View Full Version : สถานการณ์ปะการังฟอกขาว ปี 2553-2554
"ทส." เล็งปิด "อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน-พีพี-ราชา" หลังพบปะการังฟอกขาวสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ แย่กว่าเจอสึนามิถล่ม
วันนี้ (16 ม.ค.) นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรีมทำหนังสือเสนอกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพื่อขอให้ปิดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันและอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา บางส่วน เนื่องจากเกิดปัญหาปะการังฟอกขาวทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของปะการังในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันจนเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังวงแหวน ปะการังดาวใหญ่ ปะการังโขด เป็นต้น
โดยสาเหตุมาจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นถึงกว่า 30 องศาเซลเซียสตั้งแต่ช่วงกลางปี 2553 ที่ผ่านมาต่อเนื่องกันถึง 3 เดือนรวมทั้งจากของเสียที่ถูกถ่ายเทลงน้ำ โดยเฉพาะของเสียจากเรือที่จอดอยู่จำนวนมากในบริเวณนั้นๆ รวมทั้งอาจเป็นของเสียที่ไหลซึมผ่านชั้นดิน เพราะปะการังที่เสียหายในหลายพื้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนักท่องเที่ยวและอีกสาเหตุหนึ่งมาจากการท่องเที่ยวที่มีนักดำน้ำไปยืนเหยียบปะการังจนเสียหาย
ทั้งนี้จากการสำรวจในหลายพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2553 โดยเฉพาะที่หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน จ.พังงา รวมทั้งหมู่เกาะพีพี จ.กระบี่และเกาะราชา จ.ภูเก็ต พบว่าในแต่ละแห่งแนวปะการังได้รับผลกระทบเกิดความเสียหายจากการฟอกขาวมาก เช่น เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน ปะการังตายถึง 93.6 เปอร์เซ็นต์ เกาะสุรินทร์เหนือ อ่าวแม่ยายทิศเหนือ ตายถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ เกาะปาชุมบา ตะวันออกเฉียงเหนือ ตายถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เกาะตาชัย ตายถึง 84 เปอร์เซ็นต์ เกาะสุรินทร์ใต้ (อ่าวเต่า) ตาย 85 เปอร์เซ็นต์ เกาะสิมิลัน หน้าประภาคาร ตาย 89.3 เปอร์เซ็นต์ เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 84 เปอร์เซ็นต์ เกาะบางงู ทิศใต้ ตาย 60.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
อธิบดีกรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง กล่าวต่อว่า ขณะที่เกาะพีพีและเกาะใกล้เคียง อาทิ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะไผ่ เกาะยูง เกาะบิด๊ะใน และเกาะบิด๊ะนอก พบว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ของทุก ๆ เกาะ อยู่ในสภาพเสียหาย มีปะการังตายมากกว่าปะการังมีชีวิตประมาณ 2-3 เท่าและเสียหายมาก โดยเฉพาะจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อ่าวมาหยา อ่าวต้นไทร หาดยาว อ่าวรันตี แหลมตง มีปะการังเขากวางเป็นชนิดเด่น อยู่ในแนวปะการังน้ำตื้นพบว่าปะการังเขากวางกว่าร้อยละ 90 ได้ตายลงเช่นเดียวกับที่เกาะราชาใหญ่อ่าวทิศเหนือ ปะการังตายมากถึง 96.7 เปอร์เซ็นต์และในหลายพื้นที่ไม่พบปะการังวัยอ่อนเลย
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าความเสียหายของแนวปะการังจากการฟอกขาวในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมากกว่าความเสียหายจากสึนามิเมื่อเดือน ธ.ค. 2547
นายเกษมสันต์ กล่าวอีกว่า ควรมีการลดผลกระทบโดยเฉพาะจากกิจกรมการท่องเที่ยวที่ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง เพราะพบว่าแนวปะการังหลายบริเวณยังมีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวดำน้ำเป็นจำนวนมาก แต่นักท่องเที่ยวยังขาดความรู้ความเข้าใจ มีการเหยียบปะการังของไกด์นำเที่ยวและนักท่องเที่ยว การทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง รวมทั้งพบอวนและลอบที่อยู่ในสภาพใหม่และเก่าจำนวนมากในแนวปะการัง ผู้ประกอบการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวให้อาหารปลาในแนวปะการัง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้มีสาหร่ายขึ้นคลุมปะการังจำนวนมากในหลายบริเวณ เช่น เกาะไผ่ หินกลาง เนื่องจากปลาเปลี่ยนพฤติกรรมไปกินอาหารจากนักท่องเที่ยวแทนที่จะกินสาหร่ายที่ขึ้นคลุมปะการัง
รวมทั้งผลักดันให้เรือท่องเที่ยวปรับปรุงเรือ โดยให้มีถังกักเก็บของเสียในเรือ ไมให้มีการปล่อยของเสียลงในแนวปะการังและให้มีการปิดพื้นที่ไม่ให้มีการใช้ประโยชน์ใด ๆ ในพื้นที่แนวปะการังที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด เช่น บางบริเวณในเขตอุทยานแห่งชาติฯ ที่มีความเสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบเพิ่มจาการท่องเที่ยว เช่น จุดที่น้ำตื้น จนเหยียบพื้นได้ เป็นต้น หากไม่มีการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โอกาสที่แนวปะการังในทะเลอันดามันจะกลับมีความสวยงามสมบูรณ์ดังเดิมคงเป็นไปได้ยาก
ด้านนายสุนันท์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดของปะการง ต้องไปสำรวจก่อน ถ้าเสียหายมากก็จำเป็นต้องปิดอุทยานฯ เลย ทั้งหมู่เกาะสิมินลันและสุรินทร์ รวมทั้งพีพี อาจจะเป็นบางจุดแม้จะเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญและขณะนี้อยู่ในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวทางทะเลก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียมาก ที่สำคัญท้องทะเลอันดามัน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและเป็นแหล่งที่จะประกาศเป็นพื้นที่มรดกโลกในอนาคต เพราะฉะนั้นจะเสียหายไม่ได้ โดยในวันที่ 20 ม.ค.นี้จะพื้นที่สำรวจที่ จ.ภูเก็ต และในวันเดียวกันนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ จะเรียกประชุมหัวหน้าอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทางทะเลทั้ง 26 แห่งเข้าประชุมเพื่อรายงานสถานการณ์ด้วย.
ขอบคุณข่าวจาก .... http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=561&contentId=115733
นับเป็นข่าวดี ที่ทางการเริ่มจะเอาจริงกับการออกมาตรการเพื่อฟื้นฟูแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายจากการฟอกขาว หลังจากนิ่งเงียบไม่ยอมทำอะไรมาเกือบปี นับจากเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาว ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2553....
Super_Srinuanray
16-01-2011, 18:50
จะปิดช่วงไหน อย่างไร หลังสำรวจก็น่าจะทำให้ชัดเจนนะคะ
อย่างไรก็คิดแบบผู้ประกอบการด้วยว่า ปีนี้ หน้า ไฮ ก็แย่แล้ว
หากปิดทั้งปี แล้วมีประมงมาลักลอบ ก็ไม่ยุติธรรมเช่นกัน
น้องติ่ง....อย่าเพิ่งวิตกกังวลไปเลยค่ะ คงจะมีการศึกษาให้รอบคอบอีกครั้งว่าจะปิดอุทยานฯ บริเวณใด...เมื่อไร...ยาวนานเพียงใดนะคะ
และหากมีการปิดจริง....ก็ต้องมีมาตรการดูแลอย่างดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำค่ะ
อาจารย์บอย (ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง) ได้เขียนบทความลงใน Face Book ได้น่าสนใจมากค่ะ เชิญอ่านดูนะคะ
ปะการังฟอกขาว เราช้าในมิติของการศึกษา การจัดการเตรียมรับสถานการณ์ และการจัดการทรัพยากร
วันนี้ มีข่าวกรมอุทยานฯ จะปิดอุทยานแห่งชาติ เป็นเรื่องฮือฮากันมาก
แต่สำหรับผม มันช้าไปหน่อย
นักวิชาการเตือนก่อนหน้านี้นานแล้ว ว่าสถานการณ์ปะการังฟอกขาววิกฤตมาก จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานฯเอง ก็ไม่มีความชัดเจนในการประเมินสภาพปัญหา
นักวิชาการพร้อมที่จะช่วยมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ก็ได้แต่คุยกันไปมา
ในทางปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีงบประมาณทำงาน
ทุกวันนี้ เราจึงยังไม่สามารถสำรวจได้ทุกพื้นที่
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีงบประมาณก็ค่อยๆ ทำไป
แต่นักวิชาการที่พร้อมจะช่วยเหลือ ไม่มีงบประมาณ ได้แต่เฝ้าดู
เป็นเรื่องน่าเสียดาย เรามีคนพร้อมจะทำงาน แต่ไม่มีโอกาส
นักวิชาการจัดประชุมกันเพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการทุกสถาบัน และออกเงินไปก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชี้แจงให้เห็นปัญหาของปะการังฟอกขาว เงินที่สำรองจ่ายไปแล้ว เพิ่งจะออกมาจากกรมฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเงินของการประชุม ไม่ใช่เงินค่าใช้จ่ายในการสำรวจ การสำรวจ ก็ต้องออกไปเองก่อน แล้วค่อยตามเบิกทีหลัง
ในมิติของการเตรียมการรองรับสถานการณ์ เรารู้แล้วว่าสถานการณ์จะเลวร้าย ปะการังหลายบริเวณตายไปตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคมที่ผ่านมา และเราก็ทำนายผลกระทบจากการท่องเที่ยวไว้แล้ว แต่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยที่จะบรรเทาผลกระทบ เช่น ถ้าต้องปิดจุดดำน้ำ แล้วจะทำอย่างไรต่อ
ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำปะการังเทียมเพื่อชดเชยแหล่งดำน้ำ ให้ปลาเข้ามาอยู่อาศัย ก็ยังถกเถียงกันว่า ปะการังเทียมเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นขยะ นักวิชาการในกรมอุทยานแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้สร้าง อีกฝ่ายไม่ให้สร้าง
หรือถ้าเราต้องปิดอุทยานแห่งชาติจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปิดทุกแห่ง แนวปะการังหลายบริเวณก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี อย่างหมู่เกาะอาดัง ราวี ก็ยังมีสภาพที่ดีอยู่ ยังรองรับนักท่องเที่ยวได้ ยกเว้นบริเวณหาดทรายขาว ของเกาะราวี จะต้องปิด และต้องไม่ไปพัฒนาสิ่งก่อสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม ร้านอาหาร ที่พัก ในบริเวณนั้น ทุกวันนี้ เปิดท่องเที่ยวกันอย่างไม่สนใจว่าแนวปะการังตรงนั้น ตายไปแล้ว ต้องการการดูแลให้มันฟื้นตัวเอง ไม่ใช่การซ้ำเติม
หมู่เกาะสุรินทร์ ถือว่าวิกฤติหนักที่สุด ถ้าจะต้องปิดทั้งอุทยานฯ ก็ต้องปิด เพราะเสียหายมากที่สุด แต่ถ้ากลัวผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ก็ต้องกำหนดกิจกรรม กำหนดสถานที่ให้เหมาะสม
ส่วนสิมิลันนั้น จุดดำน้ำลึกยังพอมีให้ใช้ได้ แต่ไม่ทุกจุด และต้องควบคุมอย่างเข้มงวด อย่าไปสร้างปัญหาซ้ำเติม จากของเสียจากเรือ การเหยียบย่ำ การให้อาหารปลา การทิ้งเศษอาหารลงทะเล
ส่วนจุดดำน้ำตื้น และบริเวณที่เป็นแนวปะการังแข็งทั้งหมดของหมู่เกาะสิมิลัน ต้องปิด เช่น เกาะหนึ่ง เกาะสอง เกาะสาม ต้องปิดอยู่แล้วเพราะเป็นเขตสงวนอย่างเข้มงวด แต่ที่ต้องปิดเพิ่มเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 3 ปี ได้แก่ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะแปด เกาะเจ็ด
หมู่เกาะพีพี ต้องปิดหลายบริเวณ เช่น บริเวณที่ตื้นของเกาะไผ่ แนวปะการังทางทิศตะวันตกของเกาะพีพีดอนไปจนถึงแหลมตง
ในภาพรวมของการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน เราอาจจะต้องย้ายนักท่องเที่ยวลงไปทางหมู่เกาะอาดัง ราวี และใช้มาตรการต่างๆ ควบคุมไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสร้างความเสียหาย ต้องส่งคนลงไปดูแลมากขึ้น เรือตรวจ ทุ่นจอดเรือ
ส่วนในมิติของการจัดการทรัพยากร...
วันนี้ ต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทย ใช้คนที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไปบริหารจัดการแนวปะการัง อย่างเช่น แนวปะการังของประเทศอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกือบครึ่ง
แต่ถามว่า วันนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มีทีมงานที่รู้เรื่องแนวปะการัง และการจัดการแนวปะการังหรือเปล่า หัวหน้าอุทยานฯแห่งชาติ เข้าใจหรือเปล่าว่าจะจัดการแนวปะการังอย่างไร ทุกวันนี้ ได้แต่บอกว่า รอนักวิชาการข้างนอกเข้าไปสำรวจ แต่ถามว่า มีงบประมาณให้นักวิชาการทำงานหรือเปล่า แล้วทำไม เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์กันเองไม่ได้ แค่ลงน้ำไปก็รู้แล้ว ว่าปะการังตรงไหนตายบ้าง เว้นแต่ว่า ไม่มีคนที่รู้จักปะการังว่า ลักษณะไหนที่ยังมีชีวิต ลักษณะไหนที่ตายแล้ว
ทุกวันนี้เราเน้นแต่การบริหารจัดการคน บริหารจัดการนักท่องเที่ยว บริหารจัดการเงินรายได้ต่างๆ ทำอย่างไร ให้นักท่องเที่ยวพึงพอใจ ทำอย่างไร จะมีนักท่องเที่ยวมาพัก แล้วเกิดความสบาย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวมีอาหารทะเลกิน และทำอย่างไรถึงจะเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เข้ารัฐ และยังค่าอาหาร ค่าที่พัก ที่อยู่นอกระบบอีกเท่าไร
กรมอุทยานแห่งชาติ มีแนวทางการคัดเลือกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลต่างๆ อย่างไร คนที่จะมาเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล ควรมีความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง
ทุกวันนี้กลายเป็นว่า ส่งใครก็ได้ที่สามารถบริหารจัดการคน และงบประมาณเข้าไปเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล
น่าเสียดายเราจำใจ.....ต้องฝากฝังทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดีที่สุดของประเทศและภูมิภาค ไว้ในมือของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักแนวปะการังเลย
ขอบคุณสำหรับบทความครับพี่น้อย อาจารย์ศักดิ์อนันต์เขียนหลายๆประเด็นไว้โดนใจมากเลยครับ
มันเหมือนๆกับเรื่องของ "ไก่ได้พลอย" หรือ "สุนัขในรางหญ้า" อย่างไงก็ไม่รู้นะคะ
แต่ไม่ใช่ "ช้าๆได้พร้าเล่มงาม" แน่ๆ......:(
ขอบคุณบทความดีๆ จากพี่น้อยค่ะ (ตั้งใจอ่านมากกว่า textbook ตรงหน้าอีก ฮาาา)
หากมีการดำเนินการอย่างจริงจังและเข้มแข็ง เชื่อว่า ซักวันปะการังสวยๆ จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในทะเลไทยค่ะ แต่ก็ยังกลัว ความไร้วินัยของคนบางกลุ่ม เช่นกันค่ะ
อาจารย์บอยผู้เขียนบทความนี้ และนักวิชาการอีกหลายๆท่านจากหลายสถาบัน ทำการสำรวจและทำรายงานเรื่องปะการังฟอกขาวกันอย่างเอาจริงเอาจัง ด้วยความห่วงใยและหวังจะให้ปะการัง ได้รับความบอบช้ำน้อยที่สุด และกลับมาฟื้นคืนตัวอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยระบบการทำงานแบบไทยๆของทางการบ้านเรา ทำให้นักวิชาการเหล่านี้เหนื่อยใจ หนักใจ และเกือบจะถอดใจกันเป็นแถวๆ
การเขียนบทความนี้ของอาจารย์บอยจึงเหมือนกลั่นออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ จึงน่าสนใจและน่าติดตามมากค่ะ
พวกเราก็ต้องมาช่วยกันลุ้นว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรต่อไป หรือ จะไม่มีอะไรในกอไผ่....
Thoto_Dive
17-01-2011, 21:52
ดูเหมือนนักวิชาการทุกคนทำงานกันหนักมากๆ แต่ข้างบนเอาตัวรอดไปวันๆ
ดูคำตอบของท่านอธิบดีกรมอุทยานซิครับ ผมว่า....ด้านแท้ๆ รู้ปัญหาอยู่เต็มอกตั้งแต่ปีมะโว้
ผมจะลองนะครับ(แต่จริงๆไอเดียยังเป็น 0 แค่รู้ว่าถ้ามันเกิดแล้วจะดีมาก) ผลักดันให้เกิดคณะอนุกรรมการสิ่งแวดล้อมที่ดูและเรื่องปะการังฟอกขาวโดยตรง หวังว่าผู้ที่มีความรู้อย่างท่านๆจะได้เข้าไปนั่งกำกับดูแล
จริงๆตอนนี้ก็มีคณะกรรมการฯที่ประกอบด้วยนักวิชาการ วิทยาศาสตร์ทางทะเล หลายท่านจากหลายสถาบัน ดูแลปัญหานี้อยู่แล้วนะครับ ซึ่งสองสายเคยเข้าร่วมสังเกตุการณ์การประชุมมาแล้วครั้งหนึ่ง
ที่เอาจริง เป็นห่วงจริงๆ และอยากทำอะไรจริงๆก็คือ ท่านนักวิชาการเหล่านี้แหล่ะครับ สำรวจกันก็แล้ว ทำรายงานสรุปกันก็แล้ว เหลืออยู่แต่ทางหน่วยงานราชการเท่านั้นครับที่จะต้องคุยตกลงกันเอง และตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป
sea addict
18-01-2011, 22:04
พี่จ๋อมครับ คณะกรรมการมีจริงครับ ทำงานจริงครับ ก็เหล่านักวิชาการทั้งหลายที่พยายามผลักพยายามดันกันงกๆนี่แหละ ทำทุกอย่างก็แล้วแต่ขาดกำลัง และอำนาจที่จะดำเนินการได้ คงช่วยกันทำออกมาเพียงในรูปของรายงานสรุปที่พร้อมนำมาปฎิบัติได้ ถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนอาหารที่ปรุงเสร็จพร้อมเสิร์ฟมาบนโต๊ะซึ่งมันก็ยากอยู่แล้วที่จะปรุงอาหารเหล่านี้ แต่ที่ยากยิ่งกว่าก็คือการป้อนอาหารเหล่านี้ให้แก่ผู้ที่(แกล้ง)พิการทางสมองซึ่งจะต้องเอาอาหารเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ แต่ก็นะ คนมันสมองพิการไปแล้วจะรู้ค่าอาหารที่ปรุงมาได้ยังไง คงต้องพยายามง้างปากป้อนอาหารกันต่อไป
ปล.ถ้าแรงไปก็ลบได้นะครับ
เห็นใจคณะกรรมการมากๆค่ะ....ที่ทั้งผลักทั้งดัน จนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าระอาใจไปตามๆกัน
ถ้าคนรับเรื่องไปทำต่อสมองพิการจริงๆ ก็น่าสงสาร และคงต้องตำหนิคนที่รับคนสมองพิการมาทำงานนะคะ....
เอ...หรือจะ(แกล้ง)สมองพิการกันไปหมดอย่างน้อง sea addict ว่า.....:p
Thoto_Dive
19-01-2011, 06:42
ผมอยากให้มีอนุกรรมการตามที่แนบด้านล่างครับ จะได้มีกำลังมากพอ
ทุกอย่างทำไปจะได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
http://www.onep.go.th/neb/4.%20Subcommittee/webpage/sub_com.html
ที่ผมจะบอกก็ตรงกับที่น้อง sea addict บอกน่ะแหละครับ เพียงแต่ไม่ค่อยจะกล้าใช้คำรุนแรงเท่านั้นเอง .... สรุปแล้ว มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินมากกว่าผลประโยชน์ทางธรรมชาติครับ
อย่างหนึ่งที่น่าจะเริ่มทำดูคือ .... ยกเลิกการเข้าไปพักแรมบนเกาะของอุทยานทางทะเล ให้เหมือนกับที่ได้ทำไปแล้วที่ อช.เขาใหญ่ และตรวจสภาพเรือทุกลำว่ามีระบบเก็บของเสียจากเรือหรือไม่ ก่อนที่จะออกบัตรอนุญาตให้เข้าไปจอดเรือในเขตอุทยานได้
sea addict
19-01-2011, 17:00
ท่านๆที่กำลังกังวลเรื่องการปิดคงจะต้องทำใจให้สบายๆไว้ก่อนครับ ปัญหานี้จากการได้คุยกับหลายๆฝ่าย คิดว่าเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการให้น้อยที่สุดจากมาตรการนี้ก็น่าจะเป็นการปิดเฉพาะจุดในแต่ละอุทยานฯเท่านั้น คงไม่ปิดทั้งหมด ในส่วนที่ยังมีศักยภาพและคาดว่าการดำน้ำไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในบริเวณที่ดำน้ำนั้นมากนัก ก็ยังคงเปิดให้ดำน้ำกันต่อไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลและการตัดสินใจของผู้ที่เกียวข้องอีกที
ทั้งนี้ผมมองว่า การปิดนั้นมันสำคัญอยู่ที่ว่ามันปิดจริงหรือปิดหลอก ขนาดแฟนตาซีจุดเดียว ยังมีการลักลอบดำกันอยู่เลย เจ้าหน้าที่มีเพียงพอหรือไม่ที่จะดูแลจุดที่จะสั่งปิดซึ่งคาดว่าน่าจะมีหลายจุด หากยังมีไม่พอ กรมของท่านพร้อมที่จะเสริมกำลังและงบประมาณเพื่อการนี้หรือไม่ การทุ่มทุนดูแลทรัพยากรโดยไม่มีผลตอบแทนจากการท่องเที่ยวเข้ามาท่านเจ้ากรมนี้จะยอมทำหรือไม่ คงต้องดูกันต่อไป
ที่สำคัญหลังจากปิดแล้วจะมีมาตรการต่อเนื่องอย่างไรที่จะทำให้ทราบว่า การปิดจุดดำน้ำเหล่านี้จะช่วยให้แหล่งปะการังของเราได้ฟื้นตัวจริงๆ กรมกองใดจะเป็นผู้รับผิดชอบติดตาม จะจัดสรรงบประมาณในส่วนใดมาใช้เพื่อการนี้ มีโอกาสจะเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในมาตรการเหล่านี้หรือไม่ เหล่านี้เป็นคำถามที่สำคัญ นับว่าเป็นงานวัดใจผู้บริหารกรมกองทั้งหลายจริงๆ พูดจริงทำจริงอ๊ะป่าว?
อ่านข่าวนี้แล้ว "เซ็งเป็ด.....
กรมอุทยานฯกร้าวไม่ปิดอันดามันฟื้นปะการัง
http://www.dailynews.co.th/content/images/1101/19/aundaman.gif
วันนี้ (19 ม.ค.) นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ได้ส่งข้อมูลเรื่องปะการังฟอกขาวในบริเวณทะเลอันดามันมาให้ รวมทั้งเสนอให้ปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลเกือบทั้งหมด เพื่อให้ปะการังที่ฟอกขาวได้ฟื้นตัวนั้น ตนได้สั่งให้เจ้าหน้าของกรมอุทยานเข้าไปสำรวจเพิ่มเติมในส่วนของพื้นที่ที่ทางทช.แจ้งมา และในวันที่ 20 มกราคม เจ้าหน้าที่จะมารายงานผลการไปสำรวจในที่ประชุมของกรมอุทยานฯ ซึ่งตนได้เรียกหัวหน้าอุทยานทางทะเลทั้งหมดมาประชุมร่วมกับนักวิชาการมหาวิทยาลัย เพื่อร่วมหารือในเรื่องนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไรดี
“เบื้องต้นแล้ว ผมเห็นว่า เรายังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องปิดอุทยานทางทะเล เพราะถึงปิดก็ไม่ได้ทำให้ปะการังฟอกขาวฟื้นขึ้นมาได้ในเวลานี้ แต่ควรจะหามาตรการที่จะลดผลกระทบ ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนมากกว่า การปิดอุทยานทางทะเลจะเกิดให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง”นายสุนันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่ากรมอุทยานจะไม่ทำตามที่ทางทช.เสนอให้ปิดอุทยานใช่หรือไม่ นายสุนันต์ กล่าวว่า ต้องรอฟังจากที่ประชุมในวันที่ 20 ม.ค.ก่อน ว่าทั้งเจ้าหน้าที่และนักวิชาการจะว่าอย่างไร แต่ตนเห็นว่า การหามาตรการที่เข้มงวดและเหมาะสมในการป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปรบกวน พื้นที่ที่มีความวิกฤตเรื่องปารังฟอกขาวน่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่าปิดอุทยานทั้งหมด อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่วิกฤตมากๆอาจต้องปิดบางส่วนก็ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ เกาะเฮ และเกาะแอล จ.ภูเก็ต โดยสื่อมวลประจำกระทรวงทรัพยากรฯ ได้ดำน้ำลงไปสำรวจปาการังรอบเกาะดังกล่าว พบว่า มีปะการังกิ่ง ปะการังก้อน ปะการังเขากวาง ปะการังโขด ฟอกขาวทั้งหมดมากกว่า 90% โดยบริเวณเกาะแอลนั้น ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปดูปะการังเลย เพราะไม่มีปะการังสวยงามให้ดูอีกต่อไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณเกาะเฮ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักนั้น เกาะดังกล่าวมีรีสอร์ทของเอกชนตั้งอยู่ มีบริษัททัวร์แห่งหนึ่งได้นำนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ประมาณ 500 คน มาดำน้ำชมปะการังน้ำตื้น ปรากฏว่านักท่องเที่ยวต่างทั้งดำน้ำละเดินดูปะการัง โดยมีการเหยียบย่ำบนปะการังอย่างสนุกสนาน โดยรู้เท่าไม่ถึงการ นอกจากนี้มีนักท่องเที่ยวหลายคนได้หยิบก้อนปะการังซึ่งเป็นปะการังดอกเห็ดที่ยังมีชีวิตซึ่งเหลือเป็นส่วนน้อยขึ้นมาอวดกันและถ่ายรูปด้วยความสนุกสนาน ต่อหน้าต่อตาสื่อมวลชนและทีมงานของทช. ทั้งนี้กลุ่มสื่อมวลชนพยายามห้ามปราม ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง
นายนิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ทช. กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากบริษัททัวร์ ไม่ได้อธิบายให้ลูกทัวร์ รู้ว่าข้อควรปฏิบัติในการดำน้ำดูปะการังควรทำอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือ จัดอบรมสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)และผู้ประกอบการบริษัทดำน้ำ ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. นี้ ใน4 จุด คือภูเก็ต ทับละมุ จ.พังงา เกาะพีพี จ.กระบี่ และเกาะไข่นอก เพราะเป็นพื้นที่ที่ทัวร์จำนวนมาก
“ยอมรับว่าตกใจที่เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากเกินไปที่ดำน้ำไปดูปะการังในช่วงน้ำทะเลกำลังลด โดยหลายรายขึ้นไปยืนบนปะการัง บางรายหยิบมาถ่ายรูปเล่น เราได้แต่ยืนมอง เพราะไม่มีอำนาจตามกฏหมาย เพราะกฎหมายของทช.ยังไม่แล้วเสร็จ ทั้งนี้พื้นที่ดังกล่าวเป็นของเอกชน แต่โดยหลักการทรัพยากรทางทะเลนั้นอยู่ในความดูแลของทช.ก็จริง แต่เมื่อเห็นจะจะแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากได้แต่อึ้ง” นายนิพนธ์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=116417
ข่าวข้างบนนี้........ทำให้เซ็งอยู่สองเรื่อง....
เรื่องแรก....เซ็งกับคำพูด "เรายังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องปิดอุทยานทางทะเล เพราะถึงปิดก็ไม่ได้ทำให้ปะการังฟอกขาวฟื้นขึ้นมาได้ "
เรื่องที่สอง.......เซ็งกับคำพูด "หลายรายขึ้นไปยืนบนปะการัง บางรายหยิบมาถ่ายรูปเล่น เราได้แต่ยืนมอง พราะไม่มีอำนาจตามกฏหมาย เพราะกฎหมายของทช.ยังไม่แล้วเสร็จ"
เฮ้อออออ.......:cool:
sea addict
19-01-2011, 21:46
เห็นมั้ยล่ะ พูดไม่ทันขาดคำ หางโผล่ซะแล้ว ปิดแล้วจะเอาอะไรกิน จะหาที่ไหนไปส่งนาย เจ้าหน้าที่กรมตัวเองมีความรู้น่าเชื่อถือเสียเหลือเกิน ชาวบ้านนักวิชาการทั่วประเทศเค้าตะโกนมาแล้วก็ยังทำมึน...... มีหน้ามาห้าห่วง ทนหายห่วงได้อีก รู้อยู่เต็มอกว่าเกิดอะไรขึ้น คำแนะนำก็มีอยู่แล้วเค้าทำไว้ให้แล้วยังมาทำมึนอีก เฮ้อ ฝากความหวังกับคนสมองพิการก็อย่างงี้แหละ คนอยากทำก็ยังไม่มีอำนาจ เป็นที่มาของความเซ็งทั้งสองประการที่พี่สายชลว่าแหละครับ
รายได้จากการท่องเที่ยวเป็นผลประโยชน์อันมหาศาลกับอุทยานรวมถึงผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องแน่นอน เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ..
ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวเหยียบ รวมถึงหยิบปะการังขึ้นมา การให้ความรู้และทำความเข้าใจน่าจะเป็นทางออกทางหนึ่งที่จะเยียวยาเรื่องนี้ได้บ้างนะครับ ..
อะไรก็ตามที่ให้ความรู้สึกว่าเป็น "ของสาธารณะ" ความรู้สึกร่วมในการใช้ประโยชน์อย่่างทะนุถนอม อย่างคุ้มค่่ามันไม่ค่อยจะมี แต่พอรู้สึกว่า ของสิ่งนั้นเป็น "ของเรา" ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ของๆข้าใครอย่าแตะ เมื่อไหร่ เราจะรู้สึกเป็นเจ้าของ "ทะเลไทยของเรา" จริงๆซะที ..
บทความที่เกี่ยวข้องกันจาก น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ วันนี้
ใคร ? ฟอกขาวปะการัง
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/20/images/news_img_372817_1.jpg
ปะการังฟอกขาว หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าสวย
ถ้าปะการังฟอกขาว ไม่ถูกเอาไปโยงเป็นสาเหตุของการปิดเกาะ คนคงไม่สนใจและอะไรๆก็โลกร้อน แต่ความจริงเราๆท่านๆล้วนแต่เป็นจำเลยฐานฟอกขาวกันทั้งนั้น
ข่าวอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เตรียมเสนอให้กรมอุทยานแห่งชาติ “ปิดเกาะ” ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ สิมิลัน พีพี ราชา หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ประเด็นสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่เงียบหายไปพักใหญ่ คือ “การฟอกขาวของปะการัง” ในทะเลไทย กลับมาได้รับความสนใจจากสังคมอีกครั้ง แต่เสียงสะท้อนกลับมานั้นต่างออกไป เพราะนอกจากเสียงเห็นด้วยกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีความเห็นแย้งด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีกด้วย
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้ง นี้ เริ่มตั้งแต่ต้นปี พ.ศ.2553 ที่ผ่านมา โดยไม่มีใครคาดคิดว่า เหตุการณ์จะยืดเยื้อยาวนานและส่งผลเสียหายร้ายแรงอย่างปัจจุบัน เพราะการฟอกขาวของปะการังนั้น เกิดขึ้นเป็นประจำแทบทุกปี อย่างที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอว่า ชาวบ้านพบเห็นการเกิด “ปะการังสีทอง” ตามชายหาดหรือบริเวณน้ำตื้น
ว่ากันตามหลักธรรมชาติแล้ว การที่เรามองเห็นปะการังกลายเป็นสีเหลืองทองนั้นเพราะสาหร่ายที่ปกคลุมอยู่บนผิวปะการังเริ่มตายลงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นตามฤดูกาลและค่อยๆขาวซีดลง จนเหลือแต่สีขาวตุ่นๆของแคลเซียมซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของปะการัง เมื่อเข้าฤดูฝน อุณหภูมิน้ำก็จะลดลง ปะการังและสาหร่ายก็จะสามารถกลับมาเจริญเติบโตได้ครั้งอีกตามวัฏจักร
ผศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นถึงปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ว่า สาเหตุหลักเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป น้ำทะเลมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้น
"แต่ไม่ได้หมายความว่าปะการังจะตายทั้งหมด โดยทั่วไปที่เราพูดถึงปะการังแข็งหากเกิดการฟอกขาวขึ้นไม่เกิน 1 เดือน ปะการังก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ สีสันที่หายไปนั่นก็เพราะไม่มีสาหร่ายเกาะเหมือนแต่ก่อน เพียงแต่จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก ถ้าหากในช่วงระยะเวลาดังกล่าวอุณหภูมิน้ำกลับมาดีขึ้น เริ่มเข้าสู่สภาวปกติ ปะการังก็จะค่อยๆฟื้นตัวกลับมา"
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/20/images/news_img_372817_2.jpg
พื้นที่(ควร)ปลอดมนุษย์
แม้ปัจจัยหลักจะมีสาเหตุมาจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์เราจะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่หนุนเสริมให้ปะการังอ่อนแอและฟื้นตัวช้า ก็คือ กิจกรรมทางทะเลของมนุษย์นั่นเอง
"มีความเป็นไปได้ ถ้าเราปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครไปยุ่ง ปะการังที่แข็งแรงก็จะค่อยๆฟื้นตัวกลับคืนมา แต่ถ้าคนยังมีการเข้าไปทำกิจกรรมในบริเวณนั้นอยู่ ก็จะยิ่งทำให้ปะการังตายเร็วขึ้น"
ผศ.ดร.วรณพ ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงของกรณีปะการังฟอกขาวเมื่อปีที่แล้วกับปีนี้ว่า ทั้งหมดถือเป็น "ลอตเดียวกัน" ที่เป็นอย่างนั้นเพราะปีก่อนประเทศไทยเกิดปรากฏการเอลนินโญล่าช้าไป 3 เดือนทำให้ปะการังฟอกขาวกันเป็นจำนวนมาก และเมื่อเวลาผ่านไปปะการังค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา แต่ก็ต้องมาเจอกับปรากฏการณ์ลานินญาอีก ซึ่งก็ส่งผลให้หมู่ปะการังชุดเดิมที่เพิ่งฟื้นตัวกลับมาฟอกขาวอีกครั้ง
"ตอนนี้เรายังคงไม่สามารถคาดคะเนได้ชัดเจนถึงการฟื้นตัวของแนวปะการังภาย หลังการฟอกขาว เพราะปัจจัยแวดล้อมที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุณภูมิของน้ำ การไหลของกระแสน้ำ หรือกิจกรรมทางทะเลของผู้คนในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ซึ่งตอนนี้ทางนักวิจัยเองก็กำลังพยายามหาทางฟื้นฟูในส่วนที่น่าจะทำได้อยู่ เพราะตัวปัจจัยค่อนข้างผันผวนมาก หากมองในสเกลใหญ่เราก็คงต้องรอให้อุณหภูมิของน้ำดีขึ้น และพยายามลดกิจกรรมที่จะส่งผลกระทบต่อปะการังลงน่าจะเป็นการแก้ปัญหาเบื้องต้นได้ดีที่สุด"
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวนั้น ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะฝั่งอันดามันเท่านั้น เพราะตั้งแต่ต้นปี 2553 แนวปะการังในฝั่งทะเลอ่าวไทย ตั้งแต่ จ.ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ตลอดเรื่อยไปจนถึง ชุมพร สุราษฎร์ธานี (ส่วนตั้งแต่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไปนั้น เกิดความเสียหายน้อยกว่า เพราะได้รับอิทธิพลจากปริมาณน้ำฝนจำนวนมากซึ่งไหลลงมาช่วยให้อุณหภูมิผิวน้ำลดลง) ล้วนได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำอุ่นซึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าปกตินี้ไม่แพ้กัน แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากสังคมเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ จึงมีแต่นักวิชาการและเจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการเข้าศึกษาสาเหตุและหาหนทางแก้ไข
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/01/20/images/news_img_372817_3.jpg
ทีมใต้น้ำออกสำรวจความเสียหาย
ให้ปลา ฆ่าปะการัง
ด้านเจษฎา ณ ระนอง ผู้ประกอบการด้านการดำน้ำท่องเที่ยวรายหนึ่งใน จ.ภูเก็ต เล่าว่า “ตั้งแต่เดือนแปดเดือนเก้าก็เริ่มรู้ชะตากรรมแล้วว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ๆ เพราะอุณหภูมิน้ำขึ้นสูงถึง 32 องศาเซลเซียส ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งถือว่าร้อนจัด จนมาถึงทุกวันนี้ ที่แนวปะการังเกาะราชาใหญ่ด้านตะวันตก ใช้คำว่าหมดเกลี้ยงได้เลย ปะการังส่วนที่ยังดูดีอยู่เหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ พวกปะการังโขดที่อยู่น้ำตื้นไม่ต้องพูดถึงเลย ตายเรียบ ขนาดว่าที่เคยขึ้นคลุมหินก้อนใหญ่ๆ มันถึงกับล่อนออกมาเป็นแผ่นๆ เหลือแต่ก้อนหิน หรืออย่าง East Eden ที่หมู่เกาะสิมิลัน ก็เหลือแต่หิน ปิดะนอก ปิดะใน ก็เหี้ยนหมด ในแง่ของความเสียหาย ตอนนี้แนวปะการังมันเหมือนคนใกล้ตาย
เรื่องปิดอุทยานนั้น หลายคนบอกว่าเป็นการทำลายการท่องเที่ยว แต่ถ้ามันจำเป็น มันก็ต้องปิด เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว มันเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น เพราะถ้ามันหมดไปในตอนนี้ อีกอนาคตจะเอาอะไรหากินกัน ทะเลบ้านเรามันจะเหลืออะไร แล้วอย่างที่อื่นๆ เช่น เกาะราชา มันก็ไม่ใช่เขตอุทยาน ก็ยังสามารถไปกันได้ ไม่จำเป็นต้องมุ่งไปหากินกันแต่ที่เกาะสิมิลัน หรือ เกาะพีพี”
ตรงกันกับข้อมูลจากการสำรวจวิจัยที่ เกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลแลพชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า ปะการังในแหล่งท่องเที่ยวฝั่งอันดามันตายลงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์และเสียหายมากกว่าเมื่อเผชิญสึนามิหลายเท่าตัว
แต่กับเสียงสะท้อนจากบางมุมของสังคม ยังกังขากับเรื่องการเตรียม “ปิดแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลบางแห่ง” ของหน่วยงานภาครัฐ เพราะมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เจษฎาให้ความเห็นว่า
“วัฒนธรรมการท่องเที่ยวบ้านเรามันก็แปลก เช่น ไปให้อาหารปลาตามแนวปะการัง ทีนี้ แทนที่ปลามันจะไปกินสาหร่ายที่ขึ้นคลุมปะการังที่ใกล้ตาย มันก็ไปกินขนมปังแทน สิ่งที่ยังภูมิใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เรือที่เราพานักท่องเที่ยวออกไปดำน้ำจะไม่ให้อาหารปลา อย่างเรืออื่นเขาจะเอาขนมปังติดเรือไปด้วยเลย เอาไปให้ปลากินเพื่อให้ปลาขึ้นมาโชว์ตัวผิวน้ำ หรือแม้กระทั่งใต้น้ำก็มี ยิ่งหลังๆ ราคา(ค่าทริป)มันถูกลง คนมันก็ยิ่งเยอะขึ้น”
ไม่เพียงแค่เรื่องเล็กๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องอย่างการให้อาหารปลาเท่านั้น การเข้าใช้ทรัพยากรบนเกาะต่างๆเหล่านี้ ส่งผลกระทบตามมาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น สิ่งปฏิกูล คราบน้ำมัน สารตกค้างจากการซักล้าง อันตรายจากใบจักรและสมอเรือ การขาดความรู้ความเข้าใจของนักท่องเที่ยว เช่น การเดินลงไปเหยียบย่ำ หรือ ยืนบนปะการังซึ่งไม่นับรวมปัญหาเดิมๆ อย่างการลักลอบเข้าทำประมงในเขตหวงห้าม ซึ่งหากเกิดขึ้นในยามที่ปะการังยังแข็งแรงสมบูรณ์ คงไม่เห็นผลอะไรมากนักในระยะสั้น เพราะในไม่ช้า ความสมดุลของธรรมชาติจะช่วยกันเยียวยาตัวเอง แต่ถ้ามาซ้ำเติมกันในช่วงที่ปะการังอยู่ในระยะไอซียู เรื่องเหล่านี้นับเป็นสิ่งสำคัญที่ “ต้อง” ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
ล่าสุด สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปิดอุทยานในบางพื้นที่ “ถ้าศึกษาแล้วพื้นที่ใดมันสมควรปิดก็ต้องปิดเพื่อให้ธรรมชาติมันฟื้นฟูตัวเอง”
"หลังจากนี้คงต้องจัดระเบียบการท่องเที่ยว เช่น ขยับทุ่นผูกเรือออกมาจากแนวปะการัง จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งกำลังรวบรวมข้อมูลว่าจะทำอย่างไร” รัฐมนตรีว่าไว้อย่างนั้น
ปะการังสีขาว = สวย?
ย้อนกลับไปที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่นที่จะต้องเร่งหาลูกค้าได้ให้มากที่สุด ก่อนจะหมดฤดูการท่องเที่ยวในอีกไม่นาน แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ปะการังฟอกขาวไม่ส่งผลลบต่อรายได้ของบริษัทนำเที่ยวคือ นักท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยเห็นแนวปะการังของจริง ไม่เคยเห็นฝูงปลา เมื่อมาเจอแนวปะการังที่ฟอกขาว นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จึงไม่รู้ ยังคงตื่นตาตื่นใจ กระทั่งบางรายยังให้บอกว่า ปะการังสีขาวที่ประเทศไทยนั้น สวยแปลกตากว่าที่เคยเห็นในหนังสือ แต่กับนักดำน้ำที่เคยสัมผัสความอลังการของแนวปะการังครั้งที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียใจและเสียดาย
ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยเท่านั้น เพราะก้อนกระแสน้ำอุ่นจากมหาสมุทรอินเดีย ไหลเวียนไปทั่วภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะที่เกาะอาเจะห์ ประเทศอินโดเนเซีย นั้น ได้รับผลกระทบรุนแรงมากที่สุด ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปีที่แล้ว
เจษฎา ณ ระนอง ผู้ประกอบการท่องเที่ยวดำน้ำรายเดิมเล่าอีกว่า
"อย่างเมื่อวันก่อนเพิ่งไปมาเลเซียมา ก็ลองสังเกตดู ท่าทางก็ไม่ค่อยดี น้ำก็ยังอุ่นอยู่ แต่บ้านเราตอนนี้ดีหน่อย ลงมาอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส หรืออย่างที่ Manta alley (ทางตอนใต้ของเกาะโคโมโด ประเทศอินโดนีเซีย) อุณหภูมิน้ำขึ้นมาถึง 24-25 องศาเซลเซียส ซึ่งปกติอย่างมากก็แค่ 20 องศาเซลเซียส มันผิดปกติมาก”
รวมทั้งแหล่งดำน้ำชื่อดังอย่าง เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปกติแล้วจะมีกระแสน้ำเย็นจากออสเตรเลียช่วยหล่อเลี้ยง แต่ในปีที่ผ่านมา อุณหภูมิก็สูงขึ้นจนถึงระดับ 27 องศาเซลเซียส ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้ปะการังน้ำตื้นที่คุ้นชินกับน้ำเย็นตายลงเป็นจำนวนมาก
เอมิโกะ ชิบุยะ ชาวญี่ปุ่น ผู้จัดการร้านให้บริการด้านการดำน้ำแห่งหนึ่งบนเกาะบาหลี บ่นให้ฟังเสียงดังๆ ว่า
“ปีนี้ปะการังโทรมลงมาก น้ำก็ไม่ใสเหมือนเก่า แถมยังมีฝนตกนอกฤดูกาลอีก ถ้าเรายังไม่ช่วยกันดูแลโลกตั้งแต่วันนี้ ต่อไปก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
อะไรก็ตามที่ให้ความรู้สึกว่าเป็น "ของสาธารณะ" ความรู้สึกร่วมในการใช้ประโยชน์อย่่างทะนุถนอม อย่างคุ้มค่่ามันไม่ค่อยจะมี แต่พอรู้สึกว่า ของสิ่งนั้นเป็น "ของเรา" ขึ้นมาแล้วล่ะก็ ของๆข้าใครอย่าแตะ เมื่อไหร่ เราจะรู้สึกเป็นเจ้าของ "ทะเลไทยของเรา" จริงๆซะที ..
จริงค่ะน้องปี๊บ....ถ้าของอะไรที่มันเป็นของเราแล้ว เราก็จะรัก ทนุถนอม และอยากจะทำแต่สิ่งดีๆให้กับเขา ยิ่งยามที่เขากำลังเดือดร้อน เจ็บไข้ได้ป่วย เราจะหันหลังไม่กลับไปมองดูเขาได้อย่างไร ยิ่งเห็นใครมาทำร้ายย่ำยีเขาด้วยแล้ว จะยืนดูเฉยๆได้อย่างไร....
ถ้าทำเฉยๆได้ ไม่ทำอะไรเลยนี่...จะใจดำไปหน่อยมั้ง......
อ่านดู.....ถูกใจกันไหมคะ...
สั่งปิด "7 อุทยานทางใต้"ไม่มีกำหนด หวังฟื้นฟู"ปะการังฟอกขาว"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช แถลงข่าว การจัดการปะการังในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในแนวปะการัง ทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันเสียหายสูงสุด ในรอบ 12 ปี โดยทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งปิดพื้นที่บางส่วนของอุทยาน ได้แก่
อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง บริเวณเกาะเชือก
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะ-พีพี บริเวณแนวปะการังหินกลาง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น
ซึ่งดำเนินการปิดตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมเป็นต้นไปอย่างไม่มีข้อกำหนดแน่ชัด
นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ เปิดเผยว่า จากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้น ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้ ได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด เพราะต้องเสนอขึ้นเป็นมรดกโลก ดังนั้น พื้นที่ที่มีปะการังฟอกขาวเกิน 80% ขึ้นไป ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ จึงสั่งปิดพื้นที่บางส่วน โดยงดกิจกรรมดำน้ำ จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว วางทุ่นเพื่อตรวจการ ห้ามเรือจอดทิ้งสมอ หากมีผู้ฝ่าฝืนจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ตามกฎหมาย
นายสุนันต์กล่าวว่า การปิดอุทยานดังกล่าวถือว่าเป็นการปิดเพื่อการศึกษาเรียนรู้ โดยขณะปิดจะศึกษาว่า ปะการังมีการฟื้นตัวตามธรรมชาติได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ พร้อมสนับสนุนให้คณะผู้เชี่ยวชาญ ร่วมศึกษาพื้นที่ที่มีปะการังสวยงาม เพื่อช่วยกันหามาตราการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนการฟื้นฟูนั้น จัดให้มีการเพาะเลี้ยงปะการังในพื้นที่ สร้างปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำ ซึ่งให้อยู่ในการดำเนินการของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) สร้างแหล่งดำน้ำใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว และมีการวางทุ่นหมั่นตรวจการ รายงานผลทุกวัน ทั้งนี้ทางผู้ประกอบการต้องให้ความร่วมมือด้วย ไม่ทิ้งของเสีย หรือขยะมูลฝอย อย่างไรก็ตาม ปะการังฟอกขาวไม่ใช่ปัญหาเพียงเรื่องเดียว ยังมีอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นชายหาด ภูเขา ความหลากหลายทางธรรมชาติ จึงขอฝากให้หัวหน้ากรมอุทยานฯ ให้ความสำคัญด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก....http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1295520442&grpid=03&catid=&subcatid=
อาจารย์บอย (ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง) ให้ความเห็นในเรื่องการปิดอุทยานฯ ข้างต้นไว้ใน Facebook ว่า
"อุทยานแห่งชาติ แถลงข่าวปิดพื้นที่แนวปะการังบางส่วนแล้ว แต่รู้สึกร้อนรนไปหน่อย เหตุผลของการปิด และเปิดในแต่ละพื้นที่ไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไร ข้อมูลที่เอามาแถลงก็เป็นสถานภาพแนวปะการังต้้งแต่ช่วงเริ่มฟอกขาว ไม่ได้เอาสถานภาพในช่วงที่ตายไปแล้วมาเผยแพร่
หลายพื้นที่ผมก็เห็นว่าควรปิดจริง แต่พื้นที่ที่ควรปิด แต่ยังไม่ยอมปิด ก็มีอยู่"
ท่าจะจริงอย่างที่อาจารย์บอยว่าจริงๆค่ะ...
่อ่านแล้วยังงงๆครับพี่น้อย ..
ตัวอย่างง่ายๆ จากรายงาน เกาะสุรินทร์ อ่าวแม่ยายทิศเหนือปะการังตายไป 99.9 เปอร์เซ็นต์ อ่าวนี้ไม่ยักปิด อ่าวเต่าปะการังเสียหายค่อนข้างมาก ก็ไม่มีประกาศเช่นกัน ไม่ทราบว่าอุทยานใช้เกณฑ์ไหนมาตัดสินนะครับ ..
ท่านอธิบดีก็ไม่ได้พูดถึงแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน บอกแค่ให้ผู้เี่ชี่ยวชาญมาศึกษา มาตรการฟื้นฟู ให้มีการเพาะเลี้ยงปะการัง สร้างปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ผมนึกถึงบางพื้นที่อย่างเกาะสุรินทร์ มาตรการนี้คงไม่เหมาะแน่ๆ ที่สำคัญ ไม่มีการพูดถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจรวมถึงปลูกฝังจิตสำนึกกันเลย
เหนื่อยใจครับ ..
เหนื่อยใจจริงๆค่ะน้องปี๊บ....
คงเป็นอย่างที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่า "ปิดก็ไม่ได้ทำให้ปะการังฟอกขาวฟื้นขึ้นมาได้ " เมื่อเห็นว่าจุดไหนตายไปเกือบ 100 % แล้ว ท่านก็เลยไม่สั่งปิดซะเลย เพราะไหนๆก็ตายไปแล้ว ก็ให้ตายไป ไม่ต้องให้ปะการังในบริเวณนั้นกลับมาฟื้นคืนชีพได้อีก ปล่อยให้คนเข้าไปย่ำยีกันให้สบายอารมณ์....
ไม่เข้าใจความคิดนี้จริงๆค่ะ....:(
Super_Srinuanray
20-01-2011, 21:32
พี่น้อยขา
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป มันอยู่ตรงไหนคะ
ไม่รู้จักค่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อที่สิมิลันเลยคะ
ค่ะใจเย็น ติดตามต่อไปอย่างรอฟังข้อสรุป ที่ถูกต้อง
sea addict
20-01-2011, 22:12
ไม่เข้าใจกรมอุทฯเลย ไม่มีใครบอกนายเค้าเหรอว่าที่ไหนควรปิดที่ไหนไม่ควรปิด หรือทั้งกรมไม่มีใครรู้ข้อมูลเลย สิมิลันปิดแค่สองจุดทั้งที่มีอีกหลายจุดที่น่าจะปิด
แต่ยังไงก็ตามถ้าประกาศปิดแล้วก็ขอให้ปิดได้จริงๆเถอะ กลัวจะเป็นการประกาศปิดเพื่อลดผลกระทบต่อกรมฯ มากกว่าประกาศปิดเพื่อลดผลกระทบต่อปะการัง
ข้อเสนอที่น่าจะตามมากับการปิดคือ จัดงบประมาณส่วนหนึ่งสำหรับสนับสนุนการติดตามศึกษาของผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก โดยอาจให้มีเจ้าหน้าที่ของอุทยานร่วมศึกษาเพื่อหาประสบการณ์ด้วย คราวหน้าคราวหลังเวลาจะประกาศอะไรจะได้ไม่ขัดหูขัดตา
น้องติ่งจ๋า....จุดไฟแว๊บ ก็คือจุดที่มีเสาสัญญาณไฟเตือน (ประภาคาร) บนยอดเขาด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะแปด ซึ่งเราเรียกชื่อนี้กันมา 20 กว่าปีแล้วจ้ะ เป็นจุดแนวปะการังแข็งที่ก่อนสึนามิ สวยงามและสมบูรณ์มาก แต่พอสึนามิมา ถูกถล่มซะเละ แต่ก็ฟื้นตัวได้รวดเร็วมาก
ภาษาอังกฤษ จะเรียกจุดดำน้ำนี้ว่า "Beacon Reef" ลากเรื่อยตั้งแต่หัวเกาะ ตรงบริเวณแนวเหนือ - ใต้ ที่เรือ "ระเริงชล" หรือ "Atlantis X" จมอยู่
ถ้าหนูมีหนังสือ Pocket Divesite ของสิมิลัน อยู่ในมือ ก็เปิดไปที่ #11 หน้า 59 ได้เลยจ้ะ
น้อง sea addict ขา....เข้าใจว่าทางกรมอุทยานฯ จะไปใช้รายงานที่ทางนักวิชาการทำตอนปะการังเริ่มฟอกขาว ช่วงเดือนพฤาภาคม ปีที่แล้วมาใช้พิจารณา โดยไม่ได้ใช้รายงานล่าสุด ที่ได้แจ้งเรื่องปะการังที่ฟอกขาวจุดไหนที่ตายไปแล้วบ้าง และก็คงไม่ได้อ่านที่นักวิชาการเสนอแนะว่าควรปิดจุดไหนบ้าง และควรทำอะไรบ้าง
จะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...แต่ก็ทำให้เรามึนไปตามๆกันเลยล่ะค่ะ...
สวดว่อนเน็ตปิดแหล่งดำน้ำ 7 อุทยานฯไม่ตรงจุดวิกฤติ
นักท่องเที่ยววิจารณ์ว่อนเน็ตปิดแหล่งดำน้ำ 7 อุทยานฯไม่ตรงจุดวิกฤติ ด้าน ทช. ระบุข้อมูลตรงกันแล้วรอดูปะการังฟื้นตัว หากพบทำผิดใช้กฎหมายจัดการทันที แฉไกด์เถื่อนต่างชาติไร้สำนึกเกลื่อนเมืองภูเก็ต
วันนี้ (21 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีมาตรการห้ามดำน้ำใน 7 อุทยานแห่งชาติชื่อดังทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพื่อฟื้นฟูปะการังที่เกิดการฟอกขาวและมีผลตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.นั้นปรากฎว่าได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากบรรดานักท่องเที่ยวที่ได้เข้าไปโพสต์ข้อความในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ว่า จุดที่กรมอุทยานฯ สั่งปิดห้ามดำน้ำนั้นไม่ตรงหรือสัมพันธ์กับจุดที่เกิดปะการังฟอกขาว เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ บริเวณอ่าวแม่ยายทิศเหนือ เกิดปะการังฟอกขาวถึง 99.9 เปอร์เซ็นต์ เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน ฟอกขาว 93.6 เปอร์เซ็นต์ เกาะปาชุมบา ตะวันออกเฉียงเหนือ ฟอกขาว 95 เปอร์เซ็นต์ เกาะสุรินทร์ใต้ฝั่งตะวันออก(อ่าวเต่า) ฟอกขาว 85 เปอร์เซ็นต์ เกาะชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ฟอกขาว ฟอกขาว 84 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
แต่กรมอุทยานกลับสั่งปิดบริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน ซึ่งเกิดการฟอกขาวของปะการัง ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จุดที่เกิดปะการังฟอกขาว มากคือเกาะสิมิลัน ตะวันออก หน้าประภาคาร ฟอกขาว 89.3 เปอร์เซ็นต์ เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ฟอกขาว 84 เปอร์เซ็นต์ เกาะบางู ทิศใต้ ฟอกขาว 60.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น แต่กรมอุทยานฯ กลับไปปิดบริเวณอ่าวไฟแว๊บและอีส ออฟ อีเด็นซึ่งเป็นจุดที่เกิดปะการังฟอกขาวไม่มาก
ผู้สื่อข่าวจึงสอบถามไปยัง นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยนายเกษมสันต์ ชี้แจงว่า การปิดจุดน้ำดังกล่าวเป็นอำนาจของกรมอุทยานฯ ซึ่งจุดดำน้ำใน 7 อุทยานฯ ที่สั่งปิดไปนั้นก็ตรงกับข้อมูลของ ทช. และเป็นไปตามข้อมูลที่นักวิชาการของเราได้เข้าไปชี้แจง โดยสิ่งที่เราต้องการดูหลังจากการประกาศปิดจุดดำน้ำคือการฟื้นตัวของปะการังวัยอ่อน ว่าจะลงเกาะบนซากปะการังที่ตายแล้วหรือไม่ เป็นเรื่องที่คณะทำงานร่วมของทั้ง 2 หน่วยงาน คือกรมอุทยานฯ และทช.จะต้องเข้าไปดู
โดยในส่วนของ ทช. จะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านปะการังเข้าไปร่วมด้วย ทั้งนี้ในพื้นที่นอกเขตอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ ทช.นั้น สิ่งที่จะทำคือเร่งประสานกับท้องถิ่นเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ พร้อมกับมอบหมายให้คณะทำงานจัดทำข้อมูลและสื่อประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับปะการังฟอกขาวของ ทช.เร่งจัดทำป้ายป้ายโปสเตอร์เพื่อประชาสัมพันธ์ตามจุดต่าง ๆ ถ้าพบการทำผิดกฎหมายก็สามารถดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์นำเที่ยวที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นนั้น ตนอยากให้ดูตามสถานการณ็ โดยใช้การทำความเข้าใจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเราคงไม่สามารถใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดกับนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติได้ จึงต้องให้บริษัททัวร์ทำความเข้าใจกับเขาก่อน และเราก็ต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับบริษัททัวร์นำเที่ยวให้ช่วยดูแลเรื่องนี้ด้วย ซึ่งจะได้เร่งจัดทำแผนพับประชาสัมพันธ์ เพื่อแจกให้บริษัททัวร์นำเที่ยวและนักท่องเที่ยวแล้ว กรณีดังกล่าวจะใช้วิธีหักด้ามพร้าด้วยมือหรือใช้กฎหมายเข้าไปจัดการทั้งหมดไม่ได้ แต่หากพบพวกลักลอบจับสัตว์น้ำหรือปะการังโดยผิดกฎหมาย คงต้องฟ้องร้องดำเนินคดีและยึดเครื่องมือดำเนินการทันที
ด้าน นายไพทูล แพนชัยภูมิ ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 (จ.ภูเก็ต) กล่าวว่า สำหรับกรณีที่นักท่องเที่ยวเข้าไปเหยียบย่ำบนปะการังและหักขึ้นมาถ่ายรูปเล่นนั้น ถือเป็นการขาดความรู้ความเข้าใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งการจะเอาผิดกับนักท่องเที่ยวนั้นเป็นสิ่งที่ลำบาก สิ่งสำคัญคือต้องดำเนินการกับมัคคุเทศน์หรือบริษัททัวร์นำเที่ยวให้เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเหล่านั้น ตลอดไปจนถึงการใช้มาตรการทางการกฎหมายเข้าดำเนินการกับบริษัททัวร์หากมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นอีก ซึ่งก่อนหน้านี้เคยจับกุมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฝ่าฝืนลักลอบเก็บปะการัง แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เต็มที่ เพราะกระทบกับหลาย ๆ เรื่อง
นอกจากนี้ยังเคยมีโรงแรมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าพักโทรศัพท์มาแจ้งกับทางศูนย์อนุรักษ์ฯ ของเราว่ามีนักท่องเที่ยวลักลอบเก็บปะการังสวยกลับไป แต่พอเก็บไปแล้วปะการังตายและส่งกลิ่นเน่าเหม็นก็ต้องทิ้งไว้ จนพนักงานโรงแรมไปพบและโทรมาแจ้งกับเรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจิตสำนึกนักท่องเที่ยว ที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวหรือไกด์ต้องเร่งทำความเข้าใจกัน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงในเวลานี้ คือ มัคคุเทศน์หรือไกด์นำเที่ยวไม่ได้มีเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ยังมีชาวต่างชาติที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไกด์เถื่อนหรือมีใบประกอบวิชาชีพมัคคุเทศน์ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งกลุ่มนี้น่าเป็นห่วงที่สุด โดยเรื่องนี้ต้องประสานไปยังจังหวัดให้มีการตรวจสอบต่อไป ซึ่งในเรื่องการตรวจสอบหาบริษัททัวร์หรือไกด์นำเที่ยวที่พานักท่องเที่ยวมานั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเราทราบอยู่แล้วว่ามีบริษัทใดดำเนินการอยู่ในพื้นที่บ้าง ส่วนของเรือประมงหรือเรืออวนลากที่เข้ามาใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ สั่งผลต่อทั้งสัตว์น้ำและปะการัง ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดำเนินการขั้นเด็ดขาดแล้ว โดยล่าสุดมีการจับเรือประมงผิดกฎหมายและผู้ต้องหาทั้งชาวไทยและแรงงานต่างด้าวชาวพม่าได้ 9 ราย
ในส่วนของนายนิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะใน 2541 เกิดขึ้นปะการังฟอกขาวที่หมู่เกาะมัลดีฟ ซึ่งถือเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยมีการฟอกขาว 80-90 % มัลดีฟก็ได้จัดมาตรการควบคุบการท่องเที่ยว โดยบางจุดห้ามมีการท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด โดยมัลดีฟแม้ปะการังเสียหายแต่ก็ยังมีปลาสวยงามที่มีความหลากหลาย เพื่อเป็นจุดขายในการท่องเที่ยว แต่ของไทยปลาสวยงามเริ่มลดน้อยลงแล้ว หากไม่มีการควบคุมก็จะยิ่งลดลงและเสื่อมโทรมไปเรื่อย ๆ
สำหรับประเทศออสเตรเลีย ที่มีเกรทแบร์ริเออร์รีฟ เป็นแหล่งปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เคยเกิดสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปี 2541 ซึ่งคล้ายคลึงกับที่เกิดในประเทศไทย เพราะมีการทำทุ่นเพื่อจอดเฮลิคอร์ปเตอร์สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาดูปะการัง ทำให้มีฝูงนกมาเกาะที่ทุ่นและขับถ่ายออกมาจำนวนมาก เมื่อฝนตกลงมาก็ชะล้างขี้นลงไปในทะเลทำให้น้ำสกปรกและเกิดการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรียปกคลุมปะการังที่ฟอกขาวจนปะการังไม่สามารถฟื้นคืนได้เช่นเดียวกับในประเทศไทยเวลานี้ อย่างไรก็ตามภายหลังออสเตรเลีย จึงตระหนักว่าการท่องเที่ยวส่งผลกระทบต่อแหล่งปะการัง และหาแนวทางจัดการที่เหมาะสมต่อไปเช่นกัน
นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณะบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ตนขอใช้คำแรง ๆ ไปเลยว่า "กูเตือนแล้ว" เพราะทั้งเขียนบทความ ให้ข่าวและบอกเล่าทุกทางให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตั้งแต่เพิ่งเริ่มเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวใหม่ ๆ ว่า เรื่องนี้จะสร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรทางทะเลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจมาก ยังกระหน่ำเที่ยว และเที่ยวแบบไม่ทนุถนอมปะการังเลย ทั้งรู้เท่าถึงการณ์ และไม่รู้เท่าถึงการ เหมือนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เอาปะการังขึ้นมาโยนเล่นที่บริเวณเกาะเฮ จ.ภูเก็ต ที่สื่อมวลชนหลายแขนงเห็นมากับตาตัวเอง
"การที่กรมอุทยานแห่งชาติฯสั่งปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดใน 7 อุทยานฯ ทางทะเลนั้น เป็นข้อเสนอของผมเอง ทำแบบนุ่มนวลที่สุดแล้ว คือกระทบกับทุกฝ่ายให้น้อยที่สุด ใน 7 อุทยานฯที่สั่งปิดพื้นที่ดำน้ำชั่วคราวนั้น ถือว่าเสี่ยงสุด ๆ ต่อการไม่ฟื้นกลับมาเลยของปะการัง หากยังดันทุรังปล่อยให้เข้าไปดำน้ำต่อ เพราะเราไม่รู้ว่าคนดำน้ำแต่ละคนเข้าใจเรื่องการรักษาปะการังมากน้อยแค่ไหน แต่ความจริงแล้วเรื่องการปิดจุดน้ำดำน้ำนั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น สำคัญกว่านั้นของการฟื้นฟูปะการังฟอกขาวคือ เรื่องของน้ำเสียที่ปล่อยลงทะเล"นายธรณ์ กล่าว
นายธรณ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ได้นำเสนอเพิ่มเติมไปต่ออธิบดีกรมอุทยานฯ ว่า พื้นที่เกาะที่มีปัญหา โดยเฉพาะ หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ที่ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อความเสียหายแบบไม่กลับคืนมานั้นจะต้องห้ามนักท่องเที่ยวค้างคืน จนกว่าปะการังจะฟื้นตัว เหตุผลก็คือการที่ปะการังจะฟื้นตัวได้ต้องได้รับการรบกวนน้อยที่สุด แต่บนเกาะสุรินทร์มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายของนักท่องเที่ยว มีการปล่อยน้ำเสีย จากห้องน้ำ ห้องครัว ลงทะเลอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน โดยน้ำเสียดังกล่าวจะเป็นตัวรบกวนที่สำคัญที่สุดไม่ให้ปะการังฟื้นตัว และรบกวนมากกว่านักท่องเที่ยวลงไปดำน้ำเล่นเสียอีก ซึ่งเรื่องนี้อธิบดีกรมอุทยานฯ ก็ได้รับปากไปแล้ว
"ที่ผ่านมาตนและกลุ่มผู้หวังดีต่อปะการังหลายคนที่เห็นถึงปัญหานี้ ได้ร่วมกันทำโครงการสร้างทางเลือกแหล่งดำน้ำแห่งใหม่ เพื่อกระจายนักดำน้ำไปยังจุดอื่น เป็นทางเลือกใหม่ กระจายความหนาแน่นจากพื้นที่เดิม โดยภายในเดือน มิ.ย.นี้ จะนำเอาเรือหลวงปราบ ของกองทัพเรือไปจมที่หมู่เกาะง่าม จ.ชุมพร และเอาเรือหลวงสัตกูด ไปจมที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี" นายธรณ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มีหลายจุดที่ปะการังฟอกขาวเกิน 80% แต่ทำไมไม่เสนอให้กรมอุทยานฯ ปิดพื้นที่ดำน้ำ นายธรณ์ กล่าวว่า จ.ภูเก็ต มีอุทยานแห่งชาติที่เดียวคือ "หาดไนยาง" ซึ่งไม่มีปะการัง แต่พื้นที่อื่นที่มีปัญหานั้นเป็นที่ของเอกชน ปัญหาการเข้าไปทำลายปะการังในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จึงต้องให้ทางจังหวัดเข้าไปรับผิดชอบดูแลเอง.
ขอบคุณข่าวจาก .... http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=116796
เข้ามาอ่านได้ความรู้พอสมควร แต่ที่อ่านมาไม่เห็นบอกว่าปิดถึงเมื่อไร
แล้วจะดำเนินการนโยบายอะไรส่งเสริม
ที่ปิดไปผมก็เข้าใจว่า มันยังมีส่วนรอดอยุ่เยอะเลยปิดให้มันฟื้นตัวได้
ส่วนที่โดนหนักๆก็ปล่อยไว้แต่ ก็ไม่เข้าใจอีกว่าที่ปล่อยไว้เนี่ยจะทำอย่างไร หรือมันหมดทางเยี่ยวยา เลยทำเป้นแหล่งท่องเที่ยวขาวๆๆแทน
เพราะที่ผมอ่านๆมาการฟอกขาวการแก้ปัญหาจริงมันไม่มี มีแต่รอให้น้ำมันเย็นแล้วฟื้นตัวเอง
ถ้าทำไม่ชัดเจน เดี่ยวถึงช่วงสงกรานผลประโยชน์ร่วนๆๆเนี่ย น่าจะมีกระแสเข้ามาแรงแน่ครับ
Thoto_Dive
21-01-2011, 22:35
ข้อมูลครบมากเลยครับ แต่เหมือนยิ่งรู้มากยิ่งอยากร้องให้ครับ
เดี๋ยวนัดเจอท่านอธิบดีกรมอุทยานไปเจอกันที่ศาลปกครองหน่อยดีกว่าไหมครับ !!!!!
พี่ๆช่วยกันทำเรื่องป้องกันและให้ความรู้ ผมจะลองเป็นหน่วยโวยวายและปราบปรามให้ละกัน จะทำมาก ทำน้อย แต่จะพยายามลองทำครับ
ดูคำให้สัมภาษณ์ของท่านแล้วมีพิรุธมากๆ
http://www.krobkruakao.com/video.php?type=videoDetail&video=43&path=3653&year=2011&month=01
อ่าน comment ของชาวต่างชาติโง่ ๆ แล้วอยากให้ประเทศไทยปิดประเทศเพื่อไม่ให้พวกนี้เข้ามาโยนเศษเงินแล้วขโมยทองของเราไปจังเลยค่ะ
http://www.bangkokpost.com/news/local/217417/18-dive-sites-closed-to-save-coral-reefs
น้อง moeak คะ....เราช่วยกันโวยมากๆอย่างนี้ พี่คิดว่าคงมีการปรับรายการจุดที่ปิดอีกครั้งในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะที่หมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งไม่เหมาะสมเลย
................................................
คุณ Thoto_Dive คะ....พยายามจะหาข้อมูลจากหลายๆที่มาลงไว้เป็นฐานข้อมูลเรื่องนี้ค่ะ คงต้องช่วยๆกันหาข่าวและบทวิจารณ์มาเพิ่มเติมกันหน่อยนะคะ
ส่วนเรื่องจะไปศาลนั้น....ใจเย็นๆก่อน ข้อมูลเราต้องพร้อมจึงจะพูดคุยอะะไรให้สำเร็จได้ง่ายขึ้นค่ะ
เปิดอ่าน link ของคุณยังไม่ได้ เดี๋ยวจะลองดูใหม่ค่ะ...
................................................
น้องท้อปจ๋า.....พวกนี้เขาโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันคะ จะพูดอะไรดูเหมือนสมองมันกลวงๆ น่าจะใฝ่หาความรู้มาใส่สมองให้มากกว่านี้หน่อยค่อยมาแสดงความคิดเห็น ไม่อย่างนั้น....ขายหน้าจริงๆ
"จากข่าวสด วันที่ 22 มกราคม 2554"
"สตูล"หวั่นกระแสปะการังขาว ลือเหมือน"สึนามิ"กระทบท่องเที่ยว-ทัวร์เผ่นหนี
สตูล - จากกรณีที่มีนักวิชาการประมง กล่าวถึงเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวเกิดขึ้นจากธรรมชาติที่มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ในเมื่อมีความเสียหายสิ่งที่ทุกคนควรกระทำต่อไป โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยว การท่องเที่ยวต้องมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น นักท่องเที่ยวทุกคนต้องให้ความร่วมมือด้วย ซึ่งอาจมีบางจุดที่ทางราชการโดยเฉพาะอุทยานสั่งปิดพื้นที่ เพื่อไม่ให้แนวปะการังที่ได้รับความเสียหายถูกรบกวนและมีโอกาสฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ สำหรับบางแห่งที่เจ้าหน้าที่เปิดให้ท่องเที่ยวได้ ก็ต้องมีความระมัดระวัง มีการควบคุมเพิ่มมากขึ้น เช่น ไม่ขึ้นไปเหยียบ ไม่ไปแตะต้องบนแนวปะการัง การใช้อุปกรณ์ดำน้ำ หรือว่ายน้ำ ก็ต้องระมัดระวังไม่ทำให้แนวปะการังแตกหักได้รับความเสียหาย ส่วนเรือนำเที่ยวหรือนักท่องเที่ยวก็ต้องไม่ปล่อยของเสียและสิ่งปฏิกูลลงสู่ท้องทะเล เพราะน้ำเสียจะทำให้สารอาหารในน้ำทะเลมีประมาณเพิ่มสูงขึ้นเป็นปัจจัยที่ทำให้สาหร่ายบางชนิดขึ้นปกคลุมแนวปะการัง ทำให้แนวปะการังหมดโอกาสฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง
ด้านนางโรสนีย์ ยกชม นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล กล่าวว่า ตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แถลงข่าวถึงกรณีการเกิดปะการังฟอกขาวในพื้นที่ทะเลฝั่งอันดามันนั้น ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเกิดความสับสนถึงกรณีดังกล่าว กลัวเหมือนกรณีข่าวลือสึนามิที่ทำให้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางเข้ามาสตูลถึง 70-80%
นางโรสนีย์กล่าวว่า ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสตูลและผู้ประกอบการบริษัททัวร์ 80 บริษัท ในจ.สตูล ขอให้ทางจังหวัดและทางอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ว่าปะการังฟอกขาวในพื้นที่ จ.สตูล มีเพียงแค่ 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด และไม่ควรที่จะปิดอุทยานแห่งชาติหรือเกาะตะรุเตา อาดัง และหลีเป๊ะ จังหวัดสตูลในขณะนี้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวจำนวนมาก เมื่อสับสนอย่างนี้ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดการเข้าใจผิด ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยว ต้องออกมาชี้แจงว่า จ.สตูล ไม่มีการปิดเกาะหรือปิดอุทยานตะรุเตาแต่อย่างใด จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยว จ.สตูล กันได้สบายใจ โดยเฉพาะในช่วงวันวาเลนไทน์ ช่วงตรุษจีนนี้
ผมอ่านข่าวทุกวัน ก็ว่าการแถลงข่าวออกไปก็ชัดเจนดีนะครับ ระบุจุดที่จะปิดห้ามเข้าไปท่องเที่ยวอย่างชัดเจนว่าเป็นจุดไหนบ้าง (จะถูกจุดหรือผิดจุดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ไม่เห็นมีข่าวไหนที่บอกว่า จะปิดทั้งอุทยาน แม้แต่ข่าวเดียว
แต่ทำไม จนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นข่าวในวิทยุ หรือ น.ส.พ. ก็ยังคงมีคนออกมาโวยวายว่า การปิดอุทยานจะจะทำให้จำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ส่งผลกระทบถึงรายได้จากการท่องเที่ยวของคนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแตกตื่นจากข่าวเหมือนครั้งสึนามิ
ตามความคิดของผม นักท่องเที่ยวต่างชาติคงไม่แตกตื่นหรอกครับ มีแต่คนที่ทำมาหากินกับธรรมชาติ มุ่งที่จะเอาประโยชน์จากธรรมชาติอย่างไม่เป็นธรรมนั่นแหล่ะที่แตกตื่น โดยไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองกับมาตรการที่ทางการออกมาให้ถี่ถ้วน
อุทยานปิดเพียงบางจุด ผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็สามารถพาไปเที่ยวยังจุดอื่นที่ไม่ได้ถูกปิดได้อีกมากมายหลายจุด ทำไมจะต้องพยายามดันทุรังนำนักท่องเที่ยวเข้าไปยังจุดที่มันแหลกไปแล้วให้ได้ ผมไม่เข้าใจ?????
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับปะการังในเขตอุทยาน ทำให้ปะการังต้องใช้เวลาในการฟื้นคืนชีพใหม่ โดยปราศจากการรบกวนโดยเฉพาะจากการท่องเที่ยวที่ขาดความรับผิดชอบ บางแห่งก็น่าจะต้องปิดทั้งอุทยานเสียด้วยซ้ำไป แต่เนื่องจาก Take action กันช้าไปหน่อย จนมาถึงกลางฤดูท่องเที่ยวเสียแล้ว มาทำอะไรกันตอนนี้คงสายไป
แต่ ถ้าเตรียมการให้ดี มีมาตรการที่เหมาะสม ให้ข่าวล่วงหน้าเพื่อให้ทำใจกันไว้ก่อน ในฤดูกาลของทะเลอันดามันในปีหน้า อาจจะได้เห็นการปิดอุทยานบางแห่งทั้งเขตอุทยานเลยก็เป็นได้ ในเมื่อการทำเช่นนั้น เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า ก็คงต้องยอมรับและปรับตัวกันให้ได้ ไม่เช่นนั้น คงต้องหันกลับไปถามตัวเองว่า "คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?"
แผนที่ จุดงดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง ในเขตอุทยานแห่งชาติ กรณีเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวในแนวปะการังทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน .......... จากเว็บไซท์ของกรมอุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/01_Haad-Chao-Mai.jpg
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/02_Petra.jpg
อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/03_Tarutao.jpg
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/03_Tarutao2.jpg
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/04_Chumphon.jpg
อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/05_Phi-Phi.jpg
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/06_Surin.jpg
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Coral%20Bleaching/07_Similan.jpg
ผลการศึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลฯ ย้ำกิจกรรมมนุษย์เพิ่มวิกฤติปะการังฟอกขาว
เหตุการณ์ปะการังฟอกขาวที่รุนแรงสุดในปีที่ผ่านมาทั้งพื้นที่ฝั่งอ่าวไทยและ อันดามัน แต่อ่าวไทยได้รับผลกระทบรุนแรงสุดเป็นวงกว้างเกินร้อยละ 80 ของพื้นที่ เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้จากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงมีประกาศงดกิจกรรมดำน้ำในเขตที่เกิดปรากฎการณ์ เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัวทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง บริเวณ เกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จังหวัดสตูล บริเวณ เกาะบุโหลนไม้ไผ่
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล บริเวณ เกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี (หาดทรายขาว) เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณ เกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะ-พีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวแม่ยาย อ่าวมังกร อ่าวจาก อ่าวเต่า เกาะตอรินลา
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จังหวัดพังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น
สุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า การงดกิจกรรมทางทะเลในครั้งนี้เกิดจากการที่มีข้อเสนอจากกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ให้มีการปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันทั้งหมดนั้น คงมีผลกระทบกับหลายฝ่ายอย่างแน่นอน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้พิจารณาในทุกๆด้าน ทั้งด้านกายภาพของพื้นที่เศรษฐกิจและสังคม และได้เชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลทุกแห่งมาหารือในการแก้ไขปัญหาปะการังฟอกขาวนี้ ทุกฝ่ายมีความเห็นร่วมกันว่า เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้จากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเลจะงดกิจกรรมดำน้ำในเขตดังกล่าว
นอกจากนี้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยังคงใช้มาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ เพิ่มความเข้มข้นในการออกตรวจปราบปรามการลักลอบทำการประมงในเขตอุทยานแห่งชาติ ติดตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จัดให้มีการให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ และชุมชนชาวมอแกน เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์และเป็นการสร้างความร่วมมือในการลดผลกระทบ เตรียมมาตรการเพื่อรองรับการใช้ประโยชน์ในการรองรับนักท่องเที่ยว
จากการศึกษาของกลุ่มชีววิทยาและนิเวศวิทยาทางทะลและชายฝั่ง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ระบุว่าในปี 2553 เป็นปีที่แนวปะการังเสียหายมากสุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลจากปกติ 29 องศาเซลเซียสได้เริ่มสูงขึ้น 30 องศาเซลเซียสตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 2553 สามสัปดาห์ต่อมาปะการังได้เริ่มฟอกขาวแผ่พื้นที่เป็นวงกว้างคลุมทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน การฟอกขาวของปะการังในครั้งนี้เริ่มเกิดในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน (อุณหภูมิที่อาจถือว่ากระตุ้นให้เกิดการฟอกขาวคือที่ 30.1 องศาเซลเซียส หากปะการังอยู่ในสภาพที่อุณหภูมิสูงกว่า 30.1 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานต่อเนื่องเกิน 3 สัปดาห์ จะทำให้เกิดปะการังฟอกขาวเกิดขึ้น)
ตั้งแต่เริ่มมีการฟอกขาว สถาบันได้สำรวจสภาพการฟอกขาวของปะการัง รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากนักดำน้ำที่แจ้งการฟอกขาวที่เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ พบว่าแนวปะการังในทุกจังหวัดทางฝั่งทะเลอันดามันเกิดการฟอกขาวมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของปะการังที่มีอยู่ และพบว่าหลังจาก 1 เดือน ปะการังที่ฟอกขาวเริ่มมีการตาย 5-40 เปอร์เซ็นต์ (ขึ้นกับสถานที่) สำหรับอ่าวไทยพบการฟอกขาวรุนแรงเช่นเดียวกับทางฝั่งอันดามันในบริเวณกลุ่มเกาะตอนบนของจังหวัดชลบุรี (เกาะสีชัง เกาะนก เกาะสาก เกาะจุ่น) พบการฟอกขาวช้ากว่าจุดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม จากการเก็บข้อมูลพบว่าบริเวณที่มีการฟอกขาวช้าสุด บริเวณสิ่งแวดล้อมดี มีปะการังหลากหลายทั้งในแง่ชนิดและจำนวนโคโลนี พื้นที่ลักษณะเช่นนี้มักพบปะการังฟอกขาวไม่เต็มที่ คือฟอกขาวเพียงบางส่วนของโคโลนี บริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมดีในน้ำลึก การฟอกขาวของปะการังมีแนวโน้มเกิดขึ้นน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริเวณน้ำตื้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของแนวปะการังในแต่ละบริเวณด้วย
แนวปะการังที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์มีเปอร์เซ็นต์การฟอกขาวของปะการังมากกว่าบริเวณที่มีสิ่งแวดล้อมดี หรือไม่ได้รับอิทธิพลจากมนุษย์ ทั้งนี้เนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ทำให้ปะการังอ่อนแอมาก ส่งผลให้ทนทานต่อการฟอกขาวน้อยลง
แนวปะการังบริเวณฝั่งตะวันตกตามเกาะต่างๆทางฝั่งทะเลอันดามัน มีแนวโน้มการเกิดฟอกขาวน้อยกว่าด้านอื่นของเกาะ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของมวลน้ำจากทะเลลึกที่เข้ามาช่วยบรรเทาผลของอุณหภูมิน้ำทะเล นอกจากนี้ยังพบว่า ปะการังลายดอกไม้ (Pavona decussata) ปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora ) เป็นชนิดที่มีแนวโน้มต้านทานต่อการฟอกขาวได้ดี ความหลากหลายของชนิดปะการังเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการฟื้นตัวของแนวปะการัง
อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลยืนยันว่า ปะการังที่ฟอกขาวสามารถฟื้นตัวได้หากสภาพแวดล้อมกลับมาเป็นปกติในระยะเวลาไม่นานนัก ปะการังฟอกขาวสามารถทนสภาพที่อ่อนแอได้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ดังนั้นหากอุณหภูมิน้ำลดลงปะการังที่ฟอกขาวอยู่นั้นสามารถดึงสาหร่ายซุแซนเทลลี่กลับมาสู่เนื้อเยื่อ ทำให้ปะการังกลับมามีสีดังเดิมได้ กระบวนการนี้ใช้เวลา 2 เดือนเมื่ออุณหภูมิสู่สภาพปกติ กรณีปะการังฟอกขาวได้ตายไป มีพื้นที่ตัวอ่อนปะการังเข้ามาเกาะในพื้นที่ หรือปะการังบางชนิดที่ยังเหลืออยู่ค่อยๆเจริญเติบโตครอบคลุมแนวปะการัง กระบวนการนี้ใช้เวลา 3-4 ปี ขึ้นอยู่กับน้ำสะอาด ปราศจากการรบกวนของมนุษย์และมีพื้นที่สำหรับตัวอ่อนปะการังลงยึดเกาะเพื่อเจริญเติบโต
ในทางตรงข้ามหากพื้นที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเสียและมีการรบกวนทั้งการดำน้ำและการประมง การฟื้นตัวของปะการังจะช้ามาก หรือไม่สามารถเกิดขึ้นเลย.
จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 23 มกราคม 2554
กรมอุทยานฯยืนกรานปิดพื้นที่บางส่วน วอนสังคมรอ 5 ปีปะการังฟื้น
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ถูกนักท่องเที่ยวและประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคมออนไลน์ หลังจากที่สั่งปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดใน 7 อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน
นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยเมื่อวันที่ 22 มกราคม ว่า เข้าใจดีว่าจะถูกนักท่องเที่ยวไม่พอใจอย่างมาก แต่ขอยืนยันว่าได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว เพราะก่อนที่จะมีคำสั่งได้ขอความเห็นจากทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจนได้ข้อสรุปว่าให้ปิดพื้นที่บางส่วน ซึ่งการดำเนินการนี้เพื่อทำให้ปะการังคงอยู่ และทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
"ขอให้ทุกฝ่ายอดทนรอ เพราะได้ประเมินแล้วว่าหากไม่มีปัจจัยด้านอุณหภูมิของน้ำทะเลที่จะสูงขึ้นอีก คาดว่าภายใน 5 ปี ปะการังจะฟื้นฟูสภาพได้ ซึ่งหลังจากนั้นกรมอุทยานแห่งชาติฯจะเปิดให้นักเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง เพราะหากปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในระหว่างที่ปะการังเสียหาย ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะจะไม่ได้เห็นของสวยงาม" นายสุนันต์กล่าว และว่า แต่ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายนั้น ยืนยันว่าจะดำเนินการเข้มข้นต่อไป
จาก ..................... มติชน วันที่ 22 มกราคม 2554
ข่าวปะการังฟอกขาวไม่ทำธุรกิจดำน้ำหด
http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/01/22/daeak7e5bjckabhak7ebc.jpg
ผู้ประกอบการดำน้ำลึก หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน ระบุ ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ หลังเจอข่าวปะการังฟอกขาวแพร่สะพัด แต่กังวลมีผลกระทบระยะยาว ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ ยังแห่เที่ยวเกาะจำนวนมาก ด้านชาวเน็ตสวดยับปิดอุทยานฯทางทะเลใต้ 7 แห่งไม่ตรงจุดที่ปะการังเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณท่าเทียบเรือท่องเที่ยวรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นท่าเรือท่องเที่ยวนำนักท่องเที่ยวไปยังเกาะแก่งต่างๆ บริเวณอ่าวพังงา และเกาะพีพี ช่วงเช้าวันที่ 22 ม.ค.54 ซึ่งตรงกับวันหยุดว่า ยังคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศที่จองตั๋วเดินทางไปท่องเที่ยวตามเกาะแก่งในทะเลฝั่งอันดามัน แม้ว่ากรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มีมาตรการปิดจุดดำน้ำที่มีปะการังเสียหาย ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตนารา เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันในจังหวัดพังงา
หัวหน้าไกด์เรือท่องเที่ยวพีพีครุยเซอร์ ระบุว่า การปิดแหล่งดำน้ำ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางไปพักผ่อนตามเกาะของนักท่องเที่ยวน้อย โดยปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวตามเกาะต่างๆในฝั่งอันดามันตั้งแต่ช่วงปีใหม่เป็นต้นมา ถือว่ายังดีอยู่ เฉลี่ยประมาณ 90 % แต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000 คน ปลายทางส่วนใหญ่จะอยู่ที่เกาะพีพี เกาะลันตา เกาะหลีเป๊ะ แต่อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่งว่าผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวจะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปหรือไม่ เพราะพึ่งประกาศเพียง 2 วัน จึงยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน
ด้านผู้ประกอบการดำน้ำลึกที่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์อีกรายหนึ่ง กล่าวว่า ในส่วนของการจองทัวร์ไปดำน้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์ และหมู่เกาะสิมิลัน ในจังหวัดพังงา ขณะนี้ยังไม่มีการยกเลิก แต่เชื่อว่าในระยะยาวมาตรการนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวดำน้ำอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนของพื้นที่ปะการังว่าเสียหายถึง 80 % อาจจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจผิด เพราะข่าวกระจายไปทั่วโลก โดยปะการังฟอกขาวมีเฉพาะแหล่งดำน้ำตื้นซึ่งอุณหภูมิสูง แต่ไม่มีในผลกระทบในปะการังน้ำลึกที่อุณหภูมิประมาณ 24- 26 องศาเซลเซียส และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นกับปะการังทั่วโลก ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องควรเร่งให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และ ททท.ต้องเร่งสร้างความเข้าใจต่อตลาดดำน้ำที่จะมาท่องเที่ยวในพื้นที่ด้วย เนื่องจากนักท่องเที่ยวที่ยังไม่จองทัวร์ อาจจะตัดสินใจเปลี่ยนจุดหมายปลายสถานที่ดำน้ำที่ไม่ใช่ในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ห้ามดำน้ำใน 7 อุทยานแห่งชาติชื่อดังทั้งฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทยเพื่อฟื้นฟูปะการังที่เกิดการฟอกขาวโดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคมนั้น ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปโพสท์ข้อความในเว็บไซต์พันทิปดอทคอมว่า จุดที่กรมอุทยานฯสั่งปิดห้ามดำน้ำนั้นไม่สัมพันธ์กับจุดที่เกิดปะการังฟอกขาว เช่น อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ บริเวณอ่าวแม่ยายทิศเหนือ เกิดปะการังฟอกขาวถึง 99.9% เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน เกิดฟอกขาว 93.6% เกาะปาชุมบา ตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดฟอกขาว 95% เกาะสุรินทร์ใต้ฝั่งตะวันออก (อ่าวเต่า) แต่กรมอุทยานฯไม่ปิด กลับสั่งปิดบริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งเกิดการฟอกขาว 70% หรืออุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จุดที่เกิดปะการังฟอกขาวมากคือ เกาะสิมิลันตะวันออก หน้าประภาคาร ฟอกขาว 89.3% ไม่ปิด กลับไปปิดบริเวณอ่าวไฟแว๊บและอีส ออฟ อีเด็น ซึ่งเป็นจุดที่เกิดปะการังฟอกขาวไม่มากนัก
จาก ..................... คม ชัด ลึก วันที่ 22 มกราคม 2554
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Morning%20News/110123_Thairath_05.jpg
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Morning%20News/110123_Thairath_04.jpg
จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 23 มกราคม 2554
Thoto_Dive
23-01-2011, 19:36
วันก่อนโดนจับได้ว่ามีการปล่อยปะละเลย ไม่ดูแลนักท่องเที่ยวที่หยิบปะการังขึ้นมาชม แก้ตัวว่ามีคนไม่เพียงพอ
วันนี้พอบอกให้ปิดห้ามค้างคืนบนเกาะ ดันบอกว่าไม่ต้องกลัว อุทยานคุมนักท่องเที่ยวเข็มงวดอยู่แล้ว สุดๆครับท่าน
วันแรกประกาศปิดหมู่เกาะสุรินทร์ส่วน
อ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม อ่าวผักกาด หินกองและเกาะสต็อก
อีกวันประกาศ
ตรงกันข้ามกันทั้งหมด เกาะมังกร อ่าวเต่า อ่าวแม่ยาย อ่าวจาก และตอรินลา
คนแบบนี้เราจะฝากความหวัง ไว้ได้เหรอครับ
ความหวัง...ความฝัน...ของเรา คงจะไปฝากไว้กับท่านๆทั้งหลายไม่ได้หรอกค่ะ คุณ Thoto_Dive
ขืนเรานั่งกันเฉยๆ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น เราคงต้องพยายามรวมตัวกัน แล้วก็หาวิธีช่วยกันกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัว เพื่อไปกระตุ้นต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลาย ให้ทำงานอีกต่อหนึ่ง....
อช.สั่งปิดเกาะเชือก "ตรัง"ฟุ้งไม่กระทบดำน้ำ เผยมีอันซีนอีกหลายแห่ง
ตรัง:นาย สลิล โตทับเที่ยง ประธานหอการค้าจังหวัดตรัง กล่าวถึงกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศปิดพื้นที่บางส่วนของอุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามันรวม 7 แห่ง ว่า พื้นที่ จ.ตรัง มีการสั่งปิดบริเวณเกาะเชือก อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม แต่เชื่อว่าไม่กระทบการท่องเที่ยวมากนัก เนื่องจากยังมีเกาะอีกหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำดูปะการังได้ โดยเฉพาะบริเวณถ้ำมรกตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอีนซีนของ จ.ตรังอยู่แล้วและยังมีบริเวณม้าที่มีปะการังสวยไม่แพ้เกาะเชือก
โดยขณะนี้ทางหอการค้าจังหวัดตรัง ประสานผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อสำรวจแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนบริเวณเกาะเชือกที่ถูกปิดไป ในส่วนของค่าบริการของนักท่องเที่ยว แม้จะตัดจุดบริเวณเกาะเชือกไปแต่คิดว่าไม่น่าจะปรับลดอัตราค่าบริการลง เนื่องจากขณะนี้ราคาน้ำมันแพงแต่ผู้ประกอบการยังคงตึงราคาเดิมไว้
ด้านนางรัศมี ขจรศิริสิน ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารจังหวัดตรัง กล่าวว่า ในส่วนของ จ.ตรัง มีการปิดเกาะเชือก ไม่ส่งผลกระทบเท่าไหร่ เนื่องจากยังมีเกาะม้า เกาะกระดาน ถ้ำมรกต เป็นจุดขายที่สวยเหมือนเกาะเชือก แต่จนถึงขณะนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวตรังยังไม่คึกคักเท่าที่ควร ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการให้ทำนายของโหรเมื่อปลายปี 2553 ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวจังหวัดตรังน้อยลง ทั้งๆที่ขณะนี้อยู่ในช่วงไฮซีซั่น ทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวหวังเพียงให้นักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจังหวัดตรังให้มากขึ้น
จาก ..................... แนวหน้า วันที่ 24 มกราคม 2554
พบแหล่งปะการังใหม่สวยสมบูรณ์หมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์
http://www.khaosod.co.th/online/2011/01/12957830551295783148l.jpg
วันที่ 23 ม.ค. นายรัษฎา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ผลจากการระดมเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติกว่า 30 นาย ลงตรวจสอบแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายจากการฟอกขาว ในพื้นที่หมู่เกาะสิมิลันและหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งได้รับความเสียหายเนื่องจากอุณหภูมิน้ำสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2553 พบว่าปะการังที่ฟอกขาวจำนวนมากเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้ว โดยเริ่มมีฝูงปลาจำนวนมาก เริ่มเข้ามาอาศัยและหากินในแนวปะการังดังกล่าว นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยังได้พบแนวปะการังแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายจุด ทั้งในหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดเก็บข้อมูลเพื่อเสนอให้กรมอุทยานฯ ประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเร็วๆนี้ ส่วนการศึกษาแนวปะการังที่เกิดการฟอกขาว เพื่อหาแนวทางในการป้องกันและฟื้นฟูนั้นขณะนี้กรมอุทยานฯ ได้แต่งตั้งคณะทำงานซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานราชการเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของแนวปะการังอย่างใกล้ชิดแล้ว
http://www.khaosod.co.th/online/2011/01/12957830551295783236l.jpg
ด้านนายโสภณ เพ็งประพันธ์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา กล่าวว่า แม้หมู่เกาะสุรินทร์จะได้รับผลกระทบปะการังฟอกขาวรุนแรงมากที่สุดของประเทศ โดยแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯบางแห่งเกิดการฟอกขาวของปะการังเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำไปทั้งหมดรวม 6 จุดด้วยกัน คือ บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังอ่าวช่องขาด บริเวณด้านหน้าที่ทำการอุทยานฯ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ปะการังฟื้นตัวเองโดยธรรมชาติ พร้อมทั้งระดมเจ้าหน้าที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของปรากฎการณ์ปะการังฟอก ขาวอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เชื่อว่าการสั่งปิดแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำทั้ง 6 จุดนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน เนื่องจากหมู่เกาะสุรินทร์ยังมีแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่เปิดให้นักท่อง เที่ยวเข้าชมได้อีกหลายจุด ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์ยืนยันว่าการประกาศปิดจุดดำน้ำทั้ง 6 แห่งในหมู่เกาะสุรินทร์ ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อการท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดพังงา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทราบดีว่าจุดที่สั่งปิดนั้น ไม่สวยงาม และยังมีแหล่งดำน้ำที่สวยงามจุดอื่นๆอีกหลายแห่ง แต่ก็ยอมรับว่านักท่องเที่ยวเกิดความสับสนอย่างมากในการประกาศปิดเกาะของทาง ราชการครั้งนี้
จาก ..................... ข่าวสด วันที่ 24 มกราคม 2554
เราคงต้องพยายามรวมตัวกัน แล้วก็หาวิธีช่วยกันกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัว เพื่อไปกระตุ้นต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลาย ให้ทำงานอีกต่อหนึ่ง....
วันที่เราจะนัดกันอาทิตย์นี้ เราไปนั่งคุยกันหาวิธีกระตุ้นสังคมเพื่อที่จะไปกระทบชิ่งต่อมทำงานของพวกท่านทั้งหลายก็น่าจะดีนะครับ ..
แต่อ่านข่าวพบแหล่งปะการังใหม่แล้วหมดแรง สงสัยเราจะต้องกระตุ้นต่อมทำงานของบางท่านในเชิงอนุรักษ์ด้วยนะครับ ไม่ใช่นึกถึงแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว
ไม่รู้สิครับ อย่างนี้ก็มีด้วย พอจุดดำน้ำบางจุดจะปิด ก็งัดเอาจุดใหม่มาขายต่อกันทัีนทีเลยทีเดียว เฮ้อ .. มีน้อยก็เที่ยวน้อย เที่ยวกันอย่างพอเพียงพร้อมทั้งมีการจัดการที่ดีไม่ได้หรือไงน๊า
angel frog
24-01-2011, 09:52
จะปิด ก็ปิด ให้ถูกจุด ปิดไปเลย จะปิดนานเท่าไหร่ ก็ประมาณการณ์มาให้รู้ด้วยก็ดี คนทำธุระกิจ เขาอาจบ่นหน่อย แต่เขาก็เข้าใจ เพียงแต่ ต้องมีความชัดเจน ว่า ตอนนี้ ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติมาก่อน มีรูมให้เขาทำมาหากินกันหน่อย มีระเบียบกติกาให้ทุกคนปฎิบัติเหมือนๆกัน โดยยึดแนวทางในการอนุรักษ์เป็นหลัก
ภาครัฐต้องเข้มแข็ง ดูแลให้ได้ ป้องกันความเสียหายให้ได้ เสียหายแล้ว จะฟื้นฟูอย่างไร..... จะทำยังไง ก็รู้ๆกันอยู่แล้ว ....ขึ้นอยู่ว่า จะทำหรือไม่ และทำแค่ไหน ...ก็เท่านั้น
งี้ต้องเก็บภาษีพวกหากินทางนี้หนักๆอะดิ จะได้เอาเงินไปฟื้นฟูที่ทำมาหากินของเค้า
แล้วพอมีปัญหาจะได้แก้ไขถูกใจ แล้วจะได้หากินได้นานๆๆ
sea addict
24-01-2011, 18:10
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติยังได้พบแนวปะการ ังแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายจุด ทั้งในหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จัดเก็บข้อมูลเพื่อเสนอให้กรมอุทย านฯ ประกาศเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในเร็วๆนี้
เอะอะก็จะเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ท่าเดียว
เราจะเหลืออะไรที่ดีๆที่ไม่ใช่แหล่งท่องเทียวไว้บ้างได้มั้ยครับ
พอสวย พอสมบูรณ์เข้าหน่อยก็จะเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว กะจะขายกันอย่างเดียว
ท่านอธิบ่ดีท่านคงไม่รู้ว่าปัจจุบันพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลของบ้านเราแทบไม่มีพื้นที่ๆ
เป็น Core area สำหรับเป็นแหล่งสนับสนุนความสมบูรณ์และความหลากหลายทางพันธุกรรม
เลยทั้งๆที่มันเป็นลำดับความสำคัญระดับต้นๆในการประกาศเป็นพื้นที่อุทยาน และความสำคัญ
ของการท่องเที่ยวเป็นลำดับท้ายๆ ดันเอามาเป็นความสำคัญระดับต้นๆซะนี่ แค่คิดก็ผิดแล้ว
ครับ สำรวจเจออะไรสวยๆดีๆเข้าหน่อยก็จะเอาไปเป็นสินค้าซะทุกที
ใช้กันจนพังแล้วก็จะไปเอาของไหม่มาใช้ แทนที่จะมีการฟื้นฟูหรือซ่อมบำรุงของเก่า อย่างนี้
ประเทศชาติจะมีทรัพยากรที่ดีๆเหลือไว้บ้างได้อย่างไร
ปล. เกาะตะเกียงมันอยู่ในอช.เกาะเภตรานี่ครับ ทั่นบอกว่าอยู่ในอช.ตะรุเตาได้ยังไง แล้วอย่างงี้ขอมูลปะการังจะน่าเชื่อถือได้ยังไง
ช่วงมีนานี้มีผมจะไปที่เกาะอาดังเดี๋ยวจะถ่ายรูปมาให้ดูนะครับว่าสภาพเป็นยังไงบ้าง
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะน้องเก่ง....:)
http://i835.photobucket.com/albums/zz275/Saaynam/Morning%20News/110124_Thairath_01.jpg
จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 24 มกราคม 2554
หวั่นปะการังฟอกขาวส่งผลกระทบ ท่องเที่ยวสตูลถึงขั้นปิดอุทฯ ตะรุเตา
สตูล/ นางโรสนีย์ ยกชม นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสตูล กล่าวว่า ทาง 80 บริษัททัวร์ในพื้นที่ จ.สตูล ต่างวิตก ตามที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้เสนอข่าว ถึงการเกิดปะการังฟอกขาวในพื้นที่ทะเลอันดามันนั้นและได้ทำการปิดอุทยานฯและเกาะต่างๆไปแล้วหลายเกาะ ดังนั้นทาง จ.สตูล โดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูลและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวใน จ.สตูลจำนวน 80 บริษัท ได้เปิดให้มีการแถลงข่าวเมื่อเร็วๆนี้ ที่สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การท่องเที่ยวของ จ.สตูล ในช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ประสบปัญหาข่าวลือสึนามิจนทำให้การท่องเที่ยวของ จ.สตูล ซบเซาลง นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและในประเทศได้เดินทางมายัง จ.สตูล ลดน้อยลงไปมาก ดังนั้นการที่มีข่าวเกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมาอีกนั้น ทำให้การท่องเที่ยวของ จ.สตูลเกิดความสับสนว่ากรมที่เกี่ยวข้องให้ประกาศให้ชัดเจนว่า จ.สตูล โดยพื้นที่เกาะต่างๆนั้นว่ามีพื้นที่ส่วนไหนบ้างที่เกิดปะการังฟอกขาวขึ้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความไม่สบสนต่อข่าวที่ออกมา
อย่างไรก็ตาม ทาง จ.สตูลและสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล รวมทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชื่อว่าข่าวดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.สตูลอย่างแน่นอน เพราะขณะนี้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เดินทางมายัง จ.สตูล โดยเฉพาะเกาะหลีเป๊ะและเกาะตะรุเตาเป็นจำนวนมากและก็ขอให้ทางจังหวัด อุทยานฯ รวมทั้งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ให้ข่าวที่ชัดเจนแก่นักท่องเที่ยวด้วย
นายสามารถ เจริญฤทธิ์ เจ้าของบุหงารีสอร์ท กล่าวว่า ข้อเท็จจริงแล้วปะการังฟอกขาวในพื้นที่ จ.สตูล มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นบริเวณพื้นที่อาดังราวีและเกาะหลีเป๊ะ ดังนั้นจึงไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวของ จ.สตูล แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนต้องให้ชัดเจนเพราะจะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเข้าใจผิดคิดว่า จ.สตูลซึ่งอยู่ในฝั่งอันดามันมีผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะทางจังหวัดและอุทยานฯควรจะออกมาให้ข่าวที่ชัดเจนแก่นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการในท้องที่
อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวของ จ.สตูล ในปีนี้ต้องประสบปัญหาต่อข่าวลือสึนามิและมากระทบต่อข่าวการเกิดปะการังฟอกขาวอีก จนทำให้ผู้ประกอบการต่างๆเกิดการท้อแท้และหมดกำลังใจ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.สตูล ควรจะให้การช่วยเหลือและให้ข่าวที่เป็นความจริงแก่นักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ให้ชัดเจน
จาก ..................... บ้านเมือง วันที่ 24 มกราคม 2554
'ปะการังฟอกขาว' สัญญาณเตือน'อันดามัน' เสื่อม!
http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/01/col01250154p1.jpg
หลังจากนักวิจัยของสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เผยผลสำรวจสถานการณ์ "ปะการังฟอกขาว" ซึ่งทำกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2534 ถึงปี 2553 ว่า
"ฝั่งทะเลอันดามัน" อันสวยงามของประเทศไทยกำลังเกิดสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ทั่วท้องทะเลไทย กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง 70% ของท้องทะเลทั้งหมด!
สาเหตุเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติจากปกติ 29 องศาเซลเซียส สูงขึ้นกว่า 30 องศาเซลเซียส ตั้งแต่เดือนมี.ค.2553 ต่อเนื่องกันถึง 3 เดือน
รวมทั้งของเสียจากเรือที่พานักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำจอดอยู่จำนวนมาก มีการถ่ายเทลงน้ำทะเล หรือของเสียที่ไหลซึมผ่านชั้นดิน เพราะปะการังที่เสียหายในหลายพื้นที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนักท่องเที่ยวหรือจากการท่องเที่ยวที่มีนักดำน้ำไปยืนเหยียบปะการัง แม้แต่ทะเลอ่าวไทยก็เกิดปะการังฟอกขาวไม่แพ้กัน
นายเกษมสันต์ จิณณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวถึงปัญหาปะการังฟอกขาวดังกล่าว ว่า
จากรายงานที่สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน ได้สำรวจในหลายพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในช่วงเดือนก.ย.-ธ.ค.2553 โดยเฉพาะหมู่เกาะสุรินทร์ -สิมิลัน จ.พังงา รวมทั้งหมู่เกาะพีพีและเกาะใกล้เคียง เช่น เกาะยูง เกาะไผ่ เกาะไข่นอก จ.กระบี่ เกาะราชา จ.ภูเก็ต พบว่า
ในแหล่งแนวปะการังได้รับผลกระทบ เกิดความเสียหายจากการฟอกขาวจำนวนมาก
เช่น เกาะสุรินทร์เหนือ อ่าวแม่ยาย มีปะการังตายถึง 99.9% เกาะสุรินทร์เหนือ หน้าช่องแคบตอนใน ปะการังตายถึง 93.6% เกาะป่าชุมบา ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 95% เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 84% เกาะสุรินทร์ใต้ฝั่งตะวันออก (อ่าวเต่า) ตาย 85%
นายเกษมสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนเกาะสิมิลันตะวันออก หน้าประภาคาร ตาย 89.3% เกาะตาชัย ตะวันออกเฉียงใต้ ตาย 84% เกาะบางงูทิศใต้ ตาย 60.8% อ่าวต้นไทร ตะวันตก ตาย 94.9% เกาะยูง ตาย 88.5% เกาะไข่นอก ตาย 68.5% เกาะแอว ตะวันตกเฉียงเหนือ ตาย 69.9% เป็นต้น
ขณะที่เกาะพีพีและเกาะใกล้เคียง อาทิ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะไผ่ เกาะยูง เกาะบิต๊ะใน และเกาะบิต๊ะนอก พบว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ของทุกๆ เกาะอยู่ในสภาพเสียหาย มีปะการังตายมากกว่าปะการังมีชีวิตประมาณ 2-3 เท่าและเสียหายมาก
http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/01/col01250154p2.jpg
1.นายชัยมงคล แย้มอรุณพัฒนา
โดยเฉพาะจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อ่าวมาหยา อ่าวต้นไทร หาดยาว อ่าวรันตี แหลมตง มีปะการังเขากวางเป็นชนิดเด่น อยู่ในแนวปะการังน้ำตื้นพบว่า ปะการังเขากวางกว่า 90% ได้ตายลงเช่นเดียว ในหลายพื้นที่ไม่พบปะการังวัยอ่อนเลย
ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความเสียหายของแนวปะการังจากการฟอกขาวในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมากกว่าความเสียหายจากสึนามิ เมื่อเดือนธ.ค.2547
"ควรมีการลดกิจกรรมท่องเที่ยวที่ส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง รวมทั้งผลักดันให้เรือท่องเที่ยวปรับปรุงเรือด้วยการให้มีถังกักเก็บของเสียในเรือไม่ให้ปล่อยลงน้ำ ควรปิดพื้นที่ไม่ให้มีการใช้ประโยชน์ในแนวปะการังที่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเร่งด่วน ซึ่งหากไม่เร่งแก้ปัญหาดังกล่าวโอกาสที่แนวปะการังในท้องทะเลไทยจะกลับมาสวยงามสมบูรณ์ดังเดิมคงเป็นได้ยากหรืออาจต้องใช้เวลานานมาก" อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลฯ กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ไทยถาวร เลิศวิทยาประสิทธิ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยา ศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ยอมรับว่า
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่สถาบัน วิจัยของทช. ได้สำรวจและรายงานนั้นอยู่ในขั้นวิกฤตจริงๆ
สิ่งที่ "รัฐ" ต้องทำมี 2 ส่วน คือ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในเรื่องการจัดการกลุ่มคน นักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปพื้นที่ หากเห็นว่าพื้นที่ไหนเสื่อมโทรมมากๆ จำเป็นต้องปิดเพื่อให้ฟื้นตัวก็ต้องทำ
ถ้าปิดแล้วทำอะไร ปิดเฉยๆไม่ได้ อันดับแรกต้องชี้แจงเหตุผล และต้องบอกว่าขั้นตอนต่อไปในพื้นที่ปิดนั้นเราจะทำอย่างไรให้มันฟื้นฟูเร็วยิ่งขึ้น ปะการังเสียหายเสื่อมโทรมมันไม่ได้กระทบแค่การท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่มันกระทบระบบนิเวศในทะเล ซึ่งเป็น "แหล่งอาหารของมนุษย์" ด้วย
"การที่ ทช.ออกมาเปิดเผยต่อสาธารณะก็ช่วยทรัพยากรของชาติอยู่แล้ว และนี่เป็นจังหวะดีที่เขาจะได้เห็นข้อเท็จจริง ส่วนผู้ประกอบการบางคนปฏิเสธไม่สนใจ ผมคิดว่าคนพวกนี้เราคงไปพูดอะไรเขาไม่ได้ แต่ต้องให้ข้อคิดว่าต่อไปอาชีพของเขาจะไม่ยั่งยืน ผมคิดว่าตอนนี้สิ่งสำคัญต้องเร่งให้การศึกษาให้การชี้แจงมากที่สุด" รศ.ดร.ไทยถาวรให้คำแนะนำ
ส่วนมาตรการระยะยาวคือการทำวิจัยในการฟื้นฟูและขยายพันธุ์โดยเทคนิควิธี ต่างๆ หรือการควบคุมบางบริเวณที่ทำได้หรือบางบริเวณปิด เพื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์วิจัยเพื่อให้สภาพของปะการังอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ อาจจะทำได้หลายกรณี เช่น การฟื้นตัวของปะการังแหล่งเสื่อมโทรมอาจจะปิดบางจุด เปิดบางจุด แต่ไม่ได้ปิดทั้งอ่าวซึ่งคนที่รู้ดีที่สุด คือ ทช.
ขณะนี้ทางคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกำลังมีการศึกษาการสืบพันธุ์ของปะการังแบบยั่งยืนแพร่พันธุ์ปะการังโดยอาศัยเพศหรือธรรมชาติ เราต้องเข้าใจก่อนว่าปะการังฟอกขาว เกิดจากอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปกติแค่ 1-2 องศา ตัว "ซูแซนเทลลี" หรือสาหร่ายที่อาศัยร่วมกับปะการังหลุดออกมาปะการังจึงมีสีขาว การที่ปะการังจะกลับฟื้นขึ้นมาทั้งสองตัวนั้นอาศัยอยู่แบบพึ่งพา ถ้าตัวหนึ่งหลุดไปปะการังก็จะตายไม่มีตัวช่วย
ดังนั้น การศึกษาต้องศึกษาควบคู่กันไปตัวปะการังและตัว "ซูแซนเทลลี" หรือสาหร่ายที่อยู่ร่วมกับปะการัง
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่ทำงานเรื่องนี้มาเป็นเวลา 10 ปี ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่ปะการังตายมากที่สุด เรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเรื่องปะการังที่รุนแรงอย่างที่เราไม่เคยเจอมาก่อน
จริงๆแล้วควรที่จะทำอะไรก่อนหน้านี้ไม่ใช่ปล่อยไว้ 3-4 เดือนแล้วถึงมาทำ รวมทั้งต้องมีระบบที่ชัดเจน ส่วนแรกคือการอนุรักษ์การฟื้นฟู หมู่เกาะแต่ละแห่งได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน ไม่ควรจัดการคนแบบนโยบายเดียวครอบจักรวาล เรื่องการอนุรักษ์ปิดอ่าว ผมคิดว่าไม่ควรปิดอุทยานฯทั้งหมด ต้องดูว่าอันไหนที่มันหนักและพื้นที่ไหนควรปิดและควรเปิด
"ส่วนที่นอกเหนือจากกรมอุทยานฯ กระทรวงทรัพยากรฯ ดูแลคิดว่าทางจังหวัดต้องเข้ามาดูแลด้วย ถ้าท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตได้รับทราบแล้วให้นักท่องเที่ยวจากเมืองจีนมาเหยียบปะการังในประเทศไทย ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์เราสามารถตัดสินใจได้เมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนั้น แล้วควรทำอย่างไร สถานการณ์แบบนี้คิดว่าถ้าคนร่างกายดีๆมายืนเหยียบ ตอนนี้มันไอซียูแล้ว ยังไปยืนทับมันอีก ถ้านอกเขตอุทยานฯก็ต้องเป็นผู้ว่าฯ ดังนั้นหน่วยงานรัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาและต้องทำอย่างจริงจังด้วย ซึ่งท้องถิ่นมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้ว อาจจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วนและต้องตรวจตราดูแลอย่างจริงจังและเข้มงวด
"ส่วนข้อเสนอแนะแก้ไขปัญหา คือ
1.ปลูกปะการัง
2.สร้างปะการังเทียม ซึ่งต้องมีการศึกษาและพัฒนาให้ชัดเจน
3.แหล่งดำน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้คนออกจากแนวปะการังรวมทั้งต้องมีการ จำกัดคนหรือนักท่องเที่ยวด้วย" ดร.ธรณ์ ระบุ
นายชัยมงคล แย้มอรุณพัฒนา นักวิชาการประมง กลุ่มชีววิทยาและนิเวศวิทยาทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
หลังจากที่ทางสถาบันวิจัยฯ ได้รายงานถึงผลกระทบปะการังฟอกขาวรุนแรงไปแล้ว ตนได้พาสื่อมวลชนไปดูสถานการณ์ปะการังฟอกขาวบริเวณเกาะเฮและเกาะแอล ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต และอยู่ใกล้กับสถาบันวิจัยฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวมากเช่นกัน
โดยมีปะการังที่ยังมีชีวิตประมาณ 10%
"เกาะเฮ" จัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจะมาดำดูปะการังหนาแน่นมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย มีสภาพปะการังในอ่าวที่ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นปะการังโขด ปะการังเขากวาง ส่วนปะการังอ่อนก็มีแต่จะน้อยกว่า
ส่วนเกาะเฮและเกาะแอล จะอยู่ใกล้ชายฝั่ง ค่อนข้างตื้น นักท่องเที่ยวมาเที่ยวบางครั้งก็ลงไปเหยียบย่ำ รวมไปถึงการให้อาหารปลาต่างๆก็มีส่วนทำให้เกิดปะการังฟอกขาวได้เช่นกัน บางครั้งนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเหนื่อยก็จะถือโอกาสยืนบนแนวปะการัง
นายชัยมงคล กล่าวว่า การฟอกขาวของปะการังมีหลายสาเหตุ โดยเฉพาะปัจจัยอุณหภูมิสูงขึ้นหรือจากมนุษย์
ปะการังเกิดการฟอกขาวถ้าไม่มีปัจจัยรบกวนอาจจะใช้เวลาแค่ 1 ปี หรือ 6 เดือนฟื้นสภาพ
แต่พอมีปัจจัยต่างๆจากฝีมือมนุษย์ทำ ก็ทำให้กระบวนการฟื้นของปะการังช้าลงแบบน่าใจหาย
อย่างปีนี้ทะเลฝั่งอันดามันของประเทศไทย การฟอกขาวของปะการังคาดการณ์ไว้ว่าการที่จะฟื้นกลับมาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งถือว่าเร็วแล้ว
ส่วนเรื่องการปิดอุทยานฯหรือปิดอ่าวนี้ควรจะ "ปิด" มานานแล้ว เพราะเริ่มเกิดและวิกฤตอย่างหนักและรุนแรงมากมาตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค.2553 แต่ตอนนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของฝั่งอันดามัน ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจะมาเที่ยวกันจำนวนมาก ถ้าจะปิดก็คงจะมีผลกระทบ
ในความเห็นของผมคิดว่าน่าจะมีมาตรการอะไรสักอย่างออกมาชัดเจนในเรื่องของการฟื้นฟู เพราะปะการังนั้นมันมีส่วนสำคัญต่อระบบนิเวศในทะเลเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่มรายได้ดึงเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยสูงมาก หากเราไม่เร่งฟื้นฟูหรือจัดการที่ดีแล้วมัน เหมือนกับเราทุบหม้อข้าวตัวเอง" นายชัยมงคล กล่าว
จาก ..................... ข่าวสด วันที่ 25 มกราคม 2554
angel frog
25-01-2011, 09:42
นึกถึงจุดดำน้ำที่เรียกว่าแฟนตาซี สมัยก่อนสวยมากๆๆ ปะการังแน่นขนัดหลากหลายไปด้วยสรรพสิ่ง แต่พอพังเหลือแต่หินโล้นๆและเปลือกหอย ... แล้วจึงประกาศปิด
อย่าให้ทุกๆแห่ง กลายเป็นอดีต แล้วจึงประกาศปิด เลย
จุดดำน้ำที่ยังสมบูรณ์ พวกเก่าๆ คงพอรู้ๆกันอยู่ ไม่บอกใครหรอก เก็บไว้...... ตราบใดที่ภาครัฐยังไม่เข้มแข็ง ควบคุมทั้งเรือและนักดำน้ำไม่ได้ ก็ยังไม่น่าจะเปิดจุดใหม่ๆ ให้ไปกัน
เก็บที่สวยๆไว้เชยชมกันเองนิ....น้องกบ....;)
ปิดแหล่งดำน้ำ 7 อุทยานฯ ........................ วินิจ รังผึ้ง
http://pics.manager.co.th/Images/554000001062701.JPEG
ผมเพิ่งกลับมาจากดำน้ำสำรวจแนวปะการังบริเวณหมู่เกาะสิมิลัน เกาะบอน เกาะตาชัย และกองหินริเชริว จังหวัดพังงา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าน่าเศร้าใจครับที่ปะการังส่วนใหญ่ราวร้อยละ 70-80 ต้องตายไปเนื่องจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวอันเกิดจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นเกินกว่า 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลานานถึง 2-3 เดือนเมื่อราวกลางเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมา ทั้งที่ปรกติมันจะอยู่ราว 27-28 องศาเซลเซียส อันเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงและกินพื้นที่กว้างขวางมากที่สุดของท้องทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันเท่าที่เคยพบเห็นหรือเคยศึกษากันมา ปะการังเกิดการฟอกขาวเพราะสาหร่ายซูแซนเทลลี่ที่ผสมอยู่ในเนื้อเยื่อปะการัง มีหน้าที่สังเคราะห์แสงให้พลังงานแก่ปะการังเกิดทนอุณหภูมิที่เปลี่ยน แปลงอย่างมากมายไม่ไหว มันก็จะแยกตัวหลุดออกจากตัวปะการัง ที่สุดปะการังก็จะตายลง
ตอนนี้ปะการังที่ฟอกขาวเมื่อ 8-9 เดือนก่อนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ตายสนิท เหลือไว้เพียงซากโครงสร้างปะการังที่เป็นหินปูนสีน้ำตาลดำโทรมๆ ดูเหมือนอาคารร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่อาศัย เมื่อหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน เมืองทั้งเมืองเกิดพิบัติภัยจนผู้คนที่อาศัยอยู่ล้มหายตายจากไปเกือบหมด บ้านก็กลายเป็นบ้านร้าง เมืองก็กลายเป็นเมืองร้าง ชีวิตอื่นๆที่อาศัยกิ่งก้านปะการังอยู่ ก็ไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ในบ้านร้าง ชุมชนร้าง ฝูงปลาเล็กๆ เช่นปลาทอง ปลาบู่ทะเล ปลาสลิดหิน ที่เคยอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มตามกอปะการัง กุ้ง หอย ปู ปลาขนาดเล็กๆ ที่เคยใช้ปะการังเป็นบ้าน ก็พลอยหายหน้าหายตาไปด้วย ปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าที่เคยแวะเวียนเข้ามาหาปลาเล็กกินเป็นอาหารก็พลอยหายหน้าหายตา ล้มหายตายจากไปด้วยเพราะไม่มีอาหารจะกิน ทุกอย่างส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ถึงกันไปหมด
http://pics.manager.co.th/Images/554000001062702.JPEG
ความตายและการเสื่อมโทรมของแนวปะการังครั้งใหญ่ของทะเลไทยครั้งนี้ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ศึกษาข้อมูลร่วมกันแล้วก็ได้ประกาศปิดพื้นที่แหล่งดำน้ำบางจุดใน 7 อุทยานแห่งชาติงดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง เพื่อจะได้ไม่เป็นการเข้าซ้ำเติมธรรมชาติให้เสื่อมโทรมมากเข้าไปอีก โดยมีจุดดำน้ำที่ปิดให้ธรรมชาติพื้นฟูมีดังนี้
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น
ในความเห็นของผมนั้นการจะประกาศปิดพื้นที่ส่วนใด เพื่ออะไร ควรจะมีการศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า การเข้าไปดำน้ำของนักดำน้ำโดยเฉพาะดำน้ำลึกแบบสกูบานั้น เข้าไปมีผลกระทบหรือสร้างความเสียหายกับแนวปะการังมากน้อยเพียงใด หรือนักดำน้ำและกิจกรรมดำน้ำนั้นเป็นเพียงจำเลย หรือข้ออ้างเพื่อเป็นทางออกของปัญหาเท่านั้น เพราะผมเชื่อว่านักดำน้ำแบบสกูบ้านั้นส่วนใหญ่ล้วนมีจิตใจที่จะช่วยกันดูแลรักษาแนวปะการังและโลกใต้น้ำด้วยกันทั้งนั้น ส่วนที่น่าเป็นห่วงก็คงเป็นทัวร์ดำน้ำตื้นแบบสนอร์เกิ้ลที่มีผู้คนหลากหลาย บางคนมีประสบการณ์ดำน้ำมาบ้าง บางคนไม่เคยลงดำน้ำมาเลย พอสวมเสื้อชูชีพได้สวมหน้ากากสนอร์เกิ้ลได้ก็ลงไปแหวกว่ายดำน้ำดูปะการัง พอเหนื่อยก็หาที่เยียบยืนเพื่อพักหายใจบนก้อนปะการัง บนโขดปะการัง ซึ่งจะทำให้ปะการังตายหรือแตกหักเสียหายได้ ยิ่งเมื่อแนวปะการังป่วยไข้เช่นในปัจจุบัน ก็ยิ่งมีความอ่อนไหวบอบบาง ดังนั้นแหล่งดำน้ำดูปะการังบริเวณน้ำตื้นๆที่นักท่องเที่ยวสามารถเยียบยืนถึงนั้น ก็ควรจะปิดและงดเว้นกิจกรรมบริเวณนั้นเสีย หรืออาจจะทำแนวทุ่นลอยป้องกันไว้ให้นักดำน้ำเข้าไปชมได้เฉพาะแนวระดับน้ำที่ต้องลอยตัวดูเท่านั้น
http://pics.manager.co.th/Images/554000001062703.JPEG
ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวและล้มตายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนี้ นับเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับท้องทะเลไทย ซึ่งสาเหตุเกิดจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ทุกคนบนโลกมีส่วนร่วมกันสร้าง ร่วมทำมันขึ้นมา เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ใหญ่โตและรุนแรงเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่ง หรือมาตรการเยียวยาเพียงมาตรการใดมาตรการหนึ่งจะสามารถแก้ไขได้ นอกจากความร่วมมือของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันลดภาวะโลกร้อนจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ลดการใช้ทรัพยากรของโลกลง ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกอันเป็นปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ส่วนหนทางที่จะช่วยเหลือฟื้นฟูแนวปะการังที่ดีที่สุดก็คือการให้เวลากับธรรมชาติ เพื่อปล่อยให้ธรรมชาติเยียวยารักษาตัวเองเท่านั้น มาตรการฟื้นฟูอื่นๆ เช่นแนวคิดการปลูกปะการัง หรือย้ายปะการังเข้าไปช่วยปลูกซ่อมแซมอย่างที่บางคนเสนอนั้น อย่าทำเลยครับ เพราะคงไม่สามารถช่วยอะไรกับท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ การตัดกิ่งปะการังจากที่หนึ่งเพื่อย้ายมาปลูกก็เหมือนการก่อให้เกิดการทำลายขึ้นใหม่ในจุดนั้น และเมื่อนำมาลงปลูกส่วนใหญ่ก็จะตาย และหากรอดได้ก็จะไม่แข็งแรงเหมือนอย่างที่ไข่ปะการังจากธรรมชาติจะเลือกทำเลฝังตัวและก่อเกิดขึ้นเป็นหมู่ปะการังและแนวปะการังอย่างที่เราเห็นกัน การปลูกปะการังนั้นไม่มีใครทำได้หรอกครับนอกจากท้องทะเลและธรรมชาติเท่านั้น
การเสนอปิดอุทยานทางทะเลแห่งนั้นๆไปเลยตามข้อเสนอของบางฝ่าย ซึ่งเป็นเสมือนการกันคนออกไปจากธรรมชาติอาจจะไม่ใช่หนทางแก้ไขที่ถูกต้อง แต่บางครั้งเมื่อคนไข้อาการหนักก็อาจจำเป็นต้องงดเยี่ยมกันบ้างเพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อน ได้พักฟื้นร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน จึงค่อยเปิดให้เยี่ยมเยี่ยน การประกาศปิดเฉพาะจุดที่วิกฤตินั้นน่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมกว่า เพราะการประกาศปิดพื้นที่ทั้งอุทยานไม่ให้คนย่างกรายเข้าไปศึกษาเข้าไปท่องเที่ยวเลยนั้น เป็นการปิดกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าไปรู้เข้าไปเห็นปัญหา ปิดกั้นไม่ให้ผู้คนเข้าไปมีส่วนร่วม ก็อาจจะทำให้คนที่รักและห่วงใยท้องทะเลไม่เห็นความสำคัญของปัญหาและอาจจะลืม เลือนเลิกคิดถึง เลิกห่วงใย เลิกเอาใจใส่ไปเลยก็เป็นได้ เมื่อท้องทะเลเกิดปัญหาเกิดวิกฤติ เราก็ควรจะใช้วิกฤติครั้งนี้สร้างจิตสำนึกให้ทุกฝ่ายร่วมกันมองเห็นความ สำคัญของปัญหา ร่วมกันปกป้องดูแลรักษาแนวปะการังและความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ใช้โอกาสให้นักดำน้ำที่เข้าไปดำน้ำในจุดที่ยังไม่ประกาศปิดมีส่วนช่วยกัน เป็นอาสาสมัครรายงานข้อมูลหรือภาพถ่ายการเปลี่ยนแปลง เพื่อศึกษาวิจัยถึงระยะเวลาของการฟื้นตัวของแนวปะการังและสรรพชีวิตใต้ท้องทะเล เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ต่อแนวปะการังและท้องทะเลไทยต่อไปในอนาคตน่าจะเป็นทางออกที่ดีในยามนี้
จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 25 มกราคม 2554
งดดำน้ำในอุทยาน 7 แห่ง ฝ่าฝืนมีโทษปรับ
http://mcot-image01.mcot.gtis.co.th/content/images/stock/image_20110125182309BCE9B5EF-E5DD-FA97-0705F3C2C23C2105.jpg
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตือนนักท่องเที่ยวงดดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติที่ประกาศทั้ง 7 แห่ง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุด ตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท
นายศรัณย์ ใจสอาด ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้มงวดในการปฏิบัติหน้าที่และตรวจตราไม่ให้มีนักท่องเที่ยวฝ่าฝืนลงดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติที่ประกาศงดกิจกรรมดำน้ำทั้ง 7 แห่ง ในฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อให้ปะการังที่เสียหายฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง โดยเร่งจัดทำทุ่นสีขาวล้อมรอบบริเวณจุดที่ประกาศงดกิจกรรมดำน้ำให้ครบทุกแห่ง พร้อมจัดทีมเรือลาดตระเวนไปยังจุดต่าง ๆและถอดทุ่นผูกเรือเพื่อไม่ให้เรือนักท่องเที่ยวมีจุดแวะพัก ซึ่งหากพบนักท่องเที่ยวลงดำน้ำในจุดดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะเข้าไปตักเตือน และในสัปดาห์หน้าจะเริ่มทำการเปรียบเทียบปรับผู้ที่ฝ่าฝืนตั้งแต่ 1,000-10,000 บาท.
จาก ..................... ข่าว อสมท. MCOT News วันที่ 26 มกราคม 2554
ภาพจาก FB ของ ดร.เนะ นลินี ทองแถม
http://sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash1/hs886.ash1/179408_147195675339356_100001467735310_302199_3594539_n.jpg
"อุทยานประกาศปิดพื้นที่แนวปะการังบางส่วนแล้ว แต่ก็ยังมีการนำนักท่องเที่ยวเข้าไปดำน้ำเหมือนเดิม บรเวณหินกลาง หมู่เกาะพีพี ที่ๆเคยมีปะการังสวยที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เหลือปะการังไม่ถึง 30%
สังคมควรจะทำอย่างไรกับผู้ที่มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ และผู้ประกอบการที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้
ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมรังเกียจพฤติกรรมของมัน..."
เราน่าจะช่วยกันรณรงค์โดยให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ประสบเหตุการณ์อย่่างข้างบน รวบรวมภาพ หรือข้อมูล เอามาโพสผ่านสื่อให้เห็นกันชัดๆเลยทีเดียว ระบุ วันเวลาสถานที่เสร็จสรรพ
อย่างน้อยน่าจะกระตุ้นหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ขยันตรวจตราสอดส่องได้บ้าง ..
อย่างที่น้องดอกปีบพูดนั้น ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า "ประจาน" นะคะ
เห็นด้วยค่ะว่าเราไม่ควรจะนั่งดูเฉยๆ ปล่อยให้คนเห็นแก่ตัวมาทำลายทรัพยากรธรรมชาติของเรา โดยเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วค่อยมานั่งเสียใจ เสียดายของดีๆในภายหลัง
sea addict
26-01-2011, 10:29
ผมหวังเพียงว่าเมื่อประกาศปิดแล้วก็ขอให้ปิดได้จริงๆ ที่ผ่านมาผลงานจากการปิดจุดดำน้ำยัง
ไม่ค่อยดีนัก เพียงแฟนตาซีจุดเดียวยังมีการลักลอบดำกันบ่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่ม VIP (Very
Idiot Porson) ทั้งหลาย ผู้ที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้หลายคนอาจมีคำถามว่าการปิดจุดดำ
น้ำแล้วปะการังจะฟื้นตัวได้อย่างไร การดำน้ำแบบscuba มีผลกระทบต่อแนวปะการังจริงหรือ
ผมขออนุญาติอธิบายความเป็นส่วนๆตามความคิดของผมโดยอ้างอิงจากสิ่งที่ควรจะเป็นอีกที
1 ระดับการดำน้ำและจิตสำนึกอนุรักษ์ การดำน้ำแบบ scuba มีผลกระทบแน่นอน
โดยเฉพาะนักดำน้ำมือใหม่ๆ ซึ่งการทำ bouyancy control ยังไม่ดีนัก ซึ่งในพื้นที่ๆมี
ประกาศปิด มักจะเป็นแนวปะการังน้ำตื้นที่มีเซิร์จโยนตัวขึ้นลง โอกาสที่นักดำเหล่านี้จะสัมผัส
กระแทก หรือเตะฟินโดนปะการังจึงมีสูง และตราบใดที่ยังไม่สามารถจัด zone ดำน้ำโดย
จำกัดระดับหรือประสบการณ์ดำน้ำที่จะดำในแต่ละจุดได้ การที่จะเอานักดำน้ำที่ไร้ประสบการณ์
ไปดำน้ำในแหล่งปะการังที่มีความอ่อนไหวนั้น ถือเป็นความเสี่ยงต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ใน
ส่วนของจิตสำนึกนั้นยิ่งเป็นความยากลำบากในการตรวจสอบ นักดำน้ำระดับครูอาจมีจิตสำนึก
ที่น้อยกว่าเด็กสมัยใหม่ก็ได้ ทั้งนี้การปิดไม่ให้มีกิจกรรมการดำน้ำไม่ว่าจะเป็น scuba หรือ
snorkel ในพื้นที่ที่มีความล่อแหลมต่อการเสื่อมโทรมควรจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการลด
ความเสี่ยงต่อแนวปะการัง
2 การทิ้งน้ำเสียหรือของเสียหรือกิจกรรมอื่นๆที่สืบเนื่องจากการดำน้ำ ตามที่กล่าวมา
ในข้อ 1 คือแนวปะการังแข็งที่ประกาศปิดส่วนใหญ่เป็นแนวปะการังน้ำตื้น แน่นอนเหลือเกินว่า
ความอ่อนไหวจะต้องสูง การสัมผัสน้ำทิ้งหรือของเสียเหล่านี้ย่อมง่ายกว่า ยกตัวอย่าง ในแนว
ปะการังที่น้ำลึกมาก หรือกองหิน การทิ้งน้ำเสียหรือของเสียลงจากเรือกว่าจะลงถึงผิวแนวก็จะ
โดนกระแสน้ำพัดไปไกลจากแนวแล้ว ส่วนในน้ำตื้นของเสียเหล่านี้จะตกลงบนแนวโดยที่กระแส
น้ำยังไม่สามารถพัดพาออกไปได้ นอกจากนี้ยามว่างจากการดำน้ำหรือเพื่อนๆที่ไม่ได้ดำน้ำ
อาจถือโอกาสให้อาหารปลาเพื่อคววามเพลิดเพลิน ปลากินสาหร่ายที่ปกคลุมปะการังก็มากิน
โต๊ะจีนและละเลยหน้าที่ตัวเอง เป็นผลกระทบหลายชั้นต่อแนวปะการัง การปิดพื้นที่ก็จะช่วย
ลดความเสี่ยงในส่วนนี้ลงไปได้ในระดับหนึ่ง
3 กิจกรรมดำน้ำบางลักษณะซึ่งต้องทำในบริเวณน้ำตื้นๆ และมีแนวปะการังโดยเฉพาะพื้นที่ๆ
ประกาศปิดนั้น เป็นอันตรายต่อแนวปะการังและรบกวนการใช้ชีวิตของสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง
เช่นกิจกรรม night dive ซึ่งโดยทั่วไปจะทำในที่ตื้น ซึ่งการดำน้ำในที่ตื้นนั้นปกติก็ส่งผล
กระทบอยู่แล้วยิ่งมาดำ night dive ซึ่งทัศนวิสัยจำกัดทำให้การควบคุมการลอยตัวก็ลำบาก
โดยเฉพาะพวกที่ลักไก่เอาเด็กนักเรียนลงดำ จะสร้างความเสียหายต่อแนวปะการังได้มาก เป็น
พิเศษ ในความเป็นจริงเรายังไม่มีความสามารถในการคัดกรองการลักไก่เช่นนี้ได้ ดังนั้นการปิด
พื้นที่เพื่อลดการกระทำเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
4 การปิดพื้นที่ซึ่งหมายถึงการหยุดกิจกรรมทุกอย่างในพื้นที่นั้นที่ล้วนเป็นการลดผลกระทบ
ต่อแนวปะการังที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีการเสริมกำลังในการ
ตรวจตรา และสนับสนุนให้มีการติดตามตรวจสอบหรืองานวิจัยควบคู่กันไป ไม่ใช่ปิดดำน้ำแล้ว
ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล ก็หวานพวกประมงเขาล่ะ
และสุดท้ายอย่างที่ผมเคยบอกย้ำบ่อยๆคือปิดแล้วก็ต้องปิดให้จริง การช่วยลดผลกระทบ
เหล่านี้ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อาจกระทบต่อผู้มีธุรกิจด้านนี้บ้างแต่ควรยอมเสียเล็กๆน้อยๆบ้าง
เพื่อให้วันข้างหน้าสิ่งเหล่านี้จะอยู่คู่ลูกหลานเราต่อไป ผู้ประกอบการบางท่านอาจมั่นใจใน
มาตรฐานการบริการ และจิตสำนึกการอนุรักษ์ของท่านเอง ซึ่งในส่วนนี้ผมก็อนุโมทนาด้วย แต่
ท่านอื่นๆที่ไม่เป็นอย่างท่านนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ดังนั้นการปิดเพื่อป้องกันคนเหล่านี้ไม่ให้มาซ้ำ
เติมทรัพยากรจึงเป็นสิ่งควรทำครับ ผมจะยกตัวอย่าง มีคนดี 100 คนปลูกต้นไม้ 100 ต้นให้
โตขึ้นใช้เวลา 10 ปี แต่หากจะทำลายละก็ มีแค่คนชั่ว 1 คนก็สามารถตัดต้นไม้ทั้ง 100 ต้นลง
ได้ในเวลาแค่ 1 วัน ในหมู่ท่านทั้งหลายแน่ใจหรือว่าจะไม่มีคนชั่วแทรกซึมหากินอยู่ ดังนั้น
ช่วยๆกันเถอะครับเพื่อทะเลของเรา
ยอดเยี่ยมไปเลยค่ะน้อง sea addict.....เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะว่าปิดแล้วก็ขอให้ปิดจริงๆอย่าให้ใคร (ไม่ว่าจะวิเศษวิโสหรือใหญ๋แค่ไหน) เข้าไปทำกิจกรรมรบกวนแนวปะการังนั้นอีกเลย
น้อง sea addict ได้ยกตัวอย่างจุดดำน้ำ Fantasy Point ที่เกาะแปด สิมิลัน ซึ่งถูกประกาศปิดไปเมื่อ 3 ปีก่อน แต่ก็ยังมีคนเส้นใหญ่ขอลงดำอยู่เรื่อยนั้น เคยเห็นคนใช้เส้น ไปลงดำน้ำที่นี่แล้วมาคุยฟุ้งอวดคนอื่นแล้ว ก็รู้สึกทนไม่ได้เหมือนกัน
เราเองได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานฯ ให้เข้าไปทำงานปล่อยสัตว์น้ำ เก็บขยะและตัดอวนในเขตอุทยานฯที่สิมิลัน แม้ว่าทางเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เราลงดำน้ำที่ Fantasy Point ได้ เราก็ยังปฏิเสธที่จะลงดำน้ำ เพราะเกรงจะพลาดพลั้งไปทำร้ายแนวปะการังที่กำลังฟื้นคืนดี
ช่วยอะไรกันได้ก็รีบช่วยเถิดนะคะ...ก่อนที่จะไม่เหลือแนวปะการังสวยๆให้เราได้ชื่นชม....
angel frog
26-01-2011, 12:09
พวกที่ เขาปิดแล้วยังไปแอบลงเนี๊ยะ น่าจะจับไปขัง แล้วลืมๆไปซะ 30 ปี ...นะ
บทความของ อ.บอย ใน fb เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554
ปะการังฟอกขาว เราช้าในมิติของการศึกษา การจัดการเตรียมรับสถานการณ์ และการจัดการทรัพยากร
วันนี้ มีข่าวกรมอุทยานฯ จะปิดอุทยานแห่งชาติ เป็นเรื่องฮือฮากันมาก
แต่สำหรับผม มันช้าไปหน่อย
นักวิชาการเตือนก่อนหน้านี้นานแล้ว ว่าสถานการณ์ปะการังฟอกขาววิกฤตมาก จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ในช่วงที่ผ่านมา กรมอุทยานฯเอง ก็ไม่มีความชัดเจนในการประเมินสภาพปัญหา และการรับรู้สภาพปัญหาเพื่อเตรียมการรองรับ
นักวิชาการพร้อมที่จะช่วยมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ก็ได้แต่คุยกันไปมา
ในทางปฏิบัติไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะไม่มีงบประมาณทำงาน
ทุกวันนี้ เราจึงยังไม่สามารถสำรวจได้ทุกพื้นที่
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีงบประมาณก็ค่อยๆทำไป
แต่นักวิชาการที่พร้อมจะช่วยเหลือ ไม่มีงบประมาณ ได้แต่เฝ้าดู
เป็นเรื่องน่าเสียดาย เรามีคนพร้อมจะทำงาน แต่ไม่มีโอกาส
พวกเราจัดประชุมกันเพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการทุกสถาบัน และออกเงินไปก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนตุลาคม ชี้แจงให้เห็นปัญหาของปะการังฟอกขาว เงินที่สำรองจ่ายไปแล้ว เพิ่งจะออกมาจากกรมฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเงินของการประชุม ไม่ใช่เงินค่าใช้จ่ายในการสำรวจ การสำรวจก็ต้องออกไปเองก่อน แล้วค่อยตามเบิกทีหลัง
ในมิติของการเตรียมการรองรับสถานการณ์ เรารู้แล้วว่าสถานการณ์จะเลวร้าย ปะการังหลายบริเวณตายไปตั้งแต่เดือนกันยายน ตุลาคมที่ผ่านมา และเราก็ทำนายผลกระทบจากการท่องเที่ยวไว้แล้ว แต่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยที่จะบรรเทาผลกระทบ เช่น ถ้าต้องปิดจุดดำน้ำ แล้วจะทำอย่างไรต่อ
ข้อเสนอแนะ เช่น การจัดทำปะการังเทียมเพื่อชดเชยแหล่งดำน้ำ ให้ปลาเข้ามาอยู่อาศัย ก็ยังถกเถียงกันว่า ปะการังเทียมเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นขยะ นักวิชาการในกรมอุทยานแห่งชาติ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยังแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้สร้าง อีกฝ่ายไม่ให้สร้าง
หรือ ถ้าเราต้องปิดอุทยานแห่งชาติจริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปิดทุกแห่ง แนวปะการังหลายบริเวณก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี อย่างหมู่เกาะอาดัง ราวี ก็ยังมีสภาพที่ดีอยู่ ยังรองรับนักท่องเที่ยวได้ ยกเว้นบริเวณหาดทรายขาว ของเกาะราวี จะต้องปิด และต้องไม่ไปพัฒนาสิ่งก่อสร้างห้องน้ำ ห้องส้วม ร้านอาหาร ที่พัก ในบริเวณหาดทรายขาว ทุกวันนี้ หาดทรายขาวเปิดท่องเที่ยวกันอย่างไม่สนใจว่าแนวปะการังตรงนั้นตายไปแล้ว ต้องการการดูแลให้มันฟื้นตัวเอง ไม่ใช่การซ้ำเติม
หมู่เกาะสุรินทร์ ถือว่าวิกฤติหนักที่สุด ถ้าจะต้องปิดทั้งอุทยานฯก็ต้องปิด เพราะเสียหายมากที่สุด แต่ถ้ากลัวผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ก็ต้องกำหนดกิจกรรม กำหนดสถานที่ให้เหมาะสม
ส่วนสิมิลันนั้น จุดดำน้ำลึกยังพอมีให้ใช้ได้ แต่ไม่ทุกจุด และต้องควบคุมอย่างเข้มงวด อย่าไปสร้างปัญหาซ้ำเติม จากของเสียจากเรือ การเหยียบย่ำ การให้อาหารปลา การทิ้งเศษอาหารลงทะเล
ส่วนจุดดำน้ำตื้น และบริเวณที่เป็นแนวปะการังแข็งทั้งหมดของหมู่เกาะสิมิลัน ต้องปิด เช่น เกาะหนึ่ง เกาะสอง เกาะสาม ต้องปิดอยู่แล้วเพราะเป็นเขตสงวนอย่างเข้มงวด แต่ที่ต้องปิดเพิ่มเป็นการชั่วคราวอย่างน้อย 3 ปี ได้แก่ ทางฝั่งตะวันออกของเกาะแปด เกาะเจ็ด
หมู่เกาะพีพี ต้องปิดหลายบริเวณ เช่น บริเวณที่ตื้นของเกาะไผ่ เกาะกลาง แนวปะการังทางทิศตะวันออกของเกาะพีพีดอนตั้งแต่ใต้อ่าวต้นไทรไปจนถึงแหลมตง และอ่าวมาหยา เกาะพีพีเล
ในภาพรวมของการท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามัน เราอาจจะต้องย้ายนักท่องเที่ยวลงไปทางหมู่เกาะอาดัง ราวี และใช้มาตรการต่างๆควบคุมไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสร้างความเสียหาย ต้องส่งคนลงไปดูแลมากขึ้น เรือตรวจ ทุ่นจอดเรือ
ส่วนในมิติของการจัดการทรัพยากร...
วันนี้ ต้องยอมรับกันว่า ประเทศไทย ใช้คนที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ไปบริหารจัดการแนวปะการัง อย่างเช่น แนวปะการังของประเทศอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกือบครึ่ง
แต่ถามว่า วันนี้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ มีทีมงานที่รู้เรื่องแนวปะการัง และการจัดการแนวปะการังหรือเปล่า หัวหน้าอุทยานฯแห่งชาติ เข้าใจหรือเปล่าว่าจะจัดการแนวปะการังอย่างไร
ทุกวันนี้ ได้แต่บอกว่า รอนักวิชาการข้างนอกเข้าไปสำรวจ แต่ถามว่า มีงบประมาณให้นักวิชาการทำงานหรือเปล่า
แล้วทำไม เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์กันเองไม่ได้ แค่ลงน้ำไปก็รู้แล้วว่าปะการังตรงไหนตายบ้าง เว้นแต่ว่า ไม่มีคนที่รู้จักปะการังว่า ลักษณะไหนที่ยังมีชีวิต ลักษณะไหนที่ตายแล้ว และยังประกาศออกสื่อว่าปะการังหายจากการฟอกขาวแล้ว พร้อมรับนักท่องเที่ยว ทั้งๆที่ความจริง คือ ปะการังหายฟอกขาว แต่ตายแบบยืนต้น ตายเกือบหมดทั้งอ่าว
ในช่วงที่ผ่านมา นักวิชาการต้องขอเข้าไปดูไปศึกษา ออกเงินเข้าไปทำงานกันเองทั้งค่ารถ ค่าเรือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และเมื่อมีข้อมูลออกมาแล้วก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งนักท่องเที่ยวเข้าไปเห็นเอง เผยแพร่ออกมาตามสื่อต่างๆ เจ้าหน้าที่ถึงได้มีการตื่นตัว
การบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติในทุกวันนี้ เราเน้นแต่การบริหารจัดการคน บริหารจัดการนักท่องเที่ยว บริหารจัดการเงินรายได้ต่างๆ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวพึงพอใจ ทำอย่างไรจะมีนักท่องเที่ยวมาพัก แล้วเกิดความสบาย ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวมีอาหารทะเลกิน และทำอย่างไรถึงจะเก็บเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ เข้ารัฐ และยังค่าอาหาร ค่าที่พัก ที่อยู่นอกระบบอีกเท่าไร การพัฒนาบนเกาะต่างๆเกิดขึ้นมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว และมีเป้าหมายเพื่อหารายได้ แต่ทรัพยากรใต้น้ำ ไม่ค่อยสนใจจะดูแล
ที่ร้ายที่สุด คือ การพัฒนาต่างๆของอุทยานแห่งชาติเอง ที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศแนวปะการัง ไม่ว่าจะเป็นกิจการร้านอาหาร ที่พัก ห้องน้ำ ห้องส้วม ที่อยู่บนเกาะที่มีแนวปะการัง ล้วนแล้วแต่สร้างปัญหาให้กับคุณภาพน้ำทะเลของแนวปะการังทั้งสิ้น หาดทรายขาวที่เกาะราวี อช. ตะรุเตา เป็นตัวอย่างล่าสุดที่ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
สุดท้าย อยากทราบจริงๆ ว่า.... กรมอุทยานแห่งชาติ มีแนวทางการคัดเลือกหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลต่างๆอย่างไร คนที่จะมาเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล ควรมีความรู้และประสบการณ์อะไรบ้าง
ทุกวันนี้กลายเป็นว่า ส่งใครก็ได้ที่สามารถบริหารจัดการคน และงบประมาณเข้าไปเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเล
น่าเสียดายที่เราจำใจ... ต้องฝากฝังทรัพยากรธรรมชาติที่ดีที่สุดของประเทศและภูมิภาค ..... ไว้ในมือของกลุ่มคนที่ไม่รู้จักแนวปะการังเลย
Thoto_Dive
26-01-2011, 21:10
ผมมีโอกาสได้ไปนั่งฟังการสัมนาเรื่อง "วิกฤติทรัพยากรธรรมชาติแหล่งท่องเที่ยว : สิทธิและทางออกเพื่อความยั่งยืน"
โดยมีผู้แทนจากอธิบดีกรมอุทยาน ท่านมาเพื่อตอบปัญหาปะการังฟอกขาวโดยเฉพาะ แค่ประโยชน์ที่ท่านแนะนำตัวก็ทำให้ผมสั่นสะท้าน
"ผมเป็นอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะเสม็ดและเกาะช้าง"
คงไม่เอ่ยต่อ แค่จินตนาการ หมู่เกาะสุรินทร์และสิมิลัน กลายเป็นแบบเกาะเสม็ดกับเกาะช้าง!!!!
ชี้ปิดเขตอุทยานฯป้องกันแนวปะการัง ท่องเที่ยวป่วน
นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญเพื่อป้องกันแนวปะการังเสียหาย หลังเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ทำให้ปะการังได้รับความเสียหายหลายแห่ง โดยในส่วนของจังหวัดกระบี่ เช่น ที่อ่าวมาหยา และอ่าวต้นไทร ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของเกาะพีพี และเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังที่ขึ้นชื่อ
ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพีกล่าวว่า การประกาศปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังในเขตอุทยานฯ จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเกาะพีพีและจังหวัดกระบี่อย่างแน่นอน เพราะนักท่องเที่ยวที่มาเกาะพีพี ส่วนใหญ่จะเดินทางไปที่อ่าวมาหยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และบริเวณดังกล่าวก็มีปะการังน้ำตื้นที่สวยงามอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบกับขณะนี้เป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่อ่าวมาหยา เฉลี่ยวันละ 800-1,000 คน หากมีการปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแน่นอน “การปิดอุทยานฯ ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้า ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ตนติดตามข่าวสารมาโดยตลอดพบว่าปะการังเสียหาย เกิดขึ้นมานานกว่า 1 ปี แล้ว ทำไมทางอุทยานฯไม่ปิดในตอนนั้น กลับมาปิดในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ซึ่งตนเห็นว่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน
ขณะที่นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวทำนองเดียวกันว่า ในส่วนของสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่กรมอุทยานฯจะปิดอุทยานฯในฝั่งอันดามัน โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะพีพี ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อให้ปะการังอยู่รอด ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ได้ ควรจะมีการแบ่งโซนพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยว โดยการสลับหมุนเวียนกัน ไม่ใช่ปิดพร้อมกันทุกจุด เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญส่วนใหญ่ของจังหวัดกระบี่อยู่ในเขตอุทยานฯ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวด้วยว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดกระบี่ จะเดินทางไปท่องเที่ยวทางทะเล ดำน้ำดูปะการัง และพักผ่อนตามชายหาด หากว่าทางกรมอุทยานฯประกาศปิดอุทยานฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่โดยตรง และเชื่อว่าผลที่ตามมาจากการปิดอุดทยานฯ จะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไป ประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่รู้จะมาดูอะไร.
จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 27 มกราคม 2554
ที่กระบี่....เขาสั่งปิดเฉพาะที่หินใหญ่เท่านั้นนี่คะ.....ไหง๋ไพล่ไปพูดถึงปิดอ่าวมาหยาและอ่าวต้นไทรด้วยล่ะนี่....:confused:
อืมมมม.....แต่ที่มาหยากับอ่าวต้นไทรมันก็น่าจะปิดจริงๆซะด้วยสิคะ....:p
เมื่อวานดูข่าว เห็นเจ้าหน้าทีกำลัง วางทุ่นปิดไม่ให้ใช้พื้นที่
ก็ยังมีเรือพาคนไปลงต่อหน้าต่อตา แต่ก็โดนปรับ ไปคนละ 500 บาท เอง
น่ามีบทลงโทษไอคนพาไปหนักหน่อยนะ
อาจารย์ศักดิ์อนันต์พูดได้ตรงประเด็นมากเลยครับ .. และผมก็เห็นแบบนั้นเสียด้วย
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวนั้น ผมว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รวมถึงตัวผมด้วย ลืมไปว่าทะเลหรือทรัพยากรธรรมชาติทุกอย่างมัีนละเอียดอ่อนกว่าที่เราคิดมากนัก
ปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งนี้น่าจะสะท้อนหลายๆเรื่องว่า ต้องมีการจัดการการท่องเที่ยวกันอย่างเป็นระบบและอนุรักษ์มากขึ้น รวมถึงมีการคัดเลือกบุคคลกรที่เหมาะสมในทุกๆเรื่องจริงๆ
เรื่องการใช้บุคคลากรให้ถูกคนถูกเรื่องนี่ เป็นปัญหาใหญ่จริงๆในทุกองค์กรนะคะ อย่างไรก็ตาม จะเสนอเรื่องนี้ให้ที่เวทีเสวนาเรื่องปะการังฟอกขาวไว้ด้วยค่ะ...น้องปี๊บ
"ปะการังฟอกขาว" สร้างโอกาสจากวิกฤตเพื่อท้องทะเลไทย ...................... โดย ปิ่น บุตรี
http://pics.manager.co.th/Images/554000001268001.JPEG
“ปะการัง...ปะการัง...งามล้ำค่า ช่วยกันรักษา...
เจ้าไข่มุกเอเซีย ต้องเสียหาย
โอ้ปักษ์ใต้บ้านเรา นั้นแย่แล้ว
ใต้ทะเลไม่เหลือ ไม่เห็นแนว
พังระเบิดเป็นแถว ปะการัง...”
เพลง“ปะการัง” ของวง“ซูซู” ดูจะ เข้ากับบรรรยากาศของสภาพปะการังในบ้านเราช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาไม่น้อยเลย เพียงแต่ว่างานนี้เปลี่ยนบริบทจากการถูกระเบิดทำลายกลายมาเป็น วิกฤตการณ์ “ปะการังฟอกขาว”แทน
ปะการังฟอกขาว ใครทำ???
ปะการังฟอกขาว เกิดจาก“สาหร่ายซูแซนเทลลี่”ที่ อาศัยอยู่ภายในเนื้อเยื่อปะการังซึ่งทำหน้าที่สร้างสีสันและสังเคราะห์แสง ให้พลังงาน แยกตัวออกมา ทำให้ตัวปะการังสีซีดลงกลายเป็นเนื้อเยื่อใสๆคล้ายวุ้นคลุมส่วนโครงสร้างที่ เป็นหินปูน มองเห็นเป็นสีขาว เทา หรือน้ำตาล
สาเหตุหลักในการเกิดปะการังฟอกขาวมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น เกินกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติอุณหภูมิของน้ำทะเลจะอยู่ที่ 28-29 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิน้ำทะเลเกิดสูงเกิน 30.1 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป ปะการังจะปรับทำตัวให้เกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา
ในอดีตปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติจะสัมพันธ์กับปรากฏการณ์เอลนีโญที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทร ครั้นเอลนีโญผ่านพ้นไปปะการังก็จะใช้เวลาพักฟื้นแล้วกลับมามีสีสันสวยงามอีกครั้ง โดยบ้านเราในช่วงปี พ.ศ. 2540-41 ก็เคยเกิดปะการังฟอกขาวที่ค่อนข้างรุนแรงเหมือนกัน แต่นั่นยังไม่เท่ากับการเกิดปะการังฟอกขาวในปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮาในทุกวันนี้
ปะการังฟอกขาวหนนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากแต่เกิดขึ้นไปทั่วแถบภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ทั้งอินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟ ซีเชลส์ พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ส่วนที่เกิดบ้านเรานั้นถือว่าถือว่ารุนแรงที่สุดในประวัติการณ์ เป็นวิกฤตปะการังฟอกขาวที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 ขยายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายเท่านั้น หากแต่มันกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง ส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ การท่องเที่ยว การกัดเซาะชายฝั่ง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลด้วย
สำหรับการเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้รู้ ต่างออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกันว่า
...การเกิดปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากเอลนีโญที่มาจากสภาวะโลกร้อนเป็นหลัก...
แล้วสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนทำ หากแต่มาจากน้ำมือมนุษย์เรานั่นเอง
ปะการังฟอกขาวย้อนคืนสู่มนุษย์
ช่วงปะการังฟอกขาวเริ่มเป็นข่าวดัง ผมกำลังเริงร่าล่องใต้ทัวร์มาราธอนตามหมู่เกาะท้องทะเลในอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม หมู่เกาะเภตรา และหมู่เกาะตะรุเตา แห่งท้องทะเลอันดามันระหว่างทะเลตรังกับทะเลสตูลอยู่พอดี
ครั้นพอกลับขึ้นมากรุงเทพฯมีหลายคนคนถามว่า “ทะเลอันดามันไปเที่ยวได้หรือ เห็นข่าวออกมาว่าเขาปิดอุทยานฯหลายที่หนิ”
เอ้า...กลายเป็นเรื่องปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลหลายแห่งไปเสียฉิบ ทั้งที่ความจริงอุทยานฯทางทะเลยังเที่ยวได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทางกรมอุทยานฯเขาประกาศ “งดกิจกรรมดำน้ำบางจุด”หรือพูดง่ายๆว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด”ในอุทยานฯทาง ทะเลบางแห่ง ย้ำนะครับว่า“ปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด” ไม่ได้ปิดอุทยานฯ ห้ามคนเข้าไปเที่ยวแต่อย่างใด นอกจากนี้กิจกรรมทางทะเลทั่วไป เช่น เล่นน้ำชายฝั่ง เดินชายหาด ชมทิวทัศน์ ท่องราตรี(ในบางพื้นที่) หรือดำน้ำในจุดที่อนุญาตไม่ใช่จุดต้องห้าม ก็ยังคงสามารถทำได้ตามปกติ
โดยอุทยานฯที่ทำการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุด ณ เวลานี้ มี 7 อุทยานฯด้วยกัน ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง
3. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง
4. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
5. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณแนวปะการังบริเวณหินกลาง
6. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน
7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊ป และอีส ออฟ อีเด็น
อย่างไรก็ดีการเลือกปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดของกรมอุทยานฯ วัตถุประสงค์เท่าที่ผมจับจากข่าวก็เพื่อไม่ให้คน(นักท่องเที่ยว)เข้าไปซ้ำ เติมเหตุการณ์ให้มันเสื่อมเร็วและแย่ลงมากขึ้น เพราะหากเป็นปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามธรรมชาติปกตินั้นมันสามารถฟื้นตัวได้ อย่างเร็วอาจแค่ 1 ปี อย่างช้าอาจถึง 5 ปี
แต่กลับวิกฤตปะการังฟอกขาวครั้งนี้ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าจะใช้เวลาฟื้นตัวแค่ไหน ยิ่งถ้าไม่หาทางป้องกันเยียวยาให้ดี ผลที่เกิดขึ้นตามมา มันไม่ได้เกิดเฉพาะแค่ปะการังตายจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทางทะเลและเกิดผลกระทบอื่นตามมา ทั้งทำให้จำนวนปลาลดลง แหล่งอาหารทางทะเลของมนุษย์ร่อยหรอ และส่งผลต่อไปยังเรื่องของการประมง การท่องเที่ยว ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
เรียกว่าเมื่อมนุษย์เป็นตัวเอี่ยวสำคัญในการก่อวิกฤต ผลเอี่ยวจากการกระทำมันก็ย้อนศรกลับมากระทบต่อมนุษย์เราแบบไม่มีทางหลีกเลี่ยง
สร้างโอกาสจากวิกฤต
แม้วิกฤตปะการังฟอกขาวที่เกิดขึ้นจะอยู่ในขั้นรุนแรง แต่เราไม่ควรตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ หากแต่ควรตื่นตัวต่อสภาวะโลกร้อนและปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น เพราะปัญหาทะเลไทยที่ผ่านมามาได้มีเฉพาะเรื่องปะการังฟอกขาวเท่านั้น แต่มันมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการกัดเซาะชายฝั่ง การจับสัตว์น้ำแบบเกินพอดี การระเบิดปลา ทำลายปะการัง การลักลอบนำปะการังไปขาย การทำอวนลาก อวนรุน การพัฒนาเมือง พัฒนาทางวัตถุโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ในขณะที่ถ้าโฟกัสให้แคบลงมาเฉพาะในมิติของการท่องเที่ยว ที่ผ่านมาท้องทะเลไทยเราได้รับผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งจาก นายทุนบุกรุกท้องทะเลสร้างรีสอร์ท โรงแรม การปล่อยน้ำเสีย ขยะ ตะกอน ของผู้ประกอบการลงสู่ทะเล การมักง่ายทิ้งขยะลงทะเลของนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวดำน้ำตื้นไปเหยียบยืนทำลายปะการังจนตายทั้งพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และพวกที่ตั้งใจ เรือนำเที่ยวทิ้งของเสียลงทะเล หรือแม้กระทั่งการรับใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่อุทยานฯบางคนดังที่ปรากฏเป็นข่าว
ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้นอกจากการปิดพื้นที่ดำน้ำบางจุดแล้ว ผู้เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวในเรื่องปะการังฟอกขาว สร้างจิตสำนึกการท่องเที่ยวอย่างถูกวิธีที่แม้จะต้องพูดแล้วพูดอีกพูดซ้ำพูดซากก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะหากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังคงเที่ยวกันแบบไร้สำนึก ทิ้งขยะ ของเสียลงทะเล ขโมยเก็บทรัพยากรนำกลับมา ไปเหยียบยืนบนปะการัง ไม่ว่าปะการังฟอกขาวหรือปะการังดีมันก็ถูกทำลายไม่ต่างกัน
และภาครัฐ นับแต่นี้ไปคงต้องเอาจริงเอาจังต่อการปฏิบัติหน้าที่กันเสียที ผู้ประกอบการคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของอุทยานฯ หากถูกจับได้ ต้องจัดการให้เด็ดขาด อย่าให้เอาเยี่ยงอย่าง เจ้าหน้าที่คนไหนทุจริตคอร์รัปชั่นต้องไล่ออกอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง นายทุนคนไหนรุกล้ำที่ทั้งทางบกทางทะเลต้องอย่าปล่อยไว้ แม้หลายคนจะใหญ่มากเป็น“ตอยักษ์”ไม่สามารถจัดการได้ก็ต้องหาลู่ทางทำให้สื่อ ให้สังคมรับรู้ เพื่อสกัดยับยั้งไม่ให้เชื้อชั่วขยายผล
ส่วนทางด้านผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ต้องไม่ทำมาหากินแบบละโมบ แต่เน้นที่ความยั่งยืนแทน และต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อบังคับต่างๆ รวมถึงช่วยดูและตักเตือนนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หลงทำผิดไปบ้าง
นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเรื่องของการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างบนอุทยานฯ จำกัดจำนวนคนดำน้ำในพื้นที่สุ่มเสี่ยงหลายจุด เป็นต้น
สำหรับเรื่องเหล่านี้แม้อาจดูฝันเฟื่อง เป็นอุดมคติ แต่อย่างน้อยการที่พวกเราโดยเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ทำอะไรบ้างในทางที่ช่วยให้ดีขึ้น
มันย่อมดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย
จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2554
เห็นด้วยครับเรื่องเพิ่มโทษคนละเมิดกฏปิดอุทยานให้หนักขึ้นไม่งั้นเดี๋ยวก็จะทำซ้ำอีกให้ดีเพิ่มโทษแบนเรือห้ามเข้าอุทยานไปเลยก็ดี(ได้มั้ยเนี่ย:confused:)
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะน้องเก่ง....:)
ครับแต่คงได้มาแต่ปะการังน้ำตื้นนะครับเพราะผมยังไม่ได้ว่างเรียนสกูบาซะทีรอบนี้เลยจะดำแบบฟรีสกินไปก่อน:D
ถ้าผลการเสวนาในวันนี้นำไปใช้จริงๆ....ผู้กระทำผิด นอกจากจะถูกปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังจะถูก Black List ห้ามเข้าอุทยาฯฯด้วยค่ะ...น้อง KENG@SK
ถ้าผลการเสวนาในวันนี้นำไปใช้จริงๆ....ผู้กระทำผิด นอกจากจะถูกปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังจะถูก Black List ห้ามเข้าอุทยาฯฯด้วยค่ะ...น้อง KENG@SK
ดีเลยครับแบบนี้คงมีคนแหกกฏน้อยลงเยอะเลย:)
แต่เรื่องเอาไปใช้ก็คงยากอีกตามเคย:(
"ตะรุเตา-เภตรา"จำกัดจุดดำน้ำ 70 บริษัทวุ่น-หวั่นลูกค้าทัวร์เคว้ง
http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/01/tou01290154p1.jpg
จากกรณีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศปิดเกาะเพื่อฟื้นฟูปะการังฟอกขาว ในอุทยานแห่งชาติทางทะเลด้านอ่าวไทยและอันดามัน 7 แห่ง ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะนักท่องเที่ยวและประชาชนเกิดความสับสน นักธุรกิจและผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ออกมาเคลื่อนไหวต่อกรณีการให้ข่าวดังกล่าวนั้น
นายเจตกร หวันสู ประธานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสตูล เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการร่วมประชุมกับอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เพื่อหารือให้การท่องเที่ยวของ จ.สตูล มีแนวโน้มและสอดคล้องกับกรมอุทยานฯ ที่มีนโยบายอย่างชัดเจนในเรื่องของการอนุรักษ์ปะการังฟอกขาว ดังนั้น ผู้ประกอบการทั้ง 70 บริษัททัวร์จะเริ่มนำนักท่องเที่ยวเพื่อเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่อุทยานฯตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะ พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการจะมีส่วนร่วมและประชาสัมพันธ์แนวปะการังใหม่ที่มีความสวยงามโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวแต่อย่างใดและยังเป็นการฟื้นฟูปะการังฟอกขาว
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวของ จ.สตูล ยังคงรวมตัวและเดินหน้าต่อไป เพราะขณะนี้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว จ.สตูล โดยจองที่พักรวมทั้งรีสอร์ตบนเกาะหลีเป๊ะไว้มากมาย ทำให้การท่องเที่ยวของสตูลมีบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก แม้จะมีข่าวปะการังฟอกขาว แต่การท่องเที่ยวของสตูลยังคงเดินหน้าต่อไป
นายปณพล ชีวเสรีชล ผู้ช่วยอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล กล่าวว่า จากการสำรวจของนักวิชาการพบว่า ปะการังในเขตอุทยานฯมีความเสียหาย 20% ส่วนอีก 80% ยังมีความสวยงาม และไม่มีการปิดเกาะ แต่ห้ามทำกิจกรรมดำน้ำบางจุดเท่านั้นคือ โซนเกาะหินงาม หาดทรายขาว เกาะดง ส่วนการขึ้นเกาะหรือไปเที่ยวบนเกาะยังทำได้ตามปกติ ส่วนแหล่งดำน้ำดูปะการังและดูปลาที่สวยงามนั้นยังมีอีกหลายสิบจุดที่ยังคงความสวยงามและมีปะการัง 7 สี ให้ชมอยู่ เช่น บริเวณแนวเกาะอาดัง ด้านทิศตะวันตกและตะวันออก ตรงอ่าวเรือใบ อ่าว 2 อ่าว 3 เป็นต้น บริเวณหน้าเกาะหลีเป๊ะ เกาะกระ เกาะไผ่ เกาะหินซ้อน แหล่งดูปะการังเหล่านี้มีความสวยงามมาก
"อยากเชิญชวนให้ไปเที่ยวเหมือนเดิม และที่ห้ามทำกิจกรรมดำน้ำบริเวณ 3 จุด เพื่อให้ปะการังฟอกขาวคือ ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ซึ่งเป็นปะการังน้ำตื้นฟื้นตัว ซึ่งขณะนี้ปะการังเหล่านั้นกำลังฟื้นตัวและงอกอยู่ ต้องมีการควบคุมจำกัดจุดดำน้ำ และเข้มงวดไม่ให้มีการไปเหยียบย่ำปะการัง ส่วนปะการังเจ็ดสีและปะการังน้ำลึกยังมีความสวยงามอยู่เหมือนเดิม" นายปณพลกล่าว
ด้านนายเทอดไทย ขวัญทอง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา กล่าวว่า ในส่วนของอุทยานฯเภตรางดดำน้ำ 2 จุด คือ เกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง หรือบริเวณกลุ่มเกาะหินขาว ซึ่งมีปะการังเจ็ดสีและกัลปังหาที่สวยงามมาก ขณะนี้ปะการังเหล่านี้ไม่ได้เสียหาย เสียหายแต่ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ซึ่งอยู่น้ำตื้นเท่านั้น และที่เสียหายมากที่เกาะบุโหลน หน้าเกาะบุโหลนไม้ไผ่ซึ่งเสียหายประมาณ 60% ส่วนที่อื่นไม่มาก ทางอุทยานฯไม่ได้ปิด แต่งดกิจกรรมดำน้ำบริเวณนั้น
ส่วนการท่องเที่ยวอื่นเที่ยวได้ตามปกติ ไม่ได้ปิดเกาะตามข่าว และจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวได้ ยังมีอีกหลายจุด อาทิ เกาะบุโหลนเล และที่เกาะลีดิ ปะการังยังสวยงาม ไม่ฟอกขาว สามารถไปเที่ยวได้ทั้งปี สะดวกทั้งน้ำไฟ และการเดินทางเพราะมีเรือให้บริการบริเวณที่ทำการอ่าวนุ่น ไปกลับคนละ 120 บาท
จาก ..................... ข่าวสด วันที่ 29 มกราคม 2554
sea addict
29-01-2011, 10:08
นายนพดล ทองเกิด ประธานชมรมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะพีพี จ.กระบี่ กล่าวถึงกรณีที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ ุ์พืช เตรียมที่จะปิดอุทยานบางแห่งในพื้นที่ฝั่งอันดามัน
ใครเห็นด้วยกับการให้สื่อเลิกใช้คำว่า "ปิดอุทยานฯ"ในการเสนอข่าวบ้าง ยกมือขึ้น
ผู้สื่อข่าวของสื่อบางสำนักที่ไม่เข้าใจมักใช้คำนี้ลงในสื่อของตัวเอง เพราะ มันใช้คำง่ายดี มันฟังดูยิ่งใหญ่ดี และเรียกความน่าสนใจจากผู้เสพสื่อ และประชาชนทั่วไปได้ดี และขณะเดียวกัน มันสร้างความเข้าใจผิด ความตื่นตระหนกและแรงต่อต้านจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างไม่สมควรแก่เหตุผล ทั้งยังส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างไม่อาจคาดเดาได้
การใช้คำว่า งดการดำน้ำในจุดดำน้ำบางแห่ง ของอุทยาน มันยาวกว่า ยากกว่า แต่ก็น่าจะทำให้ผู้ประกอบการที่เข้าใจและไม่หวังกอบโกยจากธรรมชาติ สบายใจมากขึ้นและอาจจะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่ต้องทำงานด้านนี้มากขึ้น เพราะเขารู้สึกว่ายังมีพื้นที่หากิน และนักท่องเที่ยวยังคงได้มาเที่ยวชม
ถึงตอนนี้ผมยังไม่แน่ใจว่า ระหว่างการออกมาตรการของรัฐ กับการให้ข่าวของสื่ออะไรจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนมากกว่ากัน
เรื่องการใช้คำว่า "ปิดอุทยาน" ที่หนังสือพิมพ์โปรยหัวตัวเป้งไว้นั้น ได้ไปขึ้นพูดในเวทีเสวนาเรื่อง "ระดมความคิดแก้วิกฤตปะการัง" ไว้ว่า มีผลกระทบต่อจิตใจของนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวทางทะเล และผู้ประกอบการมาก ก่อให้เกิดความตกใจ สับสน นึกว่าอุทยานฯ ถูกปิดทั้งหมด (เสียงก่นด่าเลยตามมา)
เห็นด้วยกับน้องsea addict ค่ะ.....เปลี่ยนคำพูดซะใหม่ดีกว่า ไม่อย่างนั้น ใจจะวายกันหมด
เมื่อวานนี้ ถ้าจำไม่ผิด ดร.เนะก็ได้กล่าวเตือนสื่อไปแล้วในเรื่องการใช้คำและการนำเสนอข้อมูลเนื้อหาข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสื่อเข้าใจผิด
Super_Srinuanray
29-01-2011, 22:24
น้องก็เห็นด้วยสำหรับการนำเสนอของสื่อค่ะ คำบางคำสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ สักแต่ใช้โปรยหัวข่าวเพื่อเรียกร้องความน่าสนใจของข่าว ในทางกลับกัน กลับเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองแท้ๆๆ
แล้วอย่างนี้เมื่อไรเศรษฐกิจจะฟื้น และต้องเสียเงินประชาสัมพันธ์ กันอีกเท่าไรเพื่อให้เมืองไทยเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว
ไม่ใช่ไม่สนับสนุนการอนุรักษ์นะคะ แต่อยากให้การอนุรักษ์ใต้ท้องทะเลเป็นจุดดึงดูดให้คนที่สนใจว่า เมืองไทยทำอย่างไรกับแนวปะการังที่เสียหาย ให้ฟื้นกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว
คิดว่าคงจะไม่สายเกินไปนะคะ...
คุมเข้มปะการังฟอกขาว
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ หอมช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ได้สั่งการให้สั่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯ นำเรือตรวจการณ์ออกไปลอยลำในทะเลอันดามัน เพื่อเฝ้าระวังแหล่งปะการังฟอกขาวในเขตพื้นที่เกาะตะรุเตา ที่มีเนื้อที่กว่า 9.9 แสนไร่ โดยเฉพาะที่บริเวณหาดทรายขาว เกาะหินงาม เกาะดง และเกาะตะเกียง เพื่อป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยว ลักลอบแอบลงไปดำน้ำดูปะการังบริเวณพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปะการังฟอกขาว
แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางลงไปเที่ยวชมบรรยากาศตามเกาะต่างๆ แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าเป็นพื้นที่งดกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว งดนำนักท่องเที่ยวมาดำน้ำดูปะการัง เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัว.
จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 29 มกราคม 2554
ดีใจที่เริ่มเห็นการเฝ้าระวังติดตามผลตามมาบ้างแล้วครับ .. หวังว่าจะไม่ใช่ช่วงต้นๆเท่านั้นนะครับที่ช่วยกันตรวจตราสอดส่องแบบนี้
เห็นด้วยเช่นกันที่บทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้นน่าจะทำให้การควบคุมดูแลมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้บ้าง แต่ก็จะเป็นจะต้องได้ความร่วมไม้ร่วมมือจากผู้ปฏิบัติและผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย ไม่อย่างนั้นกฎหมายแรงแค่ไหนก็ไร้ผลครับ ..
....เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่แล้วไปดำน้ำที่บริเวณช่องแสมสาร จ.ชลบุรี...พบปะการังขาวประมาณ 40 % ของปะการัง...หลังจากติดธุระไม่ค่อยได้ไป....เมื่อวานนี้ไปดำน้ำมา...ไม่น่าเชื่อไม่พบปะการังฟอกขาวเลยและพบปะการังอ่อนขึ้นเป็นจำนวนมาก..สวยงามมาก...ขอบคุณธรรมชาติ....ถามเพื่อนฝูงที่ไปประจำเล่าให้ฟังว่า..หลังจากที่อากาศเริ่มเย็นลงปะการังฟอกขาวก็ค่อยๆหายไป...ก็ขอขอบคุณธรรมชาติอีกครั้งหนึ่ง....
ดีใจที่ได้ยินรายงานจากน้องนาย....ขอบคุณมากๆค่ะ...
ปะการังด้านอ่าวไทยโชคดีกว่าทางอันดามันมาก เพราะเสียหายน้อยกว่าและฟื้นตัวได้เร็วมาก อาจจะเป็นเพราะทั้งน้ำเย็นเร็วกว่า และถูกรบกวนน้อยกว่าด้วย เปอร์เซนต์การรอดชีวิตจึงมากกว่านะคะ
เสนอนายกฯ แก้ทั้งระบบ ‘ปะการังขาว’
นักวิชาการเข้าพบนายกฯ เสนอแผนฉุกเฉินฟื้นฟูปะการังในระยะเร่งด่วน เรียกร้องให้ผลักดันแผนยุทธศาสตร์การจัดการแนวปะการังในประเทศไทยผ่านบอร์ดสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เผยปัญหาปะการังฟอกขาวในปีนี้ไม่รุนแรง
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการประการัง อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนและกลุ่มนักวิชาการจากหลายองค์กรอนุรักษ์ทะเลไทยได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาแนวปะการังตายจำนวนมากจากปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว มีข้อเสนอ คือ แผนฉุกเฉินเพื่อคุ้มครองและฟื้นฟูแนวปะการังในเขตทะเลฝั่งอันดามันและอ่าว ไทย ประกอบด้วย
1.ลดผลกระทบปะการังเสียหายอันเกิดจากกิจกรรมท่องเที่ยวดำน้ำ
2.ปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายและทำลายทรัพยากรอย่างรุนแรง
3.ป้องกันน้ำเสียจากเรือและสถานประกอบการที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล และ
4.ป้องกันตะกอนดินที่ไหลจากภูเขาลงมาทับถมปะการังเสียหาย
ผศ.ดร.ธรณ์ระบุว่า นอกจากเสนอแผนฉุกเฉินให้รัฐบาลนำไปดำเนินงานแล้ว ยังเสนอนายกรัฐมนตรีให้ช่วยเร่งผลักดันแผนยุทธศาสตร์และปฏิบัติการจัดการแนวปะการังในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ เพราะเรื่องยังค้างอยู่ที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นักวิชาการต้องการให้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ แผนดังกล่าวจะช่วยอนุรักษ์และคุ้มครองแนวปะการังได้อย่างยั่งยืน โดยนายกฯให้ความสนใจปัญหานี้ และพร้อมผลักดันแผนเร่งด่วนและแผนระยะยาวให้เกิดขึ้นสำเร็จ
"ส่วนการปิดพื้นที่ดำน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลบางส่วนไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ เพราะผู้ประกอบการเข้าใจสถานการณ์และพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แต่หากมีการลักลอบเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม หัวหน้าอุทยานแห่งชาตินั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบ" นายธรณ์กล่าว
นักวิชาการผู้นี้แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ปะการังฟอกขาวในปีนี้จะไม่รุนแรงเหมือนปีที่ผ่านมา แต่จะปิดพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นระยะเวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของแนวปะการัง ทั้งนี้ สิ่งที่นักวิชาการเรียกร้องมาตลอด แต่ภาครัฐไม่เคยสนใจ คือ การสำรวจสภาพแนวปะการังตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีการติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา
อาจารย์ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง นักวิจัยทะเลอันดามัน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาปะการังฟอกขาวและเสียหายจะไม่หนักเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปะการัง ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดนั้นสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี และอุณหภูมิน้ำทะเลก็จะไม่ร้อนจัดเหมือนปีก่อน ส่วนการแก้ปัญหาของกรมอุทยานแห่งชาติฯนั้นถือว่าล่าช้ามาก และไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล จึงไม่ทราบว่าเกิดปัญหาปะการังฟอกขาว ขอให้ฝึกอบรมหรือเปิดรับเจ้าหน้าที่ ผู้มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเข้ามาประจำพื้นที่อย่างเร่งด่วน
นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการจับกุมผู้ฝ่าฝืนเข้าไปดำน้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งอยู่ระหว่างการประกาศปิดพื้นที่บางส่วนห้ามใช้ประโยชน์ในกิจกรรมท่องเที่ยว ขอยืนยันว่ากรมบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แม้ว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเข้าไปดำน้ำในเขตหวงห้าม เพราะไม่ทราบข้อมูล จึงได้ตักเตือน และหากพบผู้ฝ่าฝืนก็ให้เจ้าหน้าที่จับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมาย.
จาก .................. ไทยโพสต์ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554
เราคงจะต้องรอดูกันต่อไปนะครับ ว่าแผนที่เสนอจะทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงไร ..
angel frog
02-02-2011, 09:04
ทำไมนึกถึงหน้งเรื่องLord of the ringก็ไม่รู้ .......
เมื่ออำนาจ อยู่ในมือ ก็สามารถบันดาล หรือพลิกผัน ทุกอย่าง ได้ ..จริง รึ
กรมอุทยานฯ แจงแนวทางเร่งฟื้นฟูปะการังคืนระบบนิเวศสมดุล
ตามที่กรมอุทยานแห่งชาติทางทะเลได้ประกาศปิดอุทยานฯบางจุดเพื่อเร่งฟื้นฟูปะการังไปแล้วนั้น นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กล่าวชี้แจงสาเหตุว่า “การเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามแนวปะการังทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามันที่ส่งผลให้ระบบนิเวศทางทะเลเสียสมดุล ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ปรากฏการณ์แอลนิลโญ อุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลง รังสีจากดวงอาทิตย์ การถูกแดด-ลมฝนกระทำตะกอนและความขุ่นของน้ำทะเล น้ำจืดเข้ามาปะปนน้ำทะเล สภาพสารและธาตุอาหารในน้ำทะเล สารเคมีหรือสารชีวภาพที่มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวันและเชื้อโรค แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้ เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยอุณหภูมิน้ำในทะเลสูงขึ้นประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส หรือผลจากความเข้มของแสงหรือสองปัจจัยนี้ร่วมกันส่งผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลี ที่อาศัยอยู่ในปะการังทนไม่ได้ และหนีออกมาจากปะการัง ทำให้ปะการังกลายเป็นสีขาวไม่มีสีสัน คล้ายหินปูน เมื่อเกิดการฟอกขาวแล้ว ปะการังจะยังไม่ตายในทันที แต่จะอ่อนแอ และมีชีวิตอยู่ได้อีก 2-3 สัปดาห์ หากอุณหภูมิน้ำทะเลหรือสภาพแวดล้อมกลับคืนสู่สภาพปกติ ปะการังจะสามารถปรับสภาพและฟื้นตัวได้
ดังนั้นพื้นที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ควรลดหรืองดกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล เพื่อช่วยลดมลพิษที่จะถูกปล่อยลงสู่ทะเล และให้เวลาปะการังในการฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมอีก ทั้งนี้การปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามัน อาจมีผลกระทบกับหลายฝ่ายอย่างแน่นอน แต่เพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้จากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเลจำเป็นที่จะงดกิจกรรมดำน้ำในเขตที่เกิดปรากฏการณ์ที่ มีบริเวณกว้างเกินร้อยละ 80 ของพื้นที่ เพื่อให้ปะการังได้ฟื้นตัว และมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ อีกทั้งเพิ่มความเข้มข้นในการออกตรวจปราบปรามการลักลอบทำการประมงในเขต อุทยานฯ เพิ่มจำนวนเปลี่ยนจุดวางทุ่น หรือซ่อมบำรุงทุ่นจอดเรือ เพื่อลดการทิ้งสมอในแนวปะการัง เฝ้าระวังรักษาแนวปะการังที่มีความสามารถทนทานสภาวะฟอกขาวให้เป็นแหล่งกระจายตัวอ่อนปะการังตามธรรมชาติ ให้ข้อมูลข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ ผู้ประกอบการ และชุมชนชาวมอร์แกนรับทราบถึงสถานการณ์และสร้างความร่วมมือในการลดผลกระทบ รณรงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวตลอดจนเยาวชนและประชาชนทั่วไปในการท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯอย่างมีจิตสำนึก เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดภาวะโลกร้อนต่อไป ซึ่งในอนาคตพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันจะมีการเสนอเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติต่อไป
จาก .................. บ้านเมือง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554
อุทยานหมู่เกาะช้างปิด 3 เกาะ ฟื้นฟูปะการัง
http://www.khaosod.co.th/online/2011/02/12985005831298500735.jpg
เมื่อ 23 ก.พ. นายเฉลิม กลิ่นนิ่มนวล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง ว่าขณะนี้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างได้แจ้งการปิดเกาะทองหลาง เกาะกระ และเกาะเทียน ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังอยู่ใกล้เกาะรัง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เป็นต้นไป โดยไม่มีกำหนดเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชม
การปิดเกาะกระ เกาะทองหลางและเกาะเทียนดังกล่าว เป็นมติของกรมอุทยานแห่งชาติให้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างดำเนินการปิด เนื่องจากแนวปะการังเกิดการฟอกขาวและตายไปกว่า 90% แล้วจากภาวะโลกร้อน การปิดเกาะดังกล่าวเพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการังไปรบกวน เพื่อให้แนวปะการังมีโอกาสได้พักฟื้น
http://www.khaosod.co.th/online/2011/02/12985005831298500745.jpg
นายเฉลิมกล่าวต่อว่าการปิดดังกล่าวเพียงแต่แจ้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนราชการ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและดำน้ำไปบางส่วนเท่านั้น ซึ่งจะได้ทำประกาศแจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง สำหรับรายละเอียดการปิด นายเฉลิมบอกว่าได้วางแนวทุนกันบริเวณเกาะดังกล่าวไว้แล้ว โดยห้ามเรือนำเที่ยวรวมทั้งเรือประมงเข้าไปในบริเวณดังกล่าวโดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนจะใช้กฎหมายอุทยานดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดต่อไป
นอกจากนี้จังหวัดตราด โดยนางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด อนุมัติงบประมาณจำนวน 4 ล้านบาท สำหรับทำทุ่นซิเมนต์ขนาด 40 ตัน 41 ทุ่น ทุ่นขนาด 5 ตัน 18 ทุ่น สำหรับวางแนวรอบเกาะดังกล่าวให้เป็นทุ่นผูกเรือ ขณะนี้กำลังเตรียมทุ่นดังกล่าว และจะนำทุ่นไปทำการติดตั้งในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ ดังนั้นจึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทราบ ว่าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างสั่งปิดเกาะเทียน เกาะกระและเกาะทองหลางแล้วเริ่มตั้งเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป โดยยังไม่มีกำหนดเปิดให้เข้าชมแต่อย่างไร
จาก .................. ข่าวสด วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554
chickykai
24-02-2011, 09:23
ตอนนี้ทางตะรุเตาออกข่าวมาแล้วว่าปะการังฟอกขาวที่นั่นฟื้นสภาพแล้วเกือบ 100%
สงสัยว่าจะผลักดันให้ยกเลิกการประกาศปิดจุดดำน้ำแถวนั้นนะคะ
คงต้องรอสมาชิก sos ไปอันดามันใต้ (ไม่ทราบว่าไปถึงแถวนั้นมั้ย) ไปดูกับตาว่าฟื้นแล้วจริงๆหรือเปล่า หรือแค่ราคาคุยนะคะ
ไปถึงอาดัง-ราวี แน่นอนค่ะ ถ้าดินฟ้าอากาศเป็นใจ....
ใต้ทะเลอันดามันเหนือ นั้น ที่ฟอกขาวตายไปเกือบหมด ส่วนที่เหลือก็เริ่มฟื้นตัวสวยงามมากๆ ปลาเล็กๆมากมาย ดูแล้วชื่นใจ ส่วนอันดามันใต้ ถ้าเป็นอย่างเขาว่า ก็น่าจะสวยเช่นกัน....
ผู้ประกอบการ 150 รายลงมติใช้กฎบ้านปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังเพิ่ม 4 เดือน
ตราด - ผู้ประกอบการธุรกิจเกาะช้าง 150 ราย ลงมติใช้กฎบ้านปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังเพิ่ม 4 เดือน ประกาศพร้อมรับรายได้หด ชี้ตราดใช้กฎบ้านห้ามมี “เจ็ตสกีบานาน่าโบต” ได้ผล จี้ประมงตราดจับกุมเรือประมงเรือนำเที่ยวเข้มหากเข้าทำประมงในพื้นที่
ความคืบหน้าจากกรณีอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อ.เกาะช้าง จ.ตราด ได้ทำการปิดแหล่งดำน้ำดูปะการังในหมู่เกาะช้างจำนวน 3 เกาะคือ เกาะกระ เกาะทองหลาง และเกาะเทียน เนื่องจากปะการังได้รับความเสียหายมากนั้น
นางสาวจารุวรรณ จินตกานนท์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ตราด เปิดเผยว่า การปิดแหล่งดำน้ำดูปะการัง 3 เกาะ ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างนั้น เป็นการปิดโดยใช้กฎหมายบังคับให้ปิด ทั้งนี้ เพราะปะการังทั้ง 3 เกาะนั้น เป็นแหล่งดำน้ำสำคัญของหมู่เกาะช้างได้รับความเสียหายมากจนต้องได้รับการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน หากไม่ปิดปะการังจะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ซึ่งสมาคมเห็นด้วย
นอกจากนี้ ได้ออกไปสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งในเกาะช้าง เกาะกูด และเกาะหมาก ทั้งหมดเห็นด้วย และพร้อมเสียสละรายได้ที่จะได้จากการนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำดูปะการังไปตลอด 4 เดือน (มิถุนายน-กันยายน)
“แต่สมาคมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้งหมดที่ร่วมประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2553 ไม่ต้องการให้ปิดเพียง 3 เกาะ แต่จะใช้กฎบ้านที่เป็นมติของพวกเราทั้งหมด ปิดหมู่เกาะรัง ที่เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังสำคัญที่สุดของหมู่เกาะช้างต้องปิดด้วย เป็นเวลา 4 เดือน เพื่อให้ปะการังได้รับการฟื้นฟู เพราะที่ผ่านมาปะการัง ถูกปรากฏการณ์ลานีญาทำลายไปกว่า 60% ที่เหลืออยู่ แม้รอดแต่ก็อยู่ในอาการสาหัส หากผู้ประกอบธุรกิจยังนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำอีกทั้งหมดจะตายหมด และไม่สามารถฟื้นฟูได้อีกต่อไป”
นายกสมาคมกล่าวว่า สิ่งที่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะช้างมีมติร่วมกัน คือ เป็นกฎบ้านที่ดีกว่ากฎหมาย และทุกคนทำเพื่อปกป้องปะการัง ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวก็ใช้กฎบ้านไม่ให้มีการนำเจ็ตสกีและบานาน่าโบตเข้ามาในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง รวมทั้งเกาะหมากและเกาะกูด ซึ่งได้ผลดี และยังเป็นกฎบ้านที่ศักดิสิทธิ์และมีผลทางปฏิบัติมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
นางสาวจารุวรรณยังบอกอีกว่า สำหรับการฟื้นฟูปะการัง สมาคมมีโครงการสร้างปะการังใต้น้ำในชื่อ “ช้างแห่งสยามเพื่อทะเลไทย” โดยจะปั้นช้างจำนวน 9 ตัว 8 ตัว จะทิ้งลงไปในแหล่งดำน้ำดูปะการังที่เสื่อมโทรม อีก 1 ตัว จะทำการทิ้งลงทะเลในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 นี้ ซึ่งจะทำโครงการเพื่อเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษาของในหลวง ขณะนี้มีภาคเอกชน 2-3 ราย เข้ามาสนับสนุนโครงการแล้ว แต่จะนำเสนอรายละเอียดต่อไป แต่หากทำโครงการนี้ได้จะส่งผลดีต่อทะเล จ.ตราดมาก และจะเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวของ จ.ตราด ที่ยิ่งใหญ่ เพราะนักดำน้ำดูปะการังจะเห็นความสวยงามของทั้งปะการัง, สัตว์น้ำ และช้างทั้ง 9 ตัว ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำด้วย
จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554
"สตูล" หนุนงบอุทยานฯ 1ล้าน ทำทุ่นจอดเรือ ป้องกันปะการัง
สตูล:ว่าที่ร้อยเอกไพโรจน์ หอมช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล เปิดเผยว่า จ.สตูล ได้อนุมัติงบประมาณ 1,600,000 บาท ให้กับอุทยานแห่งชาติตะรุเตา เพื่อนำไปจัดทำทุ่นสีขาว เป็นทุ่นแสดงพื้นที่จอดเรือให้พื้นที่ 3 จุด ที่อยู่ห่างจากที่มีปะการัง ทั้ง 3 จุดคือบริเวณ 1. เกาะหลีเป๊ะ 2.บริเวณหาดทรายขาว 3. บริเวณอ่าวเรือใบ เพื่อจัดระเบียบที่จอดเรือให้เรียบร้อย
สำหรับพื้นที่การเกิดปะการังฟอกขาว ทั้ง 4 จุด กำลังฟื้นตัวเร็ว หลังเจ้าหน้าที่อุทยานฯสำรวจพบการฟื้นตัว เกิดจากสภาพอุภูมิใต้ทะเลมีน้ำทะเลไหลแรง และผู้ประกอบท่องเที่ยวให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยขณะนี้ปะการังฟื้นตัวแล้วกว่า 70%
ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เร่งปราบปรามเรือประมงอวนลากที่ฝ่าฝืนเข้ามาในพื้นที่หวงห้าม โดยทางกรมเป็นห่วงปะการังในท้องทะเล หวั่นอาจถูกทำลายจากเรือประมงอวนลากและนักท่องเที่ยวให้อาหารปลา ซึ่งเป็นการเกิดปะการังฟอกขาวขึ้นมา ละการเกิดปะการังฟอกขาวอีกหนึ่งสาเหตุ คือรีสอร์ท บนเกาะทิ้งน้ำเสียลงทะเล ทางกรมจึงเร่งให้อุทยานฯในพื้นที่เร่งจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน
จาก .................. แนวหน้า วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554
อยากปรบมือดังๆให้กลุ่มผู้ประกอบการเกาะช้างครับ ที่เสนอและลงมติร่วมกันให้ปิดแหล่งดำน้ำเพิ่ม ถึงแม้ว่าภาครัฐเองจะไม่ได้ประกาศปิดก็ตาม ..
เห็นข่าวที่สตูลปะการังฟื้นตัวเร็วสุดขีดก็ดีใจ(หาย) ปะการังเมืองไทยทั้งอึดทั้งเก่งจริงๆครับ
อ่านข่าวว่าปะการังแถวสตูลบางส่วนฟื้นกลับมาเร็วเกินคาดแล้วดีใจจริงๆครับ
ไม่งั้นหน้าร้อนนี้คงแย่แน่เพราะขนาดตอนนี้ยังไป30องศาไปแล้วหวังว่าพวกที่ฟื้นจะผ่านกันได้;)
'หมู่เกาะช้าง' ปิด 3 เกาะ เว้นวรรคดำน้ำดูปะการัง
http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/03/col02010354p1.jpg
สําหรับในประเทศไทย ปัญหาปะการังฟอกขาว ถือเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติ และหน่วยงานทุกภาคส่วนก็เร่งหาทางแก้ปัญหากันแล้ว
โดยวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือการปิดเกาะ ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าชม และที่มีคำสั่งลงไปแล้ว ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก, อุทยานแห่งชาติเกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง, อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง, อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว, อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี, อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา โดยเริ่มห้ามมาตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา
http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/03/col02010354p2.jpg
ล่าสุดมีคำสั่งเพิ่มเติมอีก 3 เกาะ ในหมู่เกาะช้าง ได้แก่ เกาะทองหลาง เกาะกระ และเกาะเทียน ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังอยู่ใกล้เกาะรัง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เริ่มปิดตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป
สำหรับเรื่องนี้ นายเฉลิม กลิ่นนิ่มนวล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เปิดเผยว่า การปิดเกาะกระ เกาะทองหลาง และเกาะเทียน ดังกล่าว เป็นมติของกรมอุทยานแห่งชาติ ให้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างดำเนินการปิดเนื่องจากแนวปะการังเกิดการฟอกขาวและตายไปกว่า 90% แล้วจากภาวะโลกร้อน
ส่วนเกาะรังยังดำน้ำชมปะการังได้ตามปกติ
สําหรับรายละเอียดการปิดเกาะ ทางอุทยานได้วางแนวทุ่นกันบริเวณเกาะดังกล่าวไว้แล้ว โดยห้ามเรือนำเที่ยวรวมทั้งเรือประมงเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
นอกจากนี้ จังหวัดตราด โดยนางสาวเบญจวรรณ อ่านเปรื่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด อนุมัติงบประมาณจำนวน 4 ล้านบาท สำหรับทำทุ่นซีเมนต์ขนาด 10 ตัน 41 ทุ่น ทุ่นขนาด 5 ตัน 18 ทุ่น สำหรับวางแนวรอบเกาะดังกล่าวให้เป็นทุ่นผูกเรือ ขณะนี้กำลังเตรียมทุ่นดังกล่าวเสร็จแล้ว และจะนำทุ่นไปติดตั้งในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
นางสาวจารุวรรณ จินตกานนท์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราด กล่าวว่า การประชุมของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราดที่ผ่านมาว่า จังหวัดตราดมีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ในช่วงฤดูฝนนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมหมู่เกาะ ตกปลา ตกหมึก เที่ยวน้ำตก ชมธรรมชาติบนเกาะได้ตลอดทั้งปี ทั้งเกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก ดังนั้น จึงคาดว่าการปิดเกาะดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวมากนัก
สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดตราดเห็นด้วยกับการปิดเกาะทั้งสามเกาะ เพราะจะทำให้ปะการังได้มีโอกาสฟื้นตัว
จาก ....................... ข่าวสด วันที่ 1 มีนาคม 2554
เกาะสุรินทร์...เมื่อสิ้นคำสั่งปิดเกาะ ................... โดย คมฉาน ตะวันฉาย
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/04/images/news_img_380310_4.jpg
ก่อนหน้าเกิดสึนามิ ผมมีโอกาสไปดำดิ่งทิ้งตัวลงใต้น้ำที่หมู่เกาะสุรินทร์บ้าง กองหินริเชริว กองหินแพ แต่ไม่บ่อยครั้งเท่าที่หมู่เกาะสิมิลัน
ที่หมู่เกาะสุรินทร์ แค่เอาหน้าจุ่มลงไปใต้ผิวน้ำ ไม่ต้องมีเครื่องเคราอุปกรณ์ดำน้ำลึกให้เกะกะ สวรรค์ใต้ผืนน้ำก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่นี่จึงขึ้นชื่อในเรื่องของการเป็นแหล่งดำน้ำตื้นที่สุดยอดของบ้านเรา น้ำทะเลใสราวตู้ปลา ปะการังใต้ทะเลส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มปะการังโครงสร้างแข็ง เช่นพวกเขากวาง ปะการังโต๊ะ กลุ่มผักกาด หรือพวกโขดทั้งหลาย จะสมบูรณ์มาก ไม่อาจเรียกว่าแนวปะการัง แต่ควรเรียกว่า "ป่าปะการัง" มากกว่า เพราะปะการังจะเป็นพรืดเหมือนสนามหญ้า มองเห็นใต้น้ำจนสุดตา
เมื่อมีปะการังก็ย่อมมีปลา ปลาน้อยใหญ่หากินกันตามแนวปะการัง เสียงปลานกแก้วตอดกินปะการังได้ยินจากใต้น้ำชัดเจน แม้แนวปะการังจะตื้นแต่ก็เห็นกุ้งมังกรหนวดยาวซ่อนตัวตามโพรงปะการัง ปลาไหลมอร์เรย์โผล่หัวออกมาจากซอกกองหินอ้าปากพะงาบๆ ฯลฯ เหล่านี้คือประสบการณ์ที่สุดประทับใจ
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/04/images/news_img_380310_1.jpg
แต่หลังจากสึนามิ ผมไม่มีโอกาสได้ไปเยือนหมู่เกาะสุรินทร์อีกเลย ได้แต่ถามไถ่จากมิตรสหายว่าสภาพปะการังเป็นอย่างไรบ้าง ลำพังปะการังน้ำลึกผมไม่ค่อยห่วง แต่ปะการังน้ำตื้นคงมีผลกระทบเหมือนกัน แต่อะไรก็ไม่หนักหนาเท่ากับการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว ที่เป็นผลมาจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่ร้อนขึ้น แล้วตัวปะการังที่อยู่ในช่องเล็กๆในโครงสร้างหินปูนทั้งหลายก็จะตาย ยิ่งร้อนนาน ยิ่งตายมาก เหลือแต่โครงสร้างหินปูนสีขาว
นานเข้าก็จะมีตะไคร่มีตะกอนมาเกาะเป็นสีดำไปในที่สุด ซึ่งในแวดวงคนดำน้ำหรือคนที่สนใจเรื่องทางทะเลรับรู้ปรากฏการณ์นี้กันมานานแล้ว พูดตามตรงว่าสำหรับเรื่องนี้ เราทำอะไรแทบไม่ได้เลย เหมือนต้องศิโรราบต่อปัญหานี้ก็ว่าได้ จนกระทั่งกรมอุทยานฯมีคำสั่งปิดบางส่วนของเกาะต่างๆทางทะเลอันดามัน รวมทั้งหมู่เกาะสุรินทร์ด้วย
สิ่งหนึ่งที่ตามมาทันทีคือ บรรดาผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเลทั้งหลาย ทั้งกิจการดำน้ำ เรือทัวร์ แม้กระทั่งโรงแรมที่พัก ได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่ว เรียกว่าปีนี้ภาคใต้โดนไปหนัก ตั้งแต่น้ำท่วมอย่างยืดเยื้อ โดนลมปากของหมอดูว่าจะเกิดสึนามิ นี่ยังไม่นับรวมความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ที่ยังคงระอุอยู่ เพียงแค่นี้ก็แทบปิดฝาโลงเรื่องท่องเที่ยวภาคใต้ได้แล้ว อันนี้ก็เห็นใจอยู่
ต้องยอมรับกันว่าผู้ประกอบการเองก็มีส่วนทำร้ายทะเล ไม่ว่าจะเป็นการแอบดำน้ำลงไปน็อคปลาสวยงาม รวมทั้งปะการังอ่อนทั้งหลายส่งขายกรุงเทพ การให้อาหารปลา การส่งเสริมการขายอาหารปลาแก่นักท่องเที่ยว การทิ้งสมอนอกเขตทุ่น การแอบปล่อยน้ำเสียจากเรือ บางทีเลวร้ายแอบปล่อยน้ำมันเครื่องลงทะเลก็มี
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/04/images/news_img_380310_2.jpg
ส่วนผู้ประกอบการดำน้ำก็แย่งกันสอนนักดำน้ำ 3 วัน แล้วขายทัวร์ดำน้ำให้นักเรียนใหม่เลยลงไปใต้น้ำ ปลายตีนกบก็ไปปาดปะการังอ่อน ดอกไม้ทะเล เคยเห็นนักดำน้ำมือใหม่ลงไปนั่งทับกองปะการังเพราะยังปรับสภาพสมดุลใต้น้ำไม่เก่ง เรือดำน้ำสิบๆลำ ปล่อยนักดำน้ำลงจุดเดียวทั้งหมด เรียกว่ามองไปใต้น้ำเห็นแต่นักดำน้ำเกลื่อนไปหมด แล้วก็มักจัดโปรแกรมแบบเรียกแขกวันเดียวดำกันตั้ง 5 ไดรฟ์ กลางคืนยังลงดำเลย ยังมีพฤติกรรมอีกมากมายที่ผู้ประกอบการณ์เองก็เป็นผู้ลงมือทำ "ปู้ยี่ปู้ยำทะเล" เรียกว่าตอนนั้น "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" จริงๆ
พอกรมอุทยานฯประกาศปิดเกาะ ผมจึงทั้งเห็นใจและสาแก่ใจอยู่บ้าง แต่เอาเถอะเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ป่วยการจะมาว่ากัน เราไม่อาจทำให้อุณหภูมิของโลกลดลงเองได้ แต่เราสามารถลดผลกระทบที่เกิดจากการกระทำของเราได้ วันนี้คงต้องช่วยกันจริงๆ ไม่ต้องมาเรียกร้องให้ทางรัฐทำอย่างนั้นอย่างนี้ให้
ท่านต้องรวมตัวกันแล้วทำเพื่อทะเลจริงๆเสียที เห็นว่ามีเรือประมงแอบลากปลาในเขตที่ปิดเกาะ ท่านก็ต้องเอาธุระ ไปแจ้งไปตามเจ้าหน้าที่มาจับ กัดให้ติดแบบกลุ่มกรีนพีซที่เขาขัดขวางการล่าวาฬของญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่โทรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ส่วนเขาจะมาทำอะไรหรือไม่ก็หมดธุระ แค่นั้นไม่ได้ ต้องทำอะไรมากกว่าการมาเรียกร้องนั่นเรียกร้องนี่ เพราะนั่นจะพิสูจน์ว่าท่านเอาใจใส่หม้อข้าวท่านจริงหรือเปล่า
http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/03/04/images/news_img_380310_3.jpg
ส่วนนักท่องเที่ยวแบบเราๆท่านๆ แม้จะมีบางส่วนที่เขาปิดเพื่อทดลองดูการฟื้นตัวของปะการัง แต่ก็ยังมีหลายส่วนที่ยังคงความงามไม่เสื่อมคลาย อย่างที่หมู่เกาะสุรินทร์ที่ ผมได้มีโอกาสลงไปดูสภาพใต้ทะเลเร็วๆนี้ ปะการังหลายๆที่อย่างอ่าวสับปะรด อ่าวผักกาด หินแพ ปะการังมีลักษณะหัก พัง แบบราพณาสูรมาตั้งแต่คราวสึนามิ แต่น้ำทะเลที่ใสจึงยังมีปลาทะเลน้อยใหญ่มาให้เห็น แม้ไม่มากดั่งแต่ก่อน ใต้น้ำอาจจะด้อยลงไปบ้างแต่สภาพทิวทัศน์ หาดทรายที่สวยงาม สะอาด ยังเป็นมนต์เสน่ห์ของหมู่เกาะสุรินทร์
ทั้งที่อ่าวช่องขาดหรือที่อ่าวไม้งาม แม้จะเป็นวันธรรมดาก็ยังเห็นนักท่องเที่ยวหนาตา ฝรั่งมังค่ามากางเต็นท์กันเป็นเดือนเพราะหลงใหลทะเลบ้านเรา แม้ใต้ทะเลจะถูกปิดบางส่วน แต่ความเป็นหมู่เกาะสุรินทร์ยังคงสวยงาม ไม่ผิดหวัง ยังคงขายได้และยังน่าไปเยือนอยู่เสมอ มีโอกาสลองไปดูครับ แล้วจะภาคภูมิใจกับประเทศชาติของเรา
อย่าไปจมปลักกับสิ่งที่มันผ่านมาแล้ว โดยเฉพาะกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่ให้มองไปข้างหน้า แล้วเอาปรากฏการณ์ครั้งนี้มาเป็นบทเรียนว่าต่อไป เราจะใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างทะนุถนอม ไม่ใช่เป็นลักษณะ “ทึ้ง” ทะเลอย่างที่เคยเป็นมา เรียกร้องคนอื่นให้น้อยลง เรียกร้องตัวเองให้มากขึ้น และอย่าดูดายคิดว่าธุระไม่ใช่ เพราะบทเรียนครั้งนี้มันสอนอะไรหลายๆอย่างให้เราแล้ว
ส่วนคนที่มีหน้าที่ฟื้นฟูก็เร่งทำและทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่หาเรื่องเอางบประมาณมายังชีพเล่น มีโอกาสได้ทำแล้วก็ฝากชื่อให้แผ่นดินเถอะครับ ทำดีให้ที่อื่นๆยังทำได้ ที่นี่บ้านเรา...ประเทศเรานะครับ
จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 6 มีนาคม 2554
Kungkings
07-03-2011, 09:07
คุณคมฉาน เขียนได้ตรงใจมากๆ เลยคะ ขอบคุณพี่สองสายสำหรับข่าวสารดีๆ คะ
ใช่ค่ะ....พูดได้โดนใจจริงๆ....เหมือนที่สายชลได้เคยพูดไปเป๊ะเลย...
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.