PDA

View Full Version : ก่อนฉลามจะหมดทะเล


สายน้ำ
25-01-2012, 08:34
ก่อนฉลามจะหมดทะเล ................... โดย วินิจ รังผึ้ง

http://pics.manager.co.th/Images/555000001110601.JPEG

เมื่อสัปดาห์ก่อนมีข่าวดีสำหรับเพื่อนตัวใหญ่ใต้ทะเลของผม ด้วยกลุ่มโรงแรมแชงกรี-ลาและรีสอร์ทในฮ่องกง ประกาศนโยบายเลิกเสิร์ฟหูฉลามในโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ ตามนโยบายพันธะสัญญาว่าด้วยความยั่งยืนของอาหารทะเล (Sustainable Seafood Policy) โดยจะยุติการเสิร์ฟเมนูหูฉลามในห้องอาหารของโรงแรมทั้งหมด รวมทั้งจะยกเลิกการสั่งซื้อหูฉลามที่นำมาใช้ในการจัดเลี้ยงตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา และยังได้ประกาศอีกว่าภายในปีนี้ ทางโรงแรมยังจะยกเลิกเมนูที่ปรุงจากปลาทูน่าครีบน้ำเงินและปลาหิมะในห้องอาหารทุกแห่งของโรงแรมด้วยเช่นกัน เพราะปลาทั้งสองชนิดนี้ก็กำลังตกอยู่ในภาวะแห่งความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เช่นเดียวกับฉลาม ซึ่งนับเป็นข่าวดีสำหรับบรรดาเพื่อนใต้ทะเลที่น่ารักของผมทั้ง 3 ชนิด

http://pics.manager.co.th/Images/555000001110602.JPEG

คงต้องยอมรับว่าการประกาศดังกล่าวนับเป็นข่าวดียิ่งของปีนี้เลยทีเดียว เพราะกลุ่มโรงแรมแชงกรี-ลา และรีสอร์ท เป็นหนึ่งในบริษัทบริหารโรงแรมชั้นนำซึ่งมีฐานอยู่ที่ฮ่องกง ปัจจุบันเป็นเจ้าของและเป็นผู้บริหารโรงแรม 72 แห่ง ภายใต้แบรนด์ แชงกรี-ลา เคอร์รี่ และเทรดเดอร์ส ซึ่งมีห้องพักรวมมากกว่า 30,000 ห้องเลยทีเดียว และทางกลุ่มยังมีนโยบายที่จะขยายมาตรการประกาศเลิกเสิร์ฟเมนูหูฉลามกับโรงแรมในเครือที่อยู่ในประเทศอื่นๆอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้โรงแรมในเครือเพนนินซูล่า ในฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ก็เป็นกลุ่มแรกที่ออกมาประกาศเลิกเสิร์ฟเมนูหูฉลามในโรงแรมเพนนินซูล่า 9 แห่งทั่วโลก รวมถึงเพนนินซูล่าในประเทศไทยด้วย ซึ่งข่าวนี้นับเป็นข่าวที่ผู้คนในวงการอนุรักษ์คาดไม่ถึง เพราะโดยปรกติแล้วจีนและฮ่องกงเป็นตลาดที่นิยมบริโภคหูฉลามมากที่สุดของโลก ที่ผ่านมาปีหนึ่งๆทั่วโลกมีการบริโภคหูฉลามมากมายถึง ประมาณ 800,000 ตัน โดยฮ่องกงคือแหล่งค้าขายหูฉลามที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ละปีจะมีการนำเข้าหูฉลามมาจำหน่ายในฮ่องกงถึงปีละ 10,000 ตัน โดยตัวแทนกองทุนเพื่อสัตว์ป่าในฮ่องกงเปิดเผยว่า ทุกๆ ปีจะมีฉลามถูกฆ่ามากถึงราว 100 ล้านตัวเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการการล่าฉลามเพื่อตัดครีบมาทำหูฉลามนั้นเป็นเรื่องที่โหดร้ายยิ่ง เพราะบางพื้นที่มีการตัดครีบฉลามที่ติดเบ็ดขึ้นมาตอนเป็นๆ แล้วปล่อยทิ้งกลับลงไปในท้องทะเลในขณะที่ฉลามที่ยังไม่ตาย ซึ่งฉลามเคราะห์ร้ายต้องทุรนทุรายตายไปช้าๆอย่างทรมาน

http://pics.manager.co.th/Images/555000001110603.JPEG

ฉลามนั้นมีภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่น่ากลัวควบคู่กับท้องทะเลมาแต่ไหนแต่ไร บางคนถึงขนาดขนานนามมันว่าเป็นเครื่องจักรแห่งการทำลายล้างใต้ท้องทะเลเลยทีเดียว ด้วยอาจเป็นเพราะฉลามนั้นเป็นนักล่าน่าเกรงขามที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารใต้ท้องทะเล ด้วยรูปทรงของเรือนร่างที่สง่างามดั่งจรวดในสายน้ำ เคลื่อนไหวด้วยความปราดเรียวว่องไว มีประสาทสัมผัสและการรับรู้ดีเยี่ยมแม้กลิ่นคาวเลือดที่อยู่ไกลและมีปริมาณเพียงเล็กน้อยก็สามารถจะรับรู้ได้ ฉลามมีประสาทรับคลื่นจากกระแสน้ำซึ่งสามารถรับรู้อาการว่ายน้ำของเหยื่อที่อยู่ในอาการดิ้นรนหรือบาดเจ็บ นอกจากนั้นยังมีฟันลักษณะเขี้ยวแหลมคมเรียงแถวจำนวนมากมายซ้อนกันอยู่หลายแถว ที่พร้อมจะดันขึ้นมาทดแทนเมื่อฟันแถวหน้าหลุดร่วงไป อีกทั้งบริเวณคมของฟันแต่ละซี่ยังมีลักษณะเป็นฟันเลื่อยเล็กๆ เพื่อการตัดบด ฉีกสิ่งที่กัดได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกรูปแบบ นอกจากนี้ขากรรไกรของฉลามยังมีแรงงับที่มหาศาล โดยเฉพาะ ฉลามขาว (Great white shark) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นฉลามที่ดุร้ายที่สุด เมื่อมีขนาดโตเต็มที่นั้นมีแรงกดของการงับถึง 60 กิโลกรัม ต่อฟัน 1 ซี่ เมื่อฟันทั้งปากรวมกันก็คงเป็นแรงงับที่มีน้ำหนักเป็นตันเลยทีเดียว แล้วอย่างนี้ใครยังจะข้องใจในความเป็นเจ้าทะเลของฉลามอีก

แต่ฉลามนั้นก็ใช่เป็นเจ้าตัวร้ายแห่งท้องทะเลไปเสียหมด เพราะในบรรดาญาติพี่น้องที่จัดอยู่ในกลุ่มฉลามราว 350 กว่าชนิดนั้น มีฉลามที่อาจจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์เพียงราว 20 กว่าชนิดเท่านั้น และไม่ใช่ว่าเจ้าฉลามที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์เหล่านี้จะคอยดักจ้องทำร้ายมนุษย์ที่ลงไปในทะเล เพราะฉลามเหล่านี้กินปลาเล็กกว่าตัวเองและสัตว์ทะเลอื่น ๆ เป็นอาหารหลัก คนเรานั้นไม่ใช่อาหารของฉลามและยังมีขนาดตัวใหญ่กว่าหรือเท่าๆกับฉลาม ดังนั้นเมื่อเจอกัน ฉลามก็มักจะเป็นฝ่ายหนีไม่ยอมให้เข้าใกล้ นอกจากเจ้าฉลามดุๆ 3 พันธุ์ คือ ฉลามขาว (Great white shark) ฉลามเสือ (Tiger shark) และฉลามวัว (Bull shark) ซึ่งมีขนาดใหญ่เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าคน ในทะเลไทยเรามีรายงานการพบเฉพาะฉลามเสือกับฉลามวัวเท่านั้น แต่ก็หาดูได้ยากมากในปัจจุบันและก็ไม่เคยมีข่าวว่าใครเคยถูกฉลามเสือฉลามวัวทำร้ายเลยแม้แต่ครั้งเดียวในท้องทะเลไทย

http://pics.manager.co.th/Images/555000001110604.JPEG

สถานการณ์ที่น่าวิตกว่าฉลามจะสูญพันธุ์ไปจากท้องทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆอีกต่อไป เพราะเมื่อตอนที่ผมเริ่มดำน้ำใหม่ๆเมื่อ 20 กว่าปีก่อนนั้น ยังสามารถจะพบเห็นฉลามได้ตามแหล่งดำน้ำแทบทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นฉลามหูดำ ฉลามหูขาวแถวเกาะง่าม ทะเลชุมพร เกาะเต่า ทะเลสุราษฎร์ธานี ฉลามหูขาว ฉลามหูดำ พยาบาล ที่หมู่เกาะสิมิลัน เกาะบอน เกาะตาชัย หมู่เกาะสุรินทร์ หรือฉลามเสือดาวที่มีมากมายแถวหมู่เกาะพีพี หินหมูสังจังหวัดกระบี่ และในแทบทุกแหล่งดำน้ำของทางฝั่งทะเลอันดามัน เรียกว่าไปลงดำน้ำกันทุกทริปก็จะต้องพบต้องเจอ แต่ทุกวันนี้เดินทางไปดำทั้งฤดูกาล 3-4 ทริป ก็ยังยากจะพบเห็นสักตัว ความจริงการดำน้ำดูฉลามนั้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนักดำน้ำชาวไทยก็เคยนิยมวิ่งเรือจากภูเก็ตออกไปดำดูกันแถวในเขตน่านน้ำพม่าบริเวณที่เรียกว่าเบอร์ม่าแบงค์ ซึ่งเป็นเขตทะเลลึกบริเวณไหล่ทวีปที่มีภูเขาใต้น้ำตั้งขึ้นมาซึ่งใช้เวลาแล่นเรือต่อจากหมู่เกาะสิมิลัน ออกไปในทะเลเปิดอีกราว 10 กว่าชั่วโมง ที่นั่นเคยมีฉลามมากมายอาศัยอยู่ เรือบริการดำน้ำที่พาไปดำจะนำอาหารเป็นปลาสดใส่ถังปิดมิชิดลงไปให้อาหารฉลาม เพื่อล่อให้มันว่ายเข้ามาให้ชมให้ถ่ายภาพกันได้อย่างใกล้ชิด โดยฉลามที่เป็นพระเอกของที่นั่นก็คือเจ้าฉลามครีบเงินขนาดใหญ่ น้ำหนักน่าจะเป็นร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าระยะหลังๆ ไม่มีเรือลำไหนพาออกไปดำดูฉลามที่นั่นอีกแล้ว เพราะไม่มีฉลามเหลือที่ดูอีกต่อไป ด้วยมีเรือประมงไปล่าฉลามที่นั่นจนไม่มีเหลือให้ดูกันอีกแล้ว ฉลามตัวหนึ่งหากล่าขึ้นมาขายอาจจะมีมูลค่าตัวละแค่ 2,000-3,000 บาทเท่านั้น แต่หากปล่อยให้มันคงอยู่คู่กับแนวปะการังคู่กับแหล่งดำน้ำ แล้วให้ผู้คนลงไปดำดู ฉลามตัวหนึ่งอาจจะทำเงินได้หลายล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง

วันนี้เครือโรงแรมชื่อดังในฮ่องกง ดินแดนที่นิยมบริโภคซุปหูฉลามมากที่สุดของโลกยังกล้าประกาศเลิกเสิร์ฟหูฉลามกันแล้ว ท่านล่ะจะยังไม่เปลี่ยนใจเลิกกินหูฉลามเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันดูแลรักษาฉลามเพื่อนร่วมโลกใต้ท้องทะเลผู้สง่างามที่อยู่มายาวนานกว่า 400 ล้านปีให้คงอยู่คู่ท้องทะเลต่อไปอีกหรือ




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 24 มกราคม 2555