบบเดิม ท่ามกลางขบวนชาวประมง 14 หมู่บ้านที่หน้าตาเคร่งเครียดขมึงทึง

การเจ็บตัวของปิยะไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า เพราะพี่น้องชาวประมงไม่ปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว หลังจากออกมารณรงค์ปัญหาต่อสาธารณะในครั้งนี้ ก่อนสิ้นปี 2556 ชาวบ้านก็ได้รับข่าวดีว่า เรือคราดหอยเกเร 2 ลำสุดท้ายของอ่าวประจวบ ได้ยุติอาชีพคราดหอยลงแล้วโดยสิ้นเชิง

สายชล
21-07-2015, 15:05
GREENPEACE
13-05-2015

ใบเหลืองอียู แปรวิกฤตให้เป็นโอกาสก่อนทะเลไทยจะล่มสลาย

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/112881_186180.jpg

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมาสหภาพยุโรป(อียู) ออกประกาศอย่างเป็นทางการ โดยขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ทั้งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีความล้มเหลวต่อเรื่องนี้ ใบเหลืองอียูยังสะท้อนวิกฤตห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมประมงไทยที่โยงกับนโยบายประมงโลก แม้จะเข้าใจกันดีว่า หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อปลดใบเหลืองอียูภายใน 6 เดือนตามที่กำหนด แต่หากละเลยมิติความยั่งยืนในเรื่องการฟื้นฟูทะเลและทรัพยากรชายฝั่งให้ไปพ้นจากการประมงทำลายล้าง การมุ่งปลดใบเหลืองอียูโดยให้ความสำคัญกับผลประโยขน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของอุตสาหกรรมประมงนั้นจะเป็นผลชั่วครู่ชั่วยามบนซากปรักหักพลังของระบบนิเวศทะเลไทย


ใบเหลืองจากอียูสำคัญอย่างไรต่อการประมงไทย

ข้อมูลการส่งออกสินค้าประมงไทยไปอียูโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) ระบุว่า ในปี 57 ไทยส่งออกสินค้าทะเลไปอียูปริมาณ 148,995 ตัน มูลค่า 26,292 ล้านบาท ในปี 56 ส่งออกปริมาณ 176,939 ตัน มูลค่า 31,072 ล้านบาท และปี 55 ส่งออกปริมาณ 189,904 ตัน มูลค่า 33,782 ล้านบาท นี่เป็นเพียงตัวเลขของการส่งออกที่เป็นยอดเงินที่ยังไม่คำนวนถึงมูลค่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจจากการทำประมงที่ผิดกฎหมายที่คิดเป็นเงินราว 659 พันล้านบาท
สาเหตุที่มาของสัญญาณเตือนใบเหลืองนี้ เนื่องมาจากตั้งแต่ปี 2554 อียูได้ตรวจสอบการควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมาย IUU ในประเทศไทย และไม่มีการปรับปรุงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายการออกกฎหมาย และการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมาเป็นระยะเวลา 3 ปี ประเทศไทยจึงกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา หมายความว่า หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ในเดือนตุลาคมนี้จะให้ใบแดง และระงับการสั่งซื้อสินค้าประมงจากประเทศไทยทันที เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับประเทศกัมพูชา กินี และศรีลังกา


ช่องโหว่ในมาตรการแก้ไขของรัฐบาลไทย

ชะตาการส่งออกสินค้าประมงของไทยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการจัดการของรัฐบาลไทยในช่วง 6 เดือนนี้ โดยอาจเป็นได้สามแนวทาง คือ การออกใบเขียว-ยกเลิกการเตือนสินค้าประมง การออกใบแดง-ห้ามการนำเข้าสินค้าประมงไทย ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หรือสุดท้ายคือยืดเวลาให้ไทยแก้ปัญหาต่อไปอีก
อย่างไรก็ตามแต่การออกมาตรการแก้ไขเร่งด่วนของรัฐหลายประการไม่ว่าจะเป็นการตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด การต้อนเรือประมงมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น มิได้รับประกันว่าจะนำไปสู่การปลดใบเหลืองอียู แต่กลับละเลยมิติของความยั่งยืนในการฟื้นฟูทะเลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการประมงเกินขนาด

อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์ว่า 6 มาตรการการจัดของของภาครัฐยังมีช่องโหว่ที่ส่งเสริมให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลของไทย กล่าวคือ

1. การจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง หรือการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน จะเป็นการเปิดโอกาสให้เครื่องมือประมงทำลายล้าง เช่น เรืออวนลากเข้ามาสู่ระบบ ทั้งที่เรืออวนลากเป็นการทำประมงที่ทำลายล้าง กวาดล้างปลา และพันธุ์สัตว์น้ำในทะเลไทย รวมถึงทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยและระบบนิเวศทางทะเลที่มีความสำคัญ การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ได้สร้างผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งที่พึ่งพาระบบนิเวศทางทะเลอย่างมาก และส่งผลร้ายแรงต่ออนาคตของความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทย

2. การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง ยังต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายประมงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดถือประโยชน์ของประชาชน ชาวประมงพื้นบ้าน และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้ง

3. การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (วีเอ็มเอส) ยังขาดแผนการทำงานที่เป็นระบบ การตรวจสอบควรนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่เป็นระบบ และน่าเชื่อถือ

4. การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ แต่ปัจจุบันยังเป็นการตรวจสอบผ่านเอกสารเนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ

5. การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง มาตรการการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพได้เต็มที่จำเป็นต้องรอกฏหมายลูกอีกหลายฉบับมารองรับเพื่อให้เกิดผลบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังขาดกฏหมายที่คุ้มครองสัตว์น้ำวัยอ่อนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีใครพูดถึง

6. การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้า IUU แต่การจัดทำแผนระดับชาติในครั้งนี้มุ่งแต่การป้องป้องสินค้าส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมประมง แต่ไม่คำนึงถึงการรักษาทรัพยากรทางทะเลโดยรวม


ปลาในทะเลไทยกำลังหายไป

จุดมุ่งหมายสำคัญของกรรมธิการยุโรปในการกำหนดและสร้างข้อตกลงร่วมกันในสหภาพยุโรปในเรื่องการนำเข้าสินค้าประมงเข้ามาในสหภาพยุโรป คือ ต้องการให้นานาประเทศยกระดับการจัดการประมงทะเลอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาทรัพยากรและแหล่งอาหารไว้ให้คนรุ่นต่อไป ขณะนี้จากรายงานของ FAO ปี 2558 พบว่าผลผลิตการจับปลามวลรวมของประเทศไทยลดลงถึงร้ยละ 39 เมื่อเปรียบเทียบย้อนไป 10 ปี (2546-2555) โดยการลดลงของทรัพยากรทางทะเลบางส่วนมีสาเหตุจากการทำประมงเกินขนาด และปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมในอ่าวไทย ซึ่งสอดคล้องกับสถิติของกรมประมงพบว่า อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของการทำประมงอวนลากลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2504 มีอัตราอยู่ที่ 297.6 กก.ต่อชม. ในปี 2525 ลดลงเหลือ 49.2 กก.ต่อชม. ในปี 2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียง 14.126 กก.ต่อชม.

การจัดการประมงอย่างยั่งยืน คือ การคืนชีวิตให้ทะเลไทย และนั่นคือทางออกสำหรับอนาคตการประมงของไทย ประเทศไทยมีทรัพยากรทางทะเลเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงชาวไทยและส่งออกไปภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้อย่างยั่งยืนหากเราตระหนักที่จะดูแลท้องทะเลร่วมกัน แต่ที่ผ่านมาการพัฒนากิจการประมงของไทยเป็นไปในทางทำลายเพื่อกอบโกยเงินให้มากที่สุด หกเดือนต่อจากนี้คือการตัดสินสำคัญของอนาคตทะเลไทยที่ภาครัฐจะต้องปรับปรุงระบบการประมงทั้งระบบให้ถูกต้องและยั่งยืน เพราะหากภาครัฐไม่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและปกป้องรักษาท้องทะเลต้องแต่ตอนนี้ ทะเลไทยจะยิ่งเสื่อมโทรมและไม่อาจกลับคืนสภาพสมบูรณ์ได้อีกเลย

สายชล
21-07-2015, 15:18
GREENPEACE
14-05-2015

เครือข่ายประชาสังคมเสนอรัฐใช้วิกฤตใบเหลืองอียูเพื่อฟื้นฟูทะเลไทยอย่างยั่งยืนโดยยกเลิกเครื่องมือประมงที่ทำลายล้างและหยุดนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน

เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทย (1) ตั้งข้อสังเกตและเสนอทางออกกรณีคณะกรรมธิการยุโรป (EU) ขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าข่ายไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม(IUU Fishing) โดยเครือข่ายภาคประชาสังคมระบุว่า การออกมาตรการแก้ไขของรัฐบาลนั้นเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่ตอบสนองผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลขนาดใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว และมิได้รับประกันว่าจะนำไปสู่การปลดใบเหลืองอียูได้อย่างถาวร ที่สำคัญ มาตราการเหล่านั้นได้ละเลยมิติของความยั่งยืนในการฟื้นฟูทะเลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำประมงเกินขนาด การใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และการจัดการและเข้าถึงทรัพยากรและระบบนิเวศทางทะเลอย่างเป็นธรรม

ในวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป(EU) แจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ (2) กรณีที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพียงพอในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินตามมาตรการในแผนปฏิบัติการ

กรมประมงได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และขาดการควบคุม (IUU) โดยตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด และออกมาตรการ 6 ข้อในการจัดการปัญหาประมงไทยได้แก่

1. การเร่งขึ้นทะเบียนเรือประมง และออกใบอนุญาตทำการประมง
2.การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง
3.การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS)
4.การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ
5.ปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง และ
6. จัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้าไอยูยู

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดินได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวว่า "ด้วยเจตนารมณ์ของมาตรการการต่อต้าน IUU Fishing (combat IUU Fishing) และการที่ประเทศไทยได้ใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในกรณีนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการประมงของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งในเรื่องการทำประมงผิดกฏหมาย การทำลายระบบนิเวศทางทะเล และความไม่โปร่งใสของแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ เป็นต้น ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบควรใช้โอกาสนี้ในการสะสางปัญหาประมงไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานและนับวันจะรุนแรงมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ เพื่อนำไปสู่ความอย่างยั่งยืนของระบบนิเวศและวิถีประมงไทยที่เปิดโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายการแก้ปัญหาเพื่อการปลดล๊อคใบเหลืองเท่านั้น"

เครือข่ายภาคประชาสังคมยังได้แสดงข้อกังวลถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีขึ้น เนื่องจากมาตรการแก้ไขของหน่วยงานรัฐบาลยังคงมองข้ามการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทย

“ประสบการณ์การทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งร่วมกับพี่น้องชุมชนประมงชายฝั่งมา 30 กว่าปี ผมพบว่าทะเลไทยเป็นแหล่งอาหารโปรตีนในธรรมชาติที่สำคัญสำหรับสังคมไทย ทั้งยังเป็นอาชีพและแหล่งรายได้ของผู้คนจำนวนมาก การเร่งการจดทะเบียนเรือหรือนิรโทษกรรมเรือประมงทำลายล้างเป็นการทำร้ายและทำลายทะเลไทย และเป็นการการทำลายวิถีชุมชน ทำลายอาชีพและความเป็นอยู่ของพี่น้องร่วมชาติอย่างเลือดเย็นที่สุด ทางออกต่อเรื่องนี้คือต้องลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี2547(3)” นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว

“เราควรดูแบบอย่างจากประเทศที่รอดพ้นจากใบเหลืองกรณีการประมงผิดกฎหมาย เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาการจัดการด้านการประมงโดยยึดหลักการทำงานร่วมกันระหว่างประชาสังคมและภาครัฐ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิดการจัดการอย่างมีส่วนร่วมโดยให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้านเท่ากับตัวเลขการส่งออกของประมงพาณิชย์ การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องทำทั้งระบบไม่ใช่เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง” อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้

1) ยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างรวมถึงอวนลาก อวนรุน ซึ่งทำลายแหล่งปลาและระบบนิเวศของทะเลไทย

2) ยุติการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถือนที่ล้างผลาญทะเลไทยและลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี 2547

3) ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายประมงและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ และยกระดับธรรมาภิบาลด้านการประมงเพื่อต่อกรกับการทำประมงเกินขนาดที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของทะเลและมหาสมุทร

4) ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังกับระบบการควบคุม ติดตามตรวจสอบรวมถึงมีการประสานงานเชิงนโยบายและการจัดการประมงในระดับภูมิภาคอย่างจริงจังเพื่อที่จะอุดช่องโหว่ของการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น การขนถ่ายสินค้าจากการประมงนอกน่านน้ำกลางมหาสมุทร เป็นต้น


หมายเหตุ

(1) เครือข่ายภาคประชาสังคมประกอบด้วย 1. สมาคมรักษ์ทะเลไทย 2. มูลนิธิสายใยแผ่นดิน 3. สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 4. องค์การอ็อกแฟมแห่งประเทศไทย 5.กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2) http://europa.eu/rapid/press-release_IP-15-4806_en.htm

(3) http://www.rebyc-cti.org/downloads/doc_download/183-strengthening-the-capacity-in-fisheries-information-gathering-for-management-analysis-of-employment-opportunities-and-mobility-in-supporting-fishing-capacity-reduction

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ร่วมปกป้องและฟื้นฟูทะเลไทยได้ที่ www.greenpeace.or.th/s/call-for-Ocean-protection

สายชล
21-07-2015, 15:19
greennewstv
14-05-2015

"เรือปั่นไฟ" ปัญหาเรื้อรังสู่หายนะทะเลไทย

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/11200794_10204767154433781_6091048946942400150_n.jpg

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย-สหพันธ์ประมงพื้นบ้านเอือมปัญหา “เรือปั่นไฟ” มฤตยูของทรัพยากรทางทะเลที่กำลังสร้างหายนะอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่แก้ได้ง่ายแต่รัฐไม่ยอมทำ

ปัญหาการทำประมงด้วยเรือปั่นไฟ นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในท้องทะเลอย่างรุนแรง และต่อระบบเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมประมงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนับว่าไม่ต่างจากการประมงโดยใช้อวนลากหรืออวนรุน แต่กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือเป็นที่รู้จักมากนัก

“บรรจง นะแส” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย หนึ่งในผู้ต่อต้านการประมงโดยวิธีการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายว่า การจับปลาโดยวิธีการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟล่อให้ปลาเข้ามาหาจำนวนมากแล้วจึงลงอวนจับ แต่สิ่งที่ได้มานอกจากปลากะตักแล้วยังมีลูกปลาเศรษฐกิจอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต ทั้งหมดถูกลากขึ้นมากองเป็นภูเขา หนึ่งในนั้นที่เห็นได้ชัดคือลูกปลาทู ที่ถูกนำมาขายราคาถูกๆอย่างไร้คุณค่า กลายเป็นอาหารสัตว์ แทนที่เมื่อเจริญเติบโตจะมีราคาดีและเป็นอาหารของมนุษย์

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/10955541_10204499012810408_4525518947165295823_n.jpg

นักอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลกล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องดังกล่าวสามารถห้ามได้เพียงการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือ เคยถูกบังคับใช้มาแล้วเมื่อปี พ.ศ.2526 โดย นพ.บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น ที่ได้ออกประกาศกระทรวงให้ยกเลิกการทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟ แต่พอมาในปี พ.ศ.2539 ยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี กลับถูกยกเลิกประกาศเก่าแล้วออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่ โดย นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ขณะนั้น) เปิดโอกาสให้กลับมาใช้วิธีการทำการประมงด้วยวิธีใช้แสงไฟล่อปลาได้เช่นเดิม ทำให้พันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนชนิดต่างๆจำนวนมาก ก็ยังถูกทำลายเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน

แม้เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ลูกปลาตัวเล็กๆยังคงถูกจับโดยวิธีทำลายล้างเช่นนี้มาตลอด แต่จำนวนปลาที่จับได้ในแต่ละครั้งยังคงมีจำนวนมาก นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ระบุว่า นั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย

“ลองจินตนาการดูว่าหากเราสามารถหยุดการกระทำเหล่านี้ได้ เราจะมีสัตว์ทะเลมากมายสมบูรณ์เพียงใด แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้คือระบบนิเวศน์ถูกทำลาย ปลาใหญ่ไม่มีโอกาสโตและมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากไม่มีปลาเล็กให้กิน” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/1530540_10204199096872697_7715367072027335698_n.jpg

ด้าน “วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี” ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พ.ร.บ.ประมง 2558 ที่ผ่านออกมานั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวมากนัก เป็นเพียงการพูดหลักการกว้างๆ และยังคงให้อำนาจรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะหากให้อำนาจกลุ่มท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจคงจะมีการยกเลิกการประมงวิธีการดังกล่าวไปแล้ว

“สิ่งที่เป็นอยู่คือการทำลายวงจรทั้งทางระบบนิเวศน์และเศรษฐกิจ ทรัพยากรที่มีอยู่นั้นจำกัดด้วยศักยภาพการผลิตของทะเลไทย หากปล่อยให้มีกลุ่มประมงสัก 10-20 รายกวาดเอาปลาตัวเล็กตัวน้อยไปขายถูกๆจนหมด แล้วคืนอื่นจะเหลืออะไร ในเมื่อหากปล่อยไว้แล้วมาจับใหม่ปริมาณจะเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยหลายพัน” วิโชคศักดิ์กล่าว

ผู้จัดการสมาคมสหพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยยังกล่าวว่า อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ผู้คนตระหนักคือ อาหารทะเลที่มีคุณภาพเกือบทั้งหมดมาจากประมงรายเล็กซึ่งใช้วิธีจับแบบพื้นบ้าน และไม่มีสารที่เป็นอันตราย ต่างจากอาหารทะเลที่มาจากประมงรายใหญ่ที่มักมีสารแปลกปลอม อาทิฟอร์มาลีนที่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อรักษาปลาให้สดเป็นระยะเวลานาน และกว่าครึ่งหนึ่งของการประมงโดยใช้อวนลาก อวนรุน หรือเรือปั่นไฟเช่นนี้เป็นไปเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เลี้ยงคน

สายชล
21-07-2015, 15:22
GREENPEACE
15-05-2015

ชะตากรรมทะเลไทยในสถานการณ์ปลดล๊อดใบเหลืองอียู

http://www.greenpeace.org/seasia/th/ReSizes/Large/Global/seasia/thailand/2015/yellow-card/images/PEH05132015_171.jpg
ภาคประชาสังคมได้มาร่วมกันถกถึงปัญหาวิกฤตประมงไทยและใบเหลืองจากอียู ในประเด็น “ใบเหลืองอียู: ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง”

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าของประเทศเป็นหลัก โดยไม่คิดถึงการรักษาทรัพยากรเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว จึงมีมาตรการเร่งรัดเพื่อรักษาตลาด พยายามแก้พรบ.การประมง แก้ไขเรื่องทรัพยากรชายฝั่ง แต่ต้องดูว่าจะเป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือเปล่า จะเป็นการแก้ให้เราทุกคนหรือแก้ให้ใคร” คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

เมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคมได้มาร่วมกันถกถึงปัญหาวิกฤตประมงไทยและใบเหลืองจากอียู ในประเด็น “ใบเหลืองอียู: ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง” ซึ่งเป็นการมาพูดคุยกันถึงข้อวิตกกังวลในเรื่องทรัพยากรทางทะเลไทยที่กำลังถูกตักตวงเกินประสิทธิภาพในการฟื้นฟู จากมุมมองของเครือข่ายประมงพื้นบ้าน ผู้ที่ทำประมงอย่างอนุรักษ์และฟื้นฟูท้องทะเล และเห็นถึงวิกฤตปัญหาทางทรัพยากรที่เกิดขึ้น แต่ภาครัฐกลับมองข้ามไม่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของประมงพื้นบ้าน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นทางออกในการทำประมงอย่างยั่งยืน เพื่อความมั่นคงทางอาหารของไทย ไม่ใช่อุตสาหกรรมประมงที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่กลุ่ม นี่คือโจทย์ที่ภาครัฐต้องเลือกและหาคำตอบให้ได้ระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจและผลประโยชน์ของประชาชน เป็นความท้าทายที่ว่ารัฐบาลจะทำให้ผลประโยชน์กลับมาสู่ประชาชน และระบบนิเวศของทุกคนได้หรือไม่

และที่สำคัญที่สุดคือจะรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยที่ผลประโยชน์ของธุรกิจเป็นรองได้หรือไม่

http://www.greenpeace.org/seasia/th/Global/seasia/thailand/2015/yellow-card/images/PEH05132015_091.jpg
คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย


เรือประมงแบบทำลายล้าง ศัตรูของท้องทะเลที่ไม่ควรได้รับนิรโทษกรรม

ข้อกังวลที่ผู้เข้าร่วมเสวนาจาก สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิสายใยแผ่นดิน สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย องค์การอ็อกแฟมแห่งประเทศไทย และกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นพ้องตรงกัน คือ ปัญหาการประมงแบบทำลายล้างและเกินขนาดที่สร้างความเสื่อมโทรมให้กับทรัพยากรทางทะเล และความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายของภาครัฐ

http://www.greenpeace.org/seasia/th/Global/seasia/thailand/2015/yellow-card/images/PEH05132015_131.jpg
คุณสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย

“5,919 ลำ คือจำนวนเรืออวนลากที่อ่าวไทยรับได้จากข้อมูลการวิจัยโดยกรมประมง ณ วันนี้ เรืออวนลากมีกว่า 12,000 ลำแล้ว เป็นข้อคำถามถึงความตั้งใจในมาตรการของกรมประมงว่าต้องการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทยจริงหรือไม่ ภาครัฐของไทยเปิดโอกาสให้เรือประมงพาณิชย์ทำลายล้างทุกอย่าง หลายประเทศมีการปิดประเทศไม่ให้เรืออวนลากเข้า เช่น อินโดนีเซียมีการยกเลิกเรืออวนลาก อวนล้อม แต่ในไทยเป้าหมายของผู้ประกอบการคือเรืออวนลาก กับการนิรโทษกรรมเรืออวนลาก ซึ่งต่อไปถ้าปล่อยให้เกิดการจดทะเบียน ทะเลไทยจะทรัพยากรลดลงเรื่อยๆ

หลังจากได้รับใบเหลือง ภาครัฐไม่ได้มองถึงกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านซึ่งมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 85 ว่าเป็นกลุ่มที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศเดิน ทั้งที่มีการรับซื้อและส่งออกไปต่างประเทศ ไม่ได้มองว่าเราเป็นหนึ่งคู่กับทะเล มีการฟื้นฟูทะเล และทรัพยากรหน้าบ้านของตนเองมาตลอด แต่เรือประมงแบบทำลายล้างที่เต็มทะเลต่างหากทำให้ชะตาทะเลไทยอยู่ในขั้นวิกฤต” คุณสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าว

อันที่จริงแล้วทะเลไทยมีศักยภาพสูง หากเราเปิดโอกาสให้ระบบนิเวศได้ฟื้นตัว ไม่นานนักทะเลก็จะสามารถคืนความอุดมสมบูรณ์กลับมาได้ ดังที่คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า “ขณะนี้มีเรืออวนลากจำนวนกว่า 12,000 ลำในทะเลไทย แต่ยังสามารถจับปลาเล็กมาได้จำนวนกว่า 9 แสนตันต่อปี แสดงถึงศักยภาพของทะเลไทยถึงแม้จะถูกเรือประมงแบบทำลายล้างทำร้ายระบบนิเวศกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจากท้องทะเลตั้งแต่ผิวดินถึงผิวน้ำ หากเราปล่อยให้ลูกปลาเหล่านี้เติบโตจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาลมากว่ามูลค่าของปลาป่น เรือประมงแบบทำลายล้างอย่างเรืออวนรุน อวนลาก เรือคราดหอย และเรือปั่นไฟ ถึงแม้ว่ารัฐจะบอกสามารถจดทะเบียนให้ถูกกฎหมาย แต่สังคมไทยจะว่าอย่างไร จะยอมให้ทะเลไทยถูกทำลายเช่นนี้ต่อไปไหม ทางออกต่อเรื่องนี้คือต้องลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี2547”


การบังคับใช้กฎหมายประมงอย่างมีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล หนทางปลดล็อควิกฤตทะเลไทย

ที่ผ่านมาการบังคับใช้ของกฎหมายประมงที่มีช่องโหว่อย่างเห็นได้ชัดทำให้ คุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรีผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ถึงกับกล่าวออกมาว่า “ผมไม่คาดหวังเลยกับกฎหมายประมง”

วิกฤตทะเลไม่ได้เพิ่งมาเกิดตอนได้ใบเหลือง แต่ FAO ได้ระบุว่าเราจับเกินระยะฟื้นฟูของทะเลตั้งแต่ปี 2523 ล่าสุดภาครัฐได้ออกกฎหมายประมงฉบับใหม่เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา แต่ภาคประชาสังคมยังมีข้อกังวลว่ากฎหมายนี้ยังคงมีช่องโหว่ ซึ่งคุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี เสริมว่า “ความสำคัญในกฎหมายประมง 104 มาตรา ยังไม่สามารถฝากความหวังได้ แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่ม ไม่คำนึงถึงการประมงพื้นบ้าน อีกทั้งอำนาจกฎหมายยังผูกขาดอยู่ในมือรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่เพียงผู้เดียว ที่สำคัญคือไม่มีบทลงโทษสำหรับเรือประมงพาณิชย์ที่ละเมิดกฎหมาย มีเพียงการปรับ ซึ่งเมื่อเทียบระหว่างรายได้ 1 แสนบาท และค่าปรับ 2 พันบาทแล้ว คงไม่มีใครกลัวเกรงการกระทำผิด แต่ในขณะที่เรือประมงพื้นบ้านกรณีที่ออกนอกเขตสามไมล์ทะเล จะถูกส่งฟ้องศาลเพื่อรอดำเนินอาญาเท่านั้น กฎหมายเช่นนี้จะทำให้ทะเลวินาศในอีกสองเดือน ไม่ใช่ดีขึ้น”
ซูม

การแก้ปัญหาวิกฤตทะเลไทย และปลดล็อคได้อย่างตรงจุดที่สุดนั้นต้องระบุถึงปัญหาอย่างจริงใจ ไม่ใช่ปกปิด และมีการจัดการในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ภาครัฐต้องคำนึงถึงคือ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นไม่ใช่แค่อุตสาหกรรม แต่มีชาวประมงพื้นบ้านที่อนุรักษ์และฟื้นฟู รวมถึงผู้บริโภคที่มีส่วนในการกินอาหารทะเล และเป็นเจ้าของทะเลเช่นกัน

“ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าสาเหตุของใบเหลืองเพราะมีแรงงานไม่ถูกกฎหมาย แต่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของกรมประมงที่ต้องอธิบายว่าทำไมเรือเหล่านี้ถึงผิดกฎหมาย ซึ่งมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าทะเลไทยไม่ควรมีเรือพวกนี้อยู่ หากสิ่งที่เราสู้กันมากลับถูกปลดล็อคง่ายๆ คงเป็นปัญหาแน่ การส่งออกในปัจจุบันมีความไม่โปร่งใสในการได้มา เช่น การประมงที่ผิดกฎหมาย หรือการขโมยมา อันที่จริงแล้วปัญหาเป็นเรื่องของการจัดการประมงในระยะยาว ไม่ใช่ได้มาแบบทางลัดแก้ปัญหาในระยะสั้น ประมงยังอยู่กับเราไปอีกยาวนาน เป็นเรื่องของโจทย์สำหรับผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง” ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าววิเคราะห์

http://www.greenpeace.org/seasia/th/Global/seasia/thailand/2015/yellow-card/images/PEH05132015_078.jpg
คุณอัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คุณอัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวสรุปว่า

“ทางออกในการจัดการประมงไทยเราสามารถศึกษาจากตัวอย่างของประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้ใบเขียวมาหลังจากการถูกเตือน ซึ่งมีหัวใจหลักคือ การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน ให้น้ำหนักกับประมงพื้นบ้านเท่ากับประมงพาณิชย์ คำนึงถึงทรัพยากรที่จะสูญเสียไป พร้อมกับกฎหมายใหม่ที่ใช้ได้จริง ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและพาณิชย์ หรือจะเป็นประเทศอินโดนีเซียที่เอาจริงกับการวางระบบการเฝ้าระวังการประมงผิดกฎหมาย ดังที่เคยมีเหตุการณ์การจมเรืออวนลากของไทยในน่านน้ำอินโดนีเซีย รัฐบาลไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้าน การปกป้องทรัพยากรประมงชายฝั่ง กระจายอำนาจ ดังที่บ้านเราก็มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าทำได้จริง เช่น ชุมชนคั่นกระไดกับการสร้างกติกาชุมชน”

ทะเลไทยคือสมบัติของชาวไทยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมการประมงของบริษัทใด ขณะที่ภาครัฐยังไม่ได้ดำเนินการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเพื่อเร่งปลดล็อคใบเหลืองอียู ผู้บริโภคอย่างเราทุกคนมีพลังในการผลักดันให้รัฐเลือกกำหนดอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทะเลไทย ยุติการสนับสนุนเรือประมงแบบทำลายล้างที่กอบโกยผลประโยชน์จากทะเลเพื่อรายได้ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของอุตสาหกรรมประมง หันมาบังคับใช้กฎหมายประมงใหม่ให้มีประสิทธิภาพ ยึดถือประโยชน์ของประชาชน ชาวประมงพื้นบ้าน และความยั่งยืนทางสิงแวดล้อมเป็นที่ตั้ง เพื่อทะเลอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับชาวไทย และทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน

สายชล
21-07-2015, 15:32
greennewstv
16-05-2015

ส่องเพื่อนบ้านอาเซียน จัดการประมงอย่างไรจึงรอดพ้นใบเหลือง EU

ตัวอย่างจากอินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ รอดพ้นใบเหลือง EU ด้วยหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน และเด็ดขาดกับประมงผิดกฎหมาย ขณะที่ภาคประชาสังคมชี้ประเทศไทยยังเดินหน้าแก้ใบเหลืองผิดทาง

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/2432CAD000000578-0-image-a-48_1419173805816.jpg
ภาพจาก dailymail.co.uk

ประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ล้วนเป็นประเทศที่ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงได้ใบเหลืองกรณีการประมงจากคณะกรรมการยุโรป (EU) ซึ่งสิ่งที่ 3 ประเทศทำเหมือนกันคือ คลอดกฎหมายประมงฉบับใหม่ออกมา

ผลจากกฎหมายใหม่ทำให้ประเทศอินโดนีเซียกลายเป็นตัวอย่างความเด็ดขาดของการบังคับใช้ สิ่งที่ประเทศนี้ทำคือเมื่อตรวจพบการจับปลาแบบผิดกฏหมายในน่านน้ำของตน ทางการจะยึดเรือทันที จากนั้นมีการตัดสินโดยศาลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งระเบิดจมเรือเหล่านั้นสู่ก้นทะเล และท้ายที่สุดอินโดนีเซียไม่เคยได้รับใบเหลืองจาก EU เลย

“อินโดนีเซียทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มันร้ายแรง และแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา เพราะอย่างนี้จึงไม่ได้โดนใบเหลืองเลย” อัญชลี พิพัฒนาวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุททรกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว

ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ใช้เวลา 11 เดือน ในการปลดล็อคใบเหลือง ที่ EU มอบให้ตั้งแต่กลางปี 2557 “อัญชลี พิพัฒนาวัฒนากุล” ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทรกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นว่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งรัฐบาลของฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้านไม่ต่างกับตัวเลขการส่งออกของประมงพาณิชย์ เห็นได้จากเมื่อประมงพื้นบ้านรวมตัวกันเสนอรายชื่อเครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง ภาครัฐก็รับฟังและรีบออกมาตรการเพื่อมาจัดการกับประมงเหล่านั้น หรือให้ชาวประมงในชุมชนร่วมตรวจการณ์กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเฝ้าระวังเรือประมงผิดกฎหมาย

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/p06.jpg
เวทีเสวนา “ใบเหลืองอียู : ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง”

ส่วนสถานการณ์ของไทยภายหลัง EU ตัดสินใจให้ใบเหลืองด้านประมงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้พระราชบัญญัติการประมงใหม่ของไทยเปิดช่องให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยสามารถรวมกลุ่มประมงพื้นบ้านและมีโอกาสส่งตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมการของจังหวัด ซึ่งมีสิทธิ์ผลักดันนโยบายได้ แต่ “วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี” ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเห็นว่าโอกาสนี้จะเกิดขึ้นสำหรับชุมชนที่ตื่นตัวเท่านั้น ซ้ำการตัดสินใจที่แท้จริงยังคงอยู่ในมือของฝ่ายบริหาร

“สมมติว่ากรรมการจังหวัดมีมติร่วมกันทั้งจังหวัดว่าประมงชนิดนี้จังหวัดตนถือว่าเป็นประมงแบบผิดกฎหมาย แต่ถ้ารัฐมนตรีไม่อนุญาตก็ประกาศใช้ไม่ได้ เพราะอำนาจในกฎหมายยังคงเป็นของฝ่ายการเมือง หรืออยู่ในมือคนเดียวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”

สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือการจัดการกับประมงผิดกฎหมาย โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่เมื่อฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการใช้เครื่องมือผิดประเภท หรือเข้ามาทำประมงในเขตหวงห้าม ยังคงระบุโทษไว้เพียงการปรับเท่านั้น

“กฎหมายใหม่ถ้าจะปรับให้ถาม 3 คน อัยการ หัวหน้าตำรวจ และประมงจังหวัด ผมเป็นอวนลากผมจ่าย 3 คนเลยคราวนี้ เพราะสิ่งที่ผมกลัวคือการริบเรือ ผมไม่กลัวค่าปรับ ซ้ำทำผิดแล้วไม่ต้องส่งฟ้องศาลแต่เปรียบเทียบปรับได้เลย ผมก็จ่ายค่าปรับตอนเช้าก็ออกเรือเหมือนเดิม” วิโชคศักดิ์อธิบายถึงช่องโหว่ขนาดใหญ่ของกฏหมาย

ทำให้ข้อสรุปจากเวทีจึงเห็นตรงกันว่า มาตรการของไทยออกมาอย่างรีบร้อนเกินไป ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่อาจจะลวง EU ได้สักพัก แต่เมื่อมองไกลไปในระยะยาว ยังไม่มีข้อใดที่สามารถแก้ไขปัญหาประมงได้อย่างแท้จริง

สายชล
21-07-2015, 15:50
ไทยรัฐ
20-05-2015

อียูทำโฆษณาต้านสินค้าประมงไทย

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuFtPk6MFnYxk2dQdMlWvoUhz51M04zOZmTDib7G.jpg

นายธวัชชัย เดชาเชษฐ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ในสหภาพยุโรป (อียู) ได้สร้างโฆษณาเรื่องประมงไทย รณรงค์ให้ผู้บริโภคในอียูเกิดความรังเกียจ และเลิก หรือเลี่ยงการบริโภคสินค้าประมงจากประเทศไทย ซึ่งหากเกิด กระแสต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสการต่อต้านสินค้าไทยจะเป็นตัวผลักดันการพิจารณาใบเหลือง กรณีการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม (ไอยูยู) ให้เป็นใบแดงได้ และเมื่อนั้นสินค้าประมงไทยก็จะถูกอียูห้ามนำเข้า กระทบและซ้ำเติมการส่งออกของไทย “ขณะนี้คณะผู้แทนไทยที่ดับบลิวทีโอ และบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหาไอยูยูของไทย ในประเด็นที่อียูตั้งข้อสงสัยว่าไทยเอาเปรียบคู่ค้า โดยใช้แรงงานผิดกฎหมาย เพื่อให้ต้นทุนการค้าต่ำกว่าคู่แข่ง หากผลการตรวจสอบออกมาว่าไทยไม่ได้เอาเปรียบคู่ค้า ไม่ได้ทำการค้าผิดกฎหมาย อียูก็จะประกาศยกเลิกใบเหลือง เหมือนกรณีเกาหลีและฟิลิปปินส์ ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อปรับปรุงให้การทำประมงไทยได้มาตรฐานสากล หากแก้ปัญหาได้ ภาพพจน์สินค้าประมงไทยจะดีขึ้น”

นายผณิชศวร ชำนาญเวช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ที่ปรึกษานายก กล่าวว่า ไทยต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เป็นไปได้อยากให้นายกรัฐมนตรีประกาศห้ามส่งออกสินค้าประมง 2 ปี เพื่อปรับอุตสาหกรรมทั้งระบบจนกว่าอียูจะให้การยอมรับ.




เดลินิวส์
21-05-2015

อินโดนีเซียจมเรือประมงต่างชาติ

http://www.dailynews.co.th/images/1056672?s=750x500

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่21พ.ค.ว่าทางการอินโดนีเซียได้ตัดสินใจจมเรือประมงต่างชาติทิ้งจำนวน41ลำเพื่อเป็นสัญญาณเตือนเรื่องการลักลอบเข้ามาจับปลาโดยผิดกฎหมายในเขตน่านน้ำของอินโดนีเซีย

เรือประมงต่างชาติมาจากหลายประเทศด้วยกันถูกระเบิดทิ้งที่ท่าเรือหลายแห่งทั่วอินโดนีเซียซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งหาปลาที่ดีที่สุดในโลกด้วย

ส่วนโฆษกกองทัพเรืออินโดนีเซียแถลงว่า เรือประมง 35ลำถูกระเบิดทิ้งด้วยกองทัพเรืออินโดนีเซียและอีก 6 ลำนั้นทางตำรวจน้ำอินโดนีเซียเป็นผู้ดำเนินการ

นางซูซีปุดจิอาสตูติ รัฐมนตรีประมงของอินโดนีเซียกล่าวว่าอินโดนีเซียได้จมเรือประมงต่างชาติทิ้งไปหลายลำแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเมื่อปีที่แล้วนำโดยนายโจโค วิโดโดประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซีย“

สายชล
21-07-2015, 15:58
ผู้จัดการ
25-05-2015


ดูกันชัดๆ “เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรอยู่” ปล่อยเรืออวนลากคู่ล้างผลาญสบายใจในเขตอุทยานแห่งชาติ

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000006095601.JPEG

เรืออวนลากลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (ภาพ : บรรจง นะแส)

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - แฉภาพเรืออวนลากคู่ออกจับสัตว์น้ำในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ชี้เป็นหลักฐานยืนยันชัดว่า กฎหมายประมง-อุทยาน ไม่สามารถปกป้องทรัพยากรของประเทศชาติ หรือเอาผิดต่อผู้ฝ่าฝืนได้ เชื่อต่อไปสัตว์น้ำถูกจับส่งโรงงานผลิตอาหารสัตว์หมดทะเล ส่อเกิดวิกฤตโภชนาการในอนาคต ซ้ำธุรกิจประมงไทยอาจไม่รอดถูกใบแดงจากกลุ่มอียู

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000006095602.JPEG

วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ บรรจง นะแส พร้อมเขียนข้อความว่า

“อวนลากคู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตาวันนี้เจอหลายคู่ ท่านอธิบดีกรมอุทยานคงนอนหลับสบายดีนะครับ”

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000006095603.JPEG
เรืออวนลากลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (ภาพ : บรรจง นะแส)


โดยโพสต์ดังกล่าวขณะนี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามากดถูกใจกว่า 976 คน และมีการแชร์ต่อไปยังหน้าเพจอื่นๆ อีกกว่า 230 ครั้ง และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามมาหลายความคิดเห็น

นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ว่า ถ่ายภาพเรืออวนลากคู่กำลังลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติได้เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะลงพื้นที่พบปะเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านใน จ.สตูล ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นหลักฐานยืนยันที่ตอกย้ำให้สังคมได้รับรู้ว่า การปล่อยปละละเลยให้การทำประมงแบบผิดกฎหมายยังคงมีอยู่ในประเทศไทย แม้ภาครัฐจะอ้างว่าขณะนี้กำลังเข้มงวดกวดขันในเรื่องนี้หลังจากถูกใบเหลืองจากกลุ่มประเทศอียู

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000006095604.JPEG

“ขณะนี้ไทยยังคงติดโทษใบเหลืองจากอียู ทำให้สินค้าประมงส่งออกมีปัญหา รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยไม่ฟังเสียงจากกลุ่มพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านซึ่งมีประสบการณ์รับรู้ปัญหาในวงการประมงไทยมาโดยตลอด ภาพที่เห็นแสดงให้เรารู้ว่า กฎหมายประมง กฎหมายอุทยานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประกอบกับจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถปกป้องรักษาทรัพยากรในท้องทะเลของประเทศชาติได้ ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหานี้ก็จะยังไม่มีทางหมดไป”

นายบรรจง กล่าวว่า การลักลอบจับสัตว์น้ำของเรืออวนลาก อวนรุน ในเขตหวงห้ามเพื่อลักลอบจับสัตว์น้ำทุกขนาดส่งขายให้แก่โรงงานปลาป่นยังคงเกิดขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ยังเป็นต่อไปเช่นนี้ต่อไปทรัพยากรในทะเลจะค่อยๆ หมดไป คนไทยจะไม่ได้กินอาหารโปรตีนดีๆ จากท้องทะเลอีก เพราะสัตว์ทะเลวัยอ่อนถูกกวาดต้อนเข้าโรงงานปลาป่นเพื่อนำไปขายเป็นอาหารสัตว์ทั้งหมด อนาคตลูกหลานไทยจะประสบปัญหาด้านโภชนาการอาหารอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ก็อาจได้รับใบแดงจากกลุ่มสหภาพยุโรปในที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องมือประมงแบบอวนลาก อวนรุน เป็นเครื่องมือประมงที่สามารถจับสัตว์น้ำได้ทุกขนาด ถือเป็นเครื่องมือประมงประเภททำลายล้างชนิดหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียได้ได้ออกกฎหมายยกเลิกการใช้เครื่องมือประเภทนี้แล้วเมื่อต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายห้ามใช้เครื่องมือชนิดนี้ และยังคงมีเรืออวนลากจำนวนมากที่ลักลอบจับปลาในเขตหวงห้ามซึ่งเป็นปัฐหาที่เกิดขึ้นมานาน และยังไม่สามารถจัดการแก้ไขได้

สายชล
21-07-2015, 16:06
มติชน
29-05-2015


http://www.matichon.co.th/online/2015/05/14327814321432781621l.jpg

นายมนูญ ตันติกุล ประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมประมงได้ออกประกาศปิดอ่าวไทยตอนใน หรืออ่าวไทยรูปตัว "ก" ครอบคลุมทะเลบางส่วนในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคมนี้ เพื่ออนุรักษ์แหล่งอาหารและแหล่งเลี้ยงตัวของสัตว์น้ำหลายชนิด ให้มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยตามประกาศดังกล่าวห้ามการใช้เครื่องมือประมงต้องห้าม เช่น เครื่องมืออวนล้อม อวนลาก อวนรุนที่ใช้ประกอบกับเรือกล แต่ไม่มีผลถึงการทำประมงที่ใช้เครื่องมือประมงที่ได้รับการยกเว้น เช่น เครื่องมืออวนติดตาปลาทู ที่มีขนาดช่องตาไม่ต่ำกว่า 3.8 เซนติเมตร ความยาวอวนไม่เกิน 2,000 เมตร

"ขอให้ชาวประมงปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพราะการวิจัยพบว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน ปลาทูขนาดเล็กยังไม่สามารถวางไข่ได้ หากปล่อยปลาทูเจริญเติบโตต่อไปอีก 2 เดือนจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น และยังทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กสามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างมหาศาลด้วย"

สายชล
21-07-2015, 16:07
GREENPEACE
30-05-2015

นิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนไม่ได้ช่วยปลดล็อกใบเหลืองอียู แต่กลับซ้ำเติมวิกฤตทะเลไทย

รัฐบาลกำลังปลดล็อคใบเหลืองอียูเพื่อใคร? เป็นประเด็นที่สังคมกำลังจับตามอง พร้อมกับมีข้อกังขาที่เกิดขึ้นถึงมาตรการแก้ไขวิกฤตปัญหาทะเลไทยอย่างไร ให้ยั่งยืนและเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมธิการยุโรป (European Commission) แจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ กรณีที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพียงพอในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม(IUU Fishing) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินตามมาตรการต่างๆ เพื่อถอดถอนใบเหลือง

แต่ในมาตรการการจัดการปัญหาภายใต้แผนระดับชาตินั้น กรมประมงมีแผนการ “นิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน” จำนวน 3,199 ลำโดยจะออกอาชญาบัตรเครื่องมือประมงอวนลากให้กับเรือประมงอวนลากที่ผิดกฏหมายเหล่านี้

งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนว่าการทำประมงอวนลากในประเทศไทยส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว รวมทั้งยังทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของทรัพยากรสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นแนวปะการัง หญ้าทะเล ระบบนิเวศพื้นท้องทะเล เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงพื้นบ้านในทะเลเพื่อดักจับปลาให้เสียหายอยู่เสมอ ซึ่งกรมประมงก็ตระหนักในปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี

“ประมงอวนลากได้ทำร้ายทะเลไทยและชุมชนประมงชายฝั่งอย่างรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การแก้ปัญหา IUU Fishing ต้องไม่ผลักสถานการณ์ประมงไทยให้เลวร้ายไปกว่านี้ ด้วยการนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน ในทางกลับกันรัฐควรจะพลิกวิกฤตที่ EU ให้ใบเหลืองประมงไทยเป็นโอกาสต่อมาตรการกำจัดเครื่องมือประมงทำลายล้างเหล่านี้ให้หมดไป” ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำ มูลนิธิสายใยแผ่นดินกล่าว

ปัญหาวิกฤตทะเลไทยที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่อุตสาหกรรมการประมงของไทย แต่ยังส่งผลต่อชาวประมงพื้นบ้านที่เป็นผู้ทำประมงอย่างยั่งยืนและอนุรักษ์ท้องทะเลไทย รวมถึงต่อผู้บริโภคอาหารทะเลที่พึ่งพาความมั่นคงทางอาหารของไทย

http://www.greenpeace.org/seasia/th/ReSizes/ImageGalleryLarge/Global/seasia/PEH05282015_116.jpg

ในวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2558 พี่น้องชาวประมงพื้นบ้านจาก สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ชาวประมงพื้นบ้านจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยอง สมุทรสงคราม และสงขลาและเครือข่ายภาคประชาสังคมรวมกว่า 80 คน ได้รวมตัวกันหน้าศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อยื่นจดหมายต่อนายกรัฐมนตรี พร้อมเรียกร้องมาตรการการจัดการปัญหาใบเหลืองประมง ในแผนการจัดการปัญหาประมงระดับชาติซึ่งยังไม่นำไปสู่การจัดการปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม

ป้ายข้อความ “ใบเหลืองอียูปลดล็อคเพื่อใคร” ถูกชูขึ้นเบื้องหน้าศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย พร้อมกับความหวังที่พี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน และภาคประชาสังคมฝากไว้ให้กับภาครัฐให้หยุดการนิรโทษกรรมเรือประมงผิดกฎหมายและทำลายล้าง ซึ่งรวมถึง เรืออวนลาก อวนรุน อวนล้อมปั่นไฟปลากะตักกลางคืน และอวนล้อมปลากระตักกลางวัน

นอกจากจะตอกย้ำให้ภาครัฐรับรู้ถึงวิกฤตทะเลที่เกิดจากการเครื่องมือประมงแบบทำลายล้างแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ภาคประชาสังคมร่วมกันเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการคือ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนประมงพื้นบ้าน ชาวประมงชายฝั่ง และภาคประชาชนอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการร่างแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) รวมถึงการร่างกฏหมายลูกที่จะมารองรับกฏหมายประมง พ.ศ.2558

http://www.greenpeace.org/seasia/th/ReSizes/ImageGalleryLarge/Global/seasia/PEH05292015_109.jpg

“EU Yellow Card. People Before Profit” คืออีกหนึ่งข้อความที่ส่งถึงคณะกรรมการอียู ด้วยข้อกังวลว่า ภาครัฐจะคำนึงถึงเฉพาะผลประโยชน์ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมการประมงที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยที่มองข้ามวิกฤตปัญหาทางทรัพยากรที่เกิดขึ้น และละเลยผลประโยชน์ของประชาชนในระยะยาว เพราะผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นไม่ใช่มีแค่อุตสาหกรรม แต่มีชาวประมงพื้นบ้านที่อนุรักษ์และฟื้นฟู รวมถึงผู้บริโภคที่มีส่วนในการกินอาหารทะเลที่เป็นธรรม และเป็นเจ้าของทะเลด้วยเช่นกัน

“การใช้ใบเหลืองอียูเป็นข้ออ้างในการนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อนของกรมประมงนี้ถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสหภาพยุโรปในการออกมาตรการ IUU Fishing เพื่อสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน และยังจะส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการบริหารจัดการประมงและทรัพยากรทางทะเลในประเทศไทยอย่างมหาศาล ตลอดจนสร้างความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรประมงของประชาชนในประเทศเป็นวงกว้างอีกด้วย” บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

อนาคตของทะเลไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดมาตรการครั้งนี้ของรัฐเท่านั้น แต่เราชาวไทยทุกคนสามารถร่วมกันผลักดันทางออกที่ยั่งยืนของทะเลไทยได้ ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคและเป็นเจ้าของทะเล เพราะทะเลไทยไม่ใช่สมบัติของอุตสาหกรรมการประมงบริษัทใดที่มุ่งกอบโกยผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว การปกป้องทะเลไทยด้วยการหยุดนิรโทษกรรมเรือประมงแบบทำลายล้างของภาครัฐในครั้งนี้ จะช่วยให้ทะเลไทยฟื้นตัว และสามารถผลิตอาหารทะเลให้เราและลูกหลานได้มีกินมีใช้กันไปอีกนาน

สายชล
21-07-2015, 16:09
greennewstv
30-05-2015

กลุ่มประมงพื้นบ้านเดินขบวนมอบปลายักษ์ให้เจ้าสัวซีพี จี้เลิกจับปลาเล็กทำปลาป่นป้อนอาหารสัตว์

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_0169-1024x768.jpg

เครือข่ายประมงพื้นบ้านเดินขบวนไปเยี่ยมตึก ซี.พี.ทาวเวอร์ ถ.สีลมหิ้วปลาตัวใหญ่มาให้เจ้าสัวธนินท์ เรียกร้องให้หยุดสนับสนุนการประมงทำลายล้าง

วันนี้ (29 พ.ค.) เวลา 12.00 น. นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย และนายสะมะแอ เจะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านกว่า 80 ชีวิต เข้าพบคณะผู้แทนจาก บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม เพื่อนำปลาขนาดใหญ่หลายตัวมามอบให้แก่ “นายธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) พร้อมจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ทางซีพีเลิกสนับสนุนการทำประมงแบบทำลายล้าง

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_0179-1024x768.jpg

ซึ่งการนำปลาขนาดใหญ่มามอบให้กับนายธนินท์ในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ตระหนักว่าปลาที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงเช่นนี้ คือผลิตผลที่เกิดจากท้องทะเลไทย และกำลังจะหายไปหากยังมีการทำประมงแบบทำลายล้าง ที่ไม่มีโอกาสให้สัตว์ทะเลเหล่านี้ได้เติบโต แต่ต้องมาจบชีวิตเพียงแค่ปลาป่นและกลายเป็นอาหารสัตว์

“นายสะมะแอ เจะมูดอ” เปิดเผยว่า การเดินทางมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะเรียนให้ท่านเจ้าสัวได้ทราบว่า ชาวประมงพื้นบ้านได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบอาชีพรุนแรงขึ้นทุกวัน หลายชุมชนถึงขั้นล่มสลายในการทำอาชีพประมง ต้องอพยพถิ่นฐานไปขายแรงงานที่อื่น เนื่องมาจากทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลลดลงอย่างรุนแรง จากการทำประมงแบบทำลายล้างด้วยเครื่องมือ 3 ชนิดที่เรียกว่า อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_0139-1024x768.jpg

ซึ่ง “ธุรกิจปลาป่น” ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ มีส่วนสนับสนุนให้การทำประมงแบบทำลายล้างดำรงอยู่ได้ เพราะเหล่ากุ้ง หอย ปู ปลา ตัวเล็กตัวน้อยที่รอวันโตเหล่านี้ จะถูกกวาดจับด้วยเครื่องมือประมงดังกล่าว กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อส่งเข้าโรงงานปลาป่น และผู้ที่ใช้ปลาป่นในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ก็คือบริษัทต่างๆในเครือเจริญโภคภัณฑ์นั่นเอง

นอกจากนี้สิ่งที่ทางกลุ่มรับรู้คือ ธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นใหญ่โต มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และมีอิทธิพลเหนือระบบราชการและการเมืองภายในประเทศ รวมถึงอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจต่างๆแทบทุกชนิดที่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ “ธุรกิจปลาป่น” นั้นมีส่วนทำร้ายอาชีพการทำประมงชายฝั่งอย่างแท้จริง

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/05/IMG_0131-1024x768.jpg

ในวันนี้จึงอยากขอร้อง ขอความเห็นใจ และขอความร่วมมือจากบริษัทในเครือ CP หยุดการสนับสนุนการทำประมงแบบทำลายล้าง ด้วยการยุติการรับซื้อวัตถุดิบหรืออื่นใดจากการทำประมงรูปแบบดังกล่าว ซึ่งทางกลุ่มเชื่อว่าหากทางบริษัทรับรู้เหตุผลและสามารถทำได้ จะมีส่วนช่วยให้การทำลายล้างทรัพยากรในทะเลลดลง และช่วยให้การประกอบอาชีพประมงชายฝั่งมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้าน “นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์” ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ CPF กล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทฯไม่มีโรงงานผลิตปลาป่น แต่ได้รับซื้อมาอย่างถูกต้องตามหลักการของ IUU Fishing และมีแรงงานที่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างไรทาง CP ก็รับปากว่าจะดำเนินการตามข้อเรียกร้องของทางกลุ่มฯอย่างแน่นอน

สายชล
21-07-2015, 16:52
greennewstv
03-06-2015

แนะคนกรุงกินปลาแบบช่วยรักษาทะเล

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/06/1.jpg

อาหารทะเลตามท้องตลาดมาจากประมงแบบทำลายล้าง ตัดวงจรลูกปลา สูญเสียแนวปะการัง – แนะผู้บริโภคทำความรู้จักสัตว์น้ำอินทรีย์ ยื้อชีวิตทะเลไทย ต่อลมหายใจประมงพื้นบ้าน

ทีมข่าวสำนักข่าวสิ่งแวดล้อมมาเยือนแผงขายอาหารทะเลสด ในพื้นที่กลางกรุงย่านเอกมัย ที่มีชื่อหน้าร้านว่า “โครงการประมงพื้นบ้าน สัตว์น้ำอินทรีย์” สินค้าในวันนี้มีตั้งแต่ปลาทรายจากอวนลอย ปลาเก๋าที่ตกได้จากเบ็ดชาวประมงน่านน้ำทะเลกระบี่ ปลาครูดคราดสัตว์น้ำท้องถิ่นฝั่งอันดามันที่ชื่ออาจไม่คุ้นหู รวมทั้งปลานิลน้ำกร่อยที่ตกได้จากทะเลสาบสงขลา ดูเผิน ๆ แผงขายปลานี้เหมือนทุกที่ทั่วไป แต่สัตว์น้ำที่นำมาจำหน่ายกลับแตกต่างจากท้องตลาดที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าถึง

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/06/11351126_656591171152372_6587816135599360968_n.jpg

อาหารทะเลสดตามท้องตลาดส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดมาจากประมงพาณิชย์ ซึ่งนิยมใช้เครื่องมือแบบทำลายล้าง เช่น อวนลาก อวนรุน ที่วิธีการจะกวาดต้อนสัตว์น้ำมาทั้งหมด นอกจากได้สัตว์น้ำขนาดที่ต้องการแล้วยังจับสัตว์เศรษฐกิจวัยอ่อน สัตว์สงวน และปะการังหรือหญ้าทะเลขึ้นมาด้วย สัตว์น้ำที่สภาพดีจะถูกแยกออกไปขายยังท้องตลาด ส่วนปลาที่สภาพไม่ดี ปลาตัวเล็กตัวน้อย ที่เรียกว่าปลาเป็ดจะถูกส่งเข้าโรงงานอาหารสัตว์ทำเป็นปลาป่น ทั้งนี้สัตว์น้ำทะเลที่ถูกอัดอยู่ในถุงอวนเป็นเวลานานตั้งแต่ทะเลถึงชายฝั่งและการขนส่งมาถึงตลาด มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการใช้สารเคมีเพื่อรักษาสภาพความสดให้ยังคงขายได้ราคา

กลายเป็นรูปแบบการประมงแบบไม่รับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่าผู้บริโภคก็ยังคงเลือกซื้อเลือกกินสัตว์น้ำจากการทำประมงรูปแบบนี้

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/06/Untitled-1.jpg
ภาพจากคลิป Where does our SEAFOOD come from?? : https://www.youtube.com/watch?v=JB7p2msCcF4

ส่วนสินค้าจากโครงการประมงพื้นบ้านสัตว์น้ำอินทรีย์มีกระบวนการที่แตกต่างกัน โดยมูลนิธิสายใยแผ่นดินเป็นผู้ริเริ่มโครงการ ภายใต้การสนับสนุนงบของสหภาพยุโรป ที่นำสินค้าจากประมงพื้นบ้านที่มีความรับผิดชอบ และได้การรองรับจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งการทำประมงว่าวิธีการจับและผู้จับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือไม่ รวมทั้งสัตว์ที่ได้จะต้องมีการดูแลคุณภาพให้สดโดยไม่ปนเปื้อนสารเคมีทุกขั้นตอน

“ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ” ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน – สัตว์น้ำอินทรีย์ ระบุว่าสินค้าที่นำมาจำหน่วยมาจากกลุ่มประมงพื้นบ้านที่ดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ในพื้นที่อยู่แล้ว ได้แก่ 1.กลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2. แพปลาชุมชน ต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 3. แพปลาชุมชนบ้านหินร่วม ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา 4. แพปลาชุมชนบ้านช่องฟืน ต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง 5. แพปลาชุมชนบ้านคุขุด อ.สทิงพระ จ.สงขลา และกำลังขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม

“ประมงพื้นบ้านออกเรือเช้ามาเย็นกลับ หรือไปแค่วันสองวัน เขาใช้เครื่องมือมีลักษณะคัดเลือกจับสัตว์น้ำ เช่น อวนลอย ลอบ หรือไซ ซึ่งระบุชัดเจนว่าจะได้สัตว์น้ำที่มีชนิดและขนาดตามที่ต้องการ ก่อนจะเอาขึ้นมาขาย”

สินค้าคุณภาพเหล่านี้แต่เดิมจะมีพ่อค้าคนกลางมาซื้อถึงหมู่บ้านก่อนนำไปขายยังต่างประเทศหรือร้านอาคารในโรงแรม อีกส่วนถูกนำไปขายรวมกับปลาที่ได้จากเรือพาณิชย์ การเปิดโอกาสให้สินค้าจากประมงพื้นบ้านมาถึงมือผู้บริโภคโดยตรงจึงทำให้ชาวประมงมีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนคนซื้อก็ได้เข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ ปราศจากสารเคมี และไม่ส่งเสริมการทำลายทรัพยากรในทะเล

“ปลาแป้น จากที่เคยไม่มีมูลค่าเลย มักถูกนำไปทำเป็นอาหารเลี้ยงปลาในกระชัง แต่เมื่อส่งเสริมให้ชุมชนแปรรูป จากกิโลกรัมละไม่กี่บาทก็มีมูลค่าได้ แล้วเราก็จะแนะนำลูกค้าให้รับประทานปลาแป้นที่มีแคลเซียม ซึ่งดีกว่าการทานปลาสายไหมหรือปลาข้าวสารที่เป็นลูกปลากระตักซึ่งไม่ควรรับประทาน” ผู้จัดการโครงการ กล่าว

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/06/1Untitled-1.jpg
ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน – สัตว์น้ำอินทรีย์

สินค้าในร้านมีทั้งปลากะพงหิน (ครูดคราด) ปลาเก๋า ปลากะพงแดง เนื้อกะพงขาวแล่ เนื้อปลาน้ำดอกไม้ ปลาอินทรีย์แว่น ปลากุเราแว่น กุ้งแชบ๊วยหลายขนาด กุ้งแห้ง เนื้อปลาสีเสียดแล่ ปลาขี้เก๊ะ หรือเปลี่ยน ไปตามฤดูกาล ทั้งนี้จะคัดสัตว์น้ำท้องถิ่นรสชาติดีที่ไม่มีขายในกรุงเทพ ฯ มาแนะนำให้เลือกซื้อด้วย โดยสามารถสั่งซื้ออนไลน์ หรือเดินทางมาซื้อถึงหน้าแผง ผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ทางเพจเฟสบุ๊ค @เครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล

ซึ่งนอกจากสินค้าอาหารทะเลที่นำมาจำหน่าย ยังจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคลงพื้นที่สัมผัสการทำประมงพื้นบ้านด้วยตาตนเอง รวมทั้งอีกหนึ่งกิจกรรม “กินปลา-รักษาทะเล” ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ณ ครัวใส่ใจ ซ.วิภาวดี 22 ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้คนกรุงได้รู้จักการเลือกบริโภคบนแนวทางรับผิดชอบต่อธรรมชาติให้มากขึ้น

สายชล
21-07-2015, 16:55
ข่าวสด
04-06-2015

หนุ่มสวีเดนโชว์ตกปลายักษ์ 2 เมตร หนักร้อยกว่าโล ขายไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท

http://www.khaosod.co.th/online/2015/06/14333235961433323742l.jpg

อีริค แอ็กซ์เนอร์ ชาวสวีเดนวัน 24 ปี ออกทริปตกปลาพร้อมเพื่อนอีก 2 คน คือโจนาธาน แจนส์สัน และมาร์ติน แบมเบิร์ก ที่เกาะล็อฟเท็น ประเทศนอร์เวย์ และอีริคก็ได้พบกับเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อเขาสามารถตกปลาแฮริบัตขนาดยักษ์ไว้ได้ โดยอีริคต้องลากดึงปลาแฮริบัตตัวนี้อยู่นาน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงปลาตัวนี้ขึ้นมาจากน้ำ

เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำที่หนาวจัด เพื่อถ่ายรูปตัวเองกับปลาแฮริบัตแทนก่อนจะปล่อยปลายักษ์คืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง

อีริคเปิดเผยว่า "ปลาที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เอาขึ้นเรือต้องพังแน่ เราเลยเอามันไว้นอกเรือ"

"ผมไม่อยากทำให้มันบาดเจ็บ เลยกระโดดลงน้ำไปถ่ายรูปคู่กับมันเท่านั้น การได้อยู่ในน้ำพร้อมๆกับปลาขนาดยักษ์เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากๆ หลังจากเราถ่ายรูปแล้วเราก็ปล่อยปลาคืนสู่ธรรมชาติ"

โดยปลาแฮริบัตที่อีริคจับได้ตัวนี้ มีความยาวเกือบ 2 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 100 ก.ก. ซึ่งจากการคำนวณน้ำหนัก ปลาแฮริบัตตัวนี้จะมีเนื้อส่วนฟิเลประมาณ 250 ชิ้น ตามภัตตาคารชั้นดีจะขายจานหลักที่เป็นปลาแฮริบัตที่จานละประมาณ 25 ปอนด์ หรือราว 1,290 บาท ทำให้ปลาตัวนี้อาจมีมูลค่ารวมมากถึง 6,000 ปอนด์ หรือราว 309,700 บาท เลยทีเดียว

จากการประเมินคร่าวๆปลาแฮริบัตตัวนี้น่าจะมีอายุ 20-30 ปี ขณะที่ปลาแฮริบัตขนาดใหญ่ที่สุดที่มีผู้จับได้มีน้ำหนักมากถึง 234 ก.ก. โดยนักตกปลาชาวเยอรมัน เมื่อปี 2556

สายชล
21-07-2015, 16:58
เดลินิวส์
05-06-2015


เรือไอซ์แลนด์ขนเนื้อวาฬ 1,700 ตันส่งขายญี่ปุ่น

http://www.dailynews.co.th/images/1071055?s=750x500

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ว่า กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ (ไอเอฟเอดับเบิลยู) เผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์การเดินเรือมารีนทราฟฟิก ระบุว่า เรือ "วินเทอร์เบย์" ของบริษัทล่าวาฬฮวาลูร์ เอชเอฟ ของไอซแลนด์ ออกเดินทางจากท่าเรือเมืองฮาร์ฟนาร์ฟยอร์ดู ทางตะวันออกของประเทศ เมื่อเวลา 17.30 น. วันพฤหัสบดี ตามเวลาประเทศไทย โดยบรรทุกเนื้อวาฬ 1,700 ตัน เพื่อขนส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น“

แหล่งข่าวเผยว่า เรือลำดังกล่าวมีกำหนดจอดเทียบท่าระหว่างทาง 4 ครั้ง ซึ่งการเดินทางอาจไม่ราบรื่นตามแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากคาดว่าจะมีกระแสต่อต้านตลอดเส้นทาง โดยการขนส่งเมื่อปีที่แล้ว เรือขนเนื้อวาฬจอดพักระหว่างทางแค่เพียงครั้งเดียวนอกฝั่งมาดากัสการ์ ทั้งที่มีแผนจะเข้าเทียบท่าที่แอฟริกาใต้ แต่กระแสต่อต้านกดดันให้รัฐบาลต้องออกมาประกาศไม่ต้อนรับเรือดังกล่าว“

ปัจจุบัน ไอซ์แลนด์และนอร์เวย์เป็นเพียง 2 ประเทศที่ยังมีการดำเนินธุรกิจล่าวาฬอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการท้าทายต่อประกาศห้ามของคณะกรรมการการล่าวาฬระหว่างประเทศปี 2529 ขณะที่ญี่ปุ่นอาศัยช่องว่างทางกฎหมายใช้การล่าเพื่อการศึกษาวิจัยบังหน้า ทั้งที่เป็นการล่าเพื่อการพาณิชย์“

http://www.dailynews.co.th/images/1071056?s=750x500

ซิกูร์สเตนน์ มัสซัน โฆษกของไอเอฟเอดับเบิลยูประจำไอซ์แลนด์ กล่าวว่า การล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นเป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรม ไม่มีเหตุผลและความความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องนำเนื้อวาฬมาบริโภค อีกทั้งการล่าวาฬยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจและธุรกิจประมงของไอซ์แลนด์อีกด้วย“

องค์กรอนุรักษ์วาฬและโลมา (ดับเบิลยูดีซี) เผยว่า อุตสาหกรรมการล่าวาฬของไอซ์แลนด์เมื่อปี 2557 คร่าชีวิตวาฬฟินไป 137 ตัว และวาฬมิงก์อีก 24 ตัว ขณะที่ปี 2556 มีวาฬฟินถูกล่า 134 ตัว และวาฬมิงก์อีก 35 ตัว โดยความนิยมในการบริโภคเนื้อวาฬในญี่ปุ่นลดลงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่มีชาวไอซ์แลนด์เพียงบางส่วนที่ยังบริโภคเนื้อวาฬเป็นประจำ.“

สายชล
21-07-2015, 17:10
ไทยรัฐ
09-06-2015

ปัญหาประมงไทยที่ควรรู้

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxyIGmvt0J4673ynEnxkwVm1VzgcPaPi19QUr4.jpg

สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเดินทางเข้ามายื่นหนังสือเรียกร้องให้ ซีพี หยุดรับซื้อปลาป่น เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุของอุตสาหกรรมประมงไทย เพราะต้นเหตุคือ การทำประมงของเรือพาณิชย์ ด้วยเครื่องมือจับปลาที่ผิดกฎหมาย ทั้งอวนลาก อวนรุน อวนล้อมปั่นไฟ ทำลายระบบนิเวศความอุดมสมบูรณ์ของทะเล เนื่องจากความไม่เข้มงวดและเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายประมงไทย

จนกระทั่งปัญหาถูกยกขึ้นมาเป็นระดับชาติ หนทางแก้ไขที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วน เริ่มจากภาครัฐที่มีการแก้ไขกฎหมายประมงไทยให้เทียบเคียงกับมาตรฐานสากล การต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การรายงานและการควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU เพื่อแก้ปัญหาที่คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EU วางกรอบจำกัดเวลาในการแก้ปัญหาไว้ 6 เดือน ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลกระทบกับสินค้าประมงไทยทั้งหมด

รัฐบาลไทยโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหอกในการออกมาตรการเร่งด่วน โดยการตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด และออก 6 มาตรการ ในการจัดการปัญหาประมงไทย ได้แก่ การเร่งขึ้นทะเบียนเรือประมง และออกใบอนุญาตการทำประมง การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ การปรับปรุง พ.ร.บ.การประมง กฎหมายลำดับรอง และ จัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้าที่ทำผิดกฎหมายประมง

นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกประกาศในแผนแม่บทการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคประมง คือ นิรโทษกรรมเรือประมงอวน ลากเถื่อน ด้วยการให้อาชญาบัตรเรือประมงที่ใช้เครื่องมือผิดกฎหมายเปลี่ยนสภาพเป็นเรือประมงที่ถูกกฎหมายทันที 3,199 ลำ เป็นที่มาของการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มประมงขนาดเล็ก

ถือว่าเป็นการปล่อยผีอย่างไม่ถูกต้อง

ส่งผลให้กลุ่มประมงพื้นบ้านออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐพิจารณามาตรการดังกล่าวให้รอบคอบและโปร่งใส ที่จะต้องทบทวนถึงมาตรการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในระยะยาวด้วย

ในขณะที่ กฎหมายประมงไทย อยู่ระหว่างการแก้ไข ปลายเหตุของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจประมง โดยเฉพาะประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ ควรจะร่วมกันแก้ปัญหา และยึดหลักการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาคประชาสังคมและภาครัฐ ถ่วงดุลความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่ม

ภาคเอกชน บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ ในฐานะผู้ใช้วัตถุดิบรายใหญ่ ยืนยันจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องทุกประการ เพราะเห็นว่าการแก้ไขปัญหาประมงไม่สามารถทำได้ด้วยคนใดคนหนึ่ง แต่จะต้องจัดระบบและระเบียบ มีตัก ก็ต้องมีเติม ให้ชุมชนและสังคมสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างยั่งยืนตลอดไป.

สายชล
21-07-2015, 17:13
GREENPEACE
09-06-2015


มหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์ คือโลกที่อุดมสมบูรณ์ ..................... โดย มาร์ค เดีย หัวหน้าโครงการรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้คนส่วนมากใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ได้นึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แม้ว่าในความเป็นจริง มหาสมุทคคือแหล่งผลิตออกซิเจนที่เราหายใจ ณ ขณะนี้ คำกล่าวที่ว่า “ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน” นั้น เป็นทั้งความจริงและยังเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำบนผืนดินนั้นในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทรที่สรรพชีวิตต่างพึ่งพิง

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/113830_188294.jpg

ความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกอาจมีแนวโน้มทำให้รู้สึกว่าตัวเราช่างไร้ความสำคัญ หรือเป็นเพียงคนตัวเล็กๆที่ไม่อาจทำอะไรได้ หากมีคนบอกกับคุณว่าบ้านที่คุณอาศัยร่วมกับคนอื่นกำลังโดนไฟไหม้ แน่นอนว่าคุณคงจะไม่นิ่งเฉยนั่งคุยกับเพื่อนร่วมบ้านเพื่อถกว่าใครได้รับถังน้ำดับไฟถังแรกในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้อยู่รอบตัวคุณ แต่นั่นกำลังเกิดขึ้นในการประชุมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศของเหล่านักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายระดับโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเราก็กำลังรอดูว่าการประชุมสำคัญที่จะมีขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ที่กรุงปารีส ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือไม่


แต่ช้าก่อน…การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องอย่างไรกับความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร?

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า 1 ใน 3 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์นั้นจะถูกดูดซับไว้โดยมหาสมุทร และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในน้ำ ทำให้อุณหภูมิของท้องทะเลสูงขึ้น และทำให้น้ำทะเลมีภาวะเป็นกรด ซึ่งจะมีผลไปยั้บยั้งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นหินปูนหรือกระบวนฟอร์มตัวเพื่อการเจริญเติบโตของประการังและเป็นการสร้างเปลือกและโครงสร้างของร่างกายเพื่อความอยู่รอดของสัตว์ทะเล (calcification) แต่ประการังโชคร้ายเป็น 2 เท่า คือ นอกจากสภาพมหาสมุทรที่มีความเป็นกรดจะส่งผลต่อการสร้างโครงร่างที่เป็นเปลือกแข็งของพวกมันแล้ว ยังไปฟอกสีสาหร่ายซึ่งเจริญเติบโตอยู่ในโครงสร้างของประการังซึ่งพวกมันต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อความอยู่รอด และอุณหภูมิของน้ำที่ร้อนจัดจะส่งผลให้ประการังเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือที่เราเรียกว่าประการังฟอกขาวและจะตายในที่สุด ทำให้ระบบห่วงโซ่อาหารในทะเลแปรปรวนทั้งระบบ

ปัญหาที่กล่าวมานี้อาจทำให้คุณหันไปให้ความสนใจในเรื่องอื่นที่คุณสามารถทำได้ แต่จริงๆ แล้วหากลองคิดดีๆ คุณก็สามารถมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เช่นกัน


คุณช้อปปิ้งหรือเปล่า

เรามักซื้อสินค้าในเกือบทุกวัน และส่วนใหญ่ของที่ซื้อจะถูกบรรจุในถุงพลาสติกเพื่อถือกลับบ้าน คุณทราบหรือไม่ว่าเกือบทั้งหมดนั้นถูกผลิตมาจากพลาสติกราคาถูกที่ออกแบบมาเพื่อการใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ท้ายสุดแล้ว ถุงพลาสติกเป็นจำนวนมากถูกทิ้งลงในมหาสมุทรและถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำ

จากนั้นพลาสติกจะสลายตัวไป? ไม่เลย.. พลาสติกจะอยู่ในมหาสมุทรเป็นเวลายาวนาน สร้างความเสียหายและทำร้ายมหาสมุทรตลอดอายุของพวกมัน มีพื้นที่บางจุดของมหาสมุทรเต็มไปด้วยพลาสติกที่กองสะสมเป็นอ่างน้ำวนขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดมลพิษในท้องทะเลอย่างถาวร ใครจะคิดว่าพฤติกรรมการซื้อของของคุณจะก่อให้เกิดผลกระทบและบาดแผลต่อมหาสมุทรได้มากมายขนาดนี้

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/113831_188296.jpg

ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทั่วโลกที่จะหยุดการใช้พลาสติกที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ในหลายเมืองสามารถทำได้แล้ว ร้านค้าจำนวนมากปฎิเสธที่จะให้ถุงพลาสติกโดยการให้คุณนำถุงใส่ของมาเอง ดังนั้นหากครั้งต่อไปที่คุณซื้อสินค้าแล้วพนักงานขายพยายามที่จะใส่สินค้าที่คุณซื้อลงถุงพลาสติก คุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงบอกเขาว่า “ไม่รับถุงพลาสติก” และยื่นถุงใส่ของที่คุณเตรียมมาจากบ้านให้กับพนักงานแทน


คุณทานปลามั้ย?

เราสามารถช่วยกันลดความตึงเครียดของปัญหาในมหาสมุทรลงได้ด้วยตัวคุณเอง โดยการเลือกทานอาหารทะเลอย่างรับผิดชอบและไม่ทำร้ายท้องทะเล บางทีแซลมอนจานโปรดของคุณอาจเดินทางมาจากฟาร์มที่อยู่ห่างจากคุณถึงครึ่งค่อนโลก นั่นหมายความว่าคุณได้มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการทานอาหารในครั้งนี้ นอกเหนือจากนี้ เป็นไปได้ที่ปลาหนึ่งกิโลกรัมที่คุณกำลังทานอยู่นั้นมาจากการเลี้ยงโดยใช้ปลาป่นถึงสามกิโลกรัม ซึ่งเป็นปลาที่ถูกจับจากธรรมชาติ นำมาบดและอัดเม็ดกลายเป็นอาหารปลาสำเร็จรูปเพียง 1 กิโลกรัมเพื่อนำมาเลี้ยงปลาที่คุณชอบกินใส่สารเคมี และยาสำหรับสัตว์น้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เราควรถามไถ่ถึงแหล่งที่มาของปลาที่คุณกิน

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/113832_188298.jpg

ปลาทะเลตามธรรมชาติจำนวนมากถูกจับมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง จำนวนมากถูกจับด้วยเครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง การทำประมงเบ็ดราวที่ใช้จับปลาทูน่าบางชนิดทำให้แต่ละปีมีสัตว์อื่นๆที่ไม่ใช่เป้าหมายนับพันตัว เช่น เต่า ฉลาม และนกทะเล ต้องมาติดกับดักนี้ เพราะเรือประมงเบ็ดราวขนาดใหญ่สามารถวางเบ็ดราวยาวหลายกิโลเมตร ใช้เบ็ดหลายพันตัว ที่สามารถจับสัตว์น้ำขนาดใหญ่ทุกตัวที่ว่ายผ่าน

แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง? มีคู่มือแนะนำอาหารทะเลจำนวนมากซึ่งสามารถให้คำแนะนำได้ หากทำได้ควรซื้ออาหารทะเลที่มาจากประมงพื้นบ้าน อาจจะฟังดูยาก แต่เราต้องเริ่มถามผู้ขายทุกครั้งที่ซื้อ เราจะต้องร่วมกันสร้างเทรนด์การทานอาหารทะเลอย่างมีจิตสำนึก รู้แหล่งที่มาของอาหารทะเลว่าทำร้ายท้องทะเล ชาวประมงพื้นบ้าน หรือสุขภาพของคุณเองหรือไม่ และผู้บริโภคสามารถเลือกทานอย่างชาญฉลาดได้

มีวิธีอื่นๆอีกไหม? แน่นอนมีอีกหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้….ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ การเลือกบริโภคและเลือกทานอาหารทะเลของคุณสามารถเป็นพลังเพื่อช่วยฟื้นฟูให้มหาสมุทรมีความอุดมสมบูรณ์เพื่อเกื้อหนุนสรรพชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน โลกที่เป็นบ้านใบเดียวของเรา

สายชล
21-07-2015, 17:24
มติชน
15-06-2015

ธุรกิจประมงป่วน! เรือออกหาปลาไม่ได้-โรงงานแห่ปิด หลังถูกรัฐจัดระเบียบ

http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14343296211434329645l.jpg

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า หลังการจัดระเบียบประมงไทย ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ผู้ประกอบการอาจได้รับผล กระทบบ้างเพราะจับปลาน้อยลง แต่เมื่อผลิตสินค้าน้อยลงราคาก็ย่อมขยับขึ้นตาม ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนการทำประมงพื้นบ้านที่มีเรือ กว่า 30,000 ลำ คงไม่ได้รับผลกระทบเพราะตามหลักการของประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการทำประมงพื้นบ้าน เพียงแค่ต้องมาจดทะเบียนเข้าออกหรือเทียบท่าตามท่าเรือที่กำหนดเท่านั้น

นายพจน์กล่าวว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน ทางสภาหอการค้าฯและสมาพันธ์ผู้ผลิตสินค้าประมงไทย (ทีเอฟพีซี) ที่ประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย, สมาคมกุ้งไทย, สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป, สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย, สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย, สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย, สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย จะจัดกิจกรรมประกาศจุดยืนสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการบังคับใช้ พ.ร.บ.การประมง พ.ร.บ.ต่อต้านการค้ามนุษย์ฯ และแนวทางแก้ไขปัญหาการทำประมงไอยูยูของไทยที่โรงแรมดุสิตธานี

นายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย กล่าวว่า หลังการจัดระเบียบ ทำให้การประมงไทยมีปัญหาบ้าง โดยมีเรือประมงออกทะเลได้เพียง 40% เท่านั้น ที่เหลืออีก 60% ไม่สามารถออกไปทำประมงได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องเอกสารการแจ้งที่ศูนย์แจ้งท่าเรือเข้าออก (Port in-Port out) ส่งผลให้ปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนโรงงานแปรรูปลดลงอย่างมาก ทำให้โรงงานแล่เนื้อปลา โรงงานผลิตปลา และปลาบด (ซูริมิ) ปิดกิจการจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สงขลา คิดเป็นปลาที่หายไป 1 พันตัน/วัน หรือคิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท/วัน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ชาวประมงยังไม่เลิกทำ ประมง เพียงแต่ไม่สามารถออกทะเลได้เท่านั้น ทางสมาคมอยากให้ภาครัฐและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ ด้วย คือ

1.อำนวยความ สะดวกการออกเอกสารของเรือประมงเพื่อให้ ออกทำประมงได้ตามปกติโดยเร็ว และให้ทัน กับที่ ศปมผ.กำหนดให้แล้วเสร็จภายในสิ้น เดือนมิถุนายนนี้ หากไม่ทันก็อยากให้มีมาตรการอื่นช่วยเหลือชาวประมง

2.อยากให้ กระทรวงแรงงานดูแลเรื่องการจดทะเบียน แรงงานต่างด้าวให้สามารถทำได้ตลอดปี จาก ที่ปัจจุบันเปิดรับครั้งละ 3 เดือน ทำให้ภาคประมงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน

3.อยากให้กรมเจ้าท่าอำนวยความสะดวกเรื่องการออกใบนายท้ายเรือให้แก่คนขับเรือ และควรเปิดสอบใบนายท้ายเรือใหม่ให้ตรงกับประเภทเรือ เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้ใบนายท้ายเรือ ผิดประเภท

สายชล
21-07-2015, 17:32
มติชน
17-06-2015

สลด!! ประมงไทยชำแหละกระเบนแมนต้าสุดโหด ทั้งที่เหลือเพียง 50 ตัวในอันดามัน

http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14344513831434456373l.jpg

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพซากปลากระเบนแมนต้า ซี่งเป็นกลุ่มปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนท้ายรถกระบะ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการคุ้มครองปกป้อง สัตว์ในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้กำหนดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎหมาย

จากกรณีดังกล่าว ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง ดร.ธรณ์ ซึ่งดร.ธรณ์ ได้ให้ความกระจ่างมาดังนี้

ภาพซากปลากระเบนบนท้ายรถกระบะนั้น เป็นภาพที่เพื่อนของ ดร.ธรณ์ ส่งมาให้ดู ซึ่งเป็นปลากระเบนที่ถูกล่าในจังหวัดระนอง โดยผ่านมาทางท่าเรือขึ้นปลาที่จังหวัดระนอง ซึ่ง ดร.ธรณ์ บอกว่า เป็นท่าขึ้นปลาที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งอันดามันอยู่แล้ว อีกทั้งปลาชนิดนี้มีรายงานว่า พบในแถบจังหวัดตรัง สตูล ระนอง และภูเก็ต

ปัจจุบัน ปลากระเบนแมนต้า ยังไม่ได้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองจากกฎหมายทางฝั่งกรมประมง ว่าด้วยการห้ามทำการประมง หรือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จาก พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ.2535 จากทางฝั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การที่จะผลักดันปลากระเบนแมนต้าให้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ก็อาจจะต้องผลักดันไปพร้อมๆ กับ การเสนอวาฬบรูด้า ให้เป็นสัตว์สงวน ซึ่งจะมีความเข้มข้นกว่าสัตว์คุ้มครอง เนื่องจากสัตว์สงวน จะห้ามล่า ห้ามมีไว้ในครอบครองทุกกรณี

และจากภาพที่มีคนจับฉลามวาฬ ไว้บนเรือประมง ดร.ธรณ์ กล่าวว่า นั่นก็น่าจะผิดกฎหมายเต็มๆ เนื่องจากฉลามวาฬ นอกจากจะอยู่ในความคุ้มครองตามกฎหมาย ให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นสัตว์ห้ามทำการประมง ตามประกาศของกรมประมงอีกด้วย )

http://www.matichon.co.th/gallery/fullimages/2015/06/1434452167.jpg
(ภาพจากเฟซบุ้ก Pongwat Datchtaradon ที่ระบุว่า ฉลามวาฬตัวนี้ ถูกจับมาจากการทำประมงแบบอวนลาก และเรียกร้องให้การประมงลักษณะนี้ หมดไปจากประเทศไทย)

ทั้งนี้ ดร.ธรณ์ กล่าวว่า การพยายามผลักดัน ปลากระเบนแมนต้าให้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง นี้ อาจจะเป็นเรื่องยากในแง่ที่ว่า ปัจจุบันเรามีข้อมูลเกี่ยวกับปลาตัวนี้ค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยมีใครได้พบ จากแวดวงนักดำน้ำ คาดว่า ทางฝั่งทะเลอันดามัน มีอยู่เพียง 50 ตัวเท่านั้น ซึ่งจำนวนที่มีน้อยขนาดนี้ ก็สมควรที่จะได้รับความคุ้มครองโดยเร็ว

นอกจากนี้ ดร.ธรณ์ ยังได้โพสต์ภาพ การล่าปลากระเบนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Thailand Manta Project เพจที่ส่งเสริมการวิจัยกระเบนราหูในประเทศไทย

http://www.matichon.co.th/gallery/fullimages/2015/06/1434451534.jpg


*********************************************************************************************************************************************************


"ดร.ธรณ์" โพสต์เฟซบุ๊ก กระเบนแมนต้า ใหญ่ที่สุดในโลก ยังทยอยถูกฆ่า เสนอให้เป็นสัตว์คุ้มครอง

http://www.matichon.co.th/online/2015/06/14344384171434439021l.jpg

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพซากกระเบนแมนต้า ซี่งเป็นกลุ่มปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนท้ายรถกระบะ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการคุ้มครองปกป้อง สัตว์ในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้กำหนดเป็นสัตว์คุ้มครอง ตามกฎหมาย ดังนี้


"ภาพอันน่าเศร้าที่เพื่อนธรณ์เห็นเกิดขึ้นที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในประเทศไทยสัตว์ที่นอนตายกองกันอยู่ท้ายกระบะคือหนึ่งในกลุ่มปลากระเบนใหญ่ที่สุดในโลก และสัตว์ที่เป็นเพื่อนรักของนักดำน้ำทุกราย กระเบนกลุ่มนี้ทำรายได้ให้การท่องเที่ยวมหาศาล เป็นความประทับใจแห่งอันดามันที่ผู้มาเยือนไม่เคยลืมเลือน

น่าเสียดายที่ในทะเลมีเครื่องมือประมงบางอย่างที่สามารถจับแมนต้าและญาติกลุ่มนี้ที่น่ารักได้น่าเสียดายที่มีความตายเกิดขึ้นอย่างโหดร้ายในทะเล

การอนุรักษ์แมนต้าและญาติเป็นเรื่องยาก การห้ามการประมงกระเบนกลุ่มนี้เหมือนที่เคยใช้กับฉลามวาฬเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างไรก็ตามการปล่อยให้แมนต้าและญาติตายไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่คนรักทะเลยอมรับไม่ได้ทางออกสุดท้าย...สัตว์คุ้มครอง

ปลากระเบนกลุ่มแมนต้าและญาติเป็นสัตว์สงวนเช่นบรูด้าไม่ได้เพราะเรามีข้อมูลน้อยมากแต่เราอาจมีช่องทางในเรื่องสัตว์คุ้มครองแม้มันจะยากแสนสาหัสแต่อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย

ผมจึงลองเสนอแผนง่ายๆดังนี้

- พวกเราช่วยกันผลักดันวาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวน หากสำเร็จ กระทรวงทรัพยากรฯ จะจัดประชุมเพื่อพิจารณา หากเป็นไปได้ เราจะพยายามผลักดันแมนต้าและญาติให้เป็นสัตว์คุ้มครองเข้าไปในการประชุมครั้งนี้ด้วย

- แมนต้าและกระเบนกลุ่มนี้เป็นปลาที่ออกลูกน้อยมาก หากแมนต้ารุ่นนี้ถูกฆ่าหมด โอกาสที่ปลากลุ่มนี้จะสูญพันธุ์ไปจากน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเรื่องง่าย

- เรามีบทเรียนกับปลาฉนากกับปลาโรนินมาแล้ว ปัจจุบัน เราไม่เจอปลาฉนากอีกเลยและแทบไม่เจอโรนินอีกแล้ว (ที่นักดำน้ำพอเจออยู่บ้างคือโรนัน)

- แมนต้าและเพื่อนบางชนิดอยู่ใน CITES บัญชี 2 ถือเป็นสัตว์ที่ทั่วโลกให้การคุ้มครอง โอกาสนำเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองในไทยเป็นไปได้

- ระหว่างนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจกรุณาศึกษาความเป็นไปได้ของปลากระเบนกลุ่มนี้ก่อนครับ

เอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นกันตรงนี้ก่อนเพื่อนธรณ์ช่วยกันได้โดยโหวตสนับสนุนให้วาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวนทำให้เกิดการประชุมเราจะช่วยกันผลักดันแมนต้าและญาติๆเป็นสัตว์คุ้มครองครับ"

สายชล
21-07-2015, 17:45
ผู้จัดการออนไลน์
21-6-15


หลังเห็นภาพสุดโหด ชาวเน็ตจุดกระแสจี้รัฐจัด “กระเบนราหู” เป็นสัตว์คุ้มครอง

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007236901.JPEG

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในโลกสื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพอันน่าโศกสลดของแวดวงประมงไทยเป็นภาพการขนถ่ายและชะแหละ “ปลากระเบนราหู (แมนตา)” ของชาวประมงไทยที่จังหวัดระนอง โดยระบุว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะในทะเลอันดามันเหลือปาชนิดนี้ไม่เกิน 50 ตัวเท่านั้น
       
       เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านระบบนิเวศทางทะเล และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โพสต์ภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า “ฆ่าแมนต้า ความตายของกระเบนใหญ่ที่สุดในโลก สนับสนุนกระเบนราหูเป็นสัตว์คุ้มครอง” พร้อมรายละเอียดว่า
       
       “ภาพอันน่าเศร้าที่เพื่อนธรณ์เห็น เกิดขึ้นที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในประเทศไทย สัตว์ที่นอนตายกองกันอยู่ท้ายกระบะ คือหนึ่งในกลุ่มปลากระเบนใหญ่ที่สุดในโลก และสัตว์ที่เป็นเพื่อนรักของนักดำน้ำทุกราย กระเบนกลุ่มนี้ทำรายได้ให้การท่องเที่ยวมหาศาล เป็นความประทับใจแห่งอันดามันที่ผู้มาเยือนไม่เคยลืมเลือน
       
       น่าเสียดายที่ในทะเลมีเครื่องมือประมงบางอย่างที่สามารถจับแมนต้าและญาติกลุ่มนี้ที่น่ารักได้ น่าเสียดายที่มีความตายเกิดขึ้นอย่างโหดร้ายในทะเล
       
       การอนุรักษ์แมนต้าและญาติเป็นเรื่องยาก การห้ามการประมงกระเบนกลุ่มนี้เหมือนที่เคยใช้กับฉลามวาฬเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้แมนต้าและญาติตายไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่คนรักทะเลยอมรับไม่ได้ ทางออกสุดท้าย...สัตว์คุ้มครอง
       
       ปลากระเบนกลุ่มแมนต้าและญาติเป็นสัตว์สงวนเช่นบรูด้าไม่ได้ เพราะเรามีข้อมูลน้อยมาก แต่เราอาจมีช่องทางในเรื่องสัตว์คุ้มครอง แม้มันจะยากแสนสาหัส แต่อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย
       
       ผมจึงลองเสนอแผนง่ายๆ ดังนี้
       
       - พวกเราช่วยกันผลักดันวาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวน หากสำเร็จ กระทรวงทรัพยากรฯ จะจัดประชุมเพื่อพิจารณา หากเป็นไปได้ เราจะพยายามผลักดันแมนต้าและญาติให้เป็นสัตว์คุ้มครองเข้าไปในการประชุมครั้งนี้ด้วย
       
       - แมนต้าและกระเบนกลุ่มนี้เป็นปลาที่ออกลูกน้อยมาก หากแมนต้ารุ่นนี้ถูกฆ่าหมด โอกาสที่ปลากลุ่มนี้จะสูญพันธุ์ไปจากน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเรื่องง่าย
       
       - เรามีบทเรียนกับปลาฉนากกับปลาโรนินมาแล้ว ปัจจุบัน เราไม่เจอปลาฉนากอีกเลยและแทบไม่เจอโรนินอีกแล้ว (ที่นักดำน้ำพอเจออยู่บ้างคือโรนัน)
       
       - แมนต้าและเพื่อนบางชนิดอยู่ใน CITES บัญชี 2 ถือเป็นสัตว์ที่ทั่วโลกให้การคุ้มครอง โอกาสนำเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองในไทยเป็นไปได้
       
       - ระหว่างนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจกรุณาศึกษาความเป็นไปได้ของปลากระเบนกลุ่มนี้ก่อนครับ
       
       เอาเป็นว่า เรามาเริ่มต้นกันตรงนี้ก่อน เพื่อนธรณ์ช่วยกันได้โดยโหวตสนับสนุนให้วาฟบรูด้าเป็นสัตว์สงวน ทำให้เกิดการประชุม เราจะช่วยกันผลักดันแมนต้าและญาติๆเป็นสัตว์คุ้มครองครับ
       
       • www.change.org/saveourwhale”
       
       ปลากระเบนแมนตา หรือ ปลากระเบนราหู (Manta ray) เป็นปลากระดูกอ่อนจำพวกหนึ่ง จัดเป็นปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจมีความกว้างช่วงปีก (ครีบหู) ได้ถึง 6.7 เมตร หรือ 22 ฟุต มีน้ำหนักได้ถึง 1,350 กิโลกรัม หรือ 3,000 ปอนด์ อาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะรอบ ๆ แนวปะการัง (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
       
       ทั้งนี้จากข้อมูล ปัจจุบันปลากระเบนราหู (แมนตา) ยังไม่ได้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองทางกฎหมาย ทางฝั่งกรมประมง ว่าด้วยการห้ามทำการประมง หรือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จากพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 จากทางฝั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
       
       

สายชล
21-07-2015, 19:09
ผู้จัดการออนไลน์
29-6-15


ทัพเรือภาค 2 จับเรือประมงเวียดนามลอบคราดปลิงทะเล เผย 10 เดือนจับได้แล้วกว่า 60 ลำ



http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007559201.JPEG


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เรือหลวงศรีราชา กองทัพเรือภาคที่ 2 จับกุมเรือประมงเวียดนาม 1 ลำ พร้อมลูกเรือ 6 คน ขณะลักลอบเข้ามาทำการประมงคราดปลิงทะเลในอ่าวไทย เผยในรอบ 10 เดือนสามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามได้แล้วถึง 68 ลำ

วันนี้ (28 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ร.ท.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 ได้สั่งการให้เรือหลวงศรีราชา ทัพเรือภาคที่ 2 สงขลา ออกลาดตระเวนตรวจสอบในพื้นที่อ่าวไทย และสามารถจับกุมเรือประมงเวียดนาม จำนวน 1 ลำ พร้อมลูกเรือ 6 คน ที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงคราดปลิงทะเลในเขตน่านน้ำอ่าวไทย ทางด้านทิศเหนือของเกาะโลซิน จ.ปัตตานี หลังจากได้รับแจ้งจากเรือประมงในชมรมวิทยุมดดำนาวีทัพเรือภาคที่ 2 และนำลากกลับเข้าฝั่งที่เทียบท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 มาสอบสวนทราบว่า เดินทางมาจากเมืองเกียนยาง ประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่ง สภ.เมืองสงขลา ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ พ.ร.บ.ว่าด้วยสิทธิการประมงและการประกอบการเรือประมงไทย ก่อนที่จะผลักดันกลับประเทศต่อไป

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007559202.JPEG

สำหรับการจับกุมเรือประมงเวียดนามที่รุกล้ำเข้ามาทำการประมงในน่านน้ำไทยในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 19 ในรอบ 10 เดือน นับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2557 ถึงมิถุนายนปีนี้ สามารถจับกุมเรือได้แล้ว จำนวน 68 ลำ และพบว่า ยังคงลักลอบรุกล้ำน่านน้ำอ่าวไทยเข้ามาทำการประมงคราดปลิงทะเลผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำในอ่าวไทย

สายชล
21-07-2015, 19:12
ไทยรัฐ
30-6-15

เกมวัดใจ

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxtvolZzxke5KoABEfJ7KE1DQwtnIlIB2ZMqSk.jpg

ปัญหาหลายด้านประดังเข้ามาพร้อมกันเล่นเอารัฐบาล หัวหมุนเป็นใบพัดเรือบิน

ปัญหาเศรษฐกิจก็หนักอยู่แล้ว ยังดันเกิดวิกฤติภัยแล้งซ้ำเติม

ปัญหาไอซีเอโอ “ปักธงแดง” ต้องเร่งแก้ไขให้เสร็จก่อนสิ้นปี

ยังมีปัญหาสหภาพยุโรป หรืออียู แจก “ใบเหลือง” ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไขให้เสร็จภายใน 6 เดือน

เจอทั้งธงแดงไอซีเอโอ เจอทั้งใบเหลืองอียู เป็นแพ็กคู่ทูอินวัน

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่ากรณีสหภาพยุโรป หรืออียูแจก “ใบเหลือง” ให้เวลารัฐบาลไทยแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายให้เสร็จภายใน 6 เดือน

มิฉะนั้น อียูจะเปลี่ยน “ใบเหลือง”...เป็น “ใบแดง”

ห้ามสินค้าทะเลจากไทยเข้าตลาดอียูอย่างสิ้นเชิง!!

ซึ่งจะทำให้รายได้ประเทศหายไปห้าหมื่นล้านบาทต่อปี

ใบเหลืองอียู จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่นายกฯ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต้องจัดระเบียบการประมงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

พรุ่งนี้ (1 ก.ค.) จะถึงกำหนดดีเดย์ที่รัฐบาลจะเริ่มตรวจสอบ จับกุมดำเนินคดี เรือประมงไทยทุกลำที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.

เอาจริงซะที...หลังจากรัฐบาลผ่อนผันมาแล้ว 2 เดือน

“แม่ลูกจันทร์” ยํ้าว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เรือประมงไทยจะต้องปฏิบัติตามกฎเหล็ก คสช.

1, เรือประมงทุกลำต้องจดทะเบียน และต้องมีใบอนุญาตใช้เรือ เพื่อแก้ปัญหาเรือเถื่อน เรือสวมทะเบียน ที่ปล่อยปละละเลยกันมานาน

2, ลูกเรือทุกคนต้องขึ้นทะเบียน และมีเลขประจำตัว เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานเถื่อน ที่เป็นเงื่อนไขให้อียูแจกใบเหลืองใบแดง

3, ห้ามเจ้าของห้องเย็นแพปลา ผู้ประกอบการแปรรูปสินค้าทะเลรับซื้อสัตว์นํ้าจากการประมงผิดกฎหมายทุกกรณี

4, การเข้าฝั่ง หรือออกจากฝั่งของเรือประมงทุกลำต้องขออนุญาตตามขั้นตอน

5, เรือประมงขนาดตั้งแต่ 30 ตันขึ้นไป ต้องติดตั้งระบบติดตาม (วีเอ็มเอส) เพื่อตรวจสอบตำแหน่งเรือและจุดที่ทำประมง

6, เครื่องมือทำการประมงต้องเป็นมาตรฐานสากล ห้ามใช้เครื่องจับปลาที่ทำลายระบบนิเวศน์ ทำลายปะการัง ทำลายการวางไข่และทำให้สัตว์ทะเลเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

7, เรือประมงที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง คสช.จะถูกจับกุมดำเนินคดี มีโทษปรับครั้งละ 1 แสนบาท โทษจำคุก 1 ปี

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่ายังไม่ทันถึงกำหนดที่รัฐบาลจะเริ่มจัดระเบียบการประมงอย่างเข้มงวดจริงจัง

กลุ่มเจ้าของเรือประมงก็เริ่มออกอาการทันที

อ้างว่าระเบียบใหม่เข้มงวดเกินไป จนเจ้าของเรือประมงปรับตัวไม่ทัน

ล่าสุด เครือข่ายเรือประมง 22 จังหวัดกว่า 30,000 ลำ ประกาศจะหยุดจับปลา เอาเรือกลับเข้าฝั่งพร้อมกัน

อ้าว...หยุดจับปลากันหมดแล้ว

ชาวบ้านจะเอาปลาที่ไหนกิน??

“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่ารัฐบาลมีทางเลือก 2 ทาง

ถ้าจะแก้ปัญหาใบเหลืองอียู ก็ต้องเดินหน้าจัดระเบียบการประมงให้เสร็จภายใน 6 เดือน

ซึ่งจะเป็นการยกระดับการประมงไทย และรักษาทรัพยากรทางทะเลไทยให้ยั่งยืนในระยะยาว

หรือ...ถ้าไม่อยากให้เรือประมง 22 จังหวัดนัดหยุดจับปลา ซึ่งจะทำให้อาหารทะเลขาดแคลน

รัฐบาลต้องผ่อนผันการจัดระเบียบไปอีกปี...? หรือสองปี??

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลแฮ.

สายชล
21-07-2015, 19:14
ข่าว อสมท. MCOT News
30-6-15

วิถีประมงพื้นบ้าน พลิกฟื้นวิกฤติทะเลไทย

http://www.tnamcot.com/wp-content/uploads/image/2015/06/29/1435583134-eab9d2b14083900332ef307df9f24831.jpg

หนึ่งปัญหาที่อียูตั้งคำถามถึงการจัดการประมงไทยผิดกฎหมาย คือ การทำประมงเกินศักยภาพของท้องทะเล และมีเรือผิดกฎหมายจำนวนมาก ซึ่งในไทยมีการออกใบอนุญาตเรืออีกประเภทหนึ่ง คือ เรือประมงพื้นบ้าน ล่าสุดชาวประมง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็เรียกร้องให้รัฐส่งเสริม เพราะเป็นการทำประมงที่เป็นแบบอย่าง เน้นพึ่งพาธรรมชาติ

ช่วงเวลา 02.00 น. ของทุกวัน เป็นเวลาที่ชาวประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จะออกเรือไปไกลกว่า 8 ไมล์ทะเล หรือราว 10 กิโลเมตร “ปิยะ” เจ้าของเรือประมงพื้นบ้านลำนี้ เล่าว่า แต่ก่อนไม่ต้องออกเรือแต่เช้า และไม่ต้องไปไกลชายฝั่งมาก ก็ได้ปลาจำนวนมากพอขายเลี้ยงครอบครัวแล้ว แต่ทุกวันนี้ปลาเหลือน้อย เรือทุกลำโดยเฉพาะเรือพาณิชย์ก็ต้องหาปลาให้ได้มากที่สุด

http://www.tnamcot.com/wp-content/uploads/image/2015/06/29/1435583641-06c8a008fb505cb6aa9c1b233c8a9a08.jpg

วิถีการทำประมงพื้นบ้านจะใช้อุปกรณ์เพียง 2-3 ชิ้น ใช้เฉพาะอวนติดตา ขนาดตาอวนไม่น้อยกว่า 2.5 เซนติเมตร

“ปิยะ” ยังเล่าเพิ่มเติมว่า ปลาที่ได้วันนี้นำไปขาย เมื่อหักต้นทุนค่าน้ำมันที่จ่ายไป เหลือเงินเป็นกำไรไม่มากนัก แต่ก็พออยู่ได้ เพราะใช้แรงงานเป็นคนในครอบครัว ปลาทูและปลาแดงที่ได้มีขนาดโตเต็มวัย ขายได้กิโลกรัมละ 40-50 บาท ถึงจะได้เงินไม่มาก แต่ก็ภูมิใจที่ได้จับสัตว์น้ำแบบไม่ทำลายท้องทะเลที่เขารัก

http://www.tnamcot.com/wp-content/uploads/image/2015/06/29/1435583678-1b38e1109d937b3a1488688b1f4ae735.jpg

ชุมชนอ่าวคั่นกระได มีชาวประมงพื้นบ้านอยู่กว่า 100 ครัวเรือน เมื่อปี 2551 ทะเลที่นี่เผชิญกับภาวะวิกฤติ เหตุทำประมงผิดวิธีมานับสิบปี ใช้อวนตาถี่กวาดเอาปลาทุกชนิดที่หาได้ อาชีพประมงแทบล่มสลาย กระทั่งชาวบ้านเริ่มคิดพลิกฟื้นชายฝั่ง เปลี่ยนเครื่องมือหาปลา ใช้เวลาเพียง 1 ปี ทะเลกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แนวกำแพงจากต้นมะพร้าวนี้เป็นแนวกั้นเริ่มต้นเขตอนุรักษ์ชายฝั่งที่ชาวบ้านทำขึ้นเอง

ไม่ไกลจากชายฝั่งเป็นที่ตั้งธนาคารปูของชุมชน “ลุงน้อย” ชาวประมงพื้นบ้านอีกคนหนึ่ง ชี้ให้ดูแม่ปูไข่ 13 ตัว ซึ่งชาวบ้านจะหมุนเวียนกันมาช่วยดูแลให้แม่ปูเหล่านี้ขยายพันธุ์ต่อไปได้อีก

http://www.tnamcot.com/wp-content/uploads/image/2015/06/29/1435584411-812583568d51d1e6b8dfec9afafda28a.jpg

ไทยมีเรือประมงพื้นบ้านประมาณ 40,000 ลำ ใน 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล เรียกร้องให้กรมประมงศึกษาผลกระทบและการมีส่วนร่วมของทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ก่อนออกแผนบริหารจัดการเรือประมงใหม่ทั้งระบบ.

สายชล
21-07-2015, 19:16
GREENPEACE
30-6-15

เมนูเอ็นหอยจอบ กับรอยแผลบาดลึกใต้ท้องทะเล

สะดือหอย หรือเอ็นหอยจอบที่เราชอบกินกัน มีที่มาจากการประมงที่ทำร้ายท้องทะเลมากที่สุด และสร้างความขัดแย้งมากที่สุดระหว่างผู้ทำการประมงอย่างรับผิดชอบและไร้ความรับผิดชอบ หากคุณรู้ว่าการทำประมงเอ็นหอยจอบนั้น ต้องแลกมาด้วยระบบนิเวศทางทะเลที่พังทลายต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว มาจากการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคเป็นปลายเหตุของปัญหาโดยไม่รู้ตัว .. คุณยังจะอยากกินเอ็นหอยจอบอยู่อีกไหม


http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/114562_189999.jpg

ประมงหอยจอบ เปลี่ยนทะเลเป็นซากหอยและตะกอนดิน

การทำประมงหอยหอยจอบ เพื่อเอาเอ็นหอยมีเบื้องหลังที่ทำร้ายท้องทะเล ด้วยการดำเอาหอยขึ้นมา เลือกตัดเฉพาะเอ็นของหอยจอบเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้น แล้วทิ้งเนื้อหอยและเปลือกกลับลงสู่ท้องทะเล ส่งผลให้น้ำทะเลเน่าเสีย เหมือนกับการรื้อบ้านของสัตว์น้ำวัยอ่อน และปะการัง ทิ้งให้ทะเลเต็มไปด้วยเศษซากของเปลือกหอยและตะกอนดิน

“หอยจอบมีความยาวสูงสุดประมาณ 30-50 เซนติเมตร ฝังตัวอยู่ในดินแนวชายฝั่งทะเลไม่เกิน 3 ไมล์ทะเล โผล่ขึ้นมาเพียงนิดเดียว ถ้าดินบริเวณนั้นอุดมสมบูรณ์สูง ในหนึ่งตารางเมตรจะมีประมาณ 10 ถึง 20 ตัว ยิ่งหนาแน่นจะมีหมึกกล้วย หมึกกระดอง เพรียง และแพลงก์ตอน อาศัยอยู่เยอะ ถือเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำวัยอ่อน และเมื่อเราขุดหอยจำนวนมากขึ้นมานั่นหมายถึงการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยสัตว์น้ำวัยอ่อนและระบบห่วงโซ่อาหาร เกิดปัญหาน้ำขุ่นน้ำเสีย สัตว์น้ำจะต้องอพยพ รวมถึงไม่สามารถทำประมงอื่นได้ อีกทั้งเศษซากเปลือกหอยส่งผลทำให้เครื่องมือประมงพื้นบ้านได้รับความเสียหาย” นายปิยะ เทศแย้ม นายกสมาคมชาวประมงพื้นบ้านทุ่งน้อย ประจวบคีรีขันธ์ กล่าว

ผืนทะเลอันอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กำลังถูกรุกรานด้วยการประมงหอยจอบ ตั้งแต่ปากน้ำปราณ สามร้อยยอด บ้านปากคลองเกลียว โพธิ์เรียง บ่อนอกและทุ่งน้อย ซึ่งอยู่ในแนวเขตอนุรักษ์ของจังหวัดที่ประกาศไว้ 5 ไมล์ทะเล เพื่อสร้างความมั่นคงภายในจังหวัดเพื่อยุติแก้ไขความขัดแย้งเรื่องหอยจอบ จนกว่าจะมีข้อตกลงหรือกฏหมายร่วมกัน แต่ยังถือไม่ใช่กฎหมายประมง โดยการเคลื่อนไหวของการประมงที่ทำลายท้องทะเลเพียงเพื่อสะดือหอยขนาด 2 เซนติเมตรนี้อยู่ภายใต้การจับตามองของกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการสังเกตุพบว่าเรือประมงหอยจอบอาจมีมากถึง 180 ลำต่อวัน ซึ่งแต่ละลำนั้นจะทำการประมงครั้งละ 3-5 ตันต่อลำ ส่วนมากจะเป็นเรือมาจากจังหวัดอื่น โดยที่แม้ชาวประมงพื้นบ้านประจวบคีรีขันธ์นั้นรู้ว่าตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดมีหอยจอบอาศัยอยู่จำนวนมากก็ตกลงร่วมกันในชุมชนว่าจะไม่ทำการประมงที่ทำลายล้างระบบนิเวศ และทำลายวิถีชีวิตชุมชน

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/114570_190015.jpg


ชีวิตและน้ำตาที่ต้องสังเวยเพื่อสะดือหอย

นายปิยะ เทศแย้ม อธิบายเพิ่มว่า “การประมงหอยจอบทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชน เนื่องจากมีการละเมิดกติกาข้อตกลงระหว่างกลุ่มดำหอยจอบ และพี่น้องประมงพื้นบ้านของปราณบุรี ซึ่งเรารับไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อชีวิตของผู้ดำหอย กล่าวคือ กระบวนการดำหอยนั้นจะใช้เรือทอดสมอไว้เฉยๆ มีปั๊มลมบนเรือคล้ายปั๊มลมปะยาง เพื่อให้คนอยู่ในน้ำใช้เป็นออกซิเจน และใช้ตะกั่วลูกละกิโลกรัมจำนวน 30 ลูก เป็นน้ำหนักรวม 30 กิโลกรัม ถ่วงไว้ที่เอว คนงานมีอัตราเสียชีวิตสูงเพราะเมื่อเครื่องดับหรือสายยางรั่ว ก็จะไม่สามารถกลับขึ้นมาบนผิวน้ำได้ เนื่องจากถูกตะกั่วที่หนักถึง 30 กิโลกรัมถ่วงอยู่ โดยในปีที่ผ่านมามีการเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 25 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่สูญหายในท้องทะเลอีกประมาณ 40 คน และมีบางกรณีที่เรือแกล้งทำสายยางแตก หรือเครื่องดับ เพื่อให้การเกิดสายยางรั่วทำให้เสียชีวิตได้ เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายค่าแรงได้ นอกจากนี้แรงงานที่จับหอยโดยส่วนมากจะเป็นแรงงานต่างชาติอีกด้วย เนื่องจากคนไทยรับรู้ดีว่ามีความเสี่ยงที่จะจับหอยจอบด้วยวิธีนี้”

ยากที่จะคาดคิดว่าก่อนที่จะได้มาซึ่งเอ็นหอยนั้น ต้องมีผู้เดือดร้อนได้รับผลกระทบจำนวนมาก นอกจากชาวประมงพื้นบ้านผู้อนุรักษ์ท้องทะเลจะไม่สามารถทำการประมงในบริเวณนั้นได้แล้ว ยังมีประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของลูกจ้างจนกระทั่งมีกรณีเสียชีวิต ซึ่งยังไม่รวมถึงระบบนิเวศทางทะเลที่ต้องเสียหายไปจนยากจะฟื้นฟู

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/114563_190001.jpg

“ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่หมู่บ้านม่องล่าย ในชุมชนอนุญาตให้ดำหอยจอบอยู่ 2 เดือน ในพื้นที่ 5 ตารางกิโลเมตร จนกระทั่งหอยหมด ขณะนี้ผ่านมา 2 ปีแล้วแต่ยังไม่มีสัตว์น้ำให้ทำการประมง จนต้องมาทำการประมงที่หมู่บ้านคั่นกระได กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งเพิ่มเนื่องจากแต่พื้นที่มีกฎกติกาแตกต่างกันออกไป และแต่ละพื้นที่ไม่สามารถรองรับเรือประมงที่อพยพมาได้ทั้งหมด” นายปิยะ เทศแย้ม เสริม

ล่าสุดได้มีกฎหมายห้ามทำการประมงหอยจอบห่างจากชายฝั่งในระยะ 5 ไมล์ทะเล จากข้อเรียกร้องของประมงพื้นบ้านแล้ว เนื่องจากการดำหอยจอบเป็นการประมงที่ทำลายระบบนิเวศอย่างร้ายแรง จากการสำรวจตัวอย่างจากจังหวัดตราดพบว่า ต้องใช้ระยะเวลากว่า 5 ปีในการฟื้นสภาพความอุดมสมบูรณ์ของหอยจอบในท้องทะเล

ยังมีอาหารทะเลอีกมากให้เราได้เลือกทาน และเอ็นหอยจอบไม่ควรเป็นเมนูที่เราส่งเสริม ไม่ว่าจะมองในมุมไหน หากพื้นที่บริเวณที่หอยจอบอาศัยอยู่นั้นคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้ เราจะยังมีบ้านให้สัตว์น้ำได้อยู่อาศัย และมีปลาอร่อยๆ เติบโตให้เราได้กินอีกมาก เรายังสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทะเลชายฝั่งได้อีกมาก โดยที่ไม่ทำลายจนสิ้นเพียงเพื่อการขุดเอาเอ็นของหอยจอบ

ก่อนสั่งเมนูเอ็นหอยจอบครั้งหน้า ลองคิดถึงที่มาของหอยจอบอีกครั้งว่าคุ้มแล้วหรือกับสิ่งที่เราต้องแลกมาเพื่ออาหารหนึ่งจาน เพื่อที่คุณจะไม่เป็นปลายทางของปัญหาการประมงหอยจอบอย่างไร้ความรับผิดชอบ ทำร้ายทั้งท้องทะเลจนยากจะฟื้นฟู และทิ้งคราบน้ำตาไว้ให้กับชาวประมงพื้นบ้านผู้อนุรักษ์ทะเล

สายชล
21-07-2015, 19:21
ไทยรัฐ
2-7-15

ไม่โอเค

http://www.thairath.co.th/media/EyWwB5WU57MYnKOuXxtvKSPr2C25ZgttKi8P3k332Nxgm76DcZfmxh.jpg

กรณีเครือข่ายประมง 22 จังหวัดประกาศฮึ่มๆให้เรือประมงทุกลำหยุดจับปลาพร้อมกัน

เพื่อกดดันรัฐบาลให้ชะลอการตรวจสอบจับกุมเรือประมงผิดกฎหมายไปก่อนชั่วคราว

ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการก่อหวอดประท้วงคำสั่งรัฐบาล คสช.

โดยใช้เรือประมงสามหมื่นลำเป็นเงื่อนไขต่อรอง

เป็นเกมวัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง

“แม่ลูกจันทร์” เชื่อว่า ถ้าเป็นยุครัฐบาลปกติ จะต้องรีบเชิญแกนนำเครือข่ายเรือประมง 22 จังหวัดมาเจรจาต่อรอง

เพราะถ้าเรือประมง 22 จังหวัดนัดหยุดงานประท้วงรัฐบาลจริงๆ จะทำให้ “กุ้งหอยปูปลา” ขาดตลาด พี่น้องประชาชนจะเดือดร้อน

และกระทบการส่งออกสินค้าอาหารทะเล

แต่ยุคนี้ ยุค คสช. การประกาศปิดอ่าวไทยนัดหยุดจับปลาพร้อมกัน ไม่ทำให้รัฐบาลต้องถอยกรูดตามแรงกดดัน

เนื่องจากรัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาใบเหลืองอียูให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลา 6 เดือน

เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

คำตอบของรัฐบาลคือ...เดินหน้าลูกเดียว

“แม่ลูกจันทร์” ชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ที่ประกาศจุดยืนเด็ดขาดชัดเจน ซึ่งจะทำให้อียูเกิดความมั่นใจว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเรือประมงผิดกฎหมายอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

พล.อ.ประยุทธ์ ยํ้าว่าถ้าเรือประมง 22 จังหวัดจะนัดหยุดจับปลาพร้อมกันก็หยุดไป

แต่รัฐบาลจะไม่ยอมผ่อนผันการกวดขันจับกุมเรือประมงผิดกฎหมายจากกำหนดเดิม

“แม่ลูกจันทร์” เห็นใจความเดือดร้อนของเครือข่ายเรือประมง ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนนับแสนคน

เป็นธุรกิจสำคัญที่สร้างรายได้เลี้ยงประเทศหลายแสนล้านบาทต่อปี

“แม่ลูกจันทร์” ยอมรับว่ามาตรการจัดระเบียบของรัฐบาลจะทำให้เรือประมงไทยทำมาหากินไม่สะดวกเหมือนเดิม

โดยเฉพาะเรือประมงเถื่อน เรือประมงสวมทะเบียนที่มีจำนวนนับหมื่นลำ

มาตรการห้ามจ้างแรงงานเถื่อนจะทำให้ผู้ประกอบธุรกิจประมงต้องจ่ายค่าจ้างสูงขึ้นอีกเท่าตัว

แต่ถ้ามองในแง่ดี...นี่คือการยกมาตรฐานการประมงไทยให้เป็นระบบครบวงจร

การบังคับให้เรือประมงทุกลำต้องมีใบอนุญาตทำประมง ลูกเรือประมงทุกคนต้องมีบัตรประจำตัว ฯลฯ จะทำให้ประเทศ ไทยปลดล็อก “ใบเหลืองใบแดง” อย่างสิ้นเชิง

การควบคุมเครื่องมือประมงที่ไม่ทำให้สัตว์ทะเลสูญพันธุ์จะเกิดประโยชน์มหาศาลต่อธุรกิจประมงไทยในระยะยาว

“แม่ลูกจันทร์” ยอมรับว่าการทำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายย่อมยากลำบากเป็นธรรมดา

การต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ 15 ข้อของอียูทำให้เครือข่ายประมงไทยไม่แฮปปี้แน่นอน

แต่ถ้าไม่ทำวันนี้...ปล่อยไว้จนอียูแจกใบแดงจะเดือดร้อนสาหัสยิ่งกว่าเดิม

“แม่ลูกจันทร์” อยากขอร้องเรือประมงไทยอย่านัดกันหยุดจับปลา เพราะจะทำให้สินค้าอาหารทะเลขาดแคลน

แต่ถ้าหยุดจับปลานานเกินไปจะทำให้เจ้าของเรือประมงเองได้รับผลกระทบเช่นกัน

ไม่มีอาหารทะเลกินก็ยังกินหมูเห็ดเป็ดไก่แทน

แต่ถ้าเรือประมงหยุดจับปลาก็จะไม่มีรายได้อะไรเลย

เจ้าของเรืออาจไม่เดือดร้อน แต่คนงานเดือดร้อนนะโยม.

สายชล
21-07-2015, 19:28
เดลินิวส์
2-7-15


'ปั้นฮีโร่' แห่งอ่าวไทย 'วาฬบรูด้า' จะติดโผ 'สัตว์สงวน?' | .................... สกู๊ปหน้า1


http://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News/580702_Dailynews_zpsr0q6zmkw.jpg (http://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News/580702_Dailynews_zpsr0q6zmkw.jpg.html)

"วาฬบรูด้าเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ปัจจุบันมีเพียง 50 ตัวในอ่าวไทย โดยจะเข้ามาหากินในพื้นที่ชายฝั่งชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพฯ ซึ่งไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีวาฬบรูด้าเข้ามาหากินใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด”

...นี่เป็นข้อความซึ่งได้มีการระบุผ่านทางเว็บไซต์ www.change.org/saveourwhaleที่ทางกลุ่มนักวิชาการ คนรักวาฬบรูด้า จัดทำขึ้น เพื่อรณรงค์-เรียกร้องให้ภาครัฐ “ขึ้นบัญชีวาฬบรูด้า” ในฐานะ “สัตว์สงวน” ชนิดล่าสุดของไทย

หวังให้ ’วาฬบรูด้า“ เป็น “ตัวแทนอนุรักษ์”

ปั้นเป็น ’สัญลักษณ์ปกป้องทะเลอ่าวไทย“

เกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อเสนอให้ “ขึ้นบัญชีวาฬบรูด้า” นั้น กับเรื่องนี้ได้มีกระแสมาสักพักใหญ่ ๆ ทางอินเทอร์เน็ต-ในโลกโซเชียล จากแนวคิดที่ทางกลุ่มคนรักวาฬ คนรักทะเลไทย ได้นำเสนอ และมี ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเล และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เป็นอีกหนึ่งคนที่ร่วมผลักดันในเรื่องนี้

“วาฬบรูด้าเป็นสัตว์ทะเลชนิดเดียวที่ สมเด็จพระเทพฯ พระราชทานชื่อ (สายสมุทร และสมสมุทร)...” “วาฬบรูด้าหากินในอ่าวไทยจนเกือบถึงฝั่ง ทำให้กรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงแห่งเดียวที่มีสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลกมาอวดโฉมกินปลาในระยะใกล้ถึงเพียงนี้...” “วาฬบรูด้าต่างจากสัตว์ป่าหายากบนบก เพราะไม่มีใครเพาะเลี้ยงได้ อนาคตของวาฬบรูด้าจึงขึ้นกับถิ่นฐานในธรรมชาติเท่านั้น...” ...นี่เป็นข้อมูลบางส่วนที่ ผศ.ดร.ธรณ์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก thon.tham rongnawasawat ไว้ เพื่อย้ำถึงความสำคัญ...

ที่ควรจะ “ต้องอนุรักษ์วาฬบรูด้า” ฝูงนี้ไว้

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้อธิบายเกี่ยวกับ “วาฬบรูด้า” ไว้ว่า... วาฬบรูด้าขนาดโตเต็มที่อาจจะมีความยาวของลำตัวได้ถึง 14–15 เมตร และมีน้ำหนักตัวได้มากถึง 12-20 ตัน (บางตำราสูงถึง 30 ตัน) โดยวาฬเพศเมียจะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่กว่าเพศผู้เล็กน้อย ซึ่งวาฬบรูด้าจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุ 8-13 ปี และจะให้ลูกครั้งละ 1 ตัวในทุก 2 ปี โดยระยะเวลาในการตั้งท้องนั้น วาฬบรูด้าใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ 11-12 เดือน

“อายุวาฬบรูด้า” นั้น ข้อมูลระบุว่า...’วาฬบรูด้าเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาวมาก อยู่ที่ประมาณ 50 ปี แต่มีเอกสารบางฉบับบันทึกว่า...เคยพบวาฬบรูด้าที่มีอายุมากถึง 72 ปี“...เป็นข้อมูล “วาฬบรูด้า” ที่ถูกเสนอเป็น “สัตว์สงวน” ในขณะนี้

ขณะที่ “พฤติกรรมหากิน” ของวาฬชนิดนี้ ปกติชอบจับกลุ่มกันออกหาอาหาร โดยแหล่งอาหาร-แหล่งหากินของวาฬบรูด้านั้น ก็ยังใช้เป็น ’ตัวบ่งชี้ความสมบูรณ์ของทะเล“ ในบริเวณดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งการพบวาฬบรูด้าใน “อ่าวไทย” นั้น...

ตอกย้ำว่า...ทะเลไทย “สมบูรณ์แค่ไหน??”

ทว่า...ด้วย “จำนวนวาฬมีอยู่น้อย” มีอยู่เพียง 50 ตัวในอ่าวไทย เรื่องนี้ได้ทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วง และกลัวว่า...กิจกรรมทางทะเลที่เกิดขึ้นอย่างหนาแน่นในพื้นที่อ่าวไทย อาจจะไปกระทบกับสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดชนิดนี้ได้ จึงเรียกร้องให้ “ขึ้นบัญชีวาฬบรูด้า” หลังจากที่ประเทศไทยไม่มีการขึ้นบัญชีสัตว์ชนิดใหม่ ๆ ในฐานะ “สัตว์สงวน” มานานมาก...

นับตั้งแต่ “ขึ้นบัญชีพะยูน” เมื่อ 23 ปีก่อน!!!

เมื่อพลิกดูรายชื่อบัญชีสัตว์ที่ได้รับการประกาศเป็น “สัตว์สงวน” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 พบว่า...ประเทศไทยมีการขึ้นบัญชีสัตว์ไว้ 15 ชนิด ได้แก่...

1.นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
2.แรด
3.กระซู่
4.กูปรี หรือโคไพร
5.ควายป่า หรือมหิงสา
6.ละอง หรือละมั่ง
7.สมัน หรือเนื้อสมัน
8.เลียงผา
9.กวางผา
10.นกแต้วแล้วท้องดำ
11.นกกระเรียน
12.แมวลายหินอ่อน
13.สมเสร็จ
14.เก้งหม้อ
โดยชนิดที่ 15 ลำดับสุดท้ายที่ได้มีการขึ้นบัญชีเป็นสัตว์สงวนไว้ คือ “พะยูน” หรือ “หมูน้ำ” นั่นเอง

ซึ่งถ้า “วาฬบรูด้า” ได้รับการขึ้นบัญชี ก็จะเป็น “สัตว์สงวนชนิดที่ 16” ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ยังต้องลุ้นกันอีกหลายยก เพราะมี “ขั้นตอน” อีกหลายส่วน ทั้งนี้ การ “รวบรวมรายชื่อ” เพื่อเสนอก็เป็นส่วนหนึ่ง โดยเมื่อได้รายชื่อ 20,000 รายชื่อขึ้นไป ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะเสนอให้กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำการพิจารณา หากผ่านการเห็นชอบก็จะเข้าสู่ที่ประชุม “คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า” ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน...

จากนั้น ถ้าคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ เรื่องนี้ก็จะนำเสนอต่อ “คณะรัฐมนตรี” เพื่ออนุมัติออกเป็นรายชื่อแนบท้ายพระราชกำหนดต่อไป ...นี่เป็น ’ขั้นตอนเกี่ยวกับการขึ้นบัญชี“ ตามที่เว็บไซต์ www.change.org/saveourwhaleระบุไว้...

กับ ’วาฬบรูด้า“ หลายคนหวังไว้ว่าจะไม่ล่ม!

ทั้งนี้ ในกรณีที่สำเร็จ ไม่เพียงประเทศไทยจะมี “วาฬบรูด้า” เป็น “สัตว์สัญลักษณ์ประจำอ่าวไทย” แต่ยังเกิดประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย ทั้งทางวิชาการ ที่จะมีโครงการศึกษาวิจัยต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยจะกลายเป็น “แหล่งดูวาฬเชิงอนุรักษ์ระดับโลก” ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้ กระจายรายได้สู่ชุมชนโดยรอบแหล่งอาศัยของ “วาฬบรูด้า”...

’ปั้นวาฬบรูด้า“ เป็น ’สัญลักษณ์อ่าวไทย“

’กระแส“ เรื่องนี้ยึดโยง ’รักษ์ทะเลไทย“

แต่ที่สุดจะอย่างไร??...ยังต้องรอดู...“

สายชล
21-07-2015, 19:31
คม ชัด ลึก
2-7-15


ใช้ยาแรงปลด‘ใบเหลือง’ไอยูยู ยึดโมเดล‘ฟิลิปปินส์’แก้ประมง ........................ ทีมข่าวความมั่นคง

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/02/5ejhje85ca8faa975h695.jpg

แม้เจ้าของเรือประมงจะประกาศหยุดเดินเรือเพื่อขอให้รัฐบาลยืดเวลาผ่อนผันการจับกุมเรือประมงที่ผิดกฎหมายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 ตามเกณฑ์ของการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและขาดการควบคุม (ไอยูยู) แต่รัฐบาลโดยศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ก็ยืนยันว่าจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศปมผ. ยืนยันว่า เรื่องนี้ ศปมผ.ได้มีการผ่อนปรน และอะลุ้มอล่วยมานานกว่า 2 เดือนแล้ว เพื่อให้มีการแก้ไขสิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากเทียบกับประเทศฟิลิปปินส์ที่เคยโดนใบเหลืองเหมือนกันถือว่าเราผ่อนปรนมาก เพราะกรณีฟิลิปปินส์มีการสั่งห้ามทำประมงนานถึง 3 เดือนจนกระทั่งหลุดพ้นจากใบเหลืองมาได้ในที่สุด

"รัฐบาลได้ให้นโยบายเรื่องนี้ชัดเจน และเราจำเป็นต้องทำตามนโยบายของรัฐบาล ที่ผ่านมามีเรือที่จดทะเบียนกับกรมประมง 28,000 กว่าลำ จดกับกรมเจ้าท่า 42,000 กว่าลำ ซึ่งจะเห็นว่ายอดแตกต่างกันมาก เรากำลังสำรวจว่ายอดที่ต่างกันหายไปไหนบ้าง โดยฐานข้อมูลเดิมปี 2539 มีเรือผิดกฎหมาย 3,000 กว่าลำ แต่ผ่านมา 20 ปีก็ยังไม่มีการตรวจสอบข้อมูลตรงนี้"

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศปมผ. ตั้งเป้าว่า จะมีการลดยอดการทำประมงให้น้อยลงไปอีกประมาณ 40% เพราะการทำประมงที่ผ่านมาทำให้สัตว์น้ำลดน้อยหรือสูญพันธุ์เป็นจำนวนมาก โดยสถิติการจับสัตว์น้ำในปี 2504 ชาวประมงสามารถจับสัตว์น้ำได้ในอัตราเฉลี่ยชั่วโมงละ 300 กิโลกรัม แต่ในปี 2558 สามารถจับได้เพียงชั่วโมงละ 24 กิโลกรัมเท่านั้น

เขายังแสดงความเป็นห่วงว่า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ปริมาณของสัตว์น้ำในทะเลไทยจะลดลงเรื่อยๆ และสถิติการจับสัตว์น้ำก็อาจจะกว่า 10 กิโลกรัมต่อชั่วโมง เพราะสัตว์น้ำโตไม่ทันโดยเฉพาะการใช้อวนลากอวนรุนที่กวาดเอาสัตว์น้ำขนาดเล็กไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้สัตว์น้ำลดปริมาณลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

แหล่งข่าวระดับสูงคนเดิมระบุว่า ขณะนี้ ศปมผ.ได้จัดทำแผนในการแก้ไขปัญหาทั้งระบบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้ชาวประมงอาจมองว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่ถ้าผ่านไปอีกสัก 5-10 ปีก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของปริมาณสัตว์น้ำที่จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

"ที่ผ่านมามีการทำผิดกฎหมายกันจนเคยชิน เปรียบไปก็เหมือนคนเผาป่าเพียงเพราะต้องการหาของป่าเท่านั้น ซึ่งเป็นการมองแต่ประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ไม่ได้มองถึงประโยชน์ของส่วนรวม หากเป็นโทษของไอยูยูจะมีโทษปรับถึง 1 ล้าน จำคุก 1 ปี แต่ถ้าเป็นกฎหมายของเราโทษจะเบาบางลง ส่วนใหญ่เป็นความผิดลหุโทษ เช่น ใบขับขี่เรือ การจดทะเบียนเรือ เป็นต้น"

แหล่งข่าวระดับสูงใน ศปมผ. ระบุว่า ในวันที่ 2 กรกฎาคม นี้ ศปมผ.จะมีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา และยืนยันว่า จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจัง เพราะหากไม่ทำก็จะไม่พ้นจากใบเหลืองของไอยูยู และจะแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้เลย

นอกจากนี้ ทาง ศปมผ.ยังสั่งการให้กองทัพเรือ (ทร.) ทำการสแกนพื้นที่ "อ่าวไทย" เพื่อสำรวจดูว่า มีเรือประมงที่ปฏิบัติตามกฎหมายได้แล้วจำนวนเท่าใด โดยที่ผ่านมาได้ใช้เวลาสำรวจไปแล้วประมาณ 2-3 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ในฝั่งอ่าวไทยไม่ค่อยมีสัตว์น้ำแล้ว โดยปัจจุบันฝั่งทะเลอันดามันจะมีสัตว์น้ำมากกว่า ซึ่งจะมีการเข้าไปสำรวจข้อมูลในส่วนนี้ด้วย

จับปฏิกิริยาล่าสุดของระดับบนสุดตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ไล่มาจนถึงหน่วยปฏิบัติอย่างศปมผ. กองทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนยืนยันในท่าทีที่จะใช้ "ยาแรง" แบบเจ็บ-แต่จบด้วยกันทั้งสิ้น เพราะหากมีการผ่อนปรนดังเช่นที่ผ่านมาคงไม่สามารถหนีพ้น "ใบเหลือง" หรืออาจถึงขั้น "ใบแดง" จากไอยูยูได้

สายชล
21-07-2015, 19:34
โพสต์ทูเดย์
2-7-15

ชี้ชะตาอนาคตทะเลไทย วัดใจล้างบาง "อวนลาก"

http://www.posttoday.com/media/content/2015/07/01/0976FD65CBAA4A37B8EC1A8009217172.jpg

เสมือนหนึ่งว่าจับตัวเองและผู้บริโภคเป็นตัวประกัน เมื่อกลุ่ม “ประมงอวนลาก” แสดงท่าทีแข็งกร้าวประกาศหยุดเดินเรือ พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.เป็นต้นไป หากรัฐบาลไม่ยอมยืดเวลา “จับ-ปรับ” เรือประมงผิดกฎหมายออกไปในเดือน ก.ย.

มุมหนึ่งการกดดันค่อนข้างได้ผล สะท้อนจากราคาอาหารทะเลในตลาดขายส่งขนาดใหญ่ที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น

อีกมุมหนึ่งกลับเกิดข้อเคลือบแคลง... เราควรสนับสนุนให้รัฐบาลผ่อนปรนตามข้อเรียกร้องเช่นนั้นจริงหรือ?

ข้อเท็จจริงที่ไม่อาจบิดเบือนได้คือ แม้เรือประมงอวนลากจะมีทั้งถูกและผิดกฎหมาย หากแต่เครื่องมือที่ใช้ซึ่งก็คือ “อวนลาก” นั้น เป็นเครื่องมือทำลายล้างทรัพยากรทางทะเลไทยอย่างแท้จริง

ปี 2523 หรือประมาณ 35 ปีที่แล้ว ประเทศไทยแสดงความกังวลต่อเครื่องมือประหัตประหารชนิดนี้ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัดสินใจออกประกาศเพื่อกำราบการเพิ่มขึ้นของเรือประมงอวนลาก ด้วยการ “หยุดจดทะเบียน” และ “หยุดต่ออายุ” อาชญาบัตร

นั่นหมายความว่า เรือประมงอวนลากถูกคุมกำเนิดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่สำแดงในปี 2558 กลับพบเรือประมงอวนลากจำนวนมากดำเนินกิจการอยู่ และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

นั่นเพราะตั้งแต่ปี 2523 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลเปิด “นิรโทษกรรม” ให้กับเรืออวนลากผิดกฎหมายมาแล้วถึง 5 ครั้ง

กล่าวคือในปี 2523 2524 2525 2532 และ 2539 รัฐบาลเปิดให้เรืออวนลากขึ้นทะเบียน ซึ่งจะได้รับการผ่อนผันให้ประกอบกิจการต่อไปได้ และในปี 2558 ก็มีความพยายามจะเปิดนิรโทษกรรมครั้งที่ 6 เพื่อแก้ปัญหา “ใบเหลือง” ไอยูยู หรือการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่มีการบันทึกรายงาน และไม่มีการควบคุม

เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนการเปิด “นิรโทษกรรม” อย่างเป็นทางการในแต่ละครั้ง จะเกิดการรวมกลุ่มของประมงอวนลากเพื่อกดดันรัฐบาลด้วยการขู่หยุดเดินเรือในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว

มูลค่าทางเศรษฐกิจถึงเดือนละ 1.5 หมื่นล้านบาท คือตัวเลขความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย หากเรืออวนลาก 22 จังหวัดทั่วประเทศพร้อมใจกันหยุดเดินเรือ

นั่นเป็นน้ำหนักที่กดดันให้รัฐบาลต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

งานวิจัยของ สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิชาการด้านประมง ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2555 ระบุว่า มีเพียง 33.3% ของผลผลิตที่ได้จากเรืออวนลากทั้งหมด เป็นสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ส่วนอีกประมาณ 66.7% เป็นปลาเป็ด-ปลาตัวเล็กตัวน้อย

นอกจากนี้ รายงานของกรมประมงซึ่งเก็บข้อมูลผลผลิตจากการลงแรงทำประมง 1 ชั่วโมง พบว่าลดลงเรื่อยๆ จากปี 2504 ระยะเวลา 1 ชั่วโมง สามารถจับปลาได้ 298 กิโลกรัม และลดลงเรื่อยๆ กระทั่งปี 2549 เหลือเพียงชั่วโมงละ 14 กิโลกรัมเท่านั้น

ทั้งสองผลการศึกษา ฉายภาพสถานการณ์วิกฤตทะเลไทย และการจับปลาอย่างไร้ความรับผิดชอบ (Over fishing)

“70% ของสัตว์น้ำที่เรือประมงอวนลากจับได้เป็นปลาเป็ด ส่วนอีก 30% เป็นอาหารคน จากตัวเลขนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเรืออวนลากไม่ได้สร้างความมั่นคงทางอาหารอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ดังนั้นการประกาศหยุดออกเรือจะส่งผลกระทบแค่เฉพาะในธุรกิจสายนี้ไม่ได้ทำให้เกิดผลกับผู้บริโภคอย่างแน่นอน” สุภาภรณ์ ระบุ

ประเทศไทยใช้เวลามากถึง 35 ปี (ตั้งแต่ปี 2523) แต่กลับล้มเหลวในการแก้ปัญหา ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมงเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์ว่า ประเทศไทยมีเรือประมงอวนลาก 4,180 ลำ (รวมกับที่ผิดกฎหมายคาดการณ์ว่ามีไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นลำ)

ตรงข้ามกับสถานการณ์ประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง “อินโดนีเซีย” ที่ได้ผ่านกฎหมายห้ามใช้อวนลาก และกล้าใช้ยาแรงถึงขั้น “ระเบิดเรือ” ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามมาแล้ว ส่วน “มาเลเซีย” ก็กำหนดมาตรการห้ามใช้เครื่องมือทำลายล้างในปี 2559 อย่างเด็ดขาด

การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในวันนี้ จึงนับเป็นวันชี้ชะตาอนาคตทะเลไทยอย่างแท้จริง

สายชล
21-07-2015, 19:37
คม ชัด ลึก
3-7-15


นายกฯประมงนอกน่านน้ำ แจงปมปัญหาไอยูยู-เรือล้นระบบ

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/02/8b557kfbckba77ga6dggc.jpg

กรณีเรือประมงเข้าจอดฝั่ง ไม่ออกทำประมง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ หลังจากครบกำหนดที่รัฐบาลขีดเส้นต้องแก้ไขให้ถูกต้องตามไอยูยู หรือ "การทำประมงผิดกฎหมายขาดการรายงานและการควบคุม" ที่สหภาพยุโรป หรืออียู แจกใบเหลืองต่อประเทศไทย ซึ่งมีเรือประมงเข้าจอดฝั่งประมาณ 3,000 ลำ ทั้งที่รัฐบาลให้เวลา 3 เดือนก่อนถึงกำหนดใช้มาตรการเข้มงวดจับกุม 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จึงมีคำถามว่าชาวประมงมีข้อจำกัดหรือมีอุปสรรคด้านใดถึงไม่สามารถทำตามกฎระเบียบได้ และการจอดเรือครั้งใหญ่ครั้งนี้จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมและผู้บริโภคอย่างไร
"อภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์" นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย ในฐานะฝ่ายผู้ประกอบการ ได้คลี่ข้อสงสัยตลอดจนชี้แจงถึงปัญหาของชาวประมง ในรายการ "ชั่วโมงที่ 26" ทางช่องนาว 26 คืนวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม ดำเนินรายการโดย อติชาต วงศ์วุฒิวัฒน์ อย่างละเอียดและให้ข้อคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหาไว้ด้วย

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีระบุต้องทำตามระเบียบตามที่อียูให้ดำเนินการในกรอบไอยูยู ไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียต่อภาพรวมอุตสาหกรรมประมงของประเทศที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท แต่จริงๆ แล้วชาวประมงสนับสนุนนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ข่าวที่ออกมาว่าชาวประมงออกมาประท้วง ต้องไปดูว่าใครเป็นคนให้ข้อมูล จริงแล้วไม่มีชาวประทงมาประท้วง ที่ออกมาว่าเป็นพันลำนั้นออกมาสนับสนุนรัฐบาลที่จะแก้ปัญหาเรื่องไอยูยู ที่ต้องทำให้ถูกต้อง

"แต่ที่ต้องวิ่งเข้าฝั่ง เพราะยังทำไม่ถูกต้อง ซึ่งภาพที่เรือจำนวนมากเข้าฝั่งกลายเป็นมาประท้วง แต่จริงๆ ไม่ใช่ ผิดเรื่องเอกสาร ผิดเรื่องต่างๆ จึงต้องวิ่งกลับเข้ามาเพื่อจัดการให้ถูกต้อง เพราะเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมเป็นเดดไลน์ เท่าที่ทราบมีประมาณ 3,000 กว่าลำกลับเข้ามา"

ส่วนคำถามที่ว่าช่วงที่รัฐบาลให้ระยะเวลาเพื่อจัดการทุกอย่างให้ถูกระเบียบทำไมไม่จัดการ อภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ทุกคนพยายามทำแต่รัฐบาลไม่ได้แก้ไขให้ ยกตัวอย่าง 3,000 ลำ แบ่งเป็นสองส่วน บางลำมีอาชญาบัตรแต่เครื่องมือไม่ตรง ตรงนี้ก็ผิดไอยูยู อีกส่วนไม่มีเลยก็ผิดเหมือนกัน ตัวเลข 3,000 ลำ ที่จอดฝั่ง ก่อนหน้านี้กรมประมงเคยออกไปสำรวจ และชาวประมงก็ให้ความร่วมมือและไปสารภาพบาปเลยว่ามีจำนวนเท่านี้

นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย ชี้แจงถึงขั้นตอนขออนุญาตทำประมงว่า อาชญาบัตร คือการที่จะไปทำมาหากินในทะเลได้นั้น ทรัพยากรทางทะเลถือเป็นทรัพยากรของชาติ เรือประมงไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ ไม่ใช่จับปลาได้เลย ต่อเรือเสร็จต้องไปที่กรมประมงเพื่อขออาชญาบัตรทำการประมงและเครื่องมือประมงที่มีหลากหลาย โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดเรามีประมงอวนลาก ตรงนี้ต้องไปจ่ายค่าธรรมเนียมถึงจะไปทำประมงได้

ดังนั้น ส่วนประกอบหลักของเรือ คือ มีใบอนุญาตใช้เรือ ทะเบียนเรือ และอาชญาบัตรทำประมงและเครื่องมือประมง นี่คือ 3 ตัวหลักที่ต้องมี รวมทั้งผู้ควบคุมเรือ หรือ "ไต้ก๋ง" ก็ต้องไปกรมเจ้าท่าเพื่อขอใบอนุญาตเช่นกัน

"ปัญหานี้เราเคยแจ้งรัฐบาลไปแล้ว แต่รัฐบาลบอกว่าเรือ 3,000 ลำ ทำให้ไม่ได้ ภาครัฐไม่ได้ช่วยชาวประมง ทางภาครัฐก็มีเหตุผล เช่นใบอาชญาบัตรที่เป็นการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยผลสำรวจของกรมประมงพบว่าเราทำประมงแบบโอเวอร์ฟิชชิ่ง คือจับสัตว์น้ำทะเลมากกว่าที่ควรจะทำ พอโอเวอร์แล้วก็เลยจะมาออกให้เรือ 3,000 ลำ ไม่ได้ จากนั้นก็มีการนั่งคุยกัน ทางชาวประมงก็ถามภาครัฐว่าเรือประมงในประเทศมีกี่ลำ ตรงนี้ก็เป็นคำถามมาสิบปีแล้ว ไม่มีใครตอบได้ พอมีศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) แต่ปรากฏว่ากรมประมงก็มีตัวเลขหนึ่ง กรมเจ้าท่าก็มีอีกตัวเลขหนึ่ง ต่างกันเป็นหมื่นลำ" อภิสิทธิ์ กล่าวถึงปมปัญหา และว่า เคยถามภาครัฐว่าจะทำไงกับ 3,000 กว่าลำนี้ แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ แต่เห็นว่ารัฐบาลจะเยียวยา แต่ถามว่าทำไมไม่คิดก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังดีวันนี้คิดได้ก็อาจจะมีทางออก

อภิสิทธิ์ เห็นว่า ช่วงเวลาในการทำให้ถูกต้องตามระเบียบ ให้เร็วที่สุดต้องประมาณ 2 อาทิตย์ถึงหนึ่งเดือน แต่เรือประมงก็อาจออกไม่ได้อยู่ดี เพราะศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิสของแรงงานก็ปิดไปเมื่อสิ้นเดือนที่แล้ว เพราะแม้เรือประมงจะมีอาชญาบัตร ใบอนุญาต เครื่องวิทยุและอุปกรณ์วีพีเอส ไต้ก๋ง ถูกต้องแต่ไม่มีลูกเรือ ถามว่าจะออกเรือได้อย่างไร

"คือลูกเรือไม่ได้อยู่กับเราเหมือนโรงงานหรืออาชีพอื่น ลูกเรือประมงพอลงเรือบางทีก็เบื่อไปทำโรงงาน เรือลำหนึ่งใช้ลูกเรือประมาณ 30-40 คน และเราต้องจ่ายล่วงหน้าให้ก่อนคนละหมื่นก็เป็นต้นทุนไปแล้ว 3-4 แสนบาท และศูนย์วันสต๊อปเซอร์วิสปิดอีก 3 เดือน จะไปเอาแรงงานประมงที่ไหน ขอยกตัวอย่าง เรือลำนึงมีลูกเรือ 30 คน พอนัดแรงงานที่ถูกกฎหมายออกเรือ แต่ปรากฏมาไม่ครบ ก็ต้องไปหาแรงงานอื่นที่ไหนก็ได้ ที่อาจยังไม่มีใบอนุญาตทำงานถูกกฎหมายเอามาทำงานก่อน ตรงนี้ก็ผิดแล้ว ซึ่งแรงงานก็อยู่ใน ศปมผ.ด้วย และเราเคยบอกถึงปัญหาให้ทราบก่อนหน้านี้แล้ว แต่เขาเอาอย่างนี้เปิด 3 เดือน ปิด 3 เดือน ทั้งที่ควรจะเปิดตลอดปี"

อภิสิทธิ์ ขมวดปมปัญหาว่า มีสองเรื่องหลัก คือแรงงานประมงและการออกใบอนุญาตทำประมง โดยเฉพาะเรื่องการจัดทรัพยากรทางทะเลไม่ให้โอเวอร์ฟิชชิ่ง ที่มีปัญหาเรื่องข้อมูลของภาคราชการกับภาคเอกชนที่ไม่รับตรงนี้ การจัดการบริหารทางทะเลทางกรมประมงมีนักวิชาการไปทำสำรวจข้อมูลมีทรัพยากรเท่าไหร่ แต่พอตัวเลขวิชาการที่เรืออวนลากจับปลาได้กำหนดชั่วโมงละ 24 กิโลกรัม พอมีตัวเลขนี้ก็มีปัญหากับเรือประมง

"คุณไม่ต้องมาบังคับหรอก จอดเรือโดยอัตโนมัติ เพราะตัวเลขนี้เห็นๆ ว่าขาดทุนแน่นอน แรงงาน 30 คน ค่าจ้างวันละเท่าไหร่ ค่าน้ำมันอีก จับปลาแค่นี้ไม่คุ้มทุนแน่"

ส่วนการยึดตัวเลขภาครัฐดังกล่าวกับจำนวนเรือประมงที่เหมาะสม อภิสิทธิ์ ระบุว่า นอกเหนือจากเรือที่มีอาชญาบัตรถูกต้องแล้ว ในส่วนที่จอดอีก 3,000 ลำ คงต้องออกจากระบบ ทางเราก็มีคุยกันมีแนวคิดเปลี่ยนเครื่องมือประมงดีไหม ซึ่งมีเครื่องมือประมงที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น เรือเบ็ด แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา เหมือนเปลี่ยนขับรถไปขับเครื่องบินคนละเรื่องกันเลย อีกหลายคนคิดว่าจับปลาง่ายมากแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เครื่องมือชนิดหนึ่งความชำนาญก็แตกต่างกันแล้ว ต้องใช้ทักษะกว่า 20 ปี

"ก็มีแนวคิดว่าให้ภาครัฐซื้อเรือประมงไป อียูก็แก้ปัญหาแบบนี้ ก่อนที่อียูจะแจกใบเหลือง ทางอียูก็มีปัญหาแบบเดียวกับเรา เมื่อเราลอกแบบมาแต่ลอกไม่หมด รู้หรือไม่อียูต้องใช้งบเท่าไหร่ซื้อเรือออกจากระบบ แล้วให้คนส่วนนั้นไปทำอาชีพอื่น ไปถามอียูเลย ชาวประมงของเราบางส่วนก็ยินดีเพราะอย่างน้อยมีเงินไปทำอาชีพอื่น ส่วนอีกแนวทางหาประเทศอื่นที่ไม่ทำประมง มีทรัพยากรทางทะเลสมบูรณ์ ทำพันธมิตรกัน จับมือกันแบ่งผลประโยชน์"

นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย เสนอว่า กฎระเบียบบางตัวไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เป็นการจัดการในประเทศของเรา ไม่ต้องไปล้อวิธีการของประเทศอื่น ประเทศไทยทำเองได้โดยบนวิถีทางจัดการทรัพยากรทางทะเลแบบยั่งยืน แล้วก็ไม่ผิดสัตยาบันที่เราให้ไว้ในอนุสัญญา 1982 ซึ่งการจะให้ทุกอย่างถูกต้องทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องง่าย บางประเทศใช้เวลา 2-5 ปี ที่บอกจะทำภายใน 3 เดือน 6 เดือน มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

"ยกตัวอย่าง เรือมีทุกอย่างครบแล้ว ต้องมีล็อกบุ๊ก ที่ไต้ก๋งต้องลงบันทึก บางทีอียูอาจจะบอกว่าเชื่อถือไม่ได้ ถามว่าจะต้องทำอย่างไรให้เชื่อถือได้ วันนี้อียูใช้ระบบอีล็อกบุ๊ก จับปลาวันนี้ลงบันทึกส่งข้อมูลเข้าศูนย์กลางเลย ผมอยากเสนอรัฐบาลให้ใช้ระบบซีแอลเอสที่บริษัทนี้ไปวางระบบให้อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลี ประเทศพวกนี้หลุดใบเหลืองหมดเลย แก้ง่ายและเร็วที่สุด"

ทิ้งท้ายกับผลกระทบจากเรือประมงกว่า 3,000 ลำ หยุดออกทะเลครั้งนี้ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย ระบุว่า อาหารทะเลขึ้นแน่นอน แต่คงขึ้นไม่มากมาย แต่ไม่มีจะขาย ซึ่งการหยุดครั้งนี้เรื่องบริโภคส่วนหนึ่ง แต่หนักที่สุดคืออุตสาหกรรมทางทะเล ถามว่าไม่มีวัตถุดิบจะเอาสินค้าที่ไหนไปส่งออก โจทย์เราคือส่งออก 3.5 หมื่นล้านบาท จะเอามาจากไหน

สายชล
21-07-2015, 19:39
แนวหน้า
3-7-15


แนะ'เรือประมง'อย่ากลัวกม.ใหม่ พบไร้ทะเบียนกว่า 1.6 หมื่นลำ

http://static.naewna.com/uploads/news/source/166565.jpg

2 ก.ค.58 นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีปัญหาเรือประมงหยุดออกหาปลา เพราะเกรงว่าจะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม จากการบังคับใช้กฎหมายประมงฉบับใหม่ที่เข้มงวด ว่า พี่น้องชาวประมงไม่ต้องกังวล เรือลำใดที่มีการขออนุญาตถูกต้อง 3 ด้าน คือ 1.ตัวเรือมีทะเบียนเรือ จากกรมเจ้าท่า 2.มีใบอนุญาตการทำงานของไต้ก๋ง นายท้ายเรือ และช่างเครื่อง จากกรมเจ้าท่า และ 3.มีใบอนุญาตทำการประมง หรืออาชญาบัตร ซึ่งไปติดต่อขออนุญาตได้ที่สำนักงานอำเภอ ก็สามารถออกเรือได้ไม่มีปัญหา ถ้ามีใบอนุญาตไม่ครบขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถไปติดต่อขอได้ที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วของกรมประมง และกรมเจ้าท่า 8 จุดทั่วประเทศ สามารถออกใบอนุญาตได้เสร็จภายในวันเดียว

สำหรับจำนวนเรือประมงทั่วประเทศ ที่มีทะเบียนเรือถูกต้อง ข้อมูลเดิมกรมเจ้าท่า รายงานว่ามีทั้งสิ้น 42,000 ลำ แต่เมื่อมีการลงพื้นที่สำรวจจริงพบว่า มีเรือที่มีทะเบียนประมาณ 28,000 ลำเท่านั้น และยังพบเรือที่ไม่มีทะเบียนถึง 16,900 ลำ โดยเรือที่ไม่มีทะเบียนส่วนใหญ่พบว่าเป็นเรือประมงพื้นบ้านขนาดเล็ก ขนาดไม่เกิน 5 ตันกรอส หรือความยาว 11 - 12 เมตร กลุ่มนี้ขอให้ชาวบ้านมาขอใบอนุญาตให้ถูกต้อง ราชการปลดล็อคให้แล้ว สามารถขอใบอนุญาตได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้

นายชวลิต กล่าวต่อว่า สำหรับเรือประมงพาณิชย์ ที่ขึ้นทะเบียนเรือแล้วมีทั้งสิ้นประมาณ 20,000 ลำ ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหามีประมาณ 4,000 ลำ เพราะเป็นกลุ่มที่มีทะเบียนเรือ แต่ไม่มีอาชญาบัตร เพราะใช้เครื่องมือจับปลาที่กฎหมายห้าม 4 ประเภท ได้แก่ อวนรุน อวนลาก อวนล้อมปลากะตัก และอวนช้อนครอบปลากะตัก ซึ่งเรือกลุ่มนี้เป็นเงื่อนไขที่สหภาพยุโรป (อียู) อาจออกใบเหลืองรอบ 2 หรือออกใบแดงให้แก่สินค้าประมงไทยได้ ที่ผ่านมารัฐได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมายให้แล้ว ตอนนี้ผ่อนผันอีกไม่ได้ จึงกลายเป็นเรือกลุ่มที่มีความกังวลกฎหมายใหม่แล้วไม่ออกเรือ แต่ประเมินว่าเรือจำนวนนี้กระทบต่อผลผลิตอาหารทะเลไทยไม่มาก

"ตอนนี้ได้สั่งการให้กรมประมงเร่งไปประเมินให้ชัดเจนโดยเร็วว่า เรือประมงที่หยุดออกหาปลาในช่วงนี้จะมีผลกระทบต่อปริมาณการจับสัตว์น้ำของไทย ซึ่งปกติมีประมาณ 1.5 ล้านตันต่อปี เป็นจำนวนเท่าไร อียูให้เวลาไทยปรับปรุงตัวในเดือน ก.ย.นี้ ประเด็นหลักที่อียูให้ความสำคัญ คือ การแก้ปัญหาการจับปลามากเกินที่ทรัพยากรสัตว์น้ำจะรองรับได้ หรือโอเวอร์ฟิชชิง ซึ่งกรมประมงได้ควบคุม โดยจำกัดเครื่องมือประมง 4 ชนิด ที่ทำลายทรัพยากรหน้าดินรุนแรง ที่ผ่านมาได้หยุดออกอาชญาบัตรให้ตั้งแต่ปี 2523 และจากนี้จะไม่ออกใหม่ให้อีก" นายชวลิต กล่าว

สายชล
21-07-2015, 19:46
แนวหน้า
4-07-15


ทช.เร่งผลักดัน‘วาฬบรูด้า’เป็นสัตว์สงวน หวั่นยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเลใกล้สูญพันธุ์!

http://static.naewna.com/uploads/userfiles/images/6%20ok_opt(24).jpeg

ปัจจุบันสัตว์ทะเลได้รับการคุกคามจากภัยต่างๆ เป็นอย่างมาก ทั้งภัยจากมลภาวะทางน้ำ ขยะที่เกิดจากการท่องเที่ยวการบุกรุกทำลายถิ่นฐาน รวมถึงปัญหาจากการประมงที่อาจทำให้เกิดการเกยตื้นหรือถูกลากติดอวนจนเสียชีวิต สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายทางชีวภาพรวมถึงการสูญพันธุ์ของสัตว์ทะเลหายากอย่างเป็นวงกว้าง



กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสัตว์ทะเลหายากและเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ จึงได้มีการประกาศเจตนารมณ์ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กำหนดเขตคุ้มครองเน้นความปลอดภัยของสัตว์รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน เตรียมเสนอ “วาฬบรูด้า” เป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 16 ในรายชื่อสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เพื่อพิจารณา พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558 ที่บ้านท้ายหาดรีสอร์ทและบริเวณอ่าวไทยรูปตัว ก จ.สมุทรสงคราม

นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้พบเห็นสัตว์ทะเลหายากจำพวก เต่าทะเล พะยูน วาฬ และโลมาเกยตื้นตายตามชายหาด หรือติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญเพิ่มมากขึ้นจึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งหาวิธีแก้ไข ทางทช. ยังไม่มีกฎหมายบังคับใช้เป็นของตัวเอง โดยที่ผ่านมาได้มีการใช้กฎหมายพระราชบัญญัติของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชรวมทั้งได้รับอำนาจบางมาตราจากกรมประมง จนกระทั่งรัฐบาลปัจจุบันได้ยกกฎหมายพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2558 จากสาเหตุหลายๆอย่างเราจึงได้พิจารณาว่าในมาตรา 3 ของกฎหมายนั้นต้องดูแลเรื่องของสัตว์ทะเลหายาก ซึ่งการดูแลก่อนหน้านี้เป็นเพียงเชิงอนุรักษ์ทั่วไป แต่กฎหมายที่แท้จริงของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งยังไม่ได้มีการร่างอย่างเป็นทางการเมื่อมีกฎหมายบังคับใช้ทางกรมจึงมีหน้าที่ในการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งรวมถึงสัตว์ทะเลที่หายาก

http://static.naewna.com/uploads/news/headline/166756.jpg

ในส่วนของการดูแลสัตว์ทะเลหายากแบ่งเป็น 2 แนวทาง

แนวทางที่ 1 คือการประกาศเขตคุ้มครอง โดยกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประกาศเขตคุ้มครองเพื่อที่จะดูแลระบบนิเวศทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นปะการัง หญ้าทะเล รวมถึงระบบนิเวศของสัตว์ทะเลหายาก ได้แก่ พะยูน โลมา เต่า วาฬ

แนวทางที่ 2 คือการกำหนดให้สัตว์ทะเลเหล่านี้เป็นสัตว์สงวนคุ้มครอง ไม่ว่าจะออกไปนอกเขตพื้นที่การคุ้มครองก็ยังคงเป็นสัตว์สงวน เราจึงมีการพิจารณาการใช้พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าปี 2535 ทั้งยังพบว่าสัตว์เกือบ 20 ชนิด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของการสูญพันธุ์ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ วาฬ โดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งปีมีอัตราการเสียชีวิตรวมกว่า 800 ตัว และมีการเกิดเพียง 2-4% ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตสูงถึง 5% หากเรายังเพิกเฉยปล่อยให้วาฬที่มีอยู่ดำเนินชีวิตไปโดยไม่มีการควบคุมอาจก่อให้เกิดการสูญพันธุ์หลงเหลือไว้เพียงแค่รูปถ่าย ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันมาช่วยกันรณรงค์ปลูกจิตสำนึกประชาชนเพราะการตายของสัตว์ทะเลเกิดจาก “ขยะ”แน่นอนว่าขยะที่พบมากที่สุดเกิดจากการท่องเที่ยวและจากการประมง “ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับระบบนิเวศทางทะเลอย่างเป็นเรื่องเป็นราว” โดยเฉพาะในปีนี้เป็นปีที่ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้มีกฎหมายบังคับใช้เป็นของตนเอง เราจะดำเนินการและอนุรักษ์ไว้ซึ่งสัตว์ทะเลหายากอย่างเต็มที่

ขณะที่ ดร.ปิ่นสักก์ สรัสวดี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน มีเป้าหมายอยู่ใน 3 ประเด็นหลัก คือ

ประเด็นที่ 1 เป็นเรื่องของการให้ได้มาซึ่งข้อมูลสถานภาพและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของประชากรสัตว์ทะเลหายากโดยกลุ่มงานวิจัยจะช่วยทำให้เข้าใจว่าตอนนี้มีสัตว์กี่ชนิดอยู่ในท้องทะเลไทย กี่ชนิดที่เป็นสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์อีกทั้งยังมีการศึกษาพฤติกรรมและสภาพทางชีววิทยาว่าเป็นอย่างไรเมื่อเข้าใจแล้วจึงมีมาตรการหรือแนวทางในการจัดการที่เหมาะสม

ประเด็นที่ 2 เป็นกลุ่มงานที่ช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากและเกยตื้นจากสถิติพบว่าสัตว์ทะเลหายากเหล่านี้มีการเกยตื้นเป็นจำนวนมาก เราทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาและงานนี้จะไม่สามารถก่อให้เกิดความสำเร็จได้หากทุกคนไม่ร่วมมือกันประเด็นที่ 3 เป็นเรื่องของการช่วยชีวิตว่าควรมีการช่วยเหลืออย่างไร ใช้วิธีการรักษาเบื้องต้นที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพที่ดีอย่างไรก็ตามประชากรของสัตว์ทะเลหายากลดลงจนไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ธรรมชาติได้ เราทุกคนจึงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องร่วมมือกันในระดับภูมิภาค

“ผมเชื่อว่าชาวบ้านให้ความสำคัญกับทรัพยากรไม่น้อยไปกว่าภาครัฐ” ดร.ปิ่นสักก์ กล่าวทิ้งท้าย

นอกจากนี้ทาง ทช. ยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น เพราะกลุ่มบุคคลที่มีโอกาสพบเหตุการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประมงพื้นบ้านหากมีความความรู้ความเข้าใจในการช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากเบื้องต้นก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในรอดชีวิตของสัตว์เหล่านี้ได้มากขึ้นและ “วาฬ” ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลหายากที่จะต้องช่วยกันดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเราทุกคนยังจะต้องช่วยกันผลักดัน พ.ร.บ. การอนุรักษ์ให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากทางรัฐมีการประกาศให้วาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวนก็จะช่วยลดอัตราการสูญพันธุ์ ไม่เพียงแต่วาฬบรูด้าเท่านั้นเพราะสัตว์ทะเลทุกชนิดไม่ใช่ทรัพยากรหมุนเวียนหากแต่เป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป

สายชล
21-07-2015, 19:50
ผู้จัดการออนไลน์
6-07-15


ปลาในทะเลไทยมีเยอะแยะ แต่เรือประมงเถื่อนมีมากกว่า ....................... โดย ณขจร จันทวงศ์

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007858701.JPEG
(ภาพประกอบ : ประสาท นิรันดรประเสริฐ www.facebook.com/prasart.nirundornprasert)

ข่าวเกี่ยวกับการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย แน่นอนสื่อมวลชนจะต้องจะพยายามรายงานให้ครบทุกประเด็นทุกมิติ นำเสนอความคิดเห็นจากคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อไล่ดูความเกี่ยวข้องก็พบว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับคนทั้งประเทศ รวมถึงคนต่างประเทศที่มารับจ้างใช้แรงงานและยังขยายไปถึงผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศอีกด้วย

หลังจากเรือเถื่อนหลายพันลำหยุดออกทะเลมาได้เกือบ 1 อาทิตย์ ทำให้ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเรือประมงถูกกฎหมาย ทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ เอาจำนวนจากทุกจังหวัดมารวมกัน

ไม่รู้จะสู้จำนวนเรือผิดกฎหมายได้หรือเปล่า?

หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องคงรายงานเรื่องนี้ให้สาธารณชนทราบได้อย่างไม่ลำบากว่าตอนนี้มีเรือผิดกฎหมายจอดอยู่ท่าเรือแต่ละแห่งกี่ลำ และที่ยังจับปลากันอยู่มีลำไหนอีกบ้างที่ไม่ทำผิดกฎหมาย

เมื่อเรือผิดกฎหมายหลายพันลำพากันมาแสดงตัว รายงานเบื้องต้นบอกว่ามีราว 3 พันลำ บ้างก็ว่ามากกว่านั้น เหตุผลที่หยุดบ้างก็ว่าเพื่อประท้วงรัฐบาล บ้างก็บอกว่าหยุดเพราะกลัวถูกจับ

แต่สุจริตชนมองว่าดีแล้ว เพราะนั่นคือการเคารพกฎหมาย

ส่วนเรือที่ไม่ได้ทำอะไรผิด วันไหนสภาพคลื่นลมเป็นใจก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว ระยะ 3-4 วันมานี้มีรายงานไม่เป็นทางการจากชาวประมงทั้งเรือพาณิชย์และประมงพื้นบ้านว่าหลังจากเรืออวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟ ผิดกฎหมายหยุดออกทะเล พวกเขาจับปลาได้มากขึ้น

ข่าวอย่างเป็นทางการจากสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่าที่ จ.กระบี่ มีเรือประมงออกจับปลาคืนเดียวได้ปลากลับมามูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

มากเป็นประวัติการณ์!!!

จากเดิมได้แค่หลักหมื่นหลักแสนต่อคืนเท่านั้น เรื่องนี้ยังต้องติดตามกันต่อไปว่าเรือลำเดียวจับปลาคืนเดียวมีใครได้มากกว่านี้ ชาวประมงเชื่อว่าจับปลาได้มากเพราะไม่มีเรืออวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟผิดกฎหมายมาลากอวนในทะเล

แสดงว่าที่ผ่านมาปลาในทะเลไทยมีเยอะแยะ แต่ก็ยังน้อยกว่าเรือประมงผิดกฎหมาย ใช่หรือเปล่า (ฮา)

สายชล
21-07-2015, 20:00
ผู้จัดการออนไลน์
6-07-15

ทะเลไทยในกำมือ “พล.อ.ประยุทธ์” เมื่อชาวบ้านหนุนล้างบางเรือผิดกฎหมาย เลิกเครื่องมือทำลายล้าง

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007821101.JPEG

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นที่บ้านแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายต่อเรือประมงเถื่อนของรัฐบาล พร้อมเปิดตลาดสินค้าสัตว์น้ำปลอดสารพิษราคาเป็นธรรม ยืนยันสินค้าสัตว์น้ำยังไม่ขาดแคลน แนะรัฐประกาศยกเลิกอวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟ ทะเลไทยจะอุดมสมบูรณ์ถึงลูกหลาน ชี้อนาคตทะเลไทยอยู่ในกำมือ “พล.อ.ประยุทธ์”

หลังจากที่สหภาพยุโรป (EU) ให้ใบเหลืองแก่ประเทศไทยกรณีไม่สามารถควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมายได้ ทำให้รัฐบาลต้องยื่นคำขาดออกมาตรการเข้มบังคับให้เรือประมงทุกลำต้องดำเนินการแก้ไขให้เป็นไปตามระเบียบ หากไม่ปฏิบัติตามเจ้าของเรือจะถูกดำเนินคดีทันที ซึ่งมาตรการนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา

และไม่น่าเชื่อว่า ผลจากการประกาศบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดของรัฐบาล ส่งผลให้ประมงพาณิชย์ไม่ต่ำกว่า 3,000 ลำ ต้องนำเรือเข้าจอดเทียบท่าเพราะเรือกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเรือที่ทำประมงโดยผิดกฎหมาย มีจำนวนมากที่ใช้เครื่องมือประมงซึ่งไม่ตรงกับที่ระบุในอาชญาบัตร หรือใบอนุญาตการทำประมง และมีจำนวนมากที่เป็นเรือสวมทะเบียน

มาตรการเข้มงวดของรัฐบาลครั้งนี้ส่งผลให้ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ที่มีเรือประมงไม่ถูกกฎหมายได้รวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องกดดันรัฐบาลให้ผ่อนผันมาตรการทางกฎหมายออกไปอีก ขณะเดียวกัน พบว่าการพร้อมใจกันหยุดออกหาปลาของเรือประมงพาณิชย์ดังกล่าวได้ทำให้สินค้าสัตว์น้ำขาดตลาด และเริ่มมีราคาสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม เรือประมงพาณิชย์ที่ปฏิบัติตามระเบียบถูกต้องตามกฎหมาย และเรือประมงของเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านยังคงออกหาปลาตามปกติ แต่เนื่องจากท่าเรือหลายแห่งได้ปิดกิจการไม่มีกำหนดทำให้ระบบการซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำมีปัญหา โดยมีรายงานว่า มีความพยายามสร้างสถานการณ์ให้สังคมเข้าใจว่า การหยุดออกหาปลาของเรือผิดกฎหมายนั้นทำให้สินค้าอาหารทะเลขาดตลาด

สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ซึ่งติดตามสถานการณ์การแก้ปัญหาเรือประมงผิดกฎหมายมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ได้ออกมาเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ด้านหนึ่งสนับสนุนให้รัฐบาลจัดการขั้นเด็ดขาดต่อเรือประมงที่ผิดกฎหมายเพื่อปลดล็อกใบเหลืองจาก EU และฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรในท้องทะเลไทยให้เป็นแหล่งผลิตอาหารที่ยั่งยืนด้วยการเสนอให้รัฐบาลประกาศยกเลิก และสั่งห้ามการใช้เครื่องมืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ โดยเด็ดขาด

โดยนายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ระบุในคำแถลงการณ์ถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ประชาชน และสื่อมวลชน ว่า ชาวประมงพื้นบ้านจากทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อนจากการทำประมงผิดกฎหมาย เราติดตามการแก้ไขปัญหากรณีประเทศไทยโดนสหภาพยุโรปออกใบเตือนว่า อาจคว่ำบาตรสินค้าประมงไทย เพราะยังมีปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่มีการควบคุม และไม่มีรายงาน โดยพวกเราเองก็เป็นชาวประมงเล็กๆ ที่ถูกมาตรการของภาครัฐโดย ศป.มผ. ให้ดำเนินการจดแจ้งรายละเอียดต่างๆ เช่นกัน

“เราอยากบอกท่านทั้งหลายว่า ประมงทะเลไทยเป็นแหล่งทำการประมงที่สำคัญและเป็นแหล่งอาหาร สัตว์น้ำที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นแหล่งรายได้ที่ชาวบ้านท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ ใช้พึ่งพาอาศัยจับสัตว์น้ำเป็นอาหารคุณภาพปลอดภัยให้สังคมไทย จนมีเครื่องมือประมงอวนลาก อวนรุน เรือปั่นไฟจับสัตว์น้ำวัยอ่อนในเวลากลางคืน เกิดขึ้นในประเทศไทย และจำนวนมากมุ่งจับสัตว์น้ำเพื่อป้อนโรงงานอาหารสัตว์ ทำให้ทะเลไทยเกิดความเสื่อมโทรมลง เรือผิดกฎหมายได้ทำลายพันธุ์สัตว์น้ำขนาดเล็กมากเกินไป เป็นเครื่องมือที่ทำลายระบบนิเวศ และทำลายเครื่องมือชาวประมงอื่นเสมอๆ จนหลายประเทศเริ่มห้ามมิให้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำการประมง”

ที่สังคมไทยต้องทราบคือ การประมงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นการประมงแบบธุรกิจของนักลงทุน พวกเขาลงทุนใช้เครื่องมือชั้นเลว เพื่อหวังกอบโกยทำร้ายทรัพยากรทะเล และชาวประมงอื่นๆ มาโดยตลอด ดังนั้น ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีนโยบายในการควบคุมเครื่องมือประมงเหล่านี้ไม่ให้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็ใช้วิธีการลักลอบทำอย่างผิดกฎหมาย เมื่อถูกจับกุมมักวิ่งเต้นจ่ายค่าปรับ แล้วกลับมาทำผิดต่ออีก

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007821103.JPEG

เมื่อปี 2515 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศห้ามทำการประมงอวนลาก อวนรุนในเขต 3,000 เมตร จากชายฝั่งเพื่อป้องกันการขัดแย้งต่อชุมชน และทำลายทรัพยากรมากเกินไป อนุญาตให้ทำได้ในทะเลไทยนอกเขต 3,000 พันเมตรออกไป ซึ่งกินพื้นที่กว่า 300,000 เมตรหรือประมาณ 300 กิโลเมตร ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านเฝ้าระวังพื้นที่แค่ 3 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ปรากฏว่า กลุ่มทุนจำนวนมากยังคงบุกรุกเข้ามาจับปลาในเขตหวงห้าม 3,000 เมตร

“เรารับรู้ว่ากลุ่มนายทุนเหล่านี้กำลังให้ข่าวอ้างว่า ชาวประมงพื้นบ้านที่มีจำนวนมากน่าจะเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดการประมงเกินศักยภาพการผลิตของทะเล ซึ่งเป็นการบิดเบือนความจริงอย่างหน้าด้านๆ เป็นการตอกย้ำว่า กลุ่มนายทุนเหล่านี้ใช้วิธีสกปรกทุกทางเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความผิด และจะได้กระทำการเอารัดเอาเปรียบชาวประมงเล็กๆ ต่อไป ทั้งที่มีข้อมูลชัดเจนยืนยันได้ว่า ในการประมงทะเลไทยนั้น ชาวประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชน ท้องถิ่น มีจำนวนมากถึงประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ของชาวประมงทั้งหมด แต่จับปลาในทะเลรวมกันได้ 23 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ทั้งหมดใช้ป้อนตลาดเป็นอาหารของคน ในขณะที่อีก 77 เปอร์เซ็นต์ จับโดยนายทุนประมงพาณิชย์ที่ใช้เครื่องมือขนาดใหญ่ และจับจำนวนมาก ทำแบบผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิชุมชนท้องถิ่น โดยสัตว์น้ำที่จับได้เกือบทั้งหมดใช้ป้อนโรงงานปลาป่นผลิตอาหารสัตว์ สร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น”

ล่าสุด หลังรัฐบาลกำหนดจะใช้มาตรการตามกฎหมายเพื่อแก้ปัญหา IUU เมื่อจะถึงกำหนด บรรดาเรือประมงขนาดใหญ่ รวมทั้งเรืออวนลากจำนวนมากกลับเข้าฝั่ง และเสนอว่าหากรัฐไม่ผ่อนผันการบังคับใช้กฎหมาย จะทำให้พวกเขาไม่สามารถออกทำการประมงได้ และประเทศจะขาดสินค้าประมงตามข่าวในสื่อต่างๆ แต่สิ่งที่เรารับรู้ในหลายมาตรการมีการหมกเม็ด และให้การผ่อนผันทำประมงผิดประเภท แรงงานผิดกฎหมายต่อไป ยกเว้นกรณีให้ติดเครื่องมือติดตาม (VMS) เท่านั้นที่กำหนดให้ต้องติดตั้งภายในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลับปรากฏว่า บรรดาเรือประมงใหญ่เหล่านี้ยังเรียกร้องให้ผ่อนผันต่อไปเพื่ออะไร

เราขอเรียนว่า มีเครื่องมือประมงที่ดี ที่รับผิดชอบ ที่สามารถสร้างผลผลิตสัตว์น้ำให้ประเทศไทย ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าประเทศไทยจะขาดอาหารทะเลบริโภค เพียงต้องยกเลิกการทำประมงที่ทำลายมากเกินไปเท่านั้น

“ถึงแม้ว่าทะเลไทย และชาวประมงพื้นบ้านเจ็บช้ำจากการกระทำของกลุ่มนายทุนอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ มาเป็นเวลานาน ทั้งเครื่องมือประมงพื้นบ้านเสียหาย ถูกรุมทำร้ายเคยถูกชาวประมงอวนลากไล่ยิงกลางทะเล เคยถูกเรือประมงผิดกฎหมายแบบนี้ฆ่าตาย เพียงเพราะไปขอให้พวกเขาออกไปจากเขตอนุรักษ์ 3,000 เมตร เราก็ไม่เคยคิดอิจฉาว่านายทุนอวนลากร่ำรวยมากเกินไป เราไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเครื่องมือตัวเองแล้วหันไปทำผิดกฎหมายเหมือนกัน เพราะเรารู้ว่านั่นไม่ต่างจากฆ่าตัวเราเอง ฆ่าอนาคตของลูกหลานเราเอง เราไม่เคยคิดที่จะรุกไล่ไม่ให้พี่น้องชาวประมงที่ทำประมงขนาดใหญ่เลิกทำประมง แต่เราเรียกร้องให้พวกเขาเปลี่ยนเครื่องมือประมงมาทำด้วยเครื่องมือถูกกฎหมายอื่นๆ ที่คนทั่วไปเขาทำกัน และหยุดทำร้ายเราเสียที”

เรามีความเห็นว่า นายทุนประมงได้รับการเอื้อเฟื้อโอนอ่อนผ่อนผันมาเป็นเวลากว่า 30 ปี นาน เกินไปที่จะพูดว่าควรให้โอกาสอีก รัฐบาลต้องดำเนินการให้การทำประมงอวนลาก อวนรุน และการปั่นไฟ จับลูกปลาต้องหมดไปจากทะเลไทย เราขอเรียกร้องให้ชาวประมงทั้งหลายหันกลับมาทำประมงด้วยเครื่องมืออื่นที่รับผิดชอบต่อทรัพยากร รับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมอาชีพ

เราเชื่อมั่นว่าหากสามารถเลิกการประมงทำลายล้างเหล่านี้ได้ ประเทศไทยจะยิ่งมีอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น ผู้บริโภคจะได้กินในราคาที่ถูกลง ปริมาณสัตว์น้ำเต็มวัยจะเพิ่มขึ้น และภายใต้มาตรการอื่นๆ ประกอบกัน ประเทศไทยจะสามารถแก้ปัญหาการส่งออกไปสหภาพยุโรปได้ด้วย

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007821104.JPEG

ด้านนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า วิกฤตทะเลไทยเกิดขึ้นมายาวนานแล้ว ความผิดพลาดเกิดขึ้นในการบริหารจัดการทะเลมีหลายสาเหตุ เช่น ขาดการปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องต่อมาตรการในการอนุรักษ์และฟื้นฟู เรายังปล่อยให้มีการทำการประมงแบบทำลายล้าง อย่างอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ทำการประมงอยู่ได้

“เคยมีความพยายามจากนักวิชาการกรมประมงที่เสนอว่า ปัญหาทะเลไทยเสื่อมโทรมมาตรการแก้ไขคือ ต้องหยุดอวนลาก โดยงดการต่อทะเบียน และออกอาชญาบัตรให้แก่เรืออวนลาก ซึ่งเป็นข้อเสนอที่นุ่มนวลที่สุด เพราะคนที่มีเรืออวนลากอยู่ในตอนนี้ก็ทำต่อไปได้ แต่ในทางวิชาการ อายุเรืออวนลากจะไม่เกิน 12 ปี หากยึดตามนั้นป่านนี้ทะเลไทยปลอดเรืออวนลาก ตัวทำลายพันธุ์สัตว์น้ำไปนานแล้ว”

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวและว่า แต่เพราะความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย และอำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงข้าราชการประจำสูงมากๆ การสร้างเรือเพิ่ม การสวมทะเบียนเรือจึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และนักการเมืองก็นิรโทษให้เรือเหล่านั้นกลับมาถูกต้องตามกฎหมายอีก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่าไทยหลายเท่า และเป็นประเทศที่มีเกาะแก่งในทะเลมากที่สุด ทำให้มีทรัพยากรสัตว์น้ำมากที่สุดในเอเชีย ซึ่งการที่อินโดนีเซียไม่โดนใบเหลืองจากอียูเพราะรัฐบาลอินโดฯ มองไปข้างหน้าเพื่อคนส่วนใหญ่

“ในกรณีอวนลากซึ่งเป็นตัวทำลาย เขาใช้มาตรการประกาศยกเลิกห้ามทำอวนลากทุกชนิดไปเมื่อ 9 มกราคม 2558 ที่ผ่านมา ขอย้ำว่า อวนลากทุกชนิด อียูก็เห็นความจริงใจของรัฐบาลอินโดฯ ว่าทำจริงไม่ใช่ทำแบบผักชีโรยหน้า เชื่อว่าอีกไม่เกิน 1 ปีต่อจากนี้ อินโดฯ จะกลายเป็นประเทศที่ส่งออกอาหารทะเลใหญ่ที่สุดในเอเชียแน่นอน ประชาชนในชาติของเขาก็จะมีแหล่งอาหารโปรตีนธรรมชาติที่ยั่งยืน หากนายกฯ คิดว่านี่คือโอกาสทั้งในแง่ใช้โอกาสนี้ทำความสะอาดทะเลไทยเสียที โอกาสนี้เหมาะที่สุด คือ หยุดเครื่องมือทำลายล้างสำคัญๆ 3 ชนิด คืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ในขณะเดียวกัน ก็หามาตรการเยียวยาอย่างชอบธรรมและตรงไปตรงมาต่อผู้ทำการประมงเหล่านั้น ผมคิดว่าท่านจะสร้างคุณูปการให้แก่สังคมไทยที่ยากจะหาอะไรมาเปรียบเทียบ” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

สายชล
21-07-2015, 20:03
สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
6-07-15

บทความ : รู้จัก “กฎหมายประมงฉบับใหม่”

http://112.121.129.75/centerWeb/Uploads/Image/2558/07/05/PNOHT580705001005602.jpg

พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 ได้ใช้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้สาระสำคัญ ของกฎหมายในหลาย ๆ เรื่องไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ของการประมงในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก ซึ่งจำเป็นต้องทำการปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่ เพื่อให้กฎหมายประมงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการการประมงของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต กรมประมงจึงได้จัดทำพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558 โดยยกเลิกกฎหมายเดิมทั้งฉบับ และเพิ่มหลักการใหม่ๆ ที่สำคัญ ประกอบด้วย

1. กำหนดให้มีการแบ่งเขตการประมงในน่านน้ำไทยออกเป็น 3 เขต อย่างชัดเจน ได้แก่ เขตประมงน้ำจืด เขตประมงทะเลชายฝั่ง และเขตประมงทะเลนอกชายฝั่ง โดยในแต่ละเขตจะมีการบริหารจัดการ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประมงที่แตกต่างกัน ตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่และตามประเภทของเครื่องมือประมง ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายเดิมไม่ได้กำหนดเขตพื้นที่ทำการประมง ทำให้เครื่องมือประมงที่ได้รับอนุญาตสามารถทำการประมงในทะเลได้อย่างเสรีในเกือบทุกพื้นที่ ก่อให้เกิดปัญหา การแย่งชิงพื้นที่ทำการประมง และมีแนวโน้มความรุนแรงมากขึ้น เช่น ระหว่างชาวประมงพื้นบ้านหรือเครื่องมือประมงขนาดเล็ก กับชาวประมงที่ทำการประมงในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งหลักการนี้จะช่วยลดปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร ลดความขัดแย้งระหว่างชาวประมงที่ใช้เครื่องมือประมงต่างประเภทกัน และเกิดความสะดวกต่อการบริหารจัดการในแต่ละเขตพื้นที่

2. กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและ มีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติขั้นพื้นฐานสำหรับประชาชนผู้ประสงค์ จะเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของตนให้ได้มาตรฐาน และออกหนังสือรับรองให้ นอกจากนี้ยังกำหนดให้รัฐสามารถออกมาตรการควบคุมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบางประเภทให้มีคุณภาพ ไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อร่างกายมนุษย์หรือต่อทรัพย์สินของบุคคลหรือสาธารณสมบัติ ซึ่งจะทำให้สัตว์น้ำที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทางการค้า

3. กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมด้านสุขอนามัย โดยรัฐมีหน้าที่กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติ ขั้นพื้นฐานด้านสุขอนามัยสำหรับประชาชนผู้ประสงค์ทำให้สัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของตนมีสุขอนามัยที่ได้มาตรฐาน และออกหนังสือรับรองให้ นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีมาตรการควบคุมด้านสุขอนามัยของสัตว์น้ำ ในกิจการบางประเภท นับตั้งแต่ขั้นตอนการจับ การดูแลสัตว์น้ำหลังการจับ และการขนส่ง อันจะส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสัตว์น้ำให้มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคยิ่งขึ้น

4. กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรประมง อันจะทำให้รัฐสามารถกำหนดมาตรการด้านการบริหารจัดการได้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และความต้องการของประชาชน เป็นหลักการที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้มีส่วนร่วมในหลายลักษณะ ได้แก่ การให้ตัวแทนภาคประชาชนร่วมเป็นคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีหน้าที่กำหนดนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการ และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรประมงเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

การให้ตัวแทนภาคประชาชนจากองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นต่าง ๆ ที่มาขึ้นทะเบียนกับกรมประมง มีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการประมงประจำจังหวัดแต่ละจังหวัด เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเขตพื้นที่จังหวัดให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ทางการประมงของจังหวัด รวมทั้งการพิจารณาแก้ไขปัญหาและพัฒนาการประมงในเขตพื้นที่ดังกล่าว ภายใต้หลักการร่วมกันคิด ร่วมกันทำ และรับผิดชอบร่วมกัน

การกำหนดให้กรมประมงมีหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดการ การบำรุงรักษา การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนจากทรัพยากรสัตว์น้ำ ภายในเขตประมงน้ำจืดหรือเขตประมงทะเลชายฝั่ง โดยให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดทำนโยบายการพัฒนาการประมงให้สอดคล้องกับปริมาณของทรัพยากรสัตว์น้ำ และขีดความสามารถในการทำประมง การให้คำปรึกษา การช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินงานหรือกิจกรรมของชุมชน รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานดังกล่าว

5. กำหนดให้มีคณะกรรมการประมงนอกน่านน้ำไทย เพื่อนำเสนอการแก้ไขปัญหา เสนอแนะนโยบายและแนวทางการพัฒนาการประมงนอกน่านน้ำไทย ต่อคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ และเสนอแนะต่อหน่วยงานในการออกกฎ ระเบียบต่างๆ ในการจัดระเบียบการใช้เรือไทยออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำไทยเป็นการเฉพาะ เพื่อส่งเสริมการทำประมง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำการประมงนอกน่านน้ำไทยอย่างเป็นระบบ มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้ชาวประมงไทยออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำอย่างมีจรรยาบรรณ ไม่กระทำผิดกฎหมายหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ

สำหรับหลักการในเรื่องอื่น ๆ ยังคงยึดถือแนวทางตามกฎหมายฉบับเดิมซึ่งมีความเหมาะสมอยู่แล้ว เพียงแต่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน เช่น การกำหนดอัตราโทษ อัตราค่าอากร ค่าธรรมเนียมให้มีความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ เป็นต้น กรมประมงได้เริ่มยกร่างกฎหมายนี้ในปี พ.ศ. 2543 โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมแสดงความคิดเห็นจำนวนหลายครั้งมาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำการแก้ไขปรับปรุงมาเป็นลำดับ จนท้ายที่สุดสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติให้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2558 และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป

http://112.121.129.75/centerWeb/Uploads/Image/2558/07/05/PNOHT580705001005601.jpg

พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558 ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้สอดคล้องกับความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการประมง และสภาพของสังคมในปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมให้ประชาชนหรือชุมชนประมงท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างสมดุล เพื่อให้สามารถนำทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน และกำหนดมาตรการส่งเสริมให้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมงหรือจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและจัดระเบียบการใช้เรือประมงไทยในการทำการประมงนอกน่านน้ำไทย

ดังนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากฎหมายประมงฉบับใหม่ จะเป็นคำตอบหรือเป็นเครื่องมือที่สำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทางการประมงในปัจจุบัน และพัฒนาการประมงของประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ของกรมประมงที่ว่า “มุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการประมงอย่างยั่งยืนในภูมิภาค เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สายชล
21-07-2015, 20:05
ผู้จัดการออนไลน์
7-07-15

เฟชบุ๊ก ‘บรรจง นะแส นายกฯ ส.รักษ์ทะเลไทย’ ถูกบล็อก คาดฝีมือสมุนนายทุนประมงเถื่อน

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007915901.JPEG

ศูนย์ข่าวภาคใต้ - บัญชี Facebook นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ถูกบล็อก หลังโพสต์เนื้อหาตีแผ่ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและแฉบริษัทยักษ์ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทำลายทรัพยากรในท้องทะเลไทยมาอย่างต่อเนื่อง

วันนี้ (6 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา บัญชีผู้ใช้ Facebook ของนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ในชื่อ “บรรจง นะแส” ได้หายไปจากการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยระบบของ Facebook แจ้งว่าไม่พบหน้าเพจดังกล่าว หน้าเพจดังกล่าวอาจมีการเลิกใช้งานหรือถูกลบไปแล้ว

โดยจากการค้นหาชื่อบัญชี Facebook บรรจง นะแส จากโปรแกรมค้นหา google.com พบเพียงแคชของหน้าโปรไฟล์ในชื่อ “บรรจง นะแส” ที่อัพเดทล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007915902.JPEG

ด้านนายบรรจง นะแส เปิดเผย ‘ASTVผู้จัดการภาคใต้’ ว่า เพิ่งทราบเรื่องนี้หลังเสร็จจากอัดรายการสัมภาษณ์ประเด็นเกี่ยวกับปัญหาการทำประมงที่สถานีโทรทัศน์ NEWS 1 ที่สำนักงานบ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ กรุงเทพฯ เมื่อเชื่อมต่อเข้าใช้งาน Facebook ด้วยสมาร์ทโฟนตามปกติพบว่าไม่สามารถเข้าใช้บัญชีได้ โดยขณะนี้ยังไม่ทราบว่าบัญชีถูกบล็อกหรือไม่

“พรรคพวกหลายคนโทรมาสอบถามเพราะไม่เห็นเราในเฟชบุ๊ก ก็คิดว่าน่าจะเป็นผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการทำธุรกิจประมงและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพราะปกผมจะใช้หน้าเฟชบุ๊กสื่อสารกับสาธารณชนเรื่องปัญหาการทำประมง ทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการทำประมงผิดกฎหมาย จับสัตว์น้ำวัยอ่อน ซึ่งตอนนี้เขากำลังเดือดร้อนจากกฎหมายประมงที่บังคับใช้อยู่ อาจมีความไม่พอใจแล้วแกล้งรายงานบัญชีผู้ใช้ของเรา ทำให้ถูกบล็อก ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งว่าเกิดจากอะไร”

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007915903.JPEG

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ถือเป็นผู้ที่ต่อสู้และขับเคลื่อนการแก้ปัญหาประมงพาณิชย์ทำลายล้างทะเล กลุ่มทุนค้าปลีกผูกขาด และโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ละเมิดสิทธิชุมชน มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจถูกกลั่นแกล้งด้วยการรายงานบัญชีผู้ใช้หรือแฮ็กบัญชีเพื่อไม่ให้นายบรรจง สื่อสารกับสาธารณะได้อย่างสะดวก

สายชล
21-07-2015, 20:06
คม ชัด ลึก
7-07-15

เจาะลึกวิกฤติ‘ประมงเทียบท่า’ ผลกระทบโดมิโน-สู่ความยั่งยืน ................... ทีมข่าวภูมิภาค

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/06/big9gdf89k7bc9bbbdd8b.jpg

กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศชาติและประชาชนโดยตรง เมื่อ "สมาคมประมง" มีมติให้สมาชิกกลุ่ม "เรือประมงพาณิชย์" หลายพันลำนำเรือเทียบท่าใน 22 จังหวัด หลังจากคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งที่ 10/2558 ลงวันที่ 29 เมษายน 2558 เพื่อจัดระเบียบ และแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายที่เป็นปัญหาหมักหมมมาเนิ่นนานกว่า 30 ปี โดยคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากสหภาพยุโรป (อียู) ให้ "ใบเหลือง" ประเทศไทย เนื่องจากเห็นว่า ไทยไร้ศักยภาพ ไม่สามารถควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมายได้
ทั้งนี้ แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะให้เวลาหลายเดือน เพื่อให้กลุ่มประมงพาณิชย์ทำทุกสิ่งอย่างให้ถูกต้องตามข้อกำหนด แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้รับการตอบสนองจากกลุ่มประมงพาณิชย์เท่าใดนัก

กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนมาถึงเส้นตายของการบังคับใช้กฎหมายในวันที่ 1 กรกฎาคม กลุ่มผู้ประกอบการประมงพาณิชย์กลับต้องการให้รัฐผ่อนปรนข้อบังคับต่างๆ ไปอีกสักระยะ พร้อมยื่นข้อเสนอก่อนจะพากันนำเรือหลายพันลำเข้าเทียบท่าในจังหวัดต่างๆ โดยขอให้ผ่อนผันการบังคับใช้ ประกาศนียบัตรนายเรือ ประกาศนียบัตรช่างเครื่อง บัตรประชาชนผู้ควบคุมเรือ (ไต๋) บัตรประชาชนนายเรือ บัตรประชาชนช่างเครื่อง หรือแม้กระทั่งการผ่อนผันข้อบังคับในเรื่องอาชญาบัตรเรือ ที่รัฐบาลจะไม่ยอมออกให้เรือที่ใช้เครื่องมือประมงผิดประเภท ทั้ง อวนรุน อวนลาก อวนล้อม อวนล้อมปลากะตัก เพราะถือเป็นเครื่องมือที่ทำลายวงจรการเติบโตของสัตว์น้ำ

นอกจากนี้กลุ่มชาวประมงพาณิชย์ยังขอให้รัฐผ่อนปรนในเรื่องแรงงานที่รัฐบาลต้องการให้มีแรงงานไทยอยู่บนเรือประมงในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสามารถควบคุมการทำงานบนเรือได้ แต่ในความเป็นจริงแรงงานในภาคประมงบนเรือ 90% คือแรงงานต่างด้าว

ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ กลุ่มประมงพาณิชย์ยังขอให้รัฐผ่อนปรนในเรื่องการติดตั้งเครื่องวิทยุภายในเรือ เนื่องจากประสบปัญหาขาดแคลน เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวจะต้องเป็นสินค้าที่ได้รับรองจากหน่วยงานรัฐ

ทั้งนี้ "กลุ่มประมงพาณิชย์ทั้ง 22 จังหวัด" ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในประเทศไทย ดังนั้นการนำเรือเทียบท่าหยุดทำประมงของกลุ่มประมงพาณิชย์จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ในภาคใต้นับเป็นแหล่งการทำประมงขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั้งอ่าวไทย และอันดามัน

จากข้อมูลของ "ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สาขาภาคใต้" ได้วิเคราะห์ถึงผลที่จะตามมาจากการลงมติของสมาคมประมงที่ให้เรือประมงกลับเข้าสู่ฝั่ง ไว้ได้อย่างน่าสนใจ

ธปท.วิเคราะห์เรื่องปัจจัยภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญ โดยมองว่า ก่อนหน้านี้การทำประมงของไทยก็ประสบปัญหาอินโดนีเซียปิดน่านน้ำ ทำให้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาปริมาณสัตว์น้ำนำขึ้นที่ท่าเทียบเรือลดลงร้อยละ 8 ดังนั้นหากมีการหยุดเรือเพิ่มขึ้นจะทำให้ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ลดลงไปมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกปัจจัยจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของ "ชาวประมง, เจ้าของเรือ, ธุรกิจเกี่ยวเนื่องประมง"

ขณะเดียวกัน "ผู้บริโภค" ต้องรับภาระราคาสัตว์น้ำที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามราคาสัตว์น้ำที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อเรือประมงที่ยังสามารถออกทำประมงได้

ทั้งนี้ภาคประมงมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 0.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ และร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคใต้ ปี 2556

ส่วนการส่งออกจะกระทบต่อการส่งออกอาหารทะเลแปรรูปเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบมีมากขึ้น

"จากเดิมที่ได้รับผลกระทบจากการปิดน่านน้ำของอินโดนีเซีย เรายังประสบปัญหาการตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ของสหภาพยุโรป ทำให้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ปลาและหมึก มีปริมาณลดลงร้อยละ 8.8 และ 17.4 ส่วนอาหารทะเลกระป๋องคงได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่กุ้งแปรรูปปริมาณการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผลผลิตกุ้งจากการเพาะเลี้ยงเริ่มขยับขึ้นจากปัญหาโรคตายด่วน (อีเอ็มเอส) ที่เริ่มคลี่คลาย ซึ่งในปีที่ผ่านมาไทยมีการส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดประมาณ 2 แสนล้านบาท"

ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ที่เป็นศูนย์กลางเทียบท่าของเรือประมง และเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูป

จากการศึกษาของ ธปท. พบว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปเพื่อการส่งออกจากภาคใต้ มี 3 กลุ่มหลัก คือ ปลาและหมึกแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง และอาหารทะเลกระป๋องจะได้รับผลกระทบจากการหยุดการทำประมง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการประมง ห้องเย็นและแปรรูป รวมทั้งแรงงานที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปลาและหมึกแปรรูป แต่ปัญหานี้สืบเนื่องมาจาก "หลักเกณฑ์สากล และการทำประมงยั่งยืน" รัฐจึงต้องแก้ไขให้ลุล่วงในที่สุด ดังนั้นทางออกที่ดีคือ การหารือและแก้ไขปัญหาร่วมกันเพื่อทำให้อนาคตอุตสาหกรรมดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธปท. มองว่า ผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของภาคใต้อาจจะไม่สูงมากนัก เนื่องจากปลาและหมึกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 20 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลทั้งหมดของภาคใต้ และคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคใต้

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการก็ปรับตัวด้วยการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าสินค้า บางแห่งหันไปผลิตสินค้าแปรรูปอย่างอื่น เพื่อชดเชยปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบอยู่แล้ว

ส่วนกุ้งแปรรูปและอาหารทะเลกระป๋องคงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูป (กุ้ง ปลา และหมึก ) ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก ส่วนอาหารทะเลกระป๋องส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ

สุภาวดี โชคสกุลนิมิต กรรมการผู้จัดการบริษัทปัตตานีปลาป่น (1988) จำกัด เปิดเผยว่า การที่ภาคประมงบางส่วนหยุดออกจับสัตว์น้ำ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการประมง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมประมงที่มีบทบาทของการเป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทย สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่า 70 เปอร์เซ็นต์ ใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศ 30 เปอร์เซ็นต์ ส่งออก ดังนั้นการหยุดทำประมงจึงส่งผลกระทบที่สร้างความเสียหายต่อทั้งระบบของเศรษฐกิจสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท จากความชะงักงันที่เกิดขึ้น

"จ.ปัตตานีเอง ถือเป็นจังหวัดที่ทำประมงเป็นฐานราก หากประเมินคร่าวๆ จะมีเรือที่ต้องหยุดทำประมงตามมติของสมาคมประมงไม่ต่ำกว่า 200 ลำ นอกจากนี้ยังมีเรือที่ไม่เข้ากฎเกณฑ์ตามที่ภาครัฐออกข้อกำหนดอีกพอสมควร โดยสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประมงกระทบกระเทือนทั้งหมด ทั้งคนงานที่อยู่ในเรือประมง คนงานแพปลา คนคัดเลือกปลา โรงงานน้ำแข็ง ส่วนตัวมองว่า การแก้ปัญหาของรัฐบาลนั้นไม่ถูกจุด ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของอาชญาบัตร เพราะที่ผ่านมารัฐก็ไม่ได้ต่อให้เรือประมงมาตั้งแต่ปี 2539 ปล่อยปละละเลยมาจนลุกลาม"

สุภาวดี กล่าวอีกว่า ธุรกิจประมงภายในประเทศก่อให้เกิดการจ้างงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่รัฐกลับมองเพียงเรื่องการส่งออก ซึ่งธุรกิจส่งออกส่วนใหญ่ก็คือนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพื่อการส่งออกไม่ต้องจ่ายภาษี แต่ประมงที่ทำภายในประเทศเกิดการจ้างงาน มีการจ่ายภาษีเข้าสู่ระบบ

"อยากให้รัฐบาลมองว่า หากเราไม่เข้าใจธุรกิจประมงนั้น ท้ายที่สุดจะกระทบไปทั้งระบบ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศ หากไม่มีวัตถุดิบก็ไม่สามารถผลิตได้ และที่กระทบมากที่สุด คือปลาป่น ซึ่งถือเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารสัตว์" สุภาวดี กล่าว

มานะ ศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทแมนเอ โฟรเซ่นฟู๊ด จำกัด กล่าวว่า ปัญหาตอนนี้คือภาครัฐ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตีโจทย์ของอียูผิดทั้งหมด โดยประเด็นที่อียูให้ใบเหลืองคือ ต้องการให้ไทยทำประมงอย่างยั่งยืน แต่การแก้ปัญหาในขณะนี้มองต่างกันออกไป แนวทางที่ถูกต้องคือ รัฐบาลต้องมาทำความเข้าใจเรื่องการประมง ส่วนตัวข้อตั้งคำถามว่า หากวันนี้เรือประมงหยุดเดินเรือ เผาเรือ แล้วอียูจะปลดล็อกให้หรือไม่ก็ไม่

"ตอนนี้ในส่วนของอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อการส่งออกที่เคยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เมื่อเจอปัญหา เขาก็ดิ้นรนไปหาวัตถุดิบจากต่างประเทศ บริษัทใหญ่ๆ ไปแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม อินโดนีเซีย นอกจากนี้ข่าวที่ออกไปกระทบกับออเดอร์ของที่มีในต่างประเทศ เช่นของบริษัทผมมีตลาดญี่ปุ่น พอมีข่าวแบบนี้ คู่ค้าหันไปหาซื้อที่อื่น เลยกลายเป็นว่าผิดกันไปทั้งหมด" มานะ กล่าว

เช่นเดียวกับ "ปรีชา ศิริแสงอารัมพี" ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า หากประเมินจากการที่เรือประมงพาณิชย์พากันกลับเข้าฝั่ง แน่นอนว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นโดยตรงกับผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับประมงในทุกส่วน โดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องการว่างงาน นอกจากนี้ยังมองว่า การที่เรือประมงพาณิชย์กลับเข้าฝั่งจะทำให้ไม่มีสัตว์น้ำเข้ามาสู่ระบบ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการขาดแคลนสัตว์น้ำเพื่อการอุปโภค- บริโภค โดยส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะเกิดขึ้นอีก 2 เดือนนับจากนี้ เพราะสินค้าที่เก็บไว้ในห้องเย็นจะหมดไปจากระบบ

"ปัญหาในขณะนี้ขึ้นอยู่กับว่า จะเลือกมองในส่วนใด หากมองในภาครัฐนี่คือการจัดระเบียบประมงเพื่อให้เกิด "ความยั่งยืน" ขณะที่ในมุมคนทำประมงเขามองว่า ประมงคือความเป็นอาชีพ รัฐควรจะให้ความสำคัญ หรือหาทางช่วยเหลือ และในฐานะของภาคเอกชนได้แต่คาดหวังผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการหยุดทำประมงจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น โดยทุกฝ่ายสามารถหาทางคลี่คลายสถานการณ์ไม่ให้ลุกลามไปมากว่านี้" ปรีชา กล่าว

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นภาพด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ หลังจากเรือประมงบางส่วนเทียบท่า ซึ่งท้ายที่สุดคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นประชาชนตาดำๆ อีกเป็นแน่แท้

สายชล
21-07-2015, 20:08
โพสต์ทูเดย์
7-07-15

แจงน้ำทะเลเปลี่ยนสีทำปลาตายเกลื่อนบางแสน

http://www.posttoday.com/media/content/2015/07/06/D2CAF01C1A8043F3BAC77AD1D72347BE.jpg

ชลบุรี-คณะวิทยาศาสตร์ม.บูรพาเผยปลาตายเกลื่อนบางแสนเกิดจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำ

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา แจ้งว่า ปลาจำนวนมากนอนเกยตื้นบริเวณชายหาดบางแสน อ.เมือง จ.ชลบุรี เกิดจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี หรือชาวบ้านเรียกว่าปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ ทำให้สัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่ง ไม่มีอากาศหายใจหนีขึ้นมาบริเวณชายหาด ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักผ่อน ชายหาดบางแสน ได้นำอุปกรณ์ที่หาได้มาช่วยกันจับปลา อาทิ ปลากระเบน ปลาเห็ดโคน ปลาหมึก และปลาตัวเล็กๆ เพื่อนำไปเป็นอาหาร

ทั้งนี้ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้หายไปจากหาดบางแสนนานแล้ว คาดว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เนื่องมาจากน้ำในชุมชนได้ปล่อยลงทะเล โดยเฉพาะชายหาดบางแสนรับน้ำทะเลจากแม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้น้ำทะเลได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่จึงได้เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ออกซิเจนในทะเลหมดลง จึงเป็นสาเหตุทำให้ปลาตายก่อนถูกคลื่นซัดเข้าสู่ชายฝั่ง

อย่างไรก็ตามทางเทศบาลเมืองแสนสุขได้ระดมเจ้าหน้าที่ช่วยกันเก็บกวาดซากปลาและขยะอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ได้นำซากสัตว์น้ำและตัวอย่างน้ำทะเลส่งต่อให้คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อหาสาเหตุให้แน่นอนอีกครั้ง และไม่แนะนำให้ลงเล่นน้ำเนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้ได้ ซึ่งเทศบาลจะทดลองทิ้ง อีเอ็ม บอล เพื่อปรับสภาพน้ำก่อนคาดว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสูจะทุเลาขึ้นในอีก 3-4วันข้างหน้า


*********************************************************************************************************************************************************


ปลาทะเลจะราคาแพงขึ้นจริงหรือ? ........................... เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat

http://www.posttoday.com/media/content/2015/07/06/8966F887B9194D988C1C29A95A0CDACF.jpg

เพื่อนๆ สอบถามกันมาเรื่องปลาทะเลราคาแพง บ้างอยากรู้ว่าปลาอะไรบ้าง ผมจึงอยากบอกไว้ 6 ข้อ ดังนี้ครับ

1) เรือประมงที่หยุดแบ่งเป็น 2 พวก กลุ่มหนึ่งหยุดเพราะมีอะไรไม่เรียบร้อยนิดหน่อย อีกไม่นานคงกลับออกไปหาปลาได้ อีกพวกคือเรือที่อาชญาบัตรผิดประเภทหรือไม่มี จะเป็นเฉพาะ 4 เครื่องมือ ได้แก่ อวนรุน อวนลาก และอวนปลากะตัก (2 แบบ) ท่าจะหยุดนานครับ

2) อวนรุน-อวนลาก จะลากกวาดสัตว์หน้าดินทั้งหมด แต่กวาดมานานปี ทำให้ปัจจุบันเกือบทั้งหมดเป็นลูกปลาวัยอ่อน นำไปทำปลาป่น ไม่ใช่นำมาให้คนกิน จึงไม่มีผลกระทบโดยตรงกับอาหารทะเล

3) สัตว์น้ำบางส่วนที่อาจติดมากับอวนรุน-อวนลากบ้าง เช่น ปลาทราย ปลาลิ้นหมา กุ้งบางชนิด ปูม้า หอยเชลล์ หมึกสายขนาดเล็ก กระเบน ฯลฯ ราคาอาจขึ้นบ้าง แต่สัตว์น้ำบางส่วนได้มาจากการทำประมงแบบอื่น รวมถึงประมงพื้นบ้านด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นสัตว์ที่เราพอมีทางเลือกในการกิน

4) สัตว์น้ำที่พวกเราส่วนใหญ่กินกัน เช่น กะพงขาว กุ้ง หอยแมลงภู่ หมึกทะเล (ปลาหมึก) ปลาสาก ปลาอินทรี ปลามง ฯลฯ ได้มาจากเครื่องมือชนิดอื่น บ้างก็ได้จากการเพาะเลี้ยง บ้างก็นำเข้ามาจากต่างประเทศ (เมืองไทยนำเข้าปลาหมึกจำนวนมากจากทั่วโลกครับ) สัตว์น้ำกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบน้อยมากจากการหยุดทำประมงอวนรุน-อวนลาก

5) ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่อาจได้รับผลกระทบ เช่น ปูอัด (ทำจากเนื้อปลา) อาจใช้การนำเข้าปลามาแทน แต่ราคาอาจเปลี่ยนแปลงบ้าง

6) ในส่วนของปลากะตัก สัตว์น้ำที่ได้รับผลกระทบคือปลากะตัก แต่ต้องดูกันต่อไปว่าราคาจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหน

ด้วยเหตุนี้ ผมไม่คิดว่าอาหารทะเลจะขึ้นทุกอย่าง เรายังกินปลาทะเลได้ครับ โดยเลือกกินปลาที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการหยุดทำประมงอวนรุน-อวนลาก และเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ทะเลไทยและลูกหลานไทยจะได้รับ ผมคิดว่ามันคุ้มค่าครับ

ก็หวังว่ารัฐบาลจะยืนยันหนักแน่นต่อไป แต่ก็หวังว่ารัฐบาลจะรีบช่วยให้ชาวประมงที่เดือดร้อนจากกรณีอื่นๆ ได้กลับไปหาปลาโดยไว เพื่อการประมงไทยจะได้เข้าสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ – การประมงที่ได้รับการควบคุมและแบ่งปันกุ้งหอยปูปลาในทะเลอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เฉพาะสำหรับพวกเราในวันนี้ แต่เป็นธรรมต่อลูกหลานของเราในวันหน้าด้วยครับ

ที่มา https://www.facebook.com/thon.thamrongnawasawat

สายชล
21-07-2015, 20:16
โพสต์ทูเดย์
7-07-15


ฟื้นทะเลสาบสงขลา ทวงคืนโลมาอิรวดี ............................ โดย...อัสวิน ภฆวรรณ

http://www.posttoday.com/media/content/2015/07/06/560E591ECA9A4A0EBB2DBC0DB5019276.jpg

ทะเลหลวง หรือทะเลสาบสงขลาตอนบน ในพื้นที่ อ.กระแสสินธุ์ จ.พัทลุง มีพื้นที่กว้างที่สุดประมาณ 460 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ แทบไม่มีน้ำเค็มเข้ามาปะปน จึงเป็นแหล่งวางไข่ ขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำนานาชนิด รวมทั้งโลมาอิรวดี แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความเสื่อมโทรมของทะเลสาบสงขลา น้ำเสียที่เข้ามาปะปน การใช้เครื่องมือประมงผิดประเภท กระทบต่อโลมาอิรวดีอย่างหนัก ในแต่ละปีจะพบซากโลมาอิรวดีลอยตายปีละเกือบสิบตัว ทำให้พื้นที่ทะเลสาบสงขลา โดยเฉพาะทะเลหลวง ถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่วิกฤตที่สุดของโลมาอิรวดี

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง (พัทลุง-สงขลา) ได้ร่วมกับเครือข่ายอนุรักษ์โลมาอิรวดีในพระบรมราชินูปถัมภ์ เอาจริงเอาจังกับการลักลอบหาปลาในเขตพื้นที่ถิ่นอาศัยของโลมาอิรวดี ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ซึ่งได้ปักแนวเขตอย่างชัดเจน เพื่อกันไว้เป็นเขตคุ้มครองพิเศษแก่โลมาอิรวดีจำนวน 100 ไร่ 3 ปีผ่านไป ไม่เพียงลดการสูญเสียโลมาอิรวดีลงได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มจำนวนสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

จำนง กลายเจริญ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลหลวง บอกว่า หลังจากที่ได้ร่วมกับเครือข่ายอนุรักษ์โลมาอิรวดีในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดสร้างซั้งบ้านปลาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2555 เพื่อให้เป็นแหล่งอาหารของโลมาอิรวดี ปรากฏว่ามีผลเกินคาด มีกุ้ง หอย ปู ปลา อย่างชุกชุม โดยได้ดำเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างเก็บผลผลิตจากการจัดทำซั้งบ้านปลา จำนวน 10 ซั้ง จากพื้นที่ 100 ซั้ง ซึ่งสามารถพบชนิดปลากว่า 9 ชนิด ชนิดปลาที่พบมากที่สุด เช่น ปลากดคัง

“แต่ชาวบ้านได้นำอวนมาลักลอบวางปลา ทอดแห และดักไซ จนมีผลกระทบต่อโลมาอิรวดี ผมได้ว่ากล่าวตักเตือน และสั่งห้ามเข้าพื้นที่เขตคุ้มครองพิเศษอย่างเด็ดขาด หากยังพบการลักลอบอีก จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด”

จำนงเล่าว่า ความสูญเสียโลมาอิรวดี จากสถิติปี 2555 พบเสียชีวิตจำนวน 14 ตัว เป็นเพศเมีย 10 ตัว เพศผู้ 3 ตัว และไม่ทราบเพศจำนวน 1 ตัว ส่วนใหญ่สาเหตุการตายมาจากติดอวนปลาบึก และพลัดหลงจากแม่ ปี 2556 เสียชีวิตจำนวน 4 ตัว เป็นเพศเมีย 2 ตัว เพศผู้ 2 ตัว ปี 2557 พบเสียชีวิตจำนวน 6 ตัว เป็นเพศเมีย 3 ตัว เพศผู้ 1 ตัว และไม่ทราบเพศจำนวน 2 ตัว สาเหตุการตายคือพลัดหลงจากแม่ ป่วย และแก่ตาย และล่าสุดปี 2558 พบโลมาอิรวดีเสียชีวิตจำนวน 2 ตัว เป็นเพศเมีย 1 ตัว ไม่ทราบเพศ 1 ตัว ส่วนสาเหตุการตายยังไม่แน่ชัดเช่นกัน และคาดว่ามีโลมาอิรวดีตัวเป็นๆ เหลืออยู่ในทะเลสาบสงขลาตอนบนเพียง 25-30 ตัวเท่านั้น โดยเสียชีวิต 4 ปี รวม 26 ตัว

http://www.posttoday.com/media/content/2015/07/06/F379F4F789D44C5E939407F197A687AC.JPG

โลมาอิรวดีไม่เพียงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองบัญชีที่ 1 ของอนุสัญญา ไซเตส โดยจัดให้อยู่ในสถานะสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงขั้นวิกฤตต่อการสูญพันธุ์ นอกจากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับโลมาอิรวดีน้ำจืดในทะเลหลวงไว้เป็นสัตว์ป่าในพระบรมราชินูปถัมภ์ ตามประกาศจังหวัดพัทลุง ณ วันที่ 3 ต.ค. 2544

“ปัจจุบันสถานการณ์ภัยคุกคามโลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลาตอนบน มีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย การลักลอบหาปลา แหล่งอาหารลดลง การผสมสายพันธุ์เดียวกันจนเกิดสายเลือดชิด มีการใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมี การทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูล การชะล้างพังทลายของตะกอนดิน จนเกิดการทับถมและตื้นเขิน”

จำนง บอกว่า เมื่อปี 2556 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ทำเอ็มโอยูร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม และชาวบ้านริมทะเลใน 2 จังหวัด จัดโครงการอนุรักษ์โลมาอิรวดีในพระบรมราชินูปถัมภ์ 3 ปีที่ผ่านมาอบรมชาวบ้านไปแล้วกว่า 300 คน และจัดทำซั้งบ้านปลาปีละ 100 ซั้ง เป็นการสร้างแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อเป็นแหล่งอาหารให้โลมาอิรวดีน้ำจืด และชุมชน

สมใจ รักษ์ดำ ประธานเครือข่ายอนุรักษ์โลมาอิรวดี จังหวัดพัทลุง กล่าวว่า โครงการจัดสร้างซั้งบ้านปลาเป็นความหวังในการกู้วิกฤตให้โลมาอิรวดีมีถิ่นอาศัย มีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ ลดความเสี่ยงจากการติดเครื่องมือประมง และซั้งบ้านปลายังเป็นที่พักพิงแหล่งอาหารของนกนานาชนิด ทั้งนกอพยพ และนกประจำถิ่น ที่สำคัญคือเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ

สายชล
21-07-2015, 20:17
ผู้จัดการออนไลน์
8-07-15

ชาวประมงพื้นบ้านเมืองคอนจัดกิจกรรม “ประมงเพื่อลูกหลาน” ต้านนิรโทษประมงเถื่อน

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007947103.JPEG

นครศรีธรรมราช - เครือข่ายประมงพื้นบ้านนครศรีฯ ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ประมงเพื่อลูกหลาน” ต้านนิรโทษประมงทำลายล้าง ขณะที่ราคาสัตว์น้ำขยับสูงขึ้นหลังพ่อค้าเข้ากว้านซื้อให้ราคานำตลาด

วันนี้ (7 ก.ค.) ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เครือข่ายประมงพื้นบ้าน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนักเรียนซึ่งเป็นลูกหลานของชาวประมง ครู ข้าราชการกรมประมง พร้อมด้วยชาวประมงพื้นบ้าน ได้รวมตัวกันบริเวณริมชายหาด บ.เกาะเพชร อ.หัวไทร ร่วมทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “ทำประมงเพื่อลูกหลาน” เพื่อสนับสนุนการทำประมงอย่างถูกกฎหมาย ไม่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007947101.JPEG


ขณะที่ นายวิรชัช เจ๊ะเหล็ม นายกสมาคมประมงพื้นบ้านหัวไทร อ่านแถลงการณ์สนับสนุนของเครือข่ายประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย พร้อมกันนั้น ได้แสดงการคัดค้านการนิรโทษเรืออวนรุน อวนลาก สนับสนุนการใช้เครื่องมือที่ไม่มีการทำลายล้าง และมีการแสดงเปรียบเทียบถึงทรัพยากรที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ และคุณภาพจากเรือประมงพื้นบ้าน กับปลาจากเรือประมงพาณิชย์ที่ใช้เครื่องมือในการทำลายล้าง โดยปลาที่ได้นำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์เท่านั้น

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007947104.JPEG

ชาวประมงระบุว่า ปลา และสัตว์น้ำที่ได้ในขณะนี้มีปริมาณที่มากขึ้น และมีราคาสูงขึ้น เนื่องจากมีพ่อค้าที่มาดักรอซื้อจากริมหาดในราคาสูงกว่าปกติถึง 30-50 บาท ถือว่าเป็นราคาที่สูงกว่าเดิม ส่วนสัตว์น้ำที่อยู่ในตลาดสดจะมีราคาสูงกว่าเดิมเช่นกัน และนับเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่สามารถบริโภคสินค้าที่ปราศจากสารปนเปื้อน

สายชล
21-07-2015, 20:18
คม ชัด ลึก
8-07-15


ต้องหยุดประมงทำลายล้างเด็ดขาด ...................... สัมภาษณ์พิเศษ บรรจง นะแส

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/07/76a9degha6bajc59kbhe6.jpg

บนสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมประมงไทยกำลังเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ ด้านหนึ่งถูกกดดันจากสหภาพยุโรป (อียู) ที่บังคับให้เราต้องทำประมงตามกฎเกณฑ์ ขณะที่อีกด้านหนึ่งกลับถูกต่อต้านจากกลุ่มเรือประมงที่ยังปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง จนกลายสภาพเป็นเรือผิดกฎหมาย ทำให้คนไทยต้องจมอยู่กับความตื่นตระหนกว่าอาหารทะเลจะขาดแคลนมานานกว่า 1 สัปดาห์ ในมุมมองของนักอนุรักษ์ธรรมชาติ มองวิกฤตินี้อย่างไร บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเล ถ่ายทอดผ่านบทสัมภาษณ์ไว้น่าสนใจยิ่ง


0 มองสถานการณ์ประมงไทยภายใต้กฎหมายใหม่อย่างไร

ผมว่าเป็นกลไกการต่อรองปกติที่ทุกสาขาอาชีพพยายามรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ที่ผ่านๆ มากลุ่มประมงพาณิชย์เคยชนะมาแล้วอย่างน้อยก็ 5 ครั้ง ในการกดดันให้รัฐต้องปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตัวเอง คือนิรโทษกรรมให้แก่การทำการประมงผิดกฎหมาย ประเทศเราเลยแก้ปัญหาการทำการประมงที่เกินศักยภาพของทะเล (over fishing) ไม่ได้เสียที ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรในทะเล ความล่มสลายของอาชีพชุมชน ประมงชายฝั่งจึงปรากฏแก่สายตาของเราอยู่ทุกวันนี้

แต่ครั้งนี้มีปัจจัยที่เหนือกว่ากลไกการเมืองและระบบราชการ คือการกดดันจากมาตรการของอียู ซึ่งกระทบต่ออีกกลุ่มที่มีผลประโยชน์ที่ก้ำกึ่งกัน คือธุรกิจส่งออกอาหารทะเลไปตลาดอียู ซึ่งบางกลุ่มไม่ได้สัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มประมงพาณิชย์ เพราะพวกเขาจะสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลหากอียูให้ใบแดงและพวกเขาจะไม่ยอมเด็ดขาด นี่ต่างหากที่ทำให้กลุ่มประมงพาณิชย์ที่กำลังหยุดเรือประท้วงอยู่อาจจะไม่มีกำลังมากพอที่จะกดดันรัฐบาลได้เหมือนในอดีตที่ผ่านๆ มา และอาจจะต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด


0 เครื่องมือทำลายล้างแน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อทรัพยากร แต่อีกแง่มุมอาจมองว่า มันคือ “เศรษฐกิจ”

เราต้องมองให้กว้างว่า ”เศรษฐกิจ” ในระดับไหน และมองไปในอนาคตว่า เราจะเอาอย่างไร จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด หรือผ่าตัดเพื่อสิ่งที่ดีและยั่งยืน สำหรับประเทศในอนาคต ปัญหาหนึ่งที่สำคัญสำหรับสังคมเราคือ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ว่านั้น มันได้กระจายอย่างเป็นธรรมต่อผู้คนในสังคม

กรณีเรื่องประมงที่ใช้ฐานทรัพยากรจากทะเลร่วมกัน เราจะพบว่า 85% คือชาวประมงพื้นบ้าน ส่วนที่ประท้วงกันอยู่เป็นประชากรแค่ 15% ของชาวประมง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะละเลยพวกเขา เพียงแต่โอกาสนี้เป็นโอกาสของการปฏิรูปประเทศที่สังคมไทยมีปัญหาหมักหมมหลายเรื่อง เพราะฉะนั้นต้องเอาข้อมูล ข้อเท็จจริงที่รอบด้านออกมาหงาย ไม่ว่าข้อมูลทางฐานทรัพยากร สถิตการนำเข้า ส่งออก ธุรกิจต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการประมง เมื่อทุกอย่างถูกหงายขึ้นมาก็จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่าการคำนึงถึงเศรษฐกิจเฉพาะหน้ากับการจะต้องเสียสละเพื่อการตั้งหลักสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนจะเลือกอย่างไหน


0คุณค่าของประมงพื้นบ้านกำลังถูกเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น เครือข่ายประมงพื้นบ้านควรรักษาตัวตนของเขาอย่างไร

อาชีพประมงพื้นบ้านก็เหมือนกับเกษตรกรอื่นๆ ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนาน แต่สังคมให้ความสำคัญน้อยและถูกรุกคืบ แย่งพื้นที่ หรือความอยู่รอดในการสืบทอดวิถีของตัวเองให้เข้มแข็ง ให้มีศักดิ์ศรี มันถดถอยลงไปทุกวัน การจัดตั้งคือหัวใจที่จะทำให้อาชีพของตัวเองอยู่ได้

ในชุมชนประมงพื้นบ้าน สมาคมรักษ์ทะเลไทยร่วมทำงานกันมากว่า 30ปี เราพบว่าการจัดตั้งองค์กรของเขาให้เข้มแข็ง ให้ช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด ให้ผู้นำสามารถนำเสนอปัญหาและทางออกของปัญหาที่เขาเผชิญหน้าอยู่ต่อส่วนต่างๆ ในสังคมได้ ในขณะเดียวกันก็มีปฏิบัติการในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร การทำบ้านปลา ธนาคารปู ปลูกป่าชายเลน สร้างเขตอนุรักษ์ เป็นต้น

ตอนนี้ประมงพื้นบ้านขยับตัวสู่การเชื่อมต่อกับผู้บริโภคจากจุดเล็กๆและขยายพื้นที่มากขึ้น เรามีร้านคนจับปลาหลายสาขา มีแพปลาชุมชนที่เกิดจากระดมทุนกันเองภายในชุมชน การรักษาตัวตนของอาชีพประมงพื้นบ้านที่กำลังก่อตัวและขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ การรักษาตัวตนของเขาก็คือการรักษาฐานอาชีพและพัฒนาองค์กรของเขาให้เข้มแข็งและขยายพื้นที่ออกไปให้ครอบคลุมพี่น้องชุมชนชายฝั่ง ซึ่งมีหัวอกเดียวกันในทั่วชายฝั่ง นี่คือทิศทางครับ


0 อียูมีอิทธิพลต่อทิศทางการประมงไทย เห็นอะไรอยู่ในเรื่องนี้

อียู ด้านหนึ่งเขาก็พยายามสร้างอิมเมจว่าตลาดเขาต้องคลีน มีธรรมาภิบาล ดังนั้นมาตรการนี้ก็มีสองด้าน ทั้งในแง่การกีดกันทางการค้าหรือการเมืองในระดับสากล เพราะก็มีเสียงนินทาให้ฟังอยู่บ่อยเช่น สมาชิกอียูอย่างสเปน แอฟริกาใต้ ก็ไปทำการประมงแบบทำลายล้าง แต่กรณีที่เขานำมาตรการ ไอยูยู ฟิชชิ่ง ใช้กับประมงบ้านเรา ผมมองว่าเป็นผลบวกต่อการแก้ไขปัญหาทรัพยากรในทะเลไทยมากกว่าด้านลบ เพราะเราเผชิญปัญหานี้มานาน จนการเมืองไทยไม่สามารถแก้ไขได้

"ผมมองว่า งานนี้ถ้าอียูไม่ออกมาตรการนี้ สังคมไทยก็คงไม่มีโอกาสรับรู้กันกว้างขวางถึงขนาดนี้ว่าประเทศนี้ปล่อยปละละเลยให้มีการทำการประมงแบบทำลายล้างมาอย่างยาวนานแค่ไหน"


0รัฐบาลควรดำเนินการต่อไปอย่างไร

ตอนนี้รัฐบาลยังมองแค่ปรับกลไกในการทำการประมงเพียงแค่การปลดล็อกจากอียูเป็นหลัก เพราะพลังของธุรกิจส่งออกมีอำนาจเหนือพี่น้องประมงพาณิชย์ที่กำลังจอดเรือประท้วงอยู่มากนัก โดยเฉพาะรัฐก็กลัวลุกลามไปสู่ธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆ ไม่ว่าธุรกิจอาหารสัตว์ที่นำปลาเล็กปลาน้อยที่จับด้วยเครื่องมืออวนลาก/อวนรุนที่ผิดกฎหมายและจะถูกแบนลุกลามไปยังไก่ หมู หรือผลิตภัณฑ์ที่ต่อเนื่องกันกับการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ยังไม่ได้มองถึงปัญหาเสื่อมโทรมของทรัพยากรในทะเลที่อยู่ในภาวะที่เรียกว่า โอเวอร์ ฟิชชิ่ง ออกทะเบียนให้เรือเถื่อน/เรือสวมทะเบียน แล้วเรือก็ออกทำการประมงแบบทำลายล้างดังเดิม วิกฤติทะเลก็จะดำรงอยู่

คิดว่ารัฐจะต้องบริหารบนฐานของข้อมูลที่ตรงไปตรงมา ถ้าเพื่อความยั่งยืนของอาชีพประมงและความมั่นคงทางอาหาร รัฐบาลต้องหาทางยกเลิกการทำการประมงแบบทำลายล้าง 3 ชนิด คือ อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ทันที เราอาจจะต้องหาทางชดเชยในบางระดับต่อเรือที่ถูกกฎหมาย ผมเชื่อว่า ถ้าเราหยุดเครื่องมือทำการประมงแบบทำลายล้าง 3 ชนิดนี้ภายในไม่เกิน 1 ปี ทะเลไทยจะฟื้นตัวและเป็นทั้งแหล่งอาหาร/อาชีพให้คนในสังคมในปริมาณที่มากกว่าที่มีกันอยู่ในปัจจุบันนี้แน่นอน


0 ประมงขนาดใหญ่ควรทบทวนการทำประมงของตัวเองไหม

ประมงขนาดใหญ่ที่ไม่ทำการประมงด้วยเครื่องมือลาก รุน หรือ ปั่นไฟ ก็ปรับตัวมาจับสัตว์น้ำที่โตเต็มวัยชนิดต่างๆ ได้ปกติอยู่แล้ว เพียงแต่ในระยะแรกอาจต้องรอให้พันธุ์สัตว์น้ำเติบโตก่อน เพราะที่ผ่านๆ มาเราทำลายพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนตัวเล็กๆ ทุกชนิดมายาวนาน

อีกส่วนหนึ่งคือ พี่น้องที่ออกไปทำการประมงนอกน่านน้ำ รัฐบาลอาจจะต้องแสวงหาแหล่งทำการประมงกับประเทศอื่นๆ ให้มากขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้ประมงพาณิชย์ต้องช่วยตัวเองเช่นที่ผ่านมา เช่น กรณีไปติดสินบนทหารในอินโดนีเซีย ไปร่วมลงทุนทำประมงแบบลวกๆ เมื่อเขาเอาจริงเพื่อรักษาทะเลของเขา เราก็ไปไม่ได้ ขาดทุนล้มละลายกันอยู่นี่ไง ส่วนหนึ่งก็เบนหัวเรือมาถล่มทะเลไทย ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤติอยู่แล้วให้หนักเข้าไปอีก โดยสรุปรัฐบาลอย่ามีแต่มาตรการปราบปราม แต่หนุนช่วยให้เขาได้มีโอกาสไปทำการประมงแบบถูกต้องในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากพื้นที่ทะเลไทยด้วย


0สมาคมรักษ์ทะเลไทย เป็นกำลังหลักของประมงพื้นบ้าน ขอความมั่นใจให้แก่พี่น้องว่าเราจะอยู่กับประมงพื้นบ้านต่อไป

สมาคมรักษ์ทะเลไทยเป็นองค์กรเล็กๆ แต่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี แต่เรามีจุดอ่อนเหมือนองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ คือ ต้องอาศัยงบประมาณจากหน่วยงานของรัฐบ้าง ต่างประเทศบ้าง และมีระยะการทำงานไม่ต่อเนื่อง หลายๆ ครั้งเจ้าหน้าที่ไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าเดินทาง แต่เราก็ทำงานกันเท่าที่ศักยภาพที่เรามี เป้าหมายหลักของเราคือ สร้างองค์กรของพี่น้องประมงให้เข้มแข็ง เมื่อแต่ละพื้นที่มีองค์กรของพวกเขาแล้ว บทบาทของสมาคมก็จะลดลงหรือเจ้าหน้าที่ของเราก็ปรับตัวไปเป็นลูกจ้างของพี่น้องชาวประมงในอนาคตก็ได้

สายชล
21-07-2015, 20:20
ผู้จัดการออนไลน์
9-07-15


“สมยศ” ฮึ่มอิทธิพลประมงเถื่อน ขวางเรือประมงถูกกฎหมายออกหาปลา


http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000007994201.JPEG

ผบ.ตร.สั่งตรวจสอบกลุ่มเรือประมงเถื่อนขัดขวางการทำประมงถูกกฎหมายออกหาปลาในทะเล หากผิดต้องดำเนินคดี ลั่นต้องบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามที่ประชาคมโลกยอมรับ

วันนี้ (8 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเรือประมงรวมตัวปิดอ่าวขัดขวางไม่ให้กลุ่มเรือประมงที่ถูกกฎหมายออกหาปลาในทะเลในช่วงนี้ว่า หากมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือใช้อิทธิพลบังคับเรือประมงไม่ให้ออกจับปลาถือว่าไม่ถูกต้อง หากตรวจสอบพบว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้ตำรวจในพื้นที่ต้องดำเนินการ ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการข่าวต้องติดตามหาข้อมูล ความชัดเจน พิสูจน์ทราบว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร หากพบว่าการกระทำเข้าข่ายความผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยต้องดูว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นทำ ทำให้ใครเดือดร้อน หรือเกิดความเสียหายต่อภาพรวมหรือไม่ หรือทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบอย่างไรหรือไม่ ถ้าไปบังคับขู่เข็ญไม่ให้เรือประมงออกหาปลา แล้วเรือประมงเหล่านั้นมาร้องทุกข์กล่าวโทษ เป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อมูลว่ากลุ่มที่ออกมาขัดขวางเป็นกลุ่มสมาคมเรือประมง ต้องมีการพูดคุยกับกลุ่มนี้หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีจุดประสงค์เรื่องนี้ชัดเจนว่าต้องการทำให้ถูกกฎหมาย ให้เป็นไปตามที่ประชาคมโลกยอมรับ มีกติกาชัดเจน หากไม่ยอมรับตรงนี้เราก็ไม่สามารถอยู่ในสังคมโลกกับเขาได้ หากฝืนอีกหน่อยธุรกิจการประมงและที่เกี่ยวเนื่องจะขายให้ประเทศอื่นไม่ได้ ถึงเวลานั้นความเดือดร้อนผู้ประกอบการประมงทั่วประเทศ การกระทำใดหากให้ผู้อื่นเดือดร้อนไม่ควรทำ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับตัว แรกๆ อาจอึดอัดกับกฎหมาย กฎระเบียบที่ออกมา แต่นี่คือกติกาของสังคมโลกยอมรับถือปฏิบัติกัน ไม่เช่นนั้นเราอยู่ร่วมกับเขาไม่ได้

“ผมว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ทำก็ต้องการทำให้สังคมชาวโลกเห็นว่าเรามีการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ หรือที่เกี่ยวข้อง เรามีความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมาเป็นระยะเวลายาวนานให้มีมาตรฐานเช่นประเทศเจริญแล้ว ผมว่าการบังคับใช้กฎหมายที่ทำอยู่ขณะนี้กำลังถูกต้องแล้ว เราต้องทำ” พล.ต.อ.สมยศกล่าว

สายชล
21-07-2015, 20:29
GREENPEACE
9-07-15


กรมประมงยืนยันมาตรการขจัด IUU fishing ไม่มีการนิรโทษกรรมเครื่องมือประมงทำลายล้างและผิดกฏหมาย

http://www.greenpeace.org/seasia/th/PageFiles/693059/GP04N1X.jpg

เครือข่ายประมงพื้นบ้านและภาคประชาสังคม ประกอบด้วย สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิสายใยแผ่นดิน องค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย และกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงความชื่นชมหลังจากกรมประมงส่งหนังสือยืนยันอย่างเป็นทางการเรื่องมาตรการในการต่อสู้การประมงผิดกฎหมาย ไม่มีการรายงานและขาดการควบคุม (IUU) โดยระบุว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมเครื่องมือประมงทำลายล้าง 3 ชนิด คือ อวนลาก อวนรุน และเครื่องมือจับปลากระตักประกอบแสงไฟล่อในเวลากลางคืน

การยืนยันจากกรมประมงนี้ถือเป็นจังหวะก้าวสำคัญในการฟื้นฟูทะเลไทยจากวิกฤตการทำประมงเกินศักยภาพที่ดำเนินสืบเนื่องมาหลายทศวรรษ และการยกเลิกเครื่องมือประมงทำลายล้างเหล่านี้ยังจะส่งผลให้พันธุ์สัตว์น้ำในทะเลไทยมีโอกาสเติบโตและขยายพันธุ์ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภคและสังคมไทยในระยะยาว

กรมประมงได้ส่งหนังสือลงวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ตอบรับข้อเรียกร้องของเครือข่ายประมงพื้นบ้านและภาคประชาสังคมต่อกรณีใบเหลืองประมงจากสหภาพยุโรป โดยกรมประมงได้จัดทำร่างนโยบายการบริหารจัดการประมงทะเลไทยที่มีแผนระดับชาติในการป้องกันและยับยั้ง IUU fishing และมีการเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสมาคมประมง ผู้ประกอบการ และประมงพื้นบ้าน เข้าร่วมให้ข้อมูล และข้อคิดเห็นต่อการจัดการในเรื่องนี้

นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าวว่า

“การตอบรับและตัดสินใจเรื่องไม่นิรโทษกรรมเครื่องมือประมงผิดกฏหมายทั้ง 3 ชนิดนี้ เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ภาครัฐมีความใส่ใจนำข้อคิดเห็นจากประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลระดับชาติ และในอนาคตหวังว่าจะเกิดการจัดการแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมเช่นนี้ต่อไป”

การที่กรมประมงได้นำข้อคิดเห็นเหล่านี้มาปรับปรุงในร่างนโยบายการจัดการดังกล่าว โดยเนื้อหาสำคัญคือไม่มีการนิรโทษกรรมเครื่องมือทำลายล้างทั้ง 3 ชนิด เป็นเรื่องที่น่ายินดีซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันและรณรงค์ร่วมกันของประชาชนและเครือข่ายภาคประชาสังคม ที่ต่อสู้เรียกร้องประเด็นนี้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมาอย่างยาวนาน โดยความสำเร็จจากการรณรงค์ร่วมกันในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูทะเลไทยซึ่งเป็นทรัพยากรร่วมกันของชาติ อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

สายชล
21-07-2015, 20:42
ผู้จัดการออนไลน์
12-07-15

“หยุดประมงล้างผลาญ” แนวโน้มดีใน “รัฐบาลท็อปบูต” ..................... โดย ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008113601.JPEG
บรรจง นะแส

หากประเทศไทยไม่ถูกสหภาพยุโรป (EU) ให้ใบเหลืองอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ประชาชนทั่วไปก็คงยังไม่มีโอกาสได้รู้ว่า ที่ผ่านๆ มาในน่านน้ำไทยมีเรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมายออกทำการประมงอยู่กว่า 1 หมื่นลำ และเกือบจะทั้งหมดเป็นเรืออวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ซึ่งกรมเจ้าท่าสำรวจพบว่าเป็นเรือที่ไม่มีทะเบียนถึง 16,900 ลำ ส่วนเรือที่ตรงตามทะเบียนจริงมี 28,000 ลำ จากจำนวนเรือที่ขึ้นทะเบียนไว้ทั้งหมด 42,051 ลำ

เรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมายกว่า 16,900 ลำดังกล่าวคือ ประจักษ์พยานของ “ความล้มเหลว” ในนโยบายการแก้ปัญหาเรือประมงผิดกฎหมายของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย เป็นปัญหาเรื้อรังมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2503 ที่เริ่มนำเครื่องมืออวนลากที่จับสัตว์น้ำได้เพิ่มขึ้นมาใช้ทำประมง

ทว่า จากการศึกษาวิจัยในปี 2513 พบว่า การทำประมงด้วยอวนลากส่งผลให้มีการจับสัตว์น้ำหน้าดินจนเกินศักยภาพการผลิตของทะเล โดยในปี 2525 ผลผลิตของประมงอวนลากอยู่ที่ 990,000 ตัน เกินกว่ากำลังการผลิตของทะเลกว่า 30% เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทรัพยากรทะเลเกิดความเสื่อมโทรมอย่างมหาศาล

สะมะแอ เจ๊ะมูดอ ประธานสมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ชาวประมงพื้นบ้านทั้ง 23 จังหวัดของไทย ซึ่งมีสัดส่วนถึง 85% ของชาวประมงในประเทศ ต้องได้รับความเดือดร้อนจากเรือประมงพาณิชย์อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟอย่างสาหัสสากรรจ์

“ปี 2515 กระทรวงเกษตรฯ ห้ามทำประมงอวนลาก และอวนรุนในเขต 3,000 เมตรจากชายฝั่ง ป้องกันความขัดแย้งต่อชุมชน และไม่ให้ทำลายทรัพยากรมากเกินไป แต่ปรากฏว่า กลุ่มทุนจำนวนมากยังคงบุกรุกเข้ามาจับปลาในเขตหวงห้าม 3,000 เมตร เรือประมงเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจของนักลงทุน พวกเขาลงทุนใช้เครื่องมือชั้นเลว เพื่อหวังกอบโกยทำร้ายทรัพยากรทะเลและชาวประมงอื่นๆ มาโดยตลอด แม้ว่าไทยจะมีนโยบายควบคุมเครื่องมือประมงเหล่านี้ไม่ให้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็ใช้วิธีการลักลอบทำอย่างผิดกฎหมาย เมื่อถูกจับกุมมักวิ่งเต้นจ่ายค่าปรับ แล้วกลับมาทำผิดต่ออีก”

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008113602.JPEG

จากการศึกษาของ ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ นักวิจัยอิสระด้านการจัดการประมง พบว่า การแก้ปัญหาประมงของไทยดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่าเครื่องมืออวนลากได้ส่งผลกระทบหลายด้าน โดยในปี 2523 กรมประมงประกาศไม่ออกใบอนุญาตทำประมงให้แก่เรือประมงอวนลากใหม่ เพื่อลดจำนวนในระยะยาว

แต่ด้วยความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการ และกลุ่มประมงอวนลากในขณะนั้น ทำให้กรมประมงอนุญาตให้เรืออวนลากผิดกฎหมายที่ไม่มีทะเบียน ได้ไปจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือเป็นการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน ซึ่งการแก้ปัญหาในลักษณะนี้เกิดขึ้น 3 ครั้ง คือ ในปี 2525 ปี 2532 และปี 2539 เป็นนโยบายการแก้ปัญหาแบบไม่ฟังเสียงท้วงติงของเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านทั่วประเทศ

ล่าสุด คือปี 2555 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสนอแก้ปัญหาประมงพาณิชย์ผิดกฎหมาย ด้วยการนิรโทษกรรมเรือเถื่อนเช่นกัน ซึ่งนโยบายการแก้ปัญหาลักษณะนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขปัญหา และควบคุมเรือประมงผิดกฎหมายได้จริง

บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ให้ความเห็นว่า ผลประโยชน์จากเรือประมงพาณิชย์อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟผิดกฎหมาย ล้วนเกี่ยวโยงต่อกลุ่มข้าราชการ และนักการเมืองเกือบทุกพรรค และพบว่า สัตว์น้ำที่เรือเหล่านี้จับขึ้นจากทะเลคือ สัตว์น้ำวัยอ่อนนานาชนิด

“แล้วส่งขายให้แก่โรงงานปลาป่นในเครือข่ายธุรกิจของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ระดับ ‘เจ้าสัว’ ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับข้าราชการ และนักการเมืองทุกพรรคและทุกรัฐบาล” บรรจง กล่าวก่อนเสริมว่า

สัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมหาศาลถูกจับไปส่งโรงงานปลาป่น เพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์สำหรับเลี้ยงหมู ไก่ กุ้ง และปลาในฟาร์มเพาะเลี้ยงของบริษัทยักษ์ใหญ่ แหล่งอาหารโปรตีนของคนไทยจึงถูกแย่งชิงไปใช้ทำอาหารเลี้ยงสัตว์ กระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารของคนทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน ธุรกิจเรือประมงอวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ยังก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ ตามมาอีกมากมาย ทั้งการค้ามนุษย์ แรงงานทาส แรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนกล้าจัดการเพราะผลประโยชน์มันมหาศาล

แต่หลังจากคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ประกาศบังคับใช้กฎระเบียบการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ที่ไม่มีการรายงาน และที่ไม่มีกฎข้อบังคับ หรือ IUU (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU) อย่างเป็นทางการเมื่อ 29 ก.ย.2551 และกฎข้อบังคับนี้เริ่มมีผลต่อไทยในวันที่ 1 ม.ค.2553 การแก้ปัญหาเรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมายของไทยก็ได้ถูกจับตามองอย่างลับๆ จากคณะทำงานที่คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปแต่งตั้งให้ติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด

แล้วก็พบว่า การแก้ปัญหาเรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมายของไทยไม่มีอะไรพัฒนาไปในทางที่ดีเลย จนนำมาสู่การให้ “ใบเหลือง” แก่ไทย

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008113603.JPEG

นับจากวันที่ได้รับใบเหลืองจาก EU รัฐบาลไทยมีเวลา 6 เดือนเพื่อแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย โดยได้ออกมาตรการต่างๆ ประกอบด้วย 1.การปรับปรุง พ.ร.บ.การประมงและกฎหมายลำดับรอง 2.การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง IUU 3.การเร่งจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง 4.การพัฒนาระบบควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง โดยเฉพาะการควบคุมการเข้า-ออกท่าของเรือประมง 5.การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ และ 6.การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ให้ผู้ประกอบการเรือประมงพาณิชย์ดำเนินการภายใน 60 วัน มีผลเมื่อ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา

ส่งผลทำให้เรือประมงพาณิชย์ผิดกฎหมายกว่า 1 หมื่นลำ พากันมาจอดเทียบท่าไม่กล้าออกทะเล

มาตรการแก้ปัญหาครั้งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลุ่มผู้ประกอบการที่มีเรือประมงผิดกฎหมายอยู่ในครอบครอง รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการทำประมงล้วนได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน นักการเมืองบางคนจึงต้องออกโรงนำเสนอทางแก้แบบเดิมๆ คือ ให้นิรโทษกรรมเรือเถื่อนเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านๆ มา

ขณะที่เครือข่ายประมงพื้นบ้าน และภาคประชาสังคม ประกอบด้วย สมาพันธ์สมาคมชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิสายใยแผ่นดิน องค์การอ็อกแฟมประเทศไทย และกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการนิรโทษกรรมเรือเถื่อน พร้อมเสนอให้รัฐบาลประกาศยกเลิกการใช้อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ ยุติการทำลายล้าง แล้วหันมาฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ภาคประชาชนเสนอแนะต่อรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐแต่อย่างใด

ล่าสุด 9 ก.ค.กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนว่า เมื่อ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมงได้ส่งหนังสือตอบรับข้อเรียกร้องของเครือข่ายประมงพื้นบ้านและภาคประชาสังคมต่อกรณีใบเหลืองประมงจากสหภาพยุโรป โดยกรมประมงได้จัดทำร่างนโยบายการบริหารจัดการประมงทะเลไทยที่มีแผนระดับชาติในการป้องกันและยับยั้ง IUU fishing และมีการเชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสมาคมประมง ผู้ประกอบการ และประมงพื้นบ้านเข้าร่วมให้ข้อมูล และข้อคิดเห็นต่อการจัดการในเรื่องนี้ โดยระบุว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมเครื่องมือประมงทำลายล้าง 3 ชนิดคือ อวนลาก อวนรุน และเครื่องมือจับปลากระตักประกอบแสงไฟล่อในเวลากลางคืน

กรีนพีซ ระบุว่า การยืนยันจากกรมประมงนี้ถือเป็นจังหวะก้าวสำคัญในการฟื้นฟูทะเลไทย จากวิกฤตการทำประมงเกินศักยภาพที่ดำเนินสืบเนื่องมาหลายทศวรรษ และการยกเลิกเครื่องมือประมงทำลายล้างเหล่านี้ยังจะส่งผลให้พันธุ์สัตว์น้ำในทะเลไทยมีโอกาสเติบโต และขยายพันธุ์ และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่ผู้บริโภค และสังคมไทยในระยะยาว

ส่วนนายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย มองว่า การที่กรมประมงได้นำข้อคิดเห็นเหล่านี้มาปรับปรุงในร่างนโยบายการจัดการดังกล่าว โดยเนื้อหาสำคัญคือ ไม่มีการนิรโทษกรรมเครื่องมือทำลายล้างทั้ง 3 ชนิด เป็นเรื่องที่น่ายินดี ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดัน และรณรงค์ร่วมกันของประชาชน และเครือข่ายภาคประชาสังคมที่ต่อสู้เรียกร้องประเด็นนี้ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมมาอย่างยาวนาน โดยความสำเร็จจากการรณรงค์ร่วมกันในครั้งนี้จะส่งผลดีต่อการฟื้นฟูทะเลไทย ซึ่งเป็นทรัพยากรร่วมกันของชาติอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

“การตอบรับ และตัดสินใจเรื่องไม่นิรโทษกรรมเครื่องมือประมงผิดกฎหมายทั้ง 3 ชนิด เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่ภาครัฐมีความใส่ใจนำข้อคิดเห็นจากประชาชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนการแก้ปัญหา และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลระดับชาติ และในอนาคตหวังว่าจะเกิดการจัดการแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมเช่นนี้ต่อไป”

ปรากฏการณ์นี้ทำให้หลายคนมองเห็นว่า การแก้ปัญหาเรือประมงผิดกฎหมายของไทยที่เรื้อรังมานานกว่า 40 ปี เริ่มมีเค้าลางของความสำเร็จปรากฏให้เห็นบ้างแล้วในวันนี้

สายชล
21-07-2015, 20:44
คม ชัด ลึก
12-07-15


เปิดพื้นที่อนุรักษ์ 'วาฬบรูด้า' สัตว์ทะเลหายากที่ใกล้สูญพันธุ์ ..................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย ธนชัย แสงจันทร์

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/10/bb8gd7a6hchkeajjig7jk.jpg

ปัจจุบันสถานการณ์ทะเลไทยอยู่ในภาวะวิกฤติ ทรัพยากรทางทะเลเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหายากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เต่าทะเล พะยูน วาฬ และโลมา ซึ่งต่างตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

ที่น่าสนใจ ชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้พบเห็นสัตว์ทะเลหายาก เช่น เต่าทะเล พะยูน วาฬ และโลมา บาดเจ็บ เกยตื้นตายตามชายหาด หรือติดเครื่องมือประมงโดยบังเอิญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากการเก็บและรวบรวมข้อมูลสถานการณ์สัตว์ทะเลหายากในประเทศไทยรอบ 12 ปี (พ.ศ.2546- 2557) พบว่า สัตว์ทะเลหายากเกยตื้นตาย รวม 2,201 ตัว ประกอบด้วย เต่าทะเล 1,209 ตัว โลมาและวาฬ 851 ตัว และพะยูน 141 ตัว โดยในแต่ละปีมีแนวโน้มของการบาดเจ็บและเกยตื้นตายเพิ่มสูงขึ้น จึงถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะ "วาฬบรูด้า" ที่มีอัตราการเกิด และการตาย เท่ากันในอัตราร้อยละ 4-5 น้อยกว่าสัตว์ทะเลกลุ่มเสี่ยงชนิดอื่นๆ

“ก่อนหน้านี้ (ช่วงปี 2557) เกิดกระแส ‘บรูด้า ฟีเวอร์’ โดยนักท่องเที่ยวน้อยใหญ่ ทั้งที่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติ ต่างแห่ออกไปเฝ้าชมวาฬบรูด้าที่เข้ามาหาอาหารในบริเวณอ่าวไทยตอนบน หรือ อ่าวไทยรูปตัวกอ กลายเป็นการท่องเที่ยวทางเลือก สร้างรายได้ให้แก่ชาวเรือ ที่หยุดหาปลา มาพานักท่องเที่ยวชมวาฬไปไม่น้อย และจากความสวยงามของวาฬบรูด้าในยามที่โฉบเฉี่ยวปรากฏตัวเหนือน้ำทะเล เพื่อขึ้นมากินปลาเล็กปลาน้อย ถูกฉาบไว้ด้วย สถานการณ์เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ทั้งที่เกิดจากความตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจของมนุษย์ ก็นับว่าน่าเสียดาย”

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวด้วยว่า กรมเตรียมเสนอให้ “วาฬบรูด้า” เป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 16 ใน พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ซึ่งหากมีการขึ้นทะเบียนสำเร็จ “บรูด้า” จะเป็นสัตว์ทะเลตัวที่ 2 ต่อจากพะยูน ที่จะได้รับการประกาศเป็นสัตว์สงวนในรอบ 23 ปี ทั้งนี้เพื่อยกระดับความสำคัญของวาฬบรูด้า และเป็นการผลักดันให้การอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เสนอข้อมูลต่อกรมประมง เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องของสัตว์น้ำ ก่อนที่จะเสนอให้กระทรวงทัพยาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 60 วัน นับจากปลายเดือนมิถุนายน

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า การคุ้มครองสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์นั้น กรมให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทั้งด้านวิชาการและภาคประชาชน โดยในส่วนของเครือข่ายด้านวิชาการจะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และฐานข้อมูลทางวิชาการ ด้านแหล่งการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเลหายากแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยต่างๆ

นอกจากนี้ กรมยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น เพราะกลุ่มบุคคลที่มีโอกาสพบเหตุการณ์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประมงพื้นบ้าน ด้วยการสร้างความเข้าใจและให้ความรู้การช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากเบื้องต้นอย่างถูกต้อง ก่อนประสานแจ้งเหตุมายังหน่วยงานของกรม ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของสัตว์เหล่านี้ได้มากขึ้น

ด้าน สุรศักดิ์ ทองสุกดี นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการรักษาสัตว์หายากให้อยู่คู่ท้องทะเลไทยต่อไป อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเนื้อหา พ.ร.บ.ได้กำหนดบทบาทให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สามารถประกาศพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้

สำหรับพื้นที่ที่จะประกาศต้องมีสภาพสมบูรณ์ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชตามธรรมชาติ และเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุรักษ์ ดูแล และช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากแล้ว ยังสนับสนุนการทำงานร่วมกับเครือข่ายชุมชนเพื่อการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากที่มีอยู่ในท้องถิ่น

ส่วนสาระสำคัญของประกาศ เป็นการป้องกันการสูญพันธุ์ของวาฬบรูด้า ทั้ง 52 ตัว ที่เข้ามาหาอาหารในบริเวณอ่าวไทยตอนบน หรือ อ่าวไทยรูปตัว กอ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีปลาตัวเล็กอาศัยอยู่อย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นปากแม่น้ำ 4 สาย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา บางปะกง แม่กลอง และท่าจีน ทำให้วาฬบรูด้าปรากฏโฉมให้เห็นอยู่เป็นประจำ กระทั่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บริเวณอ่าวไทยรูปตัวกอ

“และการปรากฏตัวของเจ้าวาฬบรูด้าในบริเวณน่านน้ำไทยนั้น บงบอกถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศใต้ท้องทะเล แต่น่าเสียดายความสมบูรณ์ และความงดงามของธรรมชาติลดลง จากจำนวนขยะใต้ท้องทะเลที่เพิ่มมากขึ้นกว่า 52 ตัน เมื่อสัตว์ทะเลกินเข้าไปก็ส่งผลต่อร่างกายและต้องเกยตื้นตาย รวมทั้งการประมงที่ผิดประเภทเช่นกัน”

“ในขณะนี้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้เร่งสำรวจและเก็บดีเอ็นเอของวาฬ พร้อมกับการฝังชิพติดตามพฤติกรรม และการย้ายถิ่นอาศัย นอกจากนี้ยังได้ประสานไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ที่มีน่านน้ำติดกับไทย ให้เกิดความร่วมมือในการดูแลวาฬร่วมกัน” นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ กล่าว

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหว ในการผลักดันให้วาฬบรูด้า เป็นสัตว์สงวน เกิดขึ้นโดย ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีการเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย โดยการนำเสนอกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น การประกวดภาพวาดและภาพถ่าย สัตว์สงวนและสัตว์คุ้มครอง 24 ชนิด เพื่อชิงรางวัลมูลค่ามากกว่า 3 แสนบาท

ที่สำคัญมีการรณรงค์ให้มีการตระหนักถึงความสำคัญของวาฬบรูด้า และลงชื่อสนับสนุนให้มีการขึ้นทะเบียนวาฬบลูด้าเป็นสัตว์สงวน ผ่านเว็บ http://www.change.org/SaveOurWhale โดยแจ้งวัตถุประสงค์บางส่วนว่า “การผลักดันวาฬบรูด้าให้เป็นสัตว์สงวน จะช่วยยกระดับความสำคัญของวาฬ ทำให้เกิดมาตรการต่างๆ ในการดูแลและช่วยเหลือวาฬ เช่น ศูนย์วิจัยและช่วยเหลือวาฬ การให้ความรู้และสร้างการท่องเที่ยวชมวาฬอย่างยั่งยืน เช่น พิพิธภัณฑ์วาฬ เครือข่ายท่องเที่ยวชมวาฬ ฯลฯ ตลอดจนยกระดับให้วาฬบรูด้าเป็น "สัตว์สัญลักษณ์แห่งอ่าวไทย" ช่วยส่งเสริมให้กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงกลายเป็นแหล่งดูวาฬเชิงอนุรักษ์ระดับโลก และเกิดพลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในการอนุรักษ์ความสมบูรณ์ในอ่าวไทยไว้ให้จงได้” ซึ่งตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2558 มีผู้ร่วมลงชื่อแล้วกว่า 25,000 คน

อย่างไรก็ตาม นอกจากวาฬบรูด้าแล้ว ยังมีสัตว์ทะเลหายากกว่า 20 ชนิด ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากระบบนิเวศทางทะเล เช่น วาฬบรูด้า โลมา เต่ามะเฟือง กลุ่มปลาโรนัน ปลาโรนิน ซึ่งเกิดจากขยะ ท่องเที่ยว และประมง ที่เราทุกคนต่างมีส่วนกระทำทั้งสิ้น

สายชล
21-07-2015, 20:46
greennewstv
12-07-15

ประมงพื้นบ้าน-พาณิชย์ประสานเสียง ต้องหยุดเรือประมงทำลายล้าง ปีหน้ามีปลา 20 ล้านตัน

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/IMG_0841-1024x768.jpg

เวทีราชดำเนินเสวนา นายกสมาคมประมงพื้นบ้านรับ มาตรการหยุดเรือประมงทำลายล้างกระทบเรือประมงพื้นบ้านด้วย ที่ปรึกษาสมาคมเรือประมงไทยขอรัฐเพิ่มขนาดตาอวนลาก-จัดโซนนิ่งขนาดเรือ เผยโรงแรมดังบอยคอร์ตอาหารทะเลไทยมานานแล้ว ระบุหยุดเรือประมงทำลายล้าง ปีหน้าเพิ่มปริมาณปลาน่านน้ำไทย 20 ล้านตัน มูลค่า 2 ล้านล้านบาท

วันนี้ (13 ก.ค.) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดเวทีราชดำเนินเสวนาเรื่อง “แบนประมงผิดกฎหมายเด็ดขาด…คนทั้งชาติยังมีปลากิน?” ที่ชั้น 3 ห้องอิศรา อมันตกุล โดยมีตัวแทนจากประมงพื้นบ้าน องค์กรภาคประชาชน ตัวแทนประมงพาณิชย์ และตัวแทนจากกรมประมง เป็นผู้ร่วมเสวนา

“นายสะมะแอ เจะมูดอ” นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวทำความเข้าใจต่อประมงพื้นบ้านว่า มีองค์ประกอบหลายๆอย่าง ทั้งเรื่องของตัวเรือ เครื่องมือประมง หรือแม้กระทั่งแรงงานบนเรือ ซึ่งยอมรับว่าเรือประมงพื้นบ้านส่วนหนึ่งก็มีเครื่องมือประมงทำลายล้างเช่นกัน ซึ่งการออกมาตรการหยุดเรือประมงทำลายล้างก็กระทบกับประมงพื้นบ้านเช่นเดียวกัน ประมงพื้นบ้านเองก็ไม่สามารถขออาชญาบัตรได้ทุกเครื่องมือ

นายสะมะแอระบุว่า การบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาดช่วงนี้ไม่ได้ให้ประโยชน์กับเรือประมงพื้นบ้านมากนัก เพราะเป็นช่วงเดือนหงายที่ไม่ค่อยมีสัตว์น้ำ และยังมีมรสุม แต่ยังพอจับปลาได้ในทุกพื้นที่ตั้งแต่สตูลจนถึงภูเก็ต ต่างจากเมื่อก่อนที่ออกเรือประมงทุกประเภท ทำให้สัตว์น้ำค่อนข้างหายาก ซึ่งการที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรือประมงพาณิชย์หยุดทั้งหมด เพราะเราเองก็ต่างประกอบอาชีพประมงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต้องทำคือทบทวนเครื่องมือที่ใช้ ว่านั่นคือเครื่องมือทำลายล้างหรือไม่ ก็เพื่อความมั่นคงทางอาหาร

นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยยังฝากทางหน่วยงานรัฐบาลว่า ขอให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมทำงานอย่างบูรณาการ เพราะการทำการประมงนั้นมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแต่ละหน่วยงานต่างมีกฎหมายของแต่ละแห่ง บางแห่งก็ไม่เข้าใจวิถีชีวิตของชาวประมง อย่างเช่นห้ามเด็กออกเรือไปพร้อมกับพ่อแม่ หรือการที่เรือประมงหลบมรสุมมาขึ้นเกาะ กลับโดนเล่นงานจากกรมอุทยานฯ เป็นต้น

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/Picture3.jpg

ด้าน “นายนิธิวัฒน์ ธีระนันทกุล” ที่ปรึกษาสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แม้จะยอมรับถึงปัญหาการประมงว่าเราละเลยกันมากว่า 20 ปี ซึ่งในวันนี้เราจะละเลยต่อไปไม่ได้ แต่การบังคับใช้แบบรุนแรงและกะทันหันเช่นนี้เรียกได้ว่าล้มทั้งยืน ซึ่งการที่เรือประมงพาณิชย์ต้องหยุดเรือกันที่ผ่านมานั้นมิใช่เพื่อการประท้วงหรืออย่างใด ที่จริงต่างอยากออกไปจับปลาด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่ต้องหยุดเพราะกฎระเบียบเข้มข้นของราชการนั้นหนักหนาสาหัส และการจัดการแบบปุบปับเช่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะปรับตัวได้ทัน

ซึ่งข้อเสนอที่อยากฝากถึงรัฐบาลคือ ให้บังคับใช้กฎเกณฑ์บางประเภทที่จะแก้ปัญหาในระยะยาว เช่น เปลี่ยนขนาดตาอวนลากให้ใหญ่ขึ้น, ลดเครื่องมือประกอบการประมงเช่นเรือปั่นไฟล่อปลา, การขึ้นทะเบียนซั้งล่อปลา ควบคุมและมีการจัดการทางสถิติ, การทำโซนนิ่งให้เหมาะกับขนาดเรือ กำลัง แรงม้า และขนาดเครื่องมือ, การกำหนดเวลาในการทำการประมง, การกำหนดโควตาตามชนิดเครื่องมือการทำการประมง, การกำหนดโควตาปริมาณการจับสัตว์น้ำ, การพัฒนาเพื่อกระจายพื้นที่การทำการประมงเพื่อลดการทำลายพื้นที่เติบโต ไปทำประมงน้ำลึก, การพัฒนาระบบการติดตาม ควบคุม และการเฝ้าระวัง MCS, การพัฒนาระบบการตรวจสอบย้อนกลับให้เข้าถึง ฐานข้อมูลมากขึ้น และนำไปใช้ในการประเมินปริมาณสัตว์น้ำในอนาคต Stock assessment, การจัดการเพื่อยกระดับการดำรงชีพของชาวประมง การให้ชาวประมงเข้าถึงแหล่งความรู้ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปสู่อาชีพใหม่ทั้งในท้องถิ่นเดิม และการไปสู่ท้องถิ่นใหม่ Raise up Livelihood and development

“นายมาโนช รุ่งราตรี” ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาประมงทะเล กรมประมง กล่าวว่า หากเราย้อนดูตั้งแต่เริ่มแรกจะเห็นได้ว่าทางกรมประมงได้ดำเนินการแก้ไขการประมงผิดกฎหมายมาตั้งแต่ พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2490 ก่อนหน้าที่จะเกิดกระแสเรื่องของความยั่งยืนที่ทาง FAO ได้เริ่มเข้ามาร่างกฎระเบียบ แต่กฎดังกล่าวนั้นใช้วิธีดำเนินการด้วยความสมัครใจและร่วมมือ เมื่อไม่มีการบังคับก็ไม่เป็นที่สนใจ

หลังจากนั้นทางสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลรายใหญ่เกิดความกังวลว่าอาหารทะเลที่ส่งไปขายนั้นเกิดจากการประมงที่มีความรับผิดชอบหรือไม่ จึงต้องประกาศกฎการประมงที่ผิดกฎหมาย หรือ ไอยูยูฟิชชิ่ง ที่ต้องสามารถรับรองได้ว่าอาหารทะเลที่ได้มาจากการประมงที่ไม่ผิดกฎหมาย ปฏิบัติตามระเบียบ มีการรายงาน ควบคุม และตรวจสอบได้

ซึ่งทางกรมประมงเองก็ได้ดำเนินการป้องกันประมงผิดกฎหมายดังกล่าว มีทั้งการตรวจสอบย้อนกลับ มีการขึ้นทะเบียน มีอาชญาบัตร มีการทำรายงานบันทึก นอกจากนี้ยังรวมถึงการควบคุม มีการประกาศกฎระเบียบต่างๆ เช่นการห้ามทำประมงบริเวณแหล่งวางไขหรือแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ หรือการประกาศห้ามเครื่องมือประมงทำลายล้าง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ถ้ากลับไปดูแล้วจะดำเนินการไว้ค่อนข้างคลอบคลุมทุกด้าน

“แต่ในขณะเดียวกันการควบคุมที่ผ่านมาก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทางกรมประมงเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้มาก ด้วยกรมประมงเองก็เป็นกรมวิชาการ การดำเนินงานที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องของวิชาการโดยตลอด เมื่อเกิดเรือที่ผิดกฎหมายจำนวนมากมาย พอเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน”



ส่วน “น.ส.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ” ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาการบริหารทรัพยากรประมงเจอปัญหา ก็เพราะลักษณะทางธรรมชาติของทรัพยากรประมงนั้นบริหารจัดการได้ยาก ดำเนินการเหมือนแมวไล่จับหนู เมื่อแมวไม่อยู่หนูก็ร่าเริง จึงเป็นเรื่องที่ว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่เมื่อคนหนึ่งใช้มากแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นที่มีส่วนใช้ทรัพยากร เพราะฉะนั้นเราจึงประสบกับจุดวิกฤตเมื่อประมาณปี พ.ศ.2535-2536 แต่ก็ดีขึ้นเมื่อถึงปี 2538 เพราะหลายคนเริ่มปรับพฤติกรรมเมื่อรู้ว่าสุดท้ายแล้วในอนาคตต้องพึ่งพาทรัพยากร และต้องปล่อยให้ฟื้นฟู แต่หากมองในมิติของการประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เมื่อเขามองว่าต้องหากินในวันนี้ หากปลาที่จับได้วันนี้แล้วอย่าคิดว่าพรุ่งนี้ปลาเหล่านั้นจะมาให้จับอีก นี่คือลักษณะมุมมองต่อการใช้ทรัพยากรที่ต่างกัน

นอกจากนี้ในด้านของผู้บริโภคเองไม่มีทางรู้ว่าอาหารทะเลที่เลือกมาจากการประมงทำลายล้างหรือไม่ เมื่อมาถึงตลาดลักษณะก็เหมือนกันหมด ปัญหาคือระบบตลาดในประเทศมีการผูกขาด เมื่อปลาทุกตัวจะต้องไปเวียนตามสะพานปลาขนาดใหญ่ก่อน กว่าจะมาถึงผู้บริโภคจึงไม่ปลอดภัยต่อสารเคมี รวมถึงผู้กำหนดราคากลางกลับไม่ใช่พ่อค้าแต่เป็นตลาดปลา เรามีระบบที่เพี้ยนมาตลอด เราจึงต้องสร้างทางเลือกเส้นทางปลาใหม่ อย่าผูกขาดว่าจะต้องประมูลที่สะพานปลา

“จริงๆแม้เราจะไม่ได้โดนไอยูยูในวันนี้ แต่เราก็โดนฝรั่งแบบอาหารทะเลในประเทศมานานแล้ว โรงแรมห้าดาวหลายแห่งไม่เลือกซื้อปลาไทย หลายรายเลิกซื้อปลาไทยจนกระทั่งได้มาเจอกับตลาดปลาพื้นบ้าน เขาก็ถามว่าจับมาจากไหน มีสารเคมี มีการใช้แรงงานทาสหรือเปล่า จะเห็นได้ว่าคนต่างชาติเองเขาก็สงสัยว่าทำไมเรามีชายฝั่งที่ยาวไกลแต่กลับมีผลผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ และอยากจะเห็นหน้าตาของการประมงไทยเปลี่ยนจากการส่งออกกุ้งราคาถูก มาเป็นปลาคุณภาพที่มีราคาแพง”

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/Picture2-1024x562.jpg

ขณะที่ “นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี” กรรมการสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า พื้นที่จับสัตว์น้ำไทยนั้นมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าทั่วโลก ตามข้อมูลแล้วเราจับปลาได้กว่าล้านตันจากน่านน้ำในประเทศ อีกกว่าล้านตันนอกน่านน้ำไทย นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่ว่าคนไทยกินอาหารทะเลรวมกันประมาณ 2 ล้านตันหรือ 28-31 กก.ต่อคน/ปี เทียบกับคนอเมริกันที่ 50 กก.ต่อคน/ปี และคนญี่ปุ่นที่ 69 กก.ต่อคน/ปี เมื่อดูปริมาณการส่งออกก็อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านตัน เพราะฉะนั้นจึงสามารถอนุมานได้ว่าหากจะให้เพียงพอกับการบริโภคในประเทศและส่งขายต่างประเทศ เราจึงต้องมีปลาในระบบจากทั้งผลผลิตในประเทศ ส่วนที่นำเข้า และการเพาะเลี้ยง ประมาณ 4 ล้านตัน

หากดูในส่วนข้อมูลของสัตว์น้ำที่จับได้ในประเทศประมาณ 1.1-1.2 ล้านตัน กว่า 80% หรือคิดเป็น 8-9 แสนตันมาจากการประมงพาณิชย์ หากในจำนวนนั้นกว่า 50% หรือประมาณ 4-5 แสนตันเป็นปลาเป็ด หรือลูกปลาที่จะผลิตเป็นปลาป่นป้อนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งก็ตรงกับข้อมูลปลาเป็ดในระบบจากกรมประมง และในจำนวนนั้นกว่า 30% หรือประมาณ 1.5-2 แสนตันคือปลาเป็ดเทียมหรือปลาเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเป็นปลาทูซึ่งหากปล่อยให้โตหนึ่งปีจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า นั่นเท่ากับว่าหากเราหยุดการประมงทำลายล้างได้ ในหนึ่งปีข้างหน้าเราจะมีจำนวนปลาในท้องทะเลเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านตัน

“เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าหากเราหยุดอวนลากอวนรุนแล้ว คนในชาติจะยังมีปลากินหรือไม่ อย่าว่าแต่กินเลย ผมขอใช้คำว่าเรามีอาบได้เพราะมันมากมาย หากคิดราคาปลาทูที่กิโลกรัมละ 100 บาท เราจะมีทรัพย์สินของการประมงที่สต็อกอยู่ในท้องทะเลเท่ากับ 2 ล้านล้านบาทในหนึ่งปี แม้การเทียบอย่างนี้จะไม่ถูกนักเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมาก แต่ต่อให้ลดตัวเลขลงไปอีก 70-80% นั่นก็ยังเป็นจำนวนมหาศาลอยู่ดี”

“นายวรพงศ์ สาระรัตน์” เจ้าหน้าที่ประมงอาวุโสปฏิบัติหน้าที่นิติกร กรมประมง กล่าวว่า เครื่องมือหลักจัดการทรัพยากรในเวลานี้คือกฎหมาย ซึ่งอันเดิมถูกออกแบบไว้ตั้งแต่ปี 2490 ที่ทรัพยากรในเวลานั้นยังมีมากมาย โดยหลักคิดในเวลานั้นคือการจัดการยังเป็นของรัฐ ต่อมากรมประมงเริ่มทำกฎหมายฉบับใหม่ตั้งแต่ปี 2543 จนมาสำเร็จในปี 2558 ซึ่งความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือเพิ่มกระบวนการมีส่วนร่วมในการออกแบบ เพราะในมุมของกฎหมายกับการบังคับใช้นั้น หากเรามีตัวกฎหมายที่ดีการบังคับใช้ก็จะดีไปด้วย แต่หากกฎหมายไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นจริงก็จะเกิดปัญหา การที่เราจะทำให้กฎหมายสอดคล้องก็คือการมีส่วนร่วมจากผู้ที่เกี่ยวข้องนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายใหม่ฉบับนี้ จะต้องมีการตรากฎหมายลำดับรองอีก 70-80 ฉบับ ซึ่งก็อาจไม่ทันกับความเร่งด่วนในปัจจุบัน จึงมีการออกประกาศคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10 เพื่อใช้แก้ปัญหาไปพลางๆก่อน โดยเน้นการมีส่วนร่วมที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มกันของชาวประมง แล้วมาขึ้นทะเบียนเพื่อสิทธิที่จะสามารถส่งผู้แทนมาเป็นคณะกรรมการประมงจังหวัด สามารถออกแบบกฎในระดับพื้นที่ได้มากขึ้น ซึ่งเรื่องของคณะกรรมการประมงจังหวัดที่ผ่านมายังไม่เคยมี

“บทบาทที่สำคัญคือการมาช่วยกันออกกติกาเรื่องการจับสัตว์น้ำทั้งหลายให้เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาออกโดนส่วนกลางที่ขาดความเหมาะสมไปบ้าง รวมทั้งความล่าช้า เพราะฉะนั้นในกฎหมายประมงฉบับใหม่เป็นจึงเป็นกฎหมายที่เกิดการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น การจัดที่ทำสอดคล้องกับพื้นที่ ตอบโจทย์ต่างๆตามที่เราคาดหวังไว้มากขึ้น”

สายชล
21-07-2015, 20:57
greennewstv
15-07-15


พ.ร.บ. ประมงฉบับใหม่ ยังไม่ปลดล็อคใบเหลือง EU

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/PNOHT580705001005601.jpg

หลังจากที่มีการผลักดันมาอย่างยาวนานในที่สุด พ.ร.บ.ประมง 2558 ก็ถูกประกาศใช้ไปแล้ว เพื่อแก้ปัญหาประมงในน่านนํ้าไทยที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อสำรวจรายละเอียดก็ยังไม่สามารถปลดพันธการจากคำเตือนของสหภาพยุโรปในการป้องกันและยับยั้งการทำประมงผิดกฎหมายได้

ตั้งแต่ปี 2543 ได้มีความพยายามจากภาครัฐและประชาสังคม เพื่อร่างแก้ไขกฎหมายประมงใหม่จากเดิมที่ใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประมง 2490 ซึ่งได้ผ่านกระบวนขั้นตอนอย่างยาวนาน จนในที่สุดฉบับใหม่คือ พ.ร.บ.ประมง 2558 นี้ก็ได้ประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา เพราะมีการกดดันจากสหภาพยุโรป (EU) ที่ให้ใบเหลืองอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทย เนื่องจากพบมีการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) แต่ทั้งนี้สาระสำคัญของ พ.ร.บ. ที่เร่งให้ผ่านมาฉบับนี้ในสายตาของผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านยังมองว่าไม่ตอบโจทย์ และครอบคลุมประเด็นที่ถูกกดดันจาก EU นัก เพราะยังขาดมิติการแก้ปัญหาที่สอดคล้องระหว่างประเทศ การทำประมงนอกน่านน้ำที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่ EU จับตามองอยู่ รวมทั้งการที่ยังไม่มีกฎหมายลูกครบถ้วน จึงยังไม่อาจหวังได้ว่าจะแก้ปัญหาประมงได้อย่างยั่งยืน

โดย IUU Fishing ที่ทางสหภาพยุโรปได้ตั้งมานั้น นอกจากการทำผิดกฎหมายขาดการควบคุมและรายงานแล้ว ยังรวมไปถึงการทำประมงในเขตน่านน้ำของประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือฝ่าฝืนต่อระเบียบและกฎหมาย และการทำประมงที่ไม่สอดคล้องกับความรับผิดชอบของรัฐเพื่อการเพิ่มจำนวนปลาด้วย ซึ่งหลังจากไทยได้ใบเหลืองจาก EU ซึ่งขณะนั้นอยู่ในห้วงเดือนเมษายน พ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่ยังไม่ประกาศใช้ ทำให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 10/2558 เรื่องการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย และให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (สปมผ.) และรัฐบาลก็พยายามออกมาตรการเร่งด่วนมาแก้ไข เช่น การเร่งจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง รวมถึงการปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรองด้วย ทำให้กระบวนการพิจารณา พ.ร.บ.ฉบับนี้ที่ยืดเยื้อมายาวนานได้รับการพิจารณาภายใน 7 เดือน จึงทำให้มีข้อพกพร่องไม่ครอบคลุมทุกประเด็นเท่าที่ควร

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/IMG_0848-1024x768.jpg

ในเวทีราชดำเนินเสวนา “แบนประมงผิดกฎหมายเด็ดขาด…คนทั้งชาติยังมีปลากิน?” ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม และสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา นายวรพงศ์ สาระรัตน์ เจ้าหน้าที่ประมงอาวุโสปฏิบัติหน้าที่นิติกร กรมประมง ได้ชี้แจงสาเหตุที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ว่าอาจเป็นเพราะกระบวนการร่างกฎหมายที่ที่มานานกว่า 15 ปี ทำให้ยังไม่สอดรับกับประเด็นใหม่ที่เข้ามาเช่น การลงทุนจับปลานอกน่านน้ำไทยซึ่งมีมิติที่เปลี่ยนไป

“ก็ได้มาระดับหนึ่งแต่ก็ยังขาดเรื่องของความสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะตอนที่กฎหมายนี้เริ่มทำตั้งแต่ปี 2543 มาเสร็จปี 2558 เราก็ไปเน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมของชุมชน แต่ว่ามิติระหว่างประเทศเรายังไปไม่ถึง เราก็เลยใส่ได้น้อย อีกอย่างหนึ่งก็คือหากไปแก้เยอะจะมีปัญหา เพราะร่างเดิมเราทำมาอย่างนี้ ในเวลานั้นมิติของกฎหมายระหว่างประเทศมันยังเข้ามาไม่เยอะ เรือที่ไปจับปลานอกน่านน้ำมันก็มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนไปเยอะ เช่น การไปลงทุนจับปลากับต่างประเทศโดยที่ไม่ได้ใช้เรือของเรา แล้วทีนี้เกิดไปจับปลาผิดกฎหมาย คนนั่งอยู่บ้านก็สบายใจ ลงทุนอย่างเดียว มิติของกฎหมายทำแบบนี้ไม่ได้ เหมือนรัฐไม่รับผิดชอบ”

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/21-1024x740.jpg

ทั้งนี้นิติกรของกรมประมงเห็นว่ายังมีข้อดีของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ที่จะเน้นไปที่การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนโดยผ่านคณะกรรมการจังหวัด เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาการจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายยังด้อยอยู่มาก เพราะเป็นการดำเนินงานจากภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเดิมการตรวจการทำประมงผิดกฎหมายนั้น มีหน่วยงานหลักที่ดูแลคือหน่วยตรวจการของกองบริการจัดการด้านการประมง ซึ่งมีเจ้าหน้าอยู่เพียง 700 คนเท่านั้น ดูแลทั้งน้ำจืดและทะเล ไม่สามารถดูแลได้เพียงพอ

“เดิมรัฐกำหนดฝ่ายเดียว แล้วชาวบ้านไม่ได้ร่วมกันคิด เขาก็ไม่ยอมรับ ฝ่าฝืน เขาบอกว่าเป็นทรัพยากรของรัฐเขาก็เข้าไปจับ ใครได้มากก็ได้ประโยชน์ แต่คอนเซ็ปใหม่ก็คือเป็นทรัพยากรร่วมกัน กติกานี้เพื่อที่จะรับผิดชอบอนาคตของพวกเรา ถ้าเราจับปลามาเยอะ วันหน้าจะเอาปลาที่ไหนกิน ถ้าคิดร่วมกันแล้วการฝ่าฝืนมันก็จะน้อยลง การบังคับใช้มันก็จะราบรื่นขึ้น” นายวรพงศ์กล่าว

อย่างไรก็ตามนายวรพงศ์กล่าวว่า ภายหลังจากนี้จะมีการเสนอร่างใหม่เพื่อแก้ไขเพิ่มมิติเรื่องระหว่างประเทศให้ครอบคลุม และมีการออกกฎหมายลูกมารองรับซึ่งอาจต้องใช้มากกว่า 70 ฉบับเพื่อแก้ปัญหาประมงไทยให้มีการยอมรับจากสหภาพยุโรป และเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรชายฝั่งทะเลไทยอีกต่อไปด้วย

http://www.greennewstv.com/wp-content/uploads/2015/07/31.jpg

ขณะที่ น.ส.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ หัวหน้างานจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดิน ได้ให้ความเห็นต่อ พ.ร.บ.ฉบับนี้เช่นเดียวกันว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ความสำคัญที่เรื่องการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง แต่ยังขาดเรื่องของการจัดการกับการทำประมงนอกชายฝั่งและนอกน่านน้ำที่เกินออกไปจากระยะ 3 ไมล์ทะเล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไข อีกทั้งยังไม่มีได้พูดถึงเรื่องการจับปลาเกินศักยภาพซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่เชื่อมโยงกับปัญหาความยั่งยืนของทรัพยากรไทยอีกด้วย

“เรื่องน่านน้ำและประมงนอกชายฝั่งถูกพูดถึงน้อยมากซึ่งมันเป็นเป็นประเด็นที่ EU กังวลว่าเราจะจัดการเรือใหญ่อย่างไร เพราะว่า พ.ร.บ.2558 นี้พูดถึงเรื่องอำนาจจังหวัดที่จะดูแลเรื่องเขต 3 ไมล์ทะเล แต่ว่าพอหลังจากนั้นไม่ได้ให้รายละเอียด แล้วก็เรื่องนอกน่านน้ำไม่ได้พูดว่าจะถูกจัดการด้วยกฎหมายอย่างไร พูดแต่ว่าเป็นอำนาจของส่วนกลางเท่านั้น ซึ่งก็ต้องไปออกกฎหมายลูกอีกทีว่าจะทำอย่างไร แต่ว่ากฎหมายใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญ ไม่ได้มีนโยบายชัดเจนว่าจะทำอย่างไร คิดว่าตรงนี้เป็นประเด็นใหญ่ที่สหภาพยุโรปตั้งคำถาม และ พ.ร.บ.ประมง 2558 ไม่ได้พูดถึง overfishing นัก คือเรื่องของการจับปลาตัดตอนหรือเรื่องอวนลาก อวนรุน ซึ่งสัตว์น้ำ 70 เปอร์เซ็นต์มันถูกจับไปเป็นอาหารสัตว์จำนวนมาก พ.ร.บ.2558 การควบคุมดูแลบริหารจัดการไม่ให้เกิด overfishing มันไม่ได้ถูกพูดถึง ไม่มีการแก้ปัญหา พูดแต่ห้ามเครื่องมือชนิดไหนบ้าง แต่ไม่ได้พูดถึงปลาที่จับได้ขึ้นมา” น.ส.สุภาภรณ์กล่าว

พ.ร.บ.ประมง 2558 ที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็น “ดาบอาญาสิทธิ์” ที่จะถูกนำไปแก้ปัญหาประมง และช่วยฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของประเทศอย่างยั่งยืน และยังโฆษณาว่าเป็นกฎหมายประมงฉบับแรกที่สร้างความมีส่วนร่วมจากประชาชนและท้องถิ่นให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาประมงในระยะยาว แต่ถึงขณะนี้ก็ยังขาดอีกหลายมิติที่เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ นั่นจึงทำให้ยังไม่อาจความเชื่อมั่นได้ว่าจะสามารถปลดพันธการจากคำเตือนของ EU ได้อย่างแท้จริง

สายชล
21-07-2015, 21:01
ผู้จัดการออนไลน์
17-07-15

คนกินปลาเฮ! มติ ศปมผ.ยกเลิกเครื่องมือประมงทำลายล้าง คาดออกประกาศกฎกระทรวงเร็วๆนี้

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008354502.JPEG
(ภาพ : Greenpeace)

ศูนย์ข่าวภาคใต้ - นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยเผยคนกินปลาเตรียมเฮหลังที่ประชุม ศปมผ.มีมติให้ให้ออกประกาศยกเลิกเครื่องมือประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ อวนรุน ไอ้โง่ อวนล้อมปลากะตักปั่นไฟและโพงพาง คาดออกประกาศเป็นกฎกระทรวงเหมือนอินโดฯ ชี้ถือเป็นชัยชนะของคนกินปลาทั่วประเทศที่ตื่นตัวจนมีแรงขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดี

วันนี้ (16 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพหน้าของการประชุมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมายในที่ประชุมของศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) โดยในภาพระบุข้อความว่า “มติที่ประชุม ศปมผ.ครั้งที่ 11/2558”

“2.ให้ สน.กม.ศปมผ.ออกประกาศยกเลิกเครื่องมือการทำประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำ ได้แก่อวนรุน (ยกเว้นอวนรุนเคย) ไอ้โง่ อวนล้อมปลากะตักปั่นไฟและโพงพาง”

“3.ให้ กปม.กำหนดจำนวนและขนาดเครื่องมือการทำประมงที่จะใช้กับเรือประมงแต่ละประเภท โดยรายงานให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป”

http://mpics.manager.co.th/pics/Images/558000008354501.JPEG
(ภาพ : บรรจง นะแส)

เกี่ยวกับเรื่องนี้นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ซึ่งเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ได้เปิดเผย ‘ASTVผู้จัดการภาคใต้’ ว่าถือเป็นมิติที่ดีมากๆ ของการแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมายของประเทศไทยแต่ในทางปฏิบัติยังต้องรอดูเพราะเกินศักยภาพของกรมประมงเพราะฉะนั้นทุกภาคส่วนต้องบูรณาการ ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ มีในพื้นที่ไหน หัวหน้าส่วนนั้นๆ ต้องร่วมรับผิดชอบมาตรการแก้ไขให้สำเร็จถึงจะเป็นจริง

“เพราะตัวอย่างอวนรุนในทะเลสาบสงขลามีกฎหมายห้ามชัดเจนแต่ก็มีอวนรุนกว่า 100 ลำเป็นตัวอย่าง ส่วนแนวโน้มความเป็นไปได้คาดว่าเพื่อความรวดเร็วคงออกมาเป็นประกาศกระทรวง เหมือนกับประเทศอินโดนีเซียที่ออกประกาศกฎกระทรวงยกเลิกเครื่องมือพวกนี้ไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผมมีข้อสังเกตเรื่องมติคืออ้วนล้อมปั่นไฟมีกฎหมายห้ามอยู่แล้วอยากให้กรมประมงไปดูประกาศกระทรวงที่อดีต รมช.เกษตรฯ นายมณฑล ห้ามไว้ชัดเจนแต่เลี่ยงบาลีให้เรือปั่นไฟใช้อวนช้อน ครอบ ยก เจตนารมณ์คือให้กลับไปใช้ประกาศของอดีตรมช.บุญเอื้อ คือยกเลิกการทำการประมงด้วยเรือปั่นไฟ”

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า อย่างไรก็ตามหากมองในมิติของการต่อสู้กับการทำประมงที่ผิดกฎหมายมายาวนานไม่ต่ำกว่า 30 ปี ถือว่าเป็นชัยชนะของคนกินปลาทั่วประเทศที่ตื่นตัวจนมีแรงกดดันสูงมากพอจนสามารถผลักดันเรื่องนี้ได้

สายชล
21-07-2015, 21:12
แนวหน้า
17-07-15

มติ 'ศปมผ.' ยกเลิก 4 เครื่องจับปลา ยึดเวลาบริการประมงถึง 24 ก.ค.นี้

http://static.naewna.com/uploads/news/source/169033.jpg

16 ก.ค.58 พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เป็นประธานในการประชุม การติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหา ตามข้อสังเกตในการตรวจเยี่ยมของคณะสหภาพยุโรป ของ ศปมผ.ครั้งที่ 11 ณ ห้องประชุมกองบัญชาการกองทัพเรือ วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ โดยในวันนี้มีหัวหน้า ผู้แทน ส่วนราชการใน ศปมผ.และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

โดยมติที่ประชุมมีดังนี้

1.ให้ศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) โดยศูนย์การแจ้งเรือเข้า/ออก (PIPO) ร่วมกับกรมประมง กรมเจ้าท่า และ กสทช.ขยายช่วงเวลาการออกหน่วยบริการด้านการประมงเคลื่อนที่ จนถึงวันที่ 24 ก.ค.58 โดยให้สมาคมการประมงต่างๆ ประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงได้รับทราบต่อไป

2.ให้ส่วนกฎหมายและจัดระเบียบเรือประมง (สน.กม.ศปมผ.) ออกประกาศยกเลิกเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำได้แก่ อวนรุน (ยกเว้นอวนรุนเคย) ไอ้โง่ อวนล้อมปลากระตักปั่นไฟ และโพงพาง

3.ให้กรมประมงกำหนดจำนวน และขนาดเครื่องมือทำการประมงที่ใช้กับเรือประมงแต่ละประเภท โดยรายงานให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาในการกระชุมครั้งต่อไป

4.ให้สำนักงานเลขานุการ ศปมผ.(สล.ศปมผ.) ร่วมกับกรมประมง และกรมเจ้าท่า ดำเนินการกำหนดพื้นที่ทำการประมงของเรือประมงพื้นบ้าน และประมงพาณิชย์ ให้มีความชัดเจน และรายงานให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป และ

5.ให้ส่วนกฎหมายและจัดระเบียบเรือประมง (สน.กม.ศปมผ.) และคณะทำงานจัดทำนโยบาย จัดการด้านการประมงทะเล ชี้แจงรายละเอียดตามข้อคิดเห็นในการประชุมครั้งต่อไป

สายชล
21-07-2015, 21:13
แนวหน้า
17-07-15

ส่องแผนเซฟชีวิต ‘วาฬบรูด้า’ อีก 2 ขั้น ดันสู่ ‘สัตว์สงวน’ เป็นจริง

http://static.naewna.com/uploads/news/source/169036.jpg

สถานการณ์ท้องทะเลไทย ณ ปัจจุบัน ถือได้ว่าอยู่ในขั้น “วิกฤติ” เพราะทรัพยากรที่เคยสมบูรณ์ นับวันจะยิ่งทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ “กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก” ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการ “สูญพันธุ์”

ระยะหลังๆ ภาพการ “เกยตื้นตาย” ตามชายหาดของกลุ่มสัตว์ทะเลหายาก เช่น “วาฬ-โลมา-พะยูน-เต่าทะเล” ปรากฏให้เห็นมากขึ้นและต่อเนื่อง ซึ่งจากการเก็บข้อมูลสถานการณ์สัตว์ทะเลหายากในประเทศไทยรอบ 12 ปี หรือตั้งแต่ปี 2546-2557 ของ “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง” หรือ ทช. พบว่า มีสัตว์ทะเลเกยตื้นตาย รวม 2,201 ตัว ประกอบด้วย เต่าทะเล 1,209 ตัว คิดเป็น 55%, โลมาและวาฬ 851 ตัว คิดเป็น 39% และพะยูน 141 ตัว คิดเป็น 6% และในแต่ละปีมีแนวโน้มของการเกยตื้นเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะ.....

“วาฬบรูด้า”!!!

ที่ “เป็น-ตายเท่าๆกัน” เพราะมีอัตราการเกิดและการตายเท่ากันในอัตรา 4-5% น้อยกว่าสัตว์ทะเลกลุ่มเสี่ยงชนิดอื่นๆ จึงถือเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ไม่เช่นนั้นในอนาคต “วาฬบรูด้า” ที่กลุ่มนักอนุรักษ์ยกให้เป็น “สัญลักษณ์แห่งอ่าวไทย” คงเหลือไว้เพียงชื่อ

http://static.naewna.com/uploads/userfiles/images/P01_opt.jpeg

นี่จึงกลายเป็นที่มาของการผลักดันให้มีการ “ขึ้นบัญชีวาฬบรูด้า” ในฐานะ “สัตว์สงวน” ของกลุ่มนักวิชาการ “คนรักวาฬบรูด้า” ที่ลุกขึ้นมารณรงค์-เรียกร้องผ่านเว็บไซต์ www.change.org/saveourwhale ซึ่งเมื่อพลิกดูรายชื่อ “บัญชีสัตว์” ที่ได้รับการประกาศเป็น “สัตว์สงวน” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 พบว่า ประเทศไทยมีการขึ้นบัญชีสัตว์ไว้ 15 ชนิด ได้แก่ 1.นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร 2.แรด 3.กระซู่ 4.กูปรี หรือโคไพร 5.ควายป่า หรือมหิงสา 6.ละอง หรือละมั่ง

7.สมัน หรือเนื้อสมัน 8.เลียงผา 9.กวางผา 10.นกแต้วแล้วท้องดำ 11.นกกระเรียน 12.แมวลายหินอ่อน 13.สมเสร็จ 14.เก้งหม้อ โดยชนิดที่ 15 ลำดับสุดท้ายที่ได้มีการขึ้นบัญชีเป็นสัตว์สงวนไว้ คือ“พะยูน” หรือ “หมูน้ำ” ที่ถูกเสนอเป็นสัตว์สงวนในปี 2503

ถ้า “วาฬบรูด้า” ได้รับการขึ้นบัญชี จะเป็น “สัตว์สงวนชนิดที่ 16” ของประเทศไทย จะถือเป็นการทลายกำแพงที่กั้นขวางการขึ้นบัญชี “สัตว์สงวน” เป็นครั้งแรกในรอบ 55 ปี!!!

ข้อมูลของ “ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” นักวิชาการด้านทะเล และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) หนึ่งในผู้ร่วมผลักดันในเรื่องนี้ ระบุว่า “วาฬบรูด้า”เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเล มีความยาวเกิน 15 เมตร น้ำหนักมากกว่า 20 ตัน จึงถือเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดที่อาศัยอยู่เป็นประจำในประเทศไทย ปกติ “วาฬบรูด้า” จะเข้ามาหากินในพื้นที่ชายฝั่ง จ.ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และกรุงเทพฯ ทำให้ไทยถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี “วาฬบรูด้า” เข้ามาหากินใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด

นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ทะเลชนิดเดียวที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานชื่อ คือ “สายสมุทร และสมสมุทร” แต่ปัจจุบันมีเพียง 50 ตัว ในอ่าวไทย จึงสมควรต้องอนุรักษ์ไว้

ทั้งนี้ ปริมาณสัตว์ทะเลหายากลดน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะ “วาฬบรูด้า” เหลือเพียง 50-70 ตัว และในรอบ 4 ปี วาฬตายมากถึง 15 ตัว ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยจากการศึกษาจำนวนประชากรวาฬในประเทศไทย ระหว่างปี 2553-2557 พบจำนวนประชากรวาฬบรูด้าในอ่าวไทย 50 ตัว เป็นแม่วาฬบรูด้าที่มีลูก 13 ตัว และพบลูกวาฬเกิดใหม่ 21 ตัว ในแต่ละปีมีลูกเกิดใหม่ 2-5 ตัว

อย่างไรก็ตาม ยังมีการตายของวาฬบรูด้าอยู่ระหว่างปีละ 1-4 ตัว ตายสะสมรวม 14 ตัว ในจำนวนนี้เป็นลูกวาฬบรูด้ามากถึง 3 ตัว อัตราการตายเฉลี่ยที่มีมากกว่า ร้อยละ 5 ต่อปี ทำให้กลุ่มประชากรวาฬบรูด้าในอ่าวไทยกลุ่มนี้อยู่ในภาวะความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

“พฤติกรรมหากินของวาฬชนิดนี้ ปกติชอบจับกลุ่มกันออกหาอาหาร โดยแหล่งอาหารของวาฬบรูด้ายังใช้เป็นตัวบ่งชี้ความสมบูรณ์ของทะเลในบริเวณดังกล่าวได้ด้วย ซึ่งการพบวาฬบรูด้าในอ่าวไทยตอกย้ำว่าทะเลไทยสมบูรณ์
แค่ไหน จึงถึงเวลาที่จะให้วาฬบรูด้าถูกจัดให้เป็นสัตว์สงวนลำดับที่ 16 เพื่อหยุดความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของวาฬบรูด้า สัตว์ประจำถิ่นขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยชนิดนี้” ธรณ์ กล่าว

จนล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ภารกิจผลักดัน “วาฬบรูด้า” เป็น “สัตว์สงวน” ได้ผ่านขั้นตอนที่ 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อที่ประชุม “กรมประมง” เห็นควรให้นำเสนอวาฬบรูด้า วาฬโอมูระ ฉลามวาฬ และเต่ามะเฟือง เพื่อเป็นสัตว์สงวน

ขั้นตอนต่อไป คือ ส่งผ่านให้คณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพิจารณา จากนั้นนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา เพื่ออนุมัติออกเป็นรายชื่อแนบท้ายพระราชกำหนดต่อไป

เท่ากับเหลือ “บันได” อีกเพียง 2 ขั้น “วาฬบรูด้า” และสัตว์ทะเลหายากในกลุ่มเดียวกัน จะขยับขึ้นสู่การเป็น “สัตว์สงวน” ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงโอกาสที่มันจะอยู่รอดมีมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจาก “วาฬบรูด้า” แล้ว ยังมีสัตว์ทะเลหายากกว่า 20 ชนิด ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์จากระบบนิเวศทางทะเลที่เสื่อมโทรมเช่นกัน ซึ่ง ทช. หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบไม่ได้นิ่งนอนใจ.....

“ชลธิศ สุรัสวดี” อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทั้งด้านวิชาการและภาคประชาชน ในส่วนของเครือข่ายด้านวิชาการจะมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และฐานข้อมูลทางวิชาการ ด้านแหล่งการดำรงชีวิตของสัตว์ทะเลหายากแก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยต่างๆ

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายภาคประชาชนและท้องถิ่น ด้วยการสร้างความเข้าใจและให้ความรู้การช่วยชีวิตสัตว์ทะเลหายากเบื้องต้นอย่างถูกต้อง กรณีพบสัตว์เหล่านี้ให้ประสานมายังหน่วยงานของกรม นั่นจะทำให้สัตว์เหล่านี้มีโอกาส “รอดชีวิต” ได้มากขึ้น

การนำเสนอ “วาฬบรูด้า” วาฬโอมูระ ฉลามวาฬ และเต่ามะเฟือง เป็น “สัตว์สงวน” ถือเป็นการยกระดับความสำคัญของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งเป็นสัตว์ที่นักท่องเที่ยวและนักดำน้ำทั่วโลกให้ความสนใจ ถ้าประเทศไทยมีแผนการอนุรักษ์และการจัดการที่ชัดเจน จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านการศึกษาวิจัย การอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมได้

สายชล
21-07-2015, 21:28
สำนักข่าวอิศรา
19-07-15

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ชี้ยกเลิกอวนรุนสัตว์น้ำทะเลกลับมาถึง 50%

http://www.isranews.org/images/2015/thaireform/07/2312_copy.jpg

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย เผยยกเลิกใช้ 'อวนรุน' สัตว์น้ำทะเลกลับมาสมบูรณ์ 50% ขอบคุณรัฐบาลกล้าตัดสินใจ พร้อมตั้งข้อสงสัยไม่ยกเลิกอวนลากเพราะเชื่อมโยงธุรกิจอาหารสัตว์หรือไม่

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2558 ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) มีการประชุมการติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาตามข้อสังเกตในการตรวจเยี่ยมของคณะสหภาพยุโรป ครั้งที่ 11โดยในการประชุมดังกล่าวมีมติให้ยกเลิกอวนรุนในการทำประมง

นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา หลังศปมผ. มีมติให้ยกเลิกอวนรุนในการใช้เป็นเครื่องมือทำประมง ว่า การที่รัฐบาลกล้าตัดสินใจยกเลิกอวนรุนถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่หากจะให้พอใจที่สุดจะต้องยกเลิกอวนลากด้วยต้องทำแบบที่ประเทศอินโดนีเซียทำ พันธุ์สัตว์น้ำทะเลต่างๆจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเพียงแค่ยกเลิกอวนรุน โพงพาง เรือปั่นไฟ ก็สามารถช่วยเรียกคืนพันธุ์สัตว์น้ำทะเลได้ถึง 50% แล้ว ส่วนอีก 50% ที่จะต้องทำต่อไปคือการยกเลิกอวนลาก แต่ในการประชุมไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องของอวนลากเลยสักนิด

นายบรรจง กล่าวถึงการเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวนั้นเข้าไปในฐานะผู้ให้ข้อมูลไม่ใช่คณะกรรมการ คนที่เคาะมติที่ประชุมคือพล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งยกเลิกอวนรุนให้ ส่วนในเรื่องของอวนลากได้พยายามอธิบายและยกข้อมูลงานวิจัยจากกรมประมงว่า อวนลากทำลายสัตว์น้ำอย่างรุนแรง สัตว์ที่จับมาได้จากอวนลากสามารถนำมาบริโภคได้เพียง 30% ส่วน70% คือนำไปทำอาหารสัตว์

“ดังนั้นจึงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ไม่กล้าเคาะอาจจะเป็นเพราะอวนลากเชื่อมโยงกับธุรกิจประเภทอาหารสัตว์ ฉะนั้นหากอยากให้การยกเลิกอวนลากสำเร็จสังคมอาจจะต้องช่วยกันกดดันให้มากกว่านี้”

สำหรับปริมาณอวนรุนกับอวนลากในขณะนี้มีอวนประเภทไหนมากกว่ากัน นายบรรจง กล่าวว่า ถ้าดูทั้งหมดไม่นับเฉพาะลงทะเบียนอวนรุนจะมากกว่ามีอยู่เป็นหมื่นลำ ส่วนอวนลากมีน้อยกว่าก็จริง แต่ถุงอวนมีขนาดที่แน่นมากแม้แต่นิ้วก้อยยังออกไม่ได้หากติดอยู่ในอวนลาก ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่อนาคตจะต้องผลักดันให้มีการยกเลิกเนื่องจากอวนลากเป็นสาเหตุให้ชุมชนประมงพื้นบ้านล่มสลาย แต่ก็ขอบคุณที่รัฐบาลกล้าตัดสินใจสำหรับการยกเลิกอวนรุน

http://www.isranews.org/images/2015/isranews/07/seathai.jpg

ด้านแหล่งข่าวจากกรมประมง ให้ข้อมูลว่า สำหรับการยกเลิกเครื่องมือประเภทอวนรุนนั้น ทางพล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้พยายามเร่งเพื่อที่จะประกาศใช้อย่างเร็วที่สุด ส่วนกรอบกำหนดระยะเวลาว่าจะมีการประกาศใช้เมื่อไหร่นั้นยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่พยายามจะทำให้เร็วที่สุด ส่วนเครื่องมือประเภทอวนลากสำหรับการประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ค.คือไม่มีการนำเข้าประชุม แต่ก็มีการพูดคุยกันอยู่

เมื่อถามว่าประชุมในครั้งต่อไปจะมีการนำเรื่องอวนลากเข้าที่ประชุมหรือไม่ แหล่งข่าวจากกรมประมง กล่าวว่า ไม่ทราบขึ้นอยู่กับประธานศปมผ.

สายชล
21-07-2015, 21:29
GREENPEACE
19-07-15


การให้อาหารปลาในแนวปะการัง อย่าคิดว่าไม่มีผลกระทบ!!

http://www.greenpeace.org/seasia/th/community_images/23/34623/115229_191472.jpg

เมื่อวันหยุดยาวมาถึง จุดมุ่งหมายของคนเมืองหรือมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ น่าจะเป็นการนอนชิลริมทะเลหรือดำน้ำเพื่อคลายร้อนและชื่นชมแนวปะการังและฝูงปลาที่ทะเลสวยๆสักแห่งหนึ่ง

กระแสข่าวที่มีการถกเถียงกันเรื่องการให้อาหารปลาในแนวปะการังเพื่อหลอกล่อให้เจ้าฝูงปลาสีสวยในแนวปะการังมารวมฝูงเพื่อถ่ายรูปด้วยความภาคภูมิใจถึงความสวยงามของทะเลไทย แต่เขาเหล่านั้นกลับทำร้ายทะเลและระบบนิเวศโดยไม่รู้ตัว เรามาดูกันว่าพฤติกรรมเช่นนี้ทำร้ายหรือสร้างผลกระทบอะไรบ้าง

1. สัญชาติญาณในการระวังภัยตามธรรมชาติหายไป ทำให้เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เช่นการว่ายน้ำเข้าหาเรืออาจจะมีความเสี่ยงถูกใบพัดเรือบาดได้

2. พฤติกรรมสัตว์น้ำเปลี่ยนไปเมื่อมีการให้อาหาร พฤติกรรมการกินของปลาจึงเปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อมันกินขนมปังหรืออาหารอื่นที่นักท่องเที่ยวให้จนอิ่ม มันจึงไม่กินอาหารตามธรรมชาติ ส่งผลให้เกิดการขาดสารอาหาร สุขภาพสัตว์น้ำอ่อนแอและตายในที่สุด

3. ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เมื่อมีการให้อาหารในบริเวณนั้นๆปลาจะมารวมฝูง โดยเฉพาะ เจ้าสลิดหินเมื่อมันรวมฝูงใหญ่จะมีนิสัยก้าวร้าวและมันจะมาไล่ปลาอื่น ๆ ออกจากบริเวณนั้น ในที่สุดปลาที่มีนิสัยสุภาพเรียบร้อย เช่น ปลาผีเสื้อ ปลาสินสมุทร ก็จะลดจำนวนลง และต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น ทำให้ระบบนิเวศบริเวณนั้นเสียความสมดุล

4. แนวปะการังเสียหาย สิ่งปฏิกูลที่เกิดจากการย่อยสลายของเศษอาหารและการขับถ่ายของปลาส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตของสาหร่ายบางชนิดอย่างรวดเร็วและไปปกคลุมบริเวณปะการังส่งผลให้แนวปะการังเสื่อมโทรมและตายในที่สุด

5. เกิดการสะสมสารพิษในห่วงโซ่อาหาร ขนมปังที่นำมาใช้เป็นอาหารปลาโดยส่วนใหญ่จะเป็นขนมปังที่หมดอายุซึ่งอาจจะมีเชื้อราและสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งมีความเป็นพิษสูงปนเปื้อนอยู่ เมื่อปลากินเข้าไปก็จะไปสะสมและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารในที่สุด เช่นเดียวกับการให้อาหารปลารอบๆเรือ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีคราบน้ำมันบริเวณผิวน้ำโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีเรือท่องเที่ยวจอดรวมกัน คราบน้ำมันเหล่านี้จะซึมเข้าสู่อาหารที่ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ เมื่อปลาตัวเล็กกินอาหารเหล่านี้เข้าไปสารพิษในน้ำมันก็จะสะสมในตัวปลาและส่งต่อสู่สายอาหารต่อกันไปเป็นทอดๆและผู้บริโภคสูงสุดในห่วงโซ่อาหารคือมนุษย์นั่นเอง


ให้อาหารปลาผิดกฎหมาย!

กรมอุทยานแห่งชาติทางทะเลได้มีประกาศ ห้ามให้อาหารปลาในเขตอุทยานฯ อย่างเด็ดขาด หากฝ่าฝืนถือว่ามีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2555 โดยมีโทษจับและปรับ 500-10,000 บาท ส่วนการให้อาหารปลานอกเขตอุทยานฯ ขณะนี้ยังไม่ผิด แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะผิดแน่นอน ทางที่ดีก็คือไม่ควรให้อาหารปลาไม่ว่าจะกรณีใดๆทั้งสิ้น


อ้างอิง: Feeding or Harassing Marine Mammals in the Wild is Illegal and Harmful to the Animalslink: http://www.nmfs.noaa.gov/pr/dontfeedorharass.htm

สายชล
21-07-2015, 21:31
คม ชัด ลึก
21-07-15


กวาดล้างเครื่องมือประมงทำลายสัตว์น้ำ เสียงสะท้อนบวก-ลบ ต่อนโยบายรัฐ ............................ โดย ทีมข่าวภูมิภาค

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2015/07/20/dagij5k6aadfejbhi66g5.jpg

ผลจากการประชุมติดตามความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหา ตามข้อสังเกตในการตรวจเยี่ยมของคณะสหภาพยุโรป ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) ที่มี พล.ร.อ.ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้บัญชาการ ผบ.ศปมผ. เป็นประธาน ณ ห้องประชุมกองทัพเรือ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ตัวแทนจากกองทัพเรือ, จุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง, ธงชัย พงษ์วิชัย ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานเรือ กรมเจ้าท่า รวมทั้งผู้แทนจากสมาคมประมงต่างๆ รวมทั้งตัวแทนกลุ่มประมงพื้นบ้าน

ในมติที่ออกมารวม 5 เรื่อง น่าสนใจว่า มีการพาดพิงไปถึงเรื่องการควบคุมเครื่องมือการทำประมงประกอบด้วย ให้ส่วนกฎหมายและจัดระเบียบเรือประมง ในสังกัด ศปมผ. ออกประกาศยกเลิกเครื่องมือทำการประมงที่ทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำได้แก่ อวนรุน (ยกเว้นอวนรุนเคย), ไอ้โง่, อวนล้อมปลากระตักปั่นไฟ และโพงพาง, ให้กรมประมงกำหนดจำนวน และขนาดเครื่องมือทำการประมง ที่ใช้กับเรือประมงแต่ละประเภท โดยรายงานให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาในการกระชุมครั้งต่อไป ให้สำนักงานเลขานุการ ศปมผ. ร่วมกับกรมประมง และกรมเจ้าท่า ดำเนินการกำหนดพื้นที่ทำการประมงของเรือประมงพื้นบ้าน และประมงพาณิชย์ ให้มีความชัดเจน และรายงานให้ที่ประชุมร่วมพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป

ทั้งนี้ โพงพาง, ลอบไอ้โง่ หรือลอบรถไฟ, อวนล้อมปลากะตัก และอวนรุน เครื่องมือเหล่านี้ ถือเป็นอุปกรณ์ประมงที่มีส่วนต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่งอย่างรุนแรง ส่งผลให้สัตว์น้ำชายฝั่งลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากลักษณะของการจับสัตว์น้ำ คือการจับเอาตัวอ่อนหรือตัวเจริญพันธุ์ไปด้วย ทั้งนี้ปัญหาการทำลายล้างทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยไร้การควบคุม จากการลักลอบใช้เครื่ิองมือทำประมง ที่่ไม่ได้รับอนุญาต เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลหันมาให้ความสำคัญ ต่อการที่จะดำเนินการอย่างจริงจัง ดังนั้นการยกเลิกเครื่องมือทำประมงข้างต้น หากบังคับใช้ได้จริง จึงหมายถึงการที่จะฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ เอื้ิอต่อการทำประมงทุกส่วน ทั้งประมงพื้นบ้าน และประมงพาณิชย์ เป็นการลดความขัดแย้งระหว่างประมง 2 ฝ่ายที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว "อำนาจ ศิริเพชร นักวิชาการประมง สำนักงานประมง นครศรีธรรมราช แสดงความคิดเห็นว่า หากยุติเครื่องมือทำลายล้างเหล่านี้ จะมีส่วนต่อการสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยในภาคประมงพื้นบ้านได้มากกว่า 2 แสนคน กระจายไปทั้ง 22 จังหวัดชายฝั่ง เป็นการกลับมาสร้างความมั่นคงให้แก่ภาคการประมงได้ทันที และถ้ายกเลิกอวนลากได้ ปะการังเทียมที่ทำมาแล้ว 37 ปี จะกลับมาทำหน้าที่ฟื้นฟูทรัพยากรให้แหล่งประมงชายฝั่งทันที ทุกวันนี้ อวนลากและปั่นไฟล่อปลาออกมาจากปะการังเทียมแล้วล้อมจับ มีส่วนต่อการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำแบบล้างผลาญ

ขณะที่ สุกิจ รัตนวินิจกุล ประมงจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ที่ผ่านมาเครื่องมือทำลายล้างที่เป็นปัญหาของนครศรีธรรมราชมากที่สุดคือ “ไอ้โง่” ที่ระบาดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในแถบอ่าวปากพนัง และอ่าวท่าซัก สำหรับ “ไอ้โง่” หรือ “คอนโดดักปลา” เป็นอุปกรณ์ดักปลา ใช้วางดักปลา มีลักษณะเป็นโครงเหล็ก หุ้มด้วยตาข่ายไนลอนคล้ายๆ ลอบดักปลา แต่เอาหลายๆ อันมาวางเรียงกลับหัวกลับหาง ความยาวของ “ไอ้โง่” หรือ “คอนโดดักปลา” อยู่ที่ขนาดและจำนวนลอบที่ใช้ทำ โดย “ไอ้โง่” จะใช้วางตามร่องน้ำ สามารถดักสัตว์น้ำได้ทุกชนิด ที่ผ่านมาการใช้ “ไอ้โง่”ได้รับความนิยม เพราะลงทุนและใช้แรงงานน้อย เพียงเอาไปวางไว้ตามร่องน้ำ ถึงเวลาก็ไปเก็บกู้ เช่นเดียวกับโพงพาง ที่มีปัญหาอยู่ในร่องน้ำที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ก็จะนำเรือออกไปรื้อถอน แต่ชาวประมงก็จะกลับมาติดตั้งใหม่ แต่หลังจากนี้ไป หากมีบทลงโทษที่ชัดเจน ก็น่าจะควบคุมได้

สุพร โต๊ะเส็น นายกสมาคมเครือข่ายประมงพื้นบ้านท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราข กล่าวว่า เห็นด้วยกับการประกาศควบคุมเครื่องมือประมงทำลายล้าง ประมงพื้นบ้าน พร้อมที่จะส่งเสริมแนวทางนี้ของกรมประมงอย่าง "ผมอยากให้กลุ่มประมงพาณิชย์เปิดใจ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาการจับสัตว์น้ำด้วยเครื่ิองมือเหล่านี้ สัตว์น้ำที่ได้ไปนั้นล้วนเป็นสัตว์วัยอ่อน วัยเจริญพันธุ์ ทั้งที่ควรจะอนุรักษ์และจับเมื่อถึงเวลาที่แท้จริง ที่ผ่านมาภาครัฐมีความอ่อนแอในเรื่องเวลาและกำลังคน ขณะที่กฎหมายล้าสมัยไม่ทันกับวิธีการประมง การพัฒนาเครื่องมือแบบทำลายล้างจึงเกิดขึ้น การที่รัฐจะมาบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จึงเป็นความหวังว่าจะทำให้ทรัพยากรธรรมชาติกลับมาอุดมสมบูรณ์เกิดการกระจายทรัพยากรในรูปของการแบ่งปัน" สุพร กล่าว

ขณะเดียวกันในส่วนของประมงพาณิชย์ กลับมองต่างมุมกันอย่างสิ้นเชิง

พงศธร ชัยวัฒน์ นายกสมาคมประมงสมุทรสงคราม กล่าวว่า การยกเลิกเครื่องมือทำประมงประเภทอวนรุน อวนล้อมปลากะตักปั่นไฟ ไอ้โง่ และโพงพาง แนวทางนี้ ไม่เห็นด้วยเพราะในทางปฏิบัติแล้ว มีวิธีบริหารจัดการที่ชาวประมงไม่ต้องเดือดร้อนได้ เช่นการขยายขนาดตาอวน การจำกัดพื้นที่ทำการประมง หรือจำกัดโควตาการจับปลา โดยเฉพาะปลากะตัก เพราะต่างประเทศก็จับปลากะตักเหมือนกัน ทั้งนี้ เครื่องมือทำประมง 4 ประเภท ประกอบด้วยอวนลากคู่ อวนลากเดี่ยว อวนรุน และอวนล้อมปลากะตักปั่นไฟ ควรให้อยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ต้องมีการบริหารจัดการว่าเครื่องมือประมงทั้ง 4 ประเภทจะจัดการอย่างไร เช่นอวนปลากะตัก กำหนดให้ว่าทั่วประเทศสามารถจับได้เท่าไรต่อปี เมื่อจับได้ครบก็หยุดจับ การไม่ให้จับปลากะตักคงทำไม่ได้เพราะอย่างไรคนไทยก็ยังบริโภคปลากะตักอยู่ ส่วนเรืออวนรุนควรไปบริหารจัดการตาอวน ระยะเวลาการทำประมง หรือพื้นที่การทำประมง

"หากยกเลิกชาวประมงคงเดือดร้อน และอุตสาหกรรมต่อเนื่องประมงตั้งหลักไม่ทัน ต่างประเทศไม่ได้หักดิบอย่างนี้ เขาเอาวิธีบริหารจัดการมาแก้ปัญหา เพื่อให้ทรัพยากรคงอยู่ คนคงอยู่ และวิถีชีวิตคงอยู่ การยกเลิกเลย ภาครัฐมีแผนรองรับแก้ไขความเดือดร้อนให้เขาหรือยัง ที่สำคัญกลุ่มประเทศยุโรปไม่ได้บอกให้ยกเลิกเครื่องมือประมง แต่ให้บริหารจัดการทรัพยากรให้ดี” นายกสมาคมประมงสมุทรสงคราม กล่าว

บุญยืน ศิริธรรม ที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์พิทักษ์ดอนหอยหลอด ต.บางแก้ว จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า คำถามที่ต้องการคำตอบคือ เมื่อมีการยกเลิกเครื่องมือทำการประมงแล้วจะเยียวยาชาวประมงที่ได้รับผลกระทบอย่างไร "อวนรุนใน จ.สมุทรสงคราม ส่วนใหญ่ถูกกฎหมาย มีใบอนุญาตถูกต้อง มีอาชญาบัตร เท่าที่ฟังมาจะมีการยกเลิกกลุ่มที่ผิดกฎหมายก่อน แต่ต้องมาดูกลุ่มที่ถูกกฎหมายว่ายกเลิกแล้วจะเยียวยาอย่างไร ที่คิดว่าจะเลิกเครื่องมือประมง คิดอย่างไรก็ได้เพราะนั่งในห้องแอร์ ในฐานะนักอนุรักษ์คิดว่าต้องให้คนอยู่ได้ และปลาอยู่ได้” บุญยืน กล่าว

บุญยง นิ่วบุตร นายกสมาคมชาวประมง อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี กล่าวว่า การเลิกเครื่องมือทำประมงแบบล้างผลาญเป็นการดี เพราะทำลายทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างรุนแรง “การยกเลิกเครื่องมือประมงบางประเภทมีทั้งผลดี และผลเสีย ซึ่งหากเป็นเครื่องมือล้างผลาญทรัพยากรสัตว์น้ำก็ต้องเลิก แต่ภาครัฐต้องมาช่วยเหลือเยียวยาแก้ปัญหาความเดือดร้อนผู้ได้รับผลกระทบ เพราะชาวประมงบางคนไม่ใช่คนรวย ทำประมงแล้วเป็นหนี้ บางรายเป็นหนี้เยอะมาก เพราะการทำประมงลงทุนสูง ทั้งเรือประมง เครื่องมือทำประมง ค่าน้ำมัน ค่าแรงงาน ต้องใช้เงินทุนทั้งนั้น" บุญยง กล่าว

สุชาติ เสือนาค สมาชิกเครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน จ.เพชรบุรี กล่าวว่า เห็นด้วยที่มีการยกเลิกเครื่องมือประมงล้างผลาญ ทั้งไอ้โง่ อวนล้อมปลากะตักปั่นไฟ และอวนรุน โดยไอ้โง่เป็นเครื่องมือล้างผลาญเพราะจับสัตว์น้ำหมดไม่เว้นสัตว์น้ำวัยอ่อน เรือปลากะตักปั่นไฟเมื่อไม่ได้ปลากะตัก ก็จับลูกปลาทูวัยอ่อนขนาดประมาณ 1 นิ้ว หรือ 1 นิ้วเศษๆ มาแทน เอาขึ้นจากทะเลมาครั้งละ 1-3 ตัน เป็นการล้างผลาญเผ่าพันธุ์ปลาทู ส่วนอวนรุน ก็จับปลาทุกชนิดทั้งปลาหน้าดิน ปลากลางน้ำ และปลาผิวน้ำ

"ที่่ผมไม่อยากให้ยกเลิกคือโพงพาง เพราะเป็นเครื่องมือทำการประมงอยู่กับที่ ไม่ได้เคลื่อนที่ไปหาสัตว์น้ำ เป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ อวนลากก็เลียนแบบโพงพาง แต่อวนลาก ลากออกไปหาปลาจับสัตว์น้ำได้เยอะ ส่วนโพงพางจับสัตว์น้ำได้น้อย ไม่ใช่อุปกรณ์การประมงที่ล้างผลาญ รัฐต้องรอบคอบ" สุชาติ กล่าว

นี่เป็นเสียงสะท้อนต่อแนวทางที่รัฐจะเข้าบริหารจัดการภาคประมง

สายชล
21-07-2015, 21:34
ประชาชาติธุรกิจ
21-07-15


"ส่วย" อีกหนึ่งต้นเหตุ ปลาอ่าวไทยลดวูบ

http://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News/580721_Prachachart_02_zpsbj4guzo9.jpg (http://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News/580721_Prachachart_02_zpsbj4guzo9.jpg.html)

นายพงษ์ธร ชัยวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหารสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวถึงประเด็นภาครัฐจัดระเบียบไม่ให้มีการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ว่า เรือประมงกว่า 40% ต้องหยุดหาปลา แม้ว่าศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) จะผ่อนผันกฎระเบียบลดลงจาก 15 ข้อเหลือ 8 ข้อ แต่ปลาหน้าดินหายไปกว่า 40% ส่งผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล ตลาดปลาแม่กลองที่เปิดอีกครั้งเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา รถบรรทุกขนาดใหญ่เคยวิ่งเข้าตลาดวันละ 40-50 ตู้ เหลือเพียง 2-3 ตู้ต่อวัน รถบรรทุกขนาดเล็กที่วิ่งเข้าวันละ 100 กว่าตู้ เหลือเพียง 10 ตู้ ทำให้แพปลาต้องคัดคนงานออก ขณะที่เรือประมงต้องวิ่งเคลียร์หนี้สินทั้งในและนอกระบบ

"ที่ระนองเรือที่มีอาชญาบัตรเครื่องมือจับปลาถูกต้อง มีเรืออวนลากเพียง 2 คู่ จากปกติมีมากกว่า 100 ลำ เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์การสะพานปลา (อสป.) จะรับมือกับผลกระทบอย่างไร เพราะรายได้จะลดลงจากที่เคยได้ค่าธรรมเนียมเรือประมงเทียบท่า 1% ของมูลค่าปลา การขายน้ำแข็ง ค่าจอดรถ"

ปลาในทะเลอ่าวไทยขณะนี้ การปิดอ่าวเพื่อให้ปลาวางไข่เริ่มล้มเหลว ทะเลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร มีระบบส่วย เรือประมงที่ต้องการละเมิดกฎหมายจับปลา 30-50 ลำ จ่ายค่าส่วยลำละ 3-5 แสนบาท กำไรยังเหลือลำละเป็นล้านบาท มาปีนี้ปิดอ่าวไทยอีก มีเรือจ่ายส่วย 100 กว่าลำเข้าไปจับปลาในเขตห้าม โดยเก็บลำละ 5 แสนบาท ฉะนั้นการปิดอ่าวตัว ก.ในอ่าวไทยจะล้มเหลวอีก เพราะวงจรปลาถูกตัดไปตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และชุมพร

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย กล่าวถึงแผนการนำเข้าปลาจากต่างประเทศมาชดเชยปลาที่ขาดแคลนในไทยว่า คงต้องรออีกประมาณ 1 เดือนให้คณะรัฐมนตรีอินโดนีเซียปรับ ครม.ก่อน การเจรจาให้อินโดฯเปิดน่านน้ำจับปลาน่าจะสะดวกขึ้น เท่าที่ดูจากเงื่อนไขให้เรือประมงต่างชาติต้องลงทุนหรือร่วมทุนแปรรูปสัตว์ น้ำเบื้องต้น ก็คงจะมีการลงหุ้นกับคู่ค้าในอินโดฯต่อไป เช่น การร่วมหุ้นในโรงงานทำเนื้อปลาบดหรือซูริมิเพื่อส่งออกมาไทยอีกทอดหนึ่ง

เรือประมงนอกน่านน้ำของไทย จับปลาที่อินโดนีเซียมากที่สุด แต่หยุดหาปลามา 8 เดือนแล้ว เนื่องจากทางรัฐมนตรีกระทรวงการประมง ต้องการตรวจสอบความถูกต้องของเรือว่าทำประมงถูกกฎหมายหรือไม่ ต้องยอมรับว่า เขตอินโดฯเหนือที่อยู่ใกล้ไทย ตั๋วปลอมหรือใบอนุญาตจับปลาไม่ถูกกฎหมายมีมาก ส่วนใหญ่เป็นเรือประมงแช่น้ำแข็งจากปัตตานี สงขลา และนครศรีธรรมราช จับปลาได้ประมาณ 3-4 แสนตัน/ปี เมื่ออินโดฯจะตรวจสอบ เรือเหล่านี้จะวิ่งกลับไทยหมด เหลือแต่เรือประมงที่ถูกต้องให้อินโดฯตรวจสอบ

ในส่วนการประมงเขตอินโดฯใต้ ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสมาคม จับปลาโดยถูกต้องตามกฎหมาย จับได้ปีละประมาณ 3-4 แสนตัน

สายชล
21-07-2015, 21:35
ประชาชาติธุรกิจ
21-07-15


จัดระเบียบ "ประมงถูกกม." อวนลาก-รุน ไต๋ต่างด้าวหมดสิทธิ์ลุ้น

http://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News/580721_Prachachart_01_zpsvff56hly.jpg (http://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News/580721_Prachachart_01_zpsvff56hly.jpg.html)

ใกล้เข้ามาทุกขณะ เพราะปลายเดือนนี้รัฐขีดเส้นตายให้เรือประมงที่ล่องหน ต้องมารายงานตัว มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ไม่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุน อาทิ การได้รับใบอาชญาบัตรใหม่จับปลาประเภทต่าง ๆ ภายหลังจากทราบจำนวนเรือประมงที่ชัดเจนในสิ้นเดือนนี้แล้วนำมาคำนวณกับจำนวน ทรัพยากรสัตว์น้ำ ทั้งประเภทผิวน้ำ หน้าดิน และปลากะตัก หากทรัพยากรมีมากพอ ก็อาจจะออกใบอาชญาบัตรให้ หากมีน้อยแต่เรือมีมาก

รัฐจะช่วยเยียวยา หาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนอาชีพให้ใหม่หรือปรับเปลี่ยนเครื่อง มือทำประมงใหม่ ซึ่งตัวเลขของกรมเจ้าท่าล่าสุดในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีเรือประมงทุกประเภท 42,051 ลำ มารายงานตัวต่อภาครัฐประมาณ 2.8 หมื่นลำ ยังเหลือ 1 หมื่นกว่าลำไม่มารายงานตัว

"เราต้องการข้อมูลที่ชัดเจน รถโมบายเคลื่อนที่ของกรมประมงและกรมเจ้าท่าจึงได้ขยายเวลารับจดทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ อาชญาบัตร ที่เดียวเบ็ดเสร็จใน 22 จังหวัดติดชายทะเลจากวันที่ 15 ก.ค.นี้ ไปสิ้นสุดในปลายเดือน ก.ค.นี้แทน" นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2558 ได้พิจารณาในกรอบการดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) โดยมอบหมายให้กรมประมง ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องไม่ผิดระเบียบของ IUU และไม่กระทบกับการทำประมงพื้นบ้าน

ส่วนการดำเนินมาตรการคุมเข้มทาง กฎหมายสำหรับการทำประมงของเรือประเภทต่าง ๆ ที่เสนอ ครม. ได้แก่ 1.ทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ ใบอนุญาตทำการประมง (อาชญาบัตร) และสมุดบันทึกการทำประมง (Fishing Logbook) ไม่สามารถผ่อนผันได้

แต่ให้ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) กรมประมง และกรมเจ้าท่า ออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ร่วมกันรับจดทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ อาชญาบัตร ที่เดียวเบ็ดเสร็จในระหว่างวันที่ 1-15 ก.ค. 2558 ก็ขยายเวลาออกไปถึงปลายเดือน ก.ค.นี้

2.บุคลากรในเรือ ทั้งไต๋เรือ นายท้ายเรือ ช่างเครื่อง จะต้องมีบัตรประชาชน และนายท้ายเรือและนายช่างเครื่องจะต้องมีใบประกาศ อีกทั้งในเรือยังต้องมีทะเบียนลูกจ้าง ใบอนุญาตทำงาน สัญญาจ้างของแรงงานบนเรือ ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายบังคับไว้ อย่างไรก็ตาม ไต๋เรือและนายท้ายเรือ จะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น ตาม พ.ร.บ.สิทธิการทำประมงในเขตน่านน้ำไทย พ.ศ. 2482 และเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ส่วนช่างเครื่อง ให้ผ่อนผันเป็นคนต่างด้าวได้ แต่ต้องไปแก้ไขกฎระเบียบแรงงานตาม MOU ที่กำหนดไว้ว่าคนต่างด้าวต้องเป็นกรรมกรหรือแม่บ้านเท่านั้น นอกจากนี้ ในเรือประมงพื้นบ้าน ขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส ผ่อนผันให้นายท้ายเรือและนายช่างเครื่องเป็นคนเดียวกันได้ แต่ต้องเป็นคนไทยเท่านั้น

3.มอบหมายกรมประมงหาแนวทางในการออกอาชญาบัตรแบบใบเดียวหลายเครื่องมือ และลดค่าอากรอาชญาบัตรให้เรือประมงพื้นบ้าน อีกทั้งให้เร่งดำเนินการจัดฝึกอบรมความรู้เรื่องการเขียน Fishing Logbook ให้กับผู้ประกอบการเรือประมงขนาด 30 ตันกรอส ตลอดจนหามาตรการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสมด้วย ทั้งหมด ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอกรอบการดำเนินงานมา

สำหรับ สถานการณ์ทางการประมงล่าสุดนั้น นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โดยทั่วไปเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว เรือประมงออกทำการประมงมากขึ้น ยกเว้นในพื้นที่ที่ทะเลมีคลื่นลมแรงจัด เรือขนาดเล็กหยุดออกทำการประมง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน เช่น สตูล ตรัง กระบี่ เป็นต้น ในพื้นที่อื่น ๆ เรือประมงออกทำการประมงตามปกติ ส่วนการแจ้งเข้าออกเรือประมง ณ ศูนย์ PIPO 28 แห่ง พบว่าเรือประมงขนาด 30 ตันกรอสขึ้นไปมีการแจ้งเข้าออกมากขึ้น เรือประมงที่หยุดทำการประมงมีจำนวนลดลง ส่วนใหญ่เป็นเรือประมงที่ยังไม่มีใบอนุญาตทำการประมงหรือใบอนุญาตอื่นยังไม่ ครบถ้วน โดยพบว่าส่วนมากเป็นเรือที่ใช้เครื่องมืออวนลาก อวนรุน และเครื่องมือทำการประมงปลากะตัก