View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-21 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-14 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
ฝุ่นละออง ในระยะนี้ ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีกำลังอ่อนลงและมีฝนบางพื้นที่เท่านั้น ทำให้มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันเพิ่มมากขึ้น ส่วนภาคเหนืออากาศยังยกตัวได้ไม่ดีในตอนเช้า และมีลมอ่อน ทำให้ตอนเช้ามีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควัน ตอนบ่ายจะดีขึ้นเนื่องจากอากาศยกตัวได้ดี
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เมฆบางส่วนกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 4 - 7 ก.พ. 63 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-15 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับภาคใต้มีฝนลดลง
ส่วนในช่วงวันที่ 8-9 ก.พ. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-15 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็น สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 4 - 7 ก.พ. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย
https://lh3.googleusercontent.com/8fgWMWH3oNoO_8ZHjyqgEmwqrDkYXBpvL4GHG2geN3l9gnXAgrMG7R3bVPTv_Rd0nqNzCoukKH92AweNU4Z_BkgyVTDNO5nWSmT_p4A_ovETLGCN18wM1VHAXpRwFdaZiH1RzW3NbmFPcxBPjTSu3l8fs5qwaiO_VdNZCRHhJNqIyKbwllp3R_F6E_ef_loP22RFA7FqnoxSU4IxIRQXSVmbw2_q49aerkwaqBr7eynqWDT3mdiW8_ENb4D9z76RTyxryMngHbdFyzUWlh2dm7CAHONFdZDNBe5T97QCFUWJxssPLwslxBBPI340ZaJHmI8SSDRiMHcGnDKkHF5pj5FV54ToD0441YF3k7alwvkvQPJoq4sPFXbkbdmddympU5ChYcvV93O3BoN1wuQOtt-VKGOZ-3CsZjM2a4hA46F1I6Fs_5rSzXwg6nkWxanAjhPrqzE9uybN3IKZs3Yul8o1t4I_lD7hCNyzX5q37Ew3_UyoVS1cZ31dpaD_VObDtthha8HiVcBpQlwgpOxRVJQ04EPhszn2lDn8owTf8V_zLYqwz3N5tm4TGc4whj6eYlifc8pSNjrL228RQNnNKnqOJRr6rd6gB0lOzwgJnXUGrTmRJbtFVyDd5BwwvoLdyVY9gtesQNBS27pa5CV2OdG11A0H7s1ii_XGalOSk41-zC-8gXOnV6m5=w850-h542-no
https://lh3.googleusercontent.com/Fs4Sn_Zva1mSwzlL4kOpzZfKUky2R-sHnqaKy8Du9TfytGpUS2xCBMVU5m-y1UlguwdASrZWKOZ6B-PvQ6YaF1lm0b97bI3vP6AdzxCTF3b61U3gaqTbgCYZJ9qh5mH1Q1gTwQkfzKaCvp4s3imRrriOwg1W1K6yTtf0aoPCX-F5x5ishZCrAp_sOWFxgSOvd6wg_4sXuvjeyLN3xpUjCS_4LPs98JqIlmAqe_pzphBEsIbwaoQ4_Jbr7S0itEfE8zhkvWyQUPR3MgJAojwkk0b8w7SuTRAHCMzT9PFCMXz4VyTpb5BmL0hB5SQGDTvjdpGGcESdTYW_P1XUiVfcuON-Xcyuuc6lbM6O14sWeF64fjityaJSOkYln9TviqfZN4TqF9MVwneX4dEmVO8rAms_Tx9yAl75C-ZnZoFm7pwvhKe7JTaXjXzYys3V1UWEuqJWPaFOYUV2rOzIpXTyWUxd_4b0UQoUgkhXV_BwctNq2NCcbX67u6faZfg_VVCGk6Wr4nI-dafCLaZltwD-Ir8ptbLx2nPweJfm3DxEO7lqr0loFR0sLnszbmMn_GcM9RA3hx8Mh5Bb1T_ZHrislKuCtDvMHi11QIrT66YeaDJqr2kg-c4TlMfW4VKldA117VlsrB5WuG3s5ytZJ6VAh_LqkS-g7vq1No7ZoRFtzyKrQz4rtQM-XXBH=w715-h345-no
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ไฟเขียวงบ 17.5 ล้านบาทเดินหน้าปรับปรุง "อ่าวมาหยา"
เปิดแผนพัฒนาอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ 2 โครงการวงเงิน 17.5 ล้านบาท เล็งลดผลนักท่องเที่ยวเหยียบแนวปะการัง -ฉลามหูดำ หน้าอ่าวมาหยา ชี้ต้องกำกับเส้นทางขนส่งวัสดุก่อสร้างเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง
https://lh3.googleusercontent.com/BpGZfm_OqPHowl3ZPxRATHFl2ZzbUstiYGe1w_rgp4Zosid025vQ0RveyL8Gqj_LpvRLwRMwIlwNqbyuL6X-EFlK2UizTKPs7qeEVXDplCiJaNQOD-AFHQqtiKhdrnv6KJo1Io-8a0io-TjJLWU54P7ST55r7U5Ml0yjLe8-V3TzlUBPMTcqjgk6WZr8IntBaE2E1iZFIchJuUfjhCMUTZQQ0OS6HJYoFiHPYhCA0aMbBlTe7_5j51Rc9Qz4IUjyqZ8uSuhjb6W1dfmwRF9JEZR2s9FUDHC1BqZ8vHPWhOVnJfr9YAW7-8bOzNVP518aUJRJREgY7YChdr7OcZ8YlMBvaDBFro5MJciLFK7o0VHIL-CdUfZPlRH3HebSwsxCCna9M5pOR8jBDIOXQ14aOd8mPE4klga0geV1tylIH-bRCBjKB6RfLZH88zyKIJEberl03O07ddUg61timLl9_YZ7j-NWMmqSofioysnCRjaoyh1FpgsIweJIAXP0cycpMjFaQv4uaeH-X44_fkoOuNt19DQ4xs_WYMtqANf-qERxPDMsRJhjnm-RTGiaLss3dN2xonvBhJw2Sjm86xnXoGlNZMBSk3tLBrOasSgpstqemNJUU8Fqw0H8TYE03xBRUUIPlDt1Ep0wf88h31KgsYqgQV240-PaRFNzotFa22VcLpPRN6hpjs-x=w700-h393-no
วันนี้ (3 ก.พ.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา นายวรพจน์ ล้อมลิ้ม หัวหน้าอุท ยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ทำหนังสือถึงประธานชมรมเรือท่องเที่ยวอ่าวต้น ไทร เรื่อง ผู้รับหมาก่อสร้างจะเข้าตำเนินการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับบริการนักท่องเที่ยว
หนังสือดังกล่าว ระบุว่า ด้วยกรมอุทยานยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้อนุมัติเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ ตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติประเภท ค โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2562 ทำโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณอ่าวมาหยา งบประมาณ 6,176,000 บาท
นอกจากนี้ยังและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการใช้ง่ายเงินรายได้ครั้งที่ 4 ประจำปีงบ 2562 ทำโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ ก่อสร้างทางเดินยกระดับระเบียงชมวิว พร้อมม้านั่งอเนกประสงค์ บริเวณอ่าวมาหยา 12,949,000 บาท เพื่อเป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนานาสิ่งอำนวยความสะตวกต่างๆ ให้มีความพร้อมสำหรับบริการนักท่องเที่ยว เมื่อเปิตให้เข้าท่องเที่ยวในบริเวณอ่าวมาหยาได้ ทั้งนี้อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ขอเรียนว่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (นครศรีธรรมราช) ได้ดำเนินการจัดซื้อจ้างหาผู้รับจ้าง โดยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ดังนี้
- โครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณอ่าวมาหยา ผู้รับจ้าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดเพชรสินนครก่อสร้าง งบตามสัญญาจ้าง 6,060,000 บาท
- โครงการปรันปรุงภูมิทัศน์ ก่อสร้างทางเดินยกระดับระเบียงชมวิว พร้อมม้านั่งอเนกประสงค์ บริเวณอ่าวมาหยา ผู้รับจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สุชาติการโยธางบตามสัญญาจ้าง 11,580,000 บาท
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานตามโครงการ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี อุทยานฯ จึงขอแจ้งให้ผู้รับจ้างจะขนวัสดุก่อสร้างเข้าไปในบริเวณพื้นที่อ่าวมาหยา เพื่อดำเนินการก่อสร้างทางอุทยานฯ ได้กำหนดเส้นทางทางการเดินเรือเพื่อบรรทุกวัสดุก่อสร้าง ไห้แก่ผู้รับจ้างเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพื้นฟูปะการังในบริเวณอ่าวมาหยา
ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์นายวรพจน์ ยืนยันว่าโครงการดังกล่าวได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติทางทะเลแล้ว ซึ่งมีทั้งกรมอุทยานฯ นักวิชาการด้านทะเลจากหลายหน่วยงาน ซึ่งได้ลงพื้นที่จุดก่อสร้างแล้ว รวมทั้งเส้นทางที่จะขนวัสดุอุปกรณ์ต่างๆจะไม่ให้กระทบกับแนวปะการังและฝูงฉลามหูดำอย่างเด็ดขาด
"โครงการพัฒนาเกิดขึ้น เพราะต้องการลดผลกระทบจากการท่องเที่ยวหน้าอ่าวมาหยา และการเหยียบย้ำแนวปะการัง และเหยียบย่ำทรายชายหาด ซึ่งมีการคำนึงถึงผลกระทบช่วงก่อสร้างและจะไม่ให้มีผลกระทบกับปะการังและฝูงฉลามหูดำอย่างเด็ดขาด"
นายวรพจน์ กล่าวว่า สำหรับโครงการที่เดินหน้าได้ทันทีเป็นการสร้างเส้นทางเดิน ส่วนโครงการท่าเทียบเรือลอยน้ำ ยังต้องหาผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญเฉพาะมาทำโครงการ ขณะที่ยังมั่นใจว่าโครงการนี้ต้องรับฟังความคิดเห็นจากท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ
https://news.thaipbs.or.th/content/288583
ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE
โลกร้อนขึ้น โรคร้ายขึ้น? ................... โดย รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์
อุณหภูมิของเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อสภาพภูมิอากาศอันแปรปรวนและวิกฤตต่าง ๆ ที่ตามมา รวมถึงโรคร้ายต่าง ๆ ที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่น่ากังวลมากที่สุด ภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ และโรคระบาดซ้ำที่เคยหายไปแล้วแต่กลับมาให้ได้เห็นใหม่ รวมถึงการเพิ่มจำนวนง่ายขึ้นของพาหะนำโรค
เนื้อหาโดยสรุป
- ไวรัสและแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโรคระบาดของมนุษย์มาเนิ่นนานหากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็งอาร์กติกค่อย ๆ ละลายจนกระทั่งปลดปล่อยไวรัสและแบคทีเรียในยุคหลายพันปีก่อน นั่นหมายถึงมนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันโรคร้ายที่เกิดขึ้นจากไวรัสและแบคทีเรียอายุพันปีที่เคยสงบนิ่งใต้น้ำแข็ง
- สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าการคืนชีพกลับมาของเชื้อโรคต่าง ๆ คือ การอุบัติใหม่ และการย้ายถิ่นฐานของเชื้อโรค ที่เอื้อจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น และความทันสมัยของโลกที่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ง่าย
- ในอดีตโรคระบาดจะจำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเท่านั้น แต่ลองจินตนาการว่าหากโรคนี้เกิดขึ้นในยุคที่การเดินทางสะดวกสบายรวดเร็วอย่างรถไฟและเครื่องบินที่เชื่อมต่อข้ามพรมแดนได้ง่ายนั้น จะเป็นอย่างไร
โรคระบาดที่มียุงและแมลงเป็นพาหะ อาทิ ไข้เหลือง และมาลาเรีย ทวีความถี่และเกิดผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้นโดยมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยผลักดัน
https://lh3.googleusercontent.com/zUgaopHUW47BTUK49nNsyWEL61hqt22RHyJJzzwt-qZKPd-VhCbVVALdAet1RPbsKhZrKIKSpvvbqa37W5APNV94eg7rT3xwKgoAopDZxDlrk8wJ4kvrQ4lsen1US1vzjqjheTp9vmkk_LZOLo8dJArencjbnUBfVXaODRXJs6kAA9q9-29grUqxalHnjYkFAXH3SJfNnmMxNoHPVrFPZ5el4ry6Byw0Ko6_0FGKcKAVVN_9Y9hXv2SLXNbIDOFAIu9dtzRaQLqP1xH-jOT4o6pwLBR_1LvbbNsi91Dj8QwL4qw18k0_XMKRV-orAv97Aof3lBoiGPU3Fs-BRj8LnmJgObNIx_UCuMsHZknPNsW8AR2jZx8HuPO0EimniyTzIMfvL-pX04LpQ3DWa9fmWPIQzptnw-bBcHXfUoXGUJ1h-1Ftxs_FHfAgBWJXF_PrH3cYcjwMooyTzBD6IV7X-o4Kf6iby7jGpggJsSHyZkY3bUc7Niie36311hqZkpbxXZOcYVdWbf52J_N6fBy6giu4ArK4d58Qmhtin2r65KhBS4GDstmUAjLME_jHTvS7Y_nmsEl6qRyotr6RGJaUFF86bpayQ5d5V17vcGqIbpRMeMgthnoUDotFLyTmuKLGZ5aLR6O9EdbCzeQaBf7dVzF2PPTrnOrjcMQN1-wtO7pX4jG8-sviMEAK=w700-h489-no
เครื่องบินกำลัง Take off การเดินทางโดยเครื่องบินนั้นได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว และบุคคลทั่วไปมากทีเดียว ? Marten van Dijl / Greenpeace
ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (2019) เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของโรคอุบัติใหม่จากไวรัสที่เห็นชัดที่สุดในขณะนี้ เราคงต้องรออีกสักนิดให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาถึงไวรัสนี้มากพอจึงจะชี้เฉพาะถึงที่มาและสาเหตุ แต่ประเด็นหลัก ๆ ที่น่าคิดคือ ภูมิคุ้มกัน อากาศที่เปลี่ยนแปลง และการ(กลับ)มาของเชื้อโรค
ไวรัสและแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่คู่กับประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโรคระบาดของมนุษย์มาเนิ่นนาน สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เหล่านี้มีอยู่ทั่วไปบนโลกของเรา ตั้งแต่ในก้อนหินเล็ก ๆ หนึ่งก้อน ยุงหนึ่งตัว ไปจนถึงลำไส้ของเรา ซึ่งเปรียบเสมือนจักรวาลอีกหลาย ๆ จักรวาลที่มนุษย์ยังอาจไม่ทราบทั้งหมด ก้อนหินที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งและเกิดการทับถมของดินมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละปี และถูกแช่แข็งไว้ผ่านเวลาหลายพันปี มนุษย์เพิ่งค้นพบยาปฏิชีวนะเพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียราว 70 ปีเท่านั้น และวัคซีนป้องกันไวรัสจะผลิตขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เผชิญกับโรคนั้นเสียก่อน แต่หากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นทำให้น้ำแข็งอาร์กติกค่อย ๆ ละลายจนกระทั่งปลดปล่อยไวรัสและแบคทีเรียที่จำศีลหลับไหลตั้งแต่ในยุคหลายพันปีก่อน ก่อนที่มนุษย์จะมีข้อมูลสิ่งเหล่านี้ล่ะ? ซึ่งนั่นหมายถึงมนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันโรคร้ายที่เกิดขึ้นจากไวรัสและแบคทีเรียอายุพันปีที่เคยสงบนิ่งใต้น้ำแข็ง คำถามคือเราจะรับมือได้อย่างไร
https://lh3.googleusercontent.com/u8mUbyago3Z7cOt65w3SDR_4CDfSteW1uOh-HtlsFthc8ehimepwswn-OiD1B_g9V9LEdrylGx4E4kvbu_-UGZ_E9XvyzHMKMIXkq13IymB6HxfCYON-PF0p607PqBQnBePD33vAwwPC3YLc8T99Lb_bueHSA-E86WRyakxAk9ZcSonl5CAckVj1sf166vU7EM4B731m76AoDHylgKjPtiCcFZD24pu89WxNJthz2bHcjDzz2MnCRZMEiM4Y9UB3uairxfOdtkSsvkwRZICZ_yO_fNznhpOs5swD0_1D3M0m6nrscLsWjufYhNkP3xKOScHGAwl9Ygkr5d25R9pVib4cD73qj4DTEBQBmc_nOw9MlRF3GhUL5qYyDCy2iAa7Lqy1R6WTsXJRl5jUCsKwkEvRlt8NPUk3ZK_Tx5-KCcdzGy6hrNDDYGzA6P6WysnwsUpCcvRCvWA5Yx-puKbqokf7p5JManFqX6M125O3nvMWXbm35wnn36aXbFpOwI-usg8xUGme318NFLjd2qgGHQKloALDAIejJpIi4oyVREktvcyZ3DutrZEWXKMDu_tVm_S3k21BdFIrZucyXX-uJp0QIWobx2HzvgzXp0nGbOSXhBXPg_J_0Ou8_0yvyFZ3z4Q4hYiMVokA_ouUFWgpJLrdZQqXb9Ki89lgobP4e-UcHEExd4Cb_snT=w456-h304-no
น้ำแข็งในธารน้ำแข็งอัลไพน์หายไปกว่าร้อยละ 50 ในระยะเวลาเพียงแค่ 100 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ? Mitja Kobal / Greenpeace
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องสมมติที่ไกลความจริง เมื่อสิงหาคมปี 2559 ที่ภูมิภาคอาร์กติก เด็กชายวัย 12 ได้เสียชีวิต เพราะเชื้อแอนแทร็กซ์ และมีคนในพื้นที่อีก 20 คนถูกนำส่งโรงพยาบาลเพราะโรคเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์คาดเดาว่าสาเหตุเกิดจากคลื่นความร้อนในปีนั้นทำให้ชั้นดินเยือกแข็งซึ่งปกติจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสอยู่ตลอดปีละลายตัว จนเผยซากกวางเรนเดียร์ที่ตายด้วยโรคแอนแทร็กซ์เมื่อ 75 ปีใต้ดินขึ้นมาสัมผัสกับน้ำและอากาศ เชื้อบางชนิด เช่นเชื้อแอนแทร็กซ์ สามารถสร้างสปอร์ห่อหุ้มตัวเพื่อดำรงชีวิตรอดในน้ำแข็งได้ หรือไวรัสบางชนิดเองก็มีดีเอ็นเอที่แข็งแกร่งกว่าไวรัสทั่วไปในปัจจุบัน
การวิจัยชิ้นหนึ่งของนาซ่าเมื่อปี 2548 เผยว่าได้ทดลองนำน้ำจากทะเลสาบของอลาสก้าที่ถูกแช่แข็งมากว่า 32,000 ปี ตั้งแต่ยุคที่มีแมมมอธยังคงอยู่ และน้ำมาละลายน้ำแข็ง ก็พบว่าแบคทีเรียที่อยู่ในนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง สองปีถัดมาจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็ได้ลองละลายน้ำแข็งอายุ 8 ล้านปีอีกครั้งจากแอนตาร์กติกา แบคทีเรียก็กลับมามีชีวิตได้อีกเช่นกัน แต่แบคทีเรียไม่ใช่ผู้ร้ายทุกชนิดเสมอไป ตามปกติแล้วมีอยู่ทั่วไปในสิ่งแวดล้อมและร่างกายเรา เพียงแค่ยีนดื้อยาสามารถส่งต่อถึงกันได้ ไวรัสเองก็สามารถอยู่รอดภายใต้น้ำแข็งได้เช่นกัน จากที่นักวิทยาศาสตร์เคยทดลองละลายน้ำแข็งอายุ 30,000 ปี และพบว่าไวรัสฟื้นกลับมาใหม่ได้ (แต่ไวรัสชนิดนั้นเป็นอันตรายต่ออมีบาเพียงเท่านั้น)
แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าการคืนชีพกลับมาของเชื้อโรคต่าง ๆ คือ การอุบัติใหม่ และการย้ายถิ่นฐานของเชื้อโรค ที่เอื้อจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น และความทันสมัยของโลกที่ทำให้การเดินทางเป็นไปได้ง่าย ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้น้ำแข็งละลายเท่านั้น แต่การเดินทางที่เข้าถึงพื้นที่หลากหลายง่ายขึ้น รวมถึงการที่พื้นที่อย่างไซบีเรียเข้าถึงได้จากการรุกล้ำของอุตสาหกรรมประมงและขุดเจาะพลังงาน ก็เป็นอีกหนทางที่เชื้อโรคสามารถเดินทางออกจากไซบีเรียไปยังที่ห่างไกลอื่นได้ และเพิ่มโอกาสให้เชื้อโรคจากใต้ดินปนเปื้อนออกสู่ดินชั้นบน แหล่งน้ำ และห่วงโซ่อาหารได้
ในอดีตโรคระบาดจะจำกัดอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตเท่านั้น เช่น กาฬโรคที่เกิดขึ้นในยุโรปและจีนเมื่อช่วงยุคพศ.1890 การเดินทางหลักที่ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้คือทางเรือ แม้จะคร่าชีวิตคนจำนวนมหาศาลในยุโรป แต่ลองจินตนาการว่าหากโรคนี้เกิดขึ้นในยุคที่การเดินทางสะดวกสบายรวดเร็วอย่างรถไฟและเครื่องบินที่เชื่อมต่อข้ามพรมแดนได้ง่ายนั้น จะเป็นอย่างไร
พรมแดนประเทศมิได้เลือนลางเพราะการเดินทางที่สะดวกเท่านั้น แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เดิมจากที่เรารู้ว่าพื้นที่ใดมีโอกาสเสี่ยงติดโรคใดบ้างจากสัตว์ที่เป็นพาหะในพื้นที่นั้น ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป
เราคงทราบกัน หรือเคยได้รับคำเตือนให้ฉีดวัคซีนป้องกันอะไรก่อนเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง เช่น ไข้เหลืองที่เกิดขึ้นในแอฟริกาและอเมริกาใต้ โรคไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อยในอินเดียและเนปาล หรืออาจจะแค่ง่าย ๆ ว่าเวลาไปเข้าป่าระวังไข้มาลาเรีย ทว่าโลกที่ร้อนขึ้น ป่าไม้ที่ถูกทำลาย การรุกคืบของเมือง สัตว์ท้องถิ่นในพื้นที่ป่านั้นก็อาจต้องหาทางมีชีวิตรอดในสภาพภูมิประเทศและอากาศที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
โรคระบาดที่มียุงและแมลงเป็นพาหะ อาทิ ไข้เหลือง และมาลาเรีย ทวีความถี่และเกิดผู้เคราะห์ร้ายมากขึ้นโดยมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยผลักดัน วงจรชีวิตและการเจริญเติบโตของยุงนั้นเกี่ยวข้องอย่างมากกับปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิ กล่าวคือ ยุงและแมลงชอบอากาศที่อบอุ่นจนถึงร้อน สามารถแพร่พันธุ์ได้ดีขึ้น เติบโตเร็วขึ้น นอกจากนี้วงจรของปรสิตในยุงยังพัฒนาไปเร็วขึ้นด้วยจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งอาจซ้ำความร้ายแรงด้วยปรสิตมาลาเรียดื้อยาที่เกิดขึ้นแล้วในปี 2562 ที่ผ่านมา
ไข้หวัดนกเองก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและเชื้อไวรัส เดิมทีหวัดนกนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติในสัตว์ปีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็ดหรือนกป่า ซึ่งตามปกติความหลากหลายของสายพันธุ์และความสมบูรณ์ของถิ่นที่อยู่และอาหารจะทำให้พวกมันมีภูมิต้านทาน แต่สภาวะโลกร้อนและการสูญเสียถิ่นที่อยู่ส่งผลต่อจำนวนประชากรของนก ประกอบกับฤดูที่เปลี่ยนแปลงไปได้เปลี่ยนแปลงวงจรและเส้นทางการบินอพยพ ทำให้ไวรัสที่เจอกับสิ่งแวดล้อมใหม่ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาตัว เส้นทางการบินที่เปลี่ยนไปหรือการเติบโตขึ้นของเมืองก็มีโอกาสที่นกป่าจะใกล้ชิดกับปศุสัตว์และมนุษย์มากขึ้น
(มีต่อ)
ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE
โลกร้อนขึ้น โรคร้ายขึ้น? ............. ต่อ
https://lh3.googleusercontent.com/3cq5o1tL8kCdi7dU3OvY0GQxJGz5UE30CoqXIt1DwfSBKWB7d3ldIr0cBwUn1iVI4symK6d2-EcTbvLBvov0nEs4UwakQhTBtVxvTVDYdMXOS4XgHRyMZLk7RdTEMKQqXonZ5lcoNekZ-ZCHXQlp-LrRQIzonZeaQXvN-jUyp-OjNpL3eYms1iLyfDo_FT4fi9qrRYGc6YZmjzgC0BTUkekFR1vQocUOCSkqxMnRZBZdCNzdgGLtPgwsDjIG4zcb8ulKrKEdDYyoLJ8KTsu7RSOKcE9ceBVOnlJuIj3NU65aSNUliKMaq10wecb7XiFdmKdw3ToT59xI2_ESFbvXg8_oL36HIPm7sUdzhGRkZHArwOtKZsVNT2BBLY90w-uRem83YCmhSjtskrDz95VzFWVvSN7LVnQRgNGHHeSLRzsr3-gwOSqhdxuXcv2IuwjDD0YCNPbfEu7hzYLAJtOhS0BTzlYk7hfEjk84ybmnQBxP7i85ou6dCOBkCqIe-oPoz26zTI5TOtq3ikP7JfayDT5LniY00uUwbEN_UNmqDRAJtBGlw3sq6Yl2tyO-bom5OAI2jmgMbD6tFBQXu--PSlgTFwURMPbU6KBUEaO09BQLCSQPSeHzg_3vR_CQvn7OsVpC97iFdJimBBplzJhTN4nIhDIM3axK_nxtxev7FuDKmXOmxh1hHRAN=w700-h467-no
ฟาร์มไก่แบบปิดในประเทศเยอรมนี ? Greenpeace
หากกล่าวถึงโรคระบาดที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งหรือสองทศวรรษที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่ ไข้เลือดออก ฉี่หนู อหิวาตกโรค อีโบลา ไข้หวัดนก วัณโรค ซาร์ส และมาลาเรีย ล้วนมีจุดเริ่มต้นติดต่อมาจากสัตว์สู่คน (ทั้งจากพาหะ หรือสัตว์โดยตรง) และพัฒนามาเป็นการติดเชื้อจากคนสู่คน ซึ่งสาเหตุสำคัญเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า ค้าสัตว์ป่า หรือการเข้าใกล้ชิดกับสัตว์ป่าโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง
ยามใดที่เชื้อเปลี่ยนแปลงสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นการผันผวนของอุณหภูมิ ถิ่นที่อยู่ หรือติดเชื้อยังสัตว์ชนิดอื่นหรือคน สภาวะเหล่านี้ทำให้เชื้อโรคมีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นโรคใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีภูมิคุ้มกัน การระบาดจึงเกิดขึ้นได้ง่าย จึงเป็นที่มาของโรคอุบัติใหม่
โลกของไวรัสและแบคทีเรียนั้นเป็นเสมือนอีกจักรวาลหนึ่งที่ความรู้ของมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด แม้แต่ในร่างกายของเราเองก็เป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรีย และเรารู้จักพวกมันแค่ 1% เท่านั้น อาจกล่าวได้ว่า ประกอบกับความผันผวนของวิกฤตโลกร้อนที่กำลังก่อตัว มนุษย์ยังคงมืดบอดและคาดเดาได้น้อยมากกับผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนที่จะตามมา อาทิเช่น แบคทีเรียในลำไส้ของเราและสัตว์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรไหมหากรับความเสี่ยงจากเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงจากสิ่งแวดล้อมภายนอกที่เพิ่มความรุนแรงด้วยการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ร้อนขึ้น แบคทีเรียในตัวเราจะเปลี่ยนไปไหม?
สภาพภูมิอากาศคือชนวน เชื้อโรคคือกระสุน
เราอาจจะได้รู้จักกับโรคระบาดชนิดใหม่มากขึ้น และรุนแรงขึ้น หากวิกฤตโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไป
เราอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย ตั้งแต่ขนาดเล็กจนมองไม่เห็นอย่างแบคทีเรีย ไวรัส แมลง ไปจนถึงสรรพสัตว์ต่าง ๆ ความสมบูรณ์หลากหลายของสายพันธุ์และสิ่งแวดล้อมจึงเป็นกลไกตามธรรมชาติที่สำคัญที่สุดในการรักษาสมดุลของทุกชีวิต แนวคิด ?สุขภาพหนึ่งเดียว? (One Health) แม้ดูจะเป็นหลักการที่เพิ่งได้รับการพูดถึงไม่นาน แต่การรักษาและคำนึงถึงสายสัมพันธ์ของสุขภาพคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียวนั้นเป็นรากฐานการป้องกันและควบคุมโรคทั้งในคนและสัตว์ได้อย่างดีที่สุด
โลกที่ป่วย ชีวิตบนโลกก็ป่วยตาม สุขภาพของเราขึ้นอยู่กับสุขภาพของโลก
https://www.greenpeace.org/thailand/story/11035/climate-heating-planet-increase-disease/
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.