PDA

View Full Version : คำเตือนเรื่อง "สุขภาพ"


สายน้ำ
10-10-2011, 08:26
กว่าจะเป็นมะเร็งตับ! ต้องรู้ก่อนสาย

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/09/etc/hl10102011.jpg

'เงิน' อาจจะไม่สามารถซื้อสุขภาพอันแข็งแรงกลับคืนมาได้ หากโรคภัยร้ายคุกคามในระยะรุนแรงไปแล้ว เช่นกรณี 'สตีเฟน จ็อบส์' อดีตซีอีโอของแอปเปิล ผู้คิดค้นและบุกเบิกอุปกรณ์ไอทีทันสมัย และมหาเศรษฐีคนหนึ่ง แม้จะมีทรัพย์สินกว่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังต้องลาโลกไปในวัยเพียง 56 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ

เมื่อกล่าวถึงโรคมะเร็งตับแล้ว ในงานสัมมนาของบริษัทโรช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับได้พูดคุยอย่างเข้ากระแสกับข่าวการสูญเสียคนดังอย่าง สตีเฟน จ็อบส์ โดย รศ.นพ.ทวีศักดิ์ แทนวันดี สาขาวิชาโรคระบบทางเดินอาหาร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ไวรัสตับอักเสบ บี ถือเป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และโรคมะเร็งตับ

นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นเพชฌฆาตเงียบ เนื่องจากระยะการดำเนินโรค(ชนิดเรื้อรัง)กินเวลานานหลายปี ซึ่งระหว่างนั้นจะไม่ปรากฏอาการผิดปกติให้ผู้ป่วยรู้ตัวได้เลย โดยเฉพาะในไทย มีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี 3.5 ล้านรายในปัจจุบัน ขณะที่โรคมะเร็งตับซึ่งเป็นปลายทางการพัฒนาโรคของไวรัสตับอักเสบ บีนั้น คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มโรคมะเร็ง

เหตุที่ทำให้โรคไวรัสตับอักเสบ บี สร้างความสูญเสียได้มาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า โรคดังกล่าวติดต่อได้ง่ายกว่าเชื้อเอชไอวีถึง 50-100 เท่า โดยติดต่อได้หลายช่องทาง อาทิ จากมารดาสู่ทารกในระหว่างตั้งครรภ์หรือตอนคลอด ติดต่อทางเลือดจากการได้รับเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อ ทางเพศสัมพันธ์ การใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ และการติดเชื้อเพราะใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาดในการทำฟัน สัก หรือเจาะตามร่างกาย

จากการติดต่อที่ง่ายและไม่รู้ตัวของโรคไวรัสตับอักเสบ บี นั้น รศ.นพ.ทวีศักดิ์ จึงเตือนให้ทุกคนควรตรวจหาเชื้อไวรัสร้ายดังกล่าว โดยวิธีการตรวจที่แนะนำคือ การวัดปริมาณเปลือกของไวรัสตับอักเสบ บี หรือเอส-แอนติเจน (HBsAg) ซึ่งโดยทั่วไปจะค่าใช้จ่ายในการตรวจอยู่ที่หลักร้อย และทราบผลได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งนี้ หากผลการตรวจชี้ว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี ก็จะได้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาซึ่งมีทั้งการรับประทานยาและการฉีดยาอย่างต่อเนื่อง

ด้าน รศ.นพ.ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ ผอ.สถาบันโรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อัพเดตวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี ที่สอดรับกับแนวคิดการรักษาเฉพาะบุคคล (Personalised Healthcare) ว่า ขณะนี้มีวิธีใหม่ใช้รักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยยาในกลุ่มเพ็คอินเตอร์เฟอรอน (peginterferon) เป็นหลัก ใช้ต่อเนื่องระยะ 48 สัปดาห์ จะมีประสิทธิภาพต่อสู้กับโรคสองแนวทางคือ การต่อสู้กับไวรัสโดยตรง และในเวลาเดียวกันจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันเข้าจัดการกับเชื้อโรค

สำหรับวิธีรักษาด้วยยากลุ่มเพ็คอินเตอร์เฟอรอนนั้น รศ.นพ.ธีระ เผยว่า เหมาะสมที่จะใช้กับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ บี ที่มีอายุมาก ผลตรวจเปลือกของไวรัสตับอักเสบ บี เป็นบวก มีค่าเอนไซม์ในเซลล์ตับสูงกว่าปกติ 2 เท่า และที่พบว่าจำนวนไวรัสชนิดนี้มีมากเกิน 1 พันล้านตัว

เมื่อการแพทย์คิดหาวิธีที่ดีในการตรวจและรักษาโรคไวรัสตับอักเสบ บี อย่างนี้แล้ว หากไม่อยากป่วยตายด้วยโรคมะเร็งตับไปอีกราย คนรักษ์สุขภาพทั้งหลายคงไม่ละเลยตรวจหาความผิดปกติของตับ.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สารพันวันละโรค วันที่ 10 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
15-10-2011, 07:30
โรคมือ เท้า ปาก ระบาดช่วงฤดูฝน

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/10/images/news_img_413023_1.jpg

การระบาดครั้งล่าสุดของโรคมือ เท้า ปาก ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ทำให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาตรการเฝ้าระวังการระบาดของโรคดังกล่าวในเด็กเล็กอีกครั้ง หลังจากที่พบผู้เสียชีวิตจากโรคมือ เท้า ปาก ครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย

สาเหตุของโรคที่รุนแรงเกิดจากเชื้อเอ็นเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) หรือ อีวี 71 ซึ่งพบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ทำให้สถานการณ์ของโรคระบาดรุนแรงขึ้นกว่าที่ผ่านมา โดยปกติสาเหตุของเชื้อโรคมือ เท้า ปาก ที่พบบ่อยในไทยคือ เชื้อไวรัสค็อกซากี (Coxsackie) ชนิดเอ 16 พบในเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป และอยู่ภายใต้การติดตามทางระบาดวิทยามาโดยตลอด

กล่าวว่า โรคมือ เท้า ปากเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน โดยมีการระบาดช่วงฤดูฝน สาเหตุจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยไวรัสค็อกซากีเป็นสายพันธุ์ที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง

แต่การระบาดของเชื้อโรคมือ เท้า ปาก ครั้งนี้มีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเชื้อเอนเตอโรไวรัส 71 หรือ อีวี 71 ที่พบก่อโรคในเด็กกลุ่มอายุน้อยลง คือ อายุน้อยกว่า 2 ปี เมื่อได้รับเชื้อจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง มีไข้สูง อาเจียนมาก หายใจหอบ มีภาวะขาดน้ำ ความดันโลหิตต่ำจนช็อก ในกรณีที่มีสมองอักเสบร่วมด้วย มีอาการชักเกร็ง ซึม และเสียชีวิตได้

โรคมือ เท้า ปาก มีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ และติดต่อกันได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการ สามารถแพร่ผ่านทางระบบทางเดินอาหารและการหายใจ และติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วย ตลอดจนการติดต่อโดยอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคชนิดนี้

อาการแสดงออกของโรค ในเด็กจะมีอาการไข้ เจ็บปาก น้ำลายไหล กินอาหารได้น้อย เนื่องจากมีแผลที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก มีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขา อาการดังกล่าวมักมีเกิดขึ้น 2-3 วันและดีขึ้นจนหายได้ใน 1 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง

โรคมือเท้าปากโดยทั่วไปไม่น่ากลัว สามารถหายป่วยได้เอง มีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรง จากเชื้ออีวี 71 ที่ทำให้สมองอักเสบร่วมกับระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว และเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว เด็กที่มีอาการรุนแรงมักมีไข้สูง ซึมอ่อนแรง มือสั่น เดินเซ อาเจียนมาก หายใจหอบ และชัก หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบพาพบแพทย์โดยด่วน

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทั้งยังไม่มียารักษาจำเพาะ แต่สิ่งที่แพทย์ปฏิบัติ คือการรักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาชาเฉพาะที่ สำหรับแผลในปาก ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำ เด็กที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม การป้องกันการแพร่ระบาดของโรค สามารถทำได้โดยแยกผู้ป่วยที่เป็นโรค "ไม่ให้" ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ ทำความสะอาดของเล่นและสภาพแวดล้อมทุกวัน เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังเด็กคนอื่น

การทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปสามารถกำจัดเชื้อได้ ควรระมัดระวังความสะอาดของน้ำ อาหารและสิ่งของที่เด็กอาจเอาเข้าปาก ในขณะที่โรงเรียนควรแยกเด็กป่วยให้ลาหยุดอย่างน้อย 5 วันจนหายดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อแก่เด็กอื่นๆ

ขณะเดียวกันควรพิจารณาปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยเป็นโรคมากกว่า 2 คน และหากมีเด็กป่วยหลายชั้นเรียน ควรปิดโรงเรียนอย่างน้อย 5 วัน พร้อมทำความสะอาดห้องเรียน ห้องน้ำ สระว่ายน้ำ ของเล่น อุปกรณ์รับประทานอาหาร เป็นต้น

เด็กที่ติดเชื้อโรคมือ เท้า ปาก สามารถหายได้เอง หากไม่มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น




จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 ตุลาคม 2554

ตุ๊กแกผา
15-10-2011, 18:52
ขออนุญาตเพิ่มเติมในส่วนของโรคไวรัสตับอักเสบบีค่ะ (เพราะทำงานอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือแผนกทางเดินอาหารและโรคตับ) คือ สามารถป้องกันได้แต่เนิ่นๆเลยทีเดียว โดยการฉีดวัคซีน(3เข็ม) แต่ก่อนที่จะฉีดวัคซีน ก็ควรไปตรวจก่อนว่ามีการติดเชื้อรึเปล่าและมีภูมิฯรึยัง แต่ส่วนใหญ่ตามรพ.ต่างๆมักต้องเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ(HBsAg)และดูภูมิ(AntiHBs)ก่อนอยู่แล้ว .......ทุกโรงพยาบาลมีการตรวจเรื่องนี้หมดค่ะ

สายน้ำ
16-10-2011, 08:37
เตือนระวัง!! เชื้อไวรัส ''อาร์เอสวี'' ติดต่อง่ายแพร่ระบาดช่วงปลายฝน

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/16/newspaper/p4thurl.jpg

ฤดูฝนช่วงเวลานี้อากาศมีความเปลี่ยนแปลงสัมผัสได้ทั้งความร้อนและสายลมเย็นๆ โอกาสจะเจ็บป่วยอาจเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุซึ่งคงต้องเฝ้าระวังดูแลสุขภาพเตรียมความพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ

เรสไพราทอรีซินซิเชียลไวรัส หรือ ไวรัสอาร์เอสวี (RSV) สาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง เป็นไวรัสที่พบแพร่ระบาดช่วงเวลานี้ที่เกิดได้ทั้งในเด็กเล็กและผู้ใหญ่ เมื่อติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจส่วนล่างผู้ติดเชื้อร้อยละ 70 มักเกิดอาการปอดบวมและหลอดลมฝอยส่วนปลายอักเสบ ซึ่งพบมากในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ!!

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังมีรายงาน พบผู้ติดเชื้ออาร์เอสวีทั่วโลกกว่า 64 ล้านคนและคร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลกไปแล้วกว่า 200,000 ราย ขณะที่อุบัติการณ์ของผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะอาจขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ประกอบกับเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านทางการสัมผัสและหายใจ ส่งผลให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในช่วงวัยเรียน

รศ.แพทย์หญิงอรพรรณ โพชนุกูล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจในเด็ก หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยา คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และกรรมการสมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า ไวรัสชนิดนี้มักแพร่ระบาดช่วงปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีความชื้นสูง

อาการที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปเมื่อติดเชื้อไวรัสช่วงแรกจะคล้ายกับไข้หวัดจะมีอาการไข้ ไอ จาม คัดจมูกน้ำมูกไหล ฯลฯ จากนั้นมีอาการไข้สูง ไอมากขึ้นมีเสมหะ ไอหอบ หายใจหอบเหนื่อยและมักหายใจมีเสียงดังวี้ดๆ หน้าอกบุ๋มยุบลงโดยพบมากในเด็กเล็กซึ่งหากเด็กได้รับเชื้อจะทานอาหาร ทานนมได้ลดน้อยลง

อีกทั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อนหูชั้นกลางอักเสบโดยจะมีอาการไข้ ปวดหู ฯลฯ หากปล่อยทิ้งไว้แก้วหูอาจทะลุมีปัญหาในเรื่องการได้ยิน!!

นอกจากนี้ไวรัสอาร์เอสวียังเป็นสาเหตุของโรคปอดบวมมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นหอบหืด นอกเหนือจากเกิดขึ้นกับเด็กเล็กแล้วยังส่งผลถึงผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่ต้องเฝ้าระวัง ทั้งนี้เพราะภูมิต้านทานไม่แข็งแรงรับเชื้อได้ง่าย

“สิ่งที่ต้องเน้นย้ำในการหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสอาร์เอสวี คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ยิ่งช่วงเวลานี้ที่อากาศมีความชื้นและเปลี่ยนแปลงบ่อย หากละเลยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจจะลุกลามไปจนเกิดโรคปอดบวม ปอดอักเสบ นอกจากนี้เด็กที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหอบหืด”

เชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถติดต่อได้ง่ายทั้งการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อนี้อยู่แล้วหรือมีการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสผ่านทางตา จมูกหรือทางการหายใจ ดังนั้นหากเริ่มมีอาการป่วยโดยเริ่มแรกจะเหมือนไข้หวัด มีอาการไข้ต่ำๆ ไอ จาม ฯลฯ อย่านิ่งนอนใจควรสังเกตอาการ หากหายใจมีเสียงวี้ดๆ หอบเหนื่อยควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยว่าลุกลามติดเชื้อไปยังทางเดินหายใจส่วนล่างหรือไม่ หากเคยเป็นหอบและเป็นบ่อยควรพบแพทย์เพื่อป้องกันไม่ให้หอบกลายเป็นหืดในอนาคต

ก่อนต้องเผชิญกับภัยสุขภาพดังกล่าวการป้องกันเตรียมพร้อมไว้สิ่งนี้มีความสำคัญซึ่งในเด็กเล็กและในผู้สูงอายุ แพทย์หญิงอรพรรณให้คำแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า หากป่วยเป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย การใช้หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ล้างมือบ่อยๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด ส่วนช่วงเวลานี้ที่ยังคงเป็นฤดูฝนอากาศมีความชื้นหรือหากอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศเย็นควรสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงจากเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว แต่อย่างไรแล้วต้องสังเกตอาการควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่าคิดเป็นเพียงแค่หวัดธรรมดา อีกทั้งในเรื่องสุขอนามัยควรเคร่งครัดโดยโรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาดมีประโยชน์ รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ ฯลฯ ก็ไม่ควรละเลยเพราะข้อปฏิบัติเหล่านี้ช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากภาวะเจ็บป่วย.



เคล็ดลับสุขภาพดี แนะตั้งสติรับมือความเครียดจากภัยน้ำท่วม

ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของไทยกำลังเผชิญกับอุทกภัยอย่างหนัก สร้างความลำบาก บอบช้ำ ทุกข์ระทม บางครอบครัวสูญเสียชีวิตญาติพี่น้องอันเป็นที่รักไป บางครอบครัวสูญเสียทรัพย์สินแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ทำให้เกิดภาวะเครียดนอนไม่หลับ บางรายถึงขั้นซึมเศร้า ท้อแท้จนอยากฆ่าตัวตายเพราะไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร!?

นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ แนะนำว่า ประชาชนชาวไทยต้องประสบปัญหาน้ำท่วมและเผชิญปัญหาหลายด้านไปพร้อมๆกัน ไม่ว่าจะเป็นความไม่สะดวกในเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน การนอน รวมไปถึงการขับถ่าย นอกจากนี้ยังมีความทุกข์ใจจากทรัพย์สินที่เสียหาย ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถยนต์ เงินทอง พื้นที่การเกษตร บางคนเจ็บป่วย สูญเสียญาติพี่น้อง ส่งผลให้เกิดความเครียดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจป่วยเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ อย่างไรก็ตามคนเรามีความสามารถในการรับมือกับความเครียดได้ไม่เท่ากัน ทำให้แสดงออกมาได้หลายรูปแบบ เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หายใจไม่อิ่ม ใจสั่น หายใจไม่ออก ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน บางรายรุนแรงจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เกิดอาการกลัว วิตกกังวลรุนแรง ตื่นตระหนก

ดังนั้นเราจึงต้องตั้งสติเพื่อรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยการปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้

1. ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทำความเข้าใจและยอมรับว่าภัยพิบัติไม่ได้เกิดกับเราคนเดียว แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเราอีกเยอะ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นต้องมีทางออกแต่ต้องใช้เวลาบ้าง เราท้อแท้ได้แต่อย่านานและต้องลุกขึ้นเดิน

2. จัดลำดับความสำคัญของปัญหา เมื่อตั้งสติได้แล้วให้มองปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเพื่อจัดลำดับ เช่น การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ ที่อยู่ การกิน การนอน ห้องน้ำ การขับถ่าย การแก้ปัญหาระยะยาวเป็นเรื่องที่ไม่ด่วน ได้แก่ หลังจากนี้จะป้องกันน้ำท่วมอย่างไร การช่วยเหลือของรัฐบาลหลังน้ำลด ซึ่งเป็นเรื่องไม่ด่วนและสำคัญเท่ากับชีวิตความเป็นอยู่ก็ปล่อยวางไปก่อน เมื่อจัดลำดับได้แล้วก็ค่อยๆแก้ไปทีละอย่าง เพราะการแก้ปัญหาได้สำเร็จไปทีละข้อจะช่วยให้เกิดความมั่นใจ กำลังใจจะค่อยๆเกิดขึ้นจนกลายเป็นว่าจะสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้

3. พยายามใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ค่อยๆปรับวิธีคิดและปล่อยวางเรื่องทรัพย์สินซึ่งเป็นสิ่งของนอกกาย อนาคตยังมีโอกาสหาใหม่ได้ และใช้ชีวิตที่เรียบง่ายเพื่อลดความเครียด เพราะบางคนเครียดเนื่องจากเป็นห่วงทรัพย์สินจนไม่ยอมอพยพขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงเหนือน้ำ บางครั้งเราต้องชั่งน้ำหนักระหว่างทรัพย์สินกับชีวิตและสุขภาพด้วยว่าสิ่งใดสำคัญกว่ากัน ซึ่งทรัพย์สินมีค่าก็สำคัญในระดับหนึ่งเราอาจจะรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านสลับเวรยามกันเฝ้าก็ได้ อย่างน้อยๆ ทรัพย์สินก็มีคนดูแลรวมถึงสุขภาพก็ได้รับการดูแลเช่นกันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยจนเกินไป และ

4. เอาใจใส่ดูแลกันและกัน ข้อนี้สำคัญโดยใครที่มีจิตใจที่แข็งแรงต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอด้วยการให้กำลังใจหรือรับฟังคนที่เครียดมากๆให้ได้ระบายความรู้สึกออกมา เพราะเพียงแค่มีคนมารับฟังก็สามารถช่วยทำให้ผู้ประสบปัญหาหรือมีความเครียดรู้สึกดีได้ในระดับหนึ่ง

ถึงแม้อุทกภัยในครั้งนี้จะรุนแรงมากและไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เราจะผ่านพ้นไปได้ แต่ถ้าเรามีสติและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับตั้งหลักวางแผนและให้กำลังใจซึ่งกันและกันก็จะทำให้มีกำลังใจเดินหน้าต่อสู้กับปัญหาเพื่อผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้สำเร็จ.



สรรหามาบอก

- คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญบุคลากรและประชาชนร่วมบริจาคเงินและเครื่องอุปโภค–บริโภค เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลา 08.30–16.30 น. ที่โถงอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) และคณะภาคสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ขอเชิญสมาชิกชมรมสตรีวัยทองและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพสตรีวัยทอง ครั้งที่ 7 ในหัวข้อ “กระเป๋าตุงและปลอดมะเร็งในวัยทอง” ในวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2554 เวลา 08.00-12.00 น. ณ ห้องประชุมตรีเพ็ชร อาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ชั้น 15 (รับจำนวนจำกัด 500 ท่าน) สอบถาม โทร. 0-2419-4657-8

- โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จัดงานสัปดาห์เทิดพระเกียรติสมเด็จย่า ประจำปี 2554 ขอเชิญประชาชนผู้สนใจชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จย่าและบริการทางทันตกรรมฟรี ใน วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2554 เนื่องในวันทันตสาธารณสุข ประจำปี 2554 โดยมีบริการทันตกรรมแก่ผู้ใหญ่ จำนวน 400 ราย และเด็ก จำนวน 200 ราย โดยไม่คิดมูลค่า ณ คลินิกบริการสุขภาพช่องปาก อาคารราชสุดา เปิดรับคิวตั้งแต่เวลา 08.00-15.00 น. ณ โถงชั้น 1 อาคารปิยชาติ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่งานประชาสัมพันธ์ โทร. 0-2926-9310-1 ในวันและเวลาราชการ

- โรงพยาบาลพญาไท 3 ขอเชิญร่วมกิจกรรม “Smart Brain & Spine พญาไท 3 ใส่ใจสุขภาพสมองและกระดูกสันหลัง” ภายในงานมีนิทรรศการให้ความรู้ของศูนย์สมองและระบบประสาทและให้คำปรึกษาด้านสมองและกระดูกสันหลัง รวมทั้งกิจกรรมให้ความรู้หัวข้อเทคโนโลยีการผ่าตัดสมองและกระดูกสันหลังและโรคความจำเสื่อมรักษาได้ สนใจร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2554 ณ ลาน OPD ชั้น 1 โรงพยาบาลพญาไท 3 สอบถาม โทร. 1772

- ชมรมอายุวัฒนา โรงพยาบาลนครธน ขอเชิญผู้รักสุขภาพร่วมกิจกรรมเสวนา “หัวใจดี...มีชัยไปกว่าครึ่ง” พร้อมร่วมกันปฏิบัติธรรมและออกกำลังกายท่าฤาษีดัดตน ใน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2554 เวลา 08.30-12.00 น. ณ ห้องประชุมทองสิมา ชั้น 4 โรงพยาบาลนครธน สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0-2450-9999.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 16 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
16-10-2011, 08:44
'อย่าประมาท'!!.... โรค มือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว ..... ตอน 1 .................. โดย นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/16/newspaper/p6thurl3.jpg

จากสถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา พบผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 12,155 คน : ตั้งแต่ 1 ม.ค.-22 ก.ย.54 อัตราป่วยคิดเป็น 19.13 ต่อประชากรแสนคน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน

โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อทางปาก ไอ จามรดกัน แม้ความรุนแรงของโรคไม่สูง แต่เนื่องจากติดกันง่ายจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบว่าต้นเหตุน่าจะเป็นเพราะเด็กเล่นคลุกคลีกันและติดเชื้อ เมื่อเด็กติดเชื้อผู้ปกครองก็ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ เด็กจึงนำเชื้อไปติดเด็กคนอื่น ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย อาหาร ให้มีสุขอนามัยที่ดีเพราะเป็นวิธีการป้องกันโรคนี้ดีที่สุด

1. โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot and Mouth Disease) คือโรคอะไร ...
โรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มอาการหนึ่งซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสที่สามารถเจริญเติบโตได้ในลำไส้ ที่เรียกว่า เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งพบเฉพาะในคนเท่านั้น และมีหลากหลายสายพันธุ์ สำหรับสายพันธุ์ที่ก่อโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ คอกแซกกีไวรัสกรุ๊ป เอ และบี (Coxsackie virus group A, B) และที่ก่อโรครุนแรงที่สุด คือ เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71

เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่ามีรายงานผู้ป่วยสูงกว่าเกือบ 3 เท่า และมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุระหว่าง 2 สัปดาห์ ถึง 3 ปี โรคนี้ไม่เป็นปัญหาในผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

2.โรคนี้พบที่ใดบ้าง ...
โรคนี้พบผู้ป่วยและการระบาดได้ทั่วโลก มีรายงานการระบาดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเอนเทอโรไวรัส 71 ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ประเทศเวียดนามมีข้อมูลล่าสุดพบผู้ป่วยกว่า 42,673 ราย เสียชีวิตกว่า 98 ราย ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย พบผู้ป่วยในปีนี้ 2,919 ราย ลดลงจากปีที่แล้ว (2553) ที่พบผู้ป่วยถึง 8,769 ราย โดยในปีนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิต แหล่งที่มา : http://outbreaknews.com /04 September 2011

3. โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้อย่างไร ...
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อโดยการได้รับเชื้อโดยตรงทางปาก ซึ่งเชื้อจะติดมากับมือ ภาชนะที่ใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือของเล่นที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มพอง แผลในปาก หรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เชื้อจะผ่านเข้าไปที่ลำคอ และลงไปที่ลำไส้ โดยเชื้อจะเพิ่มจำนวนที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รวมทั้งทอนซิล และเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลือง สำหรับเชื้อไวรัสที่อยู่ในลำไส้ จะถูกขับถ่ายปนมากับอุจจาระเป็นระยะๆได้นานถึง 6-8 สัปดาห์ แม้อาการจะทุเลาลงแล้วก็อาจแพร่เชื้อได้ การติดต่อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อไวรัสออกมามาก การแพร่กระจายเชื้อจะเกิดได้ง่ายมากในเด็กเล็ก ที่ชอบเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกันในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือญาติพี่น้องที่อยู่รวมกัน

4. หากติดเชื้อแล้วจะเริ่มแสดงอาการเมื่อใด ...
ส่วนใหญ่อาการป่วยจะแสดงภายใน 3-5 วัน หลังได้รับเชื้อ โดยไข้เป็นอาการแสดงเริ่มแรกของโรค

5. อาการของโรคเป็นอย่างไร ...
เริ่มด้วยมีไข้ (อาจเป็นไข้สูงในช่วง 1-2 วันแรก และลดลงเป็นไข้ต่ำ ๆ อีก 2-3 วัน) มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบในปาก มักพบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ทำให้เจ็บปากไม่อยากรับประทานอาหาร จะเกิดผื่นแดง ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ แดงที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่อื่น เช่น หัวเข่า ก้น เป็นต้น ผื่นนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ แดง (maculo-papular vesicles) มักไม่คัน แต่เวลากดจะเจ็บ ต่อมาจะแตกออกเป็นหลุมตื้นๆ (ulcer) อาการจะดีขึ้นและแผลหายไปใน 7-10 วัน

ในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต พบว่าบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (aseptic meningitis) ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ตามมาด้วยปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ระบบหัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้ สัญญาณอันตราย ได้แก่ ไข้สูง (ไม่ลดลง) ซึม อาเจียนบ่อย หอบ และแขนขาอ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตคล้ายโปลิโอ

6.ผู้ใหญ่สามารถติดโรคมือ เท้า ปาก จากเด็กได้หรือไม่ ...
ผู้ใหญ่มักมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้จากการได้รับเชื้อขณะเป็นเด็ก ซึ่งภูมิต้านทานนี้ จะจำเพาะกับชนิดของไวรัสที่เคยได้รับ หากได้รับเชื้อชนิดใหม่ที่ยังไม่มีภูมิต้านทาน ก็สามารถเป็นโรคได้อีก ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่เด็กหรือผู้อื่นได้

7. หญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก เสี่ยงติดโรคหรือไม่ ...
ส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากมีอาการป่วยควรรีบปรึกษาแพทย์ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลแสดงว่าการติดเชื้อมีผลต่อการแท้งบุตร ความพิการ หรือเด็กเสียชีวิตในครรภ์ อย่างไรก็ตาม เด็กอาจได้รับเชื้อขณะคลอด หากมารดาป่วยในช่วงใกล้คลอด เด็กแรกเกิดที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง การป้องกันทำได้โดยการปฏิบัติสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างคลอด

8. หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร ...
แยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น หรือหากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ เป็นต้น ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศระบายถ่ายเทได้ดี ใช้ผ้าปิดจมูก-ปากเวลาไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย

9. ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่รุนแรง ...
โดยทั่วไปโรคมือ ปาก เท้า เป็นโรคที่ไม่อันตราย ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้บ่อยแต่ไม่มีความรุนแรง ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการของโรค ผู้ป่วยมักมีอาการป่วยเล็กน้อย หายได้เองภายใน 7-10 วัน และแทบไม่มีผู้เสียชีวิตเลย แต่เด็กอ่อนและเด็กเล็กมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต

: ข้อมูลจาก แผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 16 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
22-10-2011, 07:45
ตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจคิดใหม่ทำใหม่เพื่อหัวใจของคุณ ........................ โดย รศ.นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/22/newspaper/p28thurl.jpg

ปัจจุบันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเป็นภาวะการเจ็บป่วยที่สำคัญของคนไทย โดยที่มีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตมากขึ้น อาการที่เกิดขึ้นคือเจ็บหน้าอกและเหนื่อย ไม่สามารถออกกำลังหรือปฏิบัติภารกิจทางกายได้ ซึ่งมักเกิดจากหลอดเลือดที่ตีบ และการเสียชีวิตก็มักเกิดจากภาวะการตายฉับพลันของกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งมักเกิดจากหลอดเลือดที่อุดตันเฉียบพลัน

การตีบหรือการตันของหลอดเลือดนั้นมักจะมีภาวะการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด ถือว่าเป็นภาวะเสื่อมอย่างหนึ่งและการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือดนี้จำเป็นต้องมีการสะสมของแคลเซียม หรือ หินปูน ร่วมด้วย อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดมีลักษณะแข็ง ดังนั้นการตรวจแคลเซียมที่เกาะอยู่กับหลอดเลือดหัวใจก็เปรียบเสมือนการตรวจพบการเกาะหรือสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด

ปัจจุบันมีวิธีการตรวจเพื่อคาดเดาโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจหลายอย่างด้วยกัน อาทิ การตรวจระดับไขมันในเลือด การตรวจความดันโลหิต การเดินวิ่งสายพานและการตรวจแคลเซียมหลอดเลือดหัวใจก็เป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งมีหลักฐานการศึกษาวิจัยที่มีมากมาย และดูเหมือนว่าจะใช้ระดับหรือค่าที่ตรวจพบได้ในการคาดเดาโอกาสที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้เพิ่มขึ้นจากการตรวจโดยทั่วไป และจะใช้ในการแยกแยะผู้ที่มีความเสี่ยงในระดับกลาง

ตัวอย่างเช่น นายนิพนธ์ อายุ 64 ปี มีประวัติความดันสูง เป็นโรคเบาหวาน และสูบบุหรี่จัด มีอาการเหนื่อยแน่นหน้าอกบ้างเมื่อเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่ 3 จากลักษณะข้อมูลนี้บ่งบอกได้ว่านายนิพนธ์มีโอกาสเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจสูง (ปัญหาที่กล่าวถึงคือมีโอกาสที่จะมีอาการแน่นหน้าอกฉับพลัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย และเสียชีวิตฉับพลันทันที หรือต้องได้รับการรักษาด้วยการทำผ่าตัดบายพาสหรือขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน) โอกาสสูงคือ มากกว่า30% หมายความว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้าคนร้อยคนแบบคุณนิพนธ์ จะมี 30 คนที่เกิดปัญหาดังกล่าว คุณนิพนธ์ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ การตรวจแคลเซียมจะไม่เอื้อประโยชน์เท่าใดนัก เว้นแต่ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการดูแลรักษา เมื่อพบว่ามีการสะสมของแคลเซียมเป็นอย่างมาก

นางสาวยุพิน อายุ 24 ปี อาชีพพยาบาล ไม่มีประวัติเจ็บป่วย แต่มีอาการเจ็บหน้าอกเป็นระยะ ๆ และไม่สูบบุหรี่ ลักษณะแบบนี้บ่งถึงผู้ที่ยังปราศจากโรคหลอดเลือดหัวใจ และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาจากโรคหลอดเลือดหัวใจในอีก 10 ปีข้างหน้า การตรวจแคลเซียมในหัวใจจะไม่มีความจำเป็นและไม่เอื้อประโยชน์เท่าใดนัก

นายพินิจ อายุ 50 ปี ไม่มีประวัติโรคหัวใจ แต่ชอบสูบบุหรี่ ไม่จำกัดอาหาร น้ำหนักขึ้นมาโดยเฉลี่ยครึ่งกิโลกรัมต่อปีหลังจากจบมหาวิทยาลัย ยังสามารถเดินห้างสรรพสินค้าได้โดยไม่มีอาการแต่อย่างใด คุณพินิจยังไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนไข้ แต่ก็กลัวจะเป็นโรคหัวใจ เพราะเพิ่งจะมีเพื่อนเสียชีวิตเฉียบพลันขณะเล่นกอล์ฟเมื่ออาทิตย์ก่อนจากลักษณะของคุณพินิจบ่งบอกถึงผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงในระดับกลางที่จะเกิดปัญหาเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ กล่าวคือประมาณร้อยละ 10–20 หรือในระยะ 5 ปีข้างหน้าคนร้อยคนอย่างคุณพินิจ 10-20 คนจะเกิดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บหน้าอกฉับพลันต้องทำบายพาสหรือต้องทำบอลลูน หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตฉับพลันทันที คุณพินิจไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร ในใจก็คิดว่าหยุดสูบบุหรี่ได้ก็คงจะพอ การตรวจหาและวัดระดับการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจในคนทั่วไปที่มีลักษณะแบบนี้จะได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เพื่อบ่งบอกถึงความเสี่ยงในอนาคต และช่วยตัดสินใจในการเลือกการดูแลรักษานอกเหนือไปจากการเลิกสูบบุหรี่

ถ้าคุณพินิจ มีระดับการสะสมของแคลเซียมมากกว่า 400 ขึ้นไป โอกาสที่จะเกิดปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเกือบ 30% และหมายถึงความจำเป็นที่ต้องเลิกบุหรี่อย่างจริงจัง ความจำเป็นที่ต้องรับยาบางชนิดเพื่อป้องกันการอุดตันของโรคหลอดเลือดหัวใจอาทิ ยาแอสไพริน ยาสะเตติน และอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องเดินสายพานเพื่อทราบถึงสภาพความคล่องตัวของการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ

ถ้าคุณพินิจ มีระดับการสะสมของแคลเซียมไม่มากนัก คือน้อยกว่า 100 การเลิกบุหรี่ก็คงเป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่ควรจะทำ แต่ยังไม่จำเป็นต้องรับประทานยา ส่วนผู้ที่มีระดับระหว่าง 100-400 ก็เป็นกลุ่มที่ต้องระวังมาก ควรเลิกบุหรี่เช่นกัน และควรตรวจแคลเซียมหัวใจอีกครั้งทุก 2 ปี ซึ่งถ้ามีปริมาณมากขึ้นก็คงต้องมีการปรับพฤติกรรมบางอย่างมากขึ้น เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาน้ำหนักตัวให้พอดี รวมไปถึงรับประทานยาเพื่อชะลอการสะสมของไขมันมากขึ้นอีก เช่น ยาในกลุ่มสะเตติน ยาแอสไพริน

ข้อดีของการตรวจแคลเซียมในหลอดเลือดหัวใจคือ ไม่ต้องออกกำลัง นอนเฉยๆผ่านเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที ไม่ต้องฉีดสีคือให้น้ำเกลือ ข้อสำคัญคือไม่เจ็บตัว แต่เสียสตางค์ ข้อมูลที่ได้ไม่ผันแปรนัก และค่าที่ตรวจได้คงที่หากตรวจซ้ำในระยะเวลาใกล้กัน (ไม่เหมือนกับค่าระดับน้ำตาลในเลือด หรือ ความดันเลือดที่แปรเปลี่ยนในแต่ละเวลา และคนที่วัด) ดังนั้นการตรวจแคลเซียมจึงเป็นทางเลือกในการตรวจหัวใจและอาจจะช่วยหลีกเลี่ยงการเป็นโรคหัวใจเฉียบพลันทันทีก็ได้.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 22 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
23-10-2011, 09:15
สารพัดโรคจากวิกฤติน้ำท่วม!! ลดเสี่ยงก่อนร่างกาย-จิตใจป่วย

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/23/newspaper/p4thurl.jpg

เมื่อเราตกอยู่ในสภาวะอุทกภัยร้ายแรงซึ่งที่ทราบกันดีว่าส่งผลให้บ้านเรือน ทรัพย์สินเสียหาย อย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน หลายคนเกิดความกลัวกระทั่งกลายเป็นความวิตกกังวล และอาจส่งผลให้คนคนหนึ่งมีอารมณ์ความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้นจนกลายเป็นความเครียด เมื่อเครียดมากๆ ร่างกายก็เริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆมากมาย ดังนั้นเราควรเตรียมพร้อมรับมือก่อนลุกลามทำให้ร่างกายและจิตใจป่วยไปพร้อมๆกัน คงเป็นอะไรที่แย่มากๆ

ทางกลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช ได้ให้ความรู้และแนวทางการป้องกันสารพัดโรคต่างๆที่อาจเกิดจากอุทกภัยน้ำท่วมว่า การจัดการกับความเครียดจากวิกฤติการณ์น้ำท่วม หรือการตอบสนองทางอารมณ์จากภัยน้ำท่วม ไม่ว่าใครก็ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พายุ ไฟไหม้ และภัยน้ำท่วมที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ อาจทำให้มีความเครียดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ทรัพย์สินเสียหาย การเจ็บป่วย การเสียคนในครอบครัว ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นอาจมีผลเสียต่อสุขภาพของเราได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

ดังนั้นการแสดงออกทางอารมณ์ที่แสดงว่าเราเริ่มมีความเครียดที่อาจจะพบ ได้แก่ มีอาการฝันร้ายหรือฝันซ้ำๆเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม ไม่สามารถมีสมาธิหรือจดจำสิ่งต่างๆได้ รู้สึกเฉยชา เบื่อ เหนื่อย แยกตัวออกจากสังคมหรือคนรอบข้าง มีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธ แสดงออกอย่างรุนแรง มีอาการไม่สบายทางกาย เช่น ปวดหัว อาหารไม่ย่อย ปวดเมื่อยตามตัว มีลักษณะที่แสดงออกถึงการระวังความปลอดภัยของคนในครอบครัวอย่างเกินเลย หลีกเลี่ยงจะจดจำเรื่องน้ำท่วม และร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ

หากเรามีอาการเหล่านี้ควรจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นด้วยการจำกัดการได้รับข่าวสารที่เกี่ยวกับอุทกภัยหรือภัยธรรมชาติต่างๆแต่พอควร รับข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เรียนรู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนให้เพียงพอ หากิจกรรมทำเพื่อไม่ปล่อยให้มีเวลาว่างมากเกินไป พยายามติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครอบครัว หรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ อาศัยหลักศาสนาเข้ามาช่วย พยายามสร้างอารมณ์ขันอยู่เรื่อยๆ แสดงความคิดของตัวเองออกมาไม่ว่าจะเป็นการพูด การคุยและการแบ่งปันความรู้สึกของตัวเองกับคนอื่นๆ เพื่อแบ่งเบาความเครียดและความวิตกกังวล

นอกจากการดูแลตัวเองทางด้านจิตใจแล้ว ในด้านสุขภาพของตัวเองก็สำคัญและควรหมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วย เพราะในภาวะน้ำท่วมเช่นนี้อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆมากมาย คือ “โรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด” ได้แก่ ไทฟอยด์ อหิวาต์ โรคฉี่หนู และไวรัสตับอักเสบเอ “โรคติดต่อเนื่องจากมีแมลงเป็นพาหะ” ได้แก่ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก รวมถึง “อุบัติเหตุและการบาดเจ็บต่างๆ” เช่น การจมน้ำ

โดยโรคติดต่อเนื่องจากน้ำไม่สะอาด ในภาวะน้ำท่วมจะสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในชุมชนใหญ่หรือขาดแคลนน้ำสะอาด เนื่องจากน้ำดื่มไม่สะอาดและติดเชื้อน้ำไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังอักเสบ แผลติดเชื้อ ตาอักเสบ ติดเชื้อทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้อโรคที่สามารถติดต่อทางน้ำ ได้แก่ เชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ หรือเชื้อโปลิโอ เชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้ออหิวาต์ ไทฟอยด์ เชื้อ Coliform ที่ทำให้มีอาการท้องเสีย และเชื้อโปรโต
ซัว เช่น Cryptosporidiosum, Amebae, Giardia

ส่วนใหญ่แล้วการติดต่อเชื้อโรคจะมาจากการดื่มน้ำไม่สะอาด แต่มีบางโรคที่สามารถระบาดได้มากโดยการติดต่อทางการสัมผัสทางผิวหนัง เช่น โรคฉี่หนู ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อผ่านทางผิวหนังหรือเยื่อของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนฉี่หนูหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อ หากติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยตามตัว ถ้าเป็นรุนแรงอาจมีอาการตัวเหลือง ตับวาย ไตวายหรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลวได้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

สำหรับโรคไวรัสตับอักเสบเอ เป็นโรคที่มีการอักเสบของตับ จากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อน โดยจะมีระยะฟักตัว 15-45 วันก่อนมีอาการ จากนั้นอาการจะเริ่มต้นด้วยอาการปวดเมื่อย ไม่อยากรับประทานอาหาร คลื่นไส้ ไข้ต่ำ อุจจาระสีซีดและปัสสาวะสีเข้ม มีอาการตัวเหลืองตาเหลืองดีซ่าน หลังรับการรักษาแล้วควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และอาหารมัน แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตามการป้องกันโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำ คือการดื่มน้ำสะอาดและเพียงพอเพื่อป้องกันร่างกายจากการขาดน้ำ โดยน้ำสะอาดได้แก่ น้ำต้มสุกหรือผ่านคลอรีน

นอกจากโรคติดเชื้อที่มาจากน้ำแล้วยังมีโรคอื่นๆอีก ได้แก่เรื่องของอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการจมน้ำ หรืออุบัติเหตุการบาดเจ็บอื่นๆ ถ้ามีบาดแผลควรฉีดวัคซีนป้องกับาดทะยักและรับประทานยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เพราะภาวะอุณหภูมิในร่างกายต่ำผิดปกติ(Hypothermia) มักพบในเด็กเล็ก หากติดอยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจมากขึ้น

ความเครียดจากภัยธรรมชาติมักเป็นกันทุกคน แต่ขอให้เกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากเราไม่รีบตั้งสติรับมือกับมันเพื่อป้องกัน อาจทำให้สุขภาพของเราค่อยๆย่ำแย่ แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรงกลับมาได้อย่างไร เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม...

เคล็ดลับสุขภาพดี ดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรไทยสู้ภัยน้ำท่วม

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย นอกจากจะส่งผลเสียต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยแล้ว ในเรื่องของสุขภาพหลายคนเริ่มจะเจ็บป่วยแล้ว รวมทั้งสภาพอากาศก็เริ่มหนาวเย็นอีกด้วย หากเราไม่รู้จักดูแลร่างกายให้ดีอาจเจ็บป่วยได้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าต้องเจ็บป่วยท่วมกลางสถานการณ์ที่วิกฤติเช่นนี้ วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีแนะนำสมุนไพรเพื่อบรรเทาทุกข์จากโรคต่างๆมาฝากกัน

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร จากมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ให้ความรู้ว่า การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้แก่ โรคหวัด มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจาม อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร หรือมีไข้ร่วมด้วย เราสามารถใช้สมุนไพรที่หาง่ายใกล้ตัวอย่างฟ้าทลายโจร สามารถนำมารักษาได้โดย 1. ยาชง ใช้ใบ 5-7 ใบ สดหรือแห้งก็ได้เติมน้ำเดือดลงไปจนเกือบเต็มแก้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วรินน้ำกินครั้งละ 1 แก้ววันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ยาต้ม ใช้ทั้งต้นและใบจำนวน 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3-4 แก้ว ให้เดือดนาน 10-15 นาที กินขณะที่ยังอุ่นอยู่ ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร ซึ่งสามารถกลบรสขมได้ด้วยการกินของรสเปรี้ยว เค็มตาม

การใช้สมุนไพรฟ้าทลายโจรให้ได้ผลดีและออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุดในการแก้หวัดคือ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวทำท่าว่าจะเป็นไข้ให้รีบรับประทานทันที นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณรักษาอาการท้องเสียโดยไม่ทำให้หยุดถ่ายทันที วิธีใช้คือเริ่มใช้เมื่อมีอาการโดยใช้ผสมกับผงเกลือแร่ดื่มทันที และไม่ควรรับประทานยาแก้ท้องเสียหรือยาปฏิชีวนะ ยกเว้นในรายที่ติดเชื้ออหิวาตกโรคควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

สำหรับสมุนไพรในครัว เช่น ขิงก็สามารถนำมาแก้หวัดได้ จากงานวิจัยพบว่าน้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของ Macrophage ที่มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัส H3N2 ที่เข้าไปในร่างกาย ซึ่งเราสามารถกินน้ำขิงเพื่อป้องกันหวัดได้โดยการนำขิงแก่สดล้างสะอาดทุบให้พอบุบโดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง ประมาณ 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำสะอาด 3 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อย ๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามใจชอบก็จะได้น้ำสมุนไพรต้านหวัดแล้ว

กระเทียม เป็นสมุนไพรในครัวเรือนสารพัดประโยชน์อีกหนึ่งตัว ที่เพียงรับประทานกระเทียมสดเป็นประจำก็สามารถป้องกันหวัดและลดระยะเวลาการเป็นหวัดได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยของญี่ปุ่นว่ากระเทียมในรูปของ Aged Garlic Extract (AGE-การแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20 เปอร์เซ็นต์ แอลกอฮอล์ แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือนที่อุณหภูมิห้องก่อนนำมาทำให้เข้มข้น) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้มีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่ากับการใช้วัคซีนกระเทียมดอง ซึ่งในฤดูกาลที่มีการระบาดของหวัดควรรับประทานกระเทียมในรูปแบบต่างๆเป็นประจำ

นอกจากนี้ยังมี สมุนไพรใช้ทาภายนอก หากถูกแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณถูกกัดต่อย ควรรีบทำความสะอาดและใช้สมุนไพรที่มีความเป็นกรด เช่น มะนาว น้ำส้ม มะขามเปียกโปะไว้ ซึ่งพิษของสัตว์มีพิษทุกชนิดจะเป็นสารโปรตีนจึงถูกทำลายด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด และ สมุนไพรจำพวกตะไคร้หอม ใบกะเพรา ใบเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมีย นำไปตำ คั้นเอาน้ำ หรือนำไปตากในที่ร่มแล้วบดเป็นผงนำมาทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดได้ เพราะยุงเป็นสัตว์ที่มักมาพร้อมกับน้ำท่วมขัง และหากถูกยุงกัดใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่นิยมคือ ปูนแดง ช่วยลดอาการอักเสบ เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ภูมิปัญญาไทยดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและครอบครัวเบื้องต้นได้ยามประสบอุทกภัยแล้ว

หากใครต้องการสอบถามเรื่องการใช้สมุนไพรเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร. 0-3721-1288-9.




จาก ..................... เดลินิวส์ วันที่ 23 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
24-10-2011, 08:02
ปัสสาวะถี่เกินพิกัด ระวังช้ำรั่ว!

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/21/etc/hl24102011.jpg

แม้ไม่ได้ดื่มน้ำ แต่ปวดปัสสาวะถี่ อั้นไม่ได้ ฉี่ราด ส่อเค้าช้ำรั่ว อาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่น่าจะเกี่ยวกัน

การปัสสาวะที่ถี่เกินไป อย่าวางใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนั่นเป็นหนึ่งในอาการของภาวะช้ำรั่ว หรือชื่อโรคอย่างเป็นทางการเรียกว่า Overactive Bladder โดยอาการสำคัญของโรคนี้ประกอบด้วย การปัสสาวะเกิน 8 ครั้งต่อวัน ในเวลากลางคืนก็ยังต้องตื่นขึ้นไปปัสสาวะมากกว่า 2 ครั้ง

แต่หากเป็นคนดื่มน้ำเยอะและชอบดื่มคราวละมากๆ อาจสังเกตอาการผิดปกติจากความถี่ในการปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากการดื่มน้ำมากอย่างที่กล่าวทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังพบอาการอั้นปัสสาวะไม่อยู่จนปัสสาวะราด!

แม้สาเหตุของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าอาจเป็นผลมาจากความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดแดงแข็ง เพราะการที่ความดันสูงหรือเลือดที่ต้องส่งไปเลี้ยงสมองผิดปกติจากโรคหลอดเลือด จะทำให้สมองสั่งการไปยังกระเพาะปัสสาวะแบบไม่สอดคล้องกัน เกิดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดจังหวะ

อีกทั้งยังทำให้กระเพาะปัสสาวะมีปฏิกิริยาไวต่อความรู้สึกจนอั้นไม่อยู่ เช่น ได้ยินเสียงน้ำไหลก็ปัสสาวะราด หรือเจออากาศเย็นๆ ก็ปวดปัสสาวะขึ้นมาทันที

ช้ำรั่ว เกิดได้กับผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-80 ปี โดยเริ่มพบมากในวัย 40 ปีขึ้นไป ทั้งนี้คนที่ป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และมีน้ำหนักตัวเกินจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นช้ำรั่วได้ง่าย ขณะที่ผู้ป่วยเพศชายจะมีอาการไม่ชัดเจนเท่าเพศหญิง เนื่องจากผู้ชายมีท่อปัสสาวะที่ยาวกว่าทำให้อั้นปัสสาวะได้นานกว่า

การรักษาอาการช้ำรั่ว แพทย์มักแนะนำให้ขมิบก้น 2 แบบด้วยกัน คือ ขมิบข้างไว้ นับ 1-5 แล้วจึงคลาย จากนั้นขมิบอีกแบบ โดยขมิบและนับ 1 แล้วคลายก้น ทำซ้ำแบบที่ 2 ไป 5 ครั้ง รวมการขมิบทั้ง 2 แบบ นับเป็น 1 รอบ และควรทำให้ได้ 40-50 ครั้งต่อวันด้วย.



จาก ..................... เดลินิวส์ คอลัมน์ สารพันวันละโรค วันที่ 24 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
28-10-2011, 08:01
คะน้า ฆ่ามะเร็งร้าย

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/19/images/news_img_414719_1.jpg

"อาหารเจ" จากไป แต่หัวใจยังอาวรณ์ "ผัก" ก็ต้องชวนมากิน "คะน้า" พยัคฆ์พิทักษ์ชีวิต ฆ่าเนื้อร้ายให้วายวอด

"อาหารเจ" จากไป แต่หัวใจยังอาวรณ์ "ผัก" ก็ต้องชวนมากิน "คะน้า" พยัคฆ์พิทักษ์ชีวิต ฆ่าเนื้อร้ายให้วายวอด

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บอกว่า "คะน้า" หน้าตาไม่เหมือนกันทั้งโลกหรอกนะ บางแห่งนิยมผักคะน้ายอด บ้างก็ชอบผักคะน้าก้าน หรือคะน้าต้น แต่อย่างไรพวกมันล้วนจัดอยู่ในตระกูล Cruciferae เหมือนกัน แต่สำหรับพวกเราคนไทย มักคุ้นกับคะน้ายอด ที่มีลักษณะต้นอวบใหญ่ยาว มีดอกสีขาว ใบยาวแหลม ก้านใหญ่ มีรสอร่อยมากกว่า

หลายคนเกลียดคะน้า บ้างก็ว่า เหม็นเขียว แข็งเคี้ยวยาก ไม่หวานชวนชิม แต่ถ้าเลือกคะน้าอย่างถูกวิธีแล้วล่ะก็ เราจะมีความสุขกับการบริโภคคะน้าอย่างน่าอัศจรรย์

เจ้าของฉายา "ลุงหนวด คะน้าราชบุรี" เกษตรกรผู้ปลูกคะน้าไฮบริดคอมโบ้ เล่าให้ฟังว่า ผู้บริโภคควรคัดสรรคะน้าที่ใช้พันธุ์ดีในการปลูก สามารถนำมาปรุงอาหาร อาทิเช่น ราดหน้า ผัดผักคะน้าหมูกรอบ หรือเครื่องเคียงขาหมูได้โดยไม่ต้องปอกเปลือก

ส่วนคนซื้อก็ต้องเลือกคะน้าที่ผิวสัมผัสก่อน โดยเลือกคะน้าที่มีความนวลเหมือนแป้งเคลือบไว้บนใบ อาจไม่สวยงามมากมาย แต่ก็ยังดีกว่าโดนใบคะน้ามันวาวมาล่อตาล่อใจ เพราะนั่นคือ "ยาฆ่าแมลง" ที่ฉาบไว้เต็มๆ อย่างไรก็ดีก่อนนำมาทำอาหารควรล้างด้วยน้ำผสมเกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต หรือน้ำส้มสายชู ถือว่าป้องกันขั้นสุดยอดไว้ก่อน

นอกจากนั้น ลุงหนวดยังฝากข้อคิดดีๆไว้ว่า เจ้าผักคะน้าของลุงจัดอยู่ในพืชสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคได้ด้วย มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าบล็อกโคลีเลยล่ะ

ดวงจันทร์ เกรียงสุวรรณ หัวหน้างานฝึกอบรม โครงการบริการวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี ฝ่ายวิจัยและบริการคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยว่า คะน้ามีวิตามินหลายชนิด โดดเด่นที่มีเบต้าแคโรทีน และสารซัลโฟราเฟนโฟเลท ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายแห่งในร่างกาย ทั้งกระเพาะอาหารลำไส้ ปอด และกระเพาะปัสสาวะ

ทั้งยังมีวิตามินซี นอกจากเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ ช่วยป้องกันหวัดและโรคลักปิดลักเปิดแล้ว แต่เมื่อเจ้าเบต้าแคโรทีนผนึกกำลังกับวิตามินซี มันจะกลายร่างเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ และยังเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณ และต้านทานการติดเชื้อ

นอกจากนั้นยังมีผลงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า การรับประทานคะน้า 1 ถ้วย จะได้รับแคลเซียมพอๆ กับการดื่มนม 1 แก้ว การกินคะน้าจึงเสริมสร้าง บำรุงกระดูกและฟัน สามารถใช้ป้องกันโรคกระดูกพรุนหรือบางได้

ทั้งยังให้โฟเลตและธาตุเหล็กสูง ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง และยังเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะโฟเลตกับสารอินโดลส์ (indoles) ที่มีอยู่ในคะน้ายังป้องกันการพิการแต่กำเนิดของทารกได้ด้วย ตามด้วยไนอาซิน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม วิตามินบี 2 อุดมด้วยเส้นใย และลูเทียน (lutein)

เมื่อรวมสารอาหารทั้งหมดแล้ว การบริโภคคะน้า ซึ่งเป็นผักรสเผ็ดร้อน จึงช่วยปรับธาตุลมให้ดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ ทำให้หายใจได้สะดวก ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย แก้กระหายน้ำ และยังป้องกันการเกิดโรคที่หลอดเลือดแดงใหญ่ และต้านเชื้อก่อโรคได้

นักวิชาการฝากเตือนมาว่า ถึงจะกินอร่อยจนยั้งไม่อยู่แล้ว ก็ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะผลวิจัยพบสารกอยโตรเจน (goitrogen) ทำให้ท้องอืดได้ง่าย

ถ้าเห็นเมนูที่มีคะน้าเมื่อใด รีบปรี่เข้าไปซื้อมารับประทาน ทั้งอิ่มท้องและอุดมด้วยคุณประโยชน์มหาศาล




จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
28-10-2011, 08:08
สมุนไพร...ดูแลสุขภาพช่วงน้ำท่วม

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/27/images/news_img_416143_1.jpg

การใช้สมุนไพรในช่วงน้ำหลาก ถ้ารู้จักเลือกใช้ ย่อมมีประโยชน์อยู่มากโข

คนโบราณในสมัยก่อนที่มีบ้านอยู่ริมน้ำจะปลูกบ้านยกใต้ถุนสูง ช่วงฤดูน้ำหลากจะตระเตรียมเสบียงข้าวสาร อาหารแห้ง หยูกยาสมุนไพร ไว้ให้เพียงพอในการดำรงชีวิตสำหรับสมาชิกในครอบครัว แต่ในปัจจุบันเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน วิถีชีวิตก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้ภูมิปัญญาในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อม และการดูแลสุขภาพวิถีไทยถูกลืมเลือนไป ทั้งที่เป็นองค์ความรู้ที่เกิดจากการเอาชีวิตรอดตามสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศ ดังจะเห็นได้จากการใช้สมุนไพรพื้นถิ่นที่แตกต่างกันทั้งแบบยากิน และยาทา แต่สรรพคุณเหมือนหรือคล้ายกันในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆของชาวบ้าน

แล้วในช่วงน้ำท่วม เราจะใช้สมุนไพรอย่างไร ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระอภัยภูเบศร แนะว่า หากช่วงนี้เป็นหวัด ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ จาม น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย ปวดศีรษะเล็กน้อย เบื่ออาหาร หรือมีไข้ร่วมด้วย ให้ใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ที่มีการใช้มานานนับพันปี มีความปลอดภัยสูง องค์การอนามัยโรคให้การรับรองการใช้เป็นยารักษาหวัดโดยตำรับยาไทย มีขนาดและวิธีการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อการรักษา 4 วิธี คือ

- ยาชง ใช้ใบ 5-7ใบ จะเป็นใบสดหรือแห้งก็ได้ แต่ใบสดจะมีสรรพคุณดีกว่า เติมน้ำเดือดลงไปจนเกือบเต็มแก้ว ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือพอให้ยาอุ่นแล้วรินน้ำกิน ครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร หรือใช้เป็นยาต้ม ด้วยการต้มฟ้าทะลายโจรทั้งต้นและใบจำนวน 1 กำมือกับน้ำ 3-4 แก้ว ให้เดือดนาน 10-15 นาที ถ้าต้มให้เดือดไม่นานพอ ยาจะมีกลิ่นเหม็นเขียว กินยาก ควรกินยาในขณะที่น้ำยาอุ่น กินครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร สามารถกลบรสขมได้ด้วยการกินของรสเปรี้ยวเค็มตาม

- นอกจากนี้ฟ้าทะลายโจร ยังนำมาทำเป็น ยาเม็ด ได้ด้วยการเด็ดใบสดมาล้างให้สะอาด ตากแดด 1-2 วัน จนใบแห้งกรอบสีเขียวเข้ม บดเป็นผงให้ละเอียด ปั้นกับน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมเป็นเม็ดขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลือง แล้วผึ่งลมให้แห้ง เพราะถ้าปั้นกินขณะที่ยังเปียกอยู่จะขมมาก กินครั้งละ 5-10 เม็ด วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร และปัจจุบันยังนิยมทำเป็นยาแคปซูล แทนที่จะเอาผงยาที่ได้มาปั้นเป็นเม็ด ก็เอามาใส่แคปซูลเพื่อช่วยกันรสขมของยาแคปซูลที่ใช้ ให้ใช้ขนาดเบอร์ ๐ หรือประมาณ 400-500 มิลลิกรัมของผงแห้ง กินครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 3-4 ครั้งก่อนอาหาร

การใช้ฟ้าทะลายโจรที่ให้ผลดีและออกฤทธิ์ได้เร็วที่สุดในการแก้ไข้หวัดคือ ถ้าเริ่มรู้สึกว่าครั่นเนื้อครั่นตัวทำท่าว่าจะเป็นไข้ ให้รีบรับประทานทันที แต่ถ้าเป็นมา 2-3วันแล้วค่อยมากินยาจะรู้สึกไม่ค่อยได้ผลหรือได้ผลน้อย

ฟ้าทะลายโจร นอกจากจะมีสรรพคุณในการลดไข้แก้หวัดแล้ว ยังเป็นสมุนไพรที่มีการศึกษาว่า สามารถรักษาอาการท้องเสียโดยไม่ทำให้หยุดถ่าย เมื่อเริ่มมีอาการให้รีบผสมผงเกลือแร่ดื่มทันที ไม่ควรรับประทานยาแก้ท้องเสียหรือยาปฏิชีวนะ ให้ใช้ฟ้าทะลายโจรขนาด 2 กรัมต่อวันแบ่งให้ 2 ครั้ง เป็นเวลา 2 วัน ฟ้าทะลายโจรจะทำให้การขับถ่ายเป็นปกติและมีประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้น ในรายที่ติดเชื้ออหิวาตกโรค ควรนำส่งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลโดยด่วน

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/27/images/news_img_416143_2.jpg

สมุนไพรไทยต้านหวัดนอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ยังมี ขิง ใช้แก้หวัดได้ จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The American Journal of Chinese Medicine เมื่อปี 2006 พบว่า น้ำขิงที่ได้จากการต้ม 30 นาที ช่วยกระตุ้นการทำงานของ macrophage ที่มีหน้าที่ในการจับกินเชื้อไวรัส H3N2 ที่เข้าไปในร่างกาย ตามตำรายาพื้นบ้านไทย เราสามารถทำน้ำขิงพิชิตหวัดและแก้ไอ ได้ไม่ยากนัก ด้วยการใช้ขิงแก่สดล้างสะอาดทุบให้พอบุบๆ โดยไม่ต้องขูดเปลือกทิ้ง ประมาณ 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและน้ำสะอาด 3 ลิตร ต้มให้เดือดแล้วลดไฟลง เคี่ยวด้วยไฟอ่อนไปเรื่อยๆ จนน้ำขิงกลายเป็นสีเหลือง เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามใจชอบ เพียงเท่านี้เราก็จะได้เครื่องดื่มที่มีสรรพคุณต้านหวัดได้

สมุนไพรไทยสารพัดประโยชน์อีกตัว คือ กระเทียม มีการศึกษาพบว่าการรับประทานกระเทียมสดสามารถป้องกันหวัดและลดระยะเวลาการเป็นหวัด และยังมีรายงานการวิจัยของญี่ปุ่นว่า กระเทียมในรูปของ Aged Garlic Extract (AGE - การแช่กระเทียมที่หั่นหรือสับใน 15-20% แอลกอฮอล์ แล้วทิ้งไว้นานมากกว่า 10 เดือนที่อุณหภูมิห้องก่อนนำมาทำให้เข้มข้น) มีฤทธิ์ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน จากการทดลองในหนูถีบจักร พบว่ามีประสิทธิผลในการป้องกันหวัดได้ดีเท่าการให้วัคซีนกระเทียมดอง ในฤดูกาลที่มีการระบาดของหวัดควรรับประทานกระเทียมในรูปแบบต่างๆ เป็นประจำ นอกจากนี้กระเทียม ยังทำให้การหายใจโล่งขึ้นอีกด้วย

ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร ยังแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้เกิดโรคหวัดอย่างง่ายๆ ด้วยการทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ใช้ผ้าปิดปากเวลาไอจาม ล้างมือให้สะอาด ใช้ช้อนกลาง รวมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อน สมุนไพรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย อย่าง ตระไคร้ กระเพรา บัวบก พลูคาว หอมแดง หอมใหญ่ ผักชีฝรั่ง ใบหม่อน และใบฝรั่ง ที่อุดมด้วยสาร Queritin รวมทั้งผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ อย่างมะขามป้อม มะนาว ส้ม ผลยอ หรือ ผลไม้ที่มีสีแดง เป็นสมุนไพรที่ควรจะนำมารับประทานเป็นประจำในช่วงนี้ และดื่มน้ำอุ่นมากๆ นอกจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการได้รับแสงแดดบ้าง จะช่วยเพิ่มวิตามินดี ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน และภูมิคุ้มกันดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรทาภายนอก หากถูกแมลงสัตว์กัดต่อย มีอาการปวดบวมแดงร้อนบริเวณถูกกัดต่อย ควรรีบทำความสะอาดบริเวณที่ถูกกัดต่อย และใช้ความเป็นกรดไปทำลายพิษของสัตว์ที่มีพิษ เช่น น้ำมะนาว น้ำส้ม มะขามเปียก เนื่องจากพิษของสัตว์มีพิษทุกชนิดเป็นสารพวกโปรตีน จึงถูกทำลายได้ด้วยสารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นหลังจากถูกกัดใหม่ๆ ต้องใช้สำลีหรือผ้าก๊อซชุบน้ำสมุนไพรที่กล่าวมาแล้วนั้นไปโปะไว้ หรือ นำส่วนที่ถูกกัดจุ่มไว้จนกว่าจะหายปวด ซึ่งในสมัยก่อนนิยมใช้เขาสัตว์ ขนเม่น เปลือกหอย หรืออะไรที่มีแคลเซียมฝนกับน้ำมะนาว ทาบ่อยๆ หรือใช้มะขามเปียกผสมปูนแดงเล็กน้อยทาแปะไว้ ซึ่งหลังถูกกัดต่อยควรรีบทำทันทีก่อนที่พิษจะก่อให้เกิดการอักเสบมากขึ้น หรืออาจใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบตำพอก เช่น ใบเสลดพังพอนทั้งตัวเมียและตัวผู้ ใบตำลึง ใบรางจืด ตำหรือปั่นให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อยพอกไว้ หรือ สามารถใช้ใบรางจืดประมาณ 7-10 ใบต้มน้ำกิน แต่ถ้ามีอาการมากควรใช้การตำหรือปั่นใส่น้ำซาวข้าวกินด้วย เพื่อลดความรุนแรง

"ยุง เป็นสัตว์พาหะอีกชนิดหนึ่งที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง เราสามารถใช้สมุนไพรจำพวก ตะไคร้หอม ใบกระเพรา ใบเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมีย ตำ คั้นน้ำ หรือนำไปตากในที่ร่มแล้วบดเป็นผง นำมาทาตัวเพื่อป้องกันยุงกัดได้ หากยุงกัดเป็นตุ่ม บวม แดง ให้ใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์การอักเสบทาบริเวณที่เป็น ที่นิยมคือ ปูนแดง ซึ่งได้จากปูนขาวผสมกับขมิ้น หรืออาจใช้ผงขมิ้นละลายน้ำ ขมิ้นเป็นสีย้อม อาจทำให้เลอะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าได้" ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวปิดท้าย

ซึ่งทางมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ส่งชุดสมุนไพรอภัยภูเบศรเพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ประกอบไปด้วย ยารักษากลากเกลื้อนน้ำกัดเท้า ยาหม่องเสลดพังพอน คาลาไมน์พญายอ ยาการ์ซิดีนสกัดจากมังคุดช่วยสมานแผล ฆ่าเชื้อโรค ยาแคปซูลฟ้าทลายโจร แคปซูลขมิ้นชัน ยาน้ำแก้ไอมะขามป้อม ผงเกลือแร่ เป็นต้น แจกจ่ายไปยังจังหวัดต่างๆ ที่ประสบภัยน้ำท่วม พร้อมผลิตยาหม่องสมุนไพรสรรพบำบัด ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรป้องกันยุง แจกผู้ประสบภัยน้ำท่วม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการใช้สมุนไพร สอบถามที่มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร 037-211-288-9 ทุกวันในเวลาราชการ




จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 28 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
28-10-2011, 08:14
ลุยน้ำเกิดแผลระวังไว้'ภัยบาดทะยัก' 'ถึงตาย' ถ้าประมาท

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/27/scoop1.jpg

นอกจากภัยไฟช็อต-ไฟดูด ภัยสัตว์มีพิษ ภัยอื่นๆ ที่ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ได้เตือนไปแล้ว ในช่วงที่เกิด ’น้ำท่วม“ ผู้คนต้องเดินลุยน้ำที่ท่วมขัง อีกหนึ่งภัยซ้อนภัยที่ต้องระวังด้วยก็คือการ ’เกิดบาดแผล“ ยิ่งในพื้นที่เขตเมืองยิ่งมีเศษสิ่งมีคมลักษณะต่างๆอยู่ตามพื้นมาก โอกาสที่จะบาดจะทิ่มให้เกิดบาดแผลก็ยิ่งมีมาก

จากแผลธรรมดาที่แค่เจ็บ ก็อาจเป็น ’แผลติดเชื้อ“

และหากกลายเป็น “บาดทะยัก” ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

การถูกสิ่งมีคมทิ่มแทงหรือบาดนั้น ถ้าเกิดเป็นแผลลึกและยาวมากกว่า 1 นิ้ว ทางที่ดีควรต้องรีบพบแพทย์ อาจจะต้องมีการเย็บแผล แต่ถ้าเป็นแค่แผลเล็กๆตื้นๆ แผลไม่ยาว ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถจะดูแลรักษาได้เองด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อน คือล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผล น้ำยาล้างแผล ใส่ยารักษาแผล ปิดพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผล อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะแผลใหญ่-แผลเล็ก หากมีอาการที่ไม่ปกติอย่านิ่งนอนใจเด็ดขาด

หากบาดแผลนั้นมีลักษณะ เช่น มีเศษสิ่งมีคมหรือสิ่งสกปรกติดอยู่โดยไม่สามารถนำออกมาได้ เลือดไม่ยอมหยุดไหล ชาหรือขยับร่างกายส่วนที่เกิดแผลไม่ได้ตามปกติ เป็นแผลเรื้อรังไม่ยอมหายภายใน 3 สัปดาห์ แผลเกิดรอยฉีกแยก แดง บวม ปวด มีอาการไข้ ควรต้องรีบไปพบแพทย์!!

แผลอาจเกิดการ “ติดเชื้อ” และอาจเป็นเชื้อร้ายแรง

ทั้งนี้ ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำท่วม ทางที่ดีควรต้องสวมรองเท้าที่ป้องกันสิ่งมีคมได้ เพราะใต้น้ำที่มองไม่เห็น ที่ต้องเดินลุยไปนั้น อาจมีเศษกระเบื้อง สังกะสี ตะปู สิ่งมีคมต่างๆอยู่ และถ้าพลาดพลั้งเกิดเป็นแผลขึ้นมา ก็ต้องรีบดูแลรักษาให้ดี อย่าประมาท โดยเฉพาะถ้าไม่แน่ใจว่าตนเองเคยได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยักหรือเปล่า?

กล่าวสำหรับ “บาดทะยัก” นั้น ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ว่าไว้ว่า... เป็นโรคติดเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย คลอสตริเดียม เททานิ (Clostridium tetani) ซึ่งจะผลิตสิ่งที่มีพิษต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มแรกกล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้ โรคนี้จึงมีอีกชื่อเรียกคือ โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) ผู้ป่วยจะมีอาการ คอแข็ง หลังแข็ง และต่อไปจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วตัว

และทำให้มีอาการ ’ชัก“ ได้!!

ในทางระบาดวิทยา โรคบาดทะยักพบได้ทั่วไปทุกแห่ง เชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะในรูปแบบของสปอร์ สามารถพบติดตามพื้นหญ้าทั่วไป และอยู่ได้นานเป็นเดือนๆหรืออาจเป็นปี อีกทั้งเชื้อนี้ยังพบได้ในลำไส้ของคนและสัตว์ในสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนด้วยมูลสัตว์ ซึ่ง เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลจะเกิดโรคบาดทะยัก

เชื้อบาดทะยักจะเจริญแบ่งตัวได้ดีในแผลที่ลึก อากาศเข้าไปไม่ได้ดี เช่น บาดแผลจากการถูกตะปูตำ หรือแผลไฟไหม้ แผลน้ำร้อนลวก ผิวหนังถลอกบริเวณกว้าง บาดแผลในปาก ฟันผุ หรือหูอักเสบติดเชื้อ

หลังจากได้รับเชื้อบาดทะยักแล้ว สปอร์ที่เข้าไปตามบาดแผลจะแตกตัว แล้วก็จะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและผลิตสิ่งที่มีพิษ ซึ่งจะกระจายจากส่วนที่เป็นแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ โดยระยะจากที่เชื้อเข้าร่างกาย จนเกิดอาการเริ่มแรก คือมีอาการขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรค จะอยู่ที่ประมาณ 3-28 วัน หรือเฉลี่ยแล้วราวๆ 8 วัน

หากเด็กทารกเป็นบาดทะยัก นี่ยิ่งต้องระวังให้มาก ซึ่งอาการที่จะสังเกตได้คือเด็กจะดูดนมลำบาก หรือไม่ค่อยดูดนม หรือดูดนมไม่ได้ เพราะขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ ส่วนกับคนโต หากเชื้อบาดทะยักเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนที่จะมีอาการ อาจจะประมาณ 5-14 วันก็ได้ หรือบางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือนานกว่านั้นก็ได้ จนบาดแผลที่เป็นทางเข้าของเชื้ออาจหายแล้วก็ได้ แผลหาย...แต่เชื้อบาดทะยักยังอยู่!!

ถ้าเคยเป็นแผล แล้วต่อมามีอาการขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ คอแข็ง ต้องคิดถึง ’ภัยบาดทะยัก“ ซึ่งถ้าใช่...หลังจากนั้นอีก 1-2 วันจะเริ่มมีอาการเกร็งแข็งส่วนอื่นๆ คือหลัง แขน ขา ยืนและเดินแบบหลังแข็ง แขนเหยียดเกร็ง การก้มหลังทำไม่ได้ ใบหน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะ และระยะต่อไปอาจมีอาการกระตุก ถ้ามีเสียงดังหรือถูกจับต้องตัว จะเกร็งและกระตุกมากขึ้น จะมีอาการหลังแอ่น หน้าเขียว บางครั้งอาการอาจรุนแรงมาก อาจทำให้หายใจลำบาก และ ’ถึงตาย“ ได้!!

ทั้งนี้ ยุคน้ำท่วมที่ต้องลุยน้ำกันนี้ ยิ่งต้องพึงระลึกไว้ว่า เมื่อเกิดบาดแผลต้องทำแผลให้สะอาดทันที โดยการฟอกสบู่ ล้างน้ำสะอาด เช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งใส่ยารักษาที่รักษาการติดเชื้อด้วย และถ้ารักษาเอง มิได้ไปพบแพทย์ อย่าชะล่าใจ อย่าประมาทอาการที่ผิดปกติ

“น้ำท่วม” ต้องกลัว “ภัยบาดทะยัก” ที่ “รุนแรงถึงตายได้”

และคนไทยยังต้องจำ ’พฤติกรรมแย่ๆของบางคน“ ไว้

ใคร ’ทำตัวน่าเกลียด-ซ้ำเติมทุกข์น้ำท่วม“ จำให้แม่น!!!.




จาก ..................... เดลินิวส์ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 28 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
30-10-2011, 07:53
โรคผิวหนัง หลังน้ำท่วมดูแลป้องกันก่อนเรื้อรัง...!!

http://www.dailynews.co.th/content/images/1110/30/newspaper/p4thurl.jpg

โรคผิวหนังเป็นโรคที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยมักจะพบเสมอหลังเกิดภาวะน้ำท่วม แต่หลายคนมักไม่ค่อยใส่ใจดูแลเท่าที่ควรจนทำให้เกิดปัญหาเรื่องเท้าเปื่อย เป็นแผล ลอก คันและเจ็บแสบ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจจะกลายเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นๆหายๆ และรักษาไม่หายขาด ส่งผลเสียต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

แพทย์หญิงวลัยอร ปรัชญพฤทธิ์ สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ให้ความรู้ว่า หลังจากเกิดภาวะน้ำท่วมทำให้ผู้ประสบภัยต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพหลากหลายด้าน เนื่องจากเมื่อเกิดน้ำท่วมแล้วจะส่งผลให้แหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคปนเปื้อนกระแสน้ำที่พัดพาสิ่งสกปรก เชื้อโรค ของเสียที่เคยถูกเก็บไว้ในที่มิดชิดหรือสารเคมีกระจายออกเป็นวงกว้างทำให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป สัตว์และแมลงไม่มีที่อยู่อาศัยจึงออกจากถิ่นที่อยู่เพ่นพ่านทั่วไปและกลายเป็นพาหะนำเชื้อโรคในที่สุด ที่สำคัญพาหะนำโรคต่างๆ ยังสามารถเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้ปริมาณเชื้อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้นและแพร่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมีโอกาสเกิดโรคระบาดได้ง่าย โดยสภาพผิวดินหลังน้ำท่วมมีความเหมาะสมสำหรับการแพร่พันธุ์ของยุง ซึ่งโรคหลายชนิดที่เกิดจากยุงเป็นพาหะจึงมีโอกาสระบาดสูงขึ้นหลังน้ำท่วม

ปัญหาด้านสุขภาพที่จะเกิดหลังน้ำท่วมนั้นมีทั้งอาการเจ็บป่วยในระยะแรกและระยะยาว ได้แก่ โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร เช่น โรคท้องร่วงจากการติดเชื้อจากอาหารเป็นพิษ โรคเลปโตสไปโรซิส (หรือโรคฉี่หนู) โรคผิวหนังจากการสัมผัสกับสารเคมีสิ่งสกปรกหรือติดเชื้อที่ผิวหนังไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือหนอนพยาธิ โรคผิวหนังจากแมลง สัตว์มีพิษกัดต่อยซึ่งนอกจากจะทำให้ไม่สบายจากการถูกกัดต่อยแล้ว ในภายหลังหากได้รับเชื้อโรคเข้าไปด้วยอาจทำให้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ หรือติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น

โรคผิวหนังมักพบหลังน้ำท่วม เรียกว่า “โรคน้ำกัดเท้า” เนื่องจากเราเดินย่ำน้ำบ่อยๆ หรือยืนแช่น้ำนานๆจนเท้าเปื่อย โดยเฉพาะบริเวณซอกเท้าบริเวณที่ผิวหนังเปื่อยนี้เป็นจุดอ่อนทำให้เชื้อโรคที่มากับน้ำเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ดังนั้นหลังเสร็จกิจธุระนอกบ้านแล้วควรรีบล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและสบู่แล้วเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะตามซอกนิ้วเท้า หากเท้ามีบาดแผลควรชะล้างด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ซึ่งโรคน้ำกัดเท้าในระยะแรกนี้ยังไม่มีเชื้อรา เป็นเพียงอาการระคายเคืองจากความเปียกชื้นและสิ่งสกปรกในน้ำ ทำให้เท้าเปื่อย ลอก แดง คันและแสบ การรักษาในระยะนี้ควรใช้ยาทาสเตียรอยด์อ่อนๆ เช่น 0.02 Triamcinolone cream หรือ 3% vioform in 0.02% Triamcinolone cream ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อรา เพราะยาเชื้อราบางชนิดจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองและแสบมากขึ้น

สำหรับผิวที่เปื่อยเป็นแผล เมื่อสัมผัสกับสิ่งสกปรกที่เจือปนอยู่ในน้ำจะเกิดการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีการติดเชื้อ แบคทีเรียจะทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เป็นหนองและปวด ต้องให้การรักษาโดยการรับประทานยาปฏิชีวนะร่วมกับการชะล้างบริเวณแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น น้ำด่างทับทิม แล้วทายาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ หากปล่อยให้มีอาการโรคน้ำกัดเท้าอยู่นาน ผิวที่ลอกเปื่อยและชื้นจะติดเชื้อรา ทำให้เป็นโรคเชื้อราที่ซอกเท้ามีอาการบวมแดง มีขุยขาวเปียก มีกลิ่นเหม็นและถ้าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นเรื้อรัง เชื้อราจะเข้าไปฝังตัวอยู่ในผิวหนังรักษาหายยาก ถึงแม้จะใช้ยาทาจนอาการดีขึ้นดูเหมือนหายดีแล้ว แต่มักจะมีเชื้อหลงเหลืออยู่ เมื่อเท้าอับชื้นขึ้นเมื่อใดก็จะเกิดเชื้อราลุกลาม ขึ้นมาใหม่ทำให้เกิดอาการเป็นๆหายๆเป็นประจำ ไม่หายขาด

ดังนั้นการดูแลป้องกันโรคเชื้อราที่เท้าไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีกต้องรักษาความสะอาดให้เท้าแห้งอยู่เสมอเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรคนี้ และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษที่บริเวณซอกนิ้วเท้า เมื่อเช็ดให้แห้งแล้วให้ทายารักษาโรคเชื้อรา แต่ถ้ามีอาการรุนแรงและเรื้อรัง ทายาไม่ได้ผลควรไปพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ซึ่งอาจจะมีผลข้างเคียงต่อตับและไต ควรรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดยาเองแม้ว่าจะดีขึ้นแล้วก็ตาม การหยุดยาเร็วเกินไปขณะที่เชื้อยังไม่หมดก็มีโอกาสกลับเป็นซ้ำอีกได้ง่าย นอกจากนี้ผู้ประสบกับปัญหาน้ำท่วมควรระมัดระวังเมื่อเดินลุยน้ำเพราะอาจถูกของมีคมทิ่มตำ ทำให้เกิดบาดแผลและติดเชื้อโรคต่างๆได้เช่นกัน รวมทั้งอาจติดเชื้อบาดทะยักตามมาได้ เมื่อประสบเหตุดังกล่าวควรไปทำแผลที่หน่วยบริการสาธารณสุขทันที และยิ่งถ้าไม่เคยฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันเชื้อบาดทะยักมาก่อนควรปรึกษาแพทย์

อย่างไรก็ตามการป้องกันมักดีกว่าและมีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยการหลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำนานๆ หากจำเป็นต้องลุยน้ำให้สวมรองเท้าบู๊ต กันน้ำสกปรกกัดเท้า อีกทั้งยังสามารถช่วยป้องกันของมีคมในน้ำทิ่มตำเท้าหรือสัตว์มีพิษกัดต่อย หลังจากลุยน้ำให้รีบทำความสะอาดเท้าด้วยน้ำสะอาด ฟอกสบู่ เช็ดเท้าให้แห้ง หากมีบาดแผลที่ผิวหนังไม่ควรสัมผัสถูกน้ำสกปรก หากลุยน้ำแล้วเกิดผื่นที่ผิวหนังควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาและทายาหรือรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเพื่อให้อาการโรคผิวหนังหายขาด ไม่เป็นเรื้อรังสร้างความรำคาญเจ็บปวดและเสียเวลาในการรักษาในภายหลัง.


**********************************************


แนะวิธีปรุงอาหารลดเสี่ยงโรคขณะน้ำท่วม

ในช่วงวิกฤติน้ำท่วมสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่สำคัญยามคับขันเช่นนี้ คือ การปรุงอาหาร เพราะหากเราประกอบอาหารไม่สะอาดจะยิ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้ ดังนั้นใครที่ต้องการจะไปตั้งศูนย์ปรุงประกอบอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย หรือปรุงอาหารรับประทานเองเคล็ดลับสุขภาพดีวันนี้มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการปรุงอาหารให้สะอาดถูกหลักอนามัยเพื่อป้องกันโรคมาฝากกันค่ะ

ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย ให้ความรู้ว่า การประกอบอาหารในจุดที่ให้ความช่วยเหลือสำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วมจะต้องเน้นที่ความสะอาดปลอดภัยซึ่งทางกรมอนามัยได้มอบให้ศูนย์อนามัยเขตในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมให้การสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการและคำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือประชาชนที่รับผิดชอบจัดเตรียมและปรุงอาหารในพื้นที่ได้อย่างสะอาด ปลอดภัย และได้คุณค่าทางโภชนาการ โดยยึดตามเกณฑ์ที่กรมอนามัยกำหนดตั้งแต่อาหารสดต้องไม่มีกลิ่น อาหารแห้งต้องไม่มีเชื้อราและไม่นำอาหารกระป๋องที่บุบ บวม หมดอายุมาปรุงอาหาร

สำหรับพื้นที่ที่เราจะเลือกประกอบอาหารนั้นต้องเป็นพื้นที่หรือสถานที่ทำครัวที่ให้ไกลห้องส้วมและที่เก็บขยะ ที่ระบายน้ำเสียหรือที่เก็บสารเคมี โดยหลีกเลี่ยงการเตรียมหรือปรุงอาหารบนพื้น ควรมีโต๊ะเตรียมปรุงอาหารที่สูงจากพื้นป้องกันการปนเปื้อน ต้องทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบริเวณโต๊ะที่ใช้เตรียมปรุงอาหาร เตาหุงต้มอาหาร เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะเขียงควรแยกเขียงหั่นเนื้อ หั่นผักและอาหารปรุงสุก โดยเฉพาะเขียงที่ใช้หั่นเนื้อสัตว์ต้องล้างขจัดคราบไขมันด้วยน้ำยาล้างจาน แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด และห้ามนำผ้าที่สกปรกมาเช็ด เพราะจะเป็นสื่อที่นำเชื้อโรคมาปนเปื้อนอาหารที่มีการหั่น สับ บนเขียงได้

“ก่อนปรุงอาหารควรมีการล้างวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงทุกครั้ง โดยเฉพาะผักซึ่งอาจมีการปนเปื้อนคราบดินที่เกิดจากน้ำท่วมต้องล้างด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง ส่วนผักบางอย่าง เช่น คะน้า กะหล่ำ ถั่วฝักยาว หากมีคราบขาวจับที่กาบใบหรือฝักมากเกินไปให้ล้างน้ำหลายๆครั้งหรือแช่น้ำปูนใสนาน 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อนจะนำไปปรุงประกอบอาหาร ส่วนผู้ปรุงประกอบอาหารต้องปฏิบัติตนเองให้ถูกสุขลักษณะด้วย เช่น ล้างมือก่อนปรุงอาหาร ไม่ใช้มือจับอาหารปรุงสำเร็จโดยตรง ถ้ามือมีแผลต้องปิดแผลให้มิดชิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอาหารโดยตรง”

ส่วนการบรรจุอาหารที่ปรุงสุกแล้วเพื่อส่งต่อให้ผู้ประสบภัยรับประทานนั้นควรใส่ในภาชนะที่สะอาด ไม่ควรทิ้งระยะนานเกิน 2-4 ชั่วโมง หลังปรุงและบรรจุอาหาร ควรระบุวันและเวลาในการรับประทานให้ชัดเจนก่อนส่งให้กับผู้ประสบภัย เพราะหากเก็บนานเกินไปอาจทำให้อาหารบูดและเสียได้ โดยอาหารที่ปรุงควรเป็นอาหารประเภททอดหรือผัดเพราะไม่บูดและเสียง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ ลาบ ยำ พล่าต่างๆ

นอกจากนี้การกำจัดขยะในจุดปรุงอาหารจะต้องมีถังขยะใส่เศษอาหารทำด้วยวัสดุไม่รั่วซึม เช่น พลาสติก หากใช้ปี๊บควรมีถุงพลาสติกรองอีกชั้นหนึ่ง ถังขยะต้องมีฝาปิดและมีการแยกขยะเป็นสองถังคือ ถังขยะเปียกและถังขยะแห้งเพื่อง่ายต่อการกำจัด ทั้งนี้สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้ส้วมเนื่องจากประชาชนที่อาศัยในศูนย์พักพิงมีจำนวนมาก ผู้ใช้จึงต้องให้ความสำคัญต่อพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะอย่างถูกต้อง โดยไม่ทิ้งวัสดุอื่นนอกจากกระดาษชำระลงโถส้วม ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วม และล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ส้วม เพื่อสุขอนามัยที่ดีและป้องกันโรคในช่วงน้ำท่วม ได้แก่ อุจจาระร่วง บิด เป็นต้น

เมื่อทราบแบบนี้แล้ว อย่าลืมดูแลเรื่องความสะอาดในการปรุงอาหารที่เราจะรับประทานหรืออาหารที่ปรุงให้แก่ผู้ประสบภัยให้มีความปลอดภัยด้วยนะคะ เพราะจะได้ไม่เป็นการซ้ำเติมสุขภาพของตัวเองและผู้ประสบอุทกภัยนั่นเอง.




จาก ..................... เดลินิวส์ วาไรตี้ วันที่ 30 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
30-10-2011, 07:57
ภัยผิวในภาวะน้ำท่วม


ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศไทยในขณะนี้ นอก จากจะส่งผลเสียขั้นวิกฤติต่อสภาพสังคม และเศรษฐกิจแล้ว ยังมีผลร้ายต่อสุขภาพทั้งทางด้านจิตใจ และร่างกายอย่างมหาศาล ผลเสียต่อสุขภาพที่พบบ่อยมากและเห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือปัญหาผิวหนัง

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อธิบายว่า โรคผิวหนังที่พบบ่อยในภาวะน้ำท่วม คือ โรคน้ำกัดเท้าหรือเชื้อราที่เท้า ซึ่งบางครั้งมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อนหรือถึงกับมีหนองไหล

โรคนี้พบบ่อยเมื่อต้องเดินย่ำน้ำไปมาจนเท้าชื้นแฉะ ทำให้เชื้อราของผิวหนังที่ชอบเจริญเติบโตในบริเวณที่อับชื้น ขยายตัวแพร่พันธุ์จนเกิดโรคเชื้อราที่เท้าได้

อาการของการติดเชื้อราที่เท้ามักเห็นเป็นผื่นเปียกยุ่ยสีขาวที่ง่ามนิ้วเท้า บางทีก็เป็นที่ฝ่าเท้า หากติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนก็จะเกิดเป็นหนอง บางคนเป็นเชื้อราที่เท้า แต่จะเกิดภูมิแพ้เป็นผื่นคันหรือเห่อเป็นตุ่มน้ำที่มือหรือที่ตำแหน่งอื่นๆของร่างกาย ยังพบโรคติดเชื้อราที่ขาหนีบ หรือ “สังคัง” มักติดเชื้อมาจากที่เท้า เมื่อสวมกางเกงในจะทำให้ติดเชื้อจากเท้าไปขาหนีบ มีอาการคันมาก

ข้อแนะนำทั่วไปสำหรับป้องกันเชื้อราที่เท้า คือ ไม่ควรสวมถุงเท้าหนาและคับเกินไป หากไปย่ำน้ำสกปรกมาควรล้างเท้าด้วยสบู่และน้ำเปล่าจนสะอาด ซับเท้าให้แห้ง หรือก่อนไปย่ำน้ำอาจทาขี้ผึ้งขาวเคลือบบริเวณเท้า

ก่อนย่ำน้ำให้ใช้ขี้ผึ้งวาสลินซึ่งเป็นขี้ผึ้งสีขาวขุ่นๆ เป็นมัน ทาที่เท้า และตามง่ามนิ้วเท้า จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวเปียกน้ำ ลดน้ำกัดเท้าได้

หลังย่ำน้ำ ถ้ามีผิวหนังเปื่อย โดยเฉพาะที่ง่ามนิ้วเท้า อาจเป็นเชื้อราที่เท้า ให้ใช้ขี้ผึ้งขจัดเชื้อรา เช่นขี้ผึ้งวิทฟิลด์ ซึ่งมีตัวยาคือ กรดซาลิไซลิก และกรดเบนโซอิก ส่วนยาฆ่าเชื้อราตัวอื่นเช่นที่มีสารออกฤทธิ์คือ โคลไตรมาโซล, คีโตโคนาโซล, ไมโคนาโซลครีม, และทอลนาฟเทต ยาฆ่าเชื้อราอาจต้องทาต่อเนื่องนานเป็นเดือน ยาทารักษาเชื้อราหลายชนิด เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอก หากนำมาใช้ขณะน้ำกัดเท้าอาจยิ่งก่อให้เกิดการระคายเคือง เจ็บแสบ และผิวถลอกมากขึ้น

ในกรณีที่แผลน้ำกัดเท้าลอกมาก มีการอักเสบ มีน้ำเหลืองไหล อาจต้องล้างแผลหรือแช่แผลไปพลางๆก่อน โดยอาจใช้วิธีการแช่เท้าโดยใช้น้ำด่างทับทิม โดยใช้เกร็ดด่างทับทิม 2-3 เกร็ดละลายน้ำให้ได้สีชมพูจาง ๆ แช่อย่างน้อย 15 นาที หรือใช้ยาใส่แผลโพวิโดน ไอโอดีน 8 หยด ผสมน้ำประมาณ 1 ลิตร หรือใช้การประคบเท้าที่มีแผล โดยใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชุบน้ำด่างทับทิมหรือน้ำเกลืออ่อนๆ โปะทิ้งไว้ตั้งแต่ผ้ายังเปียกทิ้งไว้นานจนผ้าหมาดหรือใกล้จะแห้งจึงเอาผ้าออก ทำเช่นนี้ซ้ำบ่อยๆ จะช่วยลดอาการอักเสบน้ำเหลืองไหลลงได้ การทำน้ำเกลือง่าย ๆ คือใช้เกลือ 1/2 ช้อนชาผสมในน้ำอุ่น 1 ถ้วย คือใส่เกลือ 2.5 กรัมลงในน้ำอุ่น 1/4 ลิตร แล้วคนให้เกลือละลาย

กรณีที่แผลน้ำกัดเท้ากำเริบมาก มีอาการอักเสบ ปวด กดเจ็บมาก บวม แดงร้อน มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลมาก หรือมีผิวแดงลุกลามแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ไข่ดันบวมมาก หรือมีไข้สูง อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ควรต้องไปพบแพทย์ เพราะอาจต้องได้ยารับประทานปฏิชีวนะที่เหมาะสม หรือในรายที่เป็นมากอาจต้องได้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ

ส่วนการป้องกันโรคเชื้อราที่ขาหนีบ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “สังคัง” นั้น ไม่ควรสวมใส่กางเกงหนา บางคนชอบนุ่งกางเกงยีน ผ้ายีนจะแห้งยากมากทำให้เกิดความอับชื้นง่าย และหากน้ำหลากมาเร็วอาจทำให้ไม่คล่องตัวหนีน้ำได้ลำบาก หากเป็นเชื้อราที่เท้าหรือที่ขาหนีบแล้วใช้ยาทาฆ่าเชื้อราไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพราะอาจต้องรับประทานยาแทน

นอกจากนี้ยังอาจพบโรคเท้าเหม็นซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียทำให้เกิดรูพรุนเล็กๆที่เท้า มีกลิ่นเหม็นมาก ยามน้ำท่วมต้องเดินย่ำน้ำบางครั้งเกิดบาดแผลสกปรกอาจติดเชื้อแบคทีเรียได้

ที่พบบ่อยและอาจมีอันตรายถึงชีวิตคือ “โรคบาดทะยัก” หากเกิดบาดแผลอาจต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ และยังอาจพบ “โรคไฟลามทุ่ง” ซึ่งเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดตื้นของผิวหนังชั้นหนังแท้ ที่รวมถึงหลอดน้ำเหลืองด้วย ลักษณะเฉพาะ คือ มีอาการเจ็บ ผื่นแดงมีขอบเขตชัดเจนที่ขยายขนาดอย่างรวดเร็ว “โรคเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ” เป็นการอักเสบลุกลามของชั้นหนังแท้ส่วนลึก และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โรคติดเชื้อแบคทีเรียบางโรคอาจลุกลามรวดเร็ว ต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมทันที ในกรณีที่มีอาการดังต่อไปนี้ คือ ปวด บวม แดง ร้อน มีไข้ ไข่ดันบวม ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจต้องใช้ยาปฏิชีวะเฉพาะหรือใช้ยาฉีดเพื่อรักษา นอกจากนั้นยังอาจพบแผลพุพองเป็นตุ่มหนอง ฝี โรคฉี่หนู เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียจากฉี่หนู ทำให้เป็นไข้ ตัวเหลือง ตาเหลือง ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด

ในช่วงน้ำท่วมยังอาจพบการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส เช่น อีสุกอีใส หัด หัดเยอรมัน ส่วนที่แสดงอาการที่ผิวหนังโดยตรงเช่น หูด หูดข้าวสุก และโรคเริม ซึ่งเป็นผื่นแดง มีหย่อมของตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง มีอาการเจ็บร่วมด้วย อาจมีไข้ และมีต่อมน้ำเหลืองโต พบบ่อยที่ริมฝีปาก อวัยวะเพศ และผิวหนังส่วนอื่นๆของร่างกาย

เริมนั้นส่วนใหญ่ไม่ร้ายแรง อาจเพียงทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัว เสียบุคลิกภาพ แต่ก็มีบางรายที่โชคร้ายเชื้ออาจลุกลามเข้าสู่สมองทำให้เป็นโรคสมองอักเสบได้ คือ ตอนนี้แม้จะยังไม่มีการรายงานตัวเลขที่ชัดเจนว่ามีผู้ป่วยกี่ราย แต่จากข้อมูลน้ำท่วมในต่างประเทศ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะหลายคนเครียด อากาศเปลี่ยนแปลง โดนแดดจัด พักผ่อนไม่เพียงพอ ภูมิต้านทานต่ำ ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเริมได้

การที่ต้องอพยพมาอยู่ร่วมกันอาจเป็นไปได้ที่จะเกิดการระบาดของหิดและเหา เพราะหลายคนต้องอพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิงร่วมกันจำนวนมากและต้องอยู่ใกล้ชิดกัน ขณะเดียวกันอาจพบโรคพยาธิปากขอ เป็นการติดเชื้อพยาธิจากการเดินผ่านน้ำท่วมขัง พยาธินี้จะดูดเลือด และอาจทำให้เกิดโรคเลือดจางได้ และปัญหาแมลง สัตว์กัดต่อยเช่น งู แมงป่อง ตะขาบ

ท้ายนี้ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบอุทกภัยทุกท่านฝ่าฟันวิกฤติในครั้งนี้!!??.




จาก ..................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 30 ตุลาคม 2554

สายน้ำ
01-11-2011, 07:45
สาวออฟฟิศกินจุบจิบ เสี่ยงเบาหวาน

http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/10/31/k7a7766c7ciikakb5kb8h.jpg

ขนมเค้ก คุ้กกี้ ขนมปัง ขนมถุง มันฝรั่งทอดกรอบฯลฯ ที่สาวๆ ออฟฟิศส่วนใหญ่มีติดโต๊ะไว้แก้หิว เพราะตอนเช้าที่ต้องรีบตื่นแต่งตัวรีบเร่งไปทำงานให้ทัน...แม้จะดื่มกาแฟแก้วเดียวก็แทบจะไม่มีเวลา แต่พอสายๆ ท้องก็เริ่มหิว เริ่มควานหาขนมที่วางไว้บนโต๊ะ หรือแซนด์วิชที่ร้านสะดวกซื้อมารองท้อง

ศุภลักษณ์ ทองนุ่น นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ( แผนกผู้สูงอายุ ) จึงได้อธิบายการกินของผู้หญิงว่า งานออฟฟิศส่วนใหญ่เป็นงานที่ใช้เวลานั่งทำอยู่กับโต๊ะและหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งเครียดและยุ่งแทบไม่ค่อยมีเวลากินข้าว แต่ชอบกินจุบกินจิบแทน พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงจนต้องหากาแฟอีกแก้วพร้อมกับขนมขบเคี้ยวที่ซื้อติดมือมาตอนกลางวัน สาวออฟฟิศส่วนใหญ่ก็มักไม่ค่อยมีเวลาไปออกกำลังกาย น้ำหนักตัว จึงยิ่งเพิ่ม พฤติกรรมซ้ำๆ เหล่านี้ทำให้ สาวๆ ออฟฟิศ เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โดยไม่รู้ตัว

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2011/10/31/ibifg7cf5bf7c9fa5bidi.jpg

"ตามหลักโภชนาการ กำหนดให้ผู้ที่มีสุขภาพปกติ บริโภคน้ำตาลได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา แต่สาวออฟฟิศที่ห่วงสวยจะเลี่ยงมารับประทานผลไม้เป็นของว่าง และได้รับน้ำตาลมากถึงวันละ 25 ช้อนชา ส่วนกลุ่มที่ชอบกินขนมกรุบกรอบได้รับน้ำตาลวันละประมาณ 18 ช้อนชา และถ้าร่างกายได้รับปริมาณน้ำตาลและแป้งล้นเกินเป็นประจำ จะทำให้ตับอ่อนทำงานหนักจากการผลิตอินซูลิน ยิ่งคนที่มีปริมาณไขมันมากก็จะยิ่งทำให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี ทำให้มีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูง และในที่สุดก็อาจจะกลายเป็นโรคเบาหวานได้ ส่วนจะเป็นโรคเบาหวานเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของตับอ่อนของแต่ละคน" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ชี้แจง

พร้อมกันนี้ยังให้คำแนะนำถึงวิธีการเลี่ยงการเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานของผู้หญิงว่า ไม่ควรรับประทานน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชา และแป้ง ( ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เค้ก ฯลฯ ) ไม่เกิน 8 - 12 ทัพพี ควรจดบันทึกปริมาณพลังงานที่ได้รับ / วัน หรือนับการรับประทานอาหารกลุ่มแป้ง น้ำตาล และไขมัน เช่น มื้อกลางวันทานสับปะรดไปแล้วมื้อเย็นก็ไม่ควรทานอาหารที่มีน้ำตาลแฝงอยู่ เช่น แกงเขียวหวาน ควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่มีน้ำตาลแทน เช่น ปลาย่างทานกับผักสด

http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/10/31/i6ked67cc5kbb5f67af6g.jpg

อย่าซื้อขนมหวานที่ชอบติดบ้าน เวลาเบื่อ หรือนั่งดูทีวี เรามักจะรับประทานขนมได้มากโดยไม่รู้ตัว ถ้าเบื่อควรเลือกทานผลไม้ที่ไม่หวานแทน เช่น ฝรั่ง, มันแกว ฯลฯ รับประทานให้ช้าลง ร่างกายจะรับรู้ถึงสัญญาณความอิ่มหลังรับประทานอาหารประมาณ 15 - 20 นาที ถ้าเรารับประทานช้าลงเราก็จะรู้สึกอิ่มโดยที่ไม่ได้รับประทานเกินความต้องการของร่างกาย เคี้ยวให้นานขึ้น ยิ่งเคี้ยวนานเราก็จะทานช้าลง และอิ่มเร็วขึ้น สุดท้ายคือ ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 3 ครั้งเพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายเพื่อช่วยให้อินซูลินทำงานได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตามโรคเบาหวาน เป็นโรคที่ใช้เวลาในการเกิดโรคนาน และเป็นโรคที่มาจากพฤติกรรมในการกิน เป็นโรคเรื้อรัง ที่ต้องรักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต ดังนั้นถ้าสาวๆที่มีพฤติกรรมชอบกินจุบจิบ กินตามใจปาก และมักจะระวังการบริโภคแป้งแต่ไม่ค่อยระวังเรื่องน้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลแฝง จึงควรปรับพฤติกรรมการกินใหม่ ใส่ใจในการเลือกอาหารในแต่ละมื้อ จะทำให้ไม่อ้วนและไม่เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานด้วย




จาก .................... คม ชัด ลึก วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
01-11-2011, 07:56
พิษบ้าจากสัตว์ตื่นน้ำ

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/26/images/news_img_415822_1.jpg

แม้มนุษย์จะรู้จักโรคพิษสุนัขบ้ามานานกว่า 500 ปี แต่ถึงทุกวันนี้เรายังไม่มียาใดรักษาได้ ผู้ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิต 100%

แต่ที่น่าเป็นกังวลมากกว่าคือ ท่ามกลางวิกฤติน้ำท่วมนี้ นอกจากคนจะตื่นตระหนกและเครียดแล้ว สัตว์เลี้ยงก็เผชิญชะตากรรมไม่ต่างจากเจ้าของ แถมความเครียดของมันยังมีสูงกว่า และพร้อมที่จะกัดทุกคน ไม่เว้นกระทั่งเจ้าของที่คุ้นเคย

ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะพุ่งตรงไปยังแขนงประสาทและระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยระบบประสาท จึงเป็นเหตุให้การรักษาหรือหยุดยั้งเชื้อไวรัสทำได้ยาก ฉะนั้น ในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ ผู้ที่ติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิต 100% แต่อย่างไรก็ดีโรคพิษสุนัขบ้าก็สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน

"ตำแหน่งที่ได้รับบาดแผลจากสัตว์ ถือว่ามีความสำคัญต่อการกระจายของเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าอย่างมาก หากได้รับบาดแผลในตำแหน่งที่ใกล้สมอง เชื้อเรบีส์ยิ่งเดินทางไปทำลายระบบสมองได้เร็ว ยิ่งต้องรีบพบแพทย์ให้ด่วนที่สุด" นสพ.สนธยา มานะวัฒนา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว

สัตว์เลี้ยงแสนรักในกลุ่มเลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ว่าจะเป็น แมว สุนัข กระรอก หนู กระต่าย รวมถึง ลิง ชะนี และค้างคาว ล้วนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกตัว เพราะโรคพิษสุนัขบ้าที่อยู่ในสัตว์เลี้ยงแสนรักเหล่านั้น สามารถถ่ายทอดเชื้อมาสู่คนและคร่าชีวิตเราหรือคนในครอบครัวได้โดยไม่รู้ตัว

โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดเชื้อทางระบบประสาทจากสัตว์มาสู่คน โดยมีเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า เรบีส์ เป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคและอาการในสัตว์กลุ่มที่เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด

คนรักสัตว์จำนวนมากมักสงสัยว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าเราติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า ทุกครั้งหลังถูกสัตว์เลี้ยงหรือที่สัตว์เราไปเล่นด้วยกัด ข่วน หรือร่างกายเรามีแผลแล้วถูกสัตว์เลีย ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่า สัตว์ตัวนั้นมีเชื้อพิษสุนัขบ้า ยิ่งไม่เคยรับวัคซีนยิ่งต้องสงสัยมากเป็นพิเศษ

สมัยนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าก็เช่นกัน ฉีดแค่ 3-5 เข็มหลังจากเกิดบาดแผลจากสัตว์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ ก็สามารถป้องกันโรคได้แล้ว ไม่ได้ฉีดรอบสะดือ 14-21 เข็มเหมือนสมัยก่อน อย่างที่หลายคนเข้าใจหรือกลัวจนไม่กล้ามาหาหมอ

อาการของสัตว์ที่ติดเชื้อจะแสดงออก 2 รูปแบบคือ หงุดหงิด วิ่งพล่าน ดุร้าย โดยจะแสดงอาการ 2-3 วัน หลังจากนั้นจะอ่อนเพลีย เดินโซเซและตายในที่สุด ส่วนอีกแบบที่จะพบได้คือ เซื่องซึม ลิ้นห้อย ปากอ้าหุบไม่ได้ ตัวแข็ง เป็นอัมพาต หรือในบางตัวอาจมีอาการชักและตายในที่สุด อย่างไรก็ตาม อาการในกลุ่มนี้จะสังเกตได้ยาก เพราะอาการใกล้เคียงกับการเป็นโรคไข้หวัดหรือหัด

แต่หากไม่แน่ใจก็ให้พาไปพบแพทย์ หรือหากสัตว์ตายก็ให้เอาซากสัตว์ไปตรวจ จึงจะปลอดภัยที่สุด

คุณหมอสนธยา แนะนำวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ เจ้าของควรนำสัตว์ไปฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าเป็นประจำทุกปี รวมถึงทุกคนในบ้านก็ควรไปรับวัคซีนด้วยเช่นกัน รวมถึงกรณีคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์แต่ต้องเดินทางผ่านบริเวณที่มีสุนัขจรจัด หรืออาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความเสี่ยง ก็ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค

เพราะเราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า สัตว์ตัวไหนมีไวรัสพิษสุนัขบ้า


ปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อถูก 'กัด'

1. ล้างแผลทันทีด้วยน้ำและฟอกด้วยสบู่หลายๆครั้ง ถ้าแผลลึกให้ล้างถึงก้นแผลอย่างน้อย 15 นาที ระวังอย่าให้แผลช้ำ ห้ามทาครีมใดๆ ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น

2. เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ควรใช้โพวีโดนไอโอดีน หรือ ฮิบิเทนในน้ำ ถ้าไม่มีให้ใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือ ทิงเจอร์ไอโอดีน ไม่ควรปิดปากแผลยกเว้นว่าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่มาก

3. รับการฉีดวัคซีน ฉีดป้องกันบาดทะยักและยาแก้ปวดตามอาการ

4. กักสัตว์ที่กัดไว้ดูอาการอย่างน้อย 15 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ ถ้าสัตว์หนีหายไปให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า หากสัตว์มีอาการปกติตลอดระยะเวลาที่กักเพื่อดูอาการ สามารถหยุดฉีดวัคซีนได้




จาก .................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
02-11-2011, 07:33
แผนฟื้นฟูผิว 7 ขั้นตอน

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/01/etc/HappyLife.jpg

ปฏิบัติเพียง 7 ขั้นตอนในชีวิตประจำวันเพื่อลดความตึงเครียดซึ่งจะทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัย พร้อมฟื้นฟูผิวให้สุขภาพดี

ขั้นตอนแรก เริ่มจากเครื่องสำอางที่ใช้ ถ้าลองไปค้นกระเป๋าเครื่องสำอางของผู้หญิงส่วนใหญ่จะพบว่าภายในเต็มไปด้วยของที่ไม่จำเป็นและบางทีอาจไม่เคยใช้เลยซะส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้ว มีแค่ 3 อย่างก็เพียงพอ คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยน มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ผสมสารแอนติออกซิแดนท์ และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของซิงค์ ออกไซด์และไทเทเนียมไดออกไซด์

ชั้นตอนต่อมาคือ การผ่อนคลายจิตใจด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การนวด เล่นโยคะ หรือรักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนดีๆ เพราะเพื่อนที่ดีจะคอยช่วยสนับสนุนและให้กำลังใจในวันที่คุณเหนื่อยและเครียด หาเวลาไปพบปะกับเพื่อนบ้าง ไม่เฉพาะคุยกันในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรืออีเมลเท่านั้น แต่ต้องได้เจอตัวจริง อาจไปกินข้าวสักมื้อ หรือดื่มกาแฟสักถ้วยก็ได้ เพราะไม่ว่าจะสนิทกันแค่ไหน หากไม่ได้เจอกันนานๆ ความสนิทสนมก็จะลดลง และการได้คุยกับเพื่อนที่รู้ใจอาจช่วยแก้ปัญหาที่คุณคิดไม่ตกก็ได้

ขั้นตอนที่สาม สัมผัสธรรมชาติ โดยระหว่างทำงานลองหาเวลาเดินออกมาจากออฟฟิซ แล้วลองมองท้องฟ้าและต้นไม้แค่วันละ 10 นาทีเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด เพราะมีผลการวิจัยทางจิตวิทยาชี้ว่า ระดับฮอร์โมนความเครียดจะลดลงถ้าได้เดินออกมาจากออฟฟิซบ้าง

“กินอาหารที่มีประโยชน์” คือขั้นตอนที่สี่ เพราะในช่วงที่เกิดความเครียด เรามักจะทานอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้งมาก ไขมันสูงและอาหารทอดชนิดต่างๆ ทำให้เสียสุขภาพ หากเปลี่ยนไปทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จำพวกผัก ผลไม้ นอกจากจะลดความเครียดแล้ว ยังทำให้สุขภาพดีด้วย

ขั้นตอนต่อมาคือ การออกกำลังกาย โดยพยายามหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที บางคนอาจบอกว่าไม่มีเวลา ซึ่งที่จริงแล้วการออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องไปฟิตเนสหรือไปสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพียงแค่ขยับร่างกาย เดินไปเดินมาบ้าง ก็ถือเป็นการออกกำลังกายแล้ว

ขั้นตอนที่หก นอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเมื่อหลับ ฮอร์โมนต่างๆจะทำงานได้ดี และร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองเมื่อหลับ ซึ่งเป็นเหตุผลที่มักจะมีคนแนะนำว่าหากรู้สึกแย่หรือไม่สบายให้นอนพักผ่อน เมื่อตื่นมาจะรู้สึกดีขึ้น ถ้ามีเวลานอนน้อยแล้วง่วงจนทำงานต่อไม่ไหว ลองงีบสัก 20 นาที จะรู้สึกดีขึ้น

ขั้นตอนสุดท้าย “ปรนนิบัติตัวเอง” อาจไม่ต้องไปทำสปาหรูๆ หรือไปนวดตามร้าน แค่ดูแลผิวที่บ้าน ด้วยการมาส์กหน้าหรือขัดผิวตามสูตรต่างๆ ที่สามารถทำเองได้ เช่น มาส์กหน้าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยผสมน้ำผึ้งกับนมเข้าด้วยกัน แล้วทาทิ้งไว้บนหน้าสักครู่ แค่นี้ก็จะทำให้ผิวดีขึ้นและสภาพจิตใจดีขึ้นด้วย




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
02-11-2011, 07:36
'คีโม' กลัวได้แต่อย่าถอย

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/26/images/news_img_415819_1.jpg

การแพทย์สมัยใหม่ทำให้ล่วงรู้โอกาสการเกิดโรคหรือพบโรคตั้งแต่ระยะต้นๆ และรักษาให้หายขาดได้ ก่อนที่จะสายเกินแก้ ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งเต้านม

"ผู้หญิงสมัยนี้เป็นมะเร็งเต้านมกันมาก เพราะอาหารการกินที่เปลี่ยนไปนิยมของปิ้ง ย่าง ทอด และส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหญิงไทยกล้าที่จะทิ้งความอาย เพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพเต้านมมากขึ้น" พญ.ธิติยา สิริสิงห แพทย์หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมแทบไม่ต่างจากมะเร็งส่วนอื่นของร่างกาย ที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม อายุ และการกินฮอร์โมนเสริมหลังหมดประจำเดือน รวมถึงยาคุมกำเนิดที่กินติดต่อเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบอาหารไขมันสูง ปิ้ง ย่าง ทอด ยิ่งเสี่ยงมากกว่าหญิงที่ดูแลสุขภาพเรื่องการกินการอยู่หลายเท่าตัว

คุณหมอย้ำชัดว่า ยาฮอร์โมนทดแทนและยาคุมกำเนิด หากกินต่อเนื่องเกินความจำเป็น จะเพิ่มความเสี่ยงเกิดมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไป แต่โอกาสของโรคในตอนนี้ก็ยังพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแต่ใจหญิงที่กินฮอร์โมนเพื่อให้มีหน้าอก

ส่วนคำแนะนำถึงวิธีการกินยาคุมให้ปลอดภัยในผู้หญิง ก็เพียงแค่ไม่กินต่อเนื่องนานเกิน 2-3 ปี หรือหาวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นแทน อาจเลือกการทำหมันชั่วคราวด้วยการให้ฝ่ายชายเป็นคนรับภาระก็ได้

หญิงที่มีญาติในสายเลือดเป็นมะเร็งเต้านม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตรวจร่างกายตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเทคนิคพื้นฐานคือ การคลำหาก้อนเนื้อบริเวณเต้านมทุกเดือน หรือแม้แต่หญิงที่ไม่มีประวัติดังกล่าวก็ควรไปตรวจเมื่ออายุเข้าสู่วัย 40 ปี

ผู้ที่พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น ไม่ต้องตกใจเพราะสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการผ่าตัดคว้านเอาก้อนเนื้อร้ายออก เสริมด้วยเคมีบำบัด เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่ยังเล็ดลอดจากการผ่าตัดรักษา

คุณหมอเพิ่มเติมว่า มะเร็งเต้านมที่รักษาเสริมด้วยเคมีบำบัด หรือที่เรียกกันว่าคีโม วิธีการไม่ได้ยุ่งยากหรือน่ากลัวอย่างที่ใครหลายคนกังวล เหมือนการนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง ตัวยาเคมีที่นำมาใช้รักษาก็มีหลากหลายให้เลือกและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันไป เช่น อาการผมร่วง ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับยาที่แพทย์เลือกใช้แต่ละชนิดก็มีอาการต่างกันไป หรืออาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งจะมีอาการไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่ก็มีตัวยาช่วยลดอาการข้างเคียงหลายชนิดด้วยกัน

นอกจากนี้หลังได้รับเคมีบำบัด ผู้ป่วยยังอาจเกิดอาการปวดเมื่อยได้ด้วย โดยสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ ภาวะนี้มักเกิดหลังให้ยาไปแล้ว 10-14 วัน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย ญาติจึงควรดูแลเป็นพิเศษ ให้กินอาหารปรุงสุกเท่านั้น งดผักผลไม้สด ของสุกๆดิบๆ ไปสักระยะหนึ่ง รวมถึงไม่พาผู้ป่วยไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเข้าใกล้คนที่ป่วย

"การรักษาเสริมด้วยเคมีบำบัด คนไข้จะต้องรับยาต่อเนื่อง 3-6 เดือนตามการวินิจฉัยของแพทย์ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ช่วงที่รับการรักษาคือ การเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่เดิมหรือส่วนอื่นของร่างกายได้ทุกเมื่อ ฉะนั้น ควรพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ" ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าว



ซีส : มะเร็ง แตกต่างอย่างไร

พญ.ดลฤดี สองทิศ โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (องครักษ์) บอกว่า การมีก้อนบริเวณเต้านม อาจมองเห็นหรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ได้ สามารถคลำได้ แต่ซีสไม่ใช่เนื้องอก ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง ซีส โดยทั่วไปเป็นถุงน้ำ สามารถโตและยุบจนหายสนิทได้

ในความเข้าใจของคนทั่วไปมักเรียกไปก่อนว่า ซีส แต่หากไม่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะอาจไม่ใช่แค่ "ซีส" อาจจะร้ายแรงถึงขั้นเป็น เนื้องอกหรือ มะเร็งได้

ซีสเต้านม เกิดจากภาวะที่น้ำขังอยู่ในเนื้อเต้านมเป็นหย่อมๆ ทำให้เวลาตรวจดูจะพบเป็นถุงน้ำ เมื่อใช้มือคลำจากภายนอก จะพบเป็นก้อนในเนื้อนม อาจมีอาการปวดบริเวณเต้านม เนื่องจากน้ำในซีสดันเนื้อนมรอบข้าง ทำให้เต้านมตึงเกิดอาการปวด เวลาคลำจะพบก้อนที่เต้านมด้วยก็ได้ และสามารถพบได้ในหลายตำแหน่ง

ซีสเต้านมจะโตๆยุบๆ ตามรอบเดือนและเจ็บ ผิดกลับมะเร็งที่จะโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เจ็บ ซีสมักจะนุ่มๆ หยุ่นๆ แต่มะเร็งจะมีลักษณะแข็ง

การตรวจด้วยอัลตราซาวด์จะทำให้รู้ว่าเป็นซีสหรือเป็นมะเร็ง ส่วนอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้เข็มฉีดยาเจาะดู หากเป็นซีสน้ำจะได้น้ำออกมา และก้อนก็จะยุบหายไป ทางที่ดีหากตรวจพบก้อนอะไรก็ตามที่เต้านม ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคที่แท้จริงจะปลอดภัยมากกว่า




จาก .................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
02-11-2011, 07:39
เมื่อถูก 'ตะขาบ' กัดต้องทำอย่างไร

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/01/etc/hl02112011.jpg

น้ำท่วม ใช่ว่าคนเท่านั้นที่ต้องหาพื้นแห้งๆ อยู่เพื่อความปลอดภัย สัตว์มีพิษอย่าง 'ตะขาบ' ก็เช่นกัน แม้ในยามปกติมันจะซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหิน บริเวณที่มีสภาพเย็นชื้น แล้วออกหาแมลงกินในตอนกลางคืน แต่เมื่อน้ำเอ่อท่วม ตะขาบก็ต้องหนีน้ำขึ้นมาเป็นธรรมดา หลายๆคนจึงมักได้เห็นตะขาบกันได้บ่อยในช่วงนี้

ทว่าบังเอิญถูกตะขาบกัดเข้าก็ต้องปฐมพยาบาล เนื่องจากพิษของตะขาบจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดนั้นบวมแดง รู้สึกปวด และอาจชา บางคนหากแพ้พิษมากยังจะมีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน และซึมลง แต่พิษของตะขาบในบ้านเรามักไม่สามารถทำให้เสียชีวิตได้โดยตรง

วิธีการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น หากถูกกัดบริเวณแขนและขา พยายามห้อยส่วนดังกล่าวให้อยู่ต่ำ กรณีโดนกัดที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า แนะนำให้หาเชือกหรือผ้ามารัดที่ข้อนิ้วเอาไว้ เป็นการป้องกันพิษกระจายตัว

จากนั้นให้เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ หรือล้างด้วยน้ำด่างทับทิมช่วยฆ่าเชื้อโรค ตามด้วยการประคบเย็นบริเวณที่ถูกกัดเพื่อลดปวดบวม และกินยาแก้ปวด

ขณะที่การปฐมพยาบาลแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน มีการแนะนำให้แช่แผลที่ถูกกัดลงในน้ำส้มสายชู หรือใช้ยางมะละกอดิบป้ายแผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้

อย่างไรก็ตาม หลังดูแลแผลเพื่อลดความเจ็บปวดแล้ว ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาทันที บางรายที่ปล่อยไว้ อาจเสี่ยงต่อการอักเสบติดเชื้อ ปวดบวมมีหนอง เนื้อตายจนต้องตัดเฉือนทิ้ง.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
04-11-2011, 08:12
กินแอปเปิ้ล ลดไข้

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/02/etc/hl04112011.jpg

บางคนพอร่างกายอ่อนแอ ก็เป็นไข้ ปวดหัว ตัวร้อน ทว่าป่วยอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะต้องกินยาเรื่อยๆ คงไม่ดีนัก อีกทั้งคนกินยายากก็ยิ่งลำบากใจ วันนี้ 'มุมสุขภาพ' ภูมิใจแนะนำผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณลดไข้ได้ นั่นคือ 'แอปเปิ้ล'

ในแอปเปิ้ล อุดมด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามินบี1 บี2 บี6 โพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก และแมกนีเซียม ช่วยคลายเครียด ล้างพิษในไตและตับ / วิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไฟโตเคมิคอลเควอเซติน กรดมาลิก และเส้นใยแพ็กติน ให้สรรพคุณช่วยย่อย ล้างกระเพาะและลำไส้ ที่สำคัญน้ำซึ่งสกัดจากแอปเปิ้ล ดื่มแล้วช่วยลดไข้ได้

เพื่อความอร่อย และเพิ่มคุณค่า ยังสามารถผสมน้ำแอปเปิ้ลรวมกับน้ำที่สกัดจากแครอต เป็นการเติมสรรพคุณกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย

หากต้องการทำเป็นดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแครอต มีส่วนผสมที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย...

แอปเปิ้ลเขียว 1 ถ้วย
แครอต 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอปเปิ้ลเขียวและแครอต จากนั้นขูดแครอตเป็นเส้นๆ ส่วนแอปเปิ้ลเขียวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก ได้แล้วนำส่วนผสมไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแข็งป่นช่วยเพิ่มรสชาติ และควรดื่มทันที.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
08-11-2011, 07:39
“อย่าประมาท!...โรคมือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว” (ตอน 1)

จากสถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา พบผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 12,155 คน : ตั้งแต่ 1 ม.ค.-22 ก.ย.54 อัตราป่วยคิดเป็น 19.13 ต่อประชาการแสนคน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน

โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อทางปาก ไอ จามรดกัน แม้ความรุนแรงของโรคไม่สูง แต่เนื่องจากติดกันง่ายจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบว่าต้นเหตุน่าจะเป็นเพราะเด็กเล่นคลุกคลีกันและติดเชื้อ เมื่อเด็กติดเชื้อผู้ปกครองก็ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ เด็กจึงนำเชื้อไปติดเด็กคนอื่น ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย อาหาร ให้มีสุขอนามัยที่ดีเพราะเป็นวิธีการป้องกันโรคนี้ดีที่สุด

1.โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot and Mouth Disease) คือโรคอะไร

โรคมือ เท้า ปาก เป็นกลุ่มอาการหนึ่งซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสที่สามารถเจริญเติบโตได้ในลำไส้ ที่เรียกว่า เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งพบเฉพาะในคนเท่านั้น และมีหลากหลายสายพันธุ์ สำหรับสายพันธุ์ที่ก่อโรคมือ เท้า ปาก ได้แก่ คอกแซกกีไวรัสกรุ๊ป เอ และบี (Coxsackie virus group A, B) และที่ก่อโรครุนแรงที่สุด คือ เชื้อเอนเทอโรไวรัส 71

เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่ามีรายงานผู้ป่วยสูงกว่าเกือบ 3 เท่า และมักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีอายุระหว่าง 2 สัปดาห์ ถึง 3 ปี โรคนี้ไม่เป็นปัญหาในผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ


2.โรคนี้พบที่ใดบ้าง

โรคนี้พบผู้ป่วยและการระบาดได้ทั่วโลก มีรายงานการระบาดรุนแรงที่มีสาเหตุจากเอนเทอโรไวรัส 71 ในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ประเทศเวียดนาม มีข้อมูลล่าสุดพบผู้ป่วยกว่า 42,673 ราย เสียชีวิตกว่า 98 ราย ในขณะที่ประเทศมาเลเซีย พบผู้ป่วยในปีนี้ 2,919 คน ลดลงจากปีที่แล้ว (2553) ที่พบผู้ป่วยถึง 8,769 คน โดยในปีนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิต

แหล่งที่มา : http://outbreaknews.com /04 September 2011


3.โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้อย่างไร

โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อโดยการได้รับเชื้อโดยตรงทางปาก ซึ่งเชื้อจะติดมากับมือ ภาชนะที่ใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือของเล่นที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากตุ่มพอง แผลในปาก หรืออุจจาระของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสอยู่ เชื้อจะผ่านเข้าไปที่ลำคอ และลงไปที่ลำไส้ โดยเชื้อจะเพิ่มจำนวนที่ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รวมทั้งทอนซิล และเนื้อเยื่อของระบบน้ำเหลือง สำหรับเชื้อไวรัสที่อยู่ในลำไส้ จะถูกขับถ่ายปนมากับอุจจาระเป็นระยะๆ ได้นานถึง 6-8 สัปดาห์ แม้อาการจะทุเลาลงแล้วก็อาจแพร่เชื้อได้ การติดต่อมักเกิดได้ง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย ซึ่งมีเชื้อไวรัสออกมามาก

การแพร่กระจายเชื้อจะเกิดได้ง่ายมากในเด็กเล็ก ที่ชอบเล่นคลุกคลีใกล้ชิดกันในโรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือญาติพี่น้องที่อยู่รวมกัน

ข้อมูลจาก แผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
09-11-2011, 07:48
“อย่าประมาท!...โรคมือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว” (ตอน 2)


จากสถานการณ์การระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา พบผู้ป่วยทั่วประเทศจำนวน 12,155 คน ตั้งแต่ 1 ม.ค.-22 ก.ย.54 อัตราป่วยคิดเป็น 19.13 ต่อประชาการแสนคน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เกิดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักระบาดในช่วงหน้าฝน

โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสติดต่อทางปาก ไอ จามรดกัน แม้ความรุนแรงของโรคไม่สูง แต่เนื่องจากติดกันง่ายจึงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบว่าต้นเหตุน่าจะเป็นเพราะเด็กเล่นคลุกคลีกันและติดเชื้อ เมื่อเด็กติดเชื้อผู้ปกครองก็ไม่ได้แจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ เด็กจึงนำเชื้อไปติดเด็กคนอื่น ดังนั้น ผู้ปกครองควรให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัย อาหาร ให้มีสุขอนามัยที่ดีเพราะเป็นวิธีการป้องกันโรคนี้ดีที่สุด

จากตอนที่ 1 ของเรื่องนี้ได้บรรยายให้ความรู้ไปแล้ว 3 ข้อ ในตอนที่ 2 นี้ จะขอตอบคำถามของโรคนี้ต่อเป็นข้อต่อไปดังนี้

4.หากติดเชื้อแล้วจะเริ่มแสดงอาการเมื่อใด

ส่วนใหญ่อาการป่วยจะแสดงภายใน 3-5 วัน หลังได้รับเชื้อ โดยไข้เป็นอาการแสดงเริ่มแรกของโรค

5.อาการของโรคเป็นอย่างไร

เริ่มด้วยมีไข้ (อาจเป็นไข้สูงในช่วง 1-2 วันแรก และลดลงเป็นไข้ต่ำๆ อีก 2-3 วัน) มีจุดหรือผื่นแดงอักเสบในปาก มักพบที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ทำให้เจ็บปากไม่อยากรับประทานอาหาร จะเกิดผื่นแดง ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มพองใสรอบๆ แดงที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่อื่น เช่น หัวเข่า ก้น เป็นต้น ผื่นนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส รอบๆ แดง (maculo-papular vesicles) มักไม่คัน แต่เวลากดจะเจ็บ ต่อมาจะแตกออกเป็นหลุมตื้นๆ (ulcer) อาการจะดีขึ้นและแผลหายไปใน 7-10 วัน

ในเด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากยังไม่มีภูมิต้านทาน จึงมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต พบว่าบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (aseptic meningitis) ก้านสมองอักเสบ (brain stem encephalitis) ตามมาด้วยปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ระบบหัวใจ และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ทำให้เสียชีวิตได้ สัญญาณอันตราย ได้แก่ ไข้สูง (ไม่ลดลง) ซึม อาเจียนบ่อย หอบ และแขนขาอ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตคล้ายโปลิโอ

6.ผู้ใหญ่สามารถติดโรคมือ เท้า ปาก จากเด็กได้หรือไม่

ผู้ใหญ่มักมีภูมิต้านทานต่อโรคนี้จากการได้รับเชื้อขณะเป็นเด็ก ซึ่งภูมิต้านทานนี้ จะจำเพาะกับชนิดของไวรัสที่เคยได้รับ หากได้รับเชื้อชนิดใหม่ที่ยังไม่มีภูมิต้านทานก็สามารถเป็นโรคได้อีก ส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเล็กน้อย แต่สามารถแพร่เชื้อไปสู่เด็กหรือผู้อื่นได้

7.หญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสผู้ป่วยโรคมือ เท้า ปาก เสี่ยงติดโรคหรือไม่

ส่วนใหญ่หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับเชื้อจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากมีอาการป่วยควรรีบปรึกษาแพทย์ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลแสดงว่าการติดเชื้อมีผลต่อการแท้งบุตร ความพิการ หรือเด็กเสียชีวิตในครรภ์ อย่างไรก็ตาม เด็กอาจได้รับเชื้อขณะคลอด หากมารดาป่วยในช่วงใกล้คลอด เด็กแรกเกิดที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มีอาการเล็กน้อย ไม่รุนแรง การป้องกันทำได้โดยการปฏิบัติสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ และระหว่างคลอด

ข้อมูลจาก แผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
09-11-2011, 07:50
'โรคผิวหนัง' จากน้ำท่วม

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2011/11/08/b7de5ki9dbf9giahcgbj6.jpg

ปัญหาอุทกภัยกำลังลุกลามไปในหลายพื้นที่ของประเทศ จนเกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย โดยเฉพาะพื้นที่ที่น้ำท่วมขังนานๆ ส่งผลให้ผู้ประสบภัยต้องพบเจอกับปัญหาโรคผิวหนังที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ล่าสุด บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย นำทีมแพทย์และอาสาสมัครลอรีอัลลงพื้นที่เข้าไปตรวจและรักษาโรคผิวหนังที่มากับน้ำท่วม ในพื้นที่ชุมชนวัดบางกะดี อ.เมือง จ.ปทุมธานี ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างหนักกว่า 17 ชุมชน 5 หมู่บ้าน รวมกว่า 1 หมื่นคน

"เชอร์รี่" ชลธิชา วงษ์โสภา ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "เวลเนสส์ ทูเดย์ ฟอร์ บิวตี้ฟูล ทูมอร์โรส์ สุขภาพดีวันนี้ ชีวิตสวยงามในวันพรุ่งนี้" ซึ่งเป็นโครงการอาสาดูแลสุขภาพและเติมกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด จับมือกับพันธมิตรต่างๆ เข้าไปจัดกิจกรรมดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม อาทิ กิจกรรมดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด และกายภาพบำบัด รวมถึงนำถุงผลิตภัณฑ์มอบแก่ผู้ประสบภัย

นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคผิวหนังเป็นปัญหาสำคัญที่มากับน้ำท่วม จึงได้ขอความร่วมมือประกาศรับอาสาสมัครมาร่วมทีมลงพื้นที่ในครั้งนี้ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากแพทย์ผิวหนังจากโรงพยาบาลต่างๆ เข้าร่วมทีมจำนวนมาก โดยทีมแพทย์จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการตั้งศูนย์ให้คนไข้เข้ามารับการรักษา และการนั่งเรือเข้าไปตามบ้านเพื่อรักษาผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางออกมาพบแพทย์ได้

"โรคที่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นกันมากคือผื่นคัน เชื้อราตามซอกนิ้ว และหนังเท้าเปื่อย ซึ่งในช่วงแรกจะเกิดการระคายเคืองก่อน หลังจากนั้นจะเกิดเชื้อราและเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เป็นตุ่มหนองและเกิดความเจ็บปวดตามมา วันนี้ทีมแพทย์จึงนำยาที่เกี่ยวกับโรคผิวหนังประเภทนี้มาให้ผู้ป่วย อย่างผู้ที่มีอาการคัน แพทย์จะจัดยาทาแก้คันให้ ส่วนผู้ที่เป็นเชื้อราจะให้ยาฆ่าเชื้อซึ่งต้องทาติดต่อกัน ทั้งบางคนยังได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบของมีคม ทีมแพทย์ก็จะจัดยาฆ่าเชื้อและยาปฏิชีวนะให้ ซึ่งมีทั้งแบบทาและแบบรับประทาน" นายกสมาคม กล่าว

นอกจากนี้ นพ.นภดล ยังได้แนะนำวิธีการดูแลตัวเองท่ามกลางสภาวะน้ำท่วมว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือหลังลุยน้ำทุกครั้งต้องล้างตัวด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมาก หลังจากนั้นควรเช็ดร่างกายโดยเฉพาะง่ามนิ้ว ข้อพับ ขาหนีบ ให้แห้งสนิทเพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อราที่มักจะชอบอยู่ตามที่ชื้นแฉะ ส่วนรองเท้าและถุงเท้าที่เปียกจากการลุยน้ำควรตากให้แห้งก่อนนำกลับมาสวมใส่ และสำหรับผู้ที่ต้องตากแดดนานๆ ผิวอาจไหม้ได้ ดังนั้นควรใส่หมวกและสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด

ด้าน อิศรา กิจพลไพบูลย์ หนึ่งในชาวบ้านกว่า 800 คนที่เข้ารับการรักษา กล่าวว่า บริเวณนี้ประสบภัยน้ำท่วมมาเกือบ 1 เดือนแล้ว ทำให้ต้องลุยน้ำไปทำงานแทบทุกวัน บางวันเดินทางด้วยเรือแต่ขณะขึ้น-ลงเรือก็ต้องลุยน้ำ จนตอนนี้เริ่มเกิดอาการคันที่ขา ทีมแพทย์จึงให้ยาแก้คันมาทาบรรเทาอาการ ซึ่งก็ไม่ต่างกับ ทรงศิลป์ ปทุมแก้ว ที่มาพบคุณหมอด้วยอาการคันเช่นกัน เผยว่า ต้องลุยน้ำไปตลาด 2 วันครั้ง เริ่มแรกเกิดอาการคันบริเวณขาไล่มาจนถึงเอวจนตอนนี้ลุกลามไปถึงในร่มผ้า วันนี้คุณหมอจึงจัดยาแก้คันให้ พร้อมทั้งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำจนกว่าจะหายคันด้วย




จาก ...................... คม ชัด ลึก วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
09-11-2011, 07:52
เทคนิคล้างเท้าแก้เมื่อย เลือดไหลเวียนดี

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/04/etc/hl09112011.jpg

การเดินลุยน้ำ ไหนจะต้องพยายามทรงตัวไม่ให้ลื่นล้ม ใช้เท้าค่อยๆคลำพื้นทางใต้น้ำให้รู้ระดับสูงต่ำ การก้าวเดินก็ต้องต้านแรงน้ำ จึงใช้เวลามากกว่าเดินบนพื้นแห้งปกติ ส่งผลให้ผิวหนังที่เปียกน้ำมีสภาพเปื่อยเหี่ยวย่นและสกปรก ดังนั้นหลังจากเดินลุยน้ำจำเป็นต้องรีบล้างทำความสะอาดเท้า ซึ่ง ‘มุมสุขภาพ’ มีเทคนิคที่ช่วยคลายความเมื่อยล้า และกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี

เริ่มจากล้างเท้าด้วยน้ำสะอาด และฟอกสบู่ให้ทั่วทุกซอกนิ้วเท้า แล้วใช้นิ้วมือประสานกับนิ้วเท้านวดวนช่วงนิ้วเท้าจากซ้ายไปขวาและขวาไปซ้าย แล้วจึงนวดวนไปให้ทั่วทั้งฝ่าเท้า ใช้เวลานวดราว 2 นาที จากนั้นล้างสบู่ออกให้หมดจด เช็ดให้แห้งสนิท ทั้งนี้เทคนิคการล้างและนวดเท้าหากทำเป็นประจำยังช่วยลดอาการปวดเมื่อย ลดโอกาสเกิดก้อนแข็งๆ จากการเสียดสีของเท้ากับรองเท้าด้วย

อย่างไรก็ตาม การล้างเท้าให้สะอาดหลังลุยน้ำเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยให้แห้งโดยไม้ล้างไม่เช็ด อาจเป็นโรคนำกัดเท้าเพราะติดเชื้อรา มีอาการคันลุกลามไปทั่ว นอกจากนี้ยังเสี่ยงป่วยด้วยโรคฉี่หนู เพราะติดเชื้อเลปโตสไปโรสิส ที่มาจากฉี่ของสัตว์ เช่น หนู สุนัข วัว ควาย แพะ แล้วปนเปื้อนมากับน้ำ โดยอาการจะเกิดขึ้นหลังได้รับเชื้อ 2-10 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่องกับโคนขา เยื่อบุตาแดง เจ็บคอ เบื่ออาหาร มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน ตัวเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน ถ้าไม่พบแพทย์อาจรุนแรงถึงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
10-11-2011, 07:37
“อย่าประมาท!...โรคมือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว” (ตอน 3)


จากตอนที่ 2 ของเรื่องนี้ได้บรรยายให้ความรู้ไปแล้ว 7 ข้อ ในตอนที่ 3 นี้จะขอตอบคำถามของโรคนี้ต่อเป็นข้อต่อไปดังนี้

8.หากบุตรหลานมีอาการป่วยควรทำอย่างไร
แยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และหยุดรักษาตัวที่บ้านประมาณ 5-7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น หรือหากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ เป็นต้น ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศระบายถ่ายเทได้ดี ใช้ผ้าปิดจมูก-ปากเวลาไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กป่วย

9.ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคมือ เท้า ปาก ที่รุนแรง โดยทั่วไปโรคมือ ปาก เท้า เป็นโรคที่ไม่อันตราย ในประเทศไทยพบโรคนี้ได้บ่อยแต่ไม่มีความรุนแรง ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการของโรค ผู้ป่วยมักมีอาการป่วยเล็กน้อย หายได้เองภายใน 7-10 วัน และแทบไม่มีผู้เสียชีวิตเลย แต่เด็กอ่อนและเด็กเล็กมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากกว่าเด็กโต

10.วินิจฉัยโรคมือ เท้า ปาก ได้อย่างไร โดยทั่วไปแพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติ อายุ อาการ และอาการแสดง โดยสังเกตลักษณะผื่นหรือตุ่มแผลต่างๆ ที่ปรากฏ รวมถึงวินิจฉัยแยกจากโรคที่มีอาการแผลในปากอื่นๆ เช่น โรคติดเชื้อเริมในช่องปาก

สำหรับการส่งตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการมักไม่ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น เพราะต้องใช้เวลานาน 2-4 สัปดาห์ เพื่อแยกและยืนยันเชื้อที่เป็นสาเหตุ จึงทำในเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือยืนยันการระบาดเท่านั้น

11.โรคนี้รักษาได้หรือไม่ รักษาได้ตามอาการ โดยทั่วไปใช้การรักษาเพื่อบรรเทาอาการต่างๆ เช่น การใช้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด แต่ยังไม่มียาต้านไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ โรคนี้หากผู้ป่วยรับประทานอาหารและพักผ่อนได้เพียงพอ ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เองในช่วง 7-10 วัน

สำหรับผู้ดูแลเด็กควรดูแลเด็กป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพื่อสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงถึงชีวิต และส่งผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

12.จะป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ได้อย่างไร การป้องกันโรคนี้ที่สำคัญคือ แยกผู้ป่วย และรักษาสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโรคมักระบาดในเด็กเล็ก ซึ่งอยู่รวมกันในโรงเรียน หรือสถานเลี้ยงดูเด็ก จึงควรเน้นเรื่องการล้างมือ ทำความสะอาดของเล่นและสิ่งแวดล้อม และเน้นความสะอาดของน้ำ อาหาร และทุกๆ อย่างที่เด็กอาจนำเข้าปาก เด็กป่วยควรให้อยู่บ้านไม่ให้มาเล่นกับเด็กคนอื่น บางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องปิดโรงเรียนหรือสถานเลี้ยงเด็กชั่วคราวหากมีการระบาดเกิดขึ้นมาก ในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้

ข้อมูลจาก แผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
11-11-2011, 08:03
“อย่าประมาท...โรคมือ เท้า ปาก วายร้ายใกล้ตัว” (ตอน 4)


จากตอนที่ 3 ของเรื่องนี้ได้บรรยายให้ความรู้ไปแล้ว 12 ข้อ ในตอนที่ 3 นี้จะขอตอบคำถามของโรคนี้ต่อเป็นข้อต่อไปดังนี้

13.จะทำลายเชื้อได้อย่างไร

เชื้อนี้ถูกทำลายโดยการต้มที่ 50-60°c นาน 30 นาที ถูกทำลายโดยน้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำยาฟอกขาว (20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร) หรือผงปูนคลอรีน หรือโซเดียมไฮโปคลอไรท์ เจือจาง 1 ส่วนผสมกับน้ำ 50 ส่วน หรือน้ำยาที่มีส่วนผสมของกลูตาราลดีไฮด์ (Glutaraldehyde) หรือฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) หรือน้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตามบ้านเรือน เช็ดและล้างด้วยน้ำสะอาด

14.ความเสี่ยงต่อผู้ที่จะเดินทางไปยังประเทศที่เกิดโรคระบาดมีมากน้อยเพียงใด ไม่มีข้อห้ามการเดินทางระหว่างประเทศ เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ หากจำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีรายงานว่ากำลังเกิดโรคระบาด ผู้ปกครองควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด รักษาสุขอนามัยที่ดี หรือน้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตามบ้านเรือน เช็ดและล้างด้วยน้ำสะอาด

15.โรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยง ควรดำเนินการอย่างไรหากมีเด็กป่วยจากโรค มือ เท้า ปาก

แจ้งการระบาดไปที่หน่วยงานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สอบสวนการระบาดของโรค เฝ้าระวังโดยตรวจเด็กทุกคน หากพบคนใดที่มีอาการโรคมือ เท้า ปาก ต้องรีบแยกออกและให้หยุดเรียน 7-10 วัน หรือจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่นๆ

หากพบว่ามีการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก ควรพิจารณาให้ปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยมากกว่า 2 ราย หากมีการป่วยกระจายในหลายชั้นเรียนแนะนำให้ปิดโรงเรียนเป็นเวลา 5-7 วัน พร้อมทำความสะอาดห้องเรียน ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์รับประทานอาหาร, ของเล่นเด็ก, ห้องน้ำ, สระว่ายน้ำ และให้มั่นใจว่าน้ำที่ใช้ต้องมีระดับคลอรีนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน (0.2 ppm)

ทำความสะอาดเครื่องเล่น เครื่องใช้ของเด็ก ด้วยการซักล้างแล้วผึ่งแดดให้แห้ง

หยุดใช้เครื่องปรับอากาศ เปิดประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน ให้แสงแดดส่องให้ทั่วถึง

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานอันเป็นที่รัก การป้องกันในเรื่องความสะอาด อาหาร เป็นสิ่งสำคัญ และหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรให้เด็กไปในสถานที่แออัด ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็น “การป้องกัน” ไว้ก่อน ที่สำคัญอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!!! หากมีอาการที่น่าสงสัยให้รีบนำไปพบแพทย์ และแจ้งให้สถานที่รับเลี้ยงหรือโรงเรียนทราบโดยทันที

ข้อมูลจากแผนกควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
11-11-2011, 08:06
สายรัดข้อมือ "UP" เตือนภัยสุขภาพ

http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2011/11/tec02111154p1.jpg&width=360&height=360

บริษัทจอว์โบน ผู้ผลิตหูฟังบลูทูธชื่อดัง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ชื่อว่า UP เป็นสายรัดข้อมือดิจิตอลที่ช่วยดูแลสุขภาพ ด้วยการเก็บรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ ของ ผู้สวมใส่ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การดื่ม การนั่ง ตลอดจนการออกกำลังกาย โดยจะคอยปรับพฤติกรรมเพื่อให้ผู้สวมใส่มีสุขภาพดีขึ้น

สายรัดข้อมือดิจิตอล UP ราคา 100 ดอลลาร์ หรือราว 3,000 บาท ทำงานด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับแอพพลิเคชั่น บนไอโฟน ภายในมีเซ็นเซอร์ที่คอยนับคำนวณการเผาผลาญพลังงานจากกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้สวมใส่ทำ เช่น การเตะฟุตบอล การเดิน และการวิ่ง และแจ้งหน่วยเป็นแคลอรี โดยจะคอยตรวจจับกิจกรรมต่างๆ ของผู้สวมใส่ เช่น หากนั่งนานเกินไปสายรัดจะสั่น

นอกจากนี้ ยังเก็บข้อมูลการนอนหลับด้วยว่านอนนานเท่าไร พลิกตัวกี่ครั้ง จากนั้นมันจะวิเคราะห์และหาเวลาปลุกที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ใช้งานนอนหลับได้อย่างเพียงพอ




จาก ...................... ข่าวสด วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
11-11-2011, 08:08
มีแผลในลำไส้ 'แครอต-กะหล่ำปลี' ช่วยแก้

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/09/etc/hl11112011.jpg

หากรู้ตัวว่าเป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ อาหารดีมีประโยชน์ที่ 'มุมสุขภาพ' อยากแนะนำให้ผู้ที่ปัญหาดังกล่าวคือ 'แครอต' และ 'กะหล่ำปลี' ที่มีสรรพคุณรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยบำรุงลำไส้อีกด้วย

โดยแครอต อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ตัวการก่อโรคแก่ลำไส้ใหญ่ ทำลายอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ส่วนกะหล่ำปลี ช่วยทำความสะอาดลำไส้ บรรเทาอาการอักเสบของแผลในลำไส้ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้ท้องผูก ทั้งยังมีผลวิจัยทางการแพทย์ระบุว่า กินกะหล่ำปลีสามารถลดอัตราการป่วยเป็นมะเร็งได้

ดังนั้น การกินแครอตและกะหล่ำปลีจึงดีต่อลำไส้ ระบบขับถ่าย และต้านมะเร็ง โดยเฉพาะแครอต การจะได้รับสารอาหารเต็มเปี่ยมควรเลือกผลใหญ่ แก่จัด สีเข้ม ทว่ากินน้ำกะหล่ำปลีเขียวมักจะพบว่ามีกลิ่นรสที่ไม่ชวนรับประทาน ก็แก้ไขให้กินง่ายขึ้นได้ เพียงกินพร้อมกับน้ำแครอต น้ำแอปเปิ้ล น้ำขิง

ส่วนสัปดาห์นี้พบกับสูตรเครื่องดื่มสุขภาพ ให้คุณประโยชน์อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งมีส่วนผสมดังนี้...

แครอต 2 ถ้วย
กะหล่ำปลีเขียว 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่นพอประมาณ


วิธีทำ ล้างผักให้สะอาด แล้วนำแครอตขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนกะหล่ำปลีให้หั่นเป็นชิ้นหยาบ ได้แล้วนำไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักผลไม้ เสร็จแล้วดื่มทันที หรือจะเติมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่นก็ย่อมได้.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
11-11-2011, 08:13
วิธีป้องกันข้อเข่าเสื่อม

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/11/08/images/news_img_417994_1.jpg

ข้อเข่าของเราทุกคนจะมีการเสื่อมตัวตามอายุ แต่มิได้หมายความว่าทุกคนจะมีอาการเจ็บปวดจนทำให้เดินหรือออกกำลังกายไม่ได้เป็นปกติ

ข้อเข่าของเราทุกคนจะมีการเสื่อมตัวตามอายุ แต่มิได้หมายความว่าทุกคนจะมีอาการเจ็บปวดจนทำให้เดินหรือออกกำลังกายไม่ได้เป็นปกติ ผู้สูงอายุเป็นจำนวนมากไม่มีปัญหาเรื่องปวดข้อเข้าจนถึงกับต้องรับประทานยาหรือไปพบแพทย์เพื่อรักษาแต่ก็มีผู้สูงอายุอีกไม่น้อยที่ต้องทรมานจากอาการข้อเข่าเสื่อม

ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์อำนวย อุนนะนันทน์ โรงพยาบาลธนบุรี กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมมีหลายอย่างด้วยกัน สาเหตุสำคัญๆ ที่พบบ่อยๆ คือ

1. น้ำหนักตัว ในการเดินพื้นราบตามปกติ ข้อเข่าแต่ละข้างจะรับน้ำหนักประมาณ 3 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าเดินขึ้นลงบันไดก็จะรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีกถึง 4 เท่าน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าน้ำหนักตัวมากเกินไป แรงกดดันในข้อเข่าระหว่างการเดินก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการชำรุดหรือสึกหรอของกระดูกอ่อนซึ่งเป็นผิวข้อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเสื่อมตัวของผิวข้อก่อนวัยอันสมควร

2. บาดเจ็บเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในข้อเข่า เช่น การเล่นกีฬาหนักๆ เช่น รักบี้, ฟุตบอล ที่มีแรงกระแทกในข้อเข่ามากๆ หรือมีการฉีกขาดของกระดูกอ่อนหรือเส้นเอ็นภายในข้อเข่า ทำให้ความมั่นคงแข็งแรงของข้อเข่าเสียไปตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้ผิวข้อชำรุดและเกิดการเสื่อมตัวของข้อเข่าโดยยังไม่ถึงวัยชรา

3. โรคต่างๆที่ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุข้อเรื้อรัง มีผลทำให้ผิวข้อเสื่อมตัวเร็วกว่าปกติ


วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการเสื่อมตัวของข้อเข่าเร็วเกินไป

1. พยายามลดน้ำหนักตัว อย่าให้อ้วน พยายามบริหารกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรง เวลาเดินหรือวิ่ง น้ำหนักตัวที่ผ่านข้อเข่านั้น กล้ามเนื้อรอบๆ ข้อเข่าจะทำหน้าที่ดูดซึมหรือรับน้ำหนักที่ผ่านข้อเข่าไว้ก่อน น้ำหนักที่เหลือหรือเกินขีดความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะดูดซึมหรือรรับไว้แล้วจึงจะถูกปล่อยให้ผ่านเข้าไปในข้อเข่า โดยกระดูกอ่อนที่เป็นผิวข้อจะเป็นตัวรับน้ำหนักที่เหลือผ่านเข้ามา

ดังนั้นน้ำหนักที่ผ่านเข้าผิวข้อมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับสภาพของกล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่า ถ้ากล้ามเนื้อรอบๆข้อเข่าแข็งแรงมาก แรงที่จะผ่านเข้าผิวข้อก็จะน้อยมาก แต่ถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงน้อย แรงที่ผ่านเข้าผิวข้อก็จะมีมาก ถ้าแรงที่ผ่านผิวข้อมากถึงระดับหนึ่งก็จะเป็นการทำลายกระดูกอ่อนที่เป็นผิวข้อทำให้ชำรุดเสียหายไป เป็นผลทำให้เกิดการเสื่อมของข้อได้ ดังนั้นการบริหารกล้ามเนื้อข้อเข่าให้แข็งแรงจึงมีความสำคัญมากต่อการเสื่อมตัวของข้อเข่า

มีผู้ถามเสมอว่าการวิ่งทำให้เกิดแรงกระแทกในข้อเข่าอันส่งผลทำให้เกิดการเสื่อมตัวของข้อเข่าเร็วขึ้น ความคิดนี้ไม่เป็นความจริง การวิ่งมีประโยชน์ต่อข้อเข่า คือทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง น้ำหนักตัวลด ดังนั้นทำให้แรงที่ผ่านเข้าไปในผิวข้อลดลง แต่ถ้าเกิดการเสื่อมตัวของข้อเข่าแล้ว และมีอาการเจ็บปวดในข้อเข่าจนไม่สามารถวิ่งได้ ก็ต้องไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการบริหารกล้ามเนื้อข้อเข่าโดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อผิวข้อ

2. หลีกเลี่ยงลักษณะการใช้ข้อเข่าที่ทำให้เกิดแรงกดดันหรือเสียดสีในข้อเข่ามากเกินไป เช่นการนั่งยองๆ คุกเข่า พับเพียบ หรือขัดสมาธิ เป็นต้น

ข้อเข่าเทียมข้อเข่าที่มีการเสื่อมตัวจนถึงขนาดที่มีอาการเจ็บปวดและไม่สามารถให้การรักษาทางยาหรือกายภาพบำบัดได้แล้ว

ในปัจจุบันเราสามารถทำการผ่าตัดเปลี่ยนผิวข้อใหม่หรือที่เรียกว่าผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม หลักการคือทำผ่าตัดเอาผิวข้อที่เสียไปแล้วออกให้หมดแล้วใส่ผิวข้อใหม่ซึ่งทำมาจากโลหะและพลาสติกที่มีคุณสมบัติพิเศษ ในแง่ของความแข็งแรงทนทานและเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ ข้อเทียมนี้พยายามทำให้มีการเคลื่อนไหวได้เหมือนข้อจริง ข้อเทียมในปัจจุบันมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ และหลายรูปแบบด้วยกัน

โดยสรุปแล้วใช้ได้ผลดีพอๆกัน การทำผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียมจะได้ผลดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ

1. ประสบการณ์และความชำนาญของศัลยแพทย์ผู้ทำผ่าตัด

2. สภาพของข้อเข่าของผู้ป่วยก่อนผ่าตัด ถ้าข้อเข่าติดแข็งหรือข้อเข่าที่ผิดรูปมากๆ เช่น เข่าโก่ง หรือกล้ามเนื้อข้อเข่าลีบไม่แข็งแรง หลังผ่าตัดก็ไม่สามารถจะทำให้กลับสู่สภาพที่ปกติได้ทีเดียวต้องอาศัยการบริหารข้อเข่าหลังผ่าตัดเป็นเวลายาวนาน

3. ความร่วมมือของผู้ป่วยหลังผ่าตัดในเรื่องของบริหารข้อเข่าหลังผ่าตัด

ใช้ Computer ในการผ่าตัดข้อเข่าเทียม (Computer Assisted Surgery) ปัจจุบันมีการนำ computer มาช่วยในการทำผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม เพียงแค่ช่วยทำให้การวางตำแหน่งการใส่ข้อเข่าเทียมให้ถูกต้องแม่นยำขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญมากพอแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ computer มาช่วยในการทำผ่าตัด การทำผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery)

ปัจจุบันมีศัลยแพทย์บางกลุ่มพยายามประดิษฐ์เครื่องมือใช้ช่วยทำผ่าตัด โดยพยายามทำแผลผ่าตัดให้เล็กที่สุดเพื่อหวังผลของการเจ็บปวดหลังผ่าตัดลดลงและใช้ข้อเข่าได้เร็วขึ้น วิธีนี้มีขีดจำกัดในการทำผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมหรือผิดรูปมากๆ หรือผู้ป่วยที่อ้วนมากๆ ไม่สามารถจะนำวิธีการผ่าตัดชนิดนี้มาใช้ได้




จาก .................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
13-11-2011, 07:12
เมื่อสาวๆลุยน้ำสกปรก

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/13/newspaper/p7thurl1.jpg

มีสาวๆหลายคนสงสัยและเป็นกังวลว่า น้ำท่วมสูงมากเกินระดับเอว ถ้าต้องเดินลุยน้ำสกปรก ที่เต็มไปด้วยขยะและสิ่งปฏิกูล แถมบางคนเป็นช่วงที่มีประจำเดือนด้วยจะเป็นอันตรายต่ออวัยวะเพศหรือไม่?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า การที่ผู้หญิงต้องเดินลุยน้ำสกปรก แช่น้ำนานๆ ทำให้เกิดความชื้นบริเวณอวัยวะเพศ อาจมีปัญหาเชื้อราบริเวณขาหนีบ เป็นสังคังเหมือนกับผู้ชาย นอกจากนี้อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในช่องคลอด และลามไปที่ปีกมดลูก ทำให้เกิดการอักเสบหรือฝีที่ปีกมดลูกได้ โดยเฉพาะคนที่มีประจำเดือนยิ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายเพราะประจำเดือนจัดว่าเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อโรค

เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่มีประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำนานๆ ถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำจริงๆ นอกเหนือจากการใส่ผ้าอนามัยตามปกติแล้ว ควรใส่ชุดป้องกันน้ำสวมทับชุดปกติ ถ้าไม่มีชุดป้องกันน้ำ เมื่อขึ้นจากน้ำให้รีบทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้แห้งโดยเร็วแต่ทางที่ดีควรใส่ชุดลุยน้ำป้องกันจะดีกว่า

สำหรับผู้หญิงที่เดินลุยน้ำจนเปียกแล้วต้องไปทำงานต่อ แนะนำว่า ควรหากระโปรงยาวๆไปเปลี่ยน เมื่อชำระล้างทำความสะอาดอวัยวะเพศแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่กางเกงในก็ได้ เพื่อให้บริเวณดังกล่าวแห้งสนิทส่วนกางเกงในที่เปียกควรซักให้สะอาดผึ่งให้แห้งก่อนนำมาสวมใส่ กรณีที่เดินลุยน้ำจนเปียกแล้วไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นใน ยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมทั้งที่ยังเปียกอยู่จนแห้งคาตัว นอกจากปัญหาเชื้อรา การติดเชื้อแล้ว อาจมีปัญหาผื่นคันโดยเฉพาะบริเวณแคมด้านนอก ซึ่งช่วงนี้พบได้บ่อย เพราะในน้ำนอกจากจะมีเชื้อโรคแล้ว อาจมีการปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ เช่น น้ำมัน สารพิษ โลหะหนัก ซึ่งผู้หญิงหลายคนอาจแพ้สารเหล่านี้และเกิดผื่นคัน

นอกจากนี้บริเวณอวัยวะเพศอาจติดเชื้อเริมได้ แม้โอกาสจะน้อยก็ตาม ดังนั้นเวลาเดินลุยน้ำไม่ควรสวมใส่กางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป เพราะคนที่เคยเป็นเริมมาก่อน การใส่กางเกงที่รัดแน่นอาจเกิดการเสียดสีทำให้บริเวณนั้นอ่อนแอและทำให้เชื้อเริมกลับมาเป็นได้อีก ยิ่งช่วงนี้หลายคนอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ แถมมีความเครียดด้วย ก็มีโอกาสกลับมาเป็นโรคเริมได้ง่ายขึ้น

ในกรณีที่มีผื่นคันบริเวณอวัยวะเพศหรือมีอาการผิดปกติควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามาทาหรือซื้อยามารับประทานเอง เพราะสาเหตุของปัญหาอาจไม่ใช่อย่างที่คิด ควรให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยจะดีกว่า เนื่องจากหลายคนไปซื้อยาเชื้อรามาทา หรือ รับประทานแล้วไม่หาย กว่าจะมาพบแพทย์ปรากฏว่าอาการลุกลามเป็นผื่นเต็มไปหมด

อีกปัญหาที่ต้องระวังและพบในผู้หญิง คือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้น ถ้าลุยน้ำนานๆ อาจติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะได้ อีกทั้งการลุยน้ำนานๆ บางคนกลั้นปัสสาวะ ดังนั้นถ้าคิดว่าต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางนานๆ ควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว

ส่วนผู้ชายที่เดินลุยน้ำสกปรกนานๆ เสื้อผ้าเปียกชื้น ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน คือ มีปัญหาเชื้อรา เป็นสังคัง ผื่นคัน และเริม ขณะเดียวกันบริเวณอวัยวะเพศชายมีรูเปิดท่อปัสสาวะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกันแต่น้อยกว่าผู้หญิง

ดังนั้นหลังการลุยน้ำผู้ชายควรทำความสะอาดอวัยวะเพศให้แห้งสนิทถ้าเป็นไปได้ควรใส่ชุดกันน้ำเช่นเดียวกับผู้หญิง ที่สำคัญอย่าให้อวัยวะเพศแช่น้ำนานๆ

ในกรณีที่สามีภรรยาคนใดคนหนึ่งติดเชื้อรา แบคทีเรีย หรือ เริม ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์จริงๆ อย่างน้อยควรใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อให้อีกฝ่ายหนึ่ง แต่ไม่สามารถป้องกันเชื้อราบริเวณขาหนีบหรือเริมที่บริเวณภายนอกของอวัยวะเพศได้.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
13-11-2011, 07:17
วิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกไฟดูด

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/13/sh.jpg

ภาวะน้ำท่วมแบบนี้ หากมีผู้ถูกไฟดูด คนใกล้เคียงควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนนำไปส่งแพทย์อย่างไร มีมาบอก

ท่ามกลางวิกฤติอุทกภัยขณะนี้ นอกจากต้องดูแลรักษาร่างกายให้แข็งแรงปลอดภัยจากโรคต่างๆที่อาจเกิดจากน้ำไม่สะอาด เช่น น้ำกัดเท้า หรือไม่ก็สัตว์ร้ายที่มากับน้ำ รวมถึงของมีคมที่อาจถูกบาดได้หากลุยน้ำโดยไม่ระวัง อันตรายที่เกิดจากการถูกไฟดูดก็นับได้ว่ามีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน หากพบคนข้างๆถูกไฟดูด จะมีวิธีช่วยเหลือหรือปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนถึงมือหมออย่างไร วันนี้มีมาแนะนำ

หากทราบว่ามีกระแสไฟฟ้าอยู่ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ต้องหาทางเขี่ยสายไฟฟ้าออกให้พ้นหรือตัดกระแสไฟฟ้าให้เรียบร้อยก่อนทำการช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด แล้วค่อยใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า เช่น ผ้า ไม้ ยาง พลาสติก เป็นต้น ผลักหรือดันตัวผู้ถูกไฟดูดให้หลุดออกมาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง และรวดเร็ว

ขั้นต่อไปให้หยุดการไหลของไฟที่ผ่านตัวคนถูกไฟดูด ด้วยการนำวัตถุที่เป็นโลหะขนาดใหญ่ เช่น แผ่นสังกะสี วางลงพื้นดินแล้วนำตัวผู้ประสบเหตุนอนลงบนสิ่งนั้น เสร็จแล้วใช้น้ำลดผู้ถูกไฟดูดและบริเวณพื้นโดยรอบเพื่อให้ร่างกายได้คลายประจุไฟฟ้า วิธีนี้จะสามารถทำให้ผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาได้ แล้วค่อยนำส่งโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ดูอาการ แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว หรือไม่หายใจ ให้ปฐมพยาบาลโดยการเป่าปากหรือปั๊มหัวใจทันที ก่อนนำส่งโรงพยาบาลต่อไป.


ขั้นตอนการเป่าปากหรือปั๊มหัวใจช่วยเหลือผู้ถูกไฟดูด

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/13/cpr.jpg




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
14-11-2011, 07:53
รู้จัก 'hMPV' ไวรัสที่กำลังหวั่นระบาด

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/11/etc/hl14112011.jpg

หลังหลายคนพูดกันอย่างอื้ออึงถึงข่าว การพบเชื้อฮิวแมน เมทตะนิวโมไวรัส มีอาการคล้ายหวัดใหญ่และโรคปอดอักเสบ หากกินยาแก้หวัดใหญ่หลายวันไม่หายควรรีบพบแพทย์ มิเช่นนั้นอาจถึงตาย!

ประกอบกับโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า ในช่วงสิงหาคม-ตุลาคมที่ผ่านมา มีผู้ป่วยเพราะติดเชื้อดังกล่าวถึง 22 ราย เสียชีวิต 2 ราย หากย้อนดูสถิติเก่า กลับพบว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยเพียงไม่กี่ราย

ที่จริงแล้ว เชื้อฮิวแมน เมทตะนิวโมไวรัส (Human metapneumovirus) หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'hMPV' เชื้อไวรัสทางเดินหายใจ เป็นที่รู้จักมานานราว 60 ปีแล้ว มักระบาดในช่วงหน้าฝนถึงหน้าหนาว ทุกเพศและทุกช่วงวัยมีโอกาสติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่มักพบในเด็กเล็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว ป่วยเบาหวาน โรคอ้วน ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง

เมื่อได้รับเชื้อ hMPV จะทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง มีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ เช่น มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ ไม่มียารักษาตัวโรคโดยตรงเช่นเดียวกับโรคหวัดหรือไข้หวัด ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีรักษาไปตามอาการของผู้ป่วยแต่ละราย ขณะที่วัคซีนป้องกัน hMPV ยังอยู่ในขั้นทดลอง

และเนื่องจากมีอาการคล้ายไข้หวัด ผู้ที่เป็นมักกินยาแก้หวัด แก้ไอ เพื่อบรรเทาอาการ ทว่ากินยาไปแล้ว 2-3 วัน อาการที่เป็นทั้งหมดไม่ทุเลาลงลงเลย จำเป็นต้องรีบพบแพทย์ หากปล่อยไว้อาการอาจรุนแรงขึ้น เช่น หอบเหนื่อย ปอดบวม เลือดออกในปอด ติดเชื้อในกระแสเลือด หรือหายใจไม่สะดวกเพราะหลอดลมบวมมาก และอาจติดเชื้ออื่นซ้ำ

อย่างไรก็ตาม การพบแพทย์ในช่วงที่อาการรุนแรงอาจถูกนำตัวเข้ารักษาและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดภายในห้องไอซียู บางรายที่หายใจติดขัด แพทย์อาจต้องเจาะคอ หรือใส่เครื่องช่วยหายใจรักษาไปตามอาการ

ทั้งนี้ในผู้ที่มีอาการไม่มาก การนอนพักผ่อนเพียงพอ ร่วมกับการกินยารักษาอาการที่เป็น ก็สามารถหายได้เหมือนเป็นไข้หวัดทั่วไป การติดเชื้อชนิดนี้ยังมีอัตราการเสียชีวิตน้อยมาก นอกเสียจากอาการไม่ดีขึ้นและทรุดหนักต้องพบแพทย์ อีกทั้งในช่วงที่เกิดภัยน้ำท่วมเช่นนี้ ชาวบ้านต้องอพยพไปอยู่รวมกันที่ศูนย์พักพิง ควรมีการแยกผู้ที่อาการป่วยออกเป็นสัดส่วน ผู้ที่มีอาการไอ เป็นหวัด ควรสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดการระบาดของโรค.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สารพันวันละโรค วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
16-11-2011, 07:56
ฮ่องกงฟุต!!! สุดอันตราย



จาก .................... ไทยรัฐ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
16-11-2011, 08:02
สะกดเบาหวานด้วย “สติ”

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/10/31/images/news_img_416690_1.jpg

สถิติคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นปีละ 30.5 กิโลกรัมต่อคนภายในระยะเวลา20ปี เห็นทีคงต้องหาวิธีทำให้คนใกล้ตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

สถิติคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นปีละ 30.5 กิโลกรัมต่อคนภายในระยะเวลา20ปี

เห็นทีคงต้องหาวิธีทำให้คนใกล้ตัวเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารก่อนโรคเบาหวานจะถามหา ถ้าอยากให้คนที่เรารักไม่เป็นโรคเบาหวานควรทำอย่างไร

กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร เจ้าของงานเขียน“กินดี ได้สุขภาพดี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าหลายคนสงสัยว่า ทำไมเขาถึงเป็นเบาหวานทั้งๆที่ไม่ได้รับประทานอาหารหวานไม่ว่าจะเป็นขนม น้ำอัดลมเพราะความจริงโรคเบาหวานไม่ได้เกิดจากการบริโภคของหวานอย่างเดียว แต่เกิดจากรับประทานอาหารไม่สมดุล หลายคนรับประทานแต่แป้งไม่รับประทานเนื้อสัตว์และผักมาตั้งแต่เด็กจนโต

บางคนชอบรับประทานอาหารแบบง่ายๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ข้าวเหนียวหมูทอด ข้าวไข่เจียว ข้าวหมูแดง ข้าวมันไก่ ซึ่งเมนูเหล่านี้มีผักน้อยมากๆ หรือไม่มีเลย ซึ่งการกินอาหารที่ไม่สมดุลเช่นนี้ไปนานๆ อาจส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารสำคัญที่ช่วยต้านโรคเบาหวาน

“วันๆผ่านไปแทบไม่ได้แตะผักเลยไม่ได้มีเฉพาะเด็กเท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่ก็เช่นเดียวกันทั้งๆที่บ้านเรามีผักเยอะแยะที่สามารถนำปรุงเป็นอาหารน่ากินทั้งนั้นอันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของเบาหวาน พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรับประทานผัก ผลไม้จนติดเป็นนิสัย”


วิถีการกินก่อโรคร้าย

ยิ่งเมื่อเข้าสู่วัยทำงานการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยใช้พลังงานเยอะช่วงเรียนมหาวิทยาลัย พออายุมากขึ้นใช้พลังงานน้อยลง แต่บริโภคอาหารเพิ่มขึ้นทำให้เกิดการ“สะสม”ไขมันในช่องท้อง ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายต่างๆเปลี่ยนแปลง ถ้ามีไขมันในช่องท้องเยอะ จะเป็นสัญญาณบ่งบอกโรคเบาหวาน วิธีตรวจง่ายๆคือใช้สายวัดวัดเอว ผู้หญิงที่มีเอวหนามากกว่า 80เซ็นติเมตรและผู้ชายที่มีเอวหนามากกว่า 90 เซ็นติเมตร ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน

ตัวฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งสร้างจากตับอ่อนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมาจากตัวไขมันจะเป็นตัวที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานกล่าวคือเวลารับประทานอาหารไม่ว่าเป็นผลไม้ นมหรือแป้งถูกย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสเป็นหน่วยเล็กๆแล้วเข้าไปที่เซลล์กล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่อมีไขมันมาสะสมฮอร์โมนอินซูลินที่เปลี่ยนแปลงตรงนี้ มันเข้าเซลล์ไม่ได้ เพราะเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน เซลล์ไม่ให้อินซูลินเข้าแล้ว น้ำตาลกลูโคสที่อยู่ในเลือดจะอยู่ในระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ เพรินซูลินไม่สามารถเอาน้ำตาลเข้าเซลล์ได้

น้ำตาลในเลือดมี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับปกติ ระดับตรงกลางและระดับของโรคเบาหวาน คนที่น้ำตาลในเลือดอยู่ระดับตรงกลาง แม้ว่ายังไม่เป็นเบาหวานแต่ก็มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานสูงถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร

"จริงๆค่าน้ำตาลกลูโคสในเลือดที่อยู่ระดับกลาง มันจะเปลี่ยนไปทางไหนก็ได้ ไม่ว่าเป็นระดับปกติหรือระดับของโรคเบาหวาน ถ้ายังเฮฮาปาร์ตี้ โดยไม่ออกกำลังกาย ไม่ปล่อยวางความเครียด โอกาสจะเป็นเบาหวานสูงแต่ถ้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจอยู่ระดับนี้ไปเรื่อยๆ หรือถ้าคุมเข้มอาจ
อยู่ในระดับปกติได้”

หลายคนมักคิดว่าอะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด หรือ เกิดมาทั้งทีต้องสนุกสนานกับชีวิตเต็มที่ แต่ลืมคิดไปว่า ตนเองมีครอบครัว มีคนที่เรารักและคนที่รักเรา คุณจะสร้างภาระจากการเจ็บป่วยให้กับพวกเขาหรือแม้จะเป็นคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครที่ต้องเป็นห่วง แต่ก็อาจลืมนึกไปว่า ความทุกข์จากการเจ็บป่วยและค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นจะทำให้คุณภาพชีวิตลดลง แทนที่เกษียณแล้วจะมีความสุขในการใช้ชีวิต กลับต้องมาป่วย


ยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

“คนที่เป็นเบาหวานไม่มีโอกาสหาย สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้ชีวิตด้วยความประมาท หลายคนมักคิดว่า กินยาแล้วจะดีขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นได้ต้องดูแลตัวเองทั้งด้านอาหาร ร่างกายและ อารมณ์ไม่ใช่ยาอย่างเดียว”

โภชนาการจึงเป็นเรื่องสำคัญ

โภชนาการ ”ไม่ได้” เป็นการห้ามกินแต่เป็นการสอนให้รู้จักเลือกที่จะกินอะไรในปริมาณเท่าไร

สำหรับญาติผู้ป่วยเบาหวานที่เขาไม่อยากให้คนที่รักเจ็บป่วยสามารถช่วยได้ด้วยการพยายามเลือกอาหาร เพื่อสุขภาพก่อนที่จะเลือกอาหารที่อยากรับประทาน เราไม่จำเป็นที่จะต้องงดอาหารที่ชอบโดยสิ้นเชิง สมมติไปรับประทานอาหารนอกบ้านควรเลือกสั่งอาหารให้มีความหลากหลาย เช่น ถ้ารับประทานในร้านอาหารจีนแทนที่จะสั่งเมนูของมันหรือของทอดอย่างเดียวก็หันมาสั่งเมนูผักให้เยอะหน่อย

ถ้าร้านอาหารทะเลแทนที่จะสั่งแต่ปลาทอด กุ้งทอด ปูชุปแป้งทอด ทอดมันกุ้ง ข้าวผัดปูควรจะสั่งต้มยำกุ้ง ใส่เห็ดเยอะๆ แกงส้มทะเล หรือแกงส้มกุ้ง ถ้าเป็นร้านอาการอิตาเลี่ยน แนะนำให้สั่งสลัดเพราะมีให้เลือกหลากหลาย ส่วนเมนูสปาเกตตี้ที่มีไขมันสูง หากอยากบริโภคควรสั่งมาจานเดียวแล้วแบ่งกันรับประทาน

“ คุณอาจตักอาหารได้หลายๆอย่าง อย่างละคำ 2 คำ วิธีนี้จะทำให้คุณสามารถรับประทานอาหารได้หลากหลายแต่ไม่มากจนเกินไป”

วิธีป้องกันไม่ให้รับประทานอาหารเกินความจำเป็นคือ ให้เคี้ยวอาหารช้าๆ ลิ้มรสชาติของอาหารทุกคำ จะช่วยทำให้คุณอิ่มเร็วและได้รับแคลอรีน้อยกว่ารับประทานเร็วๆ ซึ่งจะอิ่มช้าและได้รับแคลอรีจากอาหารมาก
ส่วนการเลือกอาหารที่เป็นของว่างระหว่างมื้อนั้น ให้เลือกเป็นผลไม้ที่มีแป้งน้อย เช่น ส้ม ชมพู่ ฝรั่ง สับปะรด

ทางที่ดีควรรับประทานอาหารมื้อหลักและมื้อว่างแบบเบาๆ โดยเลือก ผัก ผลไม้ แป้งไม่ขัดสี ข้าวกล้องข้าวซ้อมมือ หรือธัญพืช และโปรตีน ไขมันต่ำ เช่น ปลา เป็ดหรือไก่ไร้หนัง ไข่ เต้าหู้ ในปริมาณเล็กน้อยทุกมื้อ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆตลอดทั้งวัน

นอกจากนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ " สติ" เพราะการบริโภคอย่างมีสตินั้น สามารถนำไปใช้ได้ในทุกสถานการณ์ส่วนวิธีการบริโภคอย่างมีสติให้ได้ผลดีที่สุดนั้น นักกำหนดอาหารมีข้อแนะนำว่า ควรเริ่มตั้งแต่การเลือกอาหารเพื่อคัดเลือกอาหารก่อนว่าอะไรดี อะไรไม่ดี เช่น หลายคนรู้ว่าของมันไม่ดี และรู้ว่าผักดี แต่ก็ยังไม่กินผัก กินแต่ของมันๆ


ถัดมาต้อง ”หยุดคิด” ก่อนตัดสินใจซื้ออะไรมาบริโภคว่าหิวหรือเปล่า ? ถ้าไม่หิวอย่ากิน !

“ความหิวมันมีระดับ 1 -10 ระดับ 10 คืออิ่มจัด ระดับ 1 คือหิวจัด ไม่มีอะไรเหลือในท้องแล้ว แล้วระดับความหิวเราอยู่ตรงไหน ถ้าเราไม่หิว ไม่ต้องไปเพิ่มแคลอรีจากขนมหรืออาหารที่ซื้อมารับประทานเพราะความอยาก ”
เห็นไหมว่า เรื่องง่ายๆ อย่างการรับประทานอาจ “ไม่ใช่”แค่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด เพราะมีผลกับชีวิตคุณและคนที่คุณรักโดยตรง




จาก ................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
16-11-2011, 08:06
“แก้เจ็บคอ” อย่างได้ผลด้วยมะนาว-มะขาม

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/15/url_fruit.jpg

ใช้ความเปรี้ยวซีดซ๊าดจากวิตามินธรรมชาติลดอาการเจ็บคอ กับ “สูตรปรุงยาขับเสมหะรสกลมกล่อม”

สถานการณ์น้ำล้อมบ้านสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตเหลือหลาย โดยเฉพาะยามเจ็บไข้ จะออกไปพบแพทย์ก็ทุลักทุเล ยามนี้ลองหันเข้าครัว แล้วจะพบว่าวัตถุดิบภายในสามารถหยิบจับมาทำยาได้ อย่างสูตร “แก้เจ็บคอ” ง่ายๆมาดูกัน

เริ่มสูตรแรกด้วย “มะนาว” มีกรดอินทรีย์หลายชนิด ทั้งซิตริก มาลิค วิตามินซี ใช้เป็นยาสมุนไพร ขับเสมหะ และแก้ไอได้ โดยล้างมะนาวให้สะอาด ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น และเกลือเล็กน้อย หรือ ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้ง ค่อยๆจิบ นอกจากนั้น อาจฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง หรือ หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าชิ้นเล็ก จิ้มเกลือ อมไว้สักครู่ แล้วเคี้ยวกลืน

ส่วนสูตรที่สอง “มะขาม” อุดมด้วยกรดอินทรีย์ ทั้งซิตริค มาลิค ทาร์ทาริค และวิตามินเอ ซึ่งรสเปรี้ยวนี้จะกัดเสมหะให้ละลายได้ โดยนำมะขามเปียกต้มกับน้ำ เติมน้ำตาล และเกลือเล็กน้อย หรือ ใช้เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) ประมาณ 3 กรัม จิ้มเกลือรับประทาน จะได้ยาที่มีรสกลมกล่อม

ทั้งนี้ มะนาว และมะขามเปียก มีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วย จึงไม่ควรรับประทานมากเกินไป.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
17-11-2011, 07:40
วิธีหยุด ‘สะอึก’

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/15/etc/hl16112011.jpg

‘สะอึก’ ทางการแพทย์อธิบายอาการไม่พึงประสงค์ไว้ว่า กล้ามเนื้อกะบังลมบริเวณรอยต่อระหว่างช่องปอดกับช่องท้องเกิดการหดเกร็งโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่อาจสันนิษฐานว่า มีสิ่งไปกระตุ้นเส้นประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น ส่วนเสียงสะอึกเกิดขึ้นจากการหายใจออกระหว่างที่กระบังลมกระตุกแบบปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง

สำหรับบางคนเวลาสะอึกถึงกับกลายเป็นจุดสนใจ เพราะเสียงสะอึกดังกึกก้อง แถมตัวก็กระตุก แม้พยายามเอามือปิดปาก และนั่งนิ่งๆ ก็ข่มอาการเอาไว้ไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่วิธียอดนิยมที่ใช้แก้อาการดังกล่าว คือ การดื่มน้ำ ทว่าในช่วงเวลานั้น ไม่สามารถหาน้ำดื่มได้ แนะนำให้ใช้วิธีกดจุด

การกดจุดแก้สะอึก เป็นเคล็ดลับทางแพทย์แผนจีน โดยให้กดจุดจ่านจู๋ ที่อยู่ในตำแหน่งหัวคิ้วทั้งสองข้าง ก่อนกดจุดให้นั่งหลังตรงหรือนอนหงาย จากนั้นใช้นิ้วโป้งกดลงที่หัวคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง ขณะกดให้ค่อยๆทิ้งน้ำหนักเบาแล้วแรง นิ้วที่เหลือให้ศีรษะไว้ โดยกดแบบเบาสลับหนักค้างไว้จนกว่าจะหายสะอึก ที่มักหายภายใน 2-3 นาที

อย่างไรก็ตาม หากสะอึกนานกว่านั้นเป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือมีอาการติดๆ กันเป็นประจำ ประกอบกับพบอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น หายใจติดขัด เวียนศีรษะ เจ็บหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดความผิดปกติกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ หรือระบบสมองและเส้นประสาท.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สามัญประจำบ้าน วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554

สายชล
17-11-2011, 12:00
เราต้องใช้ "สติ" คุมเบาหวานให้ได้....

เอ้ออออ...เดี๋ยวไปหาเค๊กกับไอสครีมมาคุม "สติ" ดีกว่า...เอิ้กๆ

สายน้ำ
18-11-2011, 08:15
'หอยนางรม' บำรุงตับ-ไต สุขภาพเพศ

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/15/etc/hl18112011.jpg

หลังจากน้ำท่วมเริ่มลดลง ลมหนาวก็ตั้งท่าแวะมาเยือน 'มุมสุขภาพ' จึงแนะนำสูตรซุปร้อนๆ ทำกินกันให้เหมาะกับสภาพอากาศ สำหรับซุปสูตรนี้มี 'หอยนางรม' เป็นส่วนผสมหลัก

โดยหอยนางรมนั้น อุดมด้วยวิตามินเอ บี1 บี2 บี3 ซี และดี มีแร่ธาตุหลายชนิด อย่างเหล็ก คอปเปอร์ ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม ซิลค์ แมงกานีส และฟอสฟอรัส ให้สรรพคุณเสริมการทำงานของตับและไต เพิ่มพละกำลัง เลือดลมไหวเวียนดี ลดความเสี่ยงโรคที่เกี่ยวกับต่อมน้ำเหลืองและวัณโรค บำรุงสุขภาพทางเพศ เช่น แก้ปัญหาประจำเดือนไม่สม่ำเสมอของผู้หญิง ส่วนผู้ชายการแก้การหลั่งโดยไม่รู้ตัว

ทั้งนี้มีคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เป็นโรคตับ และติดเชื้อเอชไอวี ไม่ควรกินหอยนางรมที่ไม่สุก เนื่องจากอาจมีเชื้อแบคทีเรียปะปนอยู่


ส่วนสูตรซุปหอยนางรม มีเครื่องปรุงที่ต้องเตรียมดังนี้...


หอยนางรม 2 ถ้วย
เนื้อไก่ 1 ถ้วย
หอมหัวใหญ่ 2 หัว
อบเชย-กานพลู 2 ช้อนชา
พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา
เกลือป่น 2 ช้อนชา
ขึ้นฉ่าย 3-4 ต้น



วิธีทำ หอยนางรมล้างให้สะอาด ส่วนเนื้อไก่ต้มสุกแล้วฉีกเป็นเส้น หอมหัวใหญ่หั่นเป็นชิ้นแว่น จากนั้นตั้งน้ำประมาณครึ่งหม้อ แล้วใส่อบเชย กานพลู พริกไทยเม็ด(ทุบพอแหลก) กระทั่งน้ำเริ่มเดือดจึงใส่ไก่ฉีก หอมหัวใหญ่ พร้อมเติมเกลือ หันไปตักหอยนางรมใส่ถ้วยไว้ เมื่อซุปเดือดได้ที่ให้ตักน้ำซุปใส่ถ้วยที่มีหอยนางรมรองอยู่ หอยจะสุกจากความร้อนของซุป สุดท้ายเด็ดขึ้นฉ่ายโรยหน้า และควรกินตอนซุปกำลังร้อนๆ.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์กินดี วันที่ 18 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
21-11-2011, 08:07
ป้องกัน 'โรคตาติดเชื้อ' ช่วงน้ำท่วม

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/17/etc/hl21112011.jpg

โรคตาติดเชื้อในสภาวะน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและเฝ้าสังเกต ซึ่ง 'ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย' เผยว่า เชื้อโรคที่มากับน้ำมีทั้งเชื้อแบคทีเรีย,ไวรัส,ปาราสิตและอมีบา ล้วนมีอันตรายต่อดวงตาและการมองเห็น โดยเชื้อโรคจะปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆ โดยเฉพาะน้ำท่วม

สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา คือ คอยสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติของดวงตา อาทิ ตาแดงหรืออาการระคายเคืองต่อดวงตา อาการปวดรอบๆดวงตา แพ้แสงหรือแสบตาผิดปกติ การมองเห็นลดลงหรือมัวลง และน้ำตาไหลหรือมีขี้ตาผิดปกติ

ถ้ามีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรับการรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด โดยการรักษาโรคตาติดเชื้อตั้งแต่แรกจะทำให้ผลการรักษาดีและมีประสิทธิภาพ ส่วนการรักษาที่ช้าเกินไปอาจจะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

กรณีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่ปราศจากเชื้อโรค เช่น น้ำยาล้างตาหรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่ได้มาตรฐาน การล้างตาด้วยน้ำประปาโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาของคุณภาพ อาจทำให้ตาอักเสบมากขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ประชาชนทุกคนสามารถเกิดโรคตาติดเชื้อได้และจะพบมากขึ้นในกลุ่มประชาชนที่สวมคอนแทคเลนส์, หลังการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ เช่น เลสิค (post-LASIK) และหลังการผ่าตัดในลูกตา เช่น ผ่าตัดต้อกระจก ต้อหินจอประสาทตา ซึ่งควรเฝ้าระวังอาการที่ผิดปกติเป็นพิเศษ

สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของสายตาและแก้ไขด้วยคอนแทคเลนส์หรือแว่นตา ในสภาวะน้ำท่วมอาจพบอุปสรรคของการสวมคอนแทคเลนส์ในสถานที่พักพิงหรือบ้านที่ถูกน้ำท่วม, การเดินทางไม่สะดวกในการทำแว่นตาหรือแว่นตาเกิดการสูญหายจากการประสบปัญหาน้ำท่วมของบ้านที่อยู่อาศัย ดังนั้นการเตรียมแว่นสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉินจึงมีความจำเป็นมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้

ดังนั้น ในช่วงน้ำท่วมควรระมัดระวังไม่ให้น้ำท่วมที่สกปรกกระเด็นเข้าตา ที่สำคัญเมื่อมีปัญหาตาอักเสบมีขี้ตาแล้ว ต้องระวังไม่ให้แพร่เชื้อในวงกว้างโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสตาที่อักเสหรือขี้ตา หากจำเป็นต้องสัมผัสขี้ตาต้องล้างมือทันที เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อสู่บุคคลอื่น.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์สารพันวันละโรค วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
22-11-2011, 08:18
ใครไม่อยาก "กระดูกพรุน" ก่อนวัย โปรดอ่านทางนี้!

http://pics.manager.co.th/Images/554000015668501.JPEG

เป็นอีกหนึ่งเรื่องสุขภาพที่หลายๆบ้านไม่ควรมองข้าม นั่นก็คือ "โรคกระดูกพรุน" ซึ่งปัจจุบันพบว่า ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปมีภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้น และที่สำคัญมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัว

ความน่าเป็นห่วงนี้ นพ.บุญวัฒน์ จะโนภาษ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ คลินิก ศูนย์แพทย์พัฒนา เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนมาก่อน แต่เมื่อเกิดการหักของกระดูก หรือกระดูกยุบตัวจากอุบัติเหตุจึงได้รู้ความจริง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งการรักษาอาจทำได้ยากถึงแม้จะมีหลายวิธี แต่ก็ไม่หายขาดเหมือนเก่า โดยวิธีการรักษามีทั้งการรับยา การทานยาแคลเซียมเพื่อเสริมความแข็งแรงของกระดูก การเข้าเฝือก การดามเหล็ก หรือการฉีดซีเมนต์เมื่อมีอาการกระดูกแตกหรือหักหรือยุบตัว

สำหรับบุคคลในบ้านที่มีความเสี่ยงต่อโรคดังกล่าว คุณหมอบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และชายที่มีอายุมากกว่า 60 ปี นอกจากนี้ยังรวมไปถึงคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 45 กิโลกรัม ทำงานโดยไม่ได้รับแสงแดด หรือเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ และอาจเกิดขึ้นได้เช่นกันกับคนที่รับประทานทานยาขับปัสสาวะ ยาสเตียรอยด์ และยารักษาไทรอยด์ อันเป็นยาที่เพิ่มการสลายแคลเซียม รวมทั้งโรคไต ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมเสียไป

"ผู้หญิงที่มีสิทธิ์เป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย โดยมีข้อบ่งชี้ว่า จะต้องหมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี ถูกตัดรังไข่ 2 ข้างก่อนอายุ 45 ปี เกิดภาวะเอสโตรเจนต่ำก่อนหมดประจำเดือน มีภาวะเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการขาดฮอร์โมน ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนก่อนอายุ 60 ปี ดังนั้นการป้องกันดีกว่าการรักษา เพื่อที่จะไม่เกิดเหตุการณ์กระดูกหักเอาง่าย ๆ ครับ" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้ออธิบายเสริม

ดังนั้น การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่ทุกบ้านควรให้ความสำคัญ ซึ่งบางทีด้วยอายุ หรือปัจจัยอื่นๆไม่สามารถไปปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขได้ แต่อย่างไรก็ตามก็มีปัจจัยหลายๆอย่างที่สามารถเข้าไปปรับปรุงหรือลดความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อท่านนี้ให้คำแนะนำเป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้

1. ควรทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กะปิ กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย ผักใบเขียว รวมถึงนมเป็นประจำ

2. ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่อร่างกายเบา ๆ เช่น การวิ่ง ยกน้ำหนัก รำกระบอง อย่างน้อย 20 นาทีต่อวันและการออกกำลังกายที่ช่วยการทรงตัวเพื่อลดความเสี่ยงต่อการล้ม

3. การโดนแสงแดดอ่อนๆ มากกว่า 15 นาทีต่อวัน ช่วยให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งมีส่วนช่วยในการป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้

4. เมื่อสงสัยว่าตัวเองหรือสมาชิกในบ้านมีภาวะกระดูกพรุน ควรป้องกันการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม เช่นการจัดบ้านให้เรียบร้อย แสงสว่างพอเพียง ใช้พื้นที่ไม่ลื่น ระวังเรื่องน้ำที่หกบนพื้น มีราวจับช่วยการเดิน นอกจากนี้ต้องระมัดระวังการมีสัตว์เลี้ยงและเด็ก ที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อยเช่นกัน อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักในผู้สูงอายุ

"เมื่อย่างเข้าสู่วัยทอง ควรปรึกษาแพทย์ โดยแพทย์อาจพิจารณาให้เอ็กซเรย์ หรือการวัดความหนาแน่นของกระดูก (BMD) โดยทั่วไปให้ทำในหญิงอายุมากกว่า 65 ปีและชายมากกว่า 70 ปี นอกจากมีปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่นดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งถ้าค่า BMD นี้น้อยกว่า -1 ถือว่ามีภาวะกระดูกบาง และถ้าต่ำกว่า -2.5 ถือว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ควรทำการรักษาโดยการใช้ยาลดการทำลายและเพิ่มการสร้างของกระดูก" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อให้แนวทาง

ส่วนถ้าใคร หรือครอบครัวใดมีคนในบ้านเป็นโรคกระดูกพรุนอยู่แล้ว แพทย์อาจจ่ายยาที่ช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้ด้วย ซึ่งยาเหล่านี้ คุณหมอบอกว่า ต้องรับประทานอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในการดูแลของแพทย์ หากไม่ได้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องจะทำให้ประสิทธิผลของยาในการลดการหักของกระดูกไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ยังมียาอีกชนิดหนึ่งเป็นยาชนิดฉีด เป็นยาที่ใช้ในการรักษาโรคกระดูกพรุน ใช้ฉีดปีละ 1 ครั้งทางหลอดเลือดดำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินอาหาร หรือมีปัญหารับประทานยาไม่สม่ำเสมอ และผู้ป่วยที่ลำบากในการเดินทางมาตรวจกับแพทย์

อย่างไรก็ดี ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมแบบนี้ คุณหมอบอกว่า บ้านไหนที่มีผู้สูงอายุ ควรระวังอุบัติเหตุที่อาจทำให้กระดูกหัก หรือแตกได้ง่าย

"ในช่วงภาวะน้ำท่วม ขณะนี้มีผู้สูงอายุ ได้รับอุบัติเหตุเพิ่มสูงขึ้น บางคนถึงกับเกิดกระดูกสันหลังยุบตัว เพราะไปช่วยคนในครอบครัว ยกของหนัก เพื่อหนีน้ำ นำของขึ้นที่สูง บางคนเดินไปสะดุดล้ม หรือลื่นหกล้ม ซึ่งไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไข้ที่กระดูกมือกระดูกเท้าหักและมีคนไข้ที่กระดูกหลังยุบ เนื่องจากไปช่วยลูกหลานของตัวเองยกของ ซึ่งภายในไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนไข้ ผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนสูงขึ้น และส่วนใหญ่เป็นโรคกระดูกพรุนโดยไม่รู้ตัวและไม่แสดงอาการ

นอกจากนี้อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าห่วงผู้สูงอายุในขณะนี้ก็คือควรระมัดระวัง เรื่องของการดูแลเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยง เนื่องจากบางทีเด็กเล็กมักจะเล่นกับคุณยาย คุณย่าแรงเกินไป หรือไปอุ้มผิดท่าผิดจังหวะ อาจทำให้บาดเจ็บ และเกิดอาการกระดูกสันหลังยุบตัว หรือข้อมือข้อเท้าหักได้ หรือบางครั้งผู้สูงอายุชอบเลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข เวลาจูงออกไปเดินเล่นอาจเกิดลื่นหรือหกล้ม ทำให้เกิดกระดูกหักได้" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อเผย

ดังนั้น เมื่อกระดูกซึ่งเป็นโครงสร้างของร่างกายไม่แข็งแรง หรือมีความโปร่งบางและตัวเนื้อกระดูกก็ไม่แข็งแรงเท่าเดิม แม้สะดุดล้มเบาๆ ก็อาจเกิดกระดูกหักได้โดยง่าย ทางที่ดีเราควรเรียนรู้ และรู้ทันภาวะกระดูกพรุนก่อนที่จะสายเกินไปกันดีกว่าครับ




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
23-11-2011, 08:16
ถึงแม่บ้านและสาวๆ ... น้ำลดก็จริง แต่ยังมีความจริงซ่อนอยู่ "ใต้ร่มผ้า"

http://www.prachachat.net/online/2011/11/13219364761321937480l.jpg

คลินิกสูติ-นรีเวชกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ เตือนสตรีลุยน้ำท่วมระยะหนึ่งเสี่ยงเชื้อราในร่มผ้า ชี้สวนล้างช่องคลอดยิ่งเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อโรค อั้นปัสสาวะมีผลกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

พญ.วนิชา ปัญญาคำเลิศ ผู้อำนวยการคลินิกสูติ-นรีเวชกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่แม้หลายพื้นที่น้ำจะเริ่มลดแล้ว แต่ยังมีเรื่องเกี่ยวกับโรคที่ผู้หญิงต้องพึงระวังว่า ปัญหาใหญ่ที่พบมากในช่วงน้ำท่วมคือ ความอับชื้นในร่มผ้า ซึ่งเลี่ยงได้ยากสำหรับคนที่ต้องลุยน้ำเป็นประจำ ความอับชื้นของเสื้อผ้า กางเกงยีน ทำให้เกิดเชื้อราในร่มผ้า มีอาการคัน และตกขาวมากตามมา ถึงแม้ความรุนแรงของโรคติดเชื้อกับผู้หญิงอาจไม่มาก โอกาสลุกลามเข้าไปถึงมดลูก ปีกมดลูก ทำให้มีไข้สูงปวดท้องน้อยเป็นไปได้ยาก แต่การย่ำน้ำคลำเป็นเวลานานมีโอกาสเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าไปในช่องคลอดได้ หากภาวะสมดุลของกรด-ด่างในช่องคลอดไม่ดี การติดเชื้อก็จะง่ายขึ้นด้วย

“ปัญหาของเชื้อราที่มากับน้ำท่วมก่อความรำคาญแต่มักไม่มีอันตรายร้ายแรง” พญ.วนิชากล่าวและอธิบายว่าอาการตกขาวจากเชื้อราจะมีอาการคันเป็นหลัก โดยสังเกตได้ง่าย เช่น ตกขาวเริ่มมีสีเหลืองเหมือนนมบูด มีลักษณะเป็นก้อน เป็นแผ่น และมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์

วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการลุยน้ำหรือลุยเท่าที่จำเป็น ทันทีที่กลับมาบ้านควรรีบถอดกางเกงล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง แม้จะเป็นกางเกงกันน้ำ ก็ทำให้อบเหงื่อ อับชื้นเป็นเชื้อราได้ง่ายขึ้น

พญ.วนิชา แนะว่า การสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ง่าย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ แต่หากพบอาหารบ่งบอกว่าเป็นเชื้อราในช่องคลอดให้ยาฆ่าเชื้อราเหน็บในช่องคลอด หรือ ใช้ยาทาภายนอกระงับอาการคัน กรณีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์เหน็บยาทางช่องคลอดไม่ได้ก็ใช้ยารับประทานฆ่าเชื้อราได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ เพราะตกขาวบางอย่างอาจไม่เกี่ยวกับเชื้อรา แต่มาจาก พยาธิ แบคทีเรียบางชนิด ปากมดลูกอักเสบ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน หรือติดเชื้อโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่เชื้อรา เช่นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงของบุคคลนั้น

“ในคนที่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ คนไข้เบาหวาน คนไข้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิต้านทาน มีความเสี่ยงติดเชื้อราได้มากกว่าคนทั่วไป การรับประทานยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อมีผลทำลายแบคทีเรียปกติที่เป็นมิตรกับช่องคลอดของผู้หญิงแบคทีเรียเหล่านี้ช่วยรักษาภาวะกรดในช่องคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อของแบคทีเรียก่อโรค จึงไม่ควรใช่ยาปฏิชีวนะบ่อยๆโดยไม่จำเป็น” พญ.วนิชากล่าว

ปัญหาเรื่องตกขาว และอาการคัน เป็นเรื่องที่พบบ่อยมากขึ้นเนื่องจากพฤติกรรมการรักษาอนามัยของคนเปลี่ยนไป จากปกติช่องคลอดมีแบคทีเรียที่เป็นมิตรช่วยรักษาสภาพช่องคลอดให้เป็นกรด ป้องกันแบคทีเรียก่อโรค แต่พฤติกรรมของผู้หญิงรุ่นใหม่มักนิยม ใส่แผ่นรองอนามัยทุกวัน ด้วยเกรงว่ากางเกงในจะสกปรก แม้ทำให้รู้สึกแห้ง แต่ในความเป็นจริงทำให้อบ และเกิดการหมักหมมเป็นเหตุให้มีเชื้อราได้ง่ายขึ้นมากกว่าใส่กางเกงในผ้าฝ้ายเพียงอย่างเดียว ผู้หญิงบางคนชอบสวนล้างช่องคลอดเพราะคิดว่าสะอาดกว่า แต่ความจริงการสวนล้างช่องคลอดเป็นการทำลายแบคทีเรียปกติในช่องคลอด ทำให้สมดุลย์ของช่องคลอดเปลี่ยนไป ร่ายกายไม่สามารถต่อสู่กับแบคทีเรียแปลกปลอมได้ ทำให้เกิดช่องคลอดอักเสบตกขาวเป็นสีเหลือง มีกลิ่น หรือคันบ่อยๆ

ทั้งนี้นอกจากอาการคันจากเชื้อราในร่มผ้าแล้ว ในภาวะน้ำท่วมที่น้ำสะอาดมีน้อย น้ำใช้น้ำกินมีน้อย การเข้าห้องน้ำไม่สะดวก ทำให้คนดื่มน้ำน้อยและไม่ยอมปัสสาวะ ซึ่งเสี่ยงทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะมีอาการปัสสาวะแสบคัด ปัสสาวะบ่อยกระปริดประปรอยได้

“สถานการณ์แบบนี้ควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่ากลั้นปัสสาวะ อาจต้องยอมเข้าห้องน้ำที่ไม่สะอาดนัก ดีกว่ากลั้นปัสสาวะจนเทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปวดเวลาปัสสาวะและแสบขัดทรมานมากกว่า” ผู้อำนวยการคลินิกสูติ-นรีเวชกรุงเทพกล่าว และว่า การล้างทำความสะอาดอวัยวะในที่ร่มของผู้หญิงที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องใช้ แอลกอฮอล์ หรือสบู่อนามัย เพียงแค่ทำความสะอาดภายนอกด้วยน้ำสะอาดทั้งในซอกหลืบ แต่ไม่ต้องสวนล้างเข้าไปในช่องคลอดและเช็ดให้แห้งเท่านี้ก็เพียงพอ

สำหรับคนที่มีปัญหาช่องคลอดอักเสบง่าย มีตกขาวเป็นประจำ และมีอาการคันช่องคลอดอยู่เรื่อยๆ แสดงว่าภาวะในช่องคลอดอาจไม่แข็งแรงพอ ทำให้ติดเชื้อง่าย เป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมถึงสตรีในช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งเชื้อโรคเข้าไปได้ง่ายขึ้นเพราะปากมดลูกเปิด อีกทั้งเลือดเป็นอาหารที่ดีของเชื้อโรค ดังนั้นสตรีที่มีประจำเดือนควรเลี่ยงที่จะเดินลุยน้ำ ถ้าจำเป็นต้องใส่เสื้อผ้าที่กันน้ำได้ และหมั่นทำความสะอาด เปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ

คนที่มีแผลควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลได้โดยตรง ผู้ป่วยเบาหวานมีแผลติดเชื้อง่าย คนไข้ภูมิต้านทานต่ำควรรักษาร่างกายให้แข็งแรง ดื่มน้ำมากๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ และอย่าย่ำน้ำสกปรกเพราะเสี่ยงติดเชื้อโรคที่มากับน้ำ

คุณหมอย้ำว่า ความต้านทานผิวหนังแต่ละคนต่างกัน บางคนย่ำน้ำไม่นานก็เกิดอาการคัน ผื่นขึ้น บางคนลุยน้ำทั้งวันได้โดยที่ไม่เป็นอะไรอย่างไรก็ตามเพื่อลดความเสี่ยงของโรคที่มาจากการย่ำน้ำกรณีที่เลี่ยงไม่ได้ ก็ควรป้องกันให้น้ำโดนผิวหนังน้อยที่สุด โดยสวมใส่รองเท้าบูท กางเกงพลาสติกที่ยาวมาถึงเอว ถึงอกในที่น้ำลึก เพื่อไม่ให้สัมผัสกับน้ำโดยตรง ซึ่งนอกจากจะป้องกันเชื้อราในร่มผ้าได้แล้วยังช่วยป้องกันโรคอื่นๆ ที่มากับน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู โรคเท้าเปื่อยจากการแช่น้ำเป็นเวลานาน โรคแผลพุพองเป็นต้น




จาก ................... ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
24-11-2011, 08:13
“ทำอย่างไรเมื่อลูกป่วยเป็นไข้”


สถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ผู้ปกครองต้องระวังบุตรหลานให้ดี หากมีไข้อาจเกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฎสุนทร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีวิธีสังเกตอาการมาฝาก

อาการของไข้หวัด ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม หากอยู่ในที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก เด็กๆจะมีโอกาสติดหวัดได้ง่ายขึ้น แต่ไข้เลือดออก จะเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะของโรค ซึ่งลักษณะอาการจะแยกได้ดังนี้

เริ่มที่อาการของไข้หวัด อาจมีไข้ต่ำๆ มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล ส่วนมากในช่วงแรกจะเป็นน้ำมูกใสๆ ถ้าเป็นหลายวันสีจะข้นขึ้น มีอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก เบื่ออาหาร ในเด็กเล็กมีอาการกวนมากกว่าปกติได้ ไข้หวัดโดยทั่วๆไปอาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง ถ้าเป็นในเด็กที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร ก็สามารถดูแลในเบื้องต้นได้ แต่ถ้าในกรณีเด็กเล็กมากหรือมีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรมาพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม

ส่วน ไข้หวัดใหญ่ มักจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เด็กจะค่อนข้างซึมดูไม่สบาย ขณะที่เด็กเป็นไข้หวัดธรรมดา อาจกวนบ้างแต่ยังเล่นได้ แต่ถ้ามีไข้สูง เมื่อรับประทานยาลดไข้แล้ว ไข้ก็ไม่ลด มีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อาจมีปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน และมีจุดเลือดออกหลังจากมีไข้ 3-4 วัน จะเป็นอาการของไข้เลือดออก ซึ่งต้องพามาพบแพทย์เพื่อเจาะเลือด ตรวจวินิจฉัย และให้น้ำเกลือเพื่อรักษาต่อไป

สำหรับการดูแลในเบื้องต้น ถ้ามีไข้ต่ำๆ ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา และถ้ายังมีไข้สูง ควรให้ยาลดไข้ขนาด 10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง และดื่มน้ำอุ่นมากๆ หากมีเสมหะ ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือและน้ำผึ้ง เพื่อช่วยขับเสมหะและช่วยลดอาการไอได้ ในกรณีที่ดูแลเบื้องต้นแล้วยังมีน้ำมูกและมีอาการแน่นจมูก ให้รับประทานยาแก้หวัด เมื่ออาการดีขึ้นก็ให้หยุดยาได้ แต่ต้องระวัง และดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ โดยทั่วไปอาการไข้จะหายภายใน 3-4 วัน

เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรหลานป่วยเป็นไข้ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด เพราะอาจมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทำให้ติดหวัดได้ง่ายขึ้น รวมถึงระวังยุงลายกัด ซึ่งเป็นพาหะของไข้เลือดออก


ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




จาก ................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
25-11-2011, 08:43
ดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ


ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว มักมีผู้ป่วยด้วยโรคจมูก คอ และหลอดลมกันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลัน เพื่อสุขภาพที่ดี เรามาเรียนรู้วิธีดูแลตัวเองและป้องกันโรคกับ รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลัน มีอยู่หลายโรคด้วยกัน ตั้งแต่จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ โรคคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ รวมถึงโรคหลอดลมอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งผู้ป่วยมักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ ถ้าผู้ป่วยดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น โดยเฉพาะแอร์ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นหรืออาบน้ำเย็น เนื่องจากอากาศที่เย็นจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง ทั้งยังกระตุ้นเยื่อบุจมูกให้อักเสบมากขึ้น เกิดการคัดจมูก คัน จาม หรือมีน้ำมูกไหลมากขึ้น รวมทั้งยังกระตุ้นหลอดลม ทำให้หลอดลมหดตัว มีอาการไอและมีเสมหะได้ นอกจากนั้นควรปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจามด้วยผ้าเช็ดหน้า และดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เนื่องจากน้ำเป็นยาละลายน้ำมูก หรือเสมหะที่ข้นเหนียวได้ดีที่สุด และถ้ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอ ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการผัดหรือทอด และทำความสะอาดคอบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เพราะแบคทีเรียที่เกิดจากเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ อาจทำให้คออักเสบมากขึ้นได้ รวมถึงผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจด้วย เช่น ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การสัมผัสกับผู้ป่วย หรืออากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และควรอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก พักผ่อนให้เพียงพอ และขยันออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้อาการต่างๆดีขึ้นเร็วแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อนั้นเป็นซ้ำ หรือลุกลามแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นด้วย

ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




จาก ................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
25-11-2011, 08:50
แนะวิธีดูแลลูกน้อยให้ห่างไกล "ผื่นภูมิแพ้"

http://pics.manager.co.th/Images/554000015834901.JPEG
ขอบคุณภาพประกอบจาก happybaby.in.th

กล่าวได้ว่า "ผื่นภูมิแพ้" เป็นโรคที่ไม่มีพ่อแม่คนใดปรารถนาให้เกิดกับลูก เพราะทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัย 5 ขวบ ป่วยและมีอาการได้ถึง 80 -90 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นลูกรักของคุณอาจมีความเสี่ยงต่อผื่นภูมิแพ้ได้ หากไม่เตรียมความพร้อม และป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ความสำคัญนี้ นพ.ธัญธรรศ โสเจยยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ โรงพยาบาลวิภาวดี บอกว่า ด้วยชั้นผิวหนังของลูกรักที่มีความบอบบาง และละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ผิวของเด็กเปิดรับต่อสิ่งเร้าทั้งรังสียูวี สารเคมีและสารก่ออาการแพ้ต่างๆได้ง่ายกว่าผุ้ใหญ่ถึง 3 เท่า ทำให้ผิวพรรณของเด็กเกิดอาการระคายเคืองและแพ้ง่าย โดยเฉพาะโรคผื่นแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบ หรือโรคน้ำเหลืองไม่ดีที่ทำให้เด็กมีอาการเห่อครั้งแรกภายในช่วงวัย 1 ปีถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และเด็กในช่วงวัย 5 ขวบปีแรกจะมีอาการเห่อของผื่นภูมิแพ้ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

สำหรับสาเหตุของผื่นภูมิแพ้นั้น ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์หรือคนในครอบครัวของเด็กมีประวัติโรคภูมิแพ้ เช่น ผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไอจามบ่อย หรือเป็นหอบหืด และอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อกระตุ้นการเกิดผื่นภูมิแพ้ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคายเคือง สภาพอากาศที่ร้อนจนทำให้เหงื่อออก มีสารเคมีระคายเคืองผิวหนัง แมลง ขนสัตว์ และเชื้อโรค ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ลูกน้อยที่มีผิวบอบบางอยู่แล้ว เกิดอาการแพ้ได้ง่ายยิ่งขึ้น เริ่มจากผื่นแดงคัน มีตุ่มแดงและตุ่มน้ำใสเล็กๆ อยู่ในผื่นแดงนั้น ส่วนเด็กโตตุ่มจะนูนแดง มีขุยเล็กน้อย มักไม่พบตุ่มน้ำแตกแฉะเหมือนลูกวัยทารก แต่จะมีอาการคันทำให้เกาจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ ส่วนมากพบบริเวณรอบคอ ข้อพับ ด้านในของแขนและขา

"เราพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้จะมีอาการของโรคต่อเนื่องจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนและการทำงานในอนาคต โดย 50 เปอร์เซ็นค์ของเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้ มีโอกาสเป็นโรคหอบหืด โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กโต และ 2 ใน 3 ของลูกที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ เมื่อโตขึ้นมีโอกาสป่วยเป็นโรคแพ้อากาศร่วมด้วย รวมทั้งมีปัญหาผิวพรรณ ผิวหนังอักเสบ และมีอาการคันเรื้อรัง" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังรายนี้เผย

ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจึงทำได้เพียงการบรรเทาผิวหนังที่อักเสบของลูกรักให้กลับมาเป็นผิวหนังปกติ ผิวหนังที่มีสุขภาพดี และป้องกันการเห่อซ้ำของผื่นภูมิแพ้เท่านั้น เช่น หากมีอาการผื่นรุนแรง อาจต้องใช้ยาทาทีมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ซึ่งไม่สามารถใช้ต่อเนื่องนานๆได้ เพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่อลูก เช่น ทำให้ผิวหนังบาง ผิวหนังแตกลาย หรือมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกาย

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่คือคนสำคัญที่จะช่วยปกป้องผิวพรรณที่แสนจะบอบบางของลูกน้อยจากโรคภูมิแพ้ ด้วยเคล็ดลับ Safety Baby ตามแนวทางง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

- รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังลูก

- ไม่ควรอาบน้ำอุ่นบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวลูกแห้ง และคันได้ง่าย

- เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวลูก และผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือมีสารสังเคราะห์ที่ทำให้ผิวลูกระคายเคือง

- ดูแลผิวพรรณลูกให้สะอาด ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่นที่ปราศจากสารเคมีอันตรายหลังอาบน้ำให้ลูก โดยเฉพาะวันที่อาบน้ำอุ่น เนื่องจากน้ำอุ่นจะทำให้ผิวขับไขมันออกมามาก ทำให้ผิวเด็กบางคนที่แห้งอยู่แล้วจะแห้งยิ่งขึ้น

- ทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนอนของลูกให้สะอาดอยู่เสมอ โดยทำการซักทุก 1-2 สัปดาห์ ด้วยน้ำร้อน 55-60 องศาเซลเซียส

- ไม่ควรมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน หรือให้สัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ชิดลูก

- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการเห่อของผื่นภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น ความเครียด ความร้อนหรือความเย็นมากเกินไป รวมทั้งอาหารบางชนิดที่คุณแม่สังเกตได้ว่าอาจทำให้ผื่นลูกเห่อมากขึ้น เช่น นม ไข่ หรือถั่วลิสง

- เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากใยธรรมธาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าออร์แกนิก คอทตอน 100 % หรือเนื้อผ้าที่สัมผัสแล้วมีความเนียนนุ่มละเอียด รวมไปถึงเสื้อผ้าที่มีการตัดเย็บละเอียดเรียบร้อย ไม่มีตะเข็บ ขอบ หรือด้ายหลุดลุ่ยที่อาจเกี่ยวพันอวัยวะส่วนต่างๆ ของลูก ทำให้ผิวหนังระคายเคือง เกิดการอับชื้น นำไปสู่ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้

เห็นได้ว่า ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่รู้เท่าทันและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะเกิดก็จะมีน้อยลงครับ




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
25-11-2011, 08:55
เต้าหู้ย่างเคล้างา อุดมโปรตีนย่อยง่าย

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/23/etc/hl25112011.jpg

บางคนอยากลดเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะห่วงเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลจะทำลายเส้นเลือด แต่ถ้ากินน้อยไปก็กังวลว่าร่างกายอาจขาดโปรตีน ทว่ายังมีอาหารอีกชนิดที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นกัน นั่นคือ 'เต้าหู้'

วันนี้ 'มุมสุขภาพ' มีเมนู 'เต้าหู้ย่างเคล้างา' มาฝากผู้อ่าน เพราะเป็นเมนูที่อุดมไปด้วยโปรตีนและย่อยง่าย ทั้งยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วย

สำหรับ 'เต้าหู้' มีโปรตีนไม่น้อยไปกว่าเนื้อสัตว์ บางคนอาจเปรียบให้เป็นเนื้อไม่มีกระดูก นอกจากนี้โปรตีนที่มีในเต้าหู้ยังเป็นชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย มีวิตามินและเกลือแร่ ไม่มีคอเลสเตอรอล ดังนั้น เต้าหู้ จึงช่วยลดความเสี่ยงไขมันอุดตันเส้นเลือดได้

นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นในสูตรนี้ ต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน อย่าง 'งา' ทั้งงาขาวและงาดำ สรรพคุณโดยรวม คือ ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ โดยเฉพาะงาดำ ช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ กระปรี้กระเปร่าขณะตื่น ป้องกันเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันท้องผูก และช่วยบำรุงรากผม ส่วน 'ขิง' ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้องนั่นเอง

ส่วนผสมมีให้เตรียม ดังต่อไปนี้...


เต้าหู้อ่อนกึ่งแข็งหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 400 กรัม หรือประมาณ 2 ถ้วย
งาขาว 1 ช้อนชา
งาดำ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรมสูตรเจ-เห็ดหอม 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันงา 4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1+1/2 ช้อนชา
ขิงสับละเอียด 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา



วิธีปรุง เริ่มจากผสมซีอิ๊วขาวกับซอสหอยนางรม น้ำมันงา น้ำตาลทราย ขิงสับละเอียด และพริกไทยป่น โดยคนให้ละลายเข้ากัน จากนั้นใส่เต้าหู้ลงไป โรยงาขาวและงาดำ คลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างเบามือ อย่าให้เต้าหู้แตกเละ แล้วหมักทิ้งไว้นาน 20 นาที

ต่อมา ย่างเต้าหู้ที่หมักไว้จนสุกและมีกลิ่นหอมด้วยตะแกรงหรือกระทะ ระหว่างย่างให้ทาน้ำซอสที่ผสม ลงไปที่เต้าหู้ เสร็จแล้วจัดใส่จาน รับประทานได้ทันที และน้ำซอสที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปเคี้ยวให้พอเหนียวค้นแล้วใช้ราดลงบนเต้าหู้ย่างได้อีกด้วย.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์กินดี วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
26-11-2011, 08:16
เตือน! ยาพาราฯกินน้อยแต่นานอาจถึงตาย ..................... โดย วัจน พรหโมบล

http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2011/11/25/8ga5b87hbgdabeabkk9cj.jpg

นักวิจัยเตือนอันตรายยาแก้ปวดยอดฮิต กินน้อยแต่นานเกินขนาดไม่รู้ตัว เสี่ยงกว่าคนกินรวดเดียวเป็นแผง

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอดินเบรอะ ในสกอตแลนด์ เตือนผ่านวารสารเภสัชวิทยาอังกฤษ ถึงอันตรายจากการใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลว่า แม้จะรับประทานไม่กี่เม็ดในแต่ละวัน แต่หากรับประทานเป็นประจำนานหลายวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นปี ก็ถือเป็นการใช้ยาเกินขนาด แถมมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าคนที่รับประทานยาเกินขนาดจำนวนมากในครั้งเดียว

นักวิจัยกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากแพทย์จะไม่สามารถตรวจพบปัญหาตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับคนที่ใช้ยาพาราฯเป็นเวลานานช่วงหนึ่งนั้น ผลตรวจเลือดจะไม่แสดงระดับพาราเซตามอลในระดับสูง แบบที่เห็นในกรณีใช้ยาเกินขนาดแบบปกติ หรือกรณีที่คนไข้กลืนยาเป็นกำมือหรือเป็นแผง เพื่อฆ่าตัวตาย และแม้ผลตรวจจะพบระดับยาพาราฯในระดับต่ำ แต่คนเหล่านั้นอาจยังมีความเสี่ยงต่ออวัยวะล้มเหลวหรือเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วยที่มีปัญหาตับถูกทำลายอันเนื่องมาจากยาพาราเซตามอล จำนวน 663 คน ช่วงปี 2535-2551 พบว่า ในจำนวนนี้ 161 คนเกิดจากการใช้ยาพาราฯเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่รับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดท้อง โดยไม่ได้ตระหนักว่ากำลังใช้ยามากเกินไป หรือรู้ตัวว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นจากการใช้ยาเกินขนาด อีกทั้งเมื่อมีปัญหาที่ตับหรือสมองแล้ว ความเสี่ยงเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อน จะมากกว่าคนที่ใช้ยามากๆในคราวเดียว จึงเรียกร้องให้แพทย์หาหนทางใหม่ในการประเมินผู้ป่วย เพื่อความแน่ใจว่า ผู้ป่วยหายดีพอที่จะถูกส่งกลับบ้านหรือควรให้การรักษาเพิ่มเติม

นักวิจัยเตือนด้วยว่า ผู้ที่มีปัญหาเจ็บปวดและรู้สึกว่ายาพาราฯไม่ได้ผลแล้ว ควรปรึกษาเภสัชหาหนทางบรรเทาความเจ็บปวดอย่างอื่น หรือพึ่งแพทย์ให้ช่วยหาสาเหตุของอาการผิดปกตินั้น แทนที่จะคิดเพิ่มปริมาณยาด้วยตนเอง




จาก ..................... คม ชัด ลึก เวิลด์วาไรตี้ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
27-11-2011, 07:40
โรคไอบีเอส (IBS)หรือ 'โรคลำไส้ทำงานแปรปรวน' ตอน 1

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/27/newspaper/p6thurl2.jpg

โรคไอบีเอส (IBS) หรือชื่อเต็มเป็นภาษา อังกฤษคือ โรค Irritable Bowel Syndrome หรือในชื่อไทยคือ โรคลำไส้ทำงานแปรปรวน โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคใหม่แต่เป็นโรคที่มีมานานแล้ว เนื่องจากเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยากเนื่องจากอาการของโรคไม่มีความเฉพาะเจาะจง แพทย์จึงไม่ได้มีการวินิจฉัยโรคนี้ ในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับโรคไอบีเอสเพิ่มมากขึ้นและมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคไอบีเอสให้ชัดเจนขึ้น จึงมีการวินิจฉัยโรคนี้เพิ่มมากขึ้น


โรคไอบีเอสคืออะไร

โรคไอบีเอสหรือโรคลำไส้ทำงานแปรปรวน เป็นโรคของลำไส้ที่ทำงานผิดปกติไป ทำให้เกิดการปวดท้องร่วมกับมีอาการท้องเสียหรือท้องผูก หรือท้องเสียสลับกับท้องผูก โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางพยาธิสภาพที่ลำไส้ เช่น ส่องกล้องตรวจลำไส้จะไม่มีการอักเสบ ไม่มีแผล ไม่มีเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น และการตรวจเลือดต่างๆก็ไม่พบความผิดปกติ รวมทั้งไม่มีโรคของอวัยวะอื่นๆที่จะมีผลให้การทำงานของลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น โรคไอบีเอสเป็นโรคเรื้อรังมักเป็นๆหายๆ หรืออาจเป็นตลอดชีวิต เป็นโรคที่ไม่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมแม้จะเป็นมาหลายๆปี และไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่เป็นโรคที่สร้างความรำคาญและความทุกข์ทรมานให้ผู้ป่วยอย่างมากได้ เนื่องจากผู้ป่วยจะวิตกกังวลว่าทำให้โรคไม่หายแม้ได้ยารักษา ทำให้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยโรคจะรบกวนการดำรงชีวิตปกติของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีการหยุดงานบ่อยและมีประสิทธิภาพของการทำงานลดลง


โรคไอบีเอสพบบ่อยหรือไม่

ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปพบร้อยละ 10-20 ของประชากร ในประเทศญี่ปุ่นพบร้อยละ 25 ของประชากร ในประเทศไทยมีข้อมูลค่อนข้างน้อยในการศึกษาเรื่องนี้ ข้อมูลที่มีอยู่คือ พบได้ประมาณร้อยละ 7 ของประชากร แต่ถ้าศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้ป่วย ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรังมาพบแพทย์จะพบว่าเป็นโรคไอบีเอสถึงร้อยละ 10-30 จากตัวเลขดังกล่าวในประเทศไทยจะมีผู้ป่วยไอบีเอส ประมาณไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน

ซึ่งอาจจะเป็นการประมาณที่ต่ำกว่าเป็นจริง เพราะว่าในรายที่มีอาการไม่มากอาจคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นโรคนี้ พบว่ามีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่ไปพบแพทย์เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นโรคร้ายแรง เช่นกลัวเป็นมะเร็ง มากกว่าที่จะไปพบแพทย์เพราะความรุนแรงของโรค


โรคไอบีเอสพบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จริงหรือไม่

ในต่างประเทศในทั่วไปพบโรคไอบีเอสได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2:1 ถึง 4:1 สำหรับสาเหตุที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนั้นยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่แน่นอน สิ่งหนึ่งที่มีความแตกต่างกันคือ ผู้หญิงเมื่อมีอาการของโรคแม้จะไม่รุนแรงมักจะไปพบแพทย์มากกว่าผู้ชาย ส่วนข้อมูลในบ้านเราพบในผู้หญิงและผู้ชายในจำนวนใกล้เคียงกันหรือพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย


โรคไอบีเอสพบบ่อยในวัยใด

โรคไอบีเอสพบได้ทุกวัยตั้งแต่ในวัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ โดยพบได้บ่อยในคนวัยทำงานคือ อายุเริ่มต้นเฉลี่ยระหว่าง 20-30 ปี และจะพบได้บ่อยไปจนถึงอายุ 60 ปี หลังอายุ 60 ปี จะพบน้อยลง และพบว่าโรคไอบีเอสมักพบได้บ่อยในคนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมชั้นกลางถึงชั้นสูง


จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นโรคไอบีเอส

ในคนปกติการถ่ายอุจจาระของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมาก บางคนจะถ่ายอุจจาระทุกวัน บางคนถ่ายอุจจาระเป็นบางวัน โดยทั่วไปถือว่าการถ่ายอุจจาระที่ปกติคือการถ่ายอุจจาระ ไม่เกิน 3 ครั้งต่อวันหรือไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลักษณะอุจจาระที่ปกติจะต้องเป็นก้อนแต่ต้องไม่แข็งเป็นลูกกระสุนหรือเหลวมาก หรือเป็นน้ำ ต้องไม่มีเลือดปนและไม่มีปวดเกร็งท้องร่วมด้วยอาหารที่มีกากหรือเส้นใย (Fiber) จะช่วยลดอาการของไอบีเอสได้

อาการสำคัญของผู้ป่วยไอบีเอสคือปวดท้อง ส่วนใหญ่มักปวดท้องน้อย ลักษณะจะเป็นปวดเกร็ง อาการปวดจะดีขึ้นหลังถ่ายอุจจาระ พร้อม ๆ กับปวดท้องผู้ป่วยจะมีความปกติของการถ่ายอุจจาระร่วมด้วย อาจเป็นท้องเสียหรือท้องผูกก็ได้หรือเป็นท้องผูกสลับท้องเสีย ลักษณะอุจจาระจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนแข็งหรือเหลวจนเป็นน้ำ ผู้ป่วยอาจถ่ายอุจจาระลำบากขึ้นต้องเบ่งมากหรืออาจรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระทันทีกลั้นไม่อยู่ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระบ่อยๆ แม้เพิ่งจะไปถ่ายอุจจาระมามีความรู้สึกถ่ายไม่สุด จะมีถ่ายเป็นมูกปนมากับอุจจาระมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีท้องอืดมีลมมากในท้อง เวลาถ่ายอุจจาระมักมีลมออกมาด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการแบบนี้เป็นๆหายๆ รวมเวลาแล้วมักเป็นเกิน 3 เดือน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักมีประวัติเป็นมานานหลายปี

ถ้าผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นเลือด มีไข้ น้ำหนักลด ซีดลง มีอาการช่วงหลังเที่ยงคืน หรือมีอาการปวดเกร็งท้องมากตลอดเวลา อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าไม่ใช่โรคไอบีเอส


โรคไอบีเอสวินิจฉัยได้อย่างไร

โรคไอบีเอสจะได้รับการวินิจฉัยก็ต่อเมื่อแพทย์ได้วินิจฉัยแยกโรคอื่นๆแล้วหรือหาโรคอื่นที่จะอธิบายว่าเป็นสาเหตุของโรคไอบีเอสไม่ได้ ในวัยรุ่นหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีแพทย์จะวินิจฉัยโรคไอบีเอส โดยอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก และจะให้การรักษาไปก่อนโดยไม่จำเป็นต้องทำการสืบค้น สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 หรือ 50 ปี นอกจากแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดและจะทำการสืบค้นได้แก่ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ตรวจเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ หรือส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ซึ่งผลการตรวจร่างกายและการสืบค้นต่างๆจะต้องอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ข้อมูลจาก นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท 2




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
27-11-2011, 07:43
ฝนตกน้ำท่วมเด็กเสี่ยง 'ปอดบวม' พ่อแม่ช่วยเสริมภูมิ...ป้องกันได้

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/27/newspaper/p4thurl27.jpg

ปอดบวมเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบทั่วโลก และในช่วงนี้เป็นช่วงฝนตกน้ำท่วมถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น!

เนื่องในโอกาส วันปอด บวมโลก (World Pneumonia Day) ที่เพิ่งผ่านพ้นไป อาทิตย์สุขภาพวันนี้ขอนำเสนอสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ “โรคปอดบวม” พร้อมวิธีการป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าวให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

ศ.พญ.อุษา ทิสยากร นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า โรคปอดบวมเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญที่คร่าชีวิตเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ทั่วโลกถึงปีละ 2 ล้านคนหรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตของเด็กเล็ก 1 คนทุกๆ 20 วินาที ถึงแม้ว่าโรคปอดบวมจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนในปัจจุบัน แต่อุบัติการณ์การเสียชีวิตก็ยังคงสูงขึ้นจนน่ากลัว ดังนั้นองค์กรพันธมิตรวันปอดบวมโลกจึงร่วมกันรณรงค์วันปอดบวมโลกขึ้นเป็นปีที่ 3 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ความรู้ในการป้องกันโรคปอดบวมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมเร่งลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตของเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

สำหรับในประเทศไทยจากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 พฤษภาคม 2554 พบผู้ป่วยโรคปอดบวม 54,705 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบมากที่สุดร้อยละ 40 รองลงมาเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 29 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนมีผู้เสียชีวิตมากถึงขนาดนี้และยิ่งในปัจจุบันเกิดมรสุมพัดผ่านประเทศไทยทำให้เกิดฝนตกหนัก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รวมทั้งเกิดสภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก ถ้าเด็กลงไปเล่นน้ำแล้วเกิดสำลักน้ำอาจทำให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอดได้จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้มากขึ้น โดยโรคที่มากับฝน ได้แก่ โรคปอดบวม และโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ

ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ที่ปรึกษาชมรมโรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ถึงโรคปอดบวมว่า เกิดจากเชื้อหลายชนิด เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสและแบคทีเรียร่วมกัน โดยพบว่าโรคปอดอักเสบเกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามาก คืออาศัยอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก ลำคอ เมื่อใดที่เยื่อบุถูกทำลายจากการเป็นหวัดเรื้อรังหรือมีน้ำมูกคั่งในโพรงจมูกเป็นเวลานานมีโอกาสที่เชื้อนิวโมคอคคัสจะหลุดเข้าสู่ร่างกายก่อให้เกิดโรคปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ และไอพีดีได้ นอกจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสแล้วพ่อแม่ยังต้องระวังเชื้อแบคทีเรียเอ็นทีเอชไอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อรุนแรงในหูชั้นกลางด้วย

“เชื้อนิวโมคอคคัส” อาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงในอวัยวะนั้น ๆ ได้ และทำลายระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกายในเวลาไม่กี่วัน เช่น โรคปอดบวมหรือโรคปอดอักเสบ เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลายทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ หากรุนแรงจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต นอกจากนี้เชื้อดังกล่าวยังสามารถก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือฝีในสมอง โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (หูน้ำหนวก) ได้ ดังนั้นพ่อแม่ควรสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิดเมื่อลูกไม่สบาย

โดยอาการของโรคปอด บวมในเด็ก เช่น มีไข้ ไอ จาม หายใจถี่และหอบ หายใจลำบากและมีเสียงดังวี้ดๆ หรือหายใจจนซี่โครงบุ๋ม ถ้าพบว่าเด็กมีไข้ ไอบ่อย หรือหายใจเร็ว ซึ่งพ่อแม่สามารถดูได้จากอัตราการหายใจ ซึ่งในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบหายใจเร็วมากกว่า 50 ครั้งต่อนาทีและเด็กเล็กอายุมากกว่า 1 ขวบ หายใจเร็วมากกว่า 40 ครั้งต่อนาที ให้สงสัยว่าเด็กอาจเป็นโรคปอดอักเสบ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นพ่อแม่ควรดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วยการให้ทารกดูดนมแม่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยควรทำร่างกายให้ลูกน้อยอบอุ่นอยู่เสมอและสอนให้เด็กรู้จักรักษาสุขอนามัยเป็นประจำ โดยเฉพาะการล้างมืออย่างถูกวิธีเป็นประจำจะช่วยลดการติดเชื้อที่สัมผัสติดมากับมือรวมทั้งใส่หน้ากากอนามัย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนและสถานที่แออัดเป็นเวลานานๆ หมั่นทำความสะอาดโพรงจมูกลูกน้อยอย่าให้มีน้ำมูกคั่งเป็นเวลานาน

ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนไอพีดีพลัส ปอด-หูอักเสบ ที่นอกจากจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากโรคปอดบวม ปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและโรคติดเชื้อในกระแสเลือดจากเชื้อนิวโมคอคคัสแล้วยังช่วยป้องกันโรคหูชั้นกลางอักเสบที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัสและเชื้อเอ็นทีเอชไอได้อีกด้วย

สุดท้ายการสังเกตอาการลูกน้อยยามเจ็บป่วยสำคัญยิ่งสำหรับพ่อแม่อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนเด็กมีอาการหอบ หายใจลำบากและมีอาการรุนแรงมากขึ้นเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้.




จาก .................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
27-11-2011, 07:47
“ยุงรำคาญ” พาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบอื้อ / ปี 54 ป่วยไข้เลือดออกตาย 56 ราย

กรมควบคุมโรค พบยุงรำคาญมากสุด พาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ แต่ยืนยันไม่พบการระบาด มีวัคซีนป้องกันอยู่แล้ว ขณะที่ช่วงน้ำท่วมห่วงยุงลาย ก่อไข้เลือดออก พบผู้ป่วยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันรวม 6 หมื่น

http://pics.manager.co.th/Images/554000015931403.JPEG
ยุงรำคาญ

นพ.วิชัย สติมัย ผอ.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับยุงที่พบในประเทศไทยนั้นมี 4 ชนิด ประกอบด้วย 1.ยุงรำคาญ ซึ่งพบมากกว่าร้อยละ 80 เนื่องจากยุงชนิดนี้จะบินไกลถึง 1-2 กิโลเมตร ซึ่งสามารถจำแนกยุงรำคาญที่มักพบในไทยได้ 3 ชนิด คือ

1.ยุงรำคาญ (Culex gelidus) มักพบตามท่อน้ำ ชอบบินข้างหู กัดเจ็บ แต่ไม่นำโรค แม้ในบางประเทศเคยมีรายงานการติดเชื้อไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดดังกล่าวกัด แต่ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดนี้กัด 2.ยุงรำคาญ (Culex quiquefasciatus) เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง แต่พบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 1 และ 3.ยุงรำคาญ (Culex Tritaeniorhynchus) ซึ่งพบว่ายุงชนิดนี้เป็นพาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ เจอี แต่เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการในการให้วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบชนิดนี้อยู่แล้ว จึงไม่พบการระบาดของโรคนี้ โดยยุงชนิดนี้มักพบตามฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ม้า เป็นต้น

http://pics.manager.co.th/Images/554000015931401.JPEG
ยุงลาย

นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า

2.ยุงลาย พบประมาณ 10% ซึ่งลูกน้ำยุงลายสามารถเติบโตได้ในแหล่งน้ำนิ่ง และเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก แต่ธรรมชาติของยุงลายจะบินไม่ไกล ประมาณ 100-200 ม.ดังนั้น จึงไม่ควรมีแหล่งน้ำขังอยู่ภายในบ้าน หากเลี่ยงไม่ได้ควรที่จะหาทางลดการสัมผัสกับยุงโดยการจุดยากันยุง นอนกางมุ้ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันยังเกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องไปพักที่ศูนย์พักพิงจำนวนมาก ทำให้อาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ ทางกรมควบคุมโรค โดยสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง จึงมีการเฝ้าระวังตามศูนย์พักพิงต่างๆ ซึ่งขณะนี้พบจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้น แต่ยังอยู่ในจำนวนที่น้อย ซึ่งยังไม่ถือเป็นนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงยังต้องจำเป็นแนะนำวิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามศูนย์พักพิงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับยุงชนิดที่ 3 และ 4 คือ ยุงเสือ และยุงก้นป่อง โดยทั้งสองชนิดรวมกันมีรายงานการพบไม่10 % ซึ่งในส่วนของยุงเสือ จะพบตามผักตบชวา ซึ่งเป็นพาหะทำให้เกิดโรคเท้าช้าง ขณะที่ยุงก้นป่อง มีรายงานว่าพบตามแหล่งน้ำทิ้งบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการระบากของโรคมาลาเรีย เพราะการระบาดของโรคนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อยุงก้นป่องไปกัดคนที่เป็นมาลาเรียแล้วไปกัดคนอื่นต่อเท่านั้น

"สำหรับตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปี 2554 ถึงปัจจุบันพบ 64,000 ราย เสียชีวิต 56 ราย ขณะที่ปี 2553 พบผู้ป่วย 100,000 ราย เสียชีวิต 100 ราย ซึ่งไม่แตกต่างหรือน่ากังวลนัก” นพ.วิชัย กล่าว ว่าราย เสียชีวิตแล้ว 56 ราย




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
30-11-2011, 07:51
“การผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก”


ปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมากมีมากขึ้น การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือที่เรียกว่า psa นั้น รศ.นพ.ไชยยงค์ นวลยง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยืนยันว่าสามารถช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาหายขาดได้ โดยวิธีผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกหรือการฉายรังสีรักษา ซึ่งในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 70 ปี หรือยังมีสุขภาพแข็งแรง การผ่าตัดเพื่อเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด ถือเป็นวิธีการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ และมีโอกาสหายจากมะเร็งได้สูง

การรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ในปัจจุบันเราใช้การผ่าตัดด้วยกล้อง โดยเจาะผ่านช่องท้อง เพราะช่วยลดอาการเจ็บแผลหลังผ่าตัดลงไปมาก เนื่องจากแผลผ่าตัดเป็นแผลเจาะรู ระยะเวลาฟื้นตัวหลังผ่าตัดสั้นลง หรือถ้าเป็นการรักษาทันยุค จะใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีความแม่นยำในการผ่าตัดสูงมาก ทั้งนี้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ จะช่วยให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะได้ดี และคงสมรรถภาพทางเพศไว้ได้ดีกว่า เนื่องจากขณะผ่าตัดสามารถเห็นภาพขยายของท่อปัสสาวะและใยเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ชัดเจนกว่า

มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มต้น อาจจะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน ปัสสาวะลำบาก มีอาการปวดเวลาปัสสาวะ มีเลือดในน้ำเชื้อหรือปัสสาวะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดในผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโตหรือต่อมลูกหมากอักเสบ และอาจจะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย

ดังนั้นผู้ชายไทยอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จึงควรได้รับการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากประจำปีแม้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม และหากพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น การผ่าตัดในปัจจุบันสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีผ่าตัดทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเจ็บตัวน้อยลง

ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล






จาก ..................บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
30-11-2011, 07:54
หลากสูตรมะขามป้อม แก้ไอขับเสมหะ

http://www.dailynews.co.th/content/images/1111/30/etc/hl30112011.jpg

เมื่อเจ็บคอก็มักมีอาการไอและมีเสมหะ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ ไอบ่อยๆ ก็ยิ่งเจ็บและระคายคอหนักขึ้น อีกทั้งอาจสร้างความรำคาญแก่คนรอบข้าง และขัดจังหวะการสนทนา

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ ก็มักจะใช้วิธีกินหรือจิบน้ำมะนาว และดื่มน้ำอุ่นมากๆ ช่วยบรรเทา แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า 'มะขามป้อม' ที่รสฝาดเปรี้ยว ขมและอมหวาน ก็มีสรรพคุณแก้ไอ และขับเสมหะเช่นเดียวกัน โดยสูตรมะขามป้อมที่สามารถนำมาทำเป็นยาสามัญประจำบ้านนี้ ทำง่ายไม่มีพิษภัย

สูตรแรกอย่างเบสิก เมื่อมีอาการไอก็แค่เคี้ยวผลมะขามป้อมให้ละเอียด แล้วกลืนลงคอทั้งเนื้อและน้ำ หรืออาจค่อยๆเคี้ยวและดูดกลืนเอาเฉพาะน้ำก็ได้

ส่วนสูตรต่อมา คัดผลมะขามป้อมที่แก่จัด โขลกพอแหลก ผสมกับเกลือเล็กน้อย แล้วอมหรือเคี้ยวกลืนลงคอไป ขณะที่สูตรสุดท้าย ให้ใช้ผลมะขามป้อมไปตำให้ละเอียด จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำ ได้แล้วผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาให้อาการไอและเสมหะเบาบางลง ทั้งนี้หากเป็นอยู่นานไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ สามัญประจำบ้าน วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
30-11-2011, 07:58
3 วิธีง่ายๆ แก้อาการปวดต่างๆ ........................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

http://pics.manager.co.th/Images/554000016016801.JPEG

โอ๊ย ปวดหลัง ปวดคอ ปวดหัว ทั้ง 3 อาการปวดนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกัน จากสถิติพบว่าคนเรา 80% มักมีอาการปวดต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิต

ผู้คนจำนวนหลายล้านคนในอเมริกาต้องเผชิญกับการปวดขั้นรุนแรง ประมาณ 27% ปวดหลัง 15% บ่นปวดหัวหรือไมเกรน อีก 15% ปวดคอ จากการศึกษาในเวปสุขภาพของแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

อาการปวดบางประเภทอาจต้องพึ่งยาหรือแพทย์ในการดูแลรักษา แต่อาการปวดบางอย่างสามารถหายได้โดยการเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวง่ายๆในชีวิตประจำวัน


ท่านั่ง

วิธีง่ายๆวิธีหนึ่งในการในการแก้ปัญหาการปวดคือการเปลี่ยนท่านั่งให้ถูกวิธี ร่างกายของคนเราถูกออกแบบมาเพื่อการเดินรับอากาศบริสุทธิ์ในสวน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ถูกออกแบบมาเพื่อการนั่งทำงานที่โต๊ะทำงาน จ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 8-12 ชั่วโมงต่อวัน นักกายภาพบำบัดทางด้านกีฬาใน Nashville กล่าว

แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วผู้คนหลายล้านคนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพใหม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการเปลี่ยนวิธีการนั่ง คนทั่วไปมักนั่งทับกระดูกเชิงกราน ซึ่งทำให้เกิดอาการตึงบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาการปวดหลังจึงเกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้วเรายังชอบนั่งโดยการยื่นแขนและศีรษะไปข้างหน้า ท่านั่งที่ผิดท่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อตึงในช่วงบ่าและคอ และท่าที่ศีรษะยื่นออกไปทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ แล้วเราควรจะนั่งอย่างไรดี งานวิจัยกล่าวว่าไม่มีเก้าอี้ที่ออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นวิธีที่ทำได้คือการหาตำแหน่งท่านั่งที่รองรับกระดูกของเราได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

• นั่งและให้กระดูกเชิงกรานรับน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด งุ้มหลังลง
• ทำอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ยกหลัง และยืดอกขึ้น ให้กระดูกสันหลังได้เคลื่อนไหว
• ทำกลับไปกลับมาในระหว่าง 2 ท่านี้หลายๆครั้ง ทำจนกระทั่งหาตำแหน่งตรงกลางที่เหมาะสมได้

อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือการจัดที่ทำงานที่เอื้อและลดสภาวการณ์ปวดหลังแบบง่ายๆ ลอเรน พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า

• อย่าทำงานโดยใช้ Laptop
• ให้จัดคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ลักษณะการมองตรงไปข้างหน้าแบบตั้งฉาก แต่ให้จัดตั้งจอคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่มองลงประมาณ 10 ดีกรี ไม่ควรก้มตัว โก่งหลังโค้งลงไป
• จัดที่วางเท้าใต้โต๊ะเพื่อให้ข้อเท้าได้รับการผ่อนคลายและยืดหยุ่น สิ่งนี้จะช่วยผ่อนน้ำหนักของร่างกายส่วนล่าง วางน้ำหนักลงบนสะโพก ลงน้ำหนักส่วนน้อยที่บริเวณหลัง
• ทุกๆชั่วโมงให้ยืนขึ้น 2-3 นาที และบิดขี้เกียจ หรืออาจใช้วิธีให้หลังนอนราบแบนลงกับพื้น ด้านหลังของโต๊ะทำงาน พยายามยืดตัวไปมา
• ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ทำเป็นกระบอกกรวยทรงตัน
• วางผ้าขนหนูบริเวณบ่ากดลงให้หลังชิดกับพนักเก้าอี้
• เลื่อนบ่าให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมา อย่าทำแรงเกินไป แต่ให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมาได้สะดวก


การนอนหลับพักผ่อน

มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ใช้เวลานอน 39% คือในแต่ละคืนจะใช้เวลานอนประมาณ 7 ชั่วโมง และนั่นอาจเป็นสาเหตุของการปวดเมื่อย การนอนเป็นเหมือนยารักษาสุขภาพ เมื่อเรามีเวลานอนไม่พอจะทำให้กล้ามเนื้อไม่กระฉับกระเฉง ทำให้อารมณ์หงุดหงิด และไม่ร่าเริง ในทางตรงกันข้ามเมื่อเราได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอร่างกายจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อตื่นตัวพร้อมที่ในการทำงาน 2 สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ท่านอนและที่นอน เราควรหาที่นอนที่เหมาะสมสำหรับหลังของเรา

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า ที่นอนแบบไหนดีที่เราควรเลือก สรีระของร่างกายคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนชอบที่นอนแข็ง บางคนชอบนิ่ม ไม่เหมือนกันแต่ที่สำคัญต้องไม่นิ่มจนตัวจมเข้าไปที่ที่นอน ร่างกายของเราต้องการที่นอนที่สามารถรองรับกระดูกสันหลังในท่าที่เหมาะสมและสบาย อีกอย่างที่ควรคำนึงถึงคือหมอน เราต้องการหมอนหนุนที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่เหมาะสม หากเรานอนตะแคงให้ใช้หมอนวางไว้ระหว่างขา หากเรานอนราบให้วางหมอนไว้ใต้เข่า ท่านอนและหมอนที่เหมาะสมจะทำให้นอนหลับสบายและไม่ไปกดทับกระดูกสันหลัง


การออกกำลัง

เราอาจเคยได้ยินว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนั้นจึงเป็นข้ออ้างของหลายคนในการไม่ออกกำลังกายแต่แท้ที่จริงแล้ว เราจะปวดเมื่อยมากยิ่งขึ้นหากไม่ได้รับการขยับเขยื้อน หากเราเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างสมดุล และไม่ปวดเมื่อยง่ายๆ

คนส่วนใหญ่มักใช้การเดินในการออกกำลังกาย แต่พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเราอาจเดินผิดวิธี หลายคนใช้วิธีการเดินด้วยหัวเข่า ไม่ใช่สะโพก วิธีแนะนำง่ายๆ คือ

• เหยียดปลายเท้าทั้ง 2 ข้างออก
• แกว่งแขน
• ก้าวเท้ายาวๆ ไม่ใช่ก้าวสั้นๆ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยให้มีความยืดหยุ่นและมีกำลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง กระชับ อย่าใช้แต่เพียงข้อต่อ ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้วการออกกำลังกายยังจะช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งหากมีน้ำหนักมากเกินไปจะนำมาซึ่งความปวดเมื่อยต่างๆ ทั้งข้อต่อ สะโพก ข้อเท้า และส่วนล่างของหลังอีกด้วย

คำแนะนำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้อาการปวดต่างๆหายหมดไปจนหมดสิ้น แต่หากเราลองพยายามทำสัก 2-3 อาทิตย์แล้ว จะทำให้ร่างกายเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและที่สำคัญทำให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมาอีกด้วย




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ Life & Family วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ
01-12-2011, 08:11
โรคเบาหวานท่ามกลางน้ำท่วม พึงดูแลเพื่อป้องกันอาการแทรก


ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ออกโรงแนะนำการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานในช่วงน้ำท่วม โดยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมนี้ ดังนั้นจึงควรมีความรู้เบื้องต้นในการดูแลรักษาสุขภาพของตน เพื่อรับมือไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาในช่วงนี้

ในภาวะที่เต็มไปด้วยความเครียดเช่นนี้ ร่างกายของมนุษย์จะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงไม่ควรหยุดทานยารักษาเบาหวานเด็ดขาด เพราะการหยุดยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายได้ แต่ถ้าท่านทานอาหารไม่ได้หรือทานได้น้อย อาจต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะมีอาการเตือนคือ ใจสั่น มือสั่น หน้ามืด บ่นหิว จะเป็นลม หากเกิดอาการเหล่านี้ให้หยุดยาเบาหวานชั่วคราวก่อน และควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และให้แพทย์ปรับขนาดยาให้เหมาะสม ที่สำคัญคือห้ามใช้ยาเบาหวานของผู้อื่น แม้เม็ดยาจะดูคล้ายกันแต่อาจเป็นยาคนละชนิด

ในกรณีผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฉีดยาอินซูลิน ไม่ควรอดอาหารเด็ดขาด และก่อนฉีดยาทุกครั้งต้องแน่ใจว่ามีอาหารรับประทานเพียงพอ โดยฉีดยาตามขนาดที่เคยฉีดทั้งหมดต่อวัน กรณีรับประทานอาหารได้น้อยลงอาจต้องมีการปรับลดปริมาณยาฉีดลงเพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามหยุดฉีดอินซูลินเอง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน (เบาหวานชนิดที่ 1) เพราะอาจเกิดเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ และไม่แนะนำให้ปรับเพิ่มขนาดยาฉีดอินซูลินด้วยตัวเอง เว้นแต่ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแล้วพบว่าสูง และต้องเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการปรับขนาดยาจากแพทย์แล้วเท่านั้น ควรเก็บยาอินซูลินไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา แต่ถ้าใช้ตู้เย็นไม่ได้เนื่องจากถูกตัดไฟฟ้าก็สามารถเก็บยาฉีดอินซูลินได้ที่อุณหภูมิห้องนาน 1 เดือน โดยอย่าให้ถูกแสงแดด ความร้อน หรือความเย็นจัด นอกจากนี้ไม่ควรใช้ยาอินซูลินที่มีลักษณะผิดไปจากเดิม เช่น ยาจับตัวเป็นก้อน สีของยาเปลี่ยน และไม่ควรใช้หัวเข็มฉีดยาหรือยาฉีดร่วมกับผู้อื่น

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อทั้งภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและน้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลจากเลือดปลายนิ้ว จะช่วยในการวินิจฉัยภาวะดังกล่าวและเฝ้าระวังได้ง่ายขึ้น

อาการระดับน้ำตาลในเลือดสูง มักเกิดจากการขาดยารักษาเบาหวาน หรือหยุดฉีดยาอินซูลิน หรือทานอาหาร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น และมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปทางปัสสาวะมากขึ้น ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ ริมฝีปากแห้ง หากได้รับน้ำและเกลือแร่ไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ มีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง ไตวาย ซึมลงหรือหมดสติได้

หากเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน แล้วได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงต้องสลายไขมันมาใช้แทน ทำให้เกิดสารคีโตนคั่งในเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ถ้ารุนแรงมากขึ้นจนเลือดเป็นกรด ผู้ป่วยจะหายใจเร็วและลึก อาจมีไข้หรือปวดท้องร่วมด้วย ถ้าไปรับการรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากมีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คือ หิวน้ำบ่อย ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะมาก ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น และแก้ไขสาเหตุที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ต้องพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

อาการระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้แก่ ผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานอายุน้อย ทานอาหารได้น้อยกว่าปกติ หรือมื้ออาหารถูกงดหรือเลื่อนเวลาออกไปจากเวลาปกติ ในขณะที่ยังทานยารักษาเบาหวานหรือฉีดยาอินซูลินปริมาณเท่าเดิม เวลาเดิม ออกกำลังกาย หรือมีการใช้พลังงานมากขึ้น การทำงานของตับและไตเสื่อมลง

อาการเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้แก่ เหงื่อแตก ใจสั่น มือสั่น คลื่นไส้ เหงื่อออก รู้สึกหิว กระสับกระส่าย หากไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้สมองขาดน้ำตาลไปเลี้ยง จนทำให้เกิดอาการมึนงง ปวดศีรษะ สับสน ตาพร่ามัว ง่วงซึม หมดสติหรือชักได้ หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ให้ผู้ป่วยกินน้ำหวานหรือน้ำอัดลม 1 แก้วหรือน้ำผลไม้ 1 กล่อง หรือน้ำตาลก้อน 2 ก้อน หรือทานผลไม้ เช่น ส้มหรือกล้วย 1-2 ผล หรือลูกอมหวาน 3 เม็ด ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 15 นาที หรือผู้ป่วยหมดสติ ให้รีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด


--------

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลและโรคแทรก

1.สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดและป้องกันน้ำได้ ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไป แต่ควรจะระบายความร้อนได้ดีเพื่อลดความอับชื้น และควรเป็นชุดสีสว่างเพื่อไม่ให้เก็บความร้อน

2.หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ตยางกันน้ำทุกครั้ง อาจสวมถุงเท้าเพื่อป้องกันการเสียดสีที่อาจทำให้เกิดบาดแผลบริเวณเท้า เมื่อลุยน้ำเสร็จแล้วให้รีบล้างเท้าด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง

3.หมั่นสำรวจเท้าทุกวัน โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าและฝ่าเท้า เพื่อดูว่ามีแผลรอยถลอก หรือแผลพุพองหรือไม่ ทำความสะอาดเท้าทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และทันทีเมื่อเท้าสกปรก ด้วยน้ำสบู่อ่อนและน้ำสะอาด (ไม่ควรใช้น้ำร้อน) และใช้ผ้าเช็ดเท้าและซอกนิ้วให้แห้งทุกครั้ง ถ้ามี

4.บาดแผลควรรีบทำแผลด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน และพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามความเหมาะสม กรณีบาดแผลสกปรกอาจต้องฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักด้วย ถ้ามีแผลน้ำกัดเท้าซึ่งมักเกิดบริเวณง่ามนิ้วเท้า และเกิดจากเชื้อรา ทำให้มีอาการคัน แสบ แตก ผิวหนังลอก การรักษาต้องทาด้วยยาฆ่าเชื้อราต่อเนื่องระยะหนึ่ง ร่วมกับดูแลเท้าให้แห้งสะอาด.




จาก .................. ไทยโพสต์ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 1 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
04-12-2011, 07:10
'ไข้เลือดออก' ภัยร้ายน้ำท่วมขัง! เร่งทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ป้องกันได้

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/1515.jpg

สถานการณ์อุทกภัยขณะนี้เริ่มอยู่ในสภาวะทรงตัว บางพื้นที่น้ำเริ่มลดแล้ว ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ภัยของน้ำที่นิ่งเฉย นี้มีอะไรบ้าง โดยน้ำท่วมขังมีลักษณะคล้ายกับสภาพที่เกิดขึ้นหลังฝนตก ถือเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเหล่าเชื้อโรคต่างๆที่เป็นภัยร้ายต่อเรา อีกทั้ง น้ำท่วมขังยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง โดยเฉพาะยุงลายทำให้ใครที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเสี่ยงเป็นโรค “ไข้เลือดออก” โดยเฉพาะเด็กอาจมีอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านบริหารความเสี่ยง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ความรู้ว่า ยุงลายมักจะชอบวางไข่ในน้ำที่นิ่งสะอาดและชอบกัดคนในเวลากลางวัน ทำให้หลังจากเกิดน้ำท่วมขังสักระยะหนึ่งเราจะพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นและอาจมีการแพร่ระบาดของโรคขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในชุมชนที่แออัด เช่น ศูนย์ผู้อพยพ ถ้ายิ่งขาดสุขอนามัยที่ดีและขาดการควบคุมประชากรยุงที่มีประสิทธิภาพจะยิ่งทำให้พบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้หลังเกิดอุทกภัยน้ำท่วม

โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมี 4 ชนิด คือ เดงกี-1 ถึงเดงกี-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถแพร่เชื้อไวรัสเดงกีไปยังผู้อื่นได้หลังจากยุงลายดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสและไปกัดคนอื่นต่อ โดยอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกมี 3 ระยะ คือ

1.ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงนานประมาณ 3-7 วัน และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ พบอาการชักได้ในเด็กเล็ก ซึ่งอาการไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มักไม่มีอาการของหวัดชัดเจน มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโตและกดเจ็บ มีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง เลือดออกบริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และอาจพบเลือดออกในกระเพาะอาหารด้วย

2. ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีอาการไข้ลดลง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะมีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาออกจากเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดข้น และอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการที่สังเกตได้คือ อาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็ว และเบาลง มีความดันโลหิตต่ำ ถ้าหากมีอาการเช่นนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และ

3.ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่ผู้ป่วยหายจากโรค อาการทั่วไปดีขึ้น เริ่มอยากรับประทานอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจลดลง อาจมีผื่นแดงขึ้น โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง

การวินิจฉัยไข้เลือดออกแพทย์จะอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือด ซึ่งหลังจากการตรวจเลือดจะพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวและจำนวนเกล็ดเลือดลดลง กรณีที่มีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาจะมีความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นและตรวจพบน้ำในเยื่อหุ้มช่องปอด อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่าเป็นไข้เลือดออกจริงนั้นมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางราย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนการรักษาโดยทั่วไปมักไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะในระยะแรกของโรค

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/1515/0.jpg

หากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกในระยะแรก การรักษาที่สำคัญที่สุดคือการรักษาตามอาการ คือมีไข้ขึ้นสูงควรเช็ดตัวบ่อยๆ รวมทั้งรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน นอกจากนี้ยังแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยสารน้ำที่แนะนำ ได้แก่ น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำที่มีสีแดงหรือสีดำ เนื่องจากกรณีผู้ป่วยอาเจียนออกมาอาจทำให้เข้าใจผิดว่ามีเลือดออกจากในกระเพาะอาหารได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำอย่างมากรวมทั้งมีภาวะช็อกซึ่งจะมีอาการมือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตต่ำ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาลโดยเร็ว

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอายุของผู้ป่วยไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่อายุไม่มากนัก ดังนั้นการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีทำได้โดยการปราบยุงและลูกน้ำยุงลาย หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด และใช้ยากันยุงหรือนอนในมุง ทั้งนี้ควรมีการรณรงค์ให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลูกน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหากพบลูกน้ำยุงลายในภาชนะใส่น้ำให้กำจัดโดยการใส่ทรายอะเบตลงไป และที่สำคัญคือการกำจัดหรือทิ้งทำลายภาชนะขังน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้วไป เช่น ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้ที่แตกหัก และเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆให้มิดชิด ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าว

ส่วนวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นอีกทางออกหนึ่งในการควบคุมและป้องกันไข้เลือดออก แต่ปัจจุบันวัคซีนยังอยู่ในขั้นทดลองใช้ โดยพบว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คาดการณ์ว่าจะสามารถนำวัคซีนมาใช้อย่างแพร่หลายได้ในอนาคตอันใกล้นี้

โรคไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่มากับน้ำท่วมขังอย่างคาดไม่ถึง เพราะหากเป็นในระยะรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การป้องกันควรเริ่มต้นที่ต้นตอด้วยการทำลายภาชนะขังน้ำ จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสเดงกีได้ เพียงแค่นี้ตัวเราและคนที่เรารักก็จะห่างไกลจากโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกไปได้ท่ามกลางวิกฤติอุทกภัยครั้งนี้.




จาก .................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 4 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
04-12-2011, 07:12
ป.ปลา กันภูมิแพ้

http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2011/12/you04041254p1.jpg&width=360&height=360

เพราะเด็กเล็กกับเสียงหายใจดัง "วีซๆ" เป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย จนพ่อแม่ส่วนใหญ่ละเลย คิดว่าไม่มีอันตรายในภายหลัง แต่รู้ไหมว่า นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของโรคภูมิแพ้เรื้อรังที่น่ากลัว

ดร.เอมม่า กอก ซอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก สวีเดน ทดสอบทารก 4,171 คน ด้วยการเปรียบเทียบประวัติโภชนา การของเด็กๆ กับผลการตรวจสุข ภาพ ในวัย 6 เดือน 12 เดือน และ 4 ขวบครึ่ง ปรากฏว่า

ทารกที่เริ่มกินปลาเนื้อขาว จำพวกปลากะพง และปลาเก๋า หรือสุดยอดปลาทะเล อย่าง แซลมอน ก่อนอายุครบ 9 เดือน จะมีแนวโน้มปลอดภัยต่อภาวะ "วีซซิ่ง" หรือ อาการ "หายใจเสียงดัง" ได้มากถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

แถมเมนูปลาจานเด็ดเหล่านี้ ยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืดได้อีกต่างหาก เพราะเนื้อปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ซึ่งอุดมด้วยวิตามิน กรดไขมันโอเมก้า-3 ทั้งยังมีกรดอะมิโนจำนวนมาก ช่วยเสริมให้โปรตีนทำหน้าที่สร้างอวัยวะ และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง




จาก .................... ข่าวสด คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ วันที่ 4 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
05-12-2011, 08:45
คัน 'หู' คู่โรค

http://beta.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/1614.jpg

อาการคันหูไม่เข้าใครออกใคร ความทรมานขึ้นอยู่กับคันมากคันน้อย ถ้าคันพอสังเขปเป็นรสชาติชีวิต แต่ถ้าคันยิกลิงเข้าก็เอาเรื่อง

“มุมสุขภาพ” วันนี้ “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกเล่าถึง อาการ “คัน” ยิ่งถ้าเป็นอวัยวะที่มีซอกหลืบเยอะอย่าง “หู” ก็มักตีคู่มากับการเกา และขั้นกว่าคือมีเครื่องมือช่วย นั่นคือ “ไม้แคะหู” อุปกรณ์คู่มือยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเละ

เพราะการลากไม้แคะไปในท่อหูอ่อนๆ แต่ละครั้งจะทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมากมายโดยเราไม่รู้ตัว

ปรากฏการณ์เจ็บๆคันๆยันหูอื้อจำต้องมีผู้ร้ายที่ต้องหาให้เจอ เพราะบางทีถ้าเผลอไปคันเอาสุ่มๆจะเป็นเรื่องเนื่องด้วยหูเป็นอวัยวะซับซ้อนไม่ได้ใช้กั้นสมองอย่างเดียว หากแต่ช่วยในการทรงตัวให้เรายืนอยู่ติดพื้นได้ ถ้าเกิด “หูพัง” หรือ “หูดับ” จากเส้นประสาทขึ้นมาแล้วจะมีผลต่อการเดินดินของเรามากเลย

ซึ่งนับไปมาแล้วก็มีผู้ร้ายใกล้หูอยู่มากพอดู เริ่มจาก “แคะหูถี่” มีตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาคือ “ไม้แคะหู” ถ้าเป็นไม้ธรรมดาก็ยังพอว่า แต่ถ้าหาไม้ไม่ได้แล้วจำต้องใช้ของใกล้ตัวอย่าง “เส้นผม” หรือ “ไม้จิ้มฟัน” แล้วละก็มีสิทธิ์ “หูป่วย” ได้เร็วขึ้น โดยเป็นได้ตั้งแต่รูหูอักเสบไปจนถึงแก้วหูทะลุหนองทะลัก วิธีแก้คืออย่าแคะหูถี่ไป โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหูแฉะใหม่ๆ ไม่ควรแคะทันทีและถ้ามีอาการเจ็บๆคันๆ ก็อาจต้องให้คุณหมอช่วยส่องดูสักนิด เพราะอาจมีเชื้อราแพร่พันธุ์อยู่

http://beta.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/1614/0.jpg

“มีอุบัติเหตุ” นอกจากการถูกกระทบกระแทกหูอย่างแรงจากการตกตึก, รถชน, ถูกสัมผัสบ้องหูด้วยหลังมือ แล้วอุบัติเหตุร้ายที่ทำลายหูที่สำคัญคือ “เสียง” ครับ เสียงที่ดังเกิน 70 เดซิเบล (บ้านอยู่ติดถนนก็ใช่แล้ว) ก็เริ่มทำลายการได้ยินของหู ถ้าดังมากเกิน 100 เดซิเบลจะทำลายประสาทหูชั้นในจนทำให้หูดับอย่างถาวรได้ การใช้หูฟังก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะหูฟังชนิดเสียบเข้าไปลึกล้ำแทบถึงก้านสมอง ต้องพักหูบ้าง

“ว่ายน้ำบ่อย” ฉลามน้อยฉลามใหญ่แต่ไม่ใช่ฉลามบกมักมีปัญหา “หูแฉะ” เพราะแคะหูหลังว่ายน้ำ และน้ำนั่นเองที่เป็นตัวทำให้ “หูเปื่อย” โดยเฉพาะท่อหูส่วนนอก นักว่ายน้ำเป็นกันมาก เรื่อง “หูส่วนนอกอักเสบ (External Otitis)” จนฝรั่งตั้งชื่อให้โรคนี้ว่าเป็นโรคหูนักว่ายน้ำ(Swimmer’s ear) อาการที่ว่าอาจเป็นในคนที่เพิ่งว่ายน้ำใหม่ๆก็ได้ เกิดจากหูเปียกแล้วมือไม่อยู่สุขไปแคะเข้า

และ “ร้อยภูมิแพ้” แก้ไม่ยากหาก “คุมแพ้” ให้อยู่หมัด อาการภูมิแพ้สามารถขึ้นไปจมูก, ลูกตา และหูได้ทำให้คันยุบยิบเชียว ท่านที่ขึ้นเครื่องบินจะสังเกตได้ว่าเวลาเครื่องขึ้นหรือลงจะมีเสียงเด็กร้องฟีเจอริ่งเข้ามาด้วยเสมอ เพราะอาการตันที่ท่อหูจากภูมิแพ้ทำให้เจ็บปวดมากเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับจากความดันอากาศข้างใน ให้คุมโรคแพ้ด้วยการออกกำลังกับกินอาหารต้านแพ้จะช่วยได้มาก

ที่สำคัญการ “แก้ด้วยยา” ยาไม่ใช่ทางออกของร้อยโรคเสมอไป ยากินหลายอย่างที่ทำลายหูโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อกลุ่มแบคทีเรียทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร หรืออย่างยาฆ่าเชื้อ “วัณโรค” อย่างสเตร็ปโตมัยซินฉีดแล้วก็ทำให้ประสาทหูเสียได้ บางรายมีเสียงวิ้งๆหึ่งๆ น่ารำคาญเหมือนมีสถานีวิทยุหรือวงมโหรีไม่ได้รับเชิญอยู่ในหัว ฟังมากๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอา บางครั้งแม้หยุดยาแล้วอาการก็ยังไม่หายเพราะประสาทหูเสียถาวรไปแล้ว อยากขอวอนให้ใช้ยาตามความจำเป็น.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 5 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
21-12-2011, 07:20
หายปวดฟันทันใจ 'เกลือสมุทร-สารส้ม'

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/4021.jpg
สูตรสามัญประจำบ้านบรรเทาอาการปวดฟันทุเลาลงในเวลาไม่ช้า ทำอย่างไรให้เกลือสมุทรกับสารส้มให้สรรพคุณแก้ปวดฟัน?

เวลามีอาการปวดฟัน ทรมานอย่าบอกใคร ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี 'มุมสุขภาพ' สรรหาสูตรยาภูมิปัญหาชาวบ้าน เสมือนเป็นยาแก้ปวดฟันแบบเฉพาะหน้ายามที่ยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้

สูตรนี้ให้เตรียมเกลือสมุทรเอาไปตำให้ละเอียด 1/2 ช้อนชา และสารส้มที่นำไปตำละเอียดเช่นเดียวกันอีก 1/2 ช้อนชา ได้แล้วใส่ถ้วยเพื่อผสมให้เข้ากัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด ก่อนใช้นิ้วป้ายส่วนผสมแล้วทาเข้าไปในช่องปากตรงบริเวณที่รู้สึกปวดฟัน ช่วยลดอาการปวดฟันได้ในไม่ช้า

หากเกรงว่าส่วนผสมจะกระจายตัวเร็วเกินไป ให้ห่อเกลือสมุทรและสารส้มละเอียดนั้นด้วยสำลีแผ่นบางหุ้มผ้าก๊อส เอาใส่ปากกัดเบาๆไว้ให้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้เช่นกัน

แม้สารส้มจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะส่วนใหญ่ก็นิยมใช้สารส้มแกว่งน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน แล้วนำนำมาไปดื่มไปใช้ แต่หากกินสารส้มในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดแพ้พิษของสารส้ม ซึ่งจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม

อย่างไรก็ตาม หลังบรรเทาอาการปวดด้วยสูตรเกลือสมุทรกับสารส้มแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจหาสาเหตุของการปวดฟันและรับการรักษาให้ตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 21 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
24-12-2011, 07:59
จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 1)


โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย คือ โรคพันธุกรรมระบบเลือดที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์โปรตีนโกลบิน ซึ่งเป็นโครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะทำหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้รับจากการหายใจไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ไต กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอยู่ในสมดุลปกติ

ดังนั้น เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกจะส่งผลให้ร่างกายซีด เนื่องจากสารเหลืองจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงจะออกมาในกระแสเลือด ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าเป็นมาก ตับ ม้าม จะทำงานหนักมากขึ้นในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงทดแทนที่ขาดไป และอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้ โรคธาลัสซีเมียถือได้ว่าเป็น “โรคประจำถิ่น” เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สามารถ่ายทอดต่อกันได้ภายในครอบครัวโดยทั่วไป ผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคธาลัสซีเมียแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

1.ผู้ที่มียีนแฝง (พาหะ)

ผู้ที่มีพันธุ์ (ยีน) ของโรคธาลัสซีเมียแฝงอยู่จะไม่แสดงอาการ ดังนั้นผู้ที่เป็นพาหะจะมียีนผิดปกติเพียงข้างเดียว และยังคงมียีนที่ปกติเหลือเพียงพอที่จะทำหน้าที่ทดแทนยีนที่ผิดปกติได้ สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ ซึ่งคนที่มียีนแฝงจะมีลักษณะหน้าตาปกติ และมีสุขภาพปกติเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป ในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประชากรไทย 60 ล้านคน จะมีผู้ที่มียีนผิดปกติเหล่านี้ถึง 24 ล้านคน

2.ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียมีระดับความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่ซีดเล็กน้อยหรือปานกลาง จนกระทั่งซีดมากและเรื้อรัง ตับและม้ามโต ต้องรับเลือดเป็นประจำ บางรายไม่เคยมีอาการเลย แต่เมื่อต้องประสบภาวะเจ็บป่วย มีไข้ติดเชื้อ บุคคลเหล่านี้จะมีอาการซีดลง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในขณะที่บางชนิดทารกที่เป็นโรคนี้อาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 1 วัน ในประเทศไทยพบผู้เป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร หรือประมาณ 6 แสนคน


โอกาสเสี่ยงและการถ่ายทอดของโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียถ่ายทอดแบบพันธุ์ด้อย กล่าวคือ หากมีความผิดปกติเพียงยีนเดียวจะไม่ปรากฏอาการ แต่หากมีความผิดปกติของยีนทั้ง 2 ข้าง จึงจะแสดงอาการ ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายเท่าๆ กัน แบ่งได้เป็น 4 กรณี ดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1

ถ้าท่านและคู่ของท่านเป็นพาหะหรือมียีนแฝงทั้ง 2 คน ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 25, มียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 25

กรณีที่ 2

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านมียีนแฝงคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสมียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 50

กรณีที่ 3

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์ทุกครั้ง ลูกของท่านทุกคนมีโอกาสมียีนแฝง หรือเท่ากับร้อยละ 100

กรณีที่ 4

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนมียีนแฝง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 50 และมียีนแฝงร้อยละ 50

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
26-12-2011, 07:51
ตาบวมทำไงดี

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/4543.jpg

มีหลายคนสงสัยว่าทำไมบางวันตื่นนอนขึ้นมาตาถึงบวม หรือบางทีร้องไห้มากๆ ก็ตาบวมเหมือนกัน จะเป็นสัญญาณอันตรายอะไรหรือไม่ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เผื่อต้องออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอกจะได้ไม่อายใคร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า อาการตาบวมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือดซึมออกมาคั่งที่บริเวณเนื้อเยื่อรอบเปลือกตา เป็นอาการที่ไม่รุนแรง และเป็นความผิดปกติของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน คนที่มีอาการดังกล่าวควรได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงว่า เกิดจากอะไร


สาเหตุของตาบวมที่พบบ่อย เช่น

1. ภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้อาหารทะเล แพ้เกสรดอกไม้ อาจทำให้ตาบวมได้ โดยในคนที่เป็นภูมิแพ้นั้นมักจะมีอาการตาบวมในตอนเช้า

2. อาการตาบวมอาจมีสาเหตุมาจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจบีบตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการบวมบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ในตอนเช้าจะบวมที่หน้า ตอนเย็นบวมที่ขา หรือตอนนอนหน้าบวม ตาบวม กรณีเช่นนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหาสาเหตุที่แท้จริง

3. อาจเป็นธรรมชาติของคนๆนั้นที่ตาบวมง่าย

ส่วนปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการตาบวม เช่น การนอนดึก การร้องไห้ เป็นต้น การดื่มน้ำมากๆ ไม่มีผลทำให้ตาบวมแต่อย่างใด


วิธีแก้ปัญหาอาการตาบวม

ถ้าอาการบวมเกิดจากภูมิแพ้ หรือการแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้ กรณีนี้แพทย์อาจให้ยาแก้แพ้คนไข้ไปรับประทานด้วย ส่วนอาการบวมจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจทำงานไม่เต็มที่ก็ต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ ปกติอาการตาบวมมักจะเป็น 2 ข้าง แต่ถ้าตาบวมข้างเดียวร่วมกับการอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นตากุ้งยิง

ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ประคบด้วยความเย็นเพื่อลดอาการตาบวม ด้วยการใช้เจลแช่เย็นประคบรอบดวงตา ซึ่งความเย็นจะดึงน้ำกลับเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้อาการบวมลดลง นอกจากนี้อาจแนะนำการนอน เช่น ไม่นอนหัวราบ เวลานอนควรหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปกติ

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่า ให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นๆ วางที่เปลือกตา หรือนำถุงชาที่ชงรับประทานแล้วไปแช่เย็นแล้วนำถุงชานั้นมาวางทาบบนเปลือกตา หรือ นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น มาวางทาบที่บริเวณดวงตานั้น รศ.นพ.ศักดิ์ชัย บอกว่า หลักสำคัญคือ เป็นการใช้ความเย็นลดอาการบวมจากเปลือกตานั่นเอง

สรุปว่าตาบวมนอกจากจะเป็นธรรมชาติของแต่ละคนแล้ว อาจเกิดจากภูมิแพ้ ไตหรือหัวใจทำงานผิดปกติก็ได้ ดังนั้นหากใครที่มีอาการตาบวมเป็นประจำไม่ควรนิ่งนอนใจควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง จะได้รักษาตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 25 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
27-12-2011, 07:15
จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 2)


ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "มียีนแฝง (เป็นพาหะ)" หรือเป็น “โรคธาลัสซีเมีย”

1. การซักประวัติครอบครัว

2. การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือด ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพิเศษที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องโรคธาลัสซีเมีย

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มียีนส์แฝง (เป็นพาหะ) ของโรคธาลัสซีเมีย

ผู้ที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย มีโอกาสจะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกหลานได้ จึงควรวางแผนก่อนมีบุตรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นโรคนี้ ดังนั้น จึงควรพาคู่สมรสไปรับการตรวจเลือดก่อนจะมีบุตร ถ้าคู่สามีภรรยามียีนส์แฝงทั้งคู่ ไม่ได้มีข้อห้ามในการแต่งงานกันหรือมีบุตร คู่สมรสสามารถที่จะมีครอบครัวได้ตามปกติ แต่ก่อนตั้งครรภ์ ต้องทำการปรึกษาแพทย์ให้เรียบร้อย เพื่อทำการวินิจฉัยและคัดเลือกบุตรที่ความเป็นปกติมากที่สุด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย

สำหรับผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียแล้ว การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ซีดมาก อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย หัวใจทำงานหนัก เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ม้ามโต และการดูแลรักษาสามารถทำได้โดยการรับเลือดเมื่อมีอาการซีดมาก และใช้ยาขับเหล็กในกรณีที่เหล็กในเม็ดเลือดแดงแตกออกมามีปริมาณมากและจับกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของธาลัสซีเมียที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย การรักษาให้หายขาดทำได้วิธีเดียว คือ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ในกรณีนี้ควรทำในผู้ป่วยที่อายุยังน้อย

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย

1.ควรรับประทานผักสด ไข นม หรือนมถั่วเหลืองเป็นประจำ

2.ดื่มน้ำชาหลังอาหารเพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก

3.ควรตรวจฟันทุก 6 เดือนเนื่องจากฟันจะผุง่าย

4.งดการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา

5.หลีกเลี่ยงการทำงานหนักและการเล่นกีฬาที่รุนแรง

6.ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวารุนแรง มีไข้และเหลืองมากขึ้น อาจเกิดจากถุงน้ำดีอักเสบ ควรรีบพบแพทย์

7.ในรายที่ตัดม้ามแล้วจะมีการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีไข้สูงต้องทานยาลดไข้และยาปฏิชีวนะทันที แล้วรีบพบแพทย์

ดังนั้น กล่าวโดยสรุป คือ เมื่อมีความเข้าใจเรื่องโรคธาลัสซีเมียเป็นอย่างดี การเป็นพาหะหรือเป็นโรคไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรืออันตรายอีกต่อไป ถ้ายังมีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ การขอรับคำปรึกษาทางพันธุกรรมจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญเป็นหนทางที่ดีที่สุด ความตระหนักในเรื่องการวางแผนครอบครัวของคู่สมรสที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคธาลัสซีเมียใหม่ในประชากรไทย และทำให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าต่อไป

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 26 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
27-12-2011, 07:18
ผิวคล้ำใช่ว่าจะรอด (ยูวี)

http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2011/12/26/images/news_img_426500_1.jpg

รังสียูวีจากแสงแดด ตัวการเร่งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวสาว แต่จะจริงแค่ไหนที่ว่า รังสียูวีแผลงฤทธิ์ทำร้ายสาวผิวขาวมากกว่าสาวผิวคล้ำ

รังสียูวีในแสงแดดแบ่งเป็น "ยูวีเอ" และ "ยูวีบี" โดยยูวีเอพบมากในแสงแดดช่วงเช้าและเย็น ส่วนยูวีบีจะพบมากในช่วงแดดจัดระหว่างวัน

รังสียูวีบีจะทำให้ผิวแสบร้อนและไหม้ เป็นรอยแดง ขณะที่ยูวีเอจะส่งผลต่อเม็ดสี (Pigmentation) เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง โรคแพ้แดด และอาจทำลายลึกถึงระดับดีเอ็นเอ

"40 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์มองเพียงแค่ยูวีบี เพราะเห็นผลที่เกิดกับผิวหนังได้ชัดและทันตา" โดมินิค โมยาล ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีและการปกป้องผิวจากแสงแดด ศูนย์วิจัยลอรีอัล ประเทศฝรั่งเศส และประธานคณะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากแสงแดด ของสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งภูมิภาคยุโรป กล่าว

ผลจากการวิจัยล่าสุดกลับชี้ชัดว่า รังสียูวีเอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีสัดส่วนในแสงแดดมีมากถึง 95% ให้ผลเสียต่อผิวหนังที่รุนแรง หยั่งรากลึกกว่ารังสียูวีบีหลายเท่า โดยจะทำร้ายเซลล์ผิวทีละน้อย อย่างสะสมไปเรื่อยๆ

ที่สำคัญ สำหรับคนผิวคล้ำ ที่มักคิดว่า แสงแดดและรังสียูวีที่ทำให้ผิวคล้ำ ไม่มีผลต่อพวกเธอนั้น คงต้องคิดใหม่ เพราะยิ่งผิวคล้ำ ความชะล่าใจที่จะอยู่กลางแดดมีมาก โอกาสที่รังสียูวีเอจะทำลายผิวให้เกิดร่องริ้วรอย ตลอดจนมะเร็งผิวหนังในระยะยาวย่อมมากตาม

"คนที่มีสีผิวคล้ำ จะมีเซลล์เม็ดสีเมลานินมาก ยูวีเอก็จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเหล่านั้นทำงานมากขึ้น ความคล้ำยิ่งมากและคงอยู่นานกว่าเดิม และยูวีเอยังทำลายภูมิคุ้มกันของผิว เพิ่มโอกาสให้แพ้แสงแดดอีกด้วย" ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญมีคำเตือนให้กับสาวเอเชียว่า โซนเอเชียมีรังสียูวีเอที่เข้มข้นกว่าโซนยุโรป 2 เท่าในช่วงฤดูหนาว และจะมากกว่าเป็น 4 เท่าในช่วงฤดูร้อน ดังนั้น สาวเอเชียจึงต้องการการปกป้องจากรังสียูวีเอมากกว่า

สำหรับการปกป้องผิวจากรังสียูวี ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเลือกอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกโดยอ่านข้อมูลจากฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ (SPF) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี ร่วมกับค่าพีพีดี (ppd) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ

การป้องกันรังสียูวี สัดส่วนระหว่างค่าพีพีดีและเอสพีเอฟต้องไม่ต่ำกว่า 1:3 เช่น หากครีมกันแดดเอสพีเอฟ 60 ต้องมีค่าพีพีดีไม่ต่ำกว่า 20

โดยทั่วไปผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ ยิ่งสูงยิ่งดี โดยไม่สนใจค่าพีพีดี ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

โมยาล อธิบายว่า มีการวิจัยทดสอบเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเท่ากัน 2 ชิ้น แต่ชิ้นแรกมีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ และชิ้นที่ 2 มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ นำไปทาบนผิว แล้วใช้แสงยูวีในความเข้มข้นระดับต่างๆ

ผลปรากฏชัดว่า ผิวที่ทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ ปรากฏรอยดำคล้ำได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ

"แม้ยูวีบีจะทำให้ผิวไหม้เป็นรอยแดงทันทีเมื่อสัมผัสแดดนาน แต่ยูวีเอสามารถแสดงผลทันทีเมื่อผิวสัมผัสรังสียูวีเป็นเวลา 1-1.30 ชั่วโมง โดยผิวจะคล้ำลงเพราะยูวีเอกระตุ้นการทำงานของเมลานินที่ทำให้เกิดสีผิวคล้ำลง และความคล้ำจากยูวีเอยังคงอยู่นานถึง 4-12 เดือน ขณะที่ผิวไหม้แดงจากยูวีบีคงอยู่เพียง 1-2 วันเท่านั้น"

ฉะนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด จึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรมระหว่างวันที่แตกต่างออกไป หากเป็นหน้าหนาวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดี 12-13 แต่หากเป็นหน้าร้อนต้องมีค่าพีพีดีอยู่ที่ 25-28 แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับแสงแดด ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีสูงที่สุดที่มีจำหน่ายอยู่คือ 42

"แม้จะอยู่ในอาคาร อาจจะเลี่ยงยูวีบีได้ แต่หากอยู่ใกล้กระจกหรือหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งขับรถ คงหนียูวีเอไม่พ้น เพราะรังสียูวีเอสามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ ดังนั้น การป้องกันผิวด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดจึงจำเป็น เพื่อผิวที่สดใส สุขภาพดี" คำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้เชี่ยวชาญด้านรังสียูวี




จาก ...................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 27 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
28-12-2011, 06:53
7 ข้อตีแตกทุกปัญหาสิว

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/4966.jpg

ข้อแรก หาสาเหตุของการเกิดสิวให้ได้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำตามวิธีการรักษาสิวที่คนอื่นใช้ได้ผลแต่วิธีนั้นกลับไม่ได้ผลกับเรา เพราะสิวที่เกิดจากต่างสาเหตุก็ต้องรักษาต่างวิธี เช่นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนสามารถรักษาได้ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก แต่หากเกิดสิวแบบเป็นตุ่มแดงและอักเสบ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาแรงขึ้น เช่น ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ ที่จะช่วยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง และละลายสิ่งสกปรกอุดตันตามรูขุมขนแต่ไม่ควรทายามากไปหรือโปะหนาๆ ลงบนบริเวณที่เป็นสิว เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้ง วิธีทายาที่จะช่วยรักษาสิวและไม่ทำร้ายผิวคือทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น

ข้อต่อมาคือ ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างฉลาก หากซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสิวเองโดยที่ไม่ได้ไปพบแพทย์ผิวหนังโดยตรง ต้องอดทนทำตามคำแนะนำข้างฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะอาจไม่เห็นผลทันทีที่ใช้เหมือนยารักษาสิวที่ออกให้โดยแพทย์ แต่จะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่วางขายตามเคาน์เตอร์จะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้ 6-8 สัปดาห์ หากเกินกว่านี้แล้วไม่เห็นผลจึงควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่

ข้อที่สาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้กับผิวหน้าหรือใกล้ๆผิวหน้าเป็นออยล์-ฟรีและนอน-คอมิโดเจนิคหรือไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งอาจเกิดเพราะการแต่งหน้าโดยใช้รองพื้นหนาๆ หรือกลบด้วยคอนซีลเลอร์มากๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมเช่น ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันก็อาจทำให้เกิดสิวได้ ดังนั้นจึงควรชโลมครีมลงบนปลายผมเท่านั้น

ข้อสี่ หากรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วไม่หายผลสักที ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพราะจะประหยัดเงินและเวลามากกว่า เนื่องจากแพทย์จะวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องถึงสาเหตุแห่งการเกิดสิวและให้ตัวยาที่รักษาสิวได้อย่างตรงจุด รวมถึงให้คำแนะนำในการใช้ยาที่ไม่ทำร้ายผิวด้วย

ข้อที่ห้า หากเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ซึ่งสังเกตง่ายๆ คือมักเป็นสิวช่วงมีประจำเดือน สามารถรักษาได้โดยการทานยาคุมกำเนิด หรือยาที่ควบคุมระดับฮอร์โมน แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

ข้อหก สิวแบบซีสติค ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงภายในมีหนอง และมักจะทิ้งรอยแผลเป็น หากรักษาแล้วไม่ได้ผลไม่ว่าจะทานยาแก้อักเสบหรือฉีดยา การทานโรแอคคิวเทน 6-8 สัปดาห์สามารถแก้ปัญหาสิวชนิดนี้ได้ แต่ควรทานภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด เพราะยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหรืออาจทำให้ทารกพิการได้ หากใช้ในหญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์

ข้อสุดท้าย ขจัดสิวบริเวณอกและแผ่นหลังด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายหรือครีมที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ แต่มีข้อเสียคือมักจะทำให้เสื้อผ้าเป็นรอยด่าง หรืออาจรักษาสิวบนใบหน้า แผ่นอกหรือหลังด้วยการทำเลเซอร์ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสิวได้ดี แต่ข้อเสียคือราคาแพง




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
28-12-2011, 06:56
หยุดไวรัสตับอักเสบบี ตรวจหาเชื้อฟรี-สกัดมะเร็ง

http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2011/12/hea01281254p1.jpg&width=360&height=360

ไวรัสตับอักเสบ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ

จากสถิติพบว่าทั่วโลกมีผู้เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังกว่า 350 ล้านคน และมีผู้ได้รับเชื้อชนิดนี้กว่า 2,000 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีผู้เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งมีสถิติพบว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ไม่ได้รับการรักษา 1 ล้านคนต่อปี

รศ.น.พ.ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย อธิบายว่า อาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ

1.ระยะเฉียบพลัน จะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อน เพลีย ปวดชายโครง ตาเหลือง โดยจะมีอาการประมาณ 6 เดือน

2.ระยะเรื้อรัง จะอ่อนเพลีย มีอาการต่อมน้ำลายโต และตับแข็ง ซึ่งแพทย์จะต้องตัดชิ้นเนื้อหรือเอกซเรย์ดู จึงจะทราบอาการและส่วนมากหากเป็นขั้นรุนแรงก็จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ 4-6 เดือน หากได้รับการรักษาส่วนมากจะเป็นอยู่ประมาณ 10-20 ปี หลังจากนั้นจะเข้าสู่อาการต่อไป คือ ตับแข็ง

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เรื้อรังให้หายขาด แต่มีการรักษา 2 แบบ ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้โรคเลวร้ายลงและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยลดปริมาณไวรัสให้ต่ำลงเพื่อไม่ให้ทำลายเซลล์

การติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากแม่สู่ลูก ไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่เป็นเพราะทารกได้รับเชื้อจากเลือดของมารดา ซึ่งปัจจุบันเด็กแรกเกิดจะได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้น ส่วนคนทั่วไปในปัจจุบันที่ไม่ได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ส่วนใหญ่จะไม่มีภูมิคุ้มกัน และจะได้รับเชื้อจากช่องทางการมีเพศสัมพันธ์

ที่น่าเป็นห่วง คือ ไวรัสตับอักเสบส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าถึงระยะรุนแรงแล้ว โดยผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีมีความ เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงถึงร้อยละ 80

การตรวจหาเชื้อ ถือเป็นมาตรการสำคัญ ที่จะทำให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้ จึงควรตรวจหาเชื้อว่า ติดเชื้อหรือไม่ แล้วรีบรักษา และควรตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันไปพร้อมกัน หากทราบว่า ไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ควรรับวัคซีนเพื่อป้องกันไปตลอดชีวิต

สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และมูลนิธิโรคตับ ได้จัดโครงการ "หยุดไวรัสตับอักเสบบี ต้านภัยมะเร็งตับ เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา" รณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนรู้วิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ถูกต้องเหมาะสม โดยในปี 2555 นี้จะจัดกิจกรรมตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีฟรี 8,400 ราย ทั่วประเทศ




จาก .................... ข่าวสด คอลัมน์ รายงานพิเศษ วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
28-12-2011, 06:57
แพทย์แนะกินปลา เพิ่มโอเมก้า 3

http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2011/12/27/5hhhk5d5a85b7i58kefbg.jpg

จากวิถีชีวิต ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่แสดงถึงความสงบสุขทั้งกายและใจ ที่สมัยนี้เริ่มเลือนหายไปตามนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาแทนที่ จึงเป็นสาเหตุที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบลคมอร์ส จากประเทศออสเตรเลีย จัดงาน "แบลคมอร์ส ฟู้ด ฟอร์ ทรู" เพื่อหวังส่งเสริมให้คนไทยเห็นประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในปลามากที่สุด โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบความจำและการเรียนรู้เป็นอย่างมาก

ภายในงานได้รับเกียรติจาก พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ว่า โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีสารอีพีเอ ที่ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองสะอาด เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองดี เซลล์สมองก็จะแข็งแรง และสารดีเอชเอ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมอง ถ้ารับประทานเข้าไปจะสามารถซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายได้ด้วย ทั้งนี้ สมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกา แนะนำให้รับประทานปลา สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะในปลาอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งคนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจควรได้รับโอเมก้า-3 ประมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจะต้องการปริมาณโอเมก้า-3 ที่มากกว่านั้น และอาจสูงถึง 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง

"นอกจากปลาทะเลที่ให้โอเมก้า-3 แล้วยังสามารถหาแหล่งโอเมก้า-3 ได้จากธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง เมล็ดถั่วต่างๆ พืชตระกูลน้ำเต้าได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับโอเมก้า-3 เพียงพอจากแหล่งอาหารข้างต้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอาจเป็นอีกตัวช่วยที่สะดวกขึ้น แต่ต้องเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ผ่านการตรวจสอบปริมาณสารปรอทและตะกั่วซึ่งมักปนเปื้อนได้ง่ายในน้ำมันปลาที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงควรระบุปริมาณอีพีเอและดีเอชเอที่ฉลากให้ชัดเจนด้วย" พญ.อรพิชญา ให้คำแนะนำ

คุณหมอยังเสริมอีกว่า ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และมีความหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารที่จำเป็น ใส่ใจกับการฝึกสมาธิ การคิดในแง่บวก และเมื่อเกิดความเครียดให้หันไปออกกำลังกาย เพียงแคนี้ก็จะมีสุขภาพที่ดีได้ง่ายๆ




จาก .................... คม ชัด ลึก วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
28-12-2011, 07:06
เตือนทุกบ้านรู้เท่าทัน 5 โรคที่มากับสายลมหนาว

http://pics.manager.co.th/Images/554000017422101.JPEG
ภาพประกอบจาก hometestingblog.testcountry.com

หนาวๆแบบนี้ นอกจากอากาศจะน่านอน และทำให้หลับสบายภายใต้ผ้านวมอุ่นๆกันแล้ว หากละเลยไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดี โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็มีสิทธิ์จะมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะโรคที่มากับฤดูหนาวซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพลูกน้อยได้

ในวันนี้ ทีมงาน Life & Family มีข้อมูลดีๆจากศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพมาเตือนให้ทุกบ้านที่มีลูกเล็ก และผู้สูงอายุได้รู้เท่าทันโรคที่มากับอากาศหนาว ๆ กัน ซึ่งมีอยู่ 5 โรคที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง ดังรายละเอียดต่อไปนี้


ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ ชื่อนี้ฟังแล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว มีอาการรุนแรงและมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีนั้นมีความรุนแรงน้อยและเกิดการระบาดเฉพาะในวงจำกัด สามารถติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม หรือหายใจรดกันในที่ที่มีคนอยู่แออัด

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่ระบาดได้ทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว โดยกลุ่มอายุที่พบการติดเชื้อมากที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 4 ปี และกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คือกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ดังนั้นบ้านที่มีเด็กเล็กในช่วงนี้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย รวมไปถึงผู้สูงอายุซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรงจึงถึงขั้นเสียชีวิตได้

สำหรับอาการของโรคจะรุนแรงและป่วยนานกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1 ถึง 4 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการ ที่พบบ่อยคือ ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก และอาจมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าป่วยอยู่นานอาจมีอาการไอเนื่องจากหลอดลมอักเสบ แต่โดยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติได้ภายใน 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่รายที่มีโรคแทรกซ้อนเช่นโรคปอดอักเสบก็อาจมีอาการรุนแรงจนทำอันต่อสุขภาพได้

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ มีแนวทางช่วยลดความเสี่ยงง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนที่ป่วยเป็นไข้หวัด

- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ

- หลีกเลี่ยงให้เด็กใช้มือสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่จำเป็น

- ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักอนามัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

- โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดจนกลุ่มเสี่ยงที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

หากบ้านไหนที่มีลูกเป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ มีหลักการดูแลเบื้องต้นดังต่อไปนี้

- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามตรากตรำงานหนัก หรือออกกำลังมากเกินไป

- ดูแลร่างกายให้อบอุ่นเสมอด้วยการสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่น หลีกเลี่ยงการถูกฝนหรืออยู่ในที่อากาศเย็น และไม่ควรอาบน้ำเย็น

- อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทได้ดี

- ควรดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายและช่วยลดไข้ รวมถึงช่วยทดแทนน้ำที่สูญเสียไปจากไข้สูง

- ควรรับประทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้

- ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

- เช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กเพราะไข้อาจกระตุ้นให้ชักได้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งเช็ดตัว

- สวมผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และหมั่นล้างมือให้สะอาด

- กลั้วคอบ่อยๆด้วยน้ำสะอาด

- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ภูมิต้านทานโรคน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกันอยู่


http://pics.manager.co.th/Images/554000017422102.JPEG

ไข้หวัดหมูไอโอวา เชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่

ไม่เพียงแต่ไข้หวัดใหญ่ในข้างต้นแล้ว "ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ S-OtrH3N2" เป็นอีกหนึ่งโรคที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ประเทศสหรัฐอเมริกา แจ้งเตือนทั่วโลกให้ระวัง เพราะสามารถติดต่อสู่คนได้ เนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 7 รายโดยพบที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย 3 ราย มลรัฐเมน 2 ราย และมลรัฐอินเดียนา 2 ราย ผู้ป่วยทุกรายเคยสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดหมูก่อนที่จะป่วย และเมื่อเดือนพฤศจิกายนพบเด็กที่ติดเชื้อเพิ่มอีก 3 รายที่มลรัฐไอโอวา โดยเด็กทั้งสามไม่เคยสัมผัสกับหมูมาก่อน จึงเป็นไปได้ว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ นอกจากนี้มีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวาเพิ่มขึ้น

สำหรับเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวา หรือไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรวมตัวของไวรัสไข้หวัดสองสายพันธุ์ คือสายพันธุ์ Influenza H3N2 ที่ทำให้เกิดโรคหวัดในหมู กับสายพันธุ์ Influenza H1N1 ที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ในคนและเคยแพร่ระบาดมาแล้วทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา จากการรวมตัวของไวรัสสองสายพันธุ์นี้ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่คือสายพันธุ์ S-OtrH3N2 ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคนี้มาก่อน ทำให้เสี่ยงที่จะป่วยจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้

โดยรายละเอียดอาการของเด็กทั้งสามคนที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวา มีดังนี้

รายที่ 1 เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาตลอด ไม่เคยมีโรคประจำตัว เริ่มมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่

รายที่ 2 เป็นเด็กผู้ชาย เริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่หลังจากที่เด็กรายที่ 1 ป่วยได้สองวัน

รายที่ 3 เป็นพี่ชายของเด็กรายที่ 2 เริ่มมีอาการหลังจากน้องชายป่วยได้หนึ่งวัน

โดยผลการตรวจเสมหะทั้งสามรายพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ S-OtrH3N2 เหมือนกัน

ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กกลุ่มนี้ติดเชื้อ น่าจะเกิดจากการที่เด็กทั้งสามคนเคยไปร่วมงานเลี้ยงเดียวกัน และอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่เด็กรายที่ 1 เริ่มมีอาการนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กทั้งสามคนรวมถึงสมาชิกทุกคนในครอบครัวไม่เคยมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับหมูมาก่อน จึงเป็นไปได้ว่าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้น่าจะแพร่ติดต่อจากคนสู่คนได้

อย่างไรก็ดี วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเด็กได้ แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อในผู้ใหญ่ได้บางส่วนเท่านั้น ขณะนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดหมูไอโอวา และกำลังผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสสายพันธุ์ S-OtrH3N2 นี้โดยตรง

แต่ที่น่าห่วงคือ เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ดื้อต่อยาต้านไวรัสที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หากสงสัยการติดเชื้อไข้หวัดหมูหรือไข้หวัดหมูไอโอวา ให้ส่งเสมหะตรวจเพื่อยืนยันสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และพิจารณารักษาด้วยยาโอเซลทามิเวียร์ตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษา และต้องรายงานจำนวนผู้ป่วยไปยังศูนย์ควบคุมโรคทุกราย นอกจากนี้ยังแนะนำให้ประชาชนที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดหมู เมื่อมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยยืนยันการติดเชื้อทุกราย

สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด รวมถึงเตรียมยาต้านไวรัสให้เพียงพอในกรณีที่เกิดการระบาด ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรตื่นตระหนก และลดความเสี่ยงด้วยการหลีกเลี่ยงให้ลูกเดินลุยน้ำหรือแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน และควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น รับประทานอาหารที่สุกสะอาด ล้างมือเป็นประจำก่อนที่จะรับประทานอาหาร ตามแนวทางป้องกันโรคด้วยวิธี “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อยู่เสมอ


โรคปอดบวม

หนาวๆแบบนี้ อีกหนึ่งโรคที่เด็กเป็นกันบ่อยคือ "ปอดบวม" หรือหรือโรคนิวโมเนีย เป็นโรคติดเชื้อที่ปอดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังเกิดจากการติดเชื้อโรคชนิดอื่นๆได้อีกด้วย เช่น เชื้อไมโคพลาสมา และเชื้อรา เมื่อปอดติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวมาที่เซลล์ปอด และเกิดปฏิกิริยาจากการทำลายเชื้อโรค ทำให้เซลล์ปอดบวมใหญ่ขึ้น

เมื่อเชื้อโรคถูกทำลายแล้วจะทำให้เกิดหนองหรือของเหลวท่วมขังอยู่ภายในถุงลมปอด ทำให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก และหอบเหนื่อย โรคนี้พบบ่อยช่วงระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาว หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนมีนาคม และจากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ.2544 ถึง พ.ศ. 2553 พบว่ามีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 4 ปี รองลงมาคือกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ดังนั้นเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

อาการของโรคปอดบวมนั้น จะพบอาการไข้ ไอ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจแรงจนรูจมูกบาน หรือหายใจแรงมากจนหน้าอกบุ๋ม และถ้าเกิดหลอดลมภายในปอดตีบก็อาจได้เกิดเสียงหายใจวี๊ด ส่วนรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจทำให้ภาวะหัวใจล้มเหลว และถ้าหายใจลำบากอยู่นาน จะทำให้ขาดออกซิเจน ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการหงุดหงิดง่าย หรือซึมลง หรือหมดสติในที่สุด

ทางที่ดี พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพาลูกไปยังสถานที่ที่มีคนมาก เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรนำเด็กเล็กไปในสถานที่ดังกล่าว หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น ไม่ควรให้เด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปีและผู้ที่สุขภาพไม่แข็งแรงไปอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ที่สำคัญควรไปปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับตัววัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค

(มีต่อ)

สายน้ำ
28-12-2011, 07:07
เตือนทุกบ้านรู้เท่าทัน 5 โรคที่มากับสายลมหนาว ....... (ต่อ)

http://pics.manager.co.th/Images/554000017422103.JPEG
ภาพประกอบจาก besteducationpossible.blogspot.com

โรคหัด

เป็นอีกโรคที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกันกับ "โรคหัด" เกิดจากเชื้อไวรัสรูบิโอลา ซึ่งพบมากในน้ำลายของผู้เป็นโรค ซึ่งติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วมากด้วยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือใช้สิ่งของร่วมกัน โรคหัดเกิดได้กับทุกอายุและพบบ่อยในเด็กที่อายุระหว่าง 2 ถึง 14 ปี และพบได้ตลอดปี ส่วนมากเกิดในช่วงฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูร้อน

สำหรับอาการ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคหัดเข้าไปประมาณ 7 วันจึงจะเริ่มมีอาการช่วงแรกคล้ายไข้หวัด และมีไข้สูงตลอดเวลา รับประทานยาลดไข้แล้วไข้ก็ไม่ลด อ่อนเพลีย ซึมลงหรือกระสับกระส่าย ร้องกวน เบื่ออาหาร น้ำมูกใส ไอแห้ง น้ำตาไหล ไม่สู้แสง หนังตาบวม บางรายอาจถ่ายเหลวบ่อยเหมือนท้องเดิน หรืออาจชักจากไข้ ต่อมาผื่นจะเริ่มขึ้น โดยลักษณะผื่นนั้น เป็นจุดแดงเล็กๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด และเริ่มเห็นผื่นขึ้นที่บริเวณตีนผมและซอกคอก่อนเป็นอันดับแรกแล้วลามไปตามใบหน้า ลำตัวและแขนขา ผิวหนังโดยรอบอาจเป็นสีแดงระเรื่อ บางครั้งอาจมีอาการคันเล็กน้อย ผื่นจะไม่จางหายไปทันทีแต่จะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 3 วันนับจากวันแรกที่ผื่นเริ่มขึ้น หลังจากผื่นจางลง มักเปลี่ยนเป็นสีคล้ำในช่วงแรก โรคหัดส่วนใหญ่หายได้เองและเกิดโรคแทรกซ้อนน้อย

แต่เมื่อเป็นแล้ว ควรรักษาและปฏิบัติตัวเหมือนโรคไข้หวัดทั่วไป คือ พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ ไม่อาบน้ำเย็น ควรกินยารักษาตามอาการ เช่นยาลดไข้ ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะในช่วงแรก เพราะถ้าแพ้ยาจะทำให้บอกความแตกต่างระหว่างผื่นแพ้ยากับผื่นโรคหัดได้ยาก ถ้ามีอาการไอ เสมหะเริ่มข้นหรือเขียว หรือหายใจมีเสียงวี๊ด (Wheeze) เนื่องจากหลอดลมตีบ ควรพบแพทย์


โรคไข้สุกใส

ปิดท้ายกันที่ "โรคอีสุกอีใส" หรือไข้สุกใส ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กเล็ก วัยรุ่น ไปจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยการระบาดมักพบในช่วงต้นปีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ วาริเซลลา หรือฮิวแมนเฮอร์ปี่ไวรัส ชนิดที่ 3 ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ไวรัสชนิดนี้ติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หรือการสัมผัสถูกตุ่มแผลสุกใสหรืองูสวัดโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น ที่นอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่เปื้อนตุ่มแผลของผู้ป่วย

สำหรับอาการในเบื้องต้น เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 20 วันจึงจะเริ่มมีอาการ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ต่อมาจึงเริ่มมีผื่นแดงที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังจากมีไข้ จะเป็นผื่นแดงราบก่อนแล้วจึงเปลี่ยนกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสอยู่ภายในและมีอาการคัน

โดยตุ่มน้ำใสนี้ มักเริ่มขึ้นที่หนังศีรษะตามไรผมก่อนแล้วจึงลามไปที่ใบหน้า แผ่นหลัง ลำตัว แขนและขา ทยอยขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน บางคนอาจมีตุ่มแผลขึ้นในช่องปาก ทำให้เจ็บคอ ลิ้นเปื่อย ปากเปื่อย อีกลักษณะที่สำคัญคือตุ่มนูนใสนี้มักจะไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย ดั้งนั้นจึงพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่นขึ้นเป็นตุ่มนูนใส หรือบางที่เป็นตุ่มหนอง หรือบางที่ผื่นสุกที่เริ่มตกสะเก็ด

เด็กที่เป็นโรคไข้สุกใสส่วนมากจะหายเองได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดโรคแทรกซ้อน และที่สำคัญ ไม่มียาต้านไวรัส ดังนั้นการดูแลรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอกินยาลดไข้เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามกินยาลดไข้ชนิดแอสไพริน เนื่องจากทำให้ตับอักเสบรุนแรงได้

นอกจากนั้นควรตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการแกะเกาตุ่มคันสุกใส เพราะนอกจากจะกลายเป็นแผลเป็นที่รักษายากแล้ว ยังทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในเล็บและผิวหนังจนเกิดโรคผิวหนังแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวอาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ เช่นที่ปอดจนเกิดฝีในปอดได้

อย่างไรก็ดี อาการไข้สุกใสจะค่อยๆทุเลาได้เองภายใน 1 ถึง 3 อาทิตย์ ในระยะนี้ให้ระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือ ติดเชื้อในสมอง ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหู หรือไอ หายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือ ตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) หรือ ปวดศีรษะมาก ซึมลง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาเพิ่มเติม

ในด้านของการป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงให้ลูกสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใสโดยตรง ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ ควรทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคสุกใส โดยสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 4 ถึง 6 ขวบ ปัจจุบันมีวัคซีนรวมของสุกใสและหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) ทำให้ถูกฉีดวัคซีนน้อยครั้งลง

รู้แบบนี้แล้ว เรามาป้องกันตัวเองและลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคภัยที่มากับสายลมหนาวกันดีกว่าครับ




จาก .................... ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ Life & Family วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ
02-01-2012, 08:23
12 วลีฮิต ติดปากหมอ ที่ต้องขอแปล

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/5512.jpg
คุณหมอพร้อมขยายความ วลียอดฮิตหมอใช้พูดกับคนไข้ ฟังแล้วอาจสับสน ขนหัวลุกกันเป็นแถว


สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับ ‘มุมสุขภาพ’ ครั้งแรกของปี พ.ศ.2555 นี้ พร้อมเรื่องราวสุขภาพน่ารู้ที่หลากหลายขึ้นกว่าเดิม ประเดิมตะลุยโรงหมอ กับ ‘นพ.กฤษดา ศิรามพุช’ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ร่วมไขความกระจ่างวลีฮิตๆที่คุณหมออาจทำให้คนไข้สับสน

นพ.กฤษดา เล่าว่า บุคคลแต่ละวิชาชีพมักจะมีลีลาการใช้ภาษาไทยที่เฉพาะตัว อย่างคำพูดของคุณหมอกับคนไข้มักมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ “สั้นๆ” แต่บางทีชวนให้คนไข้คิดไปไกล ดังที่เคยมีคนไข้ท่านหนึ่งไปตรวจมะเร็งปากมดลูกมาแล้วคุณหมอบอกว่าผลเป็น “เซลล์ผิดปกติ”…แค่นี้คนไข้ก็ขนหัวลุกแล้ว

เพราะคำอย่างนี้ในภาษาไทยเขาเรียกว่า “คำเปิด” ครับ คือความหมายกว้างมาก อย่างน้อยก็ 2 แง่ ผิดปกติแต่ไม่ใช่มะเร็ง กับผิดปกติแบบมะเร็ง หรืออย่างคนไข้ถูกบอกว่าพบ “เนื้องอก” พอบอกแล้วคุณหมอก็ไป ทิ้งหน้าที่กังวลไปทั้งวันให้กับคนไข้ที่ไม่ได้ความกระจ่าง จนบางครั้งร่ำๆจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

คนไข้บางท่านอาจคิดว่า เซลล์ผิดปกติหรือเนื้องอกก็เท่ากับ “มะเร็ง” แล้ว น้อยคนที่จะคิดว่า เซลล์ผิดปกติ คือ เซลล์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปจากการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งรักษาได้พอหายก็จะกลับมาเป็น “เซลล์ปกติ” ได้ในสามวันเจ็ดวัน

เพื่อป้องกันปรากฏการณ์ช็อค!!! เมื่อรับฟังคำพูดจากคุณหมอนั้น นพ.กฤษดา อยากขอนำคำพูดติดปากแบบ “หมอๆ” มาแปลให้ฟังกัน ซึ่งก็อาจไม่เป็นดังนั้นเสมอไป

เริ่มที่วลีว่า "ต้องผ่าตัด" เมื่อใดที่พูดถึงผ่าๆ เฉือนๆ ขอเตือนไว้ว่าให้ขอ “ความเห็นอื่น” จากผู้เชี่ยวชาญด้วยจะช่วยได้มาก หากไม่จำเป็นท่านก็ไม่ต้องเอาตัวไปรองเขียงให้เขาสับไม่ดีหรือ ความลับก็คือถ้าไปโรงพยาบาลเอกชนแล้วถูกพิพากษาให้ผ่า ขอให้ถนอมตัวไว้มาหาความเห็นกับหมอที่โรงพยาบาลรัฐอีกทีก็ดี

ต่อมา "เจ็บนิดเดียว" คำนี้สร้างความเสียวได้มาก เพราะถ้าหมอบอกว่าเจ็บนิดเดียวส่วนใหญ่จะเจ็บเยอะ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางท่านที่มีขีดความอดทนสูงก็อาจบอกว่าจริงแล้วไม่เจ็บเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าให้ดี ท่านก็ถามไปตรงๆเลยว่าถ้าเจ็บมากคุณหมอจะฉีดยาชาหรือดมยาสลบให้ไหม?

"โรคนี้ไม่หาย" คนป่วยไม่อยากได้ยินคำนี้จากปากหมอเป็นที่สุด ทั้งที่จริงคำนี้หมายความว่า ไม่หายแต่ดีเป็นปกติได้ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเองที่ไม่มีวันหายแต่ก็มีช่วง “อาการสงบ (Remission)” ที่คนไข้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรืออย่าง เบาหวาน, ความดันสูง และมะเร็ง ที่ไม่หายแต่ก็ต้องรักษาและคุมอาหาร อย่าไปคิดว่าอย่างไรก็ไม่หาย จะกินอะไรก็ได้ตามใจปาก มันจะทำให้ทั้งไม่หายและเพิ่มความทรมานขึ้นมาได้

"รอแป๊บเดียว" ตะเภาเดียวกับเจ็บนิดเดียวแหละครับให้รอแป๊บแต่นานเหมือนชั่วกัลป์ อย่าไปคิดเสมอว่าถ้าแป๊บเดียวของหมอจะสั้นเท่ากับเวลาเราทานข้าวกับแฟน ไม่เลย แป๊บเดียวในเคสผ่าตัดบางรายนานนับชั่วโมงหรือเป็นวัน ถ้าเป็นหมอที่นั่งตรวจก็ขึ้นกับชนิดโรคคนไข้ บอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลา 15 นาทีเท่ากันหมดเหมือนสั่งไก่ทอด

"ต้องใช้เวลา" ถ้าโดนคำนี้ก็ให้บวกเผื่อ(ใจ)ไว้ด้วย จะได้ไม่เครียดจนจิตตก เพราะบางโรคต้องรักษากันเป็นมหากาพย์ อย่างภูมิแพ้ที่เป็นโรครักษาไม่หาย แต่จะมีช่วงที่สบายดีเป็นปกติด้วย หรือว่าโรคผิวหนังบางอย่างก็กินเวลานานในการรักษา ถ้ากังวลใจจริงอาจถามให้คุณหมอช่วยประมาณเวลาให้ด้วยก็จะช่วยลดแรงกดดันได้

"เซลล์ผิดปกติ" ท่านที่ไปตรวจชิ้นเนื้อตามองคาพยพต่างๆ ทั้งเต้านม, เนื้องอก, ปากมดลูก ถ้าคุณหมอบอกผลมาว่า เซลล์ผิดปกติอย่าเพิ่งตกตื่นใจไปครับ แม้บางครั้ง worst case จะมีโอกาสเป็นเนื้อร้ายได้ แต่คำว่าเซลล์ผิดปกติก็แค่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมให้มั่นใจขึ้นเท่านั้นเอง

"โรคยังหาสาเหตุไม่ได้" มาจากภาษาฝรั่งว่า “Idiopathic” วลีนี้พบบ่อยเป็นข้อพิสูจน์ว่าใครว่าการแพทย์ฝรั่งเจริญที่สุด ท้าพิสูจน์ให้ไปเปิดตำราแพทย์หาสมุฏฐานแต่ละโรคเลยครับท่าน จะพบคำว่ายังหาสาเหตุไม่พบนี้จนลายตาเลย คุณหมอไทยเลยเคยชินนำมาใช้บ้างเผยแพร่ความไม่กระจ่างออกไปให้ฝรั่งบ้างไทยบ้างงงกัน ถ้าท่านได้ยินคำนี้ ก็ยังไม่ต้องหัวเสีย บางทีตัวท่านเองจะมีคำอธิบายได้ดีกว่า

"นอนโรงพยาบาล" ได้ยินคำนี้จากโรงพยาบาลเอกชนอย่าเพิ่งยิ้มกริ่มเตรียมนอนเสมอไป ถ้าท่านยังไม่อยากนอนหรือยังสงสัยก็ยังไม่ต้องนอน เพราะยุคนี้เป็นนิดหน่อยก็ “เชียร์” ให้นอนกันจัง คนไข้ที่น่าสงสารก็ไม่รู้เลยว่าเป็นการรับเชื้อแบบเน้นๆในการนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง เพราะโรงพยาบาลเขาฉลาด แต่งให้เหมือนโรงแรมแต่เรื่องเชื้อโรคภัยไข้เจ็บน่ามีมากกว่าอยู่แล้ว

"ไม่ร้อยเปอร์เซนต์" คุณหมอส่วนใหญ่ไม่ฟันธงครับเพราะไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซนต์ทางการแพทย์อยู่แล้ว ปาฏิหาริย์บางครั้งก็เกิดได้ คนที่นอนนิ่งเป็นอัมพาตยังกลับลุกขึ้นมาใหม่ได้เฉย ในทางตรงข้ามคนดีๆก็อาจฟุบไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นการได้ยินคุณหมอบอกว่า “คุณปกติ” ไม่ได้แปลว่า “สุขภาพดี”

"เป็นพันธุกรรม" คำที่ถูกใช้กับบางโรค เช่น ความผิดปกติแต่แรกเกิด, เบาหวาน, แพ้ภูมิตัวเอง, มะเร็ง คำนี้ถ้าท่านได้ยินเข้าอย่าเข้าใจผิดว่าพันธุ์เราไม่ดีหรือต้องมีพ่อแม่ปู่ย่าป่วยด้วยโรคเดียวกัน เพราะมันอาจหมายถึงได้ว่า อณูที่ผลิตเซลล์ในตัวเราไม่ดีเลยสร้างความผิดปกติขึ้นมาเวลาเรายิ่งโตขึ้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

"ทานยาให้ครบ" คำนี้มักใช้พูดกับยาประเภทฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะครับ คุณหมอพูดทีคุณเภสัชพูดอีกทีย้ำจนเข้าไปก้านสมอง เป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้วครับแต่ถ้าท่านทานแล้วเกิดอาการแพ้และไม่แน่ใจให้หยุดทานได้ แล้วรีบกลับมาถามหมอ อย่ารอทานจนครบ หรือแค่อาการไม่ดีขึ้นท่านก็กลับมาให้คุณหมอดูใหม่

และวลีสุดท้าย "อดอาหารก่อนเจาะเลือด" คำนี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่มักพูดก่อนถูกนัดเจาะเลือด หัวใจสำคัญคือไม่อยากให้น้ำตาล, ไขมันและสารในอาหารอื่นๆเข้าไปกวนเลือด แต่ไม่จำเป็นต้อง “งดน้ำเปล่า” ดื่มได้ถ้าเป็นการเจาะเลือดตรวจสุขภาพธรรมดา อย่าเป็นน้ำหวานก็แล้วกัน

ปัญหาสำคัญสุดที่น่าเห็นใจคนไข้คือ “ไม่กล้าถาม” ครับเพราะอาจเคยมีประสบการณ์โดนดุมา เมื่อความสงสัยมากเข้าก็ไปเปิดฉากถามเอากับคุณพยาบาล, คุณเภสัชกรและคนอื่นที่ไม่ใช่หมอ ดังนั้นสิ่งที่ผมคุยกับนิสิตเสมอก็คือคุณหมอต้องเป็น “นักสื่อสารมวลชน” กลายๆไปด้วย พูดยังไงไม่ให้คนไข้ป๊อด หรือคุยกับญาติอย่างไรด้วยภาษาง่ายๆ.




จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 2 มกราคม 2555

สายน้ำ
07-01-2012, 08:13
บำรุงให้ถูกหลักห่างไกล “สมองเสื่อม”

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/6356.jpg

คิดๆเท่าไรคิดไม่ออกสักที เชื่อว่าหลายคนเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ยามสมองมึนๆตื้อ คิดไม่ออก นั่นก็เพราะสมองขาดการบำรุงดูแลเอาใส่ใจนั่นเอง ทั้งที่ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าส่วนไหนๆ ด้วยเหตุนี้ ซาน โบเวอร์แมน นักโภชนาการที่ปรึกษาเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด จึงแนะเคล็ด (ไม่) ลับ บำรุงให้สมองแล่น แบบง่ายๆใกล้ตัวให้คงสมรรถภาพดีเยี่ยมแข็งแรงตลอดชั่วอายุ เอาฤกษ์เอาชัยรับปีใหม่กัน

“ผัก ผลไม้ ออกกำลังกาย ดีต่อความทรงจำ” สิ่งที่ดีต่อร่างกายคือ สิ่งที่ดีต่อสมองเช่นเดียวกัน อาหารที่ทำให้สมองแข็งแรง จึงเป็นอาหารชนิดเดียวกับกลุ่มอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและโรคเบาหวาน อาหารจำพวกนี้ได้แก่ ผักและผลไม้, “โฮลเกรน” ธัญพืชเต็มเมล็ดไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด, ไขมันดี และอาหารที่ให้โปรตีนแต่ไขมันต่ำ นอกจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะส่งเสริมให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

เติมพลังงานให้สมอง ด้วย “กลูโคส” ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากการย่อยของอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง การมีกลูโคสในเลือดปริมาณเหมาะสม มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างพลังงานแก่สมอง สังเกตได้จากการที่เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเวียนศีรษะ หากต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดตกฮวบลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบทำให้สมองไม่สามารถคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ ด้าน คาร์โบไฮเดรต ควรเลือกรับประทานชนิดดี พบในผัก, ผลไม้, ธัญพืชโฮลเกรน ถั่ว และน้ำตาลธรรมชาติในผลิตภัณฑ์นม ส่วนขนมหวานและลูกกวาด ไม่ใช่อาหารที่เสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้มีสุขภาพดี เพราะไม่มีวิตามิน, เกลือแร่ และสารอื่นๆ จากพืช

“ไขมันและกรดไขมัน” น้ำหนักของสมองประกอบด้วยไขมันร้อยละ 70 ล้วนถูกหุ้มด้วยปลอกที่เป็นไขมัน ดังนั้นร่างกายจึงต้องการไขมันดี เพื่อทำให้โครงสร้างของสมองแข็งแรง การบริโภคเนื้อปลาและอาหารเสริมพวกน้ำมันปลา ซึ่งเป็นแหล่งให้ “ดีเอชเอ” ดีที่สุดแหล่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ยังพบในถั่วล้วนอุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวและมีวิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ด้าน โปรตีน ก็เป็นอีกปัจจัย เนื่องจากกรดอะมิโนจากโปรตีน ถูกนำไปใช้สร้าง “สารสื่อประสาท” สารเคมีพิเศษที่เซลล์สมอง ใช้ในการรับและส่งสัญญาณต่างๆ พบได้ใน ถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา และถั่วเมล็ดแบน โปรตีนจากสัตว์ เช่น อาหารทะเล, เป็ด, ไก่, เนื้อไร้มัน และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ

การบริโภค ผักและผลไม้หลากสี ช่วยลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์จากอนุมูลอิสระต่อสมอง พร้อมยังเป็นแหล่งอุดมด้วยวิตามิน เกลือแร่ เช่น กรดโฟลิก ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ต้องมีปริมาณมากเพียงพอ เพื่อช่วยให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพ พบมากในผักใบเขียว อาทิ ผักขม ในสมุนไพรและเครื่องเทศ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการบริโภคอาหารแบบ “เมดิเตอร์เรเนียน” เน้นการกินผัก ผลไม้ อาหารทะเล ธัญพืชแบบโฮเกรน ถั่ว ไขมันดีหรือไขมันเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพสมองเป็นเพราะอาหารรูปแบบนี้ ช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ความดันโลหิต และปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ การมีน้ำหนักเกินมาตรฐานและโรคอ้วนที่พบในประชากรวัยกลางคน จะก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเป็นโรคสมองเสื่อม ความเสี่ยงดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามค่าของความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้น และระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดที่สูงขึ้น.





จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 7 มกราคม 2555

สายน้ำ
10-01-2012, 07:28
“เวียนศีรษะ” (Vertigo) (ตอน 1)


การเวียนศีรษะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก ส่วนใหญ่สาเหตุมักไม่ร้ายแรงแต่บางรายอาจจะเกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก บางรายอาจจะเป็นอาการของเนื้องอกในสมอง แพทย์ที่มีความชำนาญร่วมกับการตรวจด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถหาสาเหตุของการเวียนศีรษะได้

การเวียนศีรษะเป็นอาการที่ผู้ป่วยเห็นภาพรอบตัวเองหมุนไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางครั้งผู้ป่วยอาจจะรู้สึกว่าของรอบตัวเองหมุนเมื่อหลับตา ผู้ป่วยบางรายอาจจะใช้คำว่า “บ้านหมุน” “เป็นลม” “หน้ามืด” “วิงเวียน” “มึนศีรษะ” หรือ “ตาลาย”


ทำไมจึงเวียนศีรษะและอาการที่พบร่วม

หูซึ่งมี 3 ชั้น ชั้นในสุดมีอวัยวะสำหรับการทรงตัวเป็นท่อครึ่งวงกลม 3 ท่อ มีน้ำไหลเวียนภายใน เวลาน้ำเคลื่อนไหว จะมีการส่งสัญญาณประสาทไปที่ก้านสมอง สมองน้อย และลูกตา ถ้าการส่งสัญญาณไปสมองไม่เท่ากันด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม จะทำให้เกิดการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ผู้ป่วยมักจะมีการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำมูก น้ำตาไหล ความดันขึ้นสูง ใจสั่นและหน้าซีดร่วมด้วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหลับตาช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เห็นสิ่งแวดล้อมหมุน สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้


สาเหตุของการเวียนศีรษะที่พบบ่อย

1.โรคน้ำในหูหมุนไม่เท่ากัน หรือโรคบ้านหมุนเวลาเปลี่ยนท่าทาง (Benign paroxysmal position vertigo หรือ BPPV) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเวียนศีรษะ เกิดจากการที่ฝุ่นหินปูนขนาดเล็กมากๆ หลุดเข้าในท่อครึ่งวงกลม ทำให้เวลาหันศีรษะไปมาหรือล้มตัวนอนน้ำในท่อ 2 ข้างหมุนไม่เท่ากัน เกิดการเวียนศีรษะครั้งละไม่ถึงนาทีเป็นพักๆ เวลาเปลี่ยนท่าทาง

การรักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือ การหมุนศีรษะ 4 ทิศทางให้ฝุ่นหินปูนหลุดออกจากท่อวงกลม โดยวิธีของหมอเอปเลย์ (Epley’s maneuver) ได้ผลประมาณ 70% ในการรักษาครั้งแรก และเพิ่มเป็น 90% ในการรักษาครั้งที่สอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา

2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดได้จากโรคหลอดเลือดสมองทั้งชนิดสมองขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีเลือดออกในเนื้อสมองมักพบในผู้สูงอายุเกิน 50 ปี ถ้าร่วมกับการมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง (ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง และหัวใจเต้นพลิ้ว) มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงขึ้น

อาการเวียนศีรษะเป็นอยู่นานหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง อาจจะนานเป็นวันก็ได้ ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนท่าทาง และไม่เป็นพักๆ วินิจฉัยได้จากการถ่ายภาพสมองด้วยเครื่อง CT หรือ MRI การรักษาขึ้นกับสาเหตุว่าเป็นจากสมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง

ข้อมูลจากศูนย์สมองและไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 9 มกราคม 2555

สายน้ำ
11-01-2012, 08:33
“เวียนศีรษะ” (Vertigo) (ตอน 2)


3.เส้นประสาททรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis) เกิดจากเส้นประสาทสมองการทรงตัวอักเสบ ทำให้สัญญาณประมาณการทรงตัวจากท่อครึ่งวงกลมส่งไปสู่สมองสองข้างไม่เท่ากัน

การเวียนศีรษะมักเกิดขึ้นนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวันๆ บางรายอาจจะมีไข้ และอาจมีปัญหาการได้ยินหรือเสียงในหู พบในทุกอายุ ส่วนใหญ่มักเป็นวัยรุ่นถึงวัยกลางคน เชื่อว่าเป็นจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรงต่อเส้นประสาท หรือเป็นจากการที่แพ้ภูมิตัวเอง ส่วนใหญ่มักหายเอง โดยอาการค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ การใช้ยาสเตียรอยด์ระยะสั้นๆ อาจจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็ว

4.โรคน้ำคั่งในหู หรือ โรคมีเนียร์ (Menier’s disease) เกิดจากการที่มีน้ำในอวัยวะก้นหอย (cochlea) มากเกินไป มีอาการเวียนศีรษะเป็นพักๆ นานหลายนาทีหรืออาจจะเป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่ควรเกิน 1 วัน ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเวียนศีรษะทุก 2-3 วัน หรือทุกสัปดาห์ บางรายอาจจะห่างเป็นเดือน มีเสียงดังในหูข้างใดข้างหนึ่ง นานเข้าหูข้างที่มีปัญหาจะได้ยินน้อยลง มักเป็นเสียงต่ำและในที่สุดอาจไม่ได้ยินเลย สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด บางรายพบร่วมกับการติดเชื้อในหูส่วนกลางหรืออุบัติเหตุที่ศีรษะ เป็นหวัด คออักเสบ การใช้ยาแอสไพริน สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก พบว่าการรับประทานเค็มมากอาจจะกระตุ้นให้อาการเป็นมากขึ้นได้ การรักษาโรคนี้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้ ผู้ป่วยที่เวียนศีรษะมาก อาจจะต้องทำลายเซลล์รับความรู้สึกทรงตัวให้เสียไปโดยการฉีดยาเข้าหูหรือการผ่าตัด และการรักษาโดยกายภาพบำบัดเพื่อฝึกสมองให้เคยชินกับสภาพของหูชั้นในที่เสียไป


สาเหตุอื่นๆ ของการเวียนศีรษะที่พบได้ไม่บ่อย

โรคไมเกรน

โรคหลอดเลือดที่เลี้ยงเส้นประสาทการทรงตัวอุดตัน (Vestibular nerve ischemia)

โรคผนังระหว่างหูชั้นกลางและชั้นในบางกว่าปกติ (Superior canal dehiscence
syndrome)

โรคปลอกประสาทอักเสบของระบบประสาทส่วนกลาง (Multiple Sclerosis)

โรคสมองน้อยผื่นลงในช่องกระดูกต้นคอ (Arnold-Chiari malformation)

การเวียนศีรษะบ้านหมุนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิต จำเป็นต้องมีการหาสาเหตุที่ถูกต้องโดยแพทย์ผู้ชำนาญเพื่อการรักษาให้ถูกจุด ป้องกันการเป็นซ้ำหรือเกิดภาวะเรื้อรังซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก

ข้อมูลจากศูนย์สมองและไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 10 มกราคม 2555

สายชล
11-01-2012, 09:43
โอโฮ ! โรค Vertigo มีสาเหตุมากมายกว่าที่ได้เรียนรู้มา เป็นมากๆ ก็จะดำน้ำไม่ได้นะคะ ระวังๆกันหน่อย...:rolleyes:

สายน้ำ
12-01-2012, 08:05
“น้ำเลี้ยงข้อเข่า” สำคัญอย่างไร


ข้อเข่าของเรา มีลักษณะคล้ายกับข้อต่อ (Joint) ของเครื่องยนต์ ประกอบด้วย กระดูกผิวข้อ ซึ่งมีลักษณะเรียบลื่น เป็นมันวาว มีสี และลักษณะคล้ายกับผิวของงาช้าง ภายในมีส่วนสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ “น้ำเลี้ยงข้อ” มีลักษณะเป็นของเหลวใสอยู่ภายในช่องว่างของข้อเข่า มีลักษณะพิเศษ คือมีความเหนียว และยืดหยุ่นได้ เหมือนไข่ขาว ทำหน้าที่ช่วยลดหรือดูดซับแรงกระแทกต่อเข่า จะว่าไปแล้วทำหน้าที่คล้ายๆโช้กอัพ และช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทานของผิวข้อเหมือนกับน้ำมันหล่อลื่น หรือน้ำมันจาระบี

ลองคิดเล่นๆดูว่า เราใช้เครื่องยนต์ (ข้อเข่า) ของเราคู่นี้มาครึ่งชีวิตย่อมมีการสึกหรอ จากการศึกษาพบว่าเมื่อเราอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป น้ำเลี้ยงข้อเข่าจะมีปริมาณลดลง และเริ่มสูญเสียคุณสมบัติในการทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และการหล่อลื่น อันเนื่องมาจากสารตัวหนึ่งชื่อ ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic) ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำเลี้ยงข้อมีปริมาณลดลง.....ก่อให้เกิดการสัมผัส เสียดสีกันโดยตรงของกระดูกผิวข้อ เกิดเสียงดังเวลาขยับข้อเข่า โดยเฉพาะเวลาลุกขึ้นจากที่นั่ง หากปล่อยทิ้งไว้ กระดูกผิวข้อก็จะสึกกร่อนไปเรื่อยๆ จนผิวข้อบางลง มีอาการอักเสบ เจ็บบริเวณหัวเข่า โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสะบ้า (กระดูกรูปสามเหลี่ยมส่วนหน้าหัวเข่า) นานวันเข้าเกิดเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมตามมาในที่สุด

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า หากปล่อยให้ข้อเข่าเสื่อม จะมีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลของน้ำเลี้ยงข้อ จากภาวะความเป็นกลางไปเป็นภาวะความเป็นกรด (pH 7.4 – pH 6.85) ถ้าค่า pH ยิ่งต่ำจะแสดงถึงภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวเร่งการทำลายความสมบูรณ์ของผิวข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ภาวะข้อเสื่อมก็จะเป็นมาก และเป็นเร็วยิ่งขึ้น

ทุกคนคงไม่อยากให้ข้อเข่าเสื่อม ดังนั้นการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของข้อเข่าให้ถูกต้องแต่แรก จะช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าให้ทำหน้าที่รับใช้เราได้ยาวนานขึ้น คนที่มีน้ำหนักมากและมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 ถ้าควบคุมหรือลดน้ำหนักได้ ก็จะช่วยลดแรงกระแทกต่อผิวข้อ ทำให้อาการปวดเข่าหายไปได้ คนที่นั่งงอเข่าเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ ต้องฝึกเหยียดเข่าบ่อยๆ เพื่อลดแรงกดของกระดูกสะบ้ากับกระดูกปลายเข่า ร่วมกับการฝึกออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อรอบๆเข่าและต้นขา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อให้ทำงานแบ่งเบาภาระการทำงานของข้อต่อ

แต่ถ้าหากอยากป้องกันภาวะข้อเข่าเสื่อม หรือเริ่มเสื่อมไปบ้างแล้ว จะทำอย่างไร ในปัจจุบันมีวิธีเติมน้ำเลี้ยงข้อเข่า เพื่อทดแทนน้ำเลี้ยงข้อที่มีการลดลง โดยการนำน้ำเลี้ยงข้อสังเคราะห์ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำเลี้ยงข้อปกติ มาช่วยในการป้องกันและรักษา โดยการฉีดเข้าไปในข้อเข่าที่มีอาการ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ซึ่งมีผลการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะข้อที่เสื่อม จุดประสงค์เพื่อช่วยหล่อลื่นและกระตุ้นเซลล์เยื่อบุข้อให้ทำการสร้างน้ำเลี้ยงเข่าที่ปกติขึ้นมาทดแทน เป็นวิธีที่ปลอดภัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกให้น้ำเลี้ยงข้อเข่านี้กับผู้ที่ได้รับการรักษาโดยการรับประทานยา ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2 / http://www.phyathai.com





จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 11 มกราคม 2555

สายน้ำ
20-01-2012, 08:46
'กล้ามเนื้ออักเสบ' เกิดง่ายกว่าที่คิด!!!

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/8167.jpg
พบคนสองกลุ่มมักปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการอักเสบ แพทย์เผยสาเหตุใกล้ตัวทำให้เกิดอาการ พร้อมแนะเคล็ดลับสำคัญใช้รักษาเบื้องต้น

เกือบทุกคนต้องเคยเผชิญกับอาการปวด บวม เคล็ดขัดยอกของกล้ามเนื้อ ข้อและเส้นเอ็น ซึ่งพบเห็นได้ไม่ยาก โดยคนที่เป็นมักต้องอุทาน "โอ้ย..โอ้ย.." เพราะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขณะเปลี่ยนอิริยาบถ

ในกิจกรรมเสวนาปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยนูโรเฟนเจลนั้น ‘นายแพทย์พันธศักดิ์ ตันสกุล’ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ เผยสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อและเอ็นอักเสบว่า เกิดจากออกแรงกล้ามเนื้อเกินกำลังหรือออกแรงกล้ามเนื้อบริเวณเดิมติดต่อกันนานเกินไป หรือบาดเจ็บจากการยืดกล้ามเนื้อหรือเอ็นไปในทิศทางหรือระยะทางที่มากเกินไป

เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน, การเล่นกีฬาขณะร่างกายไม่ฟิตหรือเล่นอย่างหักโหมเกินไป, อิริยาบถในการเคลื่อนไหวไม่เหมาะสม, และการก้มหยิบหรือยกของผิดท่า

ทว่ามีอาการปวดหรืออักเสบกล้ามเนื้อย่างเฉียบพลัน คุณหมอพันธศักดิ์ แนะให้หยุดการออกแรงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆไปก่อน และใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบตรงตำแหน่งที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบภายใน 24 ชั่วโมงหลังมีการบาดเจ็บ รวมถึงอาจจะใช้ยาทาชนิดที่มีส่วนประกอบของยาลดการอักเสบ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการปวดและอักเสบกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน โดยไม่แนะนำให้ใช้ยาทาสูตรร้อน เนื่องจากจะยิ่งกระตุ้นอาการอักเสบให้รุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการอักเสบเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคน 2 กลุ่ม ซึ่งคุณหมอพันธศักดิ์บอกไว้ในคลิปเสริมบทความ รวมถึงลักษณะอาการปวดและการลุกลาม พร้อมแนะเคล็ดลับบรรเทาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อด้วยตนเอง.




จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 20 มกราคม 2555

สายน้ำ
21-01-2012, 06:48
ทำอย่างไร คนสายตาสั้น ยาว เอียง จะมองได้ชัดเจน


จาก ........................ ไทยรัฐ วันที่ 21 มกราคม 2555

สายน้ำ
21-01-2012, 06:52
ข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ “มะรุม” ลดน้ำตาล-คอเลสเตอรอลในเลือด

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943301.JPEG
ใบมะรุม

อาจารย์จุฬาฯ ทดสอบสารออกฤทธิ์ “มะรุม” เพื่อหาข้อมูลวิทยาศาสตร์หนุนสรรพคุณไพรไทย พบสารสกัดจากพืชชนิดนี้ช่วยยับยั้งการย่อยน้ำตาลเป็นแป้งในลำไส้เล็ก และยังขัดขวางการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย แต่ข้อมูลยังไม่แน่ชัดพอที่จะยืนยัน พร้อมหากใช้ยาแผนปัจจุบันควบคุมน้ำตาลให้ระวังในการใช้มะรุมเพราะระดับน้ำตาลในเลือดอาจต่ำเฉียบพลัน

ผศ.ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา อาจารย์ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาและวิจัยเรื่องฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลฟา-กลุโคซิเดสและกลไกการลดไขมันของสารสกัดใบมะรุม ด้วยเหตุผลว่าใบมะรุมเป้นสมุนไพรที่คนนิยมใช้มานาน และมีร้านค้านิยมนำใบมะรุมแห้งมาบรรจุเป็นแคปซูล และเชื่อกันว่ามีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต รักษามะเร็งและอีกหลายสรรพคุณ แต่ยังขาดข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนทราบถึงข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังในการใช้

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943302.JPEG
ใบมะรุมแห้ง

อาจารย์จากคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ ได้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของมะรุมในการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด โดยได้รับการสนับสนุนวิจัยจากมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งในเบื้องต้นพบข้อมุลงานวิจัยของต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดียที่เป็นแหล่งเพาะปลูกมะรุมมากที่สุด พบว่ามีงานวิจัยที่กล่าวถึงการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากมะรุมในการลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน ซึ่งหนูเบาหวานที่ได้รับสารสกัดจากใบมะรุม 1-2 เดือน มีระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ยังไม่มีผู้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของใบมะรุมมากนัก

ทาง ผศ.ดร.สิริชัยจึงได้ศึกษาในเรื่องกลไกการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากใบมะรุมเพิ่ม ซึ่งการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าสารสกัดจากใบมะรุมมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลในลำไลส้เล็ก ทำให้การย่อยแป้งเป็นน้ำตาลช้าลง จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลภายหลังรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าสารสกัดจากใบมะรุมมีฤทธิ์ในการขัดขวางการดูดซึมไขมันกลุ่มคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้คอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง

“งานวิจัยนี้นับเป็นก้าวแรกที่จะตอบได้ว่ากลไกในการออกฤทธิ์ของใมะรุมเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลที่มีนั้นยังไม่มากพอที่จะยืนยันได้แน่ชัดว่าสารสกัดจากใบมะรุมสามารถลดระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดในคนได้ รวมทั้งต้องศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องพิษหรืออาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งหากใช้ไปนานๆ บางคนอาจจะเกิดอาการแพ้หรือมีพิษเรื้อรังได้” ข้อมูลจากศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ระบุ

ขณะนี้งานวิจัยของ ผศ.ดร.สิริชัยอยู่ระหว่างการศึกษาในคนปกติ โดยใชสารสกัดจากใบมะรุมรูปแบบผงแห้งในรูปชาใบมะรุม และให้กลุ่มตัวอย่างดื่มประมาณ 1-2 แก้ว หลังรับประทานอาหาร เพื่อศึกษาว่าสามารถชะลอการย่อยแป้งและไขมันจากอาหารได้หรือไม่ และส่งผลต่อระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดอย่างไร ซึ่งในอนาคตจะได้ปรับปรุงสารสกัดใบมะรุมให้เหมาะแก่การรับประทาน ทั้งในด้านรสชาติ และรูปแบบโดยอาจจะมีการพัฒนาให้เป็นผงในการประกอบอาหาร เช่น เครื่องแกง ผงปรุงรส เป็นต้น หรือประยุกต์เป็นอาห่ารควบคุมน้ำหนักและอาหารควบคุมแคลอรีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943303.JPEG
ผงสกัดจากมะรุม (ภาพทั้งหมดจากศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ)

สำหรับข้อควรระวังในการรับปรัทานใบมะรุมแห้งนั้น ผศ.ดร.สิริชัย กล่าวว่า ควรพิจารณาตัวเองว่าเป็นผู้มีสุขภาพดีอยู่แล้วหรือไม่ หากใช่ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานใบมะรุมแห้งในปริมาณสูงเพื่อป้องกันโรค เพราะการรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้เป็นประจำก็ทำให้มีสุขภาพที่ดีเช่นกัน แต่หากต้องการใช้เป็นทางเลือกในการรักษาก็ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับใบมะรุมเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ เภสัชกร บคุลากรทางการแพทย์ ก่อนตัดสินใจใช้

“หากรับประทานในรูปแคปซูลแล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังรับประทาน คันตามผิวหนัง ร่างกายอ่อนเพลีย หรือพบน้ำหนักตัวลดลงในกรณีที่ใช้ต่อเนื่องยาวนาน มีอาการต่อเหลืองซึ่งอาจมาจากภาวะตับอักเสบ ต้องหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้มีไขมันในเลือดสูงที่รับประทานยาแผนปัจจุบันอยู่แล้ว ควรระมัดระวังในการใช้ใบมะรุม และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบมะรุมในปริมาณมากพร้อมกับยาแผนปัจจุบัน เพราะสารสกัดจากใบมะรุมอาจรบกวนการดูดซึมยาแผนปัจจุบัน หรืออาจเสริมฤทธิ์กับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดจนระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลัน” คำแนะนำจาก ผศ.ดร.สิริชัย




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 20 มกราคม 2555

สายชล
22-01-2012, 10:23
"นอนไม่หลับ" เป็นเรื่องธรรมดา และผลดีต่อ "สุขภาพจิต" เมื่อคุณ "อดนอน"


เดลิเมล์เปิดเผยผลวิจัยความจำเป็นในการนอนไม่หลับ ของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ว่า อาการนอนไม่หลับอาจเป็นสิ่งที่เราต้องการก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการนอนจะทำให้เราเก็บความทรงจำที่เจ็บปวดที่ทำให้เรารู้สึกผิด


จากการทดลองของนักวิจัยพบว่า คนที่ว้าวุ้นใจหรือบอบช้ำทางใจความรู้สึกเหล่านี้จะน้อยลง หากพวกเขายังคงตื่นอยู่หลังจากพบเหตุการณ์สะเทือนใจ


คำอธิบายจากนักประสาทวิทยากล่าวว่านี้เป็นวิวัฒนาการด้านความรู้สึกเพื่อให้บรรพบุรุษของเราดำรงอยู่ได้ โดยการจดจำสถานการณ์อันตรายได้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต


จากการทดลองชายและหญิงจำนวน 106 คน ของนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ โดยให้ทั้งหมดดูภาพสะเทือนอารมณ์ เช่นภาพเหตุการณ์ความรุนแรงอุบัติเหตุรถยนต์ และอื่นๆ และถามถึงความรู้สึกหลังจากดูภาพเหตุการเหล่านั้นภายในเวลา 1-9 นาที


หลังจากนั้นอีก 12 ชั่วโมง ได้ให้ผู้ถูกทดลองดูภาพชุดใหม่โดยมีภาพเก่าที่พวกเขาได้ดูก่อนหน้านี้ปะปนอยู่ และถามความรู้สึกหลังจากดูภาพทั้งหมดแล้ว


โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มในจำนวนคนเท่าๆกัน ซึ่งกลุ่มหนึ่งให้นอนตามปกติ อีกกลุ่มให้อดนอน แล้วจึงให้ทั้งสองกลุ่มดูภาพเดิมในตอนเช้าและตอนเย็น


พบว่าผู้ที่ได้นอนหลับจะมีความรู้สึกโศกเศร้าไม่ต่างจากครั้งแรกที่เห็น แต่ผู้ที่ไม่ได้นอนกลับมีความรู้สึกหม่นหมองใจน้อยกว่า


แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้นอนหลับหลังจากพบเรื่องเจ็บปวดหรือเรื่องทำลายจิตใจ จะจดจำความรู้สึกเจ็บปวดได้แม่นยำกว่าผู้ที่อดนอน


ดร.รีเบคก้า สเปนเซอร์ กล่าวว่า การนอนหลับไม่เพียงจะปกป้องความทรงจำเราเท่านั้น มันยังรักษาอารมณ์ที่เรามีระหว่างช่วงเวลาต่างๆไว้อีกด้วย


เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าการนอนไม่หลับเป็นสิ่งธรรมดาเมื่อเราต้องพบเจอกับความไม่สบายใจ เพราะสมองไม่ต้องการและอาจเป็นอาการสนองตอบทางชีวภาพที่ดี


ผลการวิจัยตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยา ว่าการจดจำเรื่องพวกนี้มีความสำคัญแก่ผู้ที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุหรืออาชญากรรม


แต่อย่างไรก็ตามทีมวิจัยเห็นว่าการนอนไม่หลับเป็นสิ่งจำเป็นที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความเจ็บปวดที่ได้เผชิญมา


ข้อมูลจาก...ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

สายน้ำ
27-01-2012, 08:14
แปรงฟันก่อนนอน ตื่นเช้าปากยังเหม็นเพราะอะไร

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/9463.jpg

ทันตแพทย์เผยสาเหตุมีกลิ่นปากหลังตื่นนอน ทั้งๆที่ก่อนเข้านอนไม่ลืมสีฟัน พร้อมเคล็ดลับ '3F' ดูแลช่องปาก

แม้ก่อนเข้านอนจะทำความสะอาดฟันและช่องปากอย่างเรียบร้อย แต่ทุกเช้าหลังตื่นกลับถูกทักท้วงจากคนที่นอนข้างกายว่า "คุณมีกลิ่นปากไม่พึงประสงค์ อย่าพูดอะไรจนกว่าจะไปแปรงฟัน"!!!

ปัญหาข้างต้น นอกจากจะสร้างความคับข้องใจ ยังทำให้ขาดความมั่นใจด้วย กรณีนี้ ทันตแพทย์หญิง นิราภร ชุติวงศ์ ไขความกระจ่างระหว่างร่วมงานแถลงข่าวแคมเปญ "เดนทิสเต้ แฮปปี้ คัปเปิ้ล สไมล์ ชวนคู่รักส่งยิ้มให้กัน" ว่า กลิ่นปากในตอนเช้า เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรคในช่องปากระหว่างที่เรากำลังหลับ ประกอบกับช่องปากที่หยุดนิ่ง และน้ำลายน้อยลง หรืออาจมีฟันผุ ปัญหาเหงือกอักเสบ ส่วนวิธีแก้ไขทำได้ด้วยการดื่มน้ำเปล่าก่อนเข้านอน และหลังตื่นนอน รวมทั้งแปรงฟันและขัดฟันให้สะอาด

นอกจากนี้ ทพญ.นิราภร ยังแนะนำเคล็ดลับรักษาสุขภาพช่องปากด้วยหลัก 3F ประกอบด้วย Floss- ขัดฟัน Food-อาหารที่ควรเลี่ยง และ Frequence-ความถี่ในการพบทันตแพทย์ ซึ่ง ทพญ.นิราภร ได้ขยายความให้กระจ่าง ทั้งปัญหากลิ่นปากหลังตื่นนอนและหลัก 3F ต้องทำอย่างไรไว้ในคลิปวิดีโอประกอบบทความสุขภาพชิ้นนี้.

SQNH8Ebov3s




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 27 มกราคม 2555

สายน้ำ
28-01-2012, 08:44
ข้อเท้าแพลง บทความที่นักกีฬาทุกคนต้องอ่าน (1)

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/9582.jpg

สัปดาห์นี้ คอลัมน์ “คุยกันวันเสาร์กับหมอไพศาล” ขอนำเสนอเรื่องราวที่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬา ถือเป็นเรื่องปกติที่ได้พบเห็นบ่อย รวมทั้งมีประสบการณ์ข้อเท้าแพลงด้วยตนเองมาแล้วในอดีต แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่นักกีฬาในระดับสุดยอดของประเทศ เช่น นักกีฬาทีมชาติในบางประเภทกีฬา ยังไม่มีความเข้าใจที่ถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ได้เกิดข้อเท้าแพลง ก็ไม่ได้มีการทำการป้องกันตามมาตรฐานที่ควรจะทำ ดังนั้นจึงนำมาซึ่งการบาดเจ็บ ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป ต้องเสียโอกาสของตนเอง หากเป็นตัวจริงของทีมที่จะลงสนามแสดงความสามารถ หรือเลวร้ายที่สุด ต้องผ่าตัดเย็บซ่อมเอ็นยึดข้อเท้า อาจต้องใช้เวลามากกว่า 4-5 เดือนขึ้นไปกว่าจะเริ่มลงมือซ่อมได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีกกับนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บนั้น ท่านลองนึกเอาเองดูก็แล้วกัน

สำหรับบทความใดที่นักกีฬาต้องอ่านเพราะเป็นประโยชน์ ผมจะขอใส่หมายเหตุต่อท้ายชื่อเรื่องไปเรื่อย ๆและกำกับด้วยเลขเอาไว้ เพราะผมทราบว่ามีนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย สนใจที่หาความรู้จากบทความของเดลินิวส์เป็นจำนวนมาก


ส่วนประกอบของข้อเท้า

ข้อเท้ามีกระดูก 3 ชิ้นหลักมาประกอบกันเป็นข้อเท้า จากส่วนล่างของกระดูกขาและหน้าแข้งลงมา คือกระดูกทิเบีย (TIBIA) ลงมาเป็นตาตุ่มด้านในและกระดูกฟิบูล่า (FIBULA) ลงมาเป็นตาตุ่มด้านนอก มาประกอบกันเป็นข้อต่อกับกระดูกทาลัส (TALUS) เป็นข้อเท้า (ANKLE JOINT) ดูภาพเอกซเรย์ประกอบและรอบ ๆ ข้อต่อทั้งด้านตาตุ่มในและตาตุ่มนอก จะมีเอ็น (LIGAMENT) ยึดกระดูกเหล่านี้ให้แข็งแรง ไม่หลุดออกจากกัน แต่ถ้าหากเกิดการพลิกเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เอ็นที่ยึดกระดูกเหล่านี้ จะมีการฉีกขาด (TEAR OF LIGAMENT) มีเลือดไหลออกมา เกิดอาการบวม ฟกช้ำ เจ็บปวดจนเดินไม่ปกติ ฉีกขาดมากบวมมาก ฉีกขาดน้อยบวมน้อย ใช้เวลารักษามากน้อยแตกต่างกันออกไป บางรายต้องเข้าเฝือก บางรายใช้เทปยึด บางรายต้องผ่าตัดเย็บซ่อมเอ็น


การรักษาเบื้องต้น ใช้หลักการของ R.I.C.E. ดังนี้

1. R = REST หยุดเล่นกีฬานั้น อย่าฝืนเล่นต่อไปถ้าหากมีอาการเจ็บปวด

2. I = ICE ใช้ความเย็นประคบตำแหน่งที่ปวด เพื่อให้เลือดออก หรือบวมน้อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ

3. C = COMPRESSION ใช้ผ้ายึดพันข้อเท้า เพื่อลดการออกของเลือด ลดความเจ็บปวดเวลาขยับข้อเท้า ทำให้เท้าบวมน้อยลง หายได้ไวขึ้น

4. E = Elevation ยกปลายเท้าให้สูงขึ้น วางบนหมอน เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดของเท้าดีขึ้น จะทำให้การบวมของเท้าลดน้อยลง

หากมีอาการรุนแรง ปวดมาก บวมมาก ฟกช้ำจนผิวหนังเขียวคล้ำมาก ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป


การป้องกัน (สำคัญมากๆ)

ตามที่ผมเกริ่นเอาไว้ว่า ข้อเท้าแพลงนั้นท่านสามารถป้องกันได้ แม้นว่าจะไม่ 100% แต่ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา วิธีการป้องกันก็คือการล็อกข้อเท้าด้วยเทป (ANKLE TAPING) ซึ่งต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ มีนักกีฬาชั้นนำระดับทีมชาติหลายท่าน ที่ทำการล็อกข้อเท้าด้วยวิธีของตนเอง ซึ่งเมื่อดูแล้วไม่เพียงพอที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้

ตามรูปที่แสดงไว้ เป็นเพียง 1 วิธีเท่านั้นที่ท่านอาจเลือกใช้ได้ โดยพันเทปรอบ ๆ ขา เหนือข้อเท้าประมาณ 3-4 นิ้วก่อน แล้วให้ข้อเท้าอยู่ในแนวตั้งฉาก พันเทปล็อกข้อเท้าให้อยู่ในตำแหน่งนี้ 1 ครั้ง ตามรูป แล้วทำตามรูป 1-5 ต่อไปใช้เทปล็อกข้อเท้าให้เหลื่อมกับเทปชุดแรกด้านหน้าครึ่งหนึ่งจนครบรอบ แล้วเหลื่อมเทปชุดแรกไปทางด้านหลังครึ่งหนึ่ง ก็จะได้การล็อกครบถ้วนรอบข้อเท้าพอดี

ผมไม่หวังว่าท่านผู้อ่านจะทำได้คล่องจากการอ่านและดูรูปจากบทความนี้เท่านั้น ผมต้องการเพียง 2 ประการ จากการที่ท่านได้อ่านบทความมาจนถึงตรงนี้ คือ

1.ท่านเห็นความสำคัญของการป้องกันข้อเท้าแพลง เพราะการบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลง ส่งผลเสียอย่างมากแก่ชีวิตการเล่นกีฬา

2. ท่านสนใจที่จะเริ่มล็อกข้อเท้าของท่านอย่างถูกวิธี โดยท่านสามารถสอบถามจากผู้รู้ที่อยู่ใกล้ตัวท่าน และฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัยก่อนการฝึกซ้อมและเล่นกีฬาที่ท่านชื่นชอบ.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 28 มกราคม 2555

สายน้ำ
29-01-2012, 08:47
"แมงมุม" กัดคนตายจริงหรือ? - คุณหมอขอบอก

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/9561.jpg

จากกรณีข่าวหนุ่มวัย 30 ปี เจ้าของร้านชำ ที่ จ.ภูเก็ต เสียชีวิต โดยภรรยาให้ข้อมูลว่าเห็นแมงมุมสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือเกาะอยู่ที่ตัวสามี หลังจากได้ยินเสียงร้องของสามีขณะกำลังอาบน้ำ แล้วบังเอิญที่ไหล่ขวาของผู้เสียชีวิตมีรูขนาดเล็ก 1 รูเหมือนถูกสัตว์บางอย่างกัด ทำให้ชาวภูเก็ตเกิดความกังวลกลัวว่าจะเป็นแมงมุมซึ่งมีพิษร้ายแรงกัดนั้น ข่าวดังกล่าวทำเอาหลายคนหวาดผวาแมงมุมไปตามๆกัน แต่ข้อเท็จจริงแล้วแมงมุมที่มีอยู่ในบ้านเรากัดคนแล้วทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่มาฟังคำตอบกัน

นายประสิทธิ์ วงษ์พรหม ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติศึกษาไทย ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับแมงมุม ให้ข้อมูลว่า ทั่วโลกมีแมงมุมไม่น้อยกว่า 4 หมื่นชนิด สำหรับประเทศไทยมีแมงมุมไม่น้อยกว่า 600 ชนิด ส่วนใหญ่มีพิษน้อยถึงปานกลาง คือ ถ้ากัดก็แค่เจ็บปวด ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต ทั้งนี้มีแมงมุมมีพิษที่รวบรวมได้มีประมาณ 17 ชนิดที่กัดคนแล้วทำให้อาการเจ็บปวด อาทิ แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล กลุ่มบึ้ง 9 ชนิด แมงมุมใยกลม แมงมุมใยทอง แมงมุมสวนท้องสามเหลี่ยม แมงมุมถุง เป็นต้น

ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการถูกแมงมุมกัด แต่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกบึ้งกัดประมาณ 7-8 รายเท่านั้น

โดยธรรมชาติของบึ้งจะอาศัยอยู่ในป่าธรรมชาติ คนที่โดนมันกัดส่วนใหญ่จะขุดจับมันมากินเป็นอาหารพอจับพลาดเลยทำให้ถูกกัด

บึ้งพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ตามป่าธรรมชาติ แต่ภาคที่นิยมนำมารับประทานคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกบางจังหวัด และภาคเหนือบางจังหวัด ส่วนภาคใต้นิยมกินไข่ของบึ้ง

เหตุผลที่คนนิยมกินบึ้ง คงเป็นเพราะมีโปรตีนสูง พอย่างกับไฟจะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ทำให้ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานกัน

สำหรับคนที่โดนบึ้งกัดจะมีอาการชาที่ปลายประสาท เสียวแปลบๆ แผลจะมีลักษณะคล้ำดำ ในบางรายแม้แผลจะหายแล้วแต่สีเนื้อบริเวณที่โดนกัดอาจมีสีคล้ำดำไม่จางหายไป

ข้อแนะนำสำหรับคนที่โดนบึ้งกัด คือ ควรไปพบแพทย์เพื่อเอาเขี้ยวมันออก เพราะเวลาบึ้งกัดจะปล่อยเขี้ยวไว้ เมื่อเอาเขี้ยวออกแล้ว จะทำความสะอาดแผลให้สะอาด บางรายอาจต้องฉีดยาแก้ปวด หรือฉีดยากันบาดทะยักร่วมด้วยแล้วแต่กรณี

สำหรับกรณีที่เป็นข่าว เมื่อยังไม่แน่ใจว่าโดนแมงมุมกัดจริงหรือไม่ ดังนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อว่าการเสียชีวิตเกิดจากแมงมุมกัด และไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแมงมุมทุกชนิดเพราะเราไม่รู้ว่าแมงมุมที่เราเจอนั้นมีพิษหรือไม่

เมื่อถามว่า คนที่โดนแมงมุมกัดจะแพ้จนหายใจไม่ออกเหมือนโดนต่อ ผึ้ง หรือ แตนต่อยหรือไม่? นายประสิทธิ์ กล่าวว่า คนที่เสียชีวิตจากการโดนต่อ ผึ้ง ต่อย เพราะมีอาการบวมรุนแรงและเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ แต่กรณีของแมงมุมกัดอาการจะไม่เหมือนกัน

สรุปว่า แมงมุมในบ้านเราพิษน้อยถึงปานกลาง กัดคนแล้วไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินเหตุ.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 29 มกราคม 2555

สายน้ำ
01-02-2012, 08:30
ผ่อนคลายสายตา แก้ปัญหาตาแห้ง ....................... โดย ผศ.พญ.สุมาลี หวังวีรวงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484904.JPEG

การผ่อนคลายสายตา เป็นการป้องกันโรคตาแห้งที่ได้ผลดี เพื่อให้ดวงตาสดใสอยู่เสมอ เรามีวิธีป้องกันตาแห้งและถนอมดวงตามาฝากค่ะ

น้ำตาของคนเรานั้น มีประโยชน์ในการช่วยเคลือบและคลุมผิวตาไม่ให้แห้ง หล่อลื่นดวงตาให้เกิดความสบายตา ลดการระคายเคืองทุกครั้งที่เรากะพริบตา และที่สำคัญคือ มีสารซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค หากน้ำตาน้อยจะทำให้เกิดภาวะตาแห้ง ส่งผลให้เกิดความไม่สบายตาและตามัว

อาการตาแห้งมีหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อย คือ มีการสร้างน้ำตาลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากขึ้น การรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด การใส่คอนแทกต์เลนส์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกวิธี ภูมิแพ้ที่ตาหนังตาหรือเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่เคยทำเลสิก ผ่าตัดตา ผู้มีปัญหาหลับตาไม่สนิท ตลอดจนช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้ง ลมแรง ดื่มน้ำน้อย การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็สามารถทำให้น้ำตาระเหยไปได้เช่นกัน

ดังนั้น การดูแลและป้องกันตาแห้ง ควรดูตามสาเหตุค่ะ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484901.JPEG
- หากต้องใช้สายตาหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ควรพักสายตาทุก 30-60 นาที ด้วยการหลับตา 1-2 นาที กะพริบตาบ่อยๆ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484902.JPEG
- ผู้ที่ใส่คอนแทกต์เลนส์ก็ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484903.JPEG
- ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่แก้แพ้เป็นประจำ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมช่วย ดื่มน้ำมากๆ

- หลีกเลี่ยงที่ที่มีลมแรง แต่ถ้าต้องอยู่ในที่ที่อากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมพัด ควรสวมแว่นเพื่อกันแดดและลมที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้งได้

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา พวกผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารทะเลที่มีกรดไขมันที่จำเป็น หรือโอเมก้า-3 จะช่วยให้น้ำตาระเหยช้าลง

อย่างไรก็ตาม เราควรทะนุถนอมดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะๆ ไม่ใช้สายตาติดต่อกันนานๆหลายชั่วโมง และกะพริบตาบ่อยๆ ให้มีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา เพราะถ้าเราปล่อยให้ตาแห้งมากๆ จะทำให้กระจกตาไม่เรียบใส ผิวกระจกตาอักเสบ จะทำให้มีอาการระคายเคืองและตาพร่ามัวได้ค่ะ




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
05-02-2012, 07:16
"เตรียมรับมือ....โรคกระดูกพรุนด้วยตัวท่านเอง"

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/10788/1.jpg

โรคกระดูกพรุนหรือ โรคกระดูกผุ, โปร่งบาง จัดเป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องเผชิญในอนาคตข้างหน้าไม่ว่าตัวเราเอง คนใกล้ตัว รวมถึง คุณพ่อ คุณแม่ พี่ป้าน้าอา อันเนื่องมาจากสังคมอนาคตจะเป็นสังคมของผู้สูงอายุหรือผู้มีอายุยืน โดยผู้ชายและผู้หญิงอายุเฉลี่ยประมาณ 70 และ 75 ปี ตามลำดับ ความสำคัญของโรคนี้ คือเป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด คนเป็นโรคไม่มีอาการปวด จึงทำให้ละเลย เพิกเฉยในการไปพบแพทย์เกิดอุปสรรคต่อการวินิจฉัยและทำการรักษา นานวันเข้ากระดูกที่พรุนนั้นมีความผุกร่อนรุนแรงมากขึ้น จนในที่สุดเกิดผลที่ทุกคนไม่อยากเจอ นั่นคือ “กระดูกหัก” ที่พบบ่อยได้แก่ การหักที่กระดูกสันหลัง ตะโพก และข้อมือ การหักที่ตะโพกค่อนข้างวิกฤติ เนื่องจาก

• ผู้ป่วยตะโพกหักไม่สามารถเดินหรือช่วยเหลือตนเองได้ การดูแลสุขอนามัยกระทำได้เฉพาะแต่บนเตียงนอนเท่านั้น ซึ่งยากลำบากมากแก่ผู้ดูแล

• ตัวเลขทางสถิติที่น่าตกใจพบว่าผู้ที่ตะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตถึง 1 ใน 5 นั่นคือ ผู้สูงอายุตะโพกหัก 5 คน 1 คนจะเสียชีวิต ภายในระยะ 1 ปี ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากโรคแทรกซ้อน อันได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดบวม แผลกดทับ เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น และมักมีโรคเดิมอยู่ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อมแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเสียชีวิต

• 1 ใน 2 ของผู้ป่วยจะไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนปกติ และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยเดิน เช่น ไม้ค้ำยัน ไม้เท้า เป็นต้น

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/10788.jpg

นอกจากนั้นยังต้องมีค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดและต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวมา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความสูญเสียจึงจำเป็นต้องมีการตรวจหาความเสี่ยงของการหัก นับเป็นข่าวดีที่การตรวจหาความเสี่ยงสามารถกระทำได้ง่ายดายเหมือนกับการเอกซเรย์ทรวงอก ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องตรวจเลือด เรียกการตรวจความหนาแน่นของกระดูกหรือการตรวจมวลกระดูก เพื่อเป็นการเอกซเรย์หาความแข็งแรงของกระดูก ภาษาแพทย์เรียก B.M.D. หรือ Bone Mineral Density เรียกสั้น ๆ ว่า Bone Density โดยค่าที่ตรวจพบสามารถบอกได้เลยว่ามีความสูญเสียของเนื้อกระดูกไปมากน้อยเพียงใดเป็นค่าร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ โดยที่ค่ามวลกระดูกน้อยกว่า หรือติดลบตั้งแต่ 2.5 จากค่ามาตรฐานลงไป บ่งบอกว่าเนื้อกระดูกหรือมวลกระดูกหายไปประมาณร้อยละ 30 อีกนัยหนึ่งเนื้อกระดูกจากเดิม 100 ส่วนเหลือเนื้อกระดูกเพียง 70 ส่วน จัดว่ามีภาวะกระดูกพรุนต้องให้การรักษา และการรักษาเพื่อให้กระดูกแข็งแรงไม่สามารถทำได้แบบทันทีทันใด ต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษาเพิ่มการสะสมของแร่ธาตุ แคลเซียม ฟอสเฟต ในเนื้อกระดูก และลดการทำลายหรือสูญสลายของกระดูกที่มากขึ้นตามอายุสูงวัย และกิจกรรมที่ถดถอยน้อยลง ดังนั้นหากพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วอย่าเพิ่งตกใจ สามารถทำการรักษาให้มีภาวะกระดูกหนาแน่นสมบูรณ์ได้อีกอย่างแน่นอน แต่ทว่า การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย แร่ธาตุ แคลเซียม หรือการรับประทานยาแคลเซียมเสริมในผู้สูงอายุที่มีกระดูกพรุนมักไม่เพียงพอ ต้องให้ยาเสริมการดูดซึมแคลเซียม เช่นวิตามินดี และยาช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก โดยให้ลดการสูญสลายเนื้อกระดูกร่วมกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยขึ้น

ส่วนยารักษาโรคกระดูกพรุนนั้นมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ฮอร์โมน เอสโตรเจน พาราไทรอยด์ แคลซิโตนิน วิตามินเค บิสฟอสโฟเนต เป็นต้น แต่กลุ่มหลักที่ใช้รักษา คือ บิสฟอสโฟเนต มีทั้งแบบรับประทานสัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง และปัจจุบันมีแบบฉีดปีละครั้งด้วย

- ยาชนิดรับประทาน เหมาะกับผู้ป่วยที่กินยาสม่ำเสมอ มีวินัย เพราะหากลืมกินยาจะทำให้ได้รับประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ผู้ป่วยบางรายกินบ้างลืมบ้างเพราะต้องทานยาหลายขนานรักษาหลายโรค อีกทั้งผู้ป่วยต้องสามารถนั่งหรือยืนตัวตรงได้อย่างน้อย - 1 ชม. เพื่อป้องกันผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร โดยมีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีระดับแคลเซียมในกระแสเลือดต่ำ

- ยาฉีดปีละครั้ง เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถนั่งหรือยืนตัวตรงได้นาน ๆ ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านความจำ หรือต้องรับประทานยาหลาย ๆชนิด เนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องปฏิกิริยาของยาต่างชนิดกัน ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยาฉีดปีละครั้งยังเป็นตัวยาเดียวในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต ที่มีการศึกษาถึงการลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยกระดูกตะโพกหักได้ถึง 28% ด้วย แต่มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยเด็ก สตรีมีครรภ์และผู้ให้นมบุตร รวมถึงผู้แพ้ยากลุ่มนี้กล่าวโดยสรุป โรคกระดูกพรุนนับเป็นภยันตรายที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่สามารถป้องกันและรักษาได้ โดยการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก ๆ

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันเอก นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี ศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... เดลินิวส์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
08-02-2012, 08:12
5 โรคอันตรายทำร้าย “ดวงตา”

http://pics.manager.co.th/Images/555000001833901.JPEG
รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หากพูดถึง “ดวงตา” คนส่วนใหญ่มักรู้จักเพียงหน้าที่ที่ใช้ในการมองเห็นเท่านั้น ทว่า น้อยคนนักที่จะรู้จักวิธีถนอมดวงตาอวัยวะอันสำคัญนี้ บางคนปล่อยปละละเลยจนสิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำร้ายดวงตา บางคนใช้งานจนลืมพักผ่อน ฯลฯ กระทั่งรู้ตัวอีกที สายตาคู่สำคัญก็เสื่อมสภาพไปแล้ว

รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัย จักษุแพทย์แห่งประเทศไทย หัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้ลำดับโรคที่สำคัญเกี่ยวกับดวงตาที่ต้องระวัง 5 โรค ประกอบด้วย
1.โรคต้อหิน
2.ต้อกระจก
3.กระจกตาติดเชื้อ
4.จอประสาทตาลอก และ
5.โรคตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์

http://pics.manager.co.th/Images/555000001833902.JPEG
ต้อหิน

1. โรคต้อหินนั้น ถือว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุของการตาบอดอันดับ 1 ในคนทั่วโลก สามารถเกิดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขั้นไป สาเหตุหลักมาจากการเกิดความดันในลูกตาสูงเกินไป ใช้ยาหยอดตาที่มีเสตียรอยด์ และบางรายเกิดจากกรรมพันธุ์ คือ มีญาติเป็นต้อหินมาก่อน ซึ่งหากเป็นแล้วแพทย์จะรักษาโดยการยิงเลเซอร์ และใช้ยาหยอดตาร่วม หากอาการรุนแรงก็จะใช้วิธีการผ่าตัด เพื่อเปิดทางระบายน้ำในตาให้ความดันตาลดลง เพื่อป้องกันตาบอด สำหรับวิธีป้องกันที่ดีที่สุดได้แก่การตรวจวัดความดันตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการซึ้อยาหยอดตามาใช้เองในกรณีเกิดอาการระคายเคืองลูกตา

2.สำหรับวัย 50 ขึ้นไป หากไม่มีประวัติการป่วยต้อหินแล้ว ก็ควรเฝ้าระวังโรคต้อกระจก เนื่องจากโรคนี้ถือได้ว่าเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะตามัวแบบถาวร เนื่องจากเลนส์ตาจะเสื่อมตาจึงพร่ามีหมอก มัวบริเวณตาดำ ซึ่งพบได้บ่อยในบุคคลที่ป่วยโรคเบาความ และความดัน การรักษาทำได้วิธีเดียวคือสลายเลนส์เสียทิ้งแล้วใส่แก้วตาเทียม เพื่อให้ดวงตาใสเป็นปกติ ซึ่งหากรักษาไม่ทันอาจเสี่ยงเกิดต้อหินแทรกซ้อนได้ วิธีการป้องกันต้อกระจกจะคล้ายๆกับต้อหิน คือ หลีกเลี่ยงการใช้ยาเสตียรอยด์ และต้องตรวจความดันตาปีละ 1-2 ครั้ง รวมทั้งป้องกันดวงตาไม่ไห้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงด้วย

http://pics.manager.co.th/Images/555000001833903.JPEG
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

3.ใช่ว่าวัยสูงอายุเท่านั้นที่จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับดวงตาแต่วัยรุ่นที่นิยมใช้คอนแทคเลนส์ทั้งแบบแฟชั่น หรือแบบใช้แก้ปัญหาสายตาสั้นก็เสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระจกตาติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งส่วนมากเกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด ฝุ่นเข้าตาบ่อย และการเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย เช่น การเกิดใบไม้ กระดาษบาดตา ทำให้ระคายเคือง แสบ และปวดเบ้าตา บางรายจะตาแฉะมีขี้ตาสีเขียวอม เหลือง เกิดขึ้นผิดปกติ หรือตาแดง หากเกิดอาการดังกล่าวหลายวันแนะนำว่าให้รีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัย และรับยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสม ก่อนที่เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราจะลามไปทำลายเนื้อเยื่อและประสาทตามากขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงตาบอดได้เช่นกัน

4.มาที่โรคจอประสาทตาลอก ซึ่งมักเกิดอาการตามัว พร่า คล้ายต้อกระจก พบมากในผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนกับดวง ตา หรือคนที่มีสายตาสั้นมากๆ ตั้งแต่ 500-600 ขึ้นไป อาการ เตือนของโรคคือ มองเห็นเหมือนจุดหรือหยากไย่ลอยไปมา หรือเห็นเป็นแสงเหมือนฟ้าผ่า หากพบว่ามีอาการเช่นนี้แสดงว่า น้ำวุ้นลูกตาแห้ง จากนั้นวุ้นลูกตาจะเสื่อมสภาพ หากมีบริเวณที่วุ้นติดกับจอประสาทตามากกว่าปกติจะส่งผลทำให้เกิดการดึงรั้งจอประสาทตาเวลาที่วุ้นตาหดตัวและดึงรั้งจอประสาทตา เมื่อมีอาการเช่นนี้ควรไปพบจักษุแพทย์ เพราะถ้าปล่อยไปเรื่อยๆประสิทธิภาพในการมองเห็นจะลดลง เพราะจะเริ่มมีม่านดำเป็นบางบริเวณและจะเริ่มมองไม่เห็นในที่สุด ส่วนการรักษาหากอาการยังอยู่ในช่วงเตือน รักษาได้โดยการฉายแสงเลเซอร์ แต่หากอาการถือขั้นมองไม่เห็น ก็รักษาด้วยการผ่าตัดให้กลับมามองเห็นเหมือนเดิมได้

http://pics.manager.co.th/Images/555000001833904.JPEG
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

5.ขณะที่เด็ก เยาวชน และวัยทำงานนั้น มักพบปัญหาดวงตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ เช่น อาการปวด เมื่อยดวงตา เบ้าตา เนื่องจากการเพ่งมองนานเกินไป นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์ที่พบในเด็กติดเกมและติดอินเทอร์เน็ตอีกอย่างที่สำคัญ คือ ภาวะสายตาสั้นเทียม อาการเริ่มจากการเมื่อยตา และตาพร่ามัว มองไม่ชัด อาการจะเกิดค้างนานเป็นวัน ดังนั้นข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์บ่อยๆ คือ การหยุดพักสายตาทุกๆ 30 นาที โดยพักนานประมาณ 4-5 นาทีและกระพริบตาให้สม่ำเสมอ ประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที เพื่อป้องกันภาวะตาแห้ง และจัดการสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น ใช้คอมพิวเตอร์ในที่ที่มีแสงไม่มืด หรือ สว่างจนเกินไป และพยายามหลักเลี่ยงพื้นที่ซึ่งลมโกรกแรง

“ปัจจุบันนี้แม้จะมีคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ผู้ผลิตพัฒนาหน้าจอที่ถนอมสายตาเป็นอย่างดีแล้ว แต่หลายคนก็เสพติดการใช้ จนมากเกินที่สายตาจะได้พัก ดังนั้นจึงควรใช้แต่พอดี เพื่อป้องกันผลกระทบอาจเกิดขึ้น อย่างน้อยสายตาก็จะมีประสิทธิภาพ ใช้งานได้ดีและยาวนาน” รศ.นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวย้ำ




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
08-02-2012, 08:29
10 อาการปกติที่ไม่ปกติก่อนหัวใจวาย ......................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001754901.JPEG

หัวใจของคนเราเป็นก้อนเนื้อเล็กๆที่ทำงานหนักตลอดชีวิต ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านงานวิจัยของสถาบัน National Institutes of Health (NIH) ของสหรัฐอเมริกา พบว่า 95 % ของผู้หญิงที่มีประวัติหัวใจวายมีอาการที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นก่อนการเกิดหัวใจวายหลายสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือน ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ใช่แค่การเจ็บหน้าอกอย่างที่เราเคยทราบกัน อยากให้มาดูอาการที่คาดไม่ถึงเหล่านี้กันว่ามันคืออะไร


1. อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อยากอาเจียน

เป็นที่ทราบกันดีว่า หากคุณมีอาการที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจวาย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง สูบบุหรี่ หรือครอบครัวมีประวัติโรคหัวใจ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเพื่อการป้องกันได้ทันท่วงที แต่หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง ตั้งแต่ปวดน้อยจนถึงปวดมาก ปวดหน่วง และอาเจียน บางคนมีอาการปวดมวนบริเวณเหนือสะดือ เราอาจไม่ทราบว่านี่เป็นอาการผิดปกติของโรคหัวใจด้วย จากการศึกษาพบว่าทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่อายุเกิน 60 ปีที่มีอาการเหล่านี้ก่อน และไม่ได้เฉลียวใจว่าจะนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้ เพราะอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนโดยปกติแล้วไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคหัวใจวาย แต่หากเราเฝ้าสังเกตอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิด อาการต่าง ๆ ที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่นปวดท้อง โดยไม่มีสาเหตุไม่ได้เป็นเพราะไวรัสลงกระเพาะ หรือทานอาหารเป็นพิษ แต่อาจเป็นเพราะอาการของโรคหัวใจกำลังคืบคลานเข้ามาก็เป็นได้


2. ปวดกราม หู คอ หรือไหล่

อาการปวดแปลบ และมีอาการชาที่บริเวณ อก บ่า และแขน นั่นเป็นอาการบ่งบอกอย่างหนึ่งของโรคหัวใจที่ชัดเจน แต่หากมีอาการปวดบริเวณกราม หู คอ ไหล่ หรือรู้สึกปวดร้าวจากบริเวณกรามมาถึงคอ และหู นั่นคืออาการหนึ่งที่คาดไม่ถึงของโรคหัวใจ คนไข้ที่เป็นผู้หญิงส่วนใหญ่รายงานว่าเคยมีอาการปวดบริเวณคอถึงหัวไหล่ อาการปวดเหล่านี้อาจเป็นๆหายๆ ทำให้มองข้ามอาการเหล่านี้ไป แต่หากเกิดอาการปวดคอวันหนึ่งและหายอีกวันหนึ่ง และปวดร้าวจาก กราม มาถึงหู และ คอ อีกวันหนึ่ง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที


3. มีอาการผิดปกติทางเพศ

ในผู้ชาย อวัยวะเพศอาจไม่แข็งตัว และไม่สามารถประกอบกิจทางเพศได้เหมือนคนปกติ ดูเหมือนว่าอาการแข็งตัวของอวัยวะเพศไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ แต่จากการศึกษาผู้ชายยุโรปที่มาเข้าบำบัดเรื่องเพศ พบว่า 2 ใน 3 ที่ไม่สามารถประกอบกิจทางเพศมีเพราะมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจด้วย


4. เหนื่อย อ่อนล้า ไม่มีแรง

อาการอ่อนเพลียต้องพักเอาแรงหลายๆวัน อาจเป็นอีกอาการที่เราคาดไม่ถึง โดยเฉพาะผู้หญิงพบว่ามีอาการเหล่านี้ก่อนมีอาการของโรคหัวใจ จากการศึกษาของ NIH พบว่าผู้หญิง มากกว่า 70% มีอาการ อิดโรย อ่อนเพลีย ไม่มีแรงก่อนเกิดอาการหัวใจวายเป็นเดือน หรือ 2 เดือน จริงอยู่ที่อาการเหนื่อยอ่อน ไม่มีกำลังเป็นอาการของคนปกติ แต่หากรู้สึกว่าจากคนที่เคยกระฉับกระเฉง แต่ต้องนอนอยู่บนเตียง เพราะเพลียหรือเหนื่อยอ่อนอย่างกะทันหัน ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน


5. เวียนศีรษะและหายใจไม่สะดวก

เมื่อหัวใจไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ ออกซิเจนไม่สามารถสูบฉีดโลหิตได้ จึงทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด ไม่ทั่วท้อง เหมือนเวลาอยู่ในที่สูงๆ อาจมีอาการปวดศีรษะหรือเวียนศีรษะร่วมอยู่ด้วยบ้าง เป็นที่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ระวังถึงอาการเหล่านี้เพราะคิดว่าเราใช้ปอดในการหายใจไม่ใช่หัวใจ จากการศึกษาของ NIH อีกเช่นกันพบว่า มีหลายคนบอกว่าในขณะที่ขึ้นบันได มีอาการหายใจไม่สะดวก เกิดขึ้นก่อนเกิดหัวใจวาย


6. ปวดขาหรือบวม

เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ โลหิตหรือน้ำจะไม่สามารถขับถ่ายได้เหมือนเดิมจึงเกิดอาการบวมน้ำขึ้น โดยปกติจะเริ่มจาก เท้า ข้อเท้า ขา เนื่องจากเป็นอวัยวะที่อยู่ห่างจากหัวใจ จึงมีการไหลเวียนไม่สะดวก การที่อวัยวะต่างๆมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการหลอดเลือดอุดตันขึ้น ดังนั้นหากเกิดอาการบวม หรือปวดขาควรปรึกษาแพทย์ด้วย


7. นอนไม่หลับ กระวนกระวาย หลับๆตื่นๆ

อาการแปลกประหลาดนี้อาจทำให้เป็นการยากสำหรับแพทย์ที่จะวินิจฉัย แต่คนที่มีอาการก่อนหัวใจวายอาจมีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่หลายสัปดาห์หรืออาจเป็นเดือนก็ได้ อาจเป็นการยากที่จะวินิจฉัยอาการนอนไม่หลับนี้สำหรับคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับอยู่แล้ว แต่หากเรามีอาการนอนไม่หลับ กระวนกระวายอย่างไม่ทราบสาเหตุควรปรึกษาแพทย์ด้วย


8. มีอาการเหมือนเป็น Flu หรือรู้สึกเหมือนเป็นหวัด

มีอาการเหงื่อออก ปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เหมือนเป็น Flu หรือไข้หวัด อาจเป็นอาการที่ยากจะอธิบายว่านี่เป็นอาการของโรคหัวใจ ให้ระวังอาการไอต่อเนื่องที่ไม่สามารถหายเองได้ด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพราะปอดไม่มีการไหลเวียนของโลหิตที่ดี


9. หัวใจและชีพจรเต้นเร็ว

อาการเล็กๆอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คืออาการที่หัวใจเต้นเร็ว คนไข้รายหนึ่งกล่าวว่ารู้สึกเหมือนวิ่งขึ้นภูเขา หัวใจต้องทำงานหนักและเต้นเร็วมาก อาจมีอาการเวียนหัว หรือไม่มีแรงร่วมด้วย


10. ไม่อยู่กับร่องกับรอย

อาการหัวใจวายในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป อาจมีอาการหลายอย่างแทรกซ้อนทำให้ยากแก่การวิเคราะห์โรค แต่สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจหรือคนใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เช่นจากคนที่แข็งแรง กระฉับกระเฉงกลายเป็นคนลืมง่าย คิดอ่านอะไรไม่คล่อง เหนื่อยง่าย ไม่เป็นตัวของตัวเอง อาจเป็นอาการหนึ่งของโรคหัวใจที่ไม่คาดคิดได้

อาการเหล่านี้เป็นอาการที่คาดไม่ถึง เราคงไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เพราะการแก้ไขได้ทันท่วงทีอาจทำให้เรารักษาคนที่เรารักไว้ได้ ดีกว่าสายเกินแก้ ดังนั้นจึงควรตรวจสุขภาพของตัวเราเอง และคนที่อยู่รอบข้างอย่างสม่ำเสมอนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ Life & Family วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
09-02-2012, 07:41
วิธีบรรเทาปวดศีรษะจากความเครียด

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/11625.jpg

“ปวดศีรษะจากความเครียด” มักพบในผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ คร่ำเคร่งกับการเรียน-ทำงานมากเกินไป ไม่ค่อยออกกำลังกาย เครียดง่าย รวมทั้งการนั่ง-ยืนผิดสุขลักษณะ โดยจะปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ และรอบศีรษะ บางคนอาจมีอาการปวดคอ และไหล่ร่วมด้วย อาการดังกล่าว แม้ยังสามารถปฏิบัติกิจวัตรได้ปกติ แต่สร้างความรำคาญ และบั่นทอนประสิทธิภาพการเรียนรู้ ซึ่งวิธีบรรเทาอาการข้างต้นทำได้ง่ายๆ เพียงปรับเปลี่ยนอิริยาบถ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว

เริ่มจาก “โต๊ะคอมพิวเตอร์ ควรเลือกระดับให้พอดีกับข้อศอก” โดยแขนท่อนปลายสามารถวางในแนวขนานกับพื้นได้ เพื่อกดแป้นคีย์บอร์ดอย่างถนัด ส่วนเก้าอี้ ควรปรับความสูงให้อยู่ในระดับที่สามารถวางเท้าราบกับพื้น อาจหาหมอนเล็กๆรองส่วนหลัง จะช่วยให้นั่งนานๆได้สบายขึ้น

“ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น” บริเวณขมับ และด้านหลังต้นคอ หรือ “นวดกล้ามเนื้อไหล่ทั้งซ้าย และขวา” โดยบีบเบาๆ สลับกับการนวดด้านหลังต้นคอ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนจากไหล่ไปต้นคอ และศรีษะสะดวกขึ้น

“พกน้ำดื่มประจำโต๊ะ” เนื่องจากภาวะร่างกายขาดน้ำ เป็นปัจจัยหนึ่งของอาการปวดศีรษะ ดังนั้น ลองสังเกตว่าในหนึ่งวันได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอแล้วหรือไม่

“สำรวจไฟในห้องเรียน-ทำงาน” ซึ่งแสงไฟที่ส่องสว่างน้อยนิด หรือ ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ต้องเพ่งสายตา และดวงตาต้องปรับม่านรับแสงตลอดเวลา จนก่อให้เกิดอาการแสบตา ปวดศรีษะได้

“ใช้กลิ่นจากธรรมชาติบำบัด” โดยกลิ่นลาเวนเดอร์ มะนาว และส้ม กระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาท ช่วยลดความตึงเครียด วิตกกังวลน้อยลง ทำให้รู้สึกสบาย

นอกจากนั้น ยังควรพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอร่วมด้วย เพื่อสุขภาพกายที่แข็งแรง และสุขภาพใจที่แจ่มใส.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
09-02-2012, 07:43
อย่าแค่กลัว-มัวฝืนทน ‘ข้อเข่าเสื่อม’ รักษาเร็วไม่เสี่ยงพิการ

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/11464.jpg

เป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกร่างกายมนุษย์เราส่วนที่เรียกว่าโครงกระดูกรยางค์ เป็นกระดูก “ข้อต่อ” ที่มีลักษณะ “คล้ายบานพับ” ทำให้กระดูกร่างกายเคลื่อนไหวได้ 2 ทิศทางคืองอและเหยียด...นี่เป็นลักษณะจำเพาะอย่างคร่าวๆของส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่เรียกว่า ’ข้อเข่า“ ซึ่งสำคัญต่อร่างกายไม่แพ้อวัยวะใดๆ

สำคัญต่อการทรงตัว ต่อการยืน ต่อการเดิน

หากข้อเข่าเกิดมีปัญหาก็จะเป็นเรื่องใหญ่!!

และปัญหาที่อาจเกิดกับข้อเข่าก็คือ กระดูกอ่อนผิวข้อต่อของเข่าสึกกร่อน ถูกทำลายจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน หรือจากอาการเสื่อมสภาพ หรือที่เรียกว่า ’โรคข้อเข่าเสื่อม“ ที่มิใช่เรื่องเล็กๆ อาจลุกลามบานปลายจนถึงขั้น “เดินไม่ได้!!”

จากการที่ปัจจุบันสังคมไทยกำลังจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุในจำนวนประชากรทั้งหมดนั้นมีจำนวนผู้สูงอายุในสัดส่วนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ส่งผลให้ตัวเลขคนไทยที่ป่วยด้วยโรคกระดูกและข้อ ซึ่งรวมถึง “ข้อเข่าเสื่อม” เพิ่มสูงขึ้น โดยย้อนไปเมื่อประมาณปีเศษๆ ทางกระทรวงสาธารณสุขเคยเปิดเผยไว้ว่า โรคกระดูก โดยเฉพาะโรคกระดูกพรุน และโรคข้อเสื่อม ที่รวมถึงข้อเข่าเสื่อม กำลังเป็น ’ภัยเงียบคุกคามคุณภาพชีวิตคนไทย“ ราว 7 ล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งสร้างความทรมาน เมื่อจะลุก นั่ง เดิน

ทางกระทรวงสาธารณสุขยังเคยระบุไว้ด้วยว่า...การเจ็บป่วยของคนไทยด้วยโรคในกลุ่มกระดูกและข้อนี้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานจากการเจ็บปวด โดยเฉพาะ “ข้อเข่าเสื่อม” ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะยิ่งเพิ่มระดับความอันตราย อาจลุกลามจนไม่สามารถลุกยืน ไม่สามารถเดินได้ด้วยตนเอง

ทั้งนี้ อาการที่เกิดขึ้นจากการที่ข้อเข่าเสื่อมนั้น ในผู้ป่วยส่วนใหญ่มักคล้ายกัน เช่น มีอาการเข่ายึด ฝืด งอลำบาก มีเสียงดังก๊อบแก๊บที่เข่าขณะเคลื่อนไหว ปวดที่ข้อเข่าหรือขาเวลาเดินหรือขึ้นลงบันได

ในบางรายจะปวดเจ็บแปลบที่ข้อเข่าเวลาเดิน แต่บางรายอาจมีอาการปวดข้อเข่าเวลานอน ส่วนบางรายจะมีปัญหาปวดข้อเข่าเวลาใส่ถุงเท้า รองเท้า หรือขณะลุกนั่ง ซึ่งผู้ป่วยบางรายที่ไปพบแพทย์หลังเกิดอาการปวดบวมอักเสบที่ข้อเข่า จะแทบไม่สามารถเดินได้ปกติแล้ว อาจต้องเดินโยกตัวเพื่อให้สามารถเคลื่อนไหวได้

“โรคข้อเข่าเสื่อม” แม้ส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ก็มิใช่ว่าจะเกิดได้เฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น ในกลุ่มคนวัยทำงานก็สามารถเกิดได้ และหากจะเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชายและหญิง ในปัจจุบันส่วนใหญ่ของผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมมักเป็นกลุ่มผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจเกิดได้จากรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลายที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น การเล่นกีฬาผิดท่า เดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆ มีน้ำหนักตัวมาก

เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้

และที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิง ก็คือการมีความอดทนสูงกับอาการปวด ยอมทนต่อความปวดและปล่อยไปเรื่อยๆ จนอาการถึงขั้นรุนแรงจึงยอมรักษา ซึ่งหากรักษาไม่ทันการณ์ อาจจะถึงขั้นเดินไม่ได้

กับเรื่องของ ’โรคข้อเข่าเสื่อม“ นี้ นพ.ประภัทร จารุมนพร ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อประจำศูนย์ผ่าตัดเปลี่ยนข้อ โรงพยาบาลสุขุมวิท ซึ่งมีประสบการณ์ผ่าตัดข้อเข่าผู้ป่วยมาแล้วกว่า 500 เข่า ให้ความรู้ความเข้าใจว่า...การที่ผู้ป่วยยอมทนอาการที่เกิดขึ้น ไม่ไปปรึกษาแพทย์หรือรับการรักษาจากแพทย์อย่างถูกวิธี ซึ่งอาจเพราะกลัวถูกผ่าตัด กังวลว่าจะเดินไม่ได้เป็นปกติหลังผ่าตัด นี่คือการเพิ่มปัญหา

’ปัญหาใหญ่ที่จะตามมาจากการทนคือ เดินไม่ได้เหมือนปกติ จึงไม่ควรปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญโรคนี้เป็นเวลานาน“...นพ.ประภัทร ระบุ พร้อมทั้งบอกว่า...วิธีรักษาโรคนี้มีทั้งการให้ยาแก้อักเสบ ฉีดยาเข้าข้อ ทำกายภาพบำบัด ผ่าตัด ซึ่งในส่วนของการใช้ยา บางรายอาจแพ้ยา เกิดผลข้างเคียงของยา เช่นเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เกิดผื่นคัน อาจเสี่ยงต่อโรคไต ทางแพทย์ก็จะประเมินเพื่อเลือกใช้วิธีรักษาที่เหมาะสม

สำหรับวิธีผ่าตัด ปัจจุบันพัฒนาการทางการแพทย์และเทคโนโลยีก็ก้าวหน้ามาก กับโรคข้อเข่าเสื่อมนั้น จากเดิมที่การผ่าตัดข้อเข่าต้องเปิดแผลขนาด 15-20 ซม.ที่หัวเข่า ทำให้เสียเลือดมากและเจ็บมาก ฟื้นตัวได้ช้า ปัจจุบันมีการผ่าตัดโดยวิธี ผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery : MIS) ขนาดของแผลจะเพียง 8-10 ซม. แต่ก็ได้ผลดี ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อภายในมีน้อย เสียเลือดน้อย ไม่มีโรคแทรกซ้อน และฟื้นตัวได้เร็ว

’การที่ผู้ป่วยฝืนทนต่ออาการนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อรอบข้อเข่าลีบและกระดูกบาง ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในระยะที่ช้าเกินไปจะได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า”...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสุขุมวิท ให้ความรู้ทิ้งท้าย

’ข้อเข่าเสื่อม“ จะยิ่งอันตรายถ้าเอาแต่กลัว-มัวฝืนทน

โรคนี้ก็จำเป็นต้องรู้เท่าทัน-ต้องรีบรักษาให้ทันท่วงที

เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติดังเดิม!!!.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
09-02-2012, 07:46
รู้รักษา "ไทรอยด์เป็นพิษ” ปัญหาไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้เผยแพร่บทความเรื่องโรค “ไทรอยด์เป็นพิษ” ว่าอันตรายกว่าที่หลายคนเข้าใจ เพราะ “ไทรอยด์เป็นพิษ” เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น หรือเกิดจากร่างกายสร้างสารแอนติบอดี (antibody) ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้างฮอร์โมนมากขึ้น หรือเกิดจากต่อมไทรอยด์อักเสบ ทำให้มีการปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากกว่าปกติ หรือเกิดจากการได้รับฮอร์โมนไทรอยด์จากภายนอกเข้าสู่ร่างกายในขนาดที่มากเกินไป ซึ่งกรณีหลังนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์ เพื่อรักษาภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือใช้เพื่อการลดน้ำหนักตัวแบบไม่ถูกวิธี

ฮอร์โมนไทรอยด์เป็นฮอร์โมนสำคัญ ที่ช่วยควบคุมกระบวนการเผาผลาญและการใช้พลังงานต่างๆภายในร่างกาย ดังนั้นถ้าร่างกายมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์สูงขึ้น จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น เสมือนร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงแม้จะรับประทานอาหารได้ปริมาณเท่าเดิม หรือน้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้นแม้จะรับประทานอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น หงุดหงิดง่าย ตาโปน ผมร่วง ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก ถ่ายอุจจาระบ่อยขึ้น หรือบางครั้งอาจเกิดภาวะขาดประจำเดือน บางรายอาจสังเกตเห็นต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอด้านหน้ามีขนาดโตขึ้น หรืออาจมีอาการขาสองข้างอ่อนแรงจนถึงขั้นยกขาหรือยืนไม่ได้ สำหรับอาการขาอ่อนแรงนั้นพบได้ไม่บ่อย แต่อาจเป็นอาการแรกสุดที่เกิดขึ้นได้ และมักเกิดกับเพศชายมากกว่าเพศหญิง

โรคไทรอยด์เป็นพิษสามารถรักษาด้วยการรับประทานยา ประมาณ 12-24 เดือน ในกรณีของคุณปทุมวดี โสภาพรรณ ซึ่งทราบว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 แต่เนื่องจากเข้ารับการรักษาไม่สม่ำเสมอ จึงทำให้อาการกำเริบจนถึงขั้นเป็นพิษชนิดรุนแรง ส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวนอย่างมาก จนเกิดอาการทางระบบประสาท สับสน เพ้อ เห็นภาพหลอน จำใครไม่ได้ รวมทั้งอาการหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และหัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ ซึ่งถ้าอาการเป็นมากอาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้ นอกจากอาการดังกล่าวแล้ว ยังอาจพบอาการทางระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการดีซ่าน ตับอักเสบ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน การควบคุมอุณหภูมิร่างกายผิดปกติ ทำให้มีไข้สูง ชัก บางรายอาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้

โดยทั่วไปการรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดโรคดังกล่าวข้างต้น กรณีที่เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานผลิตฮอร์โมนออกมามากเกินไป มักมีอาการผิดปกติมานานหลายเดือน หรือบางครั้งอาจเป็นปี การรักษาหลักๆ ทำได้ 3 วิธี คือ
1.การใช้ยาชนิดรับประทาน เพื่อควบคุมการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ให้ปกติ
2.การกลืนแร่รังสีไอโอดีน และ
3.การผ่าตัดต่อมไทรอยด์

การให้ยาชนิดรับประทานเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมนไทรอยด์เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เหมาะกับผู้ป่วยอายุน้อย อาการไม่มากและเป็นมาไม่นาน หรือต่อมไทรอยด์โตไม่มาก โดยต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 12-24 เดือน ระหว่างการรักษาจะต้องมีการตรวจเลือดประเมินผลการรักษาเป็นระยะทุก 6-8 สัปดาห์ เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะ 6 เดือนแรกของการรักษา ส่วนการกลืนแร่รังสีไอโอดีนจะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการมาก ต่อมไทรอยด์โต หรือรักษาด้วยวิธีรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีโรคอื่นๆร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจ ส่วนการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์นั้น ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ยกเว้นกรณีต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมากจนกดเบียดหลอดลมหรืออวัยวะข้างเคียง

สำหรับโรคไทรอยด์เป็นพิษที่เกิดจากการอักเสบของต่อมไทรอยด์ จนทำให้มีการปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากผิดปกติ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ต่อมไทรอยด์อักเสบนั้น มักเกิดตามหลังจากการติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ หรือการรับประทานยาบางประเภท เช่น ยารักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือจากการที่ร่างกายสร้างสารแอนติบอดีบางชนิด แล้วทำปฏิกิริยากับต่อมไทรอยด์จนกระทั่งต่อมไทรอยด์อักเสบ การรักษาโรคไทรอยด์จากสาเหตุต่างๆ ในกลุ่มนี้จะเป็นการรักษาตามอาการ เช่น การใช้ยาลดอาการใจสั่นถ้ามีอาการใจสั่นมาก หรือการใช้ยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ สำหรับกรณีที่มีอาการปวดบริเวณต่อมไทรอยด์

แม้โรคไทรอยด์เป็นพิษจะเป็นโรคที่น่ากลัว อีกทั้งวินิจฉัยได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะถ้าอาการแสดงไม่ชัดเจน เช่น ต่อมไทรอยด์ไม่โต ตาไม่โปนจนผิดสังเกต หรือบางครั้งอาการของโรคนี้อาจแฝงมากับอาการของระบบอื่นๆ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว ดีซ่าน กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือแม้แต่อาการทางจิต ซึ่งอาการเหล่านี้อาจทำให้แพทย์ไม่คิดว่าเกิดจากโรคไทรอยด์เป็นพิษ จึงทำให้การวินิจฉัยโรคนี้ยากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามโรคไทรอยด์เป็นพิษเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ดังนั้นการเป็นคนช่างสังเกตและใส่ใจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ รับรองว่า “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” ก็จะไม่ใช่โรคที่น่ากลัวอย่างที่คิดอีกต่อไป.




จาก ...................... ไทยโพสต์ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
12-02-2012, 07:54
"ปวดศีรษะที่พบบ่อย - เครียดและไมเกรน" .................... โดย นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/12027.jpg

เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการ “ปวดศีรษะ” นับเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เราได้บ่อยที่สุด และในขณะเดียวกันก็สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ที่เป็นได้มากด้วยเช่นกัน อาการปวดศีรษะเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในสมองของผู้ป่วย และปัจจัยภายนอก แต่ละส่วนยังสามารถแยกออกเป็นโรคได้อีกหลายชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการดูแลสุขภาพ เราไปร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับอาการปวดศีรษะที่พบได้บ่อย และทางเลือกในการรักษาว่าสามารถทำได้ด้วยวิธีใดบ้าง พร้อมทั้งแนวทางในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะ มีลักษณะอาการที่แตกต่างกัน แนวทางการรักษาจึงสามารถจำแนกออกได้หลายส่วน ทั้งการรักษาด้วยยา การผ่าตัด และการรักษาโดยไม่ใช้ยา การพิจารณาวิธีในการรักษาแพทย์จะพิจารณาจากสาเหตุของการเกิดโรคและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละรายเป็นสำคัญ สำหรับสาเหตุของการปวดศีรษะที่เกี่ยวกับสมองและระบบประสาท สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

การปวดศีรษะที่มีสาเหตุจากในสมอง (ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเนื้อสมอง) เช่น เนื้องอกในสมอง เลือดออกในสมอง ความดันสมองเพิ่มผิดปกติ ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น โดยสามารถตรวจได้จากการตรวจร่างกายทางสมอง การซักประวัติผู้ป่วยรายละเอียดของการปวดศีรษะ ลักษณะการปวด ตำแหน่ง เวลาที่เกิดอาการ ระยะเวลาการปวด ความรุนแรง เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก และเมื่อพบข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนจะตรวจเพิ่มเติมด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging : MRI), การตรวจคอมพิวเตอร์สมอง (Computerized Tomography : CT Scan) หรือการเจาะหลังเพื่อหาสาเหตุของโรค

การปวดศีรษะแบบไม่พบสาเหตุชัดเจน โดยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ไมเกรน การปวดหัวจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว

ไมเกรน คือ โรคของระบบการรับความรู้สึกของเส้นเลือดไวผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดตุ๊บๆ ปวดศีรษะด้านใดด้านหนึ่ง ไมเกรนมีอาการเฉพาะตัวคือ ปวดตุ๊บๆ ปวดรุนแรง ปวดติดต่อกัน 4-72 ชม. ปวดข้างเดียว หรือย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่ง เป็นๆหายๆ ซึ่งไมเกรนจะมีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น รอบเดือน อาหารบางชนิดและอาจมีสัญญาณนำที่เรียกว่า “ออร่า”

การปวดหัวจากกล้ามเนื้อเกร็งตัว (Tension-type headache) จะมีอาการปวดเป็นประจำ ปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก ทั่วศีรษะ ปวดช่วงที่อากาศร้อน บ่ายๆเย็นๆ หลังจากทำงานมานานๆ สาเหตุของโรคเกิดจากการใช้สายตามาก นั่งทำงานนานๆ เครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

แนวทางการรักษา เมื่อตรวจวินิจฉัยและทราบสาเหตุของการปวดศีรษะแล้ว แพทย์จะพิจารณารักษาตามอาการ และสำหรับการรักษาการปวดศีรษะแบบไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การรักษาทางยา และการรักษาโดยไม่ใช้ยา มีดังนี้

-การทำกายภาพบำบัด สำหรับหลักการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดกับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการปวดคอ เพื่อช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อต้นคอ เพราะโดยปกติผู้ที่ปวดศีรษะบ่อย ๆ จะมีอาการปวดต้นคอทั้ง 2 ข้างร่วมด้วย โดยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่ให้ความร้อน เช่น การประคบแผ่นร้อน การนวดด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ และการนวดด้วยมือตามตำแหน่งที่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อ และเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีการคลายตัวจะส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดคอและผลพลอยได้ที่จะตามมาคือ อาจทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาลง แต่ทั้งนี้ผลที่ได้จะขึ้นกับโรคของผู้ป่วยเป็นสำคัญ

สำหรับผู้ป่วยปวดศีรษะที่ไม่สามารถทำกายภาพบำบัดได้ คือ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบสมอง และประสาท เช่น โรคเนื้องอกในสมอง การติดเชื้อของน้ำไขสันหลัง เป็นต้น ดังนั้นกลุ่มผู้ป่วยที่แพทย์จะส่งต่อให้รักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดส่วนมากจะเป็นกลุ่มที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการปวดคอการประเมินอาการเพื่อการรักษาที่ตรงจุด

เพื่อให้การทำกายภาพบำบัดเกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยในแต่ละราย ขั้นตอนแรกในการรักษานักกายภาพบำบัดจะซักประวัติ ตรวจร่างกาย ประเมินอาการจากตำแหน่งของการปวด ลักษณะการเคลื่อนไหว อิริยาบถที่ทำให้เกิดอาการ และให้ทราบว่าอาการปวดคอมีความสัมพันธ์กับอาการปวดศีรษะอย่างไร เช่น มีอาการปวดศีรษะก่อนและจึงเกิดอาการปวดคอตามมา หรือมีอาการปวดคอขึ้นก่อนจึงค่อยมีการปวดศีรษะตามมา เป็นต้น เพื่อพิจารณาระยะของโรค ความรุนแรงและตำแหน่งของโรค ก่อนเลือกวิธีในการทำกายภาพบำบัดให้กับผู้ป่วยแต่ละราย ได้แก่

- แผ่นประคบร้อน (Hot Pack) เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ

- การรักษานวดด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound therapy) เป็นเครื่องรักษาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ใช้ลดอาการปวด ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อในชั้นลึก ลดอาการบวม และช่วยเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมทั้งคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ

- การทำจิตบำบัดและการโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่

สำหรับการรักษาผู้ที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ

1. การรักษาในระดับจิตรู้สำนึก Counseling หรือจิตบำบัด กรณีของผู้ที่ปวดศีรษะจากความเครียดด้วยปัญหาที่ระบุได้ชัดเจน เช่น ทำงานหนัก ปัญหาหนี้สิน ครอบครัว เรื่องส่วนตัว เรื่องสังคม เป็นต้น

2. การรักษาในระดับจิตใต้สำนึก ในกรณีของผู้ที่มีความฝังใจสะสมอยู่เดิม และส่งผลให้เกิดความเครียดในปัจจุบัน จึงต้องใช้วิธีการรักษาด้วยการสะกดจิตบำบัด (Hypnotherapy) เป็นลักษณะของการล้างใจ (Mental Detox) และสำหรับสะกดจิตบำบัดเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ที่ในปัจจุบันเรียกได้อีกชื่อว่า การโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ (Neuro - Linguistic Programming : NLP) ด้วยการเคลียร์ ล้าง และโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ให้กับผู้ที่มีความเครียด นอนไม่หลับเรื้อรัง กลัวเกินเหตุ อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายโดยไม่มีเหตุผล มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น ผู้ที่คิดลบกับตนเองตลอด ซึ่งการรักษาจะใช้ภาษาและดนตรีบำบัดเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะใช้เพลงที่มีท่วงทำนองเหมาะสมสื่อนำให้ผู้ป่วยเข้าสู่โหมดคลื่นสมองเทต้า (Theta Brainwave) เนื่องจากคลื่นสมองเทต้า เป็นภาวะที่มนุษย์เราจะอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธีการสะกดจิตบำบัด เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถดำเนินต่อไปสร้างผลดีให้กับชีวิต เพราะถ้าหากเกิดความเครียดในระดับจิตใต้สำนึกและไม่ได้รับการบำบัดที่ต้นตอ ปัญหานั้นอาจส่งผลมากกว่าแค่ความเครียด มีผลกระทบกับชีวิตเรื้อรังเป็นความกดดัน มีปัญหาสุขภาพ และทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ตามมาได้อีกด้วย การโปรแกรมจิตใต้สำนึกใหม่ นอกเหนือจากเพื่อบำบัดต้นตอของความเครียดที่ส่งผลกับปัญหาการปวดศีรษะแล้ว ยังสามารถทำเพื่อโปรแกรมชีวิตในมุมบวก ซึ่งจะมีผลอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น การพัฒนาศักยภาพการทำงาน, การสร้างความคิดให้เด็กรักในการเรียน

แนวทางในการรักษาผู้ที่มีอาการปวดศีรษะทั้งในระดับจิตรู้สำนึกและระดับจิตใต้สำนึก สามารถนำ ดนตรีบำบัด (Music Therapy) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาได้ โดยพิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ดนตรีบำบัด คือ การนำดนตรีหรือองค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรี มาประยุกต์ใช้เพื่อปรับพัฒนา รักษา ด้านจิตใจ อารมณ์ ที่มีหลักการและหลักเกณฑ์ในแต่ละโหมดของสภาวะทางจิตใจ กับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะจากความเครียดโดยไม่ต้องใช้ยา เพราะดนตรีก็เป็นเสมือนยาที่ได้จากการฟังเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันเราเลือกใช้ดนตรีบำบัดจากการฟังเพลงเพื่อรักษาผู้ป่วย เนื่องจากเป็นการบำบัดที่สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องใช้เครื่องดนตรี สามารถปฏิบัติได้ง่าย แค่คัดสรรให้คลื่นเสียงไปปรับคลื่นสมองให้สมดุล สำหรับคลื่นสมองของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

* คลื่นเบต้า (Beta Brainwave) อยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว แต่มีความเครียด หงุดหงิด

*คลื่นอัลฟ่า (Alpha Brainwave) คืออยู่ในภาวะที่รู้สึกตัว ผ่อนคลาย สบายใจ เช่น ช่วงที่สวดมนต์ นั่งสมาธิ

* คลื่นเทต้า (Theta Brainwave) เป็นช่วงที่อยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เช่น เวลาที่นอนหลับไม่สนิทและฝัน ขณะขับรถและมีหลับใน เป็นต้น

* คลื่นเดลต้า (Delta Brainwave) เป็นคลื่นสมองที่ช้าที่สุด เกิดขึ้นในขณะนอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลับลึกโดยไม่มีความฝัน

เพลงที่นำมาใช้ส่วนใหญ่จะเป็นไปเพื่อให้เกิดความผ่อนคลายและเพื่อให้นอนหลับได้สนิท แต่สิ่งสำคัญที่สุดของดนตรีบำบัดด้วยการฟังเพลง คือ การเลือกแนวเพลงจะต้องได้รับการคัดสรรจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้คลื่นเสียงของเพลงตรงกับคลื่นสมองที่ต้องการบำบัดและถูกต้องกับช่วงเวลาในการใช้ชีวิต

- การฝังเข็ม

- การดูแลตนเอง สามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การหาช่องทางบริหารและจัดการกับความเครียดด้วยตนเอง ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ปล่อยวาง นอนหลับให้สนิท หลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้ปวดศีรษะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ข้อมูลจาก ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 2 / http://www.phyathai.com




จาก ...................... เดลินิวส์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
13-02-2012, 06:54
ติด "เทคโนโลยี" มีผลกระทบ ?!

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/12026.jpg

ปัจจุบันมีการใช้คอมพิวเตอร์กันอย่างแพร่หลาย ทั้งเล่นเกม พิมพ์งาน เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่เมื่อเทคโนโลยีมีการพัฒนาไม่หยุดนิ่ง กิจกรรมข้างต้นสามารถทำผ่านช่องทางอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แน่นอนว่า อุปกรณ์ที่ทันสมัยหากใช้ไม่ถูกต้องเหมาะสม แทนที่จะเกิดประโยชน์ ก็อาจเกิดโทษได้

เริ่มจาก นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำกิจกรรมอะไรก็ตามเกี่ยวกับเทคโนโลยีจอใหญ่ จอเล็ก ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต การนั่งนานๆ จ้องนานๆ ไม่พ้นเป็นภาระดวงตา นิ้ว มือ แขน ไหล่ หลัง ก้น และขา ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น เยาวชน วัยกลางคน ผู้สูงอายุ หลายคนจะฝืนเพื่อความอยากรู้ อยากเห็น ด้วยความเพลิดเพลินทางอารมณ์ ต้องการรู้เหนือผู้อื่น ต้องการเป็นหนึ่งว่าข้าแน่ รู้ทุกอย่างที่คนอื่นไม่รู้ เพื่อจะเด่นในอาชีพ วิชาชีพของตนเอง จึงเป็นที่มาของโรคเงียบซึ่งเป็นภัยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผลกระทบด้านร่างกาย คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับดวงตา และโรคทางกล้ามเนื้อ กระดูก ซึ่งจะทำให้มีโรคประจำตัวไปจนกระทั่งแก่เฒ่า และทำให้เป็นทุกข์ตลอดชีวิต

โรคเกี่ยวกับดวงตา การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บ เล็ต เป็นเวลานาน ถ้าระดับที่วางความสว่างไม่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อระบบของการกลอกตา ระบบกล้ามเนื้อและประสาท ซึ่งจะเกิดหลังจากใช้สายตานานผิดปกติ ทำให้เกิดอาการดวงตาล้า ดวงตาตึงเครียด ตาช้ำ ตาแดง แสบ

ข้อแนะนำ คือ ควรใช้เวลาทำงานหรือเล่นกับคอมพิวเตอร์ 25–30 นาที ในแต่ละช่วงและพัก 1–5 นาที จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น วางคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากตาประมาณ 20–26 นิ้ว วางคีย์บอร์ดและเมาส์ให้อยู่ต่ำกว่าศอก แสงไฟไม่ควรส่องจากด้านหลัง ที่สำคัญไม่ควรส่องเข้าหาจอคอมพิวเตอร์ ควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างเท่ากับความสว่างของห้อง ปรับความถี่ของคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับ 70–80 เฮิรตซ์ หรือปรับให้สูงสุดเท่าที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ยังรู้สึกสบายตา การใช้ตัวหนังสือควรใช้ตัวหนังสือสีดำบนพื้นสีขาว ใช้แผ่นกรองแสง และดูแลหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่ให้มีฝุ่นเกาะติด เพื่อทำให้การมองเห็นชัดเจน ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือเล่นเกม ส่วน สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ก็ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ควรพักสายตาเป็นระยะเช่นเดียวกัน

พญ.ดารณี สุวพันธ์ ผอ.ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงโรคทางกล้ามเนื้อ กระดูกว่า การนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หากนั่งในท่าไม่เหมาะสม หน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตา ต้องก้มๆเงยๆ อาจทำให้กระดูกคอเสื่อม กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดข้อมือ ปวดนิ้วมือและปวดหลังได้ ที่พบบ่อย คือ อาการปวดคอ มีอาการตึงเมื่อย เพราะอยู่ในท่าเดียวนานๆ พบมากในคนที่ทำงานออฟฟิศต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ดังนั้นท่านั่งจึงมีความสำคัญ เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องไม่ก้มหน้ามาก หน้าจอควรอยู่ในระดับสายตา ไม่อยู่ไกลสายตาจนเกินไป คีย์บอร์ดต้องอยู่ในระดับพอดี สูงกว่าเข่านิดหน่อย เพราะถ้าคีย์บอร์ดอยู่สูงเกินไป ต้องยกไหล่ขึ้น อาจทำให้ปวดเมื่อยได้

ส่วนการเล่นเกม อัพเดทข้อมูล บนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หากอยู่ในท่าที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานอาจทำให้ปวดคอ ปวดหลังได้เช่นกัน ส่วนการใช้นิ้วมือเป็นเวลานาน อันตรายส่วนนี้คงไม่มาก คือ อาจทำให้ปวดเมื่อยข้อ นิ้วมือ เท่านั้น

การรักษาคนไข้ที่มีอาการปวดหลัง ปวดคอ จะเริ่มจากซักประวัติซึ่งมักพบว่า สาเหตุมาจากท่านั่งไม่เหมาะสม ถ้าอาการไม่รุนแรงจะแนะนำวิธีปฏิบัติตัว ปรับเปลี่ยนท่านั่ง ไม่ควรนั่งนานเกิน 30 นาที ถ้าเกินกว่านี้ควรพักลุกขึ้นมายืน ขยับตัว ขยับเอว และหลัง ปรับเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ในกรณีที่มีอาการปวดมาก ต้องให้ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาต้านการอักเสบ ถ้ากลับไปแล้วยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เนื่องจากความเคยชิน หรือมีอาการมานาน อาจถึงขั้นต้องทำกายภาพบำบัด ซึ่งในคนมีอาการมานานแล้วการรักษาจะยุ่งยากขึ้น แต่ถ้าเพิ่งเริ่มมีอาการแล้วมาพบแพทย์เร็วการรักษาจะง่ายโดยแก้ที่ต้นเหตุ

“คนอายุน้อยๆที่มาพบแพทย์ 20-30% มักมีปัญหาจากการนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ส่วนใหญ่ถ้ามาพบแพทย์เร็วก็จะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนท่าทาง ปรับเปลี่ยนนิสัย และจัดวางอุปกรณ์ให้เหมาะสม

ด้าน พญ.สุธีรา ริ้วเหลือง จิตแพทย์ กลุ่มงานจิตเวช สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น รพ.พระนั่งเกล้า กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงผลกระทบด้านจิตใจว่า การใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ท โฟน แท็บเล็ต มีทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านดี คือ ได้เปิดความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็น เกิดกระบวนพัฒนาได้อย่างรวดเร็วทันใจ สะดวกในการค้นคว้าข้อมูล ได้สังคมเพิ่มขึ้น ทำให้มีการพัฒนาของสมอง เกิดการแก้ไขปัญหา พัฒนากระบวนการเรียนรู้ ฝึกการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและมีมาตรฐาน

ด้านไม่ดี คือ ใช้ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ควบคุมไม่ได้ ตัวหมอจะห่วงเด็กหลายคนที่ยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เด็กจะใช้สิ่งเหล่านี้ในการเล่นเกม ค้นหาอะไรที่ไม่เหมาะสมกับวัย เช่น เรื่องเซ็กซ์ ที่สามารถรับรู้หรือเห็นข้อมูลได้ทันที หรือสามารถเห็นหน้ากันได้ แสดงออกได้เต็มที่ แบบไร้ขอบเขต ผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ สไกด์ นำไปสู่ปัญหาการมีเซ็กซ์ก่อนวัยอันควร และมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง

คือเด็กที่ใช้บ่อยอาจจะเก่งคอมพิวเตอร์ เก่งเรื่องเทคโนโลยี แต่อาจจะมีปัญหา เรื่องอารมณ์ ความก้าวร้าว หุนหันพลันแล่น ขาดการยับยั้งชั่งใจ เพราะไม่เคยถูกฝึก มีปัญหาติดเกม การเรียนตกต่ำ เล่นเกมมากก็มีอารมณ์ เล่นแพ้ก็หงุดหงิด ยิ่งในปัจจุบันเกมมีมากขึ้น รูปแบบค่อนข้างเหมือนจริง แม้จะมีการควบคุมแต่ระบบการควบคุมยังไม่ชัดเจน บางทีเด็กเล่นเกม พ่อแม่รู้ไม่เท่าทันก็ปล่อยลูก ซึ่งความจริงการเล่นเกมที่ไม่เหมาะสม จะทำให้เด็กเป็นคนที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีความรับผิดชอบ

เราไม่ได้ต่อต้านการเล่นเกม แต่การเล่นต้องมีกฎกติกา ก่อนที่พ่อแม่จะให้อะไรกับลูก ต้องรู้ว่าลูกรู้จักใช้สิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ มิฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะกลับมาทำร้ายตัวเด็กและครอบครัว ดังนั้น ก่อนซื้ออะไรให้ลูก ควรพูดคุยและทำข้อตกลงให้ชัดเจน เมื่อลูกทำผิดกฎกติกาที่คุยกันไว้ พ่อแม่จะต้องจริงจังกับกฎกติกาที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันก็ควรเป็นแบบอย่างสร้างวินัยในการเล่นเกมให้กับลูก ไม่ใช่ห้ามลูกเล่นแต่พ่อแม่เล่นเอง แต่ที่ผ่านมาพ่อแม่ไม่ได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้

กรณีที่เป็นผู้ใหญ่จะแตกต่างจากเด็ก เพราะผู้ใหญ่สามารถแบ่งเวลาได้ แต่เด็กไม่รู้จักการแบ่งเวลา เลิกเรียนก็จะเล่นเกมอย่างเดียว ดังนั้นการเล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เล่นเกม ของผู้ใหญ่ถ้าไม่เสียการเสียงานคงไม่เป็นไร ผลที่ตามมา คงเป็นเรื่องพฤติกรรม ที่บางคนอาจเข้าสังคมเกินไป ในขณะที่บางคนอาจแยกตัวออกมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัด คือ รูปแบบของสัมพันธภาพจากเดิม การพูดคุย แบ่งปันความรู้สึก ต้องเห็นหน้ากัน แสดงสีหน้าท่าทาง นับวันจะน้อยลง

สรุปว่า คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ข้อดีก็มีมาก แต่หากหมกมุ่นกับมันจนเกินเหตุ อาจมีปัญหาสุขภาพตามมา โดยเฉพาะเด็ก ๆ อนาคตของชาติ ถ้าใช้แค่เล่นเกม หาคู่ ดูแต่หนังเอ็กซ์ น่าห่วง !?.




จาก ...................... เดลินิวส์ X-Ray สุขภาพ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
16-02-2012, 07:45
หยุดไวรัสอุจจาระร่วง 'คุ้มกันชีวิตเด็ก' อีกเรื่องไม่เล็กในไทย!!

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/12717.jpg

อากาศในเมืองไทยยามนี้แม้จะยังดูแปรปรวนอยู่บ้าง แต่กระนั้นก็เริ่มคลายความหนาวเย็น และเริ่มจะกลับมาร้อนอบอ้าวอีกแล้ว ซึ่งในช่วงที่อากาศร้อนนั้นก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ ’โรคอุจจาระร่วง“ เกิดขึ้นได้ง่าย โดยโรคอุจจาระร่วงนั้นเกิดจากเชื้อโรคต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และรวมถึงหนอนพยาธิ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะสามารถติดต่อได้โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป ซึ่งอาการป่วยโรคอุจจาระร่วง โดยเฉพาะอุจจาระร่วงอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง รวดเร็ว ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ผู้ป่วยจะอยู่ในภาวะช็อก หมดสติ เนื่องจากเสียน้ำมาก ในรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิต

แม้แต่ผู้ใหญ่วัยแข็งแรงก็อาจเสียชีวิตด้วยโรคนี้ได้

หากเกิดกับเด็ก โดยเฉพาะ ’เด็กเล็ก“ ยิ่งน่าห่วง!!

ทั้งนี้ จากงานประชุมวิชาการประจำปี ครั้งที่ 21 ของสมาคมไวรัสวิทยา (ประเทศไทย) ที่จัดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ หนึ่งในหัวข้อที่มีการพูดคุยกันในงานนี้คือ “ข้อมูลล่าสุดในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า เพื่อให้เด็กไทยห่างไกลจากการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้” ซึ่งในงานนี้ก็มีประเด็นและมีเนื้อหาที่น่าพิจารณา กล่าวคือ.....

จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก ระบุว่า เชื้อ “ไวรัสโรต้า” เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดใน “โรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็ก” ทำให้เด็กเล็กทั่วโลก ’เสียชีวิต“ กว่า 500,000 รายต่อปี และสำหรับในไทยก็พบว่าไวรัสโรต้าเป็นสาเหตุถึง 43% ของเด็กที่เป็นโรคอุจจาระร่วงที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล ซึ่งก็ถือเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วง

และหากจะโฟกัสกันที่ “ไวรัสโรต้า” นี่คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงในทารกและเด็กเล็ก ก่อให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง เป็นไข้ และอาเจียน ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กวัย 6 เดือน ถึง 5 ขวบ แต่ทารกในช่วงเดือนแรกๆ ก็มีโอกาสติดเชื้อเช่นกัน และจะยิ่งมีอาการหนักกว่าเด็กที่โตกว่า อีกทั้งยังอาจจะ ’ก่อให้เกิดผลกระทบด้านพัฒนาการและการเติบโตของเด็ก“ ในช่วงนั้นๆได้ด้วย ซึ่งโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าพบได้ตลอดปี แม้ช่วงอากาศเย็นก็อาจพบผู้ป่วยจำนวนมาก โดยสายพันธุ์ที่ก่อโรคส่วนใหญ่เป็น “สายพันธุ์ จี 1”

ไวรัสโรต้าสามารถติดต่อได้ง่ายทางการสัมผัส เชื้ออาจปนเปื้อนอยู่ที่ของเล่นสิ่งของต่างๆ เมื่อเด็กจับแล้วนำมือเข้าปากก็สามารถรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย และก็สามารถทำให้ติดต่อไปยังสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวได้ด้วย ซึ่งในสถานที่ที่มีเด็กจำนวนมาก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล โรงพยาบาล เชื้อจะยิ่งมีโอกาสติดต่อได้ง่าย ไวรัสโรต้าเป็นเชื้อที่ค่อนข้างทน มีชีวิตอยู่ได้หลายวัน ไม่สามารถทำลายได้ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป

“ท้องร่วงรุนแรง และถ่ายเป็นน้ำ อาจมากถึง 7-8 ครั้งต่อวัน, มีไข้ โดยไข้อาจสูงถึง 39 องศาเซลเซียส, อาเจียน อาจอาเจียนมากถึง 7-8 ครั้งต่อวัน ในเด็กบางรายอาจอาเจียนหรือท้องเสียได้มากกว่า 20 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง” ...นี่เป็นสัญญาณว่าอาจเป็น ’โรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า“

ควรรีบนำบุตรหลานไปพบแพทย์โดยด่วน!!

ทั้งนี้ แม้ไวรัสโรต้าจะร้ายแรง แต่ปัจจุบันก็มี “วัคซีน” ที่ป้องกันอันตรายจากไวรัสร้ายชนิดนี้ได้ โดยศาสตราจารย์เกียรติยศ นักจุลชีววิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และนักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเด็กเมอด็อค รัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ดร.รูธ เอฟ บิชอป ซึ่งได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล สาขาสาธารณสุข คนล่าสุด เป็นผู้ค้นพบไวรัสโรต้า และนำไปสู่การค้นพบวัคซีนป้องกัน โดยนักวิจัยรายนี้ระบุว่า... ไวรัสชนิดนี้ทำให้เด็กเล็กทั่วโลกเสียชีวิตกว่า 5 แสนรายต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากลัว ดังนั้นในแต่ละประเทศควรให้ความสำคัญกับข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายในการให้วัคซีน ว่าคุ้มกว่าค่าใช้จ่ายในการรักษามากน้อยเพียงใด

ด้าน ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ นายกสมาคมไวรัสวิทยา บอกว่า... แม้ว่าระบบสุขาภิบาลจะดีเพียงใด แต่ก็ยังมีโอกาสติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ ดังนั้น การให้เด็กเล็กได้รับ ’วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า“ จึงน่าจะเป็นการดีที่สุด ซึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 ทางองค์การอนามัยโลกก็ได้ออกคำแนะนำต่อประเทศที่มีการเสียชีวิตด้วยโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า ให้มีการบรรจุวัคซีนป้องกันไวรัสชนิดนี้เป็น ’วัคซีนพื้นฐานในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค“ เพื่อลดความรุนแรงของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้

กับประเด็นนี้ นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุไว้ว่า... ทางกรมฯก็ได้รับการเห็นชอบเรื่องการพิจารณานำวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าบรรจุในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ และก็ได้มีการจัดทำโครงการนำร่องให้บริการวัคซีนไวรัสนี้แล้วที่ จ.สุโขทัย ตั้งแต่เดือน ต.ค. 2554 ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือพิจารณาผลการดำเนินการ ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติในการบรรจุวัคซีนนี้เข้าในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และนำข้อมูลเสนอไปยังคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อพิจารณาเรื่องการให้วัคซีนนี้แก่เด็กไทยทั่วประเทศ ซึ่งก็คาดว่าจะมีความเป็นไปได้ภายในอีก 2-3 ปีจากนี้

ระหว่างนี้ผู้ปกครองก็ยังต้องดูแลบุตรหลานให้ดีๆ

เด็ก ’ท้องเสีย-ท้องร่วง“ อย่าประมาท ’ไวรัสโรต้า“.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
19-02-2012, 08:21
นั่งเก้าอี้อย่างไรไม่ปวดหลัง

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/12799.jpg

วัยเรียนที่ต้องนั่งเก้าอี้ทบทวนหนังสือ หาข้อมูล ทำการบ้าน หรือ พิมพ์รายงานผ่านคอมพิวเตอร์นานๆ หลายคนมักรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณเอว หลัง และต้นคอ สร้างความหงุดหงิดใจให้บ่อยครั้ง รู้หรือไม่? ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจาก “การนั่งเก้าอี้ที่ไม่ถูกต้อง”

วิธีบรรเทาทำได้ เพียงพิจารณาเบาะเก้าอี้ ควรมีขนาดพอดี นั่งแล้วไม่อึดอัด หากเบาะใหญ่เกินไปควรหาหมอนมาหนุนหลัง จากนั้น นั่งให้เต็มก้น หลังพิงพนัก ช่วยลดอาการปวดคอ คอเกร็ง ส่วนเท้าวางราบสัมผัสพื้น

สำหรับที่พักแขน ตรวจดูความแข็งแรงให้เหมาะสมสำหรับค้ำยันตัวขณะลุก และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เกะกะเวลาพิมพ์งาน นอกจากนี้ ข้อศอกควรวางอยู่ระดับเดียวกับพื้นโต๊ะ ป้องกันช่วงไหล่เกิดอาการเกร็ง

กรณีโต๊ะต่ำกว่าเก้าอี้ เมื่ออ่านหนังสือควรหาอุปกรณ์มาเสริมให้หนังสือวางสูงระดับหน้าอก ป้องกันกล้ามเนื้อคอทำงานหนักจนเกิดอาการตึง และส่งผลให้ปวดหลัง อันเกิดจากการก้มโน้มตัวอ่านหนังสือมากเกินไป

ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆครึ่งชั่วโมง เพื่อยืดเส้นยืดสายให้เส้นเอ็นคลายตัว แต่เลี่ยงการก้ม หรือ เอี่ยวหลังแรงๆ เพราะจะทำให้เจ็บกล้ามเนื้อได้.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
21-02-2012, 07:47
ตั้งหลักป้องกันกระดูกพรุน


http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/13533.jpg
วิจัยพบ การออกกำลังกายในบางช่วงวัยสุดสำคัญ เป็นกุญแจป้องกันกระดูกเปราะ และโรคกระดูกพรุนในอนาคต

คงมีตัวอย่างให้เห็นไม่น้อยว่า คนแก่สูงวัยที่เป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ ปฏิบัติกิจวัตรประจำค่อนข้างลำบาก บางรายอาจต้องมีคนคอยดูแล ดังนั้น ผู้ที่ไม่ต้องการให้ตนเองมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกในตอนแก่ตัวไปแล้ว โปรดทราบ...คุณต้องออกกำลังตั้งแต่ตอนวัยรุ่น

ผลวิจัยจากสถาบันกระดูกและข้อ ซาฮ์ลเกรนสก้า มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก ในสวีเดน เผยว่า หลังทำการศึกษากลุ่มวัยรุ่นชายชาวสวีเดน อายุระหว่าง 19-24 ปี ราว 800 ราย ซึ่งออกกำลังกายเป็นประจำ พบว่า กระดูกบริเวณสะโพก แขน และขาช่วงล่าง รวมถึงกระดูสันหลัง มีความหนาแน่นขึ้น ในทางตรงกันข้าม กลุ่มชายวัยเดียวกันที่ละเลยการออกกำลังกาย มีกระดูกที่เปราะบาง

นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอและไม่ลดน้อยลง ส่งผลให้กระดูกมีพัฒนาการและเจริญเติบโตดี ใหญ่และหนา โดยเฉพาะกระดูกช่วงแขนกับขา

แมทเทียส โลเรนท์สัน ผู้วิจัยจึงสรุปว่า การออกกำลังกายในช่วงวัยรุ่น สามารถพัฒนาการเจริญเติบโตของกระดูกให้แข็งแรง ลดปัญหากระดูกเปราะเสี่ยงหักง่าย และโรคกระกระดูกพรุนได้ในช่วงสูงวัย

ทราบแล้ว ควรจัดเวลาออกกำลังกายให้เป็นนิจ รับรองอนาคตตอนสูงวัยสดใส ห่างไกลโรคกระดูก.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
22-02-2012, 07:55
“กินจุบจิบ”- “ดูแลไม่ถูกวิธี” ภัยคุกคามสุขภาพช่องปาก...ไม่รู้ตัว

http://pics.manager.co.th/Images/555000002502001.JPEG
ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชัย

เคยสงสัยบ้างหรือไม่ เหตุใดหนอ...แปรงฟันทุกวัน แต่ฟันก็ยังผุ ปากมีกลิ่น หรือ มีปัญหาช่องปากต่างๆนานา หากลองนึกทบทวนดีๆ นั้น อาจเป็นเพราะเราสนใจที่จะดูแลสุขภาพช่องปากน้อยจนเกินไป โดยเฉพาะคนที่ชอบกินจุบกินจิบ ทานอาหารไม่ต่ำกว่า 5-6 มื้อต่อวัน และชอบเคี้ยวหมากฝรั่งที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ทุกครั้งหลังอาหาร โดยปราศจากการแปรงฟันที่ถูกสุขลักษณะ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวอาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันอย่างไม่รู้ตัว

ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชัย ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) บอกว่า พฤติกรรมการกินและการทำความสะอาดฟันที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลกระทบต่อเหงือกและฟันหลายประการเริ่มตั้งแต่การเกิดฟันผุ ทั้งแบบฝ้า ขาว และหลุมดำ ซึ่งมักเกิดในวัยเรียนทั้งประถมและมัธยมต้น เป็นส่วนใหญ่ ส่วนในวัยรุ่นมัธยมปลายและวัยนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น ป่วยเป็นเหงือกอักเสบที่มีลักษณะ บวม แดงช้ำ แตกต่างจากคนปกติที่มีเหงือกสีชมพูซีด โดยสามารถเช็คอาการได้ด้วยตนเอง แต่หากมีความเครียดสะสมร่วมด้วยแล้ว ก็มักจะเกิดเป็นร้อนใน เป็นแผลในปาก จะมีอาการแสบ คัน และเจ็บในช่องปาก แต่อาการเหล่านี้ก็จะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ช่วงเวลาที่เป็นอยู่ก็จะสร้างความรำคาญไม่น้อย ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคทางปากและฟันดังกล่าว ต้องลองมาดูสาระความรู้ ว่าเป็นอย่างไร

http://pics.manager.co.th/Images/555000002502003.JPEG
ลักษณะคอฟันสึก

ทพ.สุธา กล่าวต่อว่า การป้องกันมีอยู่ 2 ส่วน คือ

1.เรื่องการกิน

การกินอาการเป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เชื้อโรคในช่องปากเกิดการเจริญเติบโต เพราะเศษอาหารจะไปกองกันอยู่ที่ซอกเหงือก ร่องฟัน ซึ่งจุลินทรีย์จะเอาเศษเหล่านี้ไปกินต่อ น้ำลายของคนเราจะกลายเป็นกรดมากขึ้น ความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุจะยิ่งมากตามไปด้วย ซึ่งทุกครั้งที่มีการกินอาหารก็จะเกิดเป็นกรดทุกครั้ง ดังนั้นหากกินหลายครั้งก็หมายความว่าภาวะการเกิดกรดในน้ำลายจะยิ่งถี่ ซึ่งวัฒนธรรมของเด็กวัยรุ่นส่วนมากจะทานวันละหลายครั้ง เช่น ทานมื้อเช้า เบรกตอนสาย มื้อเที่ยง เบรกช่วงบ่าย เย็น และก่อนนอน ดังนั้นการทานอาหารมื้อหลักแค่ 3 มื้อจะดีที่สุดและเน้นที่ผัก กับ ผลไม้ ลดปริมาณขนมเหนียว เช่น ลูกอมรสหวาน หมากฝรั่งผสมน้ำตาล เพราะสิ่งเหล่านี้เมื่อกลายเป็นเศษอาหารเกาะตามไรฟัน ก็จะอยู่นานแบคทีเรียและเชื้อโรคในปากก็สามารถเข้ามากัดกินฟันและทำลายเหงือกได้บ่อยขึ้น

ทพ.สุธา กล่าวอธิบายต่อว่า

2.เรื่องของการทำความสะอาดอย่างเหมาะสม โดยหลังมื้ออาหารควรแปรงฟันด้วยการแปรงที่ขนแปรงไม่อ่อนหรือแข็งเกินไป ไม่ระคายเคืองเหงือก เมื่อขนแปรงบานควรเปลี่ยนด้ามใหม่ มีด้ามแปรงจับได้ถนัดมือ เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ โดยควรแปรงฟันหลังอาหารมื้อเช้า เที่ยง เย็น แปรงให้ครบทุกซี่อย่างทั่วถึง เน้นที่ช่วงต่อระหว่างฟันและเหงือก ซึ่งเป็นร่องสะสมเศษอาหาร แต่หากแปรงฟันผิดวิธี เช่น การแปรงตามขวาง หรือขึ้นลงพร้อมกัน ทำให้เหงือกร่น และฟันสึกกร่อนมาก และจากนั้นให้ใช้ไหมขัดฟัน เพื่อกำจัดเศษอาหารออก

“นอกจากนี้ หลายคนเชื่อว่า การกินหมากฝรั่งหลังอาหาร เป็นการทำความสะอาดช่องปากในแบบเร่งด่วนและสะดวก แต่ในความจริงแล้ว การเคี้ยวหมากฝรั่งนั้นสามารถกำจัดเศษอาหารตามซี่ฟันเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการรักษาสมรรถภาพของเหงือกได้เลย ดังนั้นต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่แล้วให้ความสำคัญกับอาหารมื้อหลักมากกว่าการกินแบบตามใจปาก เพื่อสุขภาพฟันที่ดีเหมาะสมกับวัย” ทพ.สุธา ทิ้งท้าย

http://pics.manager.co.th/Images/555000002502002.JPEG
บีบยาสีฟันขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ก็เพียงพอ


วิธีการแปรงฟันอย่างถูกวิธี

-เริ่มจากการจับแปรง เวลาแปรงฟันบน จับแปรงหงายขึ้น เวลาแปรงฟันล่าง จับแปรงคว่ำลง
-วางขนแปรงแนบกับขอบเหงือก โดยเอียงขนแปรงเป็นมุม 45 องศา กับตัวฟัน
-ขยับแปรง ไป-มา เล็กน้อย
-หมุนข้อมือปัดขนแปรงจากเหงือก ผ่านตัวฟันโดยตลอด
-ถ้าเป็นฟันบน ปัดลงล่าง ฟันล่าง ปัดขึ้นบน
-แปรงให้ทั่วทุกซี่ ทั้งด้านนอก ด้านในของฟันบน และฟันล่างให้สะอาด
-ส่วนด้านบดเคี้ยว ถูไปมาตามแนวฟัน ทั้งซ้าย ขวา จนสะอาด
-แต่ละครั้งควรใช้เวลาแปรงฟัน ประมาณ 2-3 นาที




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
26-02-2012, 07:13
10 ข้อดีที่ทำให้สุขภาพแข็งแรง

http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/14257.jpg

การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนชีวิตใหม่ ไม่ว่าลงมือทำเมื่อใดก็ไม่มีคำว่า “สายเกินไป” เพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทั้งกาย ใจและสุขภาพ ซูซาน โบเวอร์แมน ที่ปรึกษาของเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด แนะเคล็ดลับเสริมสุขภาพ 10 ข้อ เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแข็งแรงและมีสุขภาพดี ซึ่งข้อปฏิบัติต่อไปนี้จะเกิดผล

อย่างเต็มที่ หากลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เริ่มจากต้องกิน “อาหารเช้า” เพราะอาหารเช้าคือ ขุมพลังสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ ฉะนั้นคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน จะมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน สมองแจ่มใสและมีสมาธิทำงาน เพราะสมองต้องการพลังงานในตอนเช้า หลังจากที่ไม่ได้รับอาหารมาตลอดคืน ส่วนการออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วถือเป็นเรื่องดี นอกจากการออกกำลังกายควร กระตุ้นให้ร่างกายเคลื่อนไหวอยู่เสมอ จะทำให้เกิดการใช้พลังงานเพิ่มเติม เช่น การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ การเดินหรือปั่นจักรยานแทนการนั่งรถ การเดินไปพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแทนการใช้อีเมลหรือโทรศัพท์ภายใน

การกินอาหารหน้าจอโทรทัศน์หรือจอคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะการกินในช่วง “เพลิน...เพลิน” ทำให้กินอาหารมากเกินไป จนทำให้เกิดโรคอ้วนได้, ระหว่างเดินทาง ขณะนั่งรถ และแต่งตัวตอนเช้า ก็เช่นกันควรเลี่ยง นอกจากไม่สร้างความสุขในการกินแล้ว ยังยากต่อการประเมินปริมาณและคุณค่าอาหารในช่วงนั้นๆ ด้วย การกินอาหารที่ช่วยให้ระบบเผาผลาญและการย่อยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพคือ การนั่งกินอาหารอย่างถูกต้องและเหมาะสม

นอกจากการกิน การดื่มก็ควรให้ความสำคัญเพราะ แคลอรีที่เพิ่มขึ้น เกิดจากเครื่องดื่มที่คาดไม่ถึง การป้องกันง่ายๆ คือ เลือกเครื่องดื่มที่ปลอดแคลอรี แต่สำหรับการดื่มน้ำ แนะนำให้ ดื่มน้ำอย่างเพียงพอวันละ 8 แก้ว เนื่องจากกลไกในร่างกายส่วนใหญ่ต้องการน้ำเป็นตัวขับเคลื่อน และเพื่อความสะดวกควรวางแก้วน้ำไว้ใกล้ตัว ง่ายดายสำหรับยกจิบตลอดวัน ในการกินอาหารทุกมื้อควรให้ความสำคัญกับ “โปรตีน” เป็นสารอาหารหลัก เช่น โยเกิร์ต, ถั่ว, ธัญพืชที่มีโปรตีนสูง, โปรตีนเชค, เนยแข็งและทูน่า เนื่องจากช่วยดับความหิวได้ดีกว่าไขมันหรือคาร์โบไฮเดรต ขณะที่การ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ นอกจากให้สารอาหารที่มีประโยชน์และแคลอรีต่ำที่สุดแล้ว ยังอุดมด้วยน้ำและไฟเบอร์ ทำให้เรารู้สึกอิ่มท้องได้โดยไม่มีไขมันส่วนเกิน

ส่วน การอดมื้อ-กินมื้อ กลายเป็นเหตุหลักของน้ำหนักเพิ่ม แบบไม่รู้ตัว เพราะร่างกายต้องการสารอาหารมาชดเชย ทางที่ดีควรบริโภคอาหารหรือของว่างในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งดีกว่า มาถึงข้อสุดท้าย กินยาตัวที่ชื่อว่า “กีฬา” การออกกำลังกายจะเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าปกติ อีกทั้งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เสริมสร้างกระดูกแข็งแรง และเสริมสร้างอัตราเผาผลาญในร่างกายระหว่างการพักผ่อนมากขึ้น

รู้ถึงสิ่งที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงกันไปแล้ว ฉะนั้นอย่ารอช้าในการลงมือปฏิบัติตาม เพราะสุขภาพที่ดีช่วยต่อชีวิตให้ยืนยาว.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
28-02-2012, 07:35
ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง โรคฮิตคนนั่งหน้าคอมพ์

http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2012/02/hea02280255p1.jpg&width=360&height=360

จากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยหญิงรายหนึ่ง อายุ 31 ปี อาชีพเป็นพนักงานรับโทรศัพท์ในบริษัท ลักษณะงานที่ทำอยู่ต้องนั่งโทรศัพท์ติดต่อกับลูกค้าเป็นเวลาต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง ทุกวัน เกิดความรู้สึกตึงๆ เจ็บๆ ที่สะบัก ตกบ่ายอาการเริ่มเป็นมากขึ้น ร่วมกับมีอาการปวดร้าวไปที่ก้านคอ ปวดลงที่เบ้าตา หางคิ้ว มีอาการปวดและวิงเวียนศีรษะ ลองไปนวดอาการก็ดีขึ้น หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ก็กลับมาเป็นอีก เมื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นอาการของโรค "กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง" หรือที่เรียกว่า "Myofascial Pain Syndrome"

สาเหตุของโรคได้แก่ การบาดเจ็บทางร่างกายอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ มีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อมาก่อน การบาดเจ็บแบบน้อยๆ แต่เป็นแบบซ้ำซาก เช่น การนั่งทำงานที่ผิดอิริยาบถเป็นเวลาติดต่อกันนานๆ ได้แก่ พวกชอบนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ชอบออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งเป็นก้อนตามมา หากไม่ได้รับการรักษาจะทำให้เกิดอาการปวด แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ มาก่อน รวมถึงมีอาการเหนื่อยล้า ชาตามปลายมือและเท้า จากพฤติกรรมงานประจำที่ต้องทำซ้ำๆ โรคข้อเสื่อมที่พบมาก ได้แก่ หมอนรองกระดูกคอเสื่อม ทำให้มีอาการปวดคอ หรือความวิตกกังวล เครียด ซึมเศร้า

การรักษาที่ได้ผลดีต้องแก้ที่ต้นเหตุ โดยทั่วไปได้แก่

1.ลดการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ต่อเนื่อง ติดต่อกันนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง

2.การนวดแบบผ่อนคลาย ลดอาการปวดได้ดี แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องนาน 2 สัปดาห์

3.การยืดกล้ามเนื้อด้วยตนเอง โดยการยืดจนถึงจุดมีอาการปวดเล็กน้อย ทำคราวละ 10 ครั้ง วันละ 2 รอบ นานอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ให้กล้ามเนื้อมีอาการยืดนาน 20-30 วินาที

4.การทำกายภาพบำบัด เช่น การประคบร้อน การยืดคอหรือดึงคอด้วยอุปกรณ์ที่แผนกกายภาพ บำบัด นานต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง

5.การลงเข็มช่วยให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งคลายตัว

6.การฉีดยาตรงจุดกดเจ็บโดยแพทย์

7.การพักผ่อนให้เพียงพอ

8.การปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ให้มีการยืดตัวเสมอๆ ออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่างน้อยตื่นเช้ามาต้องมีการแกว่งหัวไหล่ทั้ง 2 ข้าง ด้านหน้า 20 ครั้ง ด้านหลัง 20 ครั้ง เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อรอบๆหัวไหล่และสะบัก ป้องกันการเกิดพังผืด และหัวไหล่ติดยึด รวมถึงการเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน ทำกายและใจให้ผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงการนั่งที่ซ้ำๆ ต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการนั่งเก้าอี้ที่นั่งแล้วมีการยุบตัว อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังสามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันที่บั่นทอนสุขภาพ




จาก ...................... ข่าวสด วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
28-02-2012, 07:37
หมอนรองกระดูกเคลื่อน โรคยอดนิยมสาวออฟฟิศ

“โรคปวดหลัง” เป็นโรคยอดฮิตของสังคมเมือง โดยเฉพาะคนที่ทำงานออฟฟิศ หรือคนที่ต้องอยู่ในท่าเดิมๆเป็นเวลานาน วงการแพทย์ใช้งบประมาณอย่างมากเพื่อทำการวิจัยและศึกษาปัญหาโรคปวดหลัง และหนึ่งในสาเหตุโรคปวดหลังที่สำคัญซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ก็คือ “ภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อน”

ดร.มนต์ทณัฐ (รุจน์) โรจนาศรีรัตน์ ไคโรแพรคติกแพทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ ศูนย์การแพทย์ไคโรเมด เปิดเผยว่า “หมอนรองกระดูกเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด ส่วนหนึ่งของโครงสร้างกระดูก มีคุณสมบัติคล้ายถุงน้ำหุ้มด้วยกระดูกอ่อน (Jelly-Like-Water-Sack) ซึ่งภาวะผิดปกติของหมอนรองกระดูกอาจเกิดขึ้นได้หลายๆ สาเหตุ เช่น อุบัติเหตุ โรคติดเชื้อ โครงสร้างผิดปกติ และอีกมากมาย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ ภาวะการใช้งานที่ผิดปกติ (Mechanical Malfunction) หรือการรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหมอนรองกระดูก อันสืบเนื่องมาจากความผิดปกติของตัวโครงสร้าง หรือมาจากท่าทางที่ผิดลักษณะของเรา ไม่ว่าจะเป็น ก้ม, ยืน, ยกของ, บิดตัว, อุบัติเหตุหรือการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน และถ้าปราศจากการทำงานที่ถูกต้องของหมอนรองกระดูกแล้ว การเคลื่อนไหวของตัวข้อจะผิดปกติ ส่งผลให้เกิดแรงกดไปที่หมอนรองกระดูกมากเกินไป การถ่ายเทสารอาหารสู่ตัวข้อคงเกิดขึ้นน้อย ซึ่งนานวันเข้าจะทำให้เกิดภาวะการเสื่อมสภาพที่ผิวนอกของหมอนรองกระดูก และเกิดการเคลื่อนออกมาจากตำแหน่งปกติ ซึ่งเราเรียกภาวะนี้ว่า โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน”

ความผิดปกติของหมอนรองกระดูกนั้น สามารถส่งผลให้เกิดอาการหลายอย่าง เช่น อาการปวดหลังเฉียบพลัน อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ การปวดลงขา อาการชาต่างๆ

ส่วนการรักษาโรคนี้มีหลายวิธี การรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด รวมถึงการผ่าตัด แต่การรักษาในปัจจุบันยังมุ่งเน้นเพื่อการรักษาตามอาการ เพื่อลดอาการต่างๆที่คนไข้มี แต่มิได้มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เช่น ลักษณะโครงสร้างที่ผิดรูป หรือการทำงานที่ผิดปกติในเชิงชีวกลไกของตัวข้อ จึงทำให้โอกาสที่ปัญหาจะกลับมาจึงสูงอยู่มาก

ดร.มนต์ทณัฐกล่าวอีกว่า ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น ได้มีการคิดค้นเทคนิคในการดูแลรักษาโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนแบบไม่ต้องผ่าตัด แต่เป็นการลดการกดทับของหมอนรองกระดูก เราเรียกวิธีนี้ว่า “Spinal Decompression Therapy” ซึ่งเป็นการลดภาวะการรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหมอนรองกระดูก และช่วยฟื้นฟูหมอนรองกระดูกให้กลับมาสู่สภาวะปกติมากที่สุด รวมถึงในเรื่องของการจัดแนวของกระดูกสันหลังให้กลับสู่สภาวะสมดุล เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ รวมถึงการพัฒนาความแข็งแรง สมดุลของกล้ามเนื้อพยุง โดยไม่ต้องผ่าตัด

"การรักษาโดยการใช้ยา มักให้ผลในการรักษาค่อนข้างเร็ว แต่ว่าฤทธิ์ในการรักษามักคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น อาการมักกลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้การใช้ยายังมีผลข้างเคียงอีกด้วย เช่น ยาลดอาการอักเสบในกลุ่ม NSAIDS ใช้ลดอาการปวด อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ หรือยากลุ่ม Steroid (สเตอรอยด์) ก็มีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้เช่นกันหากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้นการใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นการทา รับประทาน หรือแม้กระทั่งการฉีดยาบางชนิด มักใช้เพื่อบรรเทาอาการเป็นครั้งคราว และต้องทำการรักษาควบคู่ไปกับการรักษาอื่นๆ เพื่อรักษาที่ต้นเหตุของปัญหา" ดร.มนต์ทณัฐตอกย้ำ และแนะนำ

เพราะฉะนั้น การดูแลลักษณะการทำงานของโครงสร้างร่างกาย รวมทั้งการดูแลความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุง จึงเป็นหนึ่งในวิธีการดูแลปัญหาของหมอนรองกระดูกเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิผล จากการวิจัยทางการแพทย์ในช่วงที่ผ่านมาก็จะพบว่า การเริ่มต้นดูแลและป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะมีอาการปวดหลัง และถ้าคิดว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และหมอนรองกระดูก ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพราะปัญหานี้ “ป้องกันไว้ ดีกว่าแก้ไขแน่นอน”.




จาก ...................... ไทยโพสต์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ
06-03-2012, 07:52
นอนยาวรวดเดียวผิดธรรมชาติ ตื่นพักเบรกกลางดึกดีกว่า

http://pics.manager.co.th/Images/555000003046001.JPEG

เมื่อตื่นมากลางดึกทีไร เรามักเป็นกังวลว่าถ้านอนต่อเนื่องไม่นานพอ จะส่งผลต่อร่างกาย แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะทั้งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และร่องรอยจากประวัติศาสตร์กำลังชี้ว่า การนอนติดต่อกันยาวถึง 8 ชั่วโมงอาจเป็นเรื่องผิดธรรมชาติสำหรับมนุษย์เรา


รูปแบบธรรมชาติ เรานอนคืนละ 2 ครั้ง

ช่วงต้นคริสต์ศักราช 1990 ดร.โทมัส เวอร์ (Thomas Wehr) จิตแพทย์แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งสหรัฐฯ (US Institute of Mental Health) ได้ทดลองนำคนกลุ่มหนึ่ง ให้อยู่ในความมืดวันละ 14 ชั่วโมง ทุกๆ วัน เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งพวกเขาได้นอนหลับยาวตามปกติ แต่ในสัปดาห์ที่ 4 กลุ่มตัวอย่างได้ปรับวิธีการนอน โดยพวกเขาหลับไปใน 4 ชั่วโมงแรก และตื่นขึ้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับครั้งที่ 2 อีก 4 ชั่วโมง

ผลการทดลองดังกล่าวดูเป็นข้อค้นพบที่น่าทึ่ง แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะแย้งกับความรู้ที่แพร่หลายว่า การนอนยาว 8 ชั่วโมงเป็นการพักผ่อนที่ดีต่อสุขภาพ

จากนั้นในปี 2001 โรเจอร์ เอคริช (Roger Ekirch) นักประวัติศาสตร์ แห่งเวอร์จิเนียเทค (Virginia Tech) ได้ตีพิมพ์รายงานที่ค้นคว้ามากว่า 16 ปีด้วยการรวบรวมหลักฐานมากมาย ทั้งบันทึกประจำวัน บันทึกศาล รายงานทางการแพทย์ รวมถึงวรรณกรรมกว่า 500 แหล่งที่ชี้ว่า พฤติกรรมการนอนของมนุษย์เราแบ่งเป็น 2 ช่วง

ทั้งนี้ การค้นคว้าดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของเวอร์ และเอคริชได้เพิ่มเติมว่า การหลับครั้งแรกของคนเรานั้น เริ่มหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง (20.00 น.) และจะตื่น (ประมาณเที่ยงคืน) อยู่ 2 ชั่วโมง จากนั้นก็หลับอีกเป็นครั้งที่ 2 (ประมาณ 2.00 น.)

ในช่วงระหว่างการตื่นนอนนั้น มนุษย์จะกระฉับกระเฉงมาก ส่วนใหญ่ก็จะลุกไปเข้าห้องน้ำ สูบบุหรี่ แม้กระทั่งเดินไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน แต่ก็มีอีกส่วนที่ยังคงอยู่บนเตียง เขียนอ่านหนังสือ หรือสวดมนต์ ซึ่งในช่วงศตวรรษที่ 15 มีหลายหลักฐานระบุถึงการสวดมนต์เป็นกรณีพิเศษระหว่างการตื่นกลางดึก

ถ้าใครที่มีเพื่อนร่วมเตียง ก็เป็นโอกาสในการสนทนาหรือร่วมรักกัน ซึ่งจากคู่มือแพทย์ฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 16 ได้แนะนำให้คู่แต่งงานได้พลอดรักหลังจากหลับรอบแรก เพราะจะสร้างความสุขได้มากกว่าการมีกิจกรรมทางเพศก่อนเข้านอน เพราะยังคงเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมาทั้งวัน


สังคมเมือง พาคนเข้านอนรวดเดียว

อย่างไรก็ดี เอคริชพบว่า ข้อมูลการนอน 2 ครั้งนั้น เริ่มหายไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เมื่อผู้คนเริ่มใช้ชีวิตแบบสังคมเมืองกันมากขึ้น

เครก คอสลอฟสกี (Craig Koslofsky) นักประวัติศาสตร์ เจ้าของหนังสือที่รวบรวมประวัติศาสตร์ยามราตรี (Evening's Empire) อธิบายว่า ช่วงกลางคืนในยุคก่อนศตวรรษที่ 17 นั้น ไม่เอื้อให้ผู้คนออกนอกบ้าน เพราะยามราตรีคือเวลาของคนไม่ดี มีทั้งอาชญากรรม การขายบริการทางเพศ ผู้คนที่เมามาย ในยามวิกาลจึงไม่คุ้มค่าพอที่จะออกไปสร้างสังคม

อีกทั้ง ในช่วงการปฏิรูปคริสต์ศาสนา ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ นักบวชทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนท์ ต่างเลือกที่จะปฏิบัติพิธีกรรมศาสนาแบบลับๆ ในยามวิกาล เพราะเกิดการไล่ทำร้ายและสังหารผู้นับถือคริสตศาสนา ทำให้รูปแบบของสังคมก็ปรับสภาพไปในทางเดียวกัน

สมัยนั้นการออกมาทำกิจกรรมยามค่ำคืน นั่นหมายถึงต้องมีแสงสว่าง และผู้ที่หาซื้อเทียนไขได้ก็คือผู้ที่มีฐานะ ดังนั้นความสามารถในการสร้างแสงสว่างยามมืดจึงกลายเป็นการแบ่งชนชั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อแสงไฟจากทางการได้ติดตั้งไว้ตามท้องถนน ก็ส่งผลให้ผู้คนต่างฐานะออกมาใช้ชีวิตยามราตรีได้เช่นกัน โดยในปี 1667 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส เป็นเมืองแรกของโลก ที่มีแสงไฟตามท้องถนน ด้วยเทียนไขในตะเกียงแก้ว จากนั้นไม่เกิน 10 ปี เมืองต่างๆ ในยุโรปก็สว่างไสวในเวลากลางคืนไม่แพ้กัน

เมื่อความสว่างกระจายไปทั่ว การออกไปสังสรรค์ยามค่ำคืนก็กลายเป็นแฟชั่น และการพักผ่อนอยู่บนเตียงถือเป็นการปล่อยเวลาโดยเปล่าประโยชน์

ยิ่งเมื่อเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในศตวรรษที่ 19 เวลาเป็นของมีค่า กิจกรรมหลายอย่างจึงเกิดขึ้นอย่างรวบรัด ซึ่งเอคริชเล่าว่า ผู้คนเริ่มเพิ่มเวลาในการตื่นมากขึ้น และมีวิธีการนอนที่เปลี่ยนไป โดยหลักฐานจากวารสารทางการแพทย์ในปี 1829 ระบุว่า พ่อแม่เริ่มให้ลูกนอนยาว โดยไม่มีการนอนครั้งที่ 2

ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคหรือประสบอุบัติเหตุใดๆ พวกเขาก็จะไม่มีการหลับต่อเป็นรอบที่ 2 อีก เมื่อการนอนครั้งที่ 1 จบลง ก็ถือว่าได้เป็นการพักผ่อนตามเวลาปกติ และถ้าใครนอนต่อเป็นครั้งที่ 2 ก็จะถูกมองว่าเป็นคนขี้เกียจขี้เซา ไม่ดีต่อบุคลิกและความน่าเชื่อถือ


อย่ากังวลไป เมื่อไม่ได้นอนยาว

ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นนอนหลับวันละ 8 ชั่วโมงกันแล้ว ซึ่งเอคริชเชื่อว่า นี่เป็นเหตุนำไปสู่โรคที่เกี่ยวกับการนอน เพราะตามธรรมชาติร่างกายมนุษย์ต้องการนอนหลับเป็นช่วง การนอนยาวในคราวเดียว ซ้ำยังมีแสงไฟสังเคราะห์ในช่วงเวลานอนที่ควรมืดสนิท จึงกลายเป็นปัญหา บางทีอาจเป็นต้นเหตุของโรคนอนไม่หลับ (insomnia)

ทางผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับผิดปกติ อย่างเกรก จาคอบส์ (Gregg Jacobs) จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเมสซาซูเซ็ตส์ ได้อธิบายถึงพัฒนาการในการนอนตามหลักสรีรศาสตร์ มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งการนอนรวดเดียวนานๆ นี้ เป็นแนวคิดที่สร้างความเสียหาย เพราะการตื่นระหว่างคืนสร้างความกังวลใจให้แก่เรา ซึ่งความกังวลใจนี้ ก็จะทำให้เราหลับต่อไม่ลง และจะทำให้เราง่วงในยามที่ต้องตื่น

รัสเซลล์ ฟอสเตอร์ (Russell Foster) ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยา กิจวัตรร่างกาย (circadian) แห่งมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ได้แสดงความเห็นว่า มีคนมากมายรู้สึกกังวลที่ตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งนั่นคือการกลับไปสู่พฤติกรรมการนอน 2 ครั้งแบบดั้งเดิม ทว่าแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เชื่อว่าการนอนต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงเป็นรูปแบบที่ผิดธรรมชาติ

“มากกว่า 30% ของปัญหาทางการแพทย์ เกี่ยวข้องกับการนอนทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่ความรู้เกี่ยวกับการนอนหลับนั้น ไม่ค่อยได้รับการสนใจ ทั้งในโรงเรียนแพทย์และการวิจัย ไม่ค่อยมีการศึกษาเรื่องนี้” ฟอสเตอร์กล่าว

“ทุกวันนี้ เราให้เวลากับการนอนหลับน้อยมาก ซึ่งจำนวนผู้เกิดภาวะเครียด กังวลใจ ซึมเศร้า ติดเหล้ายาที่เพิ่มขั้นทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกี่ยวข้องกันกับการพักผ่อนที่ไม่เต็มที่” ดร.จาคอบส์ชี้ และได้แนะนำให้มีช่วงที่ตื่นขึ้นระหว่างหลับ เพราะร่างกายจะได้จัดการกับความเครียดได้โดยธรรมชาติ

นับจากนี้ ถ้าใครต้องตื่นขึ้นมากลางดึก อย่าได้เป็นกังวลไป ทำใจให้สบายแล้วนึกถึงบรรพบุรุษของเราที่มีรูปแบบการนอนเช่นเดียวกันนี้ และไม่แน่ว่าอาจจะดีกว่าสำหรับมนุษย์อย่างเราๆ ก็ได้




จาก .......................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 6 มีนาคม 2555

สายน้ำ
06-03-2012, 07:54
9 โรคร้าย!! ควรระวังในหน้าร้อน

http://www.innnews.co.th/images/news/2012/32/362316-01.jpg


1.โรคอุจจาระร่วง

ในช่วงเดือนมีนาคมในปีที่แล้ว มีผู้ป่วยจากโรคนี้ มากถึง 246,476 คน และเสียชีวิตมากถึง 35 ราย โรคนี้เกิดจากเชื้อโรค ต่างๆ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และหนอนพยาธิ สามารถติดต่อได้โดยการทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกปนเลือด ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องรวดเร็วร่างกายจะสูญเสีย น้ำและเกลือแร่ อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะช็อก หมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้


2.โรคอาหารเป็นพิษ

เป็นโรคทางเดินอาหารที่พบบ่อยมากและมักเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วหลังจากทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป มักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหาร กระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน บางรายอาจมีถ่ายเหลวเป็นน้ำ มักไม่มีไข้ หายได้เอง แต่ถ้าเป็นมากต้องได้รับน้ำเกลือเสริม อาจดื่มหรือให้ทางเส้นเลือดแล้วแต่ความรุนแรง


3.โรคบิด

ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเป็นมูกปนเลือดบ่อยครั้ง ร่วมกับอาการปวดเบ่งที่ทวารหนัก คล้ายถ่ายไม่สุด โดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ บิดชิเกลลา (shigellosis) หรือบิดไม่มีตัวและบิดอะมีบา (amebiasis) หรือบิดมีตัว


4.ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย

เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่ถูกปนเปื้อน อาหารส่วนใหญ่ที่มักพบว่าทำให้เกิดโรค คือ อาหารจำพวกนม ผลิตภัณฑ์จากนม หอย ไข่ เนื้อสัตว์ น้ำ และอาหารอื่นๆ ที่ถูกปนเปื้อน ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ สัปดาห์แรกไข้มักไม่สูง อาจมีอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย ตามตัว อาจมีหนาวสั่นได้ คนไข้ซึมลง อาจเพ้อ


5.อหิวาตกโรค (cholera)

เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย (Vibrio cholerae) เข้าสู่ร่างกายโดยการทานอาหารหรือน้ำที่มีเชื้ออหิวาตกโรค หรือพิษของเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ เช่น อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารกระป๋องที่เสียแล้ว เชื้อโรคจะสร้างพิษออกมาทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็กทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง อุจจาระเป็นน้ำสีซาวข้าว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เสียชีวิตได้


6.โรคระบบทางเดินหายใจ

เช่น โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ปวดหัว ตัวร้อน ไอจาม ทั้งนี้ เพราะอากาศเปลี่ยนไปมาหรืออยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ร่วมกับร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อรู้สึกตัวว่าเป็นหวัดให้พักผ่อน ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ ถ้าตัวร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำ คอยประคบระบายความร้อนออก และแยกนอนร่วมกับผู้อื่น หากยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ ในบางกรณีน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวได้ อาจต้องกินยาปฏิชีวนะร่วมด้วย


7. โรคผิวหนัง

ในหน้าร้อนอาจทำให้เราเกิดเม็ด ผดผื่นคัน สามารถป้องกันได้ด้วยการอาบน้ำชำระร่างกายและรักษาความสะอาดบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกหรือน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่มีการเล่นสาดน้ำกัน


8. โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ

เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่งที่มีสุนัขเป็นพาหะหลักที่นำเชื้อไวรัสมาสู่คน โดยสุนัขบ้าอาจกัด ข่วน หรือเลียผิวหนังคนมีแผลเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้านี้ เมื่อมีอาการของโรคจะเสียชีวิตทุกราย แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และหากถูกสุนัขที่สงสัยว่าอาจมีเชื้อโรคพิษสุนัขบ้ากัด ข่วน หรือเลียผิวหนัง ต้องไปหาหมอทันที ที่สำคัญ ควรนำสุนัขไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน


9. โรคเครียด

เป็นปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยในหน้าร้อน ทำให้เกิดอาการปวดหัว นอนไม่หลับ โมโหและหงุดหงิดง่าย จนกระทบไปถึงความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง และอาจทำให้เกิดการทะเลาะกันง่ายขึ้น วิธีคลายเครียดง่ายๆ คือ หนีร้อนไปอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นสบาย เช่น ในห้องแอร์ ใต้ร่มไม้ หรือหางานอดิเรกทำ ฝึกสมาธิ เป็นต้น


แต่อย่าเพิ่งตกใจไป มีวิธีป้องกันได้

1. เลือกทานอาหาร-น้ำดื่ม เน้นความสด ใหม่ สะอาด สินค้ากระป๋องไม่หมดอายุ

2. ทำร่างกายให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที แต่ร้อนๆ อย่างนี้ ไม่ควรหักโหมจนเกินไป

3. ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม ไม่ว่าที่บ้านหรือที่ทำงาน อากาศต้องถ่ายเทสะดวก ส่วนห้องแอร์ก็ต้องเย็นอย่างพอเหมาะด้วยอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส ไม่อย่างนั้นพอออกไปข้างนอกห้องอาจทำให้เกิดอาการวูบได้ง่ายๆ

4. อยู่บ้านดีกว่า นอกจากจะประหยัดในยุคเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ การอยู่บ้านยังทำให้เราเย็นสบาย ไม่ต้องกลัวโรคลมแดด แต่หากจำเป็นควร สวมหมวก หรือกางร่มก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

5. ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทันถึงขั้นเกิดภาวะช็อกได้




จาก ....................... INN News วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555