PDA

View Full Version : แมงดาทะเล


สายน้ำ
02-03-2011, 08:07
แมงดาทะเล

http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2011/03/you02020354p1.jpg


เกี่ยวกับแมงดาทะเล ผศ.ดร.ผ่องศรี ทิพวังโกศล อาจารย์ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อรรถาธิบายไว้ดังนี้ มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พบหนูน้อยวัย 8 ขวบ กินไข่แมงดาเสียชีวิต สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับผู้พิสมัยเมนูไข่แมงดายำ แต่ก็มีข้อถกเถียงกันอยู่มากมายว่า บางคนกินแมงดาทะเลมาเป็นเวลาเกือบสิบกว่าปีทำไมไม่ตาย จากประสบการณ์ที่เล่าต่อกันมาว่าวิธีการกินแมงดาทะเลให้ปลอดภัยคือ ต้องผ่าเอาเส้นเมาออกก่อนนำไปปรุงหรือรับประทาน แต่ถึงแม้ว่าจะทำตามขั้นตอนแล้วก็ยังมีข่าวว่ามีคนตายจากการกินแมงดาทะเลอยู่เรื่อยมา

จึงมีคำถามที่สงสัยกันอยู่ว่า "จริงหรือไม่ที่กินแมงดาทะเลทำให้ตายได้" แล้วยังมีคำถามต่อไปอีกว่า "แล้วจะกินแมงดาทะเลดีไหม" เนื่องจากรสชาติของแมงดาทะเลโดยเฉพาะไข่ของมันนั้นขึ้นชื่อว่าอร่อยมาก ทำให้คนที่นิยมยำไข่แมงดารู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงต้องมาทำความรู้จักกับชนิดของแมงดาทะเลและพิษของมัน

แมงดาทะเลเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างแปลก เหมือนชามกะละมังคว่ำ ทางด้านหัวโค้งกลม แมงดาทะเลมีเปลือกหนาแข็งห่อหุ้มอยู่ทั่วทั้งตัว มีหางแข็งยาว ปลายแหลม ยื่นออกมาหาส่วนท้ายของลำตัว สำหรับใช้ต่างสมอปักลงกับพื้นท้องทะเลเมื่อต้องการนอนนิ่งอยู่กับที่ แมงดาทะเลอาศัยอยู่ที่พื้นทะเลน้ำตื้นๆคลานหากินไปตามพื้นทราย กินหอยเล็กๆ ปูเล็กๆ เป็นอาหาร ศัตรูคือเต่าทะเลและฉลาม แมงดาทะเลตัวผู้กับตัวเมียมีรูปร่างคล้ายกัน แต่ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่ามาก ไข่เป็นเม็ดกลมสีเหลืองขนาดเม็ดสาคู และมีจำนวนหลายร้อยฟอง

แมงดาที่พบในทะเลไทยมี 2 ชนิด คือ แมงดาจาน หรือแมงดาทะเลหางเหลี่ยม มีขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย และแมงดาถ้วย หรือแมงดาทะเลหางกลม หรือ เห-รา หรือแมงดาไฟ มีขนาดเล็กกว่าแมงดาจาน มีสีส้มหรือน้ำตาลเข้ม อาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน

พิษของแมงดาน่าจะมาจาก 2 สาเหตุคือ
1.ตัวแมงดาไม่มีพิษ แต่เกิดจากไปกินตัวแพลงตอนที่มีพิษ หรือกินหอยหรือหนอนที่กินแพลงตอนที่มีพิษเข้าไป ทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดา
2.ตัวแมงดามีพิษซึ่งเกิดจากแบคทีเรียในลำไส้สร้างพิษขึ้นมาได้เอง เมื่อนำไข่หรือเนื้อมาปรุงหรือผัดให้สุกโดยเชื่อว่าความร้อนสามารถฆ่าพิษได้นั้น ความจริงแล้วความร้อนไม่สามารถฆ่าพิษได้เลย เนื่องจากเป็นพิษชนิดที่มีผลต่อระบบประสาทที่ความร้อนไม่สามารถทำลายพิษได้

ส่วนอาการขึ้นอยู่กับปริมาณที่กินเข้าไปมากหรือน้อย มีอาการชาที่ริมฝีปาก มือและเท้า เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เดินเซ แขนขาไม่มีแรง พูดไม่ออก กลืนลำบาก หายใจไม่ออก กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจเป็นอัมพาต เนื่องจากพิษของแมงดาทะเลเป็นพิษต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ ในเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงที่ไม่กินแมงดาทะเล เพราะอาจมีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอแมงดาทะเลที่มีพิษได้ แต่สำหรับคนที่ชอบกินแมงดาทะเล ถ้าพบว่าหลังจากการกินแล้วมีอาการชาที่ปาก หายใจไม่ออก ให้ล้างท้องหรือล้วงคอทำให้อาเจียน แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด การใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นการรักษาอาการเบื้องต้น เพื่อช่วยให้คนไข้หายใจได้ หลังจากนั้นก็รักษาตามอาการแบบเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษโดยทั่วไป ทั้งนี้ ปัจจุบันยังไม่มียาแก้พิษจากแมงดาทะเล




จาก ....................... ข่าวสด วันที่ 2 มีนาคม 2554

koy
02-03-2011, 10:22
ขอบคุณครับสำหรับความรู้

Super_Srinuanray
03-03-2011, 20:28
ยำแมงดาทะเล อร่อยไหมค่ะพี่
เป็นสัตว์อนุรักษ์ หรือเปล่าค่ะ

สายน้ำ
25-03-2011, 08:31
แมงดาทะเล

http://www.dailynews.co.th/content/images/1103/25/newspaper/p12mangda.jpg

แมงดาทะเล จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลักษณะลำตัวส่วนหัวและอกเชื่อมต่อกันคล้ายเกือกม้า ลำตัวด้านบนห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็งคล้ายปู และมีหางเรียวเล็กยื่นไปด้านหลังเพื่อใช้ในการจิ้มกับพื้นทรายเพื่อกลับตัวเวลาตีลังกา ทั่วโลกมีอยู่ 4 ชนิด ใน 3 สกุล แต่พบในประเทศไทย 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย และแมงดาจาน เป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ได้เกิดขึ้น จากนั้นขึ้นบกเพื่อวางไข่ซึ่งได้วิวัฒนาการมาเป็นแมลงจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีพิษในตัวเอง แต่มีจากการสะสมการกินสาหร่ายทะเลชนิดที่มีพิษ เมื่อคนนำมารับประทานก็จะได้รับพิษ ช่วงเวลาผสมพันธุ์แมงดาตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียอย่างแน่นเพื่อรอการตกไข่ จะผสมพันธุ์และขุดหลุมเพื่อวางไข่บนทรายชายหาด และนิยมผสมพันธุ์กันเป็นกลุ่มใหญ่.



จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 25 มีนาคม 2554