สายน้ำ
16-06-2009, 07:15
หอยหลอด
หอยหลอดเป็นสัตว์น้ำทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Rozor clam และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Solen Strictus Gould 1861
เป็นหอยสองฝาที่มีตัวอาศัยอยู่ในฝาที่ประกบทั้งสองข้าง หรือหอยทะเลกาบคู่
รูปร่างคล้ายหลอดกาแฟ เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาวขุ่น ส่วนหัวนิ่ม ส่วนปลายเหนียว หอยที่โตเต็มที่จะกลมยาว 7-8 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซ.ม.
ชอบฝังตัวตามแนวดิ่งในตะกอนดินโคลนปนทรายบริเวณปากแม่น้ำ
ช่วงน้ำแห้งจะเป็นโอกาสที่ชาวประมงจับหอยหลอดได้ โดยหอยจะเปิดฝาอยู่เรี่ยพื้น และยึดตัวยื่นออกมาจับแพลงตอนเป็นอาหาร หรือเคลื่อนตัวออกไปหาพื้นที่อยู่ใหม่
การจับหอยหลอดต้องใช้มือกดลงบนพื้นทราย เมื่อปรากฏฟองอากาศและเห็นรู จะใช้ไม้จิ้มปูนขาวแหย่ลงไปในรู ทำให้หอยโผล่ขึ้นมาให้จับ
แล้วต้องรีบเก็บใส่ภาชนะไว้ มิฉะนั้นหอยจะมุดดินหนีลึกลงไปกว่าเดิม
ช่วงที่เหมาะสำหรับการจับมากที่สุด คือเดือนมกราคม-พฤษภาคม เพราะตอนกลางวันน้ำจะลดลงมาก ทำให้สันดอนโผล่พ้นน้ำ
เนื้อหอยหลอดนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท แต่ที่นิยมคือทอดกรอบ ต้มยำ และผัดฉ่า
พบมากในเขตพื้นที่ทะเลโคลนก้นอ่าวไทย ไล่ตั้งแต่สมุทรปราการไปถึงเพชรบุรี
แต่พบมากที่สุดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยเฉพาะที่ดอนหอยหลอด
ดอนหอยหลอดเป็นสันดอนตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง มีบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ในตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
เกิดจากการทับถมของตะกอนจากแม่น้ำ เป็นสันดอนยื่นออกไปในทะเลราว 8 กิโลเมตร เวลาน้ำลงจะปรากฏพื้นโคลนเลนกว้างราว 4 กิโลเมตร พื้นเป็นตะกอนนุ่มและอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ
หลายปีที่ผ่านมาจำนวนหอยหลอดเริ่มลดน้อยลง สาเหตุมาจากการจับที่ไม่ถูกวิธีของชาวบ้านและน้ำเสียที่เพิ่มขึ้น
ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มตื่นตัวมีการจัดเวทีประชาคม เพื่อหาทางแก้ปัญหาและแนวทางการอนุรักษ์หอยหลอด
ปี 2541 มีการกำหนดจุดอนุรักษ์พื้นที่ประมาณ 1,250 ไร่ ตั้งแต่ปากคลองตาเถื่อนถึงปากคลองฉู่ฉี่ แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
เมษายน พ.ศ.2552 จังหวัดร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่มีมติร่วมกันให้มีการปิดหอยหลอด จำนวน 4 ดอน ครั้งละ 1 ดอนสลับกันไป
นอกจากนี้ยังบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยนำพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 มาตรา 19 ที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดห้ามเท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้วัตถุมีพิษลงไปในที่จับสัตว์น้ำ หรือกระทำการใดๆ อันทำให้สัตว์น้ำมึนเมา หรือเท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้สิ่งใดลงไปในที่จับสัตว์น้ำในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำ หรือทำให้ที่จับสัตว์น้ำเกิดมลพิษ
และมาตรา 52 ที่ให้คณะกรรมการจังหวัดมีอำนาจประกาศห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในที่จับสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าว
ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดพบว่าเมื่อเทียบกับปี 2547 ปัจจุบันจำนวนหอยหลอดลดลงมากกว่า 90%
โดยเมื่อปี 2549 พบปริมาณหอยหลอดเฉลี่ยตารางเมตรละ 4.4 ตัว แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเฉลี่ยตารางเมตรละ 0.4 ตัวเท่านั้น
และเมื่อ 10 ปีก่อนชาวประมงสามารถจับหอยหลอดได้มากกว่า 10 กิโลกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 3 กิโลกรัมต่อวัน
เป็นวิกฤตร้ายแรงของพื้นที่ดอนหอยหลอด
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ คอลัมน์ที่13 วันที่ 16 มิถุนายน 2552
หอยหลอดเป็นสัตว์น้ำทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Rozor clam และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Solen Strictus Gould 1861
เป็นหอยสองฝาที่มีตัวอาศัยอยู่ในฝาที่ประกบทั้งสองข้าง หรือหอยทะเลกาบคู่
รูปร่างคล้ายหลอดกาแฟ เปลือกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อสีขาวขุ่น ส่วนหัวนิ่ม ส่วนปลายเหนียว หอยที่โตเต็มที่จะกลมยาว 7-8 เซนติเมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 ซ.ม.
ชอบฝังตัวตามแนวดิ่งในตะกอนดินโคลนปนทรายบริเวณปากแม่น้ำ
ช่วงน้ำแห้งจะเป็นโอกาสที่ชาวประมงจับหอยหลอดได้ โดยหอยจะเปิดฝาอยู่เรี่ยพื้น และยึดตัวยื่นออกมาจับแพลงตอนเป็นอาหาร หรือเคลื่อนตัวออกไปหาพื้นที่อยู่ใหม่
การจับหอยหลอดต้องใช้มือกดลงบนพื้นทราย เมื่อปรากฏฟองอากาศและเห็นรู จะใช้ไม้จิ้มปูนขาวแหย่ลงไปในรู ทำให้หอยโผล่ขึ้นมาให้จับ
แล้วต้องรีบเก็บใส่ภาชนะไว้ มิฉะนั้นหอยจะมุดดินหนีลึกลงไปกว่าเดิม
ช่วงที่เหมาะสำหรับการจับมากที่สุด คือเดือนมกราคม-พฤษภาคม เพราะตอนกลางวันน้ำจะลดลงมาก ทำให้สันดอนโผล่พ้นน้ำ
เนื้อหอยหลอดนำมาประกอบอาหารได้หลายประเภท แต่ที่นิยมคือทอดกรอบ ต้มยำ และผัดฉ่า
พบมากในเขตพื้นที่ทะเลโคลนก้นอ่าวไทย ไล่ตั้งแต่สมุทรปราการไปถึงเพชรบุรี
แต่พบมากที่สุดในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยเฉพาะที่ดอนหอยหลอด
ดอนหอยหลอดเป็นสันดอนตั้งอยู่ปากแม่น้ำแม่กลอง มีบริเวณกว้างประมาณ 3 กิโลเมตร ยาว 5 กิโลเมตร ในตำบลบางจะเกร็ง ตำบลแหลมใหญ่ ตำบลบางแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
เกิดจากการทับถมของตะกอนจากแม่น้ำ เป็นสันดอนยื่นออกไปในทะเลราว 8 กิโลเมตร เวลาน้ำลงจะปรากฏพื้นโคลนเลนกว้างราว 4 กิโลเมตร พื้นเป็นตะกอนนุ่มและอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ
หลายปีที่ผ่านมาจำนวนหอยหลอดเริ่มลดน้อยลง สาเหตุมาจากการจับที่ไม่ถูกวิธีของชาวบ้านและน้ำเสียที่เพิ่มขึ้น
ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มตื่นตัวมีการจัดเวทีประชาคม เพื่อหาทางแก้ปัญหาและแนวทางการอนุรักษ์หอยหลอด
ปี 2541 มีการกำหนดจุดอนุรักษ์พื้นที่ประมาณ 1,250 ไร่ ตั้งแต่ปากคลองตาเถื่อนถึงปากคลองฉู่ฉี่ แต่ถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
เมษายน พ.ศ.2552 จังหวัดร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่มีมติร่วมกันให้มีการปิดหอยหลอด จำนวน 4 ดอน ครั้งละ 1 ดอนสลับกันไป
นอกจากนี้ยังบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยนำพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 มาตรา 19 ที่ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดห้ามเท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้วัตถุมีพิษลงไปในที่จับสัตว์น้ำ หรือกระทำการใดๆ อันทำให้สัตว์น้ำมึนเมา หรือเท ทิ้ง ระบาย หรือทำให้สิ่งใดลงไปในที่จับสัตว์น้ำในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์น้ำ หรือทำให้ที่จับสัตว์น้ำเกิดมลพิษ
และมาตรา 52 ที่ให้คณะกรรมการจังหวัดมีอำนาจประกาศห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในที่จับสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าว
ผลการศึกษาวิจัยล่าสุดพบว่าเมื่อเทียบกับปี 2547 ปัจจุบันจำนวนหอยหลอดลดลงมากกว่า 90%
โดยเมื่อปี 2549 พบปริมาณหอยหลอดเฉลี่ยตารางเมตรละ 4.4 ตัว แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเฉลี่ยตารางเมตรละ 0.4 ตัวเท่านั้น
และเมื่อ 10 ปีก่อนชาวประมงสามารถจับหอยหลอดได้มากกว่า 10 กิโลกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 3 กิโลกรัมต่อวัน
เป็นวิกฤตร้ายแรงของพื้นที่ดอนหอยหลอด
จาก : ข่าวสด คอลัมน์ คอลัมน์ที่13 วันที่ 16 มิถุนายน 2552