View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส ยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังรักษาสุขภาพเนื่องจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนภาคใต้มีฝนน้อย สำหรับอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ม.ค. 63
ในช่วงวันที่ 3 - 5 ม.ค. 63 จะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณภาคเหนือตอนบนมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงได้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เมฆบางส่วน กับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 2 ? 7 ม.ค. 63 ประเทศไทยตอนบนอุณภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 3-11 องศาเซลเซียส สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น โดยในช่วงวันที่ 1 - 4 ม.ค. 63 บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
ส่วนในช่วงวันที่ 5 - 7 ม.ค. 63 บริเวณอ่าวไทยทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร
ข้อควรระวัง
ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ม.ค. 63
https://lh3.googleusercontent.com/0yTXdBsB-hfTx2cpWL-Fbvude9FQUuR-as7YWCqhauWSug2r6jg2UbE3A7stbFPsXBDMQG2KQCrOho7WKRcHP7hf3N-2DJekeXy4txMzIsjIkLFDOHmJ2wKC6vo1PiJ7XJJQ0PTkwnuPgpCSofPZYnNlykKmABzgYGkuLo0WYBRO_XQcVPtUzF3aAd_guBedv1SeT94VX-gKElUel1LowdjuU4ellSPX46PxKr4dPwvrWMQU-Sf9MKpppWVBAw8H2h4M89-b9Be_6-Jotag7ynC5j1A3VWWrvFCQB95CqyHZcyxLcCCVm-BHfU4qVkWxyn4mwTqmwmnOn0nXqXfhzWNJIIez-VzYnSX0QaK9w44iP6nlZWUCRHQhaOWLjEUqFeUhMUskMABN2gXU1X89tCDLwp1fgiaz_v-Kd_pblqjrHFdw1pjjLkiVtKytGzeX0S9KBI_-yNo98t0QPDgfH1ghCRS3w4Iu0bvtP5XmZPI-gejQrMzXWrBuUTexWYda13D-SBEO7630UvEh_mqqoPll3rCYySqDH_5HHBxLxtI32CyJpjJTFhAMx9pXwosdyJzNqjfcPmDtY3RWax8q9ub-Qe1Gzs96_fvx8UELksCSWdSLInAunvs60uXwVWqOd-h4omfQe51z1RfFRFvztTeIlnFlojEZSYIahe_GuazK7QR-fpHBAqDB=w887-h642-no
https://lh3.googleusercontent.com/haolVAOkgjkh7feH0H8kQS23IzIjrt3k92z9Ysr0UH31bZA3hnFREbEpouCZQtb4XPXK23_nJPs_RCYn60AVCE6naNo1qYbVUwQDUkj9RxJwzjq8imNj4Xw1CunuVFDE--nMyF4WBKCrhv5UUMk933LLJNmKw2cuQNJBbUCJZwW-EU8OaHOJoPU-pySVjaPxs-cvUQE5WX9lts9wMk_XXMtTZHmxLzS_-6ndCEFtvJD3eB_J7903sleyAnqfU0V2n0oYyADKqvyWh7LRTDKdfN-U1GI9FWNLL-eitHxs4-9VDc3kqpwZmAKIVhX-dKnDkAvv7YWPaDjF8-cJfZRZio8K-806t6zi_yi14BS8Mribj83McTq0v8GrgRy7tVV3NDKC6l2arQiMVXQ1zuMMYf8cjg8XzDxC6zFav0LnznqTMCeAmFAt1QMHkE0Jvv_OMQe7k05XMq19a2b9sxpQYyMhabk9mXoVKLRF8kGoU-28uTaCYVqut_mhk-G3r1tOgrLTnFzFHTm-qL5ywJ0Vb4nqA7GgEt_QZeR46vDb8CrxZvPeu350Z389JoUn_3RcBCXzbcoOisH4WixEjihfurqryItFZD03GNCheRbnxJokG2ET8B4ZebblZp9RqZXORfKd05ivpjdrHhYxzLHuStBlOwpu0p4nTtg6r2-WoKhGONrjI_8uDqlP=w532-h750-no
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"ปาเลา" ประเทศแรกแบน "ครีมกันแดด" เป็นพิษต่อแนวปะการัง
"ปาเลา" ประเทศแรกของโลกที่ออกกฎหมายแบนครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตราย 10 ชนิด เช่น oxybenzone และ octinoxate เนื่องจากเป็นอันตรายต่อแนวปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยมีผลบังคับใช้วันนี้ (1 ม.ค.2563) เป็นวันแรก
https://lh3.googleusercontent.com/cXg-ZPibBR0qRK5cniCrgU2yMZxPv4KWZ46vPCs8BfmOej6ZGkahdGURSSAAykOaEzXLsXu9Ere-Mr801rWUM1LLcDVXl1sVlkRnFnCJ0OxnKQd9zlsETdiSyOynn-f8km-ciuRaGNJODdrXRLwPE7CRk0_J80JXj3VbWO_OJHiC4gSKzfn-mNqt7JebgDNEhGOuHUqSks_i4ZsR88-M9p5TeeGqLK6bGeBP99TgCQLXV4VR2So2qF7nVCR9wF-pFBoXPTVzbNGtFK_kmngt0llUGcya7Gc7jwu-Y5x4nHGzecEF_610aoPrBgozDCEhWdE_ttWcAagZ4zuBeXUDKr4CBd8Os2ILju6j6QpE8xJMb0zB9Xk8gS6Z8Iiqax92RM3wESeDFOArOlNb7j0---GhQX-bNJrYUOsK4s_C6k_0ClDRdJiJecaebkpW84KdhI_-Mvl_E0Z52wTaP-BTxqn2yIS4dTPK-xPOV1oN9Si9AymKU_MrgTrilu5-MLjzsXtM2m9DZjtzVxQw7oLbzlaQ7FTYL1amzxfs8hR5nUrr_Pbpb4m96G3yWIJ7h2H0ZM7o1XBkedaYpMUJ5kVC7UEmKE6f4Cp_KBMKga8yZO-991Bce5OpHfe50yWb6DRutFKep68a9u5dZdu9armgKkwVyTJJin2H3uT46eCeLMUlpj5j2ExlyLXC=w700-h394-no
วันนี้ (1 ม.ค.2563) สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า "ปาเลา" ประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกได้กลายเป็นประเทศแรกที่ยกเลิกการใช้ครีมกันแดดที่เป็นอันตรายต่อปะการังและสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยตั้งแต่วันนี้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีอันตรายอย่างสารเคมีสำหรับป้องกันรังสียูวี "ออกซิเบนโซน" (oxybenzone) จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หรือจำหน่ายในประเทศ
ทอมมี เรเมนเจเซา ประธานาธิบดีปาเลา ระบุว่า "เราต้องเคารพสิ่งแวดล้อมเพราะสิ่งแวดล้อมเป็นรากฐานของชีวิต"
การยกเลิกการใช้ครีมกันแดดในครั้งนี้ เป็นการบังคับใช้กฎหมายจากประกาศในปี 2561 ที่ห้ามมิให้นำเข้าครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี 10 ชนิด สำหรับผู้ค้าปลีกที่ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 1,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 29,000 บาท ซึ่งสารเคมี 10 ชนิด ประกอบด้วย
- Oxybenzone (benzophenone-3)
- Ethyl paraben
- Octinoxate (octyl methoxycinnamate)
- Butyl paraben
- Octocrylene
- 4-methyl-benzylidene camphor
- Benzyl paraben
- Triclosan
- Methyl paraben
- Phenoxyethanol
ขณะที่มูลนิธิแนวปะการังระหว่างประเทศ ระบุว่า สารเคมีต้องห้ามเป็นมลพิษทางสิ่งแวดล้อมที่รู้จักกันดี ส่วนใหญ่เป็นพิษอย่างไม่น่าเชื่อต่อชีวิตของสัตว์ป่าหลายชนิด
ประธานาธิบดีปาเลา บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า เมื่อวิทยาศาสตร์บอกกับเราว่า สารเคมีกำลังสร้างความเสียหายให้กับแนวปะการัง ประชากรปลา รวมถึงมหาสมุทรเอง ชาวปาเลาก็ควรจะตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวและทำเป็นแบบอย่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ปฏิบัติตามเช่นกัน
"เราไม่กังวัลที่จะเป็นประเทศแรกที่ห้ามใช้สารเคมีเหล่านี้ในครีมกันแดดและเราจะทำหน้าที่ของในการประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ"
ทั้งนี้ ในปี 2561 ผู้เชี่ยวชาญ เปิดเผยว่า จำนวนครีมกันแดดที่มีสารเคมีอันตรายลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของครีมและโลชั่นทั้งหมด ขณะที่รัฐฮาวายของสหรัฐอเมริกา ก็มีประกาศห้ามที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2564 เช่นเดียวหมู่เกาะแคริบเบียนของเนเธอร์แลนด์ ในโบแนร์ รวมถึงหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา ที่กฎหมายแบนสารเคมีอันตรายในครีมกันแดดจะมีผลบังคับใช้ในเดือน มี.ค.นี้
https://news.thaipbs.or.th/content/287550
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
มองย้อน 5 ประเด็นร้อนสิ่งแวดล้อมปีหมู การพัฒนาที่ไร้ความยั่งยืนยังเป็นปัญหาหลัก
เพียงอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเราก็กำลังจะก้าวข้ามสู่ศักราชใหม่กันแล้ว สำนักข่าวสิ่งแวดล้อมจึงอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านร่วมมองย้อนประเด็นความเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม 5 ด้าน ในปี พ.ศ.2562 ไปด้วยกัน เพื่อที่เราจะได้ทบทวนสถานการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่วนใหญ่ยังคงยืดเยื้อ และเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน
https://lh3.googleusercontent.com/Gk8bXNq9D9bm6qv5v9u1F6Du0IWLcoYHgzyBYiFVIHlUWKLjXowdrjRR1uHDuCi-ADPYhDBc0UVTgyMZvNMqU6IAoDQHFQkzwb6tjIcOLtmRjnvb0vqd0znr8TRdaN5Vpws_taS_1DAaIHGKi-aQhuKs0M-kpNw2hdvEZJJO6dGfDoIh6DoJV0twGCkLFhJEdATgsG0OgOpZfwaSGrTVYdq0nAbKoKj0ZnNABV_6sCS3ODHRCxJB0JS9SyCBfRRNT1BYRwxAep0hhLkUEtzcrwIh8sudChZygS5zE5xyelkaRBeL7Yff4KApFMyRqO4lmu82zrKoc6ECh6zyMElhz71FT8MtfNdBrBkfU62vlz8TiD0ofSn7fXwh2AdFXiLOeDpvhk6hpF4MZcfD6s7FJuEThWCH5Ck8wyAXnEvf79NUL9XpI2NuBzwob2iQ5-bGb0MK0_JkHp54SEvFfSJMibfk9E-WEZjFX5I9Lg-hrSmfrbnFCq-PVZ9rbrVNuKysu2kpDQ3nF-ibJP90pLNFmEidkFyapqNQuDUOaVsWs5r_z0p0z5JVZ-H0nSAASJaGAjFQNfnLPQWFbFy0LGePBs8TwM5LPIWHOoA9lJi5IkcYJQoQtxgQvkhpNo_scJ9OEvMpsz4qfxd-s4f90dGXYFMSZXS7kABRJ3_PeB4C4rOyZ2P6XBywp2ZK=w524-h700-no
ซากเต่าทะเลที่พบลอยเกยตื้นในจ.ชลบุรี //ขอบคุณภาพจาก: ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ
5. สารพันปัญหาขยะ จากขยะในท้องสัตว์ทะเล สู่การนับถอยหลังแบนขยะพลาสติก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญของสังคมไทยคือปัญหาขยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาขยะในทะเล ที่ไทยเคยติดอันดับ 6 ประเทศที่ก่อขยะในทะเลมากที่สุด จากการจัดอันดับเมื่อปี พ.ศ.2560 อย่างไรก็ดีในปีนี้ประเทศไทยยังคงประสบปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะไม่น้อยไปกว่าเก่า โดยเฉพาะปัญหาจากขยะในทะเล ขยะพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์นำเข้า
เริ่มกันด้วยประเด็นปัญหาขยะในทะเล และการตายของสัตว์ทะเลหายากอาทิ เต่า วาฬ และพะยูน โดยในปีนี้พบว่ามีสัตว์ทะเลหายากเข้ามาติดตื้น ป่วย และตาย จากการกินขยะพลาสติกเข้าไปเป็นจำนวนสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างเห็นได้ชัด (อ่านต่อ: เศร้า! ขยะทะเลดับชีวิตเต่า 13 ตัว ในช่วงเวลาแค่ 2 วัน "ดร.ธรณ์" ย้ำถึงเวลาลดขยะพลาสติกอย่างจริงจัง) พะยูนน้อย 'มาเรียม' ถือเป็นหนึ่งในเคสที่สร้างความสะเทือนใจให้กับคนรักษ์สิ่งแวดล้อมมากที่สุด โดยหลังจากเจ้าหน้าที่ได้ช่วยลูกพะยูนพลัดหลงแม่ที่ จ.กระบี่ และนำมาอนุบาลจนมาเรียมสามารถกลับคืนทะเลได้ กระนั้นเมื่อเดือนสิงหาคม ลูกพะยูนขวัญใจชาวไทยกลับป่วยและเสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน ผลการชันสูตรโดยทีมสัตวแพทย์ชี้ชัดว่ามีถุงพลาสติกหลายชิ้นอุดตันลำไส้จนอักเสบ
นอกจากข่าวการตายของสัตว์ทะเลจากขยะพลาสติกแล้ว ในปีนี้เรายังพบหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงภัยคุกคามของการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ โดยเมื่อเดือนกันยายน ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 3 จ.ตรัง รายงานว่าได้พบไมโครพลาสติกในปลาทูไทย ซึ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผลกระทบจากขยะในทะเลไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับผู้สคนในสังคมอีกต่อไป
อย่างไรก็ดีในช่วงปีที่ผ่านมาได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาขยะอย่างต่อเนื่องจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงนามร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนใน ปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน หรือการประกาศโครงการ Everyday Say No To Plastic Bags งดการแจกถุงพลาสติกใน 75 แบรนด์ค้าปลีกในไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2563 เป็นต้นไป
ถึงแม้ว่า ในปีนี้เราจะเห็นภาพการร่วมมือกันจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาขยะของประเทศ กระนั้นเรายังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับขยะอีกหลายประเด็น เช่น ปัญหาการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังรอการแก้ไขอย่างจริงจังเช่นกัน
https://lh3.googleusercontent.com/_VGrsDDLtaGM7E-goDnLmXsucyysB9tniyVo7UNXuDukORJ9pp9g6sOKgNnq0asSWD8HAnrdOuViTd64LYiPlIBLJ414ao7HnY_Y3aizgrUbgXvXBoqcKtIMmcoIyOqaOp5N0YOWdvMYtNl9b3knh0DHCcSAxc99dKR3DBhKAdvKAY8sBu-JhYjQX5u3BsjVIQB1NPHlIfgT3IWRyYTAGkkfsT59v-jDDraMQ7Hp4-2zD_sar09DJhxBEviQz6mD9BUhZxm27C3Mxej2R73EKaJw6FioWzBGNQNZurKHrsh36411E3enZj_oT4PwWpdNDxLu0t3XdnQzxuw9rE07xYzvo7XqCnLbGPTnglOe_igyfJRuZCHopn-AFQcyJ6Ki9OPRX9Y58T_UsWcmI_d5rGNJtfFZ7iF9N_5A1OXaiA9gtj332svkIIpUcwgVhfLe1sUJ6X9D3PjahtTDy8QmH5lYTySmQXbOfq2dKeGqlS8BUCMSXrYCGko73PgP2bnhU3IabSAHM6z_Td7unSDE8SavWa6aKDm_cowTDzVvHGT3suvQ2JD7--4Z0NCOVltOc7aXVwYakI5FXVHwJSVh9f5eZr4JswcL41m9oScxQMCzincpg3V3KQeKg8jgzK0t7W7UxXwQQNc-T0RltVX1kXpzdrAH7csFSU_tc382RUVzfWspY2vMxYJ3=w700-h525-no
ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายทวงคืนผืนป่า รวมตัวกันหน้าศาลจังหวัดลำปาง ก่อนหน้าการอ่านคำตัดสินคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม //ขอบคุณภาพจาก: มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
4. ปัญหาที่ดินป่าไม้ เรื่องคาราคาซังที่มีหลายมาตรฐาน?
นับตั้งแต่การประกาศนโยบายทวงคืนผืนป่า โดยรัฐบาลคสช.เมื่อปี พ.ศ.2557 ประเด็นการยึดคืนพื้นที่รุกเขตป่าสงวน และอุทยานแห่งชาติ ได้กลายเป็นประเด็นร้อนข้ามปีที่ไม่มีทีท่าว่าจะเสียอันดับไปง่ายๆ เช่นเดียวกับปี พ.ศ.2562 ประเด็นความขัดแย้งจากการยึดคืนพื้นที่บุกรุกในเขตป่าสงวน ? อุทยานแห่งชาติ ยังคงระอุ ท่ามกลางข้อโต้แย้งถึงการเลือกปราบปรามชุมชน คนตัวเล็กตัวน้อยในเขตป่า มากกว่าการบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มนายทุนใหญ่ที่รุกพื้นที่ป่าที่ปรากฎขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้
หนึ่งในเรื่องที่เป็นข้อครหามากที่สุดของปีในประเด็นปัญหาที่ดินป่าไม้ได้แก่ กรณีฟาร์มไก่ ของ เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่นับตั้งแต่เรื่องแดงขึ้นมาเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จนถึงบัดนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีการดำเนินการเอาผิดกับปารีณาได้
จากประเด็นดังกล่าว ได้มีการนำกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐเข้าบุกยึดคืนพื้นที่ ดำเนินการเอาผิดชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเขตทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวน ? อุทยานแห่งชาติหลายคดี ที่พบว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้บุกรุกใหม่ แต่เป็นผู้อาศัยในเขตป่ามานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนการประกาศเขตป่าสงวน ? อุทยานแห่งชาติ แต่การดำเนินการเอาผิดกับคนกลุ่มนี้กลับทำอย่างว่องไว ผิดกับคดีบุกรุกป่าของนักการเมือง หรือนายทุนใหญ่ โดยเฉพาะกรณีการทวงคืนผืนป่าที่บ้านซับหวาย ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ ซึ่งศาลได้ตัดสินให้ชาวบ้าน 14 คนต้องโทษจำคุก จากคดีรวมกันทั้งสิ้น 19 คดี
ผลกระทบจากการเร่งรัดดำเนินนโยบายทวงคืนผืนป่ากับกลุ่มชาวบ้านไร้ที่ดิน ยังนำไปสู่ปัญหาสังคมมากมาย และสร้างผลกระทบรุนแรงต่อวิถีชีวิตของผู้คนที่แอบอิงอาศัยกับทรัพยากรมาเนิ่นนาน กรณีปัญหาการทวงคืนผืนป่า ตามเป้าหมายขยายพื้นที่ป่าของประเทศให้ได้ถึง 40% ตามนโยบายของรัฐบาล จึงยังคงเป็นปัญหาคาราคาซังที่ยังคงแก้ไม่ตกจนถึงบัดนี้
https://lh3.googleusercontent.com/rG5aqzl2bbTy8JJSk08IrrY2LLrg-eUaXuOinhvtQejXffxpCNwoF_Lp6b7OF9nwCSbj9XIfP1cR29gU3U0KpUJKedvl-FmpGOrZVeONmDiNZ2X9n2TE4sM7uXquOM_a5rQIuQeeoK74naBbecVayKkYXwZYjOG0OmmOyjp1EttPhL6dUIQ8DWcA9Pcxmrvy2Z9IjBiK2W0eq0ffzCrJrpzFPDvlZj_CRwZp37RjckcAMhRW5GJrsdcfqGAZed7SOLaJJKsZ8nMYUz655X7p2viGPPnJJ66a1BYrQtS7cDGMRqTOcVIEnoCMMnt-OIskNmtcLg8IcsCUNfYErs8yckDZlknnsZOS_J6woCK64IuXfcpT-ZjAWM0Di_uNwLuSHwLLx3guqisOwpWbASF1m-3qpH4rwdaxEJI3yvsBlCwOQlFTYbzAVhefE22Q_IMlhZ5x9X8RIsSBdzR74sk6qaLkr3pNUhlBuMnns3wBdjqvvv3OdFkgo8ps6hMbNsLLDQjgQqXD29cMC_qo2yo78zSBNjDcv4fbJ6lvQ3A9OntzVEJkjJRm7b5xXRyXTyuDUtw5OQZKbY-HLIgtURm_tM_jDyPkwDgph7EptajVzfEB3LXgX832lbVO74K7FVcdp_3xoGtrLoIXX89Dccng74chQM2M76aVGmoDBvpVOLGjkcFUgBYCtEE7=w700-h525-no
หมอกควันมลพิษหนาทึบปกคลุมกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 29 กันยายน // สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม / ปรัชญ์ รุจิวนารมย์
3. ภัยเงียบฝุ่น PM2.5 ยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาสิ่งแวดล้อมไทย
นับตั้งแต่ต้นปี ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คนไทยสังเกตได้ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นหมอกควันหนาทึบที่ห่มทับหลายหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ตลอดจนถึง กรุงเทพมหานคร โดยสถานการณ์ฝุ่นควันมีความสาหัสที่สุดในช่วงระหว่างฤดูแล้งตั้งแต่ ปลายเดือนธันวาคมของปีก่อนหน้า เรื่อยมาจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม เมื่อฤดูฝนมาถึง จะสังเกตได้ว่าช่วงเวลาประสบปัญหาจากฝุ่น PM2.5 ในช่วงต้นปีของปีนี้มีความยาวนานขึ้นอย่างชัดเจน
กระนั้น สภาพปัญหามลพิษจากฝุ่นควัน PM2.5 ก็ยังไม่จางหายไปจากสังคมไทยเสียทีเดียว ย่างเข้าเดือนกันยายน ปัญหาหมอกควันย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้ที่ภาคใต้ และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ ฝุ่นควัน PM2.5 ก็กลับมาปกคลุมกรุงเทพมหานครเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆอีกครั้ง
ล่วงไปจนถึงย่างเข้าฤดูแล้งช่วงปลายปี สถานการณ์ฝุ่นควันสาหัสก็กลับมาเยือนกรุงเทพมหานคร และหลายพื้นที่ในภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือตามคาดหมาย ชี้ให้เห็นว่ามาตรการต่างๆของภาครัฐที่เร่งทยอยออกมาเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ยังคงไม่ประสบความสำเร็จ ดังจะเห็นได้จาก ความล่าช้าในออกมาตรการรับมือฝุนควันของแต่ละท้องที่ จนทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง หรือแม้กระทั่งมาตรการที่ออกมายังเน้นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยยังไม่ได้เอาจริงเอาจังกับการจัดการปัญหาที่ต้นเหตุนัก นอกจากนี้มาตรการแจ้งเตือนสภาพอากาศของทางภาครัฐก็ยังไม่เหมาะสมกับการเตือนภัยในสภาพความเป็นจริงนัก จนทำให้ประชาชนยังต้องพึ่งพาแอปพลิเคชันตรวจเช็คคุณภาพอากาศเอกชนในการป้องกันตนเองจากสถานการณ์ฝุ่นควันพิษ
จากสถานการณ์ที่กล่าวมา จึงพอสรุปได้ว่าสถานการณ์หมอกควัน PM2.5 ยังคงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
(มีต่อ)
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
มองย้อน 5 ประเด็นร้อนสิ่งแวดล้อมปีหมู การพัฒนาที่ไร้ความยั่งยืนยังเป็นปัญหาหลัก ........ (ต่อ)
https://lh3.googleusercontent.com/hgRqWn87IhXbBnmO8rMOwQbW2oGFHb0QZAaD7_rEzv2okkAchjhlcUFe80f22HZ0jLRn9uUzSI58NP17XnNuf9Vv6JjFI_C-nDMI7mwL9-Q7loeTiaL0bvG4qk8tRbQh3S3bJrlkyulWMlMJto8m6B9rks_8a_zOjWX3p1iKllGKDuBBR5e9gwSWFy-rM-FVORt2EJC2DYO63KRi6Nk5EA6Uc8PiYXd1KLOGI3WBLHi3xqHbeOQ_8_19u0khwsr7A8XUp2XRZTTjdSfqh__PegZBklJglLEK36RHMeMPekfPrdIGq5SzrHffHjpIb4pERO4Fjaf_Utk8rhW7L_287ZcQBWgZXJmd2kuX3uobmaSltGMtLpDkm2pZg2-oc5_Vda6qEpkJGPKlQ2qB45_7H0x1bTte-XGmSKfEHyUxhGMbDgqaiNmI4vXw2FdOH4adTQ9brAMgwMxyMFq56Ta48XvdktE6OTu91OEzISsim7OJWt0jKQR0vRwDko_64i5afFtqmLEeA7Ek7fbYjW7AvADL1skyWBpi7I-ePUAq3U416u4d_N5kUqs2mEY49ljWq9m87e24TycBvVsjxCJZtvbKBxyPyDX5BzktL69Gl9oYH_QrjFZLNSj0cQCxKH-rZ_MiNqwW0x_O5sNy6f05OhDW6Vw89mUm5UI5-jDqNNB3MjXj9JvsZfam=w621-h518-no
ภาพถ่ายดาวเทียมพายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส จากเว็บไซต์ https://www.windy.com
2. ท่วมแล้งรุนแรงพร้อมๆกัน สภาพอากาศแปรปรวนป่วนทั่วทุกภูมิภาค
เป็นที่ชัดเจนจากสถานการณ์สภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติไปทั่วโลกว่าปีนี้เป็นปีเราประสบกับผลพวงจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยประสบมา ทั้งจากเหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ในป่าอเมซอน ไฟป่าครั้งใหญ่ในออสเตรเลียที่คุกคามถิ่นอาศัยของโคอาล่า จนสัตว์สัญลักษณ์ของออสเตรเลียชนิดนี้ตกในสภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ยิ่งขึ้น ไปจนถึงพายุรุนแรงหลายลูกที่พัดเข้าถล่มญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องช่วงกลางปีที่ผ่านมา
เหตุการณ์ความแปรปรวนของภูมิอากาศโลกกระทบถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทยเช่นกัน โดยตั้งแต่ต้นปี ไทยก็ต้องพบกับพายุโซนร้อน ?ปาบึก? พัดถล่มชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกในเดือนมกราคม นับเป็นพายุลูกแรกที่พัดถล่มพื้นที่นี้นับตั้งแต่มีการบันทึกประวัติการเกิดพายุในไทย
ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศยังไม่หยุดอยู่เท่านั้น เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูฝนแต่กลับกลายเป็นว่าปีนี้ปริมาณน้ำฝนกลับตกน้อยผิดปกติเป็นประวัติการณ์เช่นกัน สภาวะภัยแล้วรุนแรงยังส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทำให้ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ต้องประสบกับสภาวะขาดแคลนน้ำอย่างหนักตั้งแต่ยังไม่หมดฤดูมรสุม
จากสถานการณ์ความผิดปกติของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นผลพวงมาจากสภาวะโลกร้อน และเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในแวดวงวิชาการนานาชาติว่าสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ และเวลาในการแก้ไขสถานการณ์กำลังหมดไปทุกที
อย่างไรก็ดี เรายังไม่เห็นท่าทีที่กระตือรือร้นนักจากภาครัฐในการเร่งผลักดันแผนลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นไปตามเป้าหมายข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ตั้งเป้าควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้พุ่งสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส หรือแม้แต่ภาครัฐไทยเองก็ยังไม่มีการปรับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Nationally Determined Contributions หรือ NDCs) ของตน ให้มีความท้าทายยิ่งขึ้น เพื่อเติมช่องโหว่ของความพยายามลดก๊าซเรือนกระจก (emission gap) ที่ยังถ่างกว้าง ซ้ำร้ายยังมีความพยายามจากภาคอุตสาหกรรมที่ยังผลักดันให้เกิดโครงการที่ส่งผลเสียต่อเป้าหมายการลดโลกร้อน
วิกฤตสภาวะโลกร้อนจึงเป็นเรื่องร้อนที่ชาวโลกยังต้องจับตา และเร่งหาทางแก้ไขสถานการณ์ให้เร็วที่สุดก่อนที่อนาคตของเราจะตกอยู่กับความไม่แน่นอนเช่นเดียวกับสภาพภูมิอากาศโลก
https://lh3.googleusercontent.com/jufcA_RTT3gDc2r7IJbLc51fJllfvkdKIqV1UEWU_nLArvZDwhmeSqz25kq5lQkwkZMco2jMU0pqExhIM4ltIGaB_DwwwXk9DZOwOzMJHdJjlyjuCp8_LDJUnSngS0hkcHm0gNjAHWHXQea0uKHD2d4Sb7nbiV_uak_RJ-IklBBGuHC7A4ZUp1qM6zki0E_5UtyBo-j4UDgLTadH58OdulEKk_AYdrBOO1qq7xoW2CUqutPsmQ-tZsnHSjBFLxvMg5BH6YnN4i-_nkh_7_K-bf5tl_z3F8doXd20fJsbj8ydWpdfIijXyCR8h-gqlL6ha_lqaWYHGTY1GEzjdlnrg8lsaMYmDPVisyWQUM8UqAoonAI-4ZgMab068GK_3nj7rqxcA6DhSiBJqRXzBAZne0c83nkb1e12RAyEV-ZyYcBw05PNiflLbqv5W4vMS4_vRkkXVQ02TQVB4vnRW-Z9YFRHQXlZ3UqncyGmKodstQM1HJiVVADumxcYWTuMlpyrToPZkANziuCSY_IHIqjqiHrYOk0GSugqisgDlfE9wm1H9JKUsMa0pEhQWXu7E7VwNKzuryXXj_Yotce3kUR_gXL-xepjtS73G29MebxOD2sBDwowtooWymeCrckFMG-1hvaHSNxYhJOSJxnJbqGphQfb8BFvmXn3wPP-gHo3xlfrp6ZOTh8wumAj=w700-h525-no
สภาพแม่น้ำโขงลดต่ำผิดฤดูกาลเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม เผยให้เห็นป่าไคร้กลางแม่น้ำโขงแหังตายเพราะผลจากการขึ้นลงอย่างผิดปกติของแม่น้ำโขงในปีที่ผ่านมา //ขอบคุณภาพจาก: Chainarong Setthachua
1. เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าและการพัฒนาขนานใหญ่ ต้นตอแม่น้ำโขงวิบัติ
ปี พ.ศ.2562 นับได้ว่าเป็นปีที่เราได้เห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนนานาชาติที่เข้าไปลงทุนสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าบนแม่น้ำโขงสายประธาน ทั้งจากการทดลองเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรีในเดือนเมษายน และเริ่มดำเนินการผลิตไฟฟ้าส่งขายไทยอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ความคืบหน้าโครงการเขื่อนดอนสะโฮงที่มีแผนจ่ายไฟไปยังกัมพูชาในเดือนมกราคมนี้ หรือการประกาศเตรียมสร้างเขื่อนหลวงพระบาง อันจะเป็นเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าโครงการล่าสุดบนลำน้ำโขงเมื่อเดือนตุลาคม
ความเคลื่อนไหวในวงการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในปีที่ผ่านมา สอดรับกับสภาพความเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วของระบบนิเวศแม่น้ำโขงที่ปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยพบว่าการขึ้นลงของระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีความผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาที่ระดับน้ำโขงลดลงต่ำสุดในรอบ 50 ปี ทั้งๆที่อยู่ในช่วงฤดูฝน และแม่น้ำยังคงมีความผันผวนรุนแรงไปจนตลอดทั้งปี
จากสภาพการณ์ความผันผวนรุนแรงของกระแสน้ำในแม่น้ำโขง ทำให้ระบบนิเวศของแม่น้ำเกิดความเสียหายอย่างหนัก ปลาจำนวนมากติดตื้นแห้งตาย ไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นไปวางไข่ในฤดูน้ำหลากได้ จนสร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหารในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงปีที่ผ่านมาเรายังได้เห็นปรากฎการณ์ที่แม่น้ำโขงเปลี่ยนสี จากสีปูนขุ่น กลายเป็นสีฟ้าคราม ซึ่งชี้ให้เห็นผลกระทบต่อการไหลของตะกอนจากการสร้างเขื่อนอย่างชัดเจน เนื่องจากน้ำใสปราศจากตะกอนดังกล่าวจะกัดเซาะพาเอาตะกอนออกจากตลิ่งและท้องน้ำเพื่อคืนสมดุลตะกอน นำไปส่การพังทลายของตลิ่งในที่สุด
จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงแสดงให้เห็นว่า ผลกระทบต่อเนื่องจากการสร้างและดำเนินการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าในแม่น้ำโขง กำลังทำให้ระบบนิเวศแม่น้ำโขง อันเป็นฐานทรัพยากรสำคัญที่อุ้มชูผู้คนหลายสิบล้านคน ตลอดสองฝั่งแม่น้ำใน 5 ประเทศ ใกล้ถึงจุดแตกหักเข้าไปทุกที จนอาจสร้างภัยร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมในอนาคต หากแต่ยังไม่มีทีท่าว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคจะทบทวนแผนการลงทุนเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าในแม่น้ำโขง และลงมือแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ สำนักข่าวสิ่งแวดล้อมจึงเลือกให้กรณีแม่น้ำโขงวิบัติให้เป็นประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สาหัสที่สุดในปี พ.ศ. 2562 ที่กำลังจะผ่านพ้นไปนี้
https://greennews.agency/?p=19958
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.