PDA

View Full Version : นำ EM ball ไปโยนทะเล..กันไหมคร๊าบ


ไอ_นุ!
08-06-2011, 22:42
เห็นว่า ไปชุมพรกันบ่อยๆ ซึ่งวิทยากรที่เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ EM เป็นครู อยู่ที่ชุมพร
จึงน่าจะชวนไปลองดูงานกันที่ อ.สวี จ.ชุมพร จะได้เพิ่มกิจกรรมใหม่ๆกันด้วยครับ

fEAsAdVbzDE

เมื่อวันอังคาร ไปปาลูก EM ball ลงแม่น้ำเจ้าพระยา เห็นวิทยากรก็มาด้วย แต่คนเยอะจัด เลยไม่ได้ทำความรู้จัก เพื่อขอฟามรู้เลย T_T

สายน้ำ
09-06-2011, 08:08
ไปสิครับ น้องนุ .... ว่างเมื่อไร ไปกัน

เมื่อคราวที่ไปงานโลกทะเลชุมพร ก็เห็นมีขนเจ้า EM Ball มาแจกกันเป็นกองพะเนินเทินทึก ให้ผู้มาร่วมงานนำไปโยนลงที่ชายฝั่งทะเล แต่ก็เห็นมีคนถือโอกาสขนขึ้นรถกระบะกลับบ้านไปก็มีครับ

Super_Srinuanray
11-06-2011, 08:05
มันคืออะไร ?????

ที่โรงงานก็มีค่ะ แต่ว่าเราใช้น้ำ em เพื่อช่วยในการขจัดสิ่งปฎิกูลบ่อเกรอะ
ช่วยในการย่อย และ ลดการส่งกลิ่น และก็ใช้ล้างห้องน้ำ แทนน้ำยาล้างห้องน้ำ ทำให้ลดกลิ่นในห้องน้ำได้ดีทีเดียว

อยากไปดูและขอแชร์ความรู้ด้วยค่ะ

NAMPUENG
11-06-2011, 22:33
ตอนไปร่วมงานโลกทะเลชุมพร เมื่อเดือนมีนาคม 2011 ที่ผ่านมา ^__^ ได้รู้จัก EM ball เป็นครั้งแรกค่ะ (จากความกรุณาของพี่น้อยพี่จ๋อม) รู้สึกชอบค่ะ ไปเมื่อไร ขอไปร่วมด้วยช่วยกัน ถ้าไม่ติดอะไรนะคะ

ไอ_นุ!
14-06-2011, 12:58
ตอนนี้มีประเด็นที่ต้องขอไปหาความรู้ก่อนครับ เพราะสงสัยว่าเจ้าจุลินทรีย์ใน EM ball มันอยู่ในน้ำทะเล ได้ด้วยหรือเปล่า กลัวโยนลงไป ตายเรียบ...
(ถามน้องขิง น้องไผ่ ที่คณะประมง น้องๆ ก็ยังสงสัยเหมือนกันเลย ว่าน้ำมีค่า ph ต่างกัน จะรอดไหมหว่า
ผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะครับ

สายชล
14-06-2011, 14:51
ช่วยน้องนุหาข้อมูลเรื่อง EM Ball ให้นะคะ


EM คืออะไร


EM ย่อมาจากคำว่า Effective Microorganisms ซึ่งมีความหมายว่า กลุ่มจุลินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพ มีลักษณะเป็นของเหลว สีน้ำตาล กลิ่นหวานอมเปรี้ยว


คุณสมบัติบางประการและการเก็บรักษา

EM เป็นสิ่งมีชีวิต ต้องเก็บไว้ในที่ร่ม อุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ประมาณ 20 – 45 องศาเซลเซียส หากไม่ได้เปิดใช้เก็บไว้ได้นาน 1 ปี
EM ไม่ใช่ปุ๋ย แต่เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่อยู่ในสภาพพัก การนำไปใช้หากเปิดใช้แล้วให้รีบปิด เก็บไว้ได้นาน 6 เดือน


ผู้ค้นพบและพัฒนา EM


ค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรูโอะ ฮิหงะ แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานสถาบัน EM เทคโนโลยีนานาชาติ มหาวิทยาลัยเมโอ โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น) ซึ่งได้ทำการศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ระหว่าง พ.ศ. 2510 - 2525 ได้พบความจริงเกี่ยวกับจุลินทรีย์ในธรรมชาติ และได้คัดสรรเอาเฉพาะจุลินทรีย์กลุ่มดีที่มีประโยชน์มาเลี้ยงรวมด้วยเทคนิคพิเศษ

http://www.emro-asia.com/img/about-em/discovery/higa_suits.jpg


จุลินทรีย์ใน EM

คำว่า จุลินทรีย์หรือแบคทีเรีย บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเชื้อโรคที่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามจุลินทรีย์ที่ใช้ในการผลิต EM (จุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติก ยีสต์ และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง) ผลิตจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ ไม่มีจุลินทรีย์ก่อโรค ไม่มีสารเคมีสังเคราะห์ และไม่ใช่การตัดต่อยีนส์ (GMOs) ซึ่งเป็นโทษต่อมนุษย์ สัตว์และพืช EM ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ปลอดภัย ซึ่งใช้กันมาก่อนในสมัยโบราณจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

จุลินทรีย์ใน EM มี 3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้


1. จุลินทรีย์ผลิตกรดแลกติก

เป็นจุลินทรีย์ที่จัดอยู่ในพวกแบคทีเรีย ที่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรดแลคติกได้ โดยผ่านกระบวนการหมัก ซึ่งกรดแลกติกสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรคบางชนิด และจุลินทรีย์อื่น ๆ ได้ เนื่องจากมี pH ที่ต่ำ เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่ามีการนำเอาจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติก ไปใช้ในการหมักอาหารหลายชนิด เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต และสามารถเก็บไว้ได้นาน ตั้งแต่ หลุยส์ ปาสเตอร์ ได้ค้นพบจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติกในปี พ.ศ.2400 ทำให้รู้ถึงประโยชน์ของมันที่เกี่ยวกับสุขภาพและการมีอายุยืนยาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีงานวิจัยที่พบว่า นอกจากมันจะอยู่ที่ลำไส้เล็กของคนแล้ว มันยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทาน มีคุณสมบัติในการต่อต้านการสูญเสียโปรตีนในเลือด ต่อต้านการกลายพันธ์ โคเลสเตอรอลในเลือดต่ำ และการมีความดันโลหิตต่ำ


2. ยีสต์

เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวตั้งต้นในการหมัก ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ ที่ใช้ในการหมักเบียร์หรือแอลกอฮอล์ และใช้ในการทำขนมปัง ยีสต์ค้นพบโดยพ่อค้าชาวดัทช์ ชื่อ แอนโทนี แวน ลีเวนฮุค (ในปี พ.ศ.2175 -2266) ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเป็นคนแรกในโลกเรื่องจุลินทรีย์ ยีสต์ถูกจำแนกเป็นสัตว์เซลเดียว ซึ่ง แตกต่างจากเชื้อรา เพราะมันจะอยู่เป็นเซลเดียวไปตลอดชีวิต ในโลกของจุลินทรีย์จะมีกลุ่มจุลินทรีย์กลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์ ยีสต์จะมีอยู่มากในสิ่งแวดล้อมที่มีน้ำตาลมาก เช่น น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ตามผิวของผลไม้ ใน EM ยีสต์ผลิตจะสารชีวพันธ์ต่าง ๆ หรือสารที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต เช่น กรดอะมิโน และแป้ง


3. จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง

โฟโต้ทรอปฟิคแบคทีเรีย (เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง) เป็นแบคทีเรียโบราณที่เกิดมาก่อนการเกิดดาวเคราะห์โลกที่มีออกซิเจนหนาแน่นอย่างเช่นในปัจจุบัน จากชื่อของมันบ่งบอกให้รู้ว่ามันใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการย่อยสลายสารอินทรีย์และอนินทรีย์ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมีอยู่ตามนาข้าว ทะเลสาบ และทุกหนทุกแห่งบนโลกนี้ ในทางปฏิบัติจะพบจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพนี้ตามทุ่งนาเพราะมันย่อยสลายอินทรียวัตถุได้ดี ทั้งในการบำบัดน้ำเสียมีงานวิจัยที่รายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของจุลินทรีย์นี้ ส่วนที่ใช้ในการเกษตร การเลี้ยงสัตว์น้ำ และการเลี้ยงสัตว์ทั่วไป ภายใต้สภาพที่มีการผลิตไฮโดรเจนมันสามารถย่อยสลายสารต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงร่วมอยู่ในระบบย่อยต่าง ๆ และเป็นจุลินทรีย์หลักในวัฏจักรไนโตรเจนและวัฏจักรคาร์บอน เนื่องจากเป็นจุลินทรีย์หลักในวัฏจักรต่าง ๆ มันจึงทำงานร่วมกับจุลินทรีย์ใน EM ได้ ดังนั้นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจึงเป็นจุลินทรีย์ที่สำคัญใน EM



วิธีทำ EM ball (ดังโงะ)


เพื่อการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำที่มีโคลนตะกอน หรือน้ำไหล หรือน้ำลึก ให้ได้ผลดีกว่าการใช้ EM ขยาย หรือจะใช้ทั้ง EM ball และ EM ขยาย ร่วมกันก็จะได้ผลดียิ่งขึ้น

ส่วนผสม ส่วนที่ 1

รำละเอียด 1 ส่วน
แกลบป่น หรือ รำหยาบ 1 ส่วน
ดินทราย 1 ส่วน

* ใช้ โบกาฉิ (หมายถึง วิธีการนำอินทรียวัตถุมาหมักกับ EM แบบไร้อากาศ โดยใช้วัสดุได้หลากหลายตามจุดประสงค์ที่ต้องการนำไปใช้งาน เช่น ใช้ทำปุ๋ย ใช้ผสมอาหารสัตว์ ใช้หมักเศษอาหาร ฯลฯ) แทนส่วนที่ 1 หรือใช้โคลนตะกอน แทนดินทรายได้

http://www.emro-asia.com/img/about-em/em_ball/emball01.jpg


ส่วนที่ 2

EM 10 ช้อนแกง
กากน้ำตาล 10 ช้อนแกง
น้ำสะอาด 10 ลิตร

http://www.emro-asia.com/img/about-em/em_ball/emball02.jpg

* ใช้ EM ขยาย หรือ EM หมักน้ำซาวข้าว หรือ EM5 ผสมร่วมกันหรือใช้แทน EM กับกากน้ำตาลได้


วิธีทำ

ผสมส่วนที่ 1 แล้วรดด้วยส่วนที่ 2 คลุกเคล้าให้เข้ากัน
วัดความชื้นพอเหมาะ ปั้นเป็นก้อนกลม หรือดัดแปลงได้ตามต้องการ
นำไปวางไว้ในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วนำไปใช้

http://www.emro-asia.com/img/about-em/em_ball/emball03.jpg


การนำ EM ball ไปใช้ประโยชน์

เจ้าลูกบอลนี้เหมาะสำหรับใช้ในการปรับสภาพแหล่งน้ำที่เน่าเสีย ทั้ง ห้วย หนอง คลอง บึง หรือแม้แต่แม่น้ำ หรือทะเล ก็ได้ทั้งนั้น โยนใส่ลงไปเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น ขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่งน้ำ


เคยมีโครงการเครือข่ายมหานที ที่ทิ้ง EM Ball ตั้งสี่หมื่นสี่พันลูกลงตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อปรับสภาพแม่น้ำในจังหวัดชุมพร จนปัจจุบันสภาพดีขึ้น กุ้งหอยปูปลาก็กลับมา ชาวประมงก็ทำมาหากินได้มากขึ้น



ขอบคุณข้อมูลจาก....

http://www.emro-asia.com/about-em/how-to-make-em-ball.html

http://www.vcharkarn.com/varticle/41595



อ่านวิธีทำ แบบไทยๆได้ที่....

http://www.oknation.net/blog/sabaijai/2009/11/15/entry-1

สายชล
25-10-2011, 20:22
ตอนนี้ไม่ต้องนำ EM Ball ไปโยนทะเลแล้วค่ะ....นำไปโยนแถวที่น้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหล้เคียงดีกว่า..

สายชล
03-11-2011, 21:21
มีการถกเถียงกันเรื่อง EM Ball จะช่วยแก้ปัญหาน้ำเน่าเหม็น ที่เกิดจากน้ำท่วมใหญ่ ได้หรือไม่


ลองไปอ่านในนี้นะคะ แล้วลองสรุปว่า คำตอบที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร...


http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X11282487/X11282487.html

สายชล
04-11-2011, 11:42
น่าสนใจดีค่ะ...

mzaO_8InRik

สายชล
04-11-2011, 12:28
นี่ก็น่าสนใจค่ะ...

http://www.moph.go.th/ops/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=41408

สายชล
04-11-2011, 12:32
ลองอ่านนี่ดูค่ะ...

http://eureka.bangkokbiznews.com/detail/417111

สายชล
04-11-2011, 19:25
ข้อมูลที่ต่อต้าน EM Ball มาใช้ในกรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ เน่าค่ะ...

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320403335&grpid&catid=03&subcatid=0305


EM และน้ำหมักชีวภาพ แก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียได้จริงหรือ ?

วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 17:37:57 น.



โดย กลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





ในช่วงเวลาปัจจุบันมีหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนได้สนับสนุนการใช้ EM (Effective Microorganisms) เพื่อบำบัดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าเสียในบริเวณน้ำท่วมขัง ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายรวมถึงประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะอธิบายข้อเท็จจริงและให้ความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับ EM และจะกล่าวถึงกรณีศึกษาในการบำบัดน้ำเสียของต่างประเทศในภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ บทความนี้มิได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งแต่อย่างใด แต่มุ่งหวังถึงประโยชน์สูงสุดในการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมในสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน



ปัญหาน้ำเน่าอาจกล่าวได้ว่าเกิดจากการที่สารอินทรีย์ในน้ำมีปริมาณสูง เมื่อเกิดการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์จึงส่งผลให้ออกซิเจนในน้ำมีปริมาณลดลง และในที่สุดอาจก่อให้เกิดสภาวะไร้อากาศซึ่งส่งกลิ่นเหม็น และส่งผลเสียต่อปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ ค่าการละลายออกซิเจนนับเป็นพารามิเตอร์หนึ่งที่สามารถบ่งบอกคุณภาพน้ำได้ โดยในแหล่งน้ำที่สะอาด ไม่เน่าเสีย โดยทั่วไปจะมีค่าการละลายออกซิเจนประมาณ 3 - 7 มิลลิกรัมต่อลิตร การย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะที่มีออกซิเจนสามารถอธิบายอย่างง่ายดังนี้



EM (Effective Microorganisms) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีความสามารถเฉพาะทาง ประกอบด้วยจุลินทรีย์ 3 กลุ่มหลัก คือ 1) กลุ่ม Lactic acid bacteria 2) กลุ่ม Yeast และ 3) กลุ่ม Phototrophs (Purple bacteria) ซึ่งได้รับการพัฒนามาจาก Professor Teruo Higa ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงได้มีการประยุกต์ใช้งานในหลากหลายด้าน อาทิ ด้านการเกษตร ด้านการหมักขยะมูลฝอยเพื่อทำปุ๋ย และด้านการย่อยสลายสารอินทรีย์ในสุขา (โถส้วม) เป็นต้น



โดยทั่วไป จุลินทรีย์ใน EM สามารถทำงานได้ทั้งในสภาวะที่มีออกซิเจน (Aerobic conditions) และไม่มีออกซิเจน (Anaerobic conditions) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงการประยุกต์ใช้งาน EM ในสภาวะที่ในน้ำท่วมขังซึ่งมีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen, DO) อยู่อย่างจำกัด กล่าวได้ว่า EM จะใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายสารอินทรีย์ และในช่วงเวลาดังกล่าวจะส่งผลทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงและไม่เพียงพอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าน้ำในบริเวณดังกล่าวมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่มาก รวมถึงมีการใส่ EM ในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม (ปริมาณที่มากไปหรือใส่เข้าไปในสภาวะหรือรูปแบบที่ไม่เหมาะสม) ดังนั้น กล่าวได้ว่าการเติม EM อาจส่งผลทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียจากการขาดออกซิเจนที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม



อีกประเด็นสำคัญที่ควรคำนึงถึงเกี่ยวกับการเลือกใช้งาน EM กล่าวคือ จุลินทรีย์ใน EM ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวไม่มีความสามารถในการสร้างออกซิเจนแต่อย่างใด นอกจากนี้ องค์ประกอบของ EM ball หรือ Micro ball ซึ่งมีการปั้นโดยใช้องค์ประกอบเป็นสารอินทรีย์ต่างๆ เช่น กากน้ำตาล และ รำข้าว เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างผลกระทบของสารอินทรีย์ข้างต้นต่อการเน่าเสียของแหล่งน้ำ อาทิ



กรณีกากน้ำตาล ที่ส่งผลต่อปัญหาน้ำเน่า เช่น การลักลอบทิ้งน้ำเสียจากโรงงานน้ำตาล และกรณีเรือน้ำตาลล่มในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เป็นข่าวใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา





กรณีรำข้าว อาจพิจารณาการที่เรานำรำข้าว หรือ เศษอาหาร ไปทิ้งไว้ในน้ำในปริมาณมากๆ และเป็นระยะเวลานาน ก็ย่อมส่งผลให้น้ำเน่าเสียเช่นกัน



ดังนั้น เมื่อโยน EM ball ลงในแหล่งน้ำจึงเปรียบเสมือนการเพิ่มปริมาณสารอินทรีย์ให้กับแหล่งน้ำในบริเวณที่มีการท่วมขังอีกทางหนึ่ง โดยสารอินทรีย์ดังกล่าวที่ยังคงเหลืออยู่ย่อมก่อให้เกิดความต้องการออกซิเจนในน้ำที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงได้ และแม้แต่จุลินทรีย์ใน EM เอง เมื่อตายไปก็นับเป็นแหล่งสารอินทรีย์ในน้ำเช่นกันซึ่งก็ยังต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลายเช่นกัน ดังนั้น กล่าวได้ว่าการเติม EM นอกจากจะไม่ช่วยสร้างออกซิเจนแล้ว ยังส่งผลทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมจากการลดลงของปริมาณออกซิเจนในน้ำ รวมถึงเพิ่มสูงขึ้นของปริมาณสารอินทรีย์ (ดังที่กล่าวถึงข้างต้น)



ทั้งนี้ การย่อยสลายสารอินทรีย์ในแหล่งน้ำท่วมขังควรกระทำภายใต้สภาวะที่มีอากาศหรือออกซิเจนเท่านั้น การย่อยสลายสารอินทรีย์ในสภาวะไร้อากาศถือได้ว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในแหล่งน้ำ โดยสรุป เราสามารถกล่าวได้ว่าการบำบัดสารอินทรีย์ในแหล่งน้ำมีลักษณะแตกต่างจากการบำบัดสารอินทรีย์ในสุขา และการหมักขยะเพื่อทำปุ๋ย (ซึ่งมีการใช้ EM ร่วมด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ที่เป็นพารามิเตอร์ที่บ่งบอกถึงคุณภาพแหล่งน้ำ รวมถึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพแหล่งน้ำ



ถึงแม้ EM ต้นแบบ (ลิขสิทธิ์ Professor Teruo Higa) ซึ่งอ้างว่ามีความสามารถในการกำจัดกลิ่นและทำให้น้ำใส แต่ก็เป็นการช่วยบรรเทาปัญหาชั่วคราวในระยะสั้นเท่านั้น แต่หากสารอินทรีย์ในน้ำยังคงอยู่ และออกซิเจนในน้ำไม่เพียงพอ ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าน้ำนั้นสะอาดจริง กล่าวคือน้ำดังกล่าวยังไม่ปลอดภัยที่จะนำมาใช้และไม่ปลอดภัยต่อสัตว์น้ำแต่อย่างใด และอาจยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆ ได้อยู่ นอกจากนี้ หากมองถึงประเด็นการผลิตน้ำหมักชีวภาพ หรือ EM ในแบบต่างๆ ด้วยตนเอง จุลินทรีย์ที่ได้อาจมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากจุลินทรีย์ใน EM ต้นแบบ และหากไม่ได้ผ่านกระบวนการควบคุมคุณภาพที่ดีพอ EM และ น้ำหมักชีวภาพอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคได้ ซึ่งนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ควรระวังและไม่ควรมองข้ามสำหรับทุกๆ หน่วยงานและภาคส่วนที่มีสนับสนุนการใช้ EM เพื่อบำบัดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นและน้ำเน่าเสียในบริเวณน้ำท่วมขัง



ผู้ทรงคุณวุฒิ จากประเทศญี่ปุ่น (ซึ่งไม่สามารถเอ่ยนามได้ เนื่องจากไม่ได้ขออนุญาตไว้) ได้ให้ข้อมูลว่าจากเหตุการณ์สึนามิในประเทศญี่ปุ่นก็ได้มีการพยายามจัดการแก้ไขปัญหาน้ำเสียในพื้นที่ต่างๆ ขององค์กรอิสระต่างๆ ที่รณรงค์ร่วมกันใช้ EM เพื่อบำบัดน้ำเสีย อย่างไรก็ตาม ทางหน่วยงานรัฐบาลของประเทศญี่ปุ่น (กระทรวงสิ่งแวดล้อม) ได้ทำการทดลองเพื่อศึกษาความสามารถของ EM ในการบำบัดน้ำเสีย และพบว่า EM ไม่ได้ช่วยในการบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด ในการนี้ กระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศญี่ปุ่นจึงไม่แนะนำการใช้ EM ในการบำบัดน้ำเสียในสถานการณ์ดังกล่าว



นอกจากนี้ จากเหตุการณ์สึนามิซึ่งระบบบำบัดน้ำเสียถูกทำลาย ทางหน่วยงานรัฐบาลของญี่ปุ่นได้ทำการแก้ไขปัญหาระยะสั้นโดยการเติมคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคลงในท่อบำบัดน้ำเสีย และเลือกใช้การตกตะกอน (Sedimentation) และการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) เพื่อบำบัดน้ำเสียในระบบบำบัดน้ำเสียชั่วคราว รวมถึงได้มีการวางแผนจะพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียชั่วคราวโดยใช้ระบบบำบัดทางชีวภาพร่วมกับการตกตะกอน และการฆ่าเชื้อโรค (Biological treatment - Sedimentation - Disinfection) ส่วนในบริเวณชนบทนั้น ดำเนินการบำบัดน้ำเสียโดยทำการรวบรวมน้ำเสีย และทำการการฆ่าเชื้อโรค จากนั้นปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จนกระทั่งระบบบำบัดขนาดเล็กได้รับการฟื้นฟู



ทั้งนี้ทางกลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าใจดีถึงความปรารถนาดีของทุกฝ่ายในการช่วยกันร่วมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หากแต่อยากนำเสนออีกแง่มุมหนึ่งของ EM เพื่อประกอบการตัดสินใจ เพื่อเลือกวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมที่สุดในการฟื้นฟูปัญหาสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะน้ำท่วมในปัจจุบัน

สายชล
04-11-2011, 22:37
มาอีกแล้วค่ะ...


rYrVywJJbFs



GPXfmPnAIOo

สายชล
05-11-2011, 17:40
มีมาโต้กันอีกแลวค่ะ


http://m.matichon.co.th/readnews.php?newsid=1320484780&grpid=03&catid

http://m.matichon.co.th/view_newsimage.php?filename=../online/2011/11/13204847801320489185l.jpg&width=240&height=160


ผู้ผลิตอีเอ็ม บอลล์ โต้นักวิชาการจุฬาฯ ไม่รู้จัก "อีเอ็ม บอลล์" จริง


นายมนัส หนูสวี รองประธานมูลนิธิเกษตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ริเริ่มการผลิตอีเอ็ม บอลล์ อย่างจริงจังคนแรกของภาคใต้ กล่าวว่า การแสดงความคิดเห็นของศ.ดร. ธงชัย พรรณสวัสดิ์ ประธานสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และ กลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ว่า EM Ball อาจไม่ช่วยบำบัดน้ำเสียจากน้ำท่วม และอาจจะยิ่งทำให้น้ำขาดออกซิเจนเน่าเสียไปกว่าเดิม นั้น ก็อยากถามว่าท่านรู้จักอีเอ็มบอลล์ Ball แค่ไหน ขณะนี้เกิดน้ำท่วมน้ำเน่าเหม็นชาวบ้านเดือนร้อนไปทั่ว และต้องการให้มีการบำบัดน้ำที่เสียให้ดีขึ้น การออกมาแสดงความคิดเห็นดังกล่าวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแล้วยังจะทำให้น้ำเน่าเสียนานขึ้นด้วย หากไม่เร่งบำบัด


ทั้งนี้ ความคิดเห็นทางวิชาการที่ว่า อีเอ็มบอลล์ ทำมาจาก สารอินทรีย์ เช่น กากน้ำตาล และ รำข้าว ซึ่งจุลินทรีย์ต้องใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย และอาจจะทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลงเน่าเสียไปกว่าเดิมนั้น นาย มนัส ตอบว่า น้ำที่เน่าเสียจากน้ำท่วมถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับน้ำเสียจากบ่อขยะที่ส่งกลิ่นเหม็นไปไกลหลายกิโลเมตร โดยเฉพาะปัญหาที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่ทางกลุ่มดำเนินการบำบัดจนสามารถปล่อยปลาได้ อีเอ็มบอลล์ มีจุลินทรีย์ หลายชนิด โดยเฉพาะจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ให้ออกซิเจนกับน้ำ และจุลินทรีย์ ที่ทำให้แก๊สไข่เน่า และแก๊สมีเทน ซึ่งทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นลดลง จุลินทรีย์บางชนิด นักวิชาการของไทยไม่รู้จักด้วยซ้ำ



นายมนัส กล่าวอีกว่า นักวิชาการได้อ้างกรณีสึนามิ ที่ญี่ปุ่นว่า ไม่ได้ใช้ อีเอ็ม แต่ใช้ปูนขาว และคลอรีน นั้น ปูนขาวคือการลดความเป็นกรด คลอรีนใช้ฆ่าเชื้อซึ่งจะฆ่าเชื้อทั้งหมดทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ต้องถามว่าจะต้องใช้ปูนขาวและคลอรีนเท่าไหร่จึงจะพอ และต้องถามกลับไปว่า บริษัทนักการเมืองคนไหนที่ ผูกขาดการผลิตปูนขาว และคลอริน ซึ่งการที่นักวิชาการออกมาพูดเช่นนี้ควรที่จะพิสูจน์ก่อนว่าอีเอ็มบอลล์ดีหรือไม่ดี แม้ว่าการโยนอีเอ็มบอลล์บำบัดน้ำเสียจากน้ำท่วมอาจจะไม่ชัด แต่ขอให้นักวิชาการไปตักน้ำเสียในคลองไหนก็ได้ที่ กทม.มาพิสูจน์จะได้รู้กัน

ด้านนายประวิทย์ ภูมิระวิ ผู้รับผิดชอบการผลิตอีเอ็มบอลล์l ศูนย์การเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชา โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร กล่าวว่า ไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ ถ้าส้วมเหม็น ก็ลองทุบใส่ดู 2-3 วันกลิ่นหายไปก็หมายความว่าใช้ได้ ถ้าน้ำเสียมีกลิ่น โยนลงไปดู น้ำดีขึ้นกลิ่นหายไป ก็แสดงว่าใช้ได้ ส่วน อีเอ็ม บอลล์ ที่ศูนย์ฯ ผลิต 5 แสนลูก ถ้าไม่มาเอาก็ไม่เป็นไรเพราะปกติชาวบ้านทั่วไปก็ใช้อยู่แล้ว ไม่ได้เดือนร้อนเพราะเราไปได้มีอาชีพขาย อีเอ็มบอลล์

สายชล
05-11-2011, 20:10
เป็นการ์ตูนก็มีค่ะ...และดูจะดูเข้าใจง่ายและเป็นกลางที่สุด...



ทำความเข้าใจปัญหาน้ำเน่ากับการแก้ปัญหาด้วย EM ผ่านการ์ตูน โดย ดร.อาทิตย์ นันทขว้าง อาจารย์สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ซึ่งระบุว่าวาดการ์ตุนตอนพิเศษเพื่อแบ่งปันความรู้แก่คนทั่วไปและคนที่ต้องการใช้หรือคิดจะใช้ EM เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในบ้าน โดยไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านหรือทำลายขวัญและกำลังใจแต่อย่างใด และอ้างอิงข้อมูลจากกิจกรรม “ระดมสมองนักวิทย์: EM กับน้ำเสียสู่สังคมอุดมปัญญา” ในเฟซบุค



http://pics.manager.co.th/Images/554000014940401.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940402.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940403.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940404.JPEG

สายชล
05-11-2011, 20:15
http://pics.manager.co.th/Images/554000014940405.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940406.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940407.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940408.JPEG

สายชล
05-11-2011, 20:18
http://pics.manager.co.th/Images/554000014940409.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940410.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940411.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940412.JPEG

สายชล
05-11-2011, 20:20
http://pics.manager.co.th/Images/554000014940413.JPEG


http://pics.manager.co.th/Images/554000014940414.JPEG


ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000141172

lazyoctopussy
06-11-2011, 20:21
ขอบคุณค่ะ^____^

สายชล
06-11-2011, 22:44
ด้วความยินดีค่ะ...:)

สายชล
07-11-2011, 15:40
ข้อมูลจากรมควบคุมมลพิษ ละเอียดและอ่านเข้าใจได้ง่ายค่ะ...

http://wqm.pcd.go.th/water/images/stories/inland/report/EM.pdf

สายชล
08-11-2011, 19:57
มาอีกแล้วค่ะ...คราวนี้บอกว่า EM Ball ใช้ได้ แต่ให้บิเป็นชิ้นเล็กๆก่อนโรย

http://www.thairath.co.th/content/edu/215162

สายน้ำ
14-11-2011, 08:07
ใช้ EM Ball อย่างไร ? จึงจะได้คุณค่า

http://pics.manager.co.th/Images/554000015327801.JPEG

จากปัญหาน้ำเน่าที่ยังตามทำลายคุณภาพชีวิตของคนไทยในขณะนี้ เป็นที่ทราบดีว่า EM ball กลายเป็นฮีโร่หมายเลขหนึ่ง ที่เข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาดังกล่าว

แต่ภายใต้ความสะดวกในการบำบัดน้ำเน่าเสียด้วยวิธีการดังกล่าวนั้น ต้องมีเงื่อนไขการใช้อย่างเหมาะสมจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยา อย่าง ดร.เชิดชัย เชี่ยวธีรกุล คณบดีคณะเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ยืนยัน ว่า EM Ball ใช้ได้ผลจริง แต่ที่บอกว่าการกำจัดน้ำเสียที่ดีที่สุดคือการใช้กังหันชัยพัฒนา ด้วยหลักการเติมออกซิเจนลงไปในน้ำให้มากที่สุดเป็นเรื่องจริง แต่ในกรณีน้ำท่วมทั่วประเทศจะให้ไปติดตั้งกังหันทั่วประเทศอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ยังมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนอีกมากมายที่สามารถนำมาบำบัดน้ำเสียได้ เนื่องจากจะทำงานเป็นห่วงโซ่อาหารที่กินต่อกันเป็นทอดๆ โดยเฉพาะในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้ จะมีเชื้อบาดทะยัก เชื้อโรคต่างๆที่เป็นอันตราย แต่เมื่อส่งจุลินทรีย์ EM ลงไป

ทว่า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ EM ball มีประสิทธิภาพคือการใช้ที่ถูกต้อง เช่น บ่อ 10 x 10 เมตร ควรใส่ไม่เกิน 2-4 ลูก แล้วรอประมาณ 2-3 วัน ถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้เติมไปอีก 2 ลูก เพราะก้อนจุลินทรีย์แห้ง เมื่อจุลินทรีย์ถูกโยนลงไปแล้วจะใช้เวลาในการปรับตัวกว่าจะเจริญเติบโต ฉะนั้น ผู้ใช้จึงต้องใจเย็น ไม่ใช่โยนไปแล้วจะได้ผลทันที ต้องรอให้เชื้อดังกล่าวเจริญเติบโต ถึงจะแพร่พันธุ์ไปได้เร็วมากจากนั้นจุลินทรีย์ก็จะกินอาหาร ของเน่าเสียในน้ำจนหมด จากนั้นสภาพน้ำจะดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาเช่นนี้ช่วยประหยัดงบประมาณได้ดี

ดร. หฤษฏ์ นิ่มรักษา อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เสริมว่า การใช้ EM Ball ให้ถูกต้องใช้ในน้ำที่เริ่มต้นเสียจึงจะมีประสิทธิภาพ เป็นน้ำนิ่ง หรือน้ำขังอยู่ในบริเวณบ้าน กรณีน้ำไหลแรงจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เนื่องจากจะถูกพัดไปกับน้ำหมด ซึ่งหลังจากใส่ไปแล้ว 7-15 วัน คุณภาพน้ำจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งหลักการนี้ใช้ในการบำบัดน้ำเสียในคอกปศุสัตว์ ดังนั้นการกำจัดน้ำจากขยะได้ดี

เช่นเดียวกับรศ.ดร.สุมาลี เหลืองสกุล คณบดีคณะวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวยืนยันเช่นกันว่า “ฟันธงได้เลยว่าจุลินทรีย์ใช้บำบัดน้ำเสียได้ เพราะจุลินทรีย์มีหลายชนิด มีวงจรชีวิต ความสามารถ และดำรงชีวิตอยู่ด้วยวงจรชีวิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ EM ย่อมาจาก Effective Micro organism ต้องผ่านการทดลองวิจัยมาแล้วว่ามีความสามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ที่เราต้องการให้ย่อยได้ เช่น ในน้ำเสียมีสารอินทรีย์หลายอย่างปะปนกัน ก็จะมีการแยกจุลินทรีย์ที่มีหน้าที่ต่างกันมาทำหน้าที่ เช่น จุลินทรีย์ตัวที่ 1 ย่อยสารอาหารที่มีขนาดใหญ่ ก็ได้ผลผลิตออกมา ตัวที่ 2 ก็มาใช้ผลผลิตของตัวที่ 1 ให้ผลผลิตเป็นอาหารของตัวที่ 3 มันอยู่ร่วมกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยเป็นระบบนิเวศของเขา ช่วยกันทำงานจนสุดท้ายทำให้น้ำสะอาด เพราะสารอินทรีย์ในน้ำถูกย่อยสลายไปหมด

http://pics.manager.co.th/Images/554000015327802.JPEG

ด้วย EM ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์ ทั้งซากพืช ซากสัตว์ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต ประกอบไปด้วยก้อนจุลินทรีย์ธรรมชาติสามกลุ่ม คือ จุลินทรีย์ที่ผลิตกรดแลกติก ยีสต์ และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ ช่วยย่อยตะกอนให้กลายเป็นอาหารของสัตว์เล็กๆ ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ชนิดดีในน้ำทำให้เกิดการย่อยสลายที่มากขึ้น และเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ ทำให้สภาพของน้ำสมดุล เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญพรั่งพรุศัพท์วิทยาศาสตร์ออกมายืนยันสรรพคุณเช่นนี้จะไม่ให้EM เป็นพระเอกคงไม่ได้ แต่ก็ยังมีกระแสสงสัยในประสิทธิภาพของเจ้าก้อนกลมนี่ออกมามากมายเช่นกัน ฉะนั้น จะเราควรจะดูว่าหากเราเลือกใช้แล้วผลที่ได้จะคุ้มค่ากับงบในกระเป๋าที่เสียไปหรือไม่




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
14-11-2011, 08:14
Love...จุลินทรีย์ EM นี้มีไว้รักษ์

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/10/images/news_img_418493_1.jpg

ถ้าขยะกระทงคือควันหลงของการแสดงความเคารพต่อพระแม่คงคา จะดีกว่ามั้ยหากปีนี้ทุกคนจะเปลี่ยนมาใช้ "EM Ball" เพื่อขอให้พระแม่คงคายิ้มได้ และอภัยต่อความผิดพลาดทั้งหลายที่มนุษย์ได้เคยกระทำ

หลายเดือนมานี้คนไทยหลายภาคส่วนต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนัก ทั้งแบบที่ "สาหัส" จนถึงกับต้องอพยพไปพึ่ง "ศูนย์พักพิง" และแบบที่พอจะ "เอาอยู่" เลยขอปักหลักเฝ้าดูสถานการณ์น้ำท่วมที่บ้าน แต่ที่มาพร้อมกับ "มวลน้ำ" เห็นจะเป็น "มวลน้ำใจ" ที่มีปริมาตรใหญ่ไม่แพ้กัน

ประชาชนคนไทยรวมถึงชาวต่างชาติที่มี "จิตอาสา" ต่างเสียสละเวลา เงินทอง รวมถึงแรงกาย แรงใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลายมิติ หนึ่งในนั้นคือการพยายามฟื้นฟูสภาพน้ำที่เน่าเสียจากการท่วมขังและการหมักหมมของขยะปฏิกูลต่างๆ ให้กลับมาคงสภาพ โดยการใช้ตัวช่วยที่เรียกว่า "ลูกบอลจุลินทรีย์" หรือ EM Ball

ทำไมต้องเป็นลูกบอลจุลินทรีย์ แล้ว EM Ball คืออะไร จะช่วยแก้ปัญหาน้ำเน่าได้แค่ไหน วีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของ "บ้านอารีย์" ซึ่งเป็นจิตอาสากลุ่มแรกๆ ที่คิดถึงการใช้ลูกบอลจุลินทรีย์ในการบำบัดน้ำเสีย มีคำตอบ

"ตอนนี้มันจะคล้ายๆผงซักฟอกกับแฟ๊บ หรือผ้าอนามัยกับโกเต็ก คือ EM Ball จริงๆ เป็นประเภทหนึ่งของ EM ไม่ใช่ทั้งหมด"

เจ้าของบ้านอารีย์ อธิบายต่อว่า EM ที่ย่อมาจาก Effective Microorganism เป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่มีคุณสมบัติในการบำบัดสิ่งปฏิกูล ไม่ว่าจะในบ่อกุ้ง บ่อปลา โถสุขภัณฑ์ ในน้ำขัง น้ำนิ่ง น้ำไหล ซึ่งแต่ละจุดดังกล่าวต้องใช้ EM ที่มีสูตรต่างกันออกไป โดยลูกบอลจุลินทรีย์เป็นสูตรหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่อการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำที่ท่วมขัง ส่วนที่ทำเป็นรูปทรงลูกบอลก็เพื่อความสะดวกในการใช้ สามารถโยนลงไปตามจุดต่างๆ ที่ต้องการได้ เมื่อลูกบอลจมน้ำไปแล้วก็จะทำงานตามขั้นตอนของมัน

"พอเราโยนลงไปจุลินทรีย์ชนิดดีเหล่านี้ก็จะไปสู้กับอินทรีย์ที่ทำให้เกิดน้ำเน่า แล้วก็ชักชวนเพื่อนๆจุลินทรีย์ที่มีจำนวนล้านตัว เพิ่มเป็นพันล้านตัว ถ้ามันขยายตัวเยอะๆ ก็จะชนะอินทรีย์ ทำให้น้ำเริ่มมีกลิ่นที่ดีขึ้น"

สำหรับลูกบอลจุลินทรีย์ เป็นจุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์ที่เกิดจากการค้นคว้าวิจัยของ ศ.ดร.เทรูโอะ ฮิงะ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญสาขาพืชสวน มหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งส่วนประกอบหลักของลูกบอล EM นี้ คือ ดินสมบูรณ์(หรือทรายละเอียด) รำละเอียด รำหยาบ(หรือแกลบ) กากน้ำตาล น้ำสะอาด และหัวเชื้อจุลินทรีย์

เมื่อนำส่วนผสมทั้งหมดนี้มาคลุกรวมกันและปั้นจนเป็นก้อนกลมแข็งขนาดราวลูกเทนนิส ทิ้งไว้ในเวลาที่เหมาะสมแล้วนำไปโยนในแหล่งน้ำเน่าเสีย ก็จะทำให้แหล่งน้ำนั้นๆได้รับการบำบัดจนค่อยๆดีขึ้นในที่สุด


-------------------------------


คุณสมบัติน่ารักน่าคบแบบนี้ หากจะนำ EM Ball มาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมขอขมา "น้ำ" ก็คงจะเป็นประโยชน์กว่าการเพิ่มจำนวนขยะให้กับแม่น้ำลำคลอง

"ผมว่าเป็นความคิดที่ดีนะ ลอยกระทง ขยะมันเยอะ เราก็บูรณาการไปเลย ไม่มีขยะด้วย แล้วก็รู้สึกว่า มีส่วนร่วมในประเพณีลอยกระทง เพียงแต่เราอาจจะต้องมาประยุกต์สักหน่อย...ผมกำลังนึกถึงว่า จะเอาภาชนะอะไรมาแทน อืม...กะลามะพร้าวเจาะรูเหมือนที่เขาตีไก่ แล้วเอาลูก EM วางไว้ เจาะรูให้น้ำเข้าไป แต่ต้องให้มันเข้าเร็วเหมือนกัน เพราะถ้า EM แช่น้ำนานๆ จะเปื่อย ต้องเจาะรูใหญ่หน่อย อย่างน้อยให้ลอยนิดหนึ่ง สักครึ่งนาที นาทีหนึ่ง แล้วค่อยจม ไม่งั้นมันจะไม่ได้ประสิทธิภาพ" วีรณัฐ พยายามคิดไอเดียกระทงจุลินทรีย์

ส่วน เก่ง - สุณิชา สู่ศิริ นักวิชาการขนส่ง กรมการบินพลเรือน จิตอาสาที่มาช่วยปั้นลูกบอลจุลินทรีย์ในงาน "ย่านราชประสงค์ รวมพลคน Do D ปั้นน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วม" ณ ลานกิจกรรม event hall ชั้น 1 ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า บอกว่า เคยเข้ารับการอบรมเรื่องการผลิตน้ำ EM สำหรับใช้ในบ้านเรือนมา จึงค่อนข้างมั่นใจว่า ประสิทธิภาพของ EM นี้ จะสามารถบำบัดน้ำเสียให้ดีขึ้นได้จริง

"คิดว่าถ้าเป็นน้ำนิ่งๆ น่าจะช่วยได้ในบริเวณที่จำกัด แต่ถ้าเป็นน้ำไหลเชี่ยวคงลำบาก ต้องใช้ EM Ball จำนวนมาก ส่วนบ้านของใครที่มีน้ำขังนานๆ น่าจะช่วยได้" สุณิชา บอก ทั้งยังแสดงความเห็นว่า หากนำลูกบอลจุลินทรีย์ไปหย่อนลงในแหล่งทำเสีย แทนการลอยกระทงในเทศกาลลอยกระทงที่จะมาถึง ไม่เพียงแต่จะเป็นการบำบัดน้ำเท่านั้น แต่ยังเป็นการขอขมาพระแม่คงคาที่สร้างสรรค์ได้อีกทางหนึ่งด้วย

"ปีนี้อย่าเพิ่งลอยกันดีกว่า ก็เข้าใจว่ามันเป็นวัฒนธรรมประเพณีของไทยเรา แต่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เราก็น่าจะหากิจกรรมอย่างอื่นทดแทนไปก่อน ปั้นลูก EM ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีมีประโยชน์ ถ้าใครมีเวลาว่าง อยากให้ใช้เวลาที่มีมาช่วยกันปั้น EM Ball แล้วเอาไปใช้ที่บ้านตัวเองก็ได้ ช่วยเพื่อนบ้านที่น้ำท่วมได้ด้วย ช่วงนี้ก็ต้องดูตามสถานการณ์บ้านเมืองไปก่อน ถ้าลอยกระทง เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปคอยเก็บ เป็นขยะในน้ำเพิ่มเข้าไปอีก" สุณิชา อธิบาย

ด้านหนุ่มรั้วนนทรี อย่าง อิ่ม-สุรเชษฐ์ รัตนาคณหุตานนท์ นิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชาการบินและอวกาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บอกว่า หากยกเลิกการจัดงานวันลอยกระทงไป ก็คิดว่าไม่ควร แต่ควรจะจำกัดเขตที่ลอยกระทงก็พอได้ เช่น เขตที่จัดไว้อย่างเป็นสัดส่วนบริเวณที่น้ำยังไม่ท่วม โดยจัดให้มีการลอยกระทงตอนค่ำ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ช่วยกันเก็บขึ้นมา น่าจะพอรับมือได้ เพราะไม่ทำให้น้ำเน่า ทั้งยังรักษาประเพณีไทยไว้ได้ด้วย หากลอยตามแม่น้ำที่น้ำท่วมอยู่ก็ไม่ไหว

"หันมาโยน EM แทนการทำกระทงไปลอยน้ำมีประโยชน์ในการช่วยสังคมมากกว่า สมมติเรายกเลิกลอยกระทงปีนี้ แต่ปีหน้าเราก็ลอยได้ แต่ว่าช่วงนี้มันเป็นวิกฤตของประเทศจริงๆ ผมว่าควรมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศก็จะดีกว่า อาจจะสร้างกระแสว่า ลอยกระทงปีนี้มาทำ EM กันเถอะ คือทำเป็นสโลแกนว่าปีนี้เป็นปีพิเศษ คิดเป็น Motto ออกมาเฉพาะปีนี้ไปเลย ว่าทุกคนมาร่วมมือร่วมใจกันลดน้ำเสีย ไม่ลอยกระทง แต่มาโยน EM Ball แทน และอยากให้ทุกคนมาช่วยๆกัน ลำพังทำคนเดียวก็ทำไม่ไหว ถ้าทุกคนร่วมมือกันเราก็จะเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้" นิสิตภาคการบิน บอก

ส่วน กิม-ไพโรจน์ วงศาสุทธิกุล นักศึกษาชั้นปีที่ 5 คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็บอกว่าเป็นลักษณะที่ดีที่จะนำสิ่งที่ทันต่อสถานการณ์มาใช้ เพราะตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมขัง ซึ่งสร้างมลพิษทางน้ำ หากเปลี่ยนจากการลอยกระทงที่อาจไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์ในช่วงนี้มากนัก มาเป็นการโยนลูกบอลจุลินทรีย์ลงไป น่าจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สถานการณ์น้ำเน่าเหม็นก็จะคลี่คลาย

สำหรับผู้มีประสบการณ์อย่าง เซอร์ดาเมียน ปิยวรรณ วงศ์วณิชย์เจริญ บอกว่า ที่โรงเรียนเซนต์ไมเคิ้ลของเธอผลิตน้ำจุลินทรีย์ใช้ทำความสะอาด และรดน้ำต้นไม้มาเป็นเวลานาน แต่การปั้นเป็นลูกบอลแบบนี้เพิ่งจะลองทำเป็นครั้งแรก

ต่อข้อซักถามถึงความคิดเห็นในการใช้ EM Ball แทนการใช้กระทงนั้น เซอร์ดาเมียน ปิยวรรณ เห็นว่า ไม่น่าจะใช้เฉพาะวันลอยกระทง แต่ทุกคนควรตระหนักและใช้กันอย่างเป็นปกติ

"ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เราเห็นผลแล้วว่า มนุษย์เราทำลายอะไรไว้บ้าง ฉะนั้นเป็นโอกาสดีที่วันลอยกระทงเราจะกลับมาทบทวนชีวิตของเราเอง แล้วก็เริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่ขอโทษจากแม่น้ำ คิดว่าเป็นอะไรที่ต้องเริ่มแล้ว"


-------------------------------


สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เรียกว่า จุลินทรีย์ หรือที่บางคนเรียกว่า จุลินทรีย์มีคุณธรรมนั้น มีคุณสมบัติที่สร้างสรรค์ต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากใช้ให้ถูกต้องจะเป็นประโยชน์กับภาวการณ์ปัจจุบันไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักวิชาการและที่ปรึกษาของฝ่ายสื่อสิ่งพิมพ์และมัลติมีเดีย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ตั้งข้อสังเกตว่า หัวเชื้อ EM ที่นำมาใช้ในการผลิตลูกบอลจุลินทรีย์ทุกวันนี้ เป็นหัวเชื้อเดิมที่ถูกเก็บไว้ หรือเป็นหัวเชื้อที่เลี้ยงต่อๆ กันมา เพราะถ้าเป็นแบบหลัง EM Ball ที่จิตอาสาลงมือปั้นกันเป็นแสนเป็นล้านลูกนั้น อาจไม่มีประสิทธิภาพตรงตามคุณสมบัติดั้งเดิม

"เชื้อเดิมที่ญี่ปุ่นคิด เป็นเชื้อที่สามารถย่อยสารอินทรีย์ได้ดี ถ้าเราไม่เก็บหัวเชื้อไว้ แต่ใช้วิธีเลี้ยงต่อๆกันไป มันก็จะทำให้ประสิทธิภาพเปลี่ยนไป ซึ่งการเลี้ยงต่อๆ กันแบบที่ชาวบ้านเลี้ยง ถ้ามีเชื้อไม่ดีติดไปด้วย ยิ่งถ้ามันเป็นเชื้อหัวแข็งหรืออยู่รอดได้ ทุกครั้งที่เอาไปเลี้ยงต่อก็อาจจะติดเชื้อไม่ดีไปด้วย"

ดร.นำชัย อธิบายต่อว่า จุลินทรีย์มี 2 แบบ คือแบบที่ต้องการออกซิเจน กับไม่ต้องการออกซิเจน หากนำจุลินทรีย์ที่ต้องการออกซิเจนไปโยนลงในแหล่งน้ำเน่าเสีย ซึ่งมีสภาพไร้ออกซิเจน หรือมีออกซิเจนน้อยอยู่แล้ว ก็จะไม่เกิดผลในด้านดี ทั้งยังจะส่งผลให้น้ำเน่าเสียกว่าเดิม เพราะจุลินทรีย์เหล่านี้จะปล่อยสารไรโตรเจนชนิดที่มีกลิ่นเหม็นออกมา สร้างปัญหาเพิ่มทวีคูณ

"ถ้าเป็นกลุ่มที่ใช้ออกซิเจนน้อย จะไม่ปล่อยสารไนโตรเจน อันนี้จะใช้กับน้ำนิ่ง ถ้าน้ำไหลแล้วเอาไปโยนนั่นก็จะเสียของ...สถานการณ์เฉพาะหน้า ถามผมว่าใช้ได้หรือเปล่า ถ้าอยู่บ้านก็ใช้ได้ ถ้าน้ำนิ่ง น้ำขัง มีประโยชน์ แต่จะหวังว่ามันจะทำให้กลิ่นเสียหมดไปเลยมั้ย ผมไม่มั่นใจว่าจะได้ผลขนาดนั้นเลยหรือเปล่า เพราะน้ำเน่าแต่ละที่ สภาพความเป็นกรดด่างไม่เท่ากัน การจะได้ประโยชน์มากน้อยจึงไม่เท่ากัน ถ้าเชื้อเอาตัวรอดได้ดี มีสารอินทรีย์เยอะๆ ก็กินได้เรื่อยๆ แต่ถ้าอาหารหมด ก็จะทยอยตายไปเอง ถามว่า นานเท่าไร ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่สภาพแวดล้อม ถ้าเยอะเกินน้ำก็จะเน่า แต่เท่าที่ผมเห็น 1 ก้อนต่อ 5 ตร.ม. มันก็ไม่เยอะเกินไปที่จะไปเพิ่มน้ำเน่า" ดร.นำชัย สรุป

แม้ว่าการใช้ EM Ball ในการบำบัดน้ำเสียจะต้องใช้ตามข้อจำกัดที่เหมาะสม ทว่า ณ ห้วงเวลาที่ทุกพื้นที่มีแต่มวลน้ำล้อมรอบแบบนี้ การใช้ลูกบอลจุลินทรีย์แทนเครื่องบูชาอย่าง "กระทง" ที่เคยทำกันมา น่าจะเกิดประโยชน์ต่อแหล่งน้ำมากกว่าปริมาณกระทงขยะที่ต้องสะสางหลังเทศกาลลอยกระทงปีละเกือบ 1 ล้านใบ


http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/10/images/news_img_418493_2.jpg

รู้ไว้ก่อนใช้ EM Ball

1. การทํางานของ EM Ball ไม่ใช่เป็นการบําบัดน้ำเสียโดยตรง แต่ใช้หลักการนําเอาจุลินทรีย์ชนิดดีมีประสิทธิภาพไปแย่งอาหารจากสารอินทรีย์ อันเป็นต้นตอของปัญหาน้ำเน่าเสีย เป็นการสกัดกั้นการเจริญเติบโตของสารอินทรีย์ ดังนั้นการใช้ EM Ball ในที่น้ำเริ่มจะเน่าเสีย จะเห็นผลเร็วกว่าในน้ำที่เน่าเสียแล้ว

2. การผลิต EM Ball ที่จะช่วยปรับสภาพน้ำได้ต้องใช้กรรมวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม คือ ต้องใช้หัวเชื้อน้ำจุลินทรีย์ชนิดดีมีคุณภาพ และใช้สูตรการผสมที่เหมาะสมกับสภาพน้ำในแต่ละแหล่ง ซึ่งมีค่าความเป็นกรด-ด่าง ต่างกัน

3. EM Ball ที่ทําเสร็จแล้วไม่สามารถนําไปใช้ได้ทันที ต้องผึ่งลมไว้เป็นเวลา 3-5 วัน ห้ามตากแดดเป็นอันขาด จากนั้นสามารถนำไปใช้ หรือเก็บใส่กล่องไว้ได้นานกว่า 1 ปี

4. การใช้งาน EM Ball ที่เหมาะสมต้องนําไปใช้เฉพาะพื้นที่มีสภาพน้ำท่วมขัง หรือแหล่งน้ำนิ่งเท่านั้น และต้องใช้ในปริมาณ รวมถึงระยะเวลาที่เหมาะสม

5. ลูกบอลจุลินทรีย์ 1 ลูก ใช้ได้ในพื้นที่ราว 4-5 ลูกบาศก์เมตร (พื้นที่ 4-5 ตารางเมตร x น้ำลึก 1 เมตร)

6. EM Ball จะค่อยๆปลดปล่อยจุลินทรีย์ออกมาทํางานต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณ 7 วัน จึงจะเห็นผล อย่าเพิ่มจำนวนลูกบอลจุลินทรีย์มากเกินไป เพราะอาจเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียเพิ่มเติมได้

7. หากสังเกตว่าน้ำเสียเริ่มลดลง ไม่จำเป็นต้องโยนลูกจุลินทรีย์ลงไป เพราะนอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังจะเพิ่มจำนวนกองจุลินทรีย์ที่ต้องทำความสะอาดหลังน้ำลดด้วย




จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554

สายชล
23-11-2011, 19:01
ชมเป็นภาพการ์ตูน EM Ball จะแก้น้ำเสียได้หรือไม่ อย่างไร...

CK9PeajWzaw

สายน้ำ
28-11-2011, 07:14
น้ำหมักชีวภาพ พด.6 กับ EM BALL ความเหมือนที่แตกต่าง


จากกรณีที่มีหลายหน่วยงานได้ออกมา สนับสนุนและช่วยเหลือในการฟื้นฟูบำบัดน้ำเน่าเสียในพื้นที่ประสบอุทกภัยด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละหน่วยงานที่ทำขึ้นมา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเข้าใจและเรียกรวมผลิตภัณฑ์ที่บำบัดน้ำเสียว่า EM หรือ EM BALL

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อน ว่า จุลินทรีย์ คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู หรือเห็นเมื่อเกิดการเกาะกลุ่มกัน ซึ่งจุลินทรีย์ ประกอบด้วย แบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส และยีสต์ ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ และเป็นจุลินทรีย์ที่มีทั้งประโยชน์และโทษ สำหรับ EM ใช้กันมากทางการเกษตร ย่อมาจากคำว่า Effective Microorganism แปลว่า จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจริงๆแล้วก็เป็นหลักการเดียวกัน ที่นำจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ขณะนี้เกิดปัญหาน้ำท่วมขัง เกิดการเน่าเสียและมีกลิ่นเหม็น จึงได้มีการคัดเลือกจุลินทรีย์กลุ่มหนึ่งมาใช้ประโยชน์ แต่มีการเรียกชื่อผลิตภัณฑ์ของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนการผลิตขายโดยเอกชนในชื่อที่แตกต่างกัน รวมถึง ลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างกัน เช่น เป็นของเหลว เป็นลูกบอล หรือเป็นผง

ในส่วนของกรมพัฒนาที่ดิน เรียกว่า "น้ำหมักชีวภาพ พด.6" โดย ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีความรู้ด้านนี้โดยเฉพาะได้คัดเลือกเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียและขจัดกลิ่นเหม็น พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สารเร่ง พด.6 ซึ่งเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ประกอบด้วย ยีสต์ ทำหน้าที่ผลิตแอลกอฮอล์ช่วยรักษาความสะอาด แบคทีเรียย่อยโปรตีน และแบคทีเรียย่อยไขมัน ช่วยย่อยสลายซากสัตว์และไขมันได้เร็วขึ้น ไม่ให้เกิดการหมักหมม จนเกิดการเน่าเสียและมีกลิ่นเหม็น รวมทั้งแบคทีเรียที่ยับยั้งการเจริญเติบโต ของจุลินทรีย์ตัวร้ายที่ทำให้เกิดน้ำเน่าเหม็น แล้วนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมใช้ในรูปของเหลวสีน้ำตาล เรียกว่า น้ำหมักชีวภาพ พด.6 ซึ่งกรมพัฒนาที่ดินได้พัฒนาและใช้มาตั้งแต่ปี 2547 แล้ว รวมทั้งได้มีการศึกษา วิจัย ทดสอบถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ จนเป็นที่มั่นใจได้ในประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพ พด.6 ดังกล่าว รวมทั้งได้มีการนำไปใช้ในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น เหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นทางภาคใต้ของไทย และเหตุการณ์พายุนากิสถล่มประเทศพม่า

สำหรับการผลิตน้ำหมักชีวภาพ พด. 6 ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่มีปัญหา น้ำท่วมขังเกิดการเน่าเสียมีกลิ่นเหม็น ในครั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากระบวนการผลิตและคุณภาพน้ำหมัก จะได้รับการควบคุมและตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานตามที่กำหนด ประกอบกับได้มีการนำไปใช้ในพื้นที่ต่างๆได้ผลเป็นที่ยอมรับ และมีเสียงยืนยันตอบรับที่ดี ดังนั้น จึงยืนยันได้ว่าน้ำหมักชีวภาพ พด.6 ที่กรมพัฒนาที่ดินผลิตขึ้นนั้น สามารถนำไปใช้ในการบำบัดน้ำเน่าเสียในชุมชนได้จริง และไม่กระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้ ตลอดจนไม่ส่งผลทำให้น้ำเน่าเสียมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การนำน้ำหมักชีวภาพ พด.6 ไปใช้งาน ถ้าต้องการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องใช้ในบริเวณน้ำนิ่ง และใช้ในปริมาณที่เหมะสม คือ น้ำหมักชีวภาพ 50 ลิตรต่อพื้นที่ 250 ตร.ว. ที่ระดับน้ำลึกไม่เกิน 50 ซม. ซึ่งถ้า พื้นที่ใดมีระดับน้ำสูงกว่านี้ ก็ให้เพิ่มสัดส่วนน้ำหมักชีวภาพ พด. 6 ขึ้นไปอีก และถ้ากลิ่นยังไม่หาย สามารถใส่ซ้ำได้อีกในอัตราสัดส่วนเดิม เช่น พื้นที่ 1 ไร่ ระดับน้ำสูง 50 ซม. ใช้น้ำหมัก 80 ลิตร พื้นที่ 100 ตร.ว. ระดับน้ำสูง 50 ซม.ใช้น้ำหมัก 20 ลิตร พื้นที่ 100 ตร.ม. ระดับน้ำสูง 50 ซม. ใช้น้ำหมัก 5 ลิตร โดยเทในน้ำเสียทุกๆ 3-7 วัน จนกว่าน้ำจะใสและกลิ่นลดลง

นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ขณะนี้กรมได้ผลิตน้ำหมักชีวภาพ พด.6 เพื่อนำไปบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนที่ประสบอุทกภัยแล้วใน 22 จังหวัด ประมาณ 12 ล้านลิตร แต่ด้วยพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำท่วมขัง เกิดการเน่าเสีย และมีกลิ่นเหม็นยังมีอีกมาก โดยเฉพาะใน กทม.และเขตภาคกลาง กรม ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ให้รับผิดชอบดำเนินการบำบัดน้ำเน่าเสีย ในพื้นที่ชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม ดังนั้น กรมพัฒนาที่ดินจึงได้จัดทำแผนช่วยเหลือ เพิ่มเติม จนกว่าปัญหาความเดือดร้อนของ ประชาชนจะทุเลาลง

ทั้งนี้ เกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำเน่าเสีย สามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือได้ที่ กรมพัฒนาที่ดิน ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม. 10900 โทร.สายด่วน 1760 กด 7 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ หรือ ที่สถานีพัฒนาที่ดินจังหวัดทั่วประเทศ




จาก ....................... แนวหน้า วันที่ 28 พฤศจิกายน 2554

สายชล
03-02-2012, 15:10
รวบรวมมาไว้ด้วยกันค่ะ..



ผู้จัดการออนไลน์


จุฬาฯ คลี่ผลวิจัย “อีเอ็ม” ไม่ช่วยแก้น้ำเสีย

http://pics.manager.co.th/Images/555000001531401.JPEG
จุฬาฯ เผยผลทดสอบอีเอ็มอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ชี้ไม่ช่วยทำให้น้ำดีขึ้น

คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เผยผลทดสอบประสิทธิภาพ “อีเอ็ม” ในการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำท่วมขัง พบคุณภาพน้ำไม่ดีขึ้น ซ้ำร้ายปริมาณออกซิเจนกลับลดลง อีกทั้งปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่ผลจากจุลินทรีย์แต่เป็นสารที่เกิดจากการหมักเชื้อ แนะใช้ “ปูนขาว” ได้ผลดีและถูกกว่า หรือเก็บขยะและเติมอากาศจะให้ผลดีกว่า

จากข้อถกเถียงว่าการนำเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็ม (EM: Effective Microorganism) มาใช้บำบัดน้ำเสียนั้นได้ผลจริงหรือไม่ ทางคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้ทำการทดลองวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบว่าอีเอ็มสามารถบำบัดน้ำเสียจากน้ำท่วมที่ผ่านมาได้หรือไม่ โดยมุ่งตอบคำถามว่าอีเอ็มนั้นช่วยเพิ่มออกซิเจนในน้ำเสียได้หรือไม่ โดยเก็บตัวอย่างน้ำเสียที่ท่วมขังบริเวณ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 6-16 ธ.ค.54 มาใส่โหลทดสอบ

น้ำเสียจากน้ำท่วมขังดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นชุดทดลอง 3 ชุด คือ ชุดควบคุม ที่ไม่ได้เติมอีเอ็มลงน้ำเสีย ชุดอีเอ็ม ที่เติมอีเอ็มซึ่งเลี้ยงด้วยกากน้ำตาลนาน 2 วันลงไปในน้ำเสีย และชุดอีเอ็มกรอง ซึ่งเติมน้ำอีเอ็มที่ขยายด้วยกากน้ำตาลแต่กรองตัวเชื้อทิ้งไป เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์หรือสารเคมีต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ กรดแลคคิก เป็นต้น ที่เชื้อสร้างขึ้นนั้นเป็นตัวการที่ทำให้น้ำเสียใสขึ้นหรือไม่

http://pics.manager.co.th/Images/555000001531402.JPEG
การทดสอบประสิทธิภาพอีเอ็มของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

จากนั้นตรวจวิเคราะห์ค่าดัชนีคุณภาพน้ำ 5 ค่า ได้แก่ 1.ค่าบีโอดี (BOD) ที่บอกถึงปริมาณออกซิเจนที่แบคทีเรียใช้ย่อยสารอินทรีย์ในน้ำ หากมีค่าสูงแสดงว่าน้ำสกปรกมาก 2.ค่าซีโอดี (COD) บอกถึงปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในปฏิกิริยาเคมีเพื่อย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำ ยิ่งค่าสูงน้ำยิ่งสกปรก 3.ค่าดีโอ (DO) คือปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำ ยิ่งมีค่าสูงน้ำยิ่งมีคุณภาพดี 4.ค่าไนโตรเจนอินทรีย์ในน้ำ ยิ่งสูงยิ่งไม่ดี และค่าทีเอสเอส (TSS) หรือปริมาณของแข็งแขวนลอยในน้ำ ยิ่งมีค่าสูงยิ่งไม่ดี

น้ำเสียที่นำมาทดสอบประสิทธิภาพอีเอ็มนี้มีค่าบีโอดีประมาณ 13.33 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งมีความเน่าเสียต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานแหล่งน้ำผิวดินที่มีค่าบีโอดีได้ไม่เกิน 4 มิลลิกรัมต่อลิตร และเมื่อเริ่มทดลองพบว่าชุดอีเอ็มและชุดกรองอีเอ็มมีค่าบีโอดีสูงขึ้นใกล้เคียงน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมคือประมาณ 20 มิลลิกรัมต่อลิตร และเมื่อผ่านไป 2 วันพบว่าชุดควบคุมยังคงมีค่าบีโอดีต่ำกว่าชุดอีเอ็มและชุดกรองอีเอ็ม และเมื่อทิ้งไว้ 7 วัน พบว่าชุดควบคุมมีค่าซีโอดีต่ำกว่าของชุดอีเอ็มและชุดกรองอีเอ็ม ส่วนค่าดีโอนั้นพบว่าเมื่อทิ้งไว้หลังการทดลองชุดอีเอ็มและชุดกรองอีเอ็มมีค่าต่ำกว่าชุดควบคุม ส่วนค่าไนโตรเจนอินทรีย์และค่าทีเอสเอสนั้นไม่พบความแตกต่างระหว่างชุดทดลอง

ทางทีมวิจัยจึงสรุปว่าการเติมอีเอ็มหรือผลิตภัณฑ์จากอีเอ็มลงในน้ำเสียจากน้ำท่วมนั้นไม่ได้ส่งผลให้น้ำมีคุณภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเทียบกับน้ำเสียในชุดควบคุม ในทางตรงกันข้ามการเติมอีเอ็มลงในน้ำกลับส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง และปฏิกิริยาใดๆ ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ของอีเอ็ม ที่ได้ระหว่างการเลี้ยงขยายเชื้อด้วยกากน้ำตาล จึงเป็นผลให้เมื่อนำน้ำอีเอ็มที่ขยายแล้วไปใช้ ต้องเติมน้ำอีเอ็มขยายลงไปเรื่อยๆ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001531403.JPEG
กราฟแสดงค่าบีโอดีของชุดทดลอง พบว่าในชุดอีเอ็มและชุดกรองอีเอ็มมีค่าสูงกว่าชุดควบคุมในวันแรกๆ

ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวว่า ที่ผ่านมามีงานวิจัยเกี่ยวกับอีเอ็มน้อยมาก และแทบไมมีงานวิจัยที่ปราศจากการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอีเอ็ม งานวิจัยครั้งนี้จึงเป็นงานวิจัยแรกๆ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอีเอ็มอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเขากังขาว่าภายในอีเอ็มหรือลูกอีเอ็มบอลนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ชนิดใดอยู่บ้างแน่ๆ ทั้งนี้ผู้สนับสนุนอีเอ็มมักอ้างว่ามีแบคทีเรียสีม่วงซึ่งสังเคราะห์แสงได้ แต่จริงๆ แล้วเป็นการสังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหารให้ตัวเอง แต่ไม่ได้ผลิตออกซิเจนหรือต้นไม้หรือสาหร่ายแต่อย่างใด

ทางด้าน รศ.ดร.สุเทพ ธรียวัน หัวหน้าทีมวิจัย และหัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา จุฬาฯ กล่าวว่า อีเอ็มนี้ช่วยกำจัดกลิ่นได้อย่างไม่ต้องสงสัยแต่ไม่ได้หมายความว่าความสกปรกของน้ำจะลดลงด้วย ทั้งนี้ แบคทีเรียสีม่วงมีคุณสมบัติเปลี่ยนสารเคมีก๊าซไข่เน่าไปเป็นสารรูปอื่นที่ไม่มีกลิ่น และทีมวิจัยไม่ได้ใช้ก้อนอีเอ็มบอลทดสอบเพราะทราบแน่ชัดว่ามีสารอินทรีย์ที่สร้างปัญหาให้เกิดน้ำเน่าอย่างแน่นอน และเลือกใช้น้ำอีเอ็มยอดนิยมที่มีขายตามท้องตลาด และการเติบกากน้ำตาลย่อมทำให้ความสกปรกเพิ่มขึ้น

รศ.ดร.สุเทพ ยังกล่าวด้วยว่า จริงๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้สนใจเท่าไรต่อค่าน้ำเสียทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นตัวเลข แต่ปัญหาที่ชาวบ้านสนใจคือน้ำใสไม่มีกลิ่น ซึ่งมีทางเลือกอื่นที่ได้ผลและถูกกว่า นั่นคือการใช้ปูนขาว โดย ผศ.ดร.เจษฎาได้ทดลองใช้ดูในบริเวณน้ำท่วมที่ดอนเมือง และพบว่าได้ผลในการช่วยลดกลิ่นได้ดี พร้อมกันนี้ทีมวิจัยได้แนะว่าทางที่ดีควรช่วยกันเก็บขยะ ลดการทิ้งสารอินทรีย์ลงในน้ำและช่วยกันเติมอากาศก็จะช่วยลดปัญหาน้ำเน่าเสียได้

ส่วน ผศ.ดร.เจษฎาเสริมอีกว่า อีเอ็มนี้ใช้ได้ผลดีในดารทำปุ๋ยหมักทางการเกษตร ซึ่งควรจะจำกัดวงอยู่ในกรอบนั้นต่อไป สิ่งที่เขากลัวคือกลัวว่าศรัทธาต่ออีเอ็มจะไปไกลเกินกว่านั้นเหมือน “น้ำป้าเชง” หรืออาจเลยเถิดไปถึงขั้นอ้างว่ารักษาสิว เสริมความแข็งให้แก่คอนกรีต หรือข้ออ้างอื่นๆ ทางที่ดีควรช่วยกันลดทิ้งขยะลงน้ำเป็นดีที่สุด

http://pics.manager.co.th/Images/555000001531404.JPEG
ทีมวิจัยแถลงผลทดสอบ

สำหรับทีมวิจัยประกอบด้วย ศ.ดร.สุพจน์ หารหนองบัว คณะบดีคณะวิทยาศาสตร์, รศ.ดร.สุเทพ ธนียวัน หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา, รศ.ดร.กำธร ธีรคุปต์ หัวหน้าภาควิชาชีววิทยา, รศ.ดร.ไทยถาวร เลิศวิทยาประสิทธิ หัวหน้าวิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล, ศ.ดร.อรัญ อินเจริญศักดิ์ ภาควิชาชีวเคมี, ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ภาควิชาชีววิทยา, ดร.อนุสรณ์ ปานสุข ภาควิชาชีววิทยา และ ดร.สราวุธ ศณีทองอุทัย ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม