เข้าระบบ

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 22 กรกฏาคม 2563


สายน้ำ
22-07-2020, 03:02
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและด้านตะวันตกของประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 21 - 22 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 24 ก.ค. 63 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง

ส่วนในช่วงวันที่ 25 - 27 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกจะเคลื่อนผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 21 - 22 และในช่วงวันที่ 25 - 27 ก.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


https://lh3.googleusercontent.com/xTyEAM4UI3xZpsXHB38PbOdAL5dtNbPII9h8tGZzT6I6nRufXjCdUh2j0WBcSyWXAt6juHQXJQhb66fWWzEfoKiZffLzfg70BPC3VnTWd7Nec7rldmoy069foosp9kzHiIYFBj_AnR9Hr2-hHXoHBE47ZJnD0Hu9-quEsHQXJGkfGhrOymZZ9jq6jHzREtlR3ziqCZoUDPPNma-u3I0QD5TtT8KZVAaEwHKVXDhv-1edkWXamNhmGzngISZkStC40pQNUknHXXxkMLUjCS362RGGz17hefVTClv9vkLVYiD2x_HEejQZpDcdloKwWlYQUld8So3i9S0XBT445TtttYtxjlXT021JY9hx2leHePiZ4IuG17RB7FMxjFOlXjLbmoeiPFgwpA6wWlwtFCbLejDm8lGTIB_gwWrfx9ofvCZKZIwfIW6TyWmpOPx4Z3YHkAGX66eLlD57qDxHx4VkfuwVjcwmoelEsh78PzqcQGkYsG3Prh1QLMfiuDN6WNtietw4rR8sx009me7BBEUC9qyeLRv9WDh7OdJG7H1hzP1d9Qqqq1SMKx6l5C_PBMhvVxjyUwwjYvDAt7_Y7UTeHHtabIN6PJYlLiGTvcfG9FNtJ3mc9VAkt_nfXm0hYBf2AsNdOOvCbv8Xf1h8xqfKAS_P2fxXQ5zztFp6LHLA8mDOrQyVw6d_BoJaEViYXiU=w800-h552-no?authuser=0


https://lh3.googleusercontent.com/B_gtlrlS1v0ydgbyKTl0somA16ZuyUD2H0cVdCb70ZqePJIUkGOHejowVRRgQ4oMUagKhG3n0LW9lcBWJszmJzLz-wvAsB-uAF0qwpEY-gCGCzPuni7C62B_FzhBU43yIE77vVUQNcevPGhZ8tJ7Yy9LRSPBEVZoC-0lwsiAhuFqBHBj_V3PXtJdANEuMpux4nVwzmiC2c5sWN6xS28Jy5n6aghnG-RWnQx1jx0v4MfUAeFzq4mCzgUGAsAC6y_7h7OrUisjXwbF0UWKS3NjqrQVq9NWT49nUaIMI6WWhTJmzlxEMqOvTktgNcMg6o15NdnEcIN2j2h956pcwPSpSuIzrnkRTkbyIiSPTNrgnckFhsDjeK2fAF-MJ4dH8cczMqL5MAvYHYr5Lrv8ts6xmHxv0ZAPCN31RREG94XIk9IoP7bcqJiC8CHWrAQ4q9IAE2m27h8YEUa5h4zDdo0cw0EXbf85GcmqdTFOzEoqNDK5JW9rPMElcj09pTIK2FWQ5PowsKEwXCNFSpjRg-cojN9IHN8GRixK7_buW5FBNdzJXAIRYuMvNV_RH8GXNe7WD6TXuhyJl0Q8y5yUbjM-OFF9ghhcH6I6b9RQsfg_V-vty66RRmpwD4ddC4QeJGCRa_McbFqukCjaqnROLoMhCInWD0vkl5KatMPc0NV8V4oa4e4Vuatv6ayuHJ4d4fU=w800-h390-no?authuser=0


https://lh3.googleusercontent.com/bgSoPrHDG-qPQF4QLolaUJrDn6OMSKhlGOkHa4xjA51z2GUuffSxSvVM34zoZkhyZQjiGf7aXsNST2auPN0_ATmLC6GUN2YsbkA10ud_402Nb0QlwHBB28BPDbv5qZ5-f7IBR0m8_yBkJviomsVQ36DZPPjkqTe1HTVrMvqDe3SlJ5PhPHX7cdgFxOIjz5wlepxnGYlRl_vmopCIWKIwcOzuXrkTt2KY_HZAShrM2XBPjcTXUdPYpPhel6AFcmg1iX8o0ZkN2liC4YjsLbC9XlC7F72XAf5SwU7GaMEpsREL_nmA7Qhj2gB5BKhb5JPx7O3syhpj-R_LeDNwmGOFUIrRPsproSH33sBSDLDUDIkBbcBCTDAlFimz9Tj7S0FukBmgLEL0dxuGPyWjMfDKFRVuWSafhGHF8zfdYp02gmBjgwm3STrmQUnrLxeu-EB8u4VP5FdI3awXFBCjm7YYyZMgJqJVE78nSgIIkGWFzH1cYuujVqfR2otmvSlzfeqSMjpdKkeKdtkSfwgZ2vpcBJm4bnAtNZC2mGrd1ZiFElW7B1EdpkNslY5Blh3Vj-c2MVUrswLhoODkSIxcpem-eg4iG0jzjkMiZDA0sJQLLtrLTm8P111pbOKmWcXg_Alo05smKLLhjzucrCXPfwoEYjztFdvFUYBjoYR2lQXv5FLdzbS0PWHhalf-v8wNLtg=w800-h510-no?authuser=0

สายน้ำ
22-07-2020, 03:12
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ทะเลนองเลือด เกาะแฟโรเริ่มฤดูฆ่าวาฬ นักอนุรักษ์วอนเลิกได้แล้ว

https://lh3.googleusercontent.com/TSllF0TZCSA18cDgrAjFyh1EIDDAwL9TXi2QyfthBw61dMF4JMiP_nD-0vgNB0PIxXgyAJzySi8elNCzIqr34cw1AN_LHKgMJrqlftChLKXUWjRfJ9AMKj9gqTdOvE3EtgTHkbCM8HEKHmJHN4nwsx62sEqIZSaW98lCoM8f8MN2DVwEdIJ_xHHylwu1m3O6K57UUpvgf9-jH7IlJDHe2qgyzWDN0HkIaeXPjC-2lyfX8qZgtmDZpM5m8rw8maQumnnrjM7tN4uRzM3iQTrk1GtJxylORrqt41sx8MfHsb2ViNyhK-ELy9cX6PgiX9Uy-TzaQI4s9ywdH9ONwhGyyHAzh-gpRr5pe4XChzuZgcCHmnEVtxc-3s4tJrTOuhKDVanTHlDWi3RPa0bzVVaWXLBAs0joTCwwn1t-qC9vYb0sc23DQxmf7X0qRiy7-K9cEauMpZzK0EZb6vTFpUwX07tA3rrOMSDke8cquwQa1LNL11UyI8hPXKMZzdwHHaUTmDVext15j2NkryPTTsbYfre7qoriulSc6j32UWHarDrWILdS0zEghKpmvvc7cEKVgS9_zIrMMXjDLRKZqeAHpB3PNlyLHcAT77zzFJIsSFt3stRzxkByetqeREKua9zpKAYeMg6nduvVGLTYDRbTNbimMwCCwYOmeESRNkonSZkkmxyteiAE2z47WB7sg5Q=w700-h391-no?authuser=0

หมู่เกาะแฟโรในเดนมาร์ก ฆ่าฝูงวาฬจนทะเลเปลี่ยนเป็นสีเลือด นักอนุรักษ์วอนยุติการกระทำที่โหดเหี้ยม

น้ำทะเลบนหมู่เกาะแฟโร ของเดนมาร์ก ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานหลังผู้คนท้องถิ่นเชือดวาฬในทะเล และนำซากมาวางเรียงรายบนชายหาด เป็นสิ่งที่องค์กรด้านอนุรักษ์สัตว์ขนานนามว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้มีการฆ่าวาฬเป็นประจำทุกปีโดยไม่มีมาตรการใดๆ มาควบคุม โดยในปีนี้มีวาฬถูกฆ่าตายไปแล้วกว่า 250 ตัว

ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นของเกาะระบุว่าการล่าวาฬลักษณะนี้ถือเป็นประเพณีของพวกเขา โดยผู้ที่อาศัยบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ได้รับประทานเนื้อวาฬมาอย่างยาวนานกว่าพันปี

https://lh3.googleusercontent.com/-g-4FjDlxCefnH_Ua1f2V8xIAvDODzvy9bmm30jXzmFmVaJ9f9ijxuBUbug4emHl6PxCiXFlwqJd11imf5eAtKblctmJLKal1w0-YnQgrX78idOOWundP2akFefH0VL7pckvOkwj9YwnQ4kngzbY-kYH9vVTz4t9t_goVxDdlo1-Pc28HBLHQqRZJMoViuyJT9WIyXOPx8cBNA6o0Mz9ahdeEM6VglsZBEowP-9PJr958Aq2net6gClMrZT0VWvPs3BdgcB3XBekX3jV-siknW35sTCTNuT94MFGAoWriiRL6QUCmVp6nOrjm5GDrwuzMYGrtAkw66Mm6JEwJI1DxZeDytFdKj4M7l9GzbaUklcsVjBdprK7mPdZwpNDwSimt9cIk3DOku8WG7ov1Tt8ON10kCjj8w_57N0bXQck1bmmR_c5OLsmQjpjTpsUckcWDi-Lc9lmNrnhLVgGhJasL6XsZVdUG8wzPABju2825azl3GBYnAkqwlqsZsOo4vzVXGIBIiwd8960I_821HhZNrREF8rLCOKieyUsLJ5NVhfAmv98oeKgDaofWgygiNN4Sl9bkPoj7QMv9jYOxd5kYNIy0fCfhg72rMABOyo9HcKEGsgUe7ZPcBtzEatuC_HfSe1v4-c2xiOw0gwxObrYaBjBNInPKFs7rbPyRWKaYIDQIt9gkTSOFPrpSMXa74s=w700-h345-no?authuser=0
ภาพจาก: Sea Shepherd UK

ภาพการล่าวาฬที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้รักสัตว์ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บนเกาะแฟโรเท่านั้น แต่ในประเทศในแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นได้มีการล่าวาฬมาอย่างยาวนานเช่นกัน ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับข้อขัดแย้งระหว่างการล่าวาฬที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนกับประเพณีล่าวาฬที่มีมาอย่างยาวนาน


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1894197

สายน้ำ
22-07-2020, 03:15
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


หมีขาวขั้วโลก สุ่มเสี่ยงจะสูญพันธุ์!! ภายในปี 2100

https://lh3.googleusercontent.com/WuAcjqHAeEuTZxsd9fUrOOqN_KaJRXq-fi3TL5klnQ-ovuKTPfx4JygE2Bg7ETAuKUf9_awfzFcTATqo0kJU06h0fo0mBDoguIGuJDP_t0fRLSMxNZDOOJ5M80D_Gb3w88KtF4hmp02y_zUWdcpesLLpon63t6FAWehcFtSOnhmlgvK_NXjB2igbf8UneG2BBif2vYSIuHgPmwIBiiD_wI0L35ACdNYMBiji0s5SZNW-EzHwUpaPMMiIwfdxHKsMfi5rJVld0cSteGi6HUuIuIMTV5YzODsRn4Y9jnQx_c4Ytbk-1mE6P_mpJTzlOszlKm3tjeQlb8NdKo3gHkLzdthoT8qrx4zVNNQYCODD6Vzc5xUxK3iaG1qYl2ejU1tfg3vigmZgGwqKKId4LDiTAk_5P2Y23PYqCpdlcDRRYaIBSg5T-WGOrTs1mhz-u8A_9rwHEZE6kXuK_9YcToS5L46DoKfuvZnVoV60qmv49odql2t2HN_CO4X_ia7WdLKPOcluydFDIIMkfz4yiG89Z5pwEfpK4EIQYtd89qjIG3WrfTJB6Hez6wgApAKQNOitR-5IF_Q-EGiC4vcFsc3z7vSNmc7OOw92pWWj3SeWe10BaM3l3SCgl28kdB_gio36an7CQdO4Uqj8i4rKNA3BAf_kK9yW_dKqKBZbUanmGoZMT7CWPGGlrWzfhVVCNw8=w640-h384-no?authuser=0
หมีขั้วโลกในอลาสก้าและรัสเซียจะประสบปัญหาร้ายแรงภายในปี 2080 (เครดิตภาพ Katharina M Miller / Polar Bears International)

นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ ถ้ามนุษย์ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากเทียบเท่าปัจจุบัน สัตว์ที่อาศัยแถบขั้วโลก "หมีขาวขั้วโลก" มีโอกาสสูงที่จะสูญพันธุ์เกือบหมดภายในปี 2100

ที่จริงเพียงแค่ปี 2040 หรืออีกราว 20 ปีข้างหน้าก็จะเห็นสภาพปัญหาที่หมีขาวประสบในด้านการแพร่พันธุ์ และเริ่มทยอยสูญพันธุ์ในบางพื้นที่

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature Climate Change ได้ศึกษาโอกาสอยู่รอดของหมีขาวภายใต้สภาวะอากาศ 2 scenario , ภายใต้ business-as-usual คือ ไม่ได้มีการลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด ยังคงดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ตามปกติ เมื่อสิ้นสุดศตวรรษ หมีขาวจะยังหลงเหลืออยู่แค่ที่ Queen Elizabeth Islands , หมู่เกาะทางตอนเหนือของแคนาดา และหากภายใต้สถานการณ์ที่มีการลดก๊าซเรือนกระจกลงระดับปานกลาง หมีขั้วโลกบริเวณ Arctic จะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ในปี 2080

นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า ปัจจุบันหมีขั้วโลกหลงเหลืออยู่ประมาณ 26,000 ตัว บริเวณ Svalbard,Norway,Hudson Bay ในแคนาดา และบริเวณ Chucki Sea ระหว่าง Alaska และ Siberia โดยปกติแล้วหมีขาวอาศัยผืนน้ำแข็งในการหาอาหาร แต่สาเหตุจากภาวะโลกร้อน กำลังทำให้ผืนน้ำแข็งหายไป หมีขาวจะสะสมพลังงานช่วงฤดูหนาว เพื่อนำพลังงานเหล่านี้ไปใช้ในช่วงฤดูร้อนที่ต้องออกหาอาหาร บนผืนน้ำแข็งที่ลดลงเรื่อยๆ

โดยพบว่าบริเวณ Alaska's southern Beaufort Sea จำนวนหมีขาวลดลงถึง 25-50% ในช่วงที่ปริมาณน้ำแข็งเริ่มลดลง และบริเวณ western Hudson Bay ปริมาณหมีลดลง 30% ตั้งแต่ปี 1987

P?ter Moln?r นักชีววิทยาจาก University of Toronto ศึกษาวิจัยว่าหมีขาวสามารถอดอาหาร หรือใช้พลังงานน้อยสุดเท่าใดเพื่อการอยู่รอด และหาความสัมพันธ์กับปริมาณในวันที่ทะเลจะปราศจากน้ำแข็งในอนาคต ว่าจะมีจำนวนหมีขาวมากน้อยแค่ไหนที่ได้รับผลกระทบ

"ถึงแม้ว่าเราจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังจะมีหมีขาวจำนวนหนึ่งสูญพันธุ์ภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยเฉพาะบริเวณ western และ southern Hudson Bay,Davis Straight แต่ปริมาณหมีขาวจะยังคงเหลือมากกว่าการที่เราไม่ลดก๊าซเรือนกระจกเลยแน่นอน"

งานวิจัยศึกษาประชากรหมี 13 แห่งจากทั้งหมด 19 แห่ง คิดเป็น 80% ของหมีขาวทั้งหมด พบว่าหมีขาวบริเวณ sounthern Hudson Bay และ Davis Straight จะเริ่มสูญพันธุ์ในปี 2040 บริเวณ Alaska และ Russia ในปี 2080 และสูญพันธุ์เกือบหมดในปี 2100

แม้ว่าเราจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ในอนาคต แต่โลกยังต้องอาศัยเวลา 25-30 ปี กว่าที่น้ำแข็งขั้วโลกจะกลับมาแข็งแรงพอ เนื่องจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมาเป็นเวลานานนั่นเอง


https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9630000074952

สายน้ำ
22-07-2020, 03:17
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


อีก 80 ปีหมีขั้วโลกจะสูญพันธุ์เพราะโลกร้อน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้น้ำแข็งขั้วโลกที่เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยละลายจนหมีขาดอาหาร

https://lh3.googleusercontent.com/Nu1CEvBrsiYtTbD26h9AGGe3haGgJi77E5jCdc4QYSvUOVF68spmNSSGblkv8V48DtVoljkmatQIEO8d93vHHKC6TUU6W72Q3HXNUS_mD6sKAE3EyYTL7kX-asvzsQMGPVBwHBP1NKlV4FC_zqDODkRcpso_2XQqPZQNn8zD_wJQfySPyGF-nVe5nnBUem2-TtC_-R68kqfCDnIH3IN6wXcakTOW8YTr3nAaZ_nrwonFm-eloNpDEEF9kHYCkrnw-SVLRbDXTjMjdhTT3U6BX8HQHpYdMJC6L2Lnqf8aAYohRlV6ZvUER-wmj0FWRmaBUqfTZBDc7ZlPZD9YMZB5l1qV4bBzPoSFkPeRU29tuSP_68CA9ba2w0qCF98LKSzgbKpN1Uo-e19Zk1n4rMvuwK71Gp7HHa1AedLIIQOTeaRWjzsRi3axB26rvJYOeQr5p0oh22xoUybxtUotoUSwDuJW2j8lKPKFf6XcLsKmiqIlHBPvN32891RJ0UU9fmr541tX2HgIc8UNH81ug9WZD-ddu-9378RhwDsTpHYcJnQjAA-h99g-zXskNuKtbm8sa6RQC5M8QRjAko3Ufop1JlxNBlgvoJdAxw8FvZWN1n5g8FccXoFhLfrXGW6RoA7iE8HSWe2MDbGkvZcMaQihy-DxryhrzLLFh1RvTQJcfWNVr1eiYIhtShFKDjOmw7s=w700-h467-no?authuser=0

ผลการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน จะทำให้ประชากรหมีขั้วโลกเสี่ยงสูญพันธุ์ภายในปี 2100 หรืออีก 80 ปีข้างหน้า เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยละลาย

งานวิจัยยังระบุอีกว่า เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย หมีขั้วโลกจะถูกบีบบังคับให้อพยพไปอยู่บนพื้นดิน ทำให้การล่าแมวน้ำเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้หมีขั้วโลกต้องนำไขมันที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้ ซึ่งวิธีนี้เป็นอันตรายกับหมี

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าลูกหมีขั้วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงที่สุด เนื่องจากต้องอดอาหาร ขณะที่หมีตัวเต็มวัยเพศเมียที่ไม่มีลูกจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ทำการสำรวจประชากรหมีขั้วโลกตั้งแต่ปี 1979-2016 แล้วใช้โมเดลคอมพิวเตอร์คำนวณว่าหมีขั้วโลกจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดหากต้องอดอาหาร ร่วมกับการคำนวณว่าหมีขั้วโลกราว 80% ของหมีทั้งหมดจะต้องเผชิญกับภาวะนำแข็งขั้วโลกละลายจนไร้ที่อยู่อาศัยเมื่อใด


https://www.posttoday.com/world/628908

สายน้ำ
22-07-2020, 03:20
ขอบคุณข่าวจาก Greennews


ค้านสายตาชาวบ้าน ศาลปกครองยกฟ้องคดีน้ำมันรั่ว ยันหน่วยงานรัฐฟื้นฟูทะเลระยองเรียบร้อยแล้ว ................ โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์

ศาลปกครองระยองอ้างเหตุหน่วยงานรัฐฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมดีแล้ว และพิพากษายกฟ้อง คดีที่กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วที่ จ.ระยอง เมื่อปี พ.ศ.2556 ฟ้อง 6 หน่วยงานรัฐ ฐานไม่ได้ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม ด้านกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านยืนยัน ผลกระทบน้ำมันรั่วยังชัดเจน กว่า 80% ของน้ำมันรั่วยังปนเปื้อนอยู่ก้นสมุทร จนทะเลระยองทำประมงไม่ได้

เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ.2563 ศาลปกครองระยองอ่านคำพิพากษาคดีปกครอง ที่สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง และประชาชน 454 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมควบคุมมลพิษ ที่ไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษ บรรเทาผลกระทบที่เกิดแก่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงชดเชยค่าเสียหายให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและความเป็นจริงอย่างเป็นธรรม

https://lh3.googleusercontent.com/V5G9gtb4PerFO9z3e-m5Znl-sMmuvz8GkxPiGT_nogz1gZRmw21RGCAfZ6lZhYxp97x5KM0Gkyrdv4q2ry1I1aaYUsBlrZKUgGdVzDU5T5wrSY0x09FMSXyWFiVfKS2ckf6qfkU84KEgoU_3Zrg6n6uTprincid8D9WNNL0vj9F3bhKiS58EsOfP3QA6KaTXbrSVDQIStRPgN8JlJvsb58ksaQaLVLE9YJDW9MxfBqkTwNUzTOJJgRIKTaXslXA6lYfZG0oTFj4ov8GI0g2cIHrcZX0uvcVlMDLyrnAFT3fZnVRJ0PbDq6hdZceCpVmUzW32xmpyCGZ0kPaytBdzu4OKxPEfe0V55t41SvGUKdlkmexaRQ8SfJSwId74pa6Bkhzn7zJAka5_tJVFkGQpjjkXoKSOZQdZcZJ5m1qjvZ3nWD77ZMSTL58EEHE4qLvU54Vol0XHP-NfJfanzjbxaqGsdymALJYmHWtUapW8kSHxiCP9lCP4pRCNxb3oSPLvjC4l3IIKXwdH_MzvP198h69BSfmzBcJjfhtREDqSCOVVVaZtq5ZW-X2lYtQkZmWyg_oix0seOGfXx6ZI9J8JXZxYN8epn_8aCjzGAU8d5Na-ke_GxzQVY-jxB5haMFA9JYXTe7eOwMPPvM7F9_-dt_SmEIjUTjBwVmxIK7jglrUSuXAdHU59Vt4Zq2Y5W9c=w700-h467-no?authuser=0
เจ้าหน้าที่เร่งกำจัดคราบน้ำมันบนชายหาดด้านอ่าวพร้าว ทางตะวันตกของเกาะเสม็ด หลังจากท่อน้ำมันดิบกลางทะเลรั่วลงสู่ทะเลระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2556 //ขอบคุณภาพจาก: เริงฤทธิ์ คงเมือง/กรีนพีซ

โดยผลการพิพากษาคดีดังกล่าว ทนายความตัวแทนผู้ฟ้องคดีจาก มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่า ศาลปกครองระยองพิพากษาไปในทางเดียวกับความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดี ที่ได้ให้ความเห็นว่า หน่วยงานทั้งหมดดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายตามอำนาจหน้าที่แล้ว จึงเห็นควรยกฟ้อง

อย่างไรก็ดี บรรเจิด ล่วงพ้น ประธานเครือข่ายประมงพื้นบ้านโบสถ์ญวน หนึ่งในโจทก์ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า จากที่ฟังคำพิพากษา ศาลเหมือนไม่ได้เอาข้อมูลของฝ่ายผู้ฟ้องคดีไปพิจารณา จึงเป็นเหตุให้มีคำตัดสินออกมาในรูปแบบดังกล่าว ถึงแม้ว่าฝ่ายผู้ฟ้องคดีจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหตุน้ำมันรั่วที่ยังคงเห็นอยู่อย่างชัดเจน

โดย บรรเจิด ได้ให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่เหตุน้ำมันรั่วเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา สัตว์น้ำในทะเลระยองที่เคยมีมากมายถึง 80 ชนิดหายไปเกือบหมด สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ก็มีสภาพผิดปกติไป ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายหากบริโภคหรือไม่ ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านต้องเสี่ยงภัยนำเรือเล็กที่มีออกไปหาปลาไกลขึ้น ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพสูงขึ้น การหาปลาในทะเลเปิดยังอันตรายอย่างยิ่ง ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านระยองต้องเสียชีวิตจากคลื่นลมและพายุแล้วหลายคน

"สาเหตุที่ทะเลระยองยังไม่ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์กลับมาก็เพราะว่า บริษัทผู้รับผิดขอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้จัดการทำความสะอาดคราบน้ำมันที่รั่วไหลลงทะเลอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นแต่เพียงจัดการคราบน้ำมันที่ลอยไปเกยหาดเกาะเสม็ดเท่านั้น แต่คราบน้ำมันอีกกว่า 80% ยังคงจมอยู่ใต้ท้องอ่าวระยอง" บรรเจิด กล่าว

"นับตั้งแต่เหตุน้ำมันรั่ว เราพบเต่าทะเลตายกว่า 200 ตัวในพื้นที่อ่าวระยอง อีกทั้งยังพบก้อน tarball ลอยมาเกยหาดทุกปี บ่งชี้ว่าสภาพสิ่งแวดล้อมอ่าวระยองยังคงปนเปื้อนมลพิษอย่างหนัก ผิดกับคำชี้แจงของทางภาครัฐที่บอกว่าได้ทำความสะอาดคราบน้ำมันและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดีแล้ว"

เขากล่าวว่า หลังจากนี้กลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วจะเตรียมการยื่นอุธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป


https://greennews.agency/?p=21450