View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณทางด้านตะวันออกของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 16 ? 17 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีการกระจายของฝนมากกว่าภาคอื่นๆ
ส่วนในช่วงวันที่ 18 - 22 ส.ค. 63 ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศจีนตอนใต้ เวียดนามและลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 18 ? 22 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Forecast1.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/80f1c575-034b-43d4-9cb0-f6162d93fb4b)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/680817_Wave_Sat.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/aeba9294-9b32-45d0-92d2-c896b3d4276b)
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เรือเกยตื้นเกาะมอริเชียส หลุดเป็น 2 ส่วน หลังทำน้ำมันรั่วนับพันตัน
เรือสินค้าของญี่ปุ่นซึ่งเกยตื้นทำน้ำมันเชื้อเพลิงนับพันตันรั่วลงทะเลนอกชายฝั่ง เกาะมอริเชียส เมื่อปลายเดือนก่อน หักเป็น 2 ส่วนแล้ว
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Thairath_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/24f02ea7-3ebb-41a1-973c-fac90e706d07)
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการของประเทศเกาะ มอริเชียส เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. 2563 ว่า เรือบรรทุกสินค้า 'เอ็มวี วาคาชิโอะ' ของบริษัท นากาชิกิ ชิปปิ้ง ประเทศญี่ป่น ที่เกยตื้นอยู่บริเวณชายฝั่ง 'ปอนเต เดอนี' (Pointe d'Esny) พื้นที่ชุ่มน้ำทางตะวันออกของมอริเชียส ตั้งแต่ 25 ก.ค. และทำให้น้ำมันหลายร้อยตันรั่วไหลลงมหาสมุทรอินเดีย หักออกเป็น 2 ส่วนแล้ว
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Thairath_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/87df19ed-7d5e-4909-ad16-76298585c938)
น้ำมันเริ่มรั่วออกจากเรือสินค้าลำนี้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้มอริเชียสต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อม และเกิดปฏิบัติการทำความสะอาดครั้งใหญ่โดยเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครท้องถิ่นหลายพันคน แต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รอแตกบริเวณด้านท้ายเรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ทางการต้องประกาศให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม และระงับปฏิบัติการของเหล่าอาสาสมัคร
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Thairath_03.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/60a642ba-7805-4906-9d04-baf14b0dbe1c)
คณะกรรมาธิการจัดการวิกฤติแห่งชาติของมอริเชีย ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทั่งในเวลาประมาณ 16:30 น. ของวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. เรือ เอ็มวี วาคาชิโอะ ก็หักเป็น 2 ส่วน แต่เจ้าหน้าที่เสริมแนววัตถุดูดซับน้ำมัน หรือ 'บูม' (Boom) เอาไว้ใกล้เรือแล้ว เพื่อดูดซับน้ำมันที่อาจรั่วออกมาเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานาย สุนิล โดวาร์คาซิง อดีตนักยุทธศาสตร์ขององค์กร กรีนพีซ และอดีตสมาชิกสภามอริเชียส บอกกับสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ว่า น้ำมันจาก 1 ใน 3 แทงก์บนเรือ เอ็มวี วาคาชิโอะ รั่วไหลลงทะเลมหาสมุทรอินเดียไปแล้ว ขณะที่ลูกเรือพยายามนำน้ำมันออกจากแทงก์ที่เหลือ ก่อนที่เรือจำแยกออกจากกัน
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Thairath_04.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/409d0083-8e84-4a3c-9c96-09f9d43af48e)
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ในชัดว่าเจ้าหน้าที่สามารถนำน้ำมันออกไปได้มากเท่าใด ก่อนที่เรือจะแยกออกในวันเสาร์ แต่บริษัท 'มิตสึอิ โอ.เอส.เค. ไลน์ส' ผู้ให้บริการเรือลำนี้เผยก่อนหน้านี้ว่า น้ำมันประมาณ 1,180 ตันรั่วไหลออกจากแทงก์เก็บเชื้อเพลิงบนเรือ แต่เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้คืนมาจากทะเลและชายฝั่งได้ราว 460 ตัน
อนึ่ง เรือ เอ็มวี วาคาชิโอ บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงกำมะถันต่ำมาทั้งหมดประมาณ 3,800 ตัน และมีน้ำมันดีเซลอีก 200 ตัน
https://www.thairath.co.th/news/foreign/1911704
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เรือบรรทุกน้ำมันเกยตื้น ที่ชายฝั่งมอริเชียส ล่าสุดขาดสองท่อน น้ำมันรั่วลงทะเลกว่า 1,180 ตัน 'ดร.ธรณ์' หวั่นผลกระทบแนวปะการัง
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Mgr_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/0e61e919-0434-4730-bde7-52d3395439af)
การรั่วไหลของน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันรั่ว ที่ชายฝั่งทะเลมอริเชียส ในมหาสมุทรอินเดีย (เครดิตภาพ ซีเอ็นเอ็น)
เรือบรรทุกน้ำมันเกยตื้น ที่ชายฝั่งมอริเชียส ล่าสุดขาดสองท่อน น้ำมันรั่วลงทะเลกว่า 1,180 ตัน ?ดร.ธรณ์?หวั่นผลกระทบแนวปะการัง
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อว่า MV Wakashio ขาดเป็นสองท่อน ทำน้ำมันรั่วไหลลงมหาสมุทรอินเดียแล้วเกินกว่าครึ่ง และคาดจะส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง นายกรัฐมนตรีมอริเซียสได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม
จากคำแถลงการณ์ คณะกรรมการวิกฤตการณ์แห่งชาติของมอริเชียส ระบุว่า เรือ MV Wakashio ซึ่งเป็นของญี่ปุ่นได้แล่นเกยตื้นที่ Pointe d'Esny เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีน้ำมันจำนวนมากรั่วไหลลงสู่ทะเลสาบในมหาสมุทรอินเดียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจึงมีการดำเนินการทำความสะอาดครั้งใหญ่โดยอาสาสมัครในพื้นที่หลายพันคนกำลังดำเนินการอยู่ แต่รอยแตกภายในตัวเรือขยายใหญ่ขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามข้อมูลของผู้ควบคุมเรือ Mitsui O.S.K. Lines บริษัท สัญชาติญี่ปุ่น
Tal Harris ผู้ประสานงานด้านการสื่อสารของ Greenpeace Africa International กล่าวกับ CNN ว่าทางการได้ "กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตต้องห้าม" และขอให้อาสาสมัครหยุดกิจกรรมเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Sunil Dowarkasing อดีตนักยุทธศาสตร์ของ Greenpeace International และอดีตสมาชิกรัฐสภาในมอริเชียสบอกกับ CNN ว่าถังน้ำมันหนึ่งในสามถังของเรือได้รั่วไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วและทีมงานพยายามที่จะนำน้ำมันออกจากรถถังคันอื่นก่อนหน้านี้ เรือแตก
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Mgr_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/208d5924-cacf-4822-921f-2878607f0b81)
ยังไม่ชัดเจนว่ามีการขจัดน้ำมันออกไปปริมาณเท่าใดก่อนวันเสาร์ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Mitsui O.S.K. Lines ระบุว่ามีน้ำมันประมาณ 1,180 เมตริกตันรั่วไหลออกจากถังเชื้อเพลิงของเรือ โดยมีประมาณ 460 ตันที่กู้จากทะเลและชายฝั่ง เรือลำดังกล่าวบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีซัลเฟอร์ต่ำมากประมาณ 3,800 ตัน และน้ำมันดีเซล 200 ตันตามข้อมูลของผู้ประกอบการ
นายกรัฐมนตรี Pravind Jugnauth ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมว่า "เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤตสิ่งแวดล้อม" ขณะเดียวกัน Kavy Ramano รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศ กล่าวว่าการรั่วไหลนี้อยู่ใกล้กับระบบนิเวศทางทะเลที่ได้รับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสองแห่ง และเขตสงวน Blue Bay Marine Park บริเวณใกล้เคียงมีชายหาดท่องเที่ยวยอดนิยมและสวนป่าชายเลนหลายแห่ง ทั้งนี้ MV Wakashio กำลังเดินทางจากจีนไปบราซิลเมื่อเกยตื้นบนแนวปะการัง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Mgr_03.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/e30af397-271c-4aea-8e0a-ee1e9fa5cecb)
'ดร.ธรณ์' อัปเดท ผลกระทบต่อแนวปะการัง ซึ่งรุนแรงกว่าบ้านเราเคยประสบ 5 เท่า
จากเพจเฟซบุ๊ก โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้อัปเดทข่าวเรือชนแนวปะการัง น้ำมันรั่วที่มอร์ริเชียสว่า
ตอนนี้คลื่นซัดจนเรือขาดสองท่อน น้ำมันอย่างน้อย 1,180 ตันไหลลงแนวปะการังครับ บนเรือมีน้ำมัน 4,000 ตัน หลังจากเรือชน ทีมดูแลสิ่งแวดล้อมรีบช่วยกันดูดน้ำมันที่มีอยู่ 3 แทงค์ ข่าวบอกว่าดูดออกมาได้ส่วนหนึ่ง
ตอนนี้เรือหักแล้ว ยังไม่แน่ว่าดูดออกมาได้ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือหนึ่งแทงค์รั่วเกือบหมด นั่นคือ 1,180 ตันที่รั่วมาแล้ว
เทียบกับปริมาณที่เคยรั่วในทะเลไทย ตั้งแต่ปี 2516 ถึงปัจจุบัน ครั้งใหญ่สุดเกิดในปี 2545 เรือชนหินสันฉลาม สัตหีบ น้ำมันเตารั่ว 234 ตัน (ข้อมูลกรมทะเล) แต่เหตุการณ์ที่มอร์ริเชียส แรงกว่าเรา 5 เท่า และที่สำคัญคือเกิดบนแนวปะการังโดยตรง รอบๆ มีทั้งอุทยานทางทะเลและแหล่งท่องเที่ยว ยังมีป่าชายเลนและหาดสวยบนฝั่ง
จากการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม วันที่ 11 สค. คราบน้ำมันกระจายไปในพื้นที่กว้าง 27 ตร.กม. ถึงวันนี้ไม่ทราบว่ากระจายถึงไหน แต่มีรายงานว่ากระจายไปไกลกว่าเดิมหลายเท่า อาสาสมัครไปช่วยกัน แต่มันอันตรายเพราะไอระเหย รัฐบาลพยายามขอให้อย่าไปเลย ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเถิด
แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบ ทั้งต่อปะการังโดยตรง สัตว์อื่นๆ รวมถึงระบบนิเวศป่าชายเลนและชายหาด
การนำน้ำมันออกจากระบบนิเวศซับซ้อนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องมีการทำงานกันต่อเนื่อง และใช้เวลาหลายเดือน/เป็นปี
ประเทศมอร์ริเชียสมีผู้ป่วยโควิดไม่ถึง 400 คน แต่การท่องเที่ยวกระทบหนักจากปัญหาล็อกดาวน์ทั่วโลก และมาเจออุบัติเหตุซ้ำอีกหน ผมจะมารายงานเพื่อนธรณ์เป็นระยะครับ
ทั้งนี้ มอริเซียส เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอริเชียส เป็นประเทศที่เป็นเกาะนอกชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของมาดากัสการ์ ประมาณ 900 กิโลเมตร และทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียประมาณ 3,943 กิโลเมตร
https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9630000083935
*********************************************************************************************************************************************************
ทช. โชว์ภาพการสำรวจ "ทะเลไทยสมบูรณ์" วาฬ โลมา โผล่มาให้เห็น
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Mgr_04.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/36a26427-4e3a-45f6-9740-1e4e198410bd)
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือ ทช. โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก ได้โพสต์การสำรวจสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ บริเวณอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (เมื่อ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา) ว่าพบสัตว์ทะเลหายาก 3 ชนิด คือ โลมาอิรวดี โลมาหลังโหนก และวาฬบรูด้า
เป็นการพบ โลมาอิรวดี (lrrawaddy dolphin : Orcealla brevirostris) 3-5 ตัว นอกฝั่งตะวันออกของจ.สมุทรสาคร ในระยะ 3.5 กม. ส่วนโลมาหลังโหนก (Indo-Pacific humpback dolphin : Sousa Chinensis) โดยรับแจ้งจากชาวประมง พบ 2 ตัวบริเวณปากร่องน้ำแม่กลอง-บางตะบูน
และ วาฬบรูด้า (Bryde?s Whale : Balaenoptera edeni) พบ 5 ตัวแพร่กระจายบริเวณนอกฝั่งตะวันออกและตะวันตกของ จ.สมุทรสาคร ระยะห่างฝั่ง 15-20 กม. ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยหากินและเลี้ยงลูก บริเวณทะเลเขตติดต่อกับกรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบอัตลักษณ์ (Photo ID) เป็นคู่แม่ลูก 2 คู่ ได้แก่ แม่สายชลและเจ้าสายฝน แม่ศรีสุขและเจ้าสีสัน และไม่ทราบชื่อ 1 ตัว
สัตวแพทย์ตรวจสุขภาพวาฬบรูด้าที่ระบุชื่อได้ทั้งสิ้น 4 ตัว พบว่าทุกตัวมีการเคลื่อนไหว การทรงตัว คุณภาพและอัตราการหายใจปกติ และความสมบรูณ์ของร่างกาย (Body Condition Score: BCS) อยู่ในเกณฑ์ดี (ค่าเฉลี่ย BCS = 2.25) และพบรอยโรคบนผิวหนัง (Tattoo Skin disease: TSD) 2 ตัว
https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9630000083941
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ปั้น'เกาะมันใน' ระยอง สู่โมเดลทรัพยากรทะเล ..................... โดย นนทวรรณ มนตรี
ปั้น'เกาะมันใน' ระยอง - หมู่เกาะมัน ถือเป็นสวรรค์แห่ง ท้องทะเลตะวันออก แบ่งเป็น 3 เกาะ คือ เกาะมันใน เกาะมันกลาง และเกาะมันนอก ทั้ง 3 เกาะล้วนมีธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างกันไป
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Khaosod_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/10d58442-2b42-412f-8e44-532db7105137)
หมู่เกาะมันตั้งอยู่ในต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ห่างจากท่าเรือแหลมตาล ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร
อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อ อ.เขาชะเมา และอ.วังจันทร์ จ.ระยอง ทิศใต้ ติดต่อชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ.แก่งหางแมว และ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ทิศตะวันตก ติดต่อกับอ.เมือง จ.ระยอง
หนึ่งในสามเกาะอย่าง "เกาะมันใน" กำลังถูกผลักดันให้เป็นต้นแบบพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้นกอพยพตามธรรมชาติ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)
เกาะมันในครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 137 ไร่ตั้งอยู่ห่างจากอ่าวมะขามป้อมประมาณ 6 กิโลเมตร บนเกาะมีสถานีอนุรักษ์พันธุ์ เต่าทะเลตามโครงการสมเด็จอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยทางฝั่งตะวันออก
สำหรับจุดท่องเที่ยวและพักผ่อนที่น่าสนใจบนเกาะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางบริเวณทางด้านทิศเหนือของเกาะ ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของบ่อเลี้ยงเต่าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ เช่น เต่าตนุและเต่ากระ ส่วนเต่าตัวที่มีอายุมากที่สุด 25 ปี มีน้ำหนักประมาณ 85 กิโลกรัม
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Khaosod_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/4b72c84a-9809-45ec-a52b-7e5cd92999a7)
นอกจากนั้นยังมีอาคารนิทรรศการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ซึ่งภายในอาคารประกอบไปด้วยเต่าทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาสตัฟฟ์ไว้เพื่อการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม
บริเวณด้านหน้าชายหาดที่อยู่ตรงข้ามกับอ่าวมะขามป้อมและแหลมแม่พิมพ์มีชื่อว่าหาดหน้าบ้าน ยังเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจและลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยและเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดบนเกาะมันใน
เกาะมันในยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติและชมวิวทิวทัศน์รอบเกาะอีกด้วย
ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง เล่าที่มาของเกาะมันใน ว่า สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานเกาะมันใน เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2522 ซึ่งในขณะนั้นเป็นกรมประมงดูแล ต่อมาในปี 2528 ได้โอนภารกิจมายังสังกัดศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จวบจนปัจจุบัน
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Khaosod_03.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/382c90b2-a807-45b7-8522-31355e8058e7)
เกาะมันใน ครอบคลุมพื้นที่ 137 ไร่ ในพื้นที่ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง นับเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง และยังเป็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญของจ.ระยองอีกด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมาพบว่าพื้นที่เกาะใกล้แนวชายฝั่งและในทะเล ที่เป็นแหล่งอาศัยของทรัพยากรสัตว์ป่า สัตว์ทะเล และนกที่มีความหลากหลาย เริ่มได้รับผลกระทบจากการพัฒนาและใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ของมนุษย์ หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลกระทบมากขึ้น
ขณะที่งานด้านการศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงมีความจำเป็นที่ ต้อง บูรณาการระหว่างหน่วยงานอื่น รวมทั้งภาคประชาชน ชุมชนในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงด้านองค์ความรู้ บุคลากรที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้การดำเนินงานด้านระบบนิเวศทางทะเลของประเทศครอบคลุมที่ในทุกมิติ
ล่าสุดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ โดย ดร.ปิ่นสักก์ พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย และ น.ส.แนนซี่ ลิน กิ๊บสัน ประธานกรรมการมูลนิธิรักสัตว์ป่า ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ ที่กรมทรัพยากรทางทะลและชายฝั่ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหวังให้เกาะมันใน จ.ระยอง เป็นต้นแบบพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งเรียนรู้นกอพยพและนกธรรมชาติ
"เกาะมันในมีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศวิทยาทางทะเล มีศูนย์แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลเต่าทะเล และเราพร้อมจะ ผลักดันให้เกาะมันในเป็นโมเดลพื้นที่สำหรับการบริหารจัดการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนางานด้านระบบนิเวศทางทะเล ระบบนิเวศทางบก และความหลากหลายของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ รวมถึงนกที่มักจะอพยพมาเป็นประจำทุกปีและนกที่อยู่ตามธรรมชาติบนเกาะอย่างเป็นระบบแห่งแรกของประเทศไทย จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์แห่งอื่นๆ ของประเทศ และจะเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศ และนานาประเทศด้วย" ดร.ปิ่นสักก์ระบุ
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_Khaosod_04.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/960a5193-94fe-4373-9d09-ec7389afd149)
ดร.ปิ่นสักก์กล่าวอีกว่า หากเราพัฒนาเกาะมันในเป็นต้นแบบการอนุรักษ์แล้ว ก็จะเตรียมประกาศเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหมู่เกาะมัน จ.ระยอง ตามพ.ร.บ. ส่งเสริมการบริการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 มาตรา 20 ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่ทำให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รับการสงวน คุ้มครอง อนุรักษ์ และฟื้นฟูให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้ประชาชน รุ่นหลังได้ใช้เป็นฐานทรัพยากรต่อไป
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเห็นว่างานด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศ รวมทั้งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ในระบบนิเวศปะการัง หญ้าทะเล ชายหาด และป่าชายเลน ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่มีความซับซ้อน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิชาการเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ การสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดำเนินงาน และเครื่องมือเฉพาะด้าน
เพื่อให้การดำเนินงานด้านระบบนิเวศทางทะเลของประเทศ ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู การวิจัย การบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งที่เหมาะสม
https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_4716448
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ปรสิตดูดเลือดทำตัวเป็น "ลิ้นเทียม" ในปากปลาทะเล
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_BBC_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/8afae458-219a-4bed-bdc4-a3ef2f23db6c)
ภาพสแกนภายในกะโหลกของปลาแฮร์ริงเคลที่พบปรสิตเกาะอยู่
หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวสยองขวัญของ "ปรสิตกินลิ้น" หรือไอโซพอด (Isopod) ตัวจิ๋วบางชนิด ซึ่งมักเข้าไปดูดกินเลือดที่ลิ้นของปลาทะเลเป็นอาหาร จนในบางครั้งทำให้เนื้อลิ้นตายลงและหลุดออกไปในที่สุด
ความน่ากลัวของปรสิตดังกล่าวยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานจากนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันว่า ปรสิตที่เป็นสัตว์ทะเลมีเปลือกแข็งหุ้มชนิดนี้ มีพฤติกรรมประหลาดขณะอาศัยอยู่ในปากของปลาแฮร์ริงเคล (Herring cale) โดยทำตัวเสมือนว่ามันได้กลายเป็นลิ้นของปลา แทนที่ลิ้นของจริงซึ่งเนื้อลิ้นได้ตายและหลุดออกไปแล้ว
ดร. คอรี อีแวนส์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยไรซ์ของสหรัฐฯ ได้ค้นพบพฤติกรรมปลอมตัวเป็นลิ้นปลาของปรสิตดังกล่าวโดยบังเอิญ ระหว่างจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลจากภาพสแกนกะโหลกของปลาทะเลหลายชนิดในวงศ์ปลานกขุนทอง (Wrasse) ทำให้เขาสังเกตเห็นตัวปรสิตดังกล่าว ขณะใช้ชีวิตแนบติดกับเนื้อเยื่อตรงที่เคยเป็นโคนลิ้นมาก่อน
"ปลาแฮร์ริงเคลกินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร ไม่น่าจะกินสัตว์ที่ดูคล้ายแมลงเข้าไปได้ ความผิดปกตินี้ทำให้ผมเอะใจและสังเกตดูอย่างใกล้ชิดมากขึ้นว่ามันคืออะไรกันแน่" ดร. อีแวนส์กล่าว
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/630817_BBC_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/97ef0711-6ab5-482d-a032-4ce95c5cdac0/p/1a124a1e-c801-4b2f-802a-36803c00ef19)
ปลาแฮร์ริงเคล (Herring cale) กินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร ตัวผู้จะมีผิวสีน้ำเงิน
ปรสิตชนิดนี้เคลื่อนไหวตัวเหมือนกับลิ้นขณะที่ปลากินอาหาร แต่ก็ไม่สู้จะคล่องแคล่วนัก อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ได้ดูดเลือดปลาทะเลหรือสัตว์อื่น ๆ ไปเสียทุกชนิด แต่จะเลือกอยู่กับปลาบางสายพันธุ์ที่มันชอบเท่านั้น
แม้จะยังไม่ทราบชัดว่าปรสิตดังกล่าวคือสัตว์ชนิดพันธุ์ใด แต่ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่า สัตว์ขาปล้องหรืออาร์โทรพอด (Arthropod) ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymothoa exigua ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำตั้งแต่แถบชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือลงไปจนถึงเอกวาดอร์ มีพฤติกรรมเป็นปรสิตดูดเลือดที่ลิ้นของปลาเช่นกัน
นอกจากนี้ ไอโซพอดในวัยเจริญพันธุ์หลายชนิดก็มีพฤติกรรมเกาะเหงือกปลาเพื่อดูดกินเลือดด้วย โดยไอโซพอดตัวเมียจะหาทางเข้าไปในปากปลา ใช้ก้ามตัดเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเนื้อลิ้นเพื่อดูดกินเลือดจนเนื้อตายและหลุดออก หลังจากนั้นมันจะขยายพันธุ์และเลี้ยงดูตัวอ่อนอยู่ในปากปลา จนกว่าสารอาหารที่มีอยู่จะหมดลง
อย่างไรก็ตาม ไอโซพอดตัวแม่อาจผละออกจากปลาที่มันดูดเลือดไปก่อนได้โดยที่ปลาตัวนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันจะกลายเป็นปลาไร้ลิ้นซึ่งต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างยากลำบาก
https://www.bbc.com/thai/features-53792083
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.