PDA

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 28 กรกฏาคม 2563


สายน้ำ
28-07-2020, 03:15
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมีการกระจายของฝนเพิ่มขึ้น สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 28 ? 29 ก.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมา ลาว และเวียดนามตอนบน ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีฝนเพิ่มขึ้น สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 30 ก.ค. - 2 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้นเป็นกำลังปานกลาง ประกอบกับร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าฟ้าคะนองจะคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 30 ก.ค. - 2 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และขอให้ชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ในระยะเวลาดังกล่าวไว้ด้วย


https://lh3.googleusercontent.com/S3fsHWzlJfExMcAnEADhGt3yNqrZ_wSJU5-Rb-C9rxpPWiAbJ_4yT0zo_sisfv7TNs8PizcaFilfvIqAiwez60sVDdVMtd51nQNNDH_rUYnNV37xt9aUn6DZge-xPSJn1nnZ6rOTN-a80nTzbwty6dnoCUbyoiWnl957MH_moGKMKhYOE2OoPhjgh1F1PXXhTkQjmiWg8Rej0jRfUOIa7HAKZQIm7A1EYJrMNWY_Dwxp5JHxd3PFrBaN7u5OOgEwqi5iujHCxL0XlZaQFC9KC8gdaeLJpvL2CNIr4obLHJAvj3YSHsV6YXQNXHX51JFXavw0WlODoBDlYBK3Y4IJcVxJpIGmNBuJ_u5HfQ3HESyLnD_Jsw51vLuNiRReiahNDpzFD5_DV3m3u-XIt2ZWl3lhiW7m2o1qLzMWG__2DdHTezD-vAF0jWdhFYSiWiq2lFFYVBYAGbCXBdc6B1QqCyGpPOKmYXUmpeIjvCUx-oi_xi3u6r50y-meCdHH4fse0fA8bnJFGVEB5JJBpC9iiZinnw5_C-Q65rVaL6Rv4u1wY3buLDhq2g8ytlSmbNUcIBptIfgy4XQVx7CDj0jw5Y_gft-pLheGMzNkaD5kZ19DHu0Cd_RabMq9PKdcyw1pU1qwyiLlDbnTX5z-ewNTsa42L3TzYsG0ulZQ742rShvq9GGHgSpBRBV_R5r-hk8=w800-h552-no?authuser=0


https://lh3.googleusercontent.com/F0mMqaI7GF3AKd2pXNBcHRSITK4nLgJ0BLSwW41w5iGQgyInJj6WX98z29q7fDEKDdd4_dQjiFna7gjHTtODMbe-FvDxg6SGv95SPRf7Iv-NhEI8hauIqoJarSu7mmgNo3p4lEXiOJWdJzja9ZTliRFqFKAoiwNQy4rQ0cSmNTsG2lacNsqxe0TlF_IPTgAb4NhfrQq4Q12BI8zSen-P_41VUUUnVRluTcHnIbPPOuP6r18n69N-QrHjzFy0uuZaIkDGJBOW6G_0mbBjTn5_DE_y0tXaae_ecy4qlzKKwDZs0aOKwgdXDk8KwIu6scjeLYRkWWLGkNPxuyX3xRTjAC-ORp7i-pUWaJkvV0TZIxAGsRoX8RNq1gBZxeMavf7Yt2PZCEHQrfukIWADmyjKphDqQjKnJFjyHgd7wAm1zxtBwvgJNq8I3BUjjbqMcPBc0rIYPLZn3EzTw2ABo3tGZIaOCvoLd71Qu3HWpJ9njgHbDsybq5rRKDP8kW9J6EPzuh22iua7Q9Xe01PHfEeUiwoHu2937-Di5EvfJRFqf3DRBTMtBQ0syizKqtEVV-4Y7w_nsTVbxpWgMKULt659egX5yj-1VfgAbJoxtGNecyJ9BXeboDmtB59olsqAtJzmsN2RFjBZz8X6bBpRg3UP5iZ9-O5X4zHBmfxzihrAija4NzjoYqsyy8XVw3-kd-o=w800-h510-no?authuser=0

สายน้ำ
28-07-2020, 03:54
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


ออสเตรเลียเข้าข้างสหรัฐ ไม่ยอมรับจีนอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้

https://lh3.googleusercontent.com/5oSyUrTFFnCWPXhInx1tta9NwmCv4PSQNvt4sMpM4WujKV1s7l5O8SL8tud5FzJgmzipcqceY45D5pZT1uXS602l9OoAqupjd3dfwPM-QbWOxR3PYwGCKLT4JLS69JV_ZVfn-Hq1vz8d9n8ObN1QZrBT4g6AHNIEvlpuQ5RQa_ZNcKt07fjC_YyO7BeF5pTm84PlgFRkxzWy0pWLiM3QbPrfa57Fz_1gidWgmEBS4Ta_adm6mIp00CMWZ-FwqEYRK8mrL4R99vMqoYSg-zL42mTonNmykG97VqmEaucZ6Ge76NQc5-WBPI3BC_tp0b_Ssnc4FIT_TbaxkAvznVfn1VXBAXBe6Spsuqm1nnPsipmip1Nt4fzfTFSnlZwJY4HjXJdvBz98qeXVW7o6st1RXKeWp0jGOVcfwdBiR9JGdMWBoK1F6myBx9zVKpOO9_Clsn49QkYdh_Kp8p7h0VQ05lml5QOkoRiwTguMSa9iDcTYf972GgBgtiO-7X-bQ1Q7la5kpvvZyVgCMmHt8H6Bix6K6VYu7Jeov3nexkcwIuOd9WO-bgKGUngbPNqmxwtWPZHt6hY7_gxmOWwC89XlWHkux4Tn26Nmq72OKKWYXPZ4_2_8RTymTj7pAX9bV3SFpU7XfMB4QISVAxHMWZpL14dFm-05FfgA2GXJ8w6Ut6DUQwTcXIVyAC42tfIpGi4=w700-h493-no?authuser=0
Photo by Romeo GACAD / AFP

รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียและสหรัฐจะพบกันในกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้

รัฐบาลออสเตรเลียร่วมประสานเสียงกับสหรัฐปฏิเสธการอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ของรับฐาลจีนที่กินพื้นที่กว้างใหญ่ โดยกล่าวว่าจีนกระทำการที่ "ไม่สอดคล้อง" กับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลปี 1982

"ไม่มีหลักเกณฑ์ทางกฎหมายมารองรับการกระทำของประเทศจีนในการวาดเส้นเขตแดนตรงที่เชื่อมต่อจุดระยะไกลที่สุดทางทะเลหรือกลุ่มเกาะในทะเลจีนใต้ ออสเตรเลียปฏิเสธการข้ออ้างของจีนที่อ้าง "สิทธิทางประวัติศาสตร์" หรือ" สิทธิและผลประโยชน์ทางทะเล" ที่ดำรงอยู่ตาม "วิถีปฏิบัติทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน" ในทะเลจีนใต้" ทูตออสเตรเลียประจำสหประชาชาติระบุในแถลงการณ์

ทั้งนี้ จีนมักจะอ้าง "สิทธิทางประวัติศาสตร์" (historic rights) ในการครอบครองหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต็โดยอ้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน

การเคลื่อนไหวดังกล่าวของรัฐบาลออสเตรเลียสอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลทรัมป์ซึ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาที่เปลี่ยนนโยบายก่อนหน้านี้ที่ไม่เข้าข้างใครในข้อพิพาททะเลจีนใต้ และหันมาโจมตีจีนที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสหรัฐระบุว่าการอ้างสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำให้จีนและสหรัฐเผชิญหน้ากันในทะเลจีน

ในระหว่างการเคลื่อนไหวของทั้งสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียอ้างว่าการตัดสินโดยศาลของสหประชาชาติในปี 2559 กรณีที่ฟิลิปปินส์ร้องเรียนการอ้างสิทธิ์เกาะหนึ่งของจีน ซึ่งศาลระบุว่าการอ้างสิทธิ์ของจีเป็นเรื่องผิดกฎหมายระหว่างประเทศ

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจีนตอบโต้สหรัฐว่า "ละเลยประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริง" ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทะเลจีนใต้

ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลียและสหรัฐจะพบกันในกรุงวอชิงตันในสัปดาห์นี้


https://www.posttoday.com/world/629339#cxrecs_s

สายน้ำ
28-07-2020, 04:19
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


เมื่อ 'อารยธรรม' ของ 'มนุษย์' อาจสิ้นสูญอีก 30 ปีข้างหน้า

https://lh3.googleusercontent.com/jeDCgpq0BnsDn0xoJFh8-AZWpD2t1Or60TOFS-npq2aI9H9rVNqZJnVIo0wnrlJPYzYvXO5MXnbifbeV8tS5pJdIW9tFEBj8gW17dDrSAl1bWWVOKMYeRPPxavvo15DzleyQBVSJgxp2h51C9akvIgV_CdxAEuieXNf-uwn8tAc5DKTjpUyamKU2PHmiNK38Z-j6DQQlJ0pWDaW3UMZ1dkFaDhVMer_tPXM83y0tfjgQqm7GOSOpHSYt9fXbqBagIwJMPGk9qtudl3BQ18Bim4BIHAMEgSQ6SEH2EzCHmIVnjxzefbd_fTJvzQ8eXk7q2T3uCk8cCUBIsgpHvx7q9ilt9YX1N-VGaMhtSiIOpRF9w_iSENbp04vrPNWaQmOMAPEVk-JN8J76IWRjhbXNIs51i7fPrfwrQpiZFy3NCK5ad_JrTJc9yI52_r2sCsa_Ag3Q-lYvpBghNtec-M6WGrZxXAzhaa38PXZ-Sv78Q5ON6hn7ViTFo7KKWdcClIhvnXJ7xkKza3HlFBPw4KLU_avfEaZCZgYyNzCVv6QO819IRNyn0Dqt4qn8tqGMnTOD8MVtejcuNGj1ypjoEkJosIlFNkaVAyP9NYTUFxmX0NE4LgP_O0B34iz34ebMgElT3Ye022LY6q4P-euzgDWt9cUEhMPUp448rpK1at9-Hit4r88ZSuBjwjS7ktkFIss=w700-h394-no?authuser=0

เป็นไปได้หรือไม่ "อารยธรรม" ของ "มนุษย์" เรากำลังถึงคราวสูญสลายไป แถมมันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในภายในอีก 30 ปีข้างหน้าเท่านั้น

หลายคนอาจจินตนาการถึงจุดจบของมนุษยชาติในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า แต่ไต้ฝุ่นฮากีบิส ไฟป่าที่เผาแอมะซอน ทวีปแอฟริกา และออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้ หรือกระทั่งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกอย่างล้วนทำให้ ประเด็นเรื่องการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ถูกพูดถึงมากขึ้น พอๆ กับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าอารยธรรมของโลกเราที่มนุษย์ทุกคนเคยรู้จักไปอย่างสิ้นเชิง

แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า วันสุดท้ายของเรารออยู่อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้านี้!

ข้อสันนิษฐานนี้เป็นเรื่องตลกที่ดูจะขำไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เมื่อมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ชุดใหม่ออกมาระบุว่า จากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ จะนำไปสู่จุดสิ้นสูญของอารยธรรมของคนเราในอีกไม่เกิน 30 ปี นับจากนี้

รายงานฉบับดังกล่าว ตีพิมพ์โดย ศูนย์พัฒนาแห่งชาติเพื่อการฟื้นฟูสภาพภูมิอากาศ ออสเตรเลีย ได้พยากรณ์สถานการณ์จากปัจจัยแวดล้อม และเงื่อนไขของการ เกินขีดจำกัดที่มนุษย์จะอยู่รอด ซึ่งพวกเขาพบว่า สถานการณ์ดังกล่าวจะขยายวงกว้างไปทั่วโลกภายในปี 2050

จากการวิเคราะห์ดังกล่าว นี่ถือเป็นสถานการณ์พิเศษอย่างแท้จริง ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ด้วยลักษณะของอุณหภูมิที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง และปริมาณประชากรโลกเกือบ 8 พันล้านคน สัญญาณเตือนเหล่านี้ต่างบ่งชี้ว่า มนุษย์เราควรทำอะไรสักอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นการติดตามแก้ปัญหาอาจเป็นความผิดพลาดยิ่งกว่า

สถานการณ์ 2050 ที่ถูกนำเสนอนั้น มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เราเผชิญกับการล่มสลายของอารยธรรมอย่างไม่อาจแก้ไขได้เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้

ค.ศ.2020-2030 รัฐบาลโลกล้มเหลวใน ข้อตกลงปารีส ซึ่งไม่เพียงจะรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงขึ้น หรือ "การรักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 3 องศาเซลเซียส" จากการศึกษาก่อนหน้านี้ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีมากถึง 437 ส่วนต่อล้านหน่วย ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตอลด 20 ล้านปีที่ผ่านมา ผลก็คือ โลกร้อนจะร้อนขึ้นอีกอย่างน้อย 1.6 องศาเซลเซียส

ค.ศ.2030-2050 โลกจะปล่อยคาร์บอนสูงสุดในปี 2030 แล้วจากนั้นจึงค่อยๆ ลดลง ซึ่งวัฏจักรการใช้คาร์บอน และเชื้อเพลิงฟอศซิลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้อุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกกว่า 3 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050

ค.ศ.2050 ภายในปี 2050 เราจะเห็นว่า โลกไปถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ แผ่นน้ำแข็งในกรีนแลนด์ และแอนตาร์กติกตะวันตกจะอุ่นขึ้นอีก 2 องศาเซลเซียส สถานการณ์อุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 1 องศาเซลเซียส แม้ว่าเราจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างทันทีก็สายไปเสียแล้ว

เมื่อมาถึงจุดนี้ จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 55 ของประชากรโลก และมากกว่า 20 วันต่อปีเราจะเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนรุนแรงเกินกว่าที่มนุษย์จะอยู่รอดได้ ทวีปอเมริกาเหนือจะประสบกับสภาพอากาศผันผวนรุนแรง รวมถึงไฟป่า ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน มรสุมในประเทศจีน แม่น้ำใหญ่ของเอเชียแทบจะแห้งแล้งทั้งทวีป และปริมาณน้ำฝนในอเมริกากลางลดลงครึ่งหนึ่ง

สภาพความร้อนที่อันตรายถึงชีวิตทางแอฟริกาตะวันตกยังคงมีอยู่เป็นเวลามากกว่า 100 วันต่อปี และประเทศที่ยากจนจะยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากสภาพแวดล้อมดังกล่าว การผลิตอาหารไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงประชากรโลก ส่งผลทำให้มีผู้พลัดถิ่นมากกว่า หนึ่งพันล้านคน

สิ่งที่จะมาเป็นอีกส่วนผสมของความท้าทายของโลกก็คือ โรคระบาดที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร และอาหารอาจนำไปสู่สงครามในที่สุด ซึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งรายงานระบุว่า อยู่นอกเหนือความสามารถในการสร้างแบบจำลองนั้นมี โอกาสสูงของอารยธรรมมนุษย์จะมาถึงจุดจบ

ด้วยความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดขึ้นกับคนเรา และอารยธรรมของมนุษยชาติในอีกไม่ช้านี้ อาจส่งให้เราต้องเตรียมตัวทั้งในแง่ของแผนรับมือ และการเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการระยะสั้นในการช่วยบรรเทาความรุนแรงของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระบบอุตสาหกรรมที่ปลอดมลพิษ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงเพื่อปกป้องอารยธรรมของมนุษยชาติ

หนทางเหล่านั้นมีความเป็นไปได้อยู่ โดยจากรายงานล่าสุด จะดีต่ออนาคตหากโลกสามารถจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส แทนที่จะเป็น 2 องศาเซลเซียส อย่างในข้อตกลงปารีส

แน่นอนว่า มีอีกหลายวิธีที่เราสามารถป้องกันอนาคตได้ เพียงแค่ต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้


https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/890896?utm_source=homepage_hilight&utm_medium=internal_referral