View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 30 ? 31 พ.ค. ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย
ส่วนในช่วงวันที่ 1 ? 5 มิ.ย. 63 พ.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ประกอบกับร่องมรสุมจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 30 - 31 พ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Forecast1_zpschjydmnf.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Forecast1_zpschjydmnf.jpg.html)
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_WaveampPressure_zpsleaunq9y.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_WaveampPressure_zpsleaunq9y.jpg.html)
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Warning_01_zpsebb9wemr.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Warning_01_zpsebb9wemr.jpg.html)
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Bangkok%20Rain_zpsis0tcuo0.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Bangkok%20Rain_zpsis0tcuo0.jpg.html)
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
นายกเมืองพัทยาแจงคลิปภาพปล่อยน้ำเสียลงทะเล แท้จริงแค่ตะกอนน้ำค้างท่อ
ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกเมืองพัทยา แจงคลิปภาพปล่อยน้ำเสียลงหาดพัทยาที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ แท้จริงแค่ตะกอนน้ำค้างท่อที่ถูกฝนชะลงทะเล ไม่ใช่น้ำเสียตามที่เป็นข่าว ยันระบบบำบัดเมืองพัทยามีประสิทธิภาพ ซ้ำก่อนปล่อยน้ำลงทะเลทุกครั้งยังต้องตรวจวัดค่า BOD ตามมาตรฐานสากล
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_01_zpsgr2tufrv.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_01_zpsgr2tufrv.jpg.html)
จากกรณีที่เพจ We love Pattaya ได้แชร์ภาพคลิปท่อบำบัดน้ำเสียเมืองพัทยาที่กำลังปล่อยน้ำเสียจำนวนมากลงสู่ทะเลพัทยา จนทำให้น้ำทะเลบริเวณดังกล่าวกลายเป็นสีดำไปทั่ว พร้อมระบุข้อความภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่า ?ท่อบำบัดน้ำเสียกำลังทำงาน? จนทำให้มีชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างนั้น
วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่าบริเวณที่ถูกระบุในคลิปวิดีโอ คือ อาคารสูบน้ำชายหาดพัทยา ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าวอล์กกิ้งสตรีท ย่านพัทยาใต้ และยังพบว่าจุดดังกล่าวเป็นที่ระบายน้ำของเมืองพัทยาที่ได้หยุดปล่อยน้ำลงชายหาดพัทยาไปแล้ว แต่ยังมีคราบน้ำเสียสีดำกระจายอยู่ในวงกว้าง
ขณะที่ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เผยถึงคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ พร้อมระบุว่า เป็นการปล่อยน้ำเสียจำนวนมากลงสู่ทะเลพัทยา ว่าพื้นที่ที่อยู่ในคลิปภาพเป็นสถานีสูบน้ำในระบบบำบัดน้ำเสียของเมืองพัทยา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากทางวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ และเป็นจุดที่ใช้สูบน้ำเสียเพื่อนำไปบำบัด
โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกน้ำจำนวนมากจะเอ่อล้นและไหลระบายลงสู่ทะเล ซึ่งภาพที่เห็นไม่ใช่การระบายน้ำเสียโดยตรง เนื่องจากน้ำเสียทั้งหมดที่ออกมาจากอาคารจะถูกสูบเข้าระบบบำบัดน้ำเสียที่โรงบำบัดน้ำเสียวัดบุญกาญจนาราม และที่โรงบำบัดนำเสียซอยหนองใหญ่
พร้อมยืนยันว่า เมืองพัทยา มีระบบระบายน้ำอยู่ทั่วเมืองและในช่วงก่อนที่จะมีฝนตกลงมาน้ำภายในท่อระบายน้ำได้ถูกสูบเพื่อนำไปบำบัดทั้งหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงตะกอนและน้ำเสียตกค้างอยู่บ้างเท่านั้น
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_02_zpsx4dugpbh.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_02_zpsx4dugpbh.jpg.html)
"เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนักน้ำที่ออกมาจากท่อระบายน้ำก็อาจจะมีความขุ่นดำอยู่บ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีฝนตกเมืองพัทยา จะกักน้ำฝนไว้เพื่อให้เกิดความเจือจางของตะกอนแล้วจึงปล่อยลงสู่ทะเล แต่ด้วยปริมาณน้ำที่มีจำนวนมากจึงเกรงว่าน้ำจะเอ่อล้นท่อหนุนกลับขึ้นไปท่วมบ้านเรือนประชาชน จึงมอบนโยบายให้สำนักช่างสุขาเมืองพัทยา ว่าจะต้องระบายน้ำฝนลงทะเลบ้างแม้สภาพน้ำจะมีความขุ่นดำบ้างก็ตาม"
นายกเมืองพัทยา ยังกล่าวอีกว่า ภาพที่เห็นในคลิปไม่ใช่การระบายน้ำเสียลงสู่ทะเลอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นท่อระบายน้ำเสียจริงเมืองพัทยา จะตั้งในพื้นที่สาธารณะได้อย่างไร
ที่สำคัญ เมืองพัทยา ได้มีการตรวจสอบค่า BOD ของน้ำที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลตลอดเวลา ซึ่งจะต้องมีค่า BOD ไม่เกิน 20 ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดและส่วนใหญ่จะต้องมีการตรวจสอบค่าก็จะอยู่ที่ 11-13 เท่านั้นซึ่งถือว่ายังอยู่ในมาตรฐาน เช่นเดียวกับระบบระบายน้ำเสียที่ค่า BOD ก็จะต้องต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดจึงจะสามารถปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
https://mgronline.com/local/detail/9630000056389
*********************************************************************************************************************************************************
เร่งตรวจยึดขนำบุกรุกสร้างกลางทะเลพื้นที่ชุ่มน้ำ หาลูกหอยวุ่นไม่หยุด ประมงพื้นบ้านเกือบปะทะกำนันคนดัง
สุราษฎร์ธานี - ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าท่า และ ทช. เร่งตรวจยึดขนำหรูที่บุกรุกก่อสร้างกลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ ในขณะที่บรรยากาศการหาลูกหอยแครงของชาวประมงพื้นบ้านยังวุ่นไม่เลิก วันนี้เกือบมีปะทะกับกลุ่มกำนันคนดังในพื้นที่อำเภอพุนพิน
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_03_zpsbbhauigd.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_03_zpsbbhauigd.jpg.html)
เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (30 พ.ค.) พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี นำเจ้าหน้าที่ชุดพนักงานสอบ พร้อมด้วยนายณัฐพัชร เจ๊ะมะ นักวิชาการขนส่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาสุราษฎร์ธานี และนายวิชัย สมรูป ผอ.สนง.ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสุราษฎร์ธานี เข้าทำการตรวจยึดขนำหรูสีแดง 2 ชั้น มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ที่ก่อสร้างอยู่กลางทะเลในพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติ หรือ พื้นที่อนุรักษ์ ใน ต.บางชนะ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจังหวัดได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของอาคารทั้ง 2 หลัง ในข้อหาบุกรุกและก่อสร้างสิ่งล้วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 แห่งชาวประมงพื้นบ้านร้องเรียนต่อ พล.ท.สิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่ 4 ที่ลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในอาคารขู่ทำร้ายและสั่งห้ามลงเก็บลูกหอย ซึ่งทางแม่ทัพน้อยที่ 4 ได้สั่งการให้มีการตรวจค้นพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน และควบคุมชายฉกรรจ์ จำนวน 4 คนไปดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดี
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_04_zpstdo7rbya.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Mgr_04_zpstdo7rbya.jpg.html)
ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านจำนวนหลายพันคนยังคงออกทะเลหาลูกหอยแครงในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีกันอย่างคึกคัก และมีชาวประมงพื้นบ้านนำเรือกว่า 500 ลำเข้าไปจับลูกหอยในพื้นที่ ต.ลีเล็ด อ.พุนพิน ได้มีนายประเสริฐ ชัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด พร้อมพวกจำนวนหนึ่งได้นำเรือติดเครื่องขยายเสียงออกมาระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวกว่า 100 ไร่เป็นพื้นที่ของชุมชนได้กันพื้นที่เลี้ยงหอยแครง โดยซื้อลูกหอยมาปล่อย แต่ชาวบ้านไม่เชื่อเกือบมีการปะทะกัน สุดท้ายนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้มอบหมายให้ นายวิชัย สมรูป ผอ.สนง.ทช.สุราษฎร์ธานี เข้าเจรจาให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาข้อยุติ โดยใช้วิธีตรวจสอบว่าใต้น้ำเป็นลูกหอยหรือหอยใหญ่
จากการตรวจสอบ พบว่า เป็นหอยแครงใหญ่ที่มีขนาด 80-100 ตัวต่อกิโลกรัม นายวิชัย จึงได้ขอร้องให้ชาวประมงถอยออกจากจุดนี้ไปก่อน และขอให้ทางจังหวัดได้ประชุมหาทางออกอีกครั้งในวันจันทร์นี้ ซึ่งทางกลุ่มประมงพื้นบ้านจึงได้ยอมถอนตัวไปจับลูกหอยในพื้นที่ที่ทาง นาวาเอกวศากร สุนทรนันท์ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ศรชล.) ได้เปิดพื้นที่บริเวณขนำสีแดงในพื้นที่ตำบลลีเล็ด
https://mgronline.com/south/detail/9630000056393
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ซากเครื่องบินรบสมัยสงครามโลก โผล่ชายหาด ขณะพาหมาเดินเล่น
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Khaosod_01_zpsywcc6kdy.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Khaosod_01_zpsywcc6kdy.jpg.html)
Debi Hartley
ซากเครื่องบินรบสมัยสงครามโลก - ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า สามีภรรยาชาวอังกฤษพบซากเครื่องบินรบยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 บนชายหาดเมืองคลีโธรปส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อว่าเป็นรุ่นบริสทอล โบไฟเตอร์ ทีเอฟ.เอ็กซ์
นางเดบี ฮาร์ตลีย์ วัย 51 ปี และนายเกรแฮม โฮลเดน อายุ 54 ปี พาสุนัขชื่อ บอนนี ไปเดินเล่นที่ชายหาด และเห็นซากเครื่องบินดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.
ทั้งสองเล่าว่า ตอนนั้นไม่รู้ว่าซากที่พบเป็นอะไร ใช้เวลาราว 45 นาทีพินิจพิเคราะห์และถ่ายรูปไว้ จากนั้นเมื่อกลับไปบ้านจึงเริ่มค้นหาข้อมูล จนพบว่าซากที่พบเป็นเครื่องบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
"ตอนนั้นฉันตะลึงพรึงเพริดมากที่เห็นซาก ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนคู่ชีวิตของฉันอยู่เมืองคลีโธรปส์มา 30 ปีและก็เดินบนเส้นทางนี้ประจำทุกวัน แต่ไม่เคยเห็นซากนี้มาก่อน" นางฮาร์ตลีย์กล่าว
หญิงรายนี้กล่าวด้วยว่า เมื่อก่อนไม่เคยสนใจประวัติศาสตร์เลย แต่ตอนนี้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นนี้มากขึ้น
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Khaosod_02_zpsogybfgin.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Khaosod_02_zpsogybfgin.jpg.html)
Debi Hartley
ต่อมา เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศอังกฤษยืนยันกับซีเอ็นเอ็น ว่าเครื่องที่พบเป็นรุ่นบริสทอล โบไฟเตอร์ ทีเอฟ.เอ็กซ์ (Bristol Beaufighter TF.X) มีรหัส JM333 มาจากฝูงบนรบ 254
"เครื่องลำนี้บินตกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 1944 หลังจากเพิ่งเหินขึ้นไม่นานจากเมืองนอร์ธ โคตส์ มณฑลลินคอล์นเชียร์ เนื่องจากเครื่องยนต์ทั้งสองตัวดับ ตอนนั้นนักบินดีดตัวออกจากเครื่องได้ทัน และไม่บาดเจ็บอะไร" เอียน เธิร์กส์ หัวหน้าแผนกของสะสม พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ กล่าว
ด้านเจ้าหน้าที่ยามชายฝั่งเตือนประชาชนอย่าได้เข้าไปดูซาก เนื่องจากยังมีอันตรายอยู่ เข้าใจว่ามีหลายคนสนใจ แต่เพื่อความปลอดภัย ขอให้รอไว้ก่อน อีกทั้งยังได้รับรายงานว่า ตอนนี้ทรายไหลกลบซากเครื่องอีกรอบไปแล้ว
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_4227772
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
พบพะยูนตายกลางอ่าวพังงา เร่งตรวจหาสาเหตุ
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Naewna_01_zps0js0ny8p.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Naewna_01_zps0js0ny8p.jpg.html)
วันที่ 30 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าว?ราย?งานว่า? นายศรายุทธ ตันเถียร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ได้ร่วมตรวจสอบซากพะยูนบริเวณท่าเทียบเรือบ้านสามช่องเหนือ หมู่ที่ 9 ตำบลกะไหล อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หลังได้รับแจ้งจากนายอ่าหมาน สุมาลี อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นชาวประมงว่า พบซากพะยูนเสียชีวิต บริเวณเกาะยางแดง เขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ก่อนจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ และนำมาไว้ที่ท่าเทียบเรือบ้านสามช่อง
เบื้องต้นซากพะยูนดังกล่าวไม่ทราบเพศ มีขนาดความยาว 2.10 เมตร ขนาดรอบลำตัวประมาณ 1.07 เมตร น้ำหนักประมาณ 180 กก.ผิวหนังถลอกบริเวณหัว สภาพซากเริ่มบวมน้ำ แต่ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยแผลขนาดใหญ่? จึงให้เจ้าหน้าที่นำซากพะยูนดังกล่าวส่งให้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จังหวัดภูเก็ต เพื่อดำเนินการตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Naewna_02_zpsydy69k8r.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Naewna_02_zpsydy69k8r.jpg.html)
นายศรายุทธ กล่าวว่า เป็นที่หน้าเสียใจที่มีการพบร่องรอยพะยูนในอ่าวพังงาในสภาพเสียชีวิต ทั้งที่ไม่พบรายงานการอาศัยอยู่ โดยหลังจากนี้อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาจะร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ในการใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) บินสำรวจประชากรพะยูน หรือร่องรอยการกินหญ้าทะเลบริเวณที่พบซาก เพื่อวางแผนในการอนุรักษ์ต่อไป
https://www.naewna.com/local/496201
ขอบคุณข่าวจาก บ้านเมือง
บุกยึดขนำหรูกลางทะเล รุกที่สาธารณะมูลค่ากว่า 3 ล้าน
สุราษฎร์ธานี-ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีพร้อมเจ้าท่า/ ทช. เร่งตรวจยึด ขนำหรูกลางทะเลมูลค่ากว่า 3 ล้านรุกสร้างกลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ ส่วนบรรยากาศการเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงของชาวประมงพื้นบ้านยังวุ่นไม่เลิกวันนี้เกือบมีการปะทะระหว่างกลุ่มกำนันคนดังในพื้นที่อำเภอพุนพินกับชาวบ้าน
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Banmuang_01_zps1n3uxx50.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Banmuang_01_zps1n3uxx50.jpg.html)
สุราษฎร์ธานี-เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.(30พ.ค.63) พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายณัฐพัชร เจ๊ะมะ นักวิชาการขนส่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานีและนายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4สุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเข้าทำการตรวจยึดขนำหรูหลังคาสีแดง 2 ชั้นมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท และขนำหรูหลังคาสีขาว อยู่กลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติหรือพื้นที่อนุรักษ์อ่าวบ้านดอน เขตตำบลบางชนะ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของอาคารทั้ง 2 หลังในข้อหาบุกรุกและก่อสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง2แห่งชาวประมงพื้นบ้านร้องเรียนต่อ พลโทสิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่4 ขณะลงพื้นที่เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาว่าถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในอาคารขู่ทำร้ายและสั่งห้ามลงเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงซึ่งทางแท่ทัพน้อยที่4ได้สั่งการให้มีการตรวจค้นพบอาวุธปืนจำนวน 4 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนปืนและควบคุมชายฉกรรจ์จำนวน 4 คนไปดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดี
ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านจำนวนหลายพันคนยังคงออกทะเลเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครง ในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีกันอย่างคึกคักและมีชาวประมงพื้นบ้านนำเรือกว่า 500 ลำเข้าไปเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงในพื้นที่ตำบลลีเล็ดอำเภอพุนพิน ปรากฎว่าได้มีนายประเสริฐ ชัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ดอำเภอพุนพิน พร้อมพวกจำนวนหนึ่งได้นำเรือติดเครื่องขยายเสียง ออกมาประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวกว่า 100 ไร่เป็นพื้นที่ของชุมชนซึ่งได้กันพื้นที่ไว้เพาะเลี้ยงหอยแครง โดยซื้อลูกพันธุ์หอยแครงจากชาวประมงพื้นบ้านมาปล่อย แต่ชาวบ้านไม่เชื่อเกือบมีการปะทะกัน
ในที่สุดนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีทราบเรื่องจึงได้มอบหมายให้นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 สุราษฎร์ธานี เข้าเจรจาหาข้อยุติให้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยใช้วิธีการตรวจสอบว่าใต้น้ำจุดที่ชาวบ้านกำลังจะเก็บหาลูกพันธุ์หอยอยู่นั้นเป็นลูกพันธุ์หอยแครงหรือหอยแครงขนาดใหญ่โดยพิสูจน์การตรงนั้นเลย ปรากฏว่าผลการพิสูจน์ในช่วงนั้นพบว่าเป็นหอยแครงตัวใหญ่ที่มีขนาด 80-100 ตัวต่อกิโลกรัม นายวิชัยจึงได้ขอร้องให้ชาวประมงพื้นบ้านถอยออกจากจุดนี้ไปก่อนและขอให้ทางจังหวัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ประชุมหาทางออกอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 1 มิ.ย.นี้ ทางกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านจึงยอมถอนตัวออกไปจากจุดดังกล่าว.
https://www.banmuang.co.th/news/crime/194241
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ตั้งค่าหัวฉลามตัวละ 1,000 บาทผิด กม.หรือไม่?
ไทยพีบีเอสออนไลน์ ตรวจสอบภายหลังกระแสข่าวเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ตั้งค่าหัวล่าฉลามตัวละ 1,000 บาท หลังชาวบ้านผวากัดเด็กริมคลองต้องเย็บแผล 50 เข็ม ด้าน ทช.ยอมรับฉลามทุกสายพันธุ์ ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง ล่าไม่ผิดอยู่ระหว่างผลักดัน วอนอย่าล่า
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_TPBS_01_zps6gctqt6d.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_TPBS_01_zps6gctqt6d.jpg.html)
วันนี้ (30 พ.ค.2563) นายมะหมัดนี ซัมบิลังโหลด นายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ลงล่องเรือรอบคลองน้ำเค็มบ้านเจ๊ะบิลัง หลังเกิดกรณีฉลามกัดเท้าซ้ายของเด็กวัย 12 ขวบในพื้นที่ ม.2 ต.เจ๊ะบิลัง ขณะนั่งห้อยขาเล่นน้ำ กับเพื่อนที่คลองจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์เย็บร่วม 50 เข็ม ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้วแต่ต้องล้างแผลทุกวัน
"ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจ.สตูลยืนยันว่าเป็นบาดแผลรอยฟันฉลามจริง โดยกัดลึกถึงกระดูก ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้วแต่ต้องล้างแผลทุกวันหลังเย็บแผลร่วม 50 เข็ม"
นายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง กล่าวว่า หลังจากนี้ทางเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง จะติดป้ายห้ามเด็กเล่นน้ำในช่วงนี้ทั้งที่ผ่านมาตลอดอยู่ในพื้นที่ 40 ปีไม่เคยเจอเหตุการณ์ฉลามกัด หรือทำร้ายชาวบ้านมาก่อนจะ
"หากชาวบ้านคนไหนวางอวน หรือจับฉลามมาได้ตัวเป็นๆในบริเวณคลองเจ๊ะบิลัง ตั้งแต่จุดท่าเรือโลมาจนมาถึงท่าเรืออบจ.สตูลจุดที่เด็กถูกฉลามกัดพร้อมจ่ายเงินให้ทันทีตัวละ 1,000 บาท"
ชาวบ้านริมคลองเจ๊ะบิลัง หลายคนยอมรับว่า เป็นห่วงเด็กๆ จะลงไปเล่นน้ำ และถูกฉลามกัด ทำให้เด็กพากันหวาดกลัว หยุดเล่นมา 2 วันเกิดเหตุแล้ว ส่วนแนวทางแก้ปัญหาก็อยากให้มาช่วยกันจับหรือทำป้ายเตือน เพื่อให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังขณะใช้เรือหรือเด็กลงไปในน้ำ
นางฝาตีม๊ะ สลิมีน กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่มาช่วยกันจับ เพราะกลัวบุตรหลานจะลงไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงกาณ์รแม้บางคนไม่เชื่อว่าเป็นฉลาม แต่เชื่อหลานเพราะเขาเห็นตัวเป็นๆ
ตั้งค่าหัวฉลาม-ไม่ผิดเหตุไม่ใช้สัตว์คุ้มครอง
ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์ นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยารกทางทะเและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า กรณีฉลามกัดเด็กที่สตูล ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นฉลามหัวบาตร แต่ลักษณะนิสัยของฉลามชนิดนี้ไม่ได้ดุร้าย หรือไล่ล่า แต่ที่กัดขาเด็กน่าจะเกิดจากความตกใจ เหมือนกับเคสที่เคยมีฉลามหัวบาตรกัดฝรั่งในพื้นที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือกับทางท้องถิ่น ทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่าอย่าไปไล่ล่าฉลาม ทั้งเพื่อลดความกลัวหรือนำมาบริโภค เพราะว่ามันเป็นอุบัติเหตุในท้องทะเล ฉลามไม่ได้จ้องกัดคน
"ไม่อยากให้ตั้งรางวัลล่าฉลาม เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีการขึ้นบัญชีฉลามทุกสายพันธุ์เข้าในบัญชีสัตว์คุ้มครอง ทำให้การล่าหรือนำมาบริโภค จึงยังไม่มีความผิดตามกฎหมาย"
นายโสภณ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ทช.ได้มีการตั้งทีมในการศึกษาวิจัยฉลาม เพื่อเตรียมผลักดันให้เป็นสัตว์ทะเลคุ้มครองเพิ่มเติม เนื่องจากพบว่าในช่วงหลายปีมีการล่าฉลาม และนำมาวางโชว์ขายในร้านอาหารทางทะเล ดังนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าทช.ต้องเร่งผลักดันให้มีการขึ้นบัญชีเป็นสัตว์คุ้มครอง
"ทช.จับตามาหลายปี พบดัชนีแนวโน้มที่จะสุ่มเสี่ยงตอการสูญพันธุ์ก็ต้องเร่งผลักดันให้เป็นสัตว์คุ้มครอง ซึ่งที่ผ่านมาในรอบหลายปีเพิ่งมีการขึ้นบัญชีฉลามวาฬ วาฬโอมุระ เต่ามะเฟืองและพะยูน เป็นสัตว์สงวน"
โดยเฉพาะการแพร่กระจายของปลาฉลามหัวบาตร (Bull shark: Carcharhinus leucas) ซึ่งพบมากบริเวณปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ปากแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม เเละบริเวณแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเเละเเหล่งอาหารของปลาฉลามหัวบาตรวัยอ่อน
gzvdHofk054
นักวิชาการ ระบุฟันรอยแผล "ฉลามหัวบาตร" กัดเด็ก
เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ว่า มีข่าวเด็กไปเล่นน้ำแถวท่าเรือเจ๊ะบิลัง สตูล จากนั้นโดนปลากัด ดูจากบาดแผลมีรอยเป็นฟัน 3 เหลี่ยม คิดว่าเป็นฉลามครับ แต่ขนาดไม่ใหญ่มากพื้นที่แถวนั้นเป็นหาดเลนและป่าเลน น้ำขุ่น ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว แต่เด็กๆ แถวนั้นอาจมาเล่นกัน
บางทีแถวปากน้ำอาจมีฉลามเข้ามาหากิน หากให้ระบุชนิด อาจเป็นลูกฉลามหัวบาตร (bull shark) เพราะชอบเข้าน้ำกร่อย/ปากแม่น้ำ (แน่นอนว่ามีสิทธิเป็นชนิดอื่น แต่น่าจะตัวนี้ครับ)
ข่าวฉลามกัดคนมีมาก 1-2 ปีหน ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกัน ฉลามขนาดไม่ใหญ่ กัดที่เท้า และไม่ได้ตั้งใจล่า แต่เป็นการเข้าใจผิด เมื่องับแล้วรู้ว่าไม่ใช่เหยื่อก็ว่ายหนีไป ข้อควรระวังคงทำยาก แต่แนะนำว่าไม่ควรเล่นน้ำกลางคืนหรือโพล้เพล้ ระวังอย่าเล่นช่วงน้ำขึ้น
ช่วงนี้ระวังไว้นิด แต่เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข่าวว่าฉลามกัดซ้ำที่เดิมก็คงระวังกันไว้หน่อย แต่ไม่ต้องล่าพวกเขาหรอกครับ เขาไม่ตั้งใจ
https://news.thaipbs.or.th/content/293119
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
ฉลองขึ้นทะเบียนลุ่มน้ำสงครามเป็นแรมซาร์ไซต์ล่าสุดของไทย ท่ามกลางกระแสกังวลเขื่อนโขง ................. โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์
นักวิชาการยินดี ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง จ.นครพนม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) แห่งที่ 15 ของประเทศไทย ชี้เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์วางไข่สำคัญของปลาแม่น้ำโขง ช่วยอุ้มชูเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารท้องถิ่น หากแต่กระแสการพัฒนาโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญที่อาจทำลายระบบนิเวศที่เปราะบางแห่งนี้
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2563 พุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในการแถลงข่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (The Secretariat of Ramsar Bureau) ว่า พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ แห่งที่ 15 ของไทย และเป็นแรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2,420 ของโลก โดยมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2562
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_01_zpsmestxytr.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_01_zpsmestxytr.jpg.html)
แม่น้ำสงครามทิวทัศน์ลุ่มแม่น้ำสงครามตอนล่างที่ บ้านปากยาม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม //ขอบคุณภาพจาก: รักษ์แม่น้ำสงคราม
พุฒิพงศ์ ระบุว่า พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม ที่ได้รับการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ มีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ปากน้ำบ้านไชยบุรี ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน ไปจนถึงบ้านปากยาม ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีความยาวทั้งสิ้น 92 กิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมด 34,381 ไร่ โดยการกำหนดพื้นที่เสนอแรมซาร์ไซต์ ยึดหลักการสำคัญ คือ ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นตัวแม่น้ำสงครามตอนล่าง และพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามที่ติดกับสองฝั่งแม่น้ำ และพื้นที่ป่าสาธารณะ หรือป่าบุ่งป่าทามที่ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้านเห็นชอบ
สำหรับความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง โฆษก ทส. กล่าวว่า พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ประกอบไปด้วยระบบนิเวศหายาก ได้แก่ ป่าบุ่งป่าทาม หรือป่าน้ำท่วมผืนใหญ่ มีความสำคัญในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในระบบนิเวศ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาน้ำจืด เป็นแหล่งประมงพื้นบ้านที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของคนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งอพยพเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ของพันธุ์ปลาจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก พบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย 124 ชนิด พันธุ์พืช 208 ชนิด รวมทั้ง ดังนั้นพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างจึงมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างยิ่ง
หนึ่งในทีมนักวิชาการที่ร่วมผลักดันการขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างให้เป็น แรมซาร์ไซต์ สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ว่า เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ในที่สุด พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างที่มีความสำคัญสูงทั้งทางด้านระบบนิเวศและวิถีความเป็นอยู่ชุมชนแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น แรมซาร์ไซต์ แห่งล่าสุดของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมให้มีการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่แห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้นหลังจากที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมผลักดันการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง อันเป็นลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงแห่งท้ายๆ ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนามากนัก และยังคงสภาพระบบนิเวศป่าบุ่งป่าทามที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดของลุ่มน้ำโขง มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2557
"การขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์จะช่วยให้การอนุรักษ์ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดายขึ้น เพราะจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำจากเงินกองทุนอนุสัญญาฯ ตลอดจนองค์กรนานาชาติอื่นๆ ทั้งยังช่วยผลักดันให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องออกมาตรการและบังคับใช้กฎหมายในการดูแลพื้นที่อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น" สันติภาพ กล่าว
"การรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ให้คงความสมบูรณ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากพื้นที่ป่าและทุ่งน้ำท่วมในลุ่มน้ำสงครามตอนล่างจะเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำสำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง ชาวบ้านในพื้นที่ยังได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และบริการด้านระบบนิเวศ จากการหาปลาในฤดูน้ำหลาก และการทำเกษตร (นาทาม) ในฤดูแล้ง ซึ่งเป็นหลักประกันต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจชุมชน"
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_02_zpsy0wnxmg7.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_02_zpsy0wnxmg7.jpg.html)
ชาวประมงชาวประมงท้องถื่นกำลังหาปลาในแม่น้ำสงคราม //ขอบคุณภาพจาก: รักษ์แม่น้ำสงคราม
อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า กระแสการพัฒนาโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่น้ำโขงตอนล่างขณะนี้ กำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งนี้
"แม่น้ำสงครามเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแม่น้ำโขง ระบบนิเวศแม่น้ำสงครามจึงเชื่อมโยงกับระบบนิเวศของทั้งลุ่มแม่น้ำโขง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำและสิ่งแวดล้อม จากการดำเนินงานของเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขง จึงไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศแม่น้ำโขง แต่ยังสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศย่อยในลุ่มน้ำสงครามอีกด้วย" เขากล่าว
"จากวิกฤตการณ์ภัยแล้งครั้งประวัติการณ์ และการขึ้นลงของระดับน้ำโขงผันผวนผิดฤดูกาลเมื่อปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขื่อนที่มีอยู่แล้วในแม่น้ำโขงขณะนี้ได้สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา รวมไปถึงระบบนิเวศลุ่มน้ำสงครามอย่างหนัก"
ดังนั้น เขาเตือนว่า การลงทุนโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอีกทั้ง โครงการเขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนปากลาย และเขื่อนสานะคาม ซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของทั้งลุ่มน้ำโขงหนักยิ่งขึ้นไปอีก
"ลุ่มน้ำโขงไม่ควรมีเขื่อนเพิ่มขึ้นอีกแล้ว" เขากล่าวย้ำ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน 45 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์การผลักดันโครงการก่อสร้างเขื่อนสานะคาม ซึ่งเป็นโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าล่าสุดบนลำน้ำโขงตอนล่าง
โดยเครือข่ายฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาผลกระทบด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขงจากการดำเนินงานของเขื่อนต่าง ๆ ในแม่น้ำโขง ทบทวนจุดยืนในการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงทั้งหมด เปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และเปิดพื้นที่ให้กับภาคประชาชนในการร่วมแก้ปัญหา และเสนอทางเลือกด้านการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน
https://i1198.photobucket.com/albums/aa455/saveoursea/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_03_zpsvnmuirnf.jpg (https://s1198.photobucket.com/user/saveoursea/media/Morning%20News%20Photos/63/63_05/630531_Greennews_03_zpsvnmuirnf.jpg.html)
ปลาปลาสดๆจากแม่น้ำสงครามเป็นหนึ่งในบริการทางนิเวศจากระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำอันสมบูรณ์ในลุ่มน้ำสงคราม //ขอบคุณภาพจาก:
รักษ์แม่น้ำสงคราม
ข้อมูลจาก สผ. ระบุว่า แรมซาร์ไซต์ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาชุมชนประชากรทางนิเวศของ นกน้ำ และปลา ในระดับนานาชาติ
โดยในปัจจุบัน ทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแรมซาร์ไซต์ทั้งหมด 2,390 แห่ง คิดเป็นพื้นที่รวม 253,875,627 เฮกตาร์ สำหรับประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ ทั้งหมด 15 แห่ง ได้แก่
1. พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
2. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
3. ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม
4. ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
6. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส
7. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จ.ตรัง
8.อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
9. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
10. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
11. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
12. พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จ.บึงกาฬ
13. เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
14. เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงา
15. ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง จ.นครพนม
https://greennews.agency/?p=21120
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.