เข้าระบบ

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน 2563


สายน้ำ
03-11-2020, 03:23
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็น โดยมีฝนบางแห่งบริเวณประเทศไทยตอนบน ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักในระยะนี้

อนึ่ง เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (3 พ.ย. 2563) พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในวันที่ 5 พ.ย. 2563


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีฝนเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ตลอดช่วง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง โดยในช่วงวันที่ 5 - 7 พ.ย. 63 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งกับมีลมแรง เนื่องจาก พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ในช่วงวันที่ 4 - 5 พ.ย. 2563 และจะอ่อนกำลังลงในระยะต่อไป ทำให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน

สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อนึ่ง พายุโซนร้อน "อัสนี" (พายุระดับ 3) บริเวณตอนบนของประเทศฟิลิปปินส์ จะเคลื่อนลงสู่ทะเลจีนใต้ในวันที่ 6 พ.ย. 63 และจะเคลื่อนเข้าใกล้อ่าวตังเกี๋ยในช่วงวันที่ 7-8 พ.ย. 63 โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุโซนร้อน (พายุระดับ 3) "โคนี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง(มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5 ? 7 พ.ย. 2563)" ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 03 พฤศจิกายน 2563

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (3 พฤศจิกายน 2563) พายุโซนร้อน "โคนี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางที่ละติจูด 15.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 116.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ส่งผลให้ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางกับมีลมแรง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Forecast1.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/aae8430e-5af1-477f-84e6-c8a8c8db6faf)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Wave_Sat.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/0fdf8f23-3c04-48ac-991b-52a8416d4023)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Warning.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/cdd642bb-8a99-499e-9277-0c916320bf80)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Warning02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/1c091ab3-d7ef-4017-b6e3-2f05f504ba34)

สายน้ำ
03-11-2020, 04:09
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พบปะการังสีดำ 3 ชนิดที่ก้นทะเลแปซิฟิก

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Thairath_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/d2e1fb89-eb0f-4153-9900-0bebb5e05377)

มีการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าปะการังสีดำอายุยืนได้มากกว่า 4,250 ปี ปะการังที่มีชีวิตยืนยาวเหล่านี้ก็คล้ายกับต้นเรดวูดหรือต้นสนเนื้อไม้สีแดงชนิดหนึ่ง ปะการังสีดำในมหาสมุทรไม่เพียงจะเติบโตช้าและมีอายุยืนเท่านั้น ทว่ายังเป็นที่อาศัยพึ่งพิงสำคัญของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ อีกมากมาย

เมื่อเร็วๆนี้ รายงานจากนักวิจัยของสถาบันสมิธโซเนียน ในสหรัฐอเมริกา และองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนานาชาติ เผยว่า ค้นพบปะการังสีดำ 3 ชนิดที่ก้นทะเลทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นพื้นที่อุดมด้วยแร่ธาตุทอดยาวจากร่องลึกมาเรียนาไปยังหมู่เกาะฮาวาย เรียกพื้นที่นี้ว่าไพรม์ ครัสต์ โซน (Prime Crust Zone) ที่หลายประเทศมีสัญญาในการสำรวจโลหะอย่างโคบอลต์และนิกเกิล เพื่อแข่งขันกันค้นหาวัสดุที่เป็นส่วนประกอบหลักของแบตเตอรี่ ปะการังเหล่านี้ถูกค้นพบบนแนวตะเข็บลึกและแนวสันในพื้นที่ดังกล่าว แต่ที่น่ากังวลก็คือปะการังอายุยืนเหล่านี้ถูกพบในพื้นที่ขุดสำรวจแร่ พวกมันจึงมีความเสี่ยงถูกทำลาย นักสิ่งแวดล้อมจึงได้เรียกร้องให้มีการห้ามการขุดในทะเลลึก เพราะจะดึงทรัพยากรที่มีค่าทั้งโคบอลต์ ทองแดง นิกเกิล และแมงกานีส ออกจากเปลือกโลกใต้ทะเล

อย่างไรก็ตาม ปะการังสีดำชนิดใหม่ได้รับการตั้งชื่อตามโครงร่างสีดำของมัน แต่จริงๆแล้วมันสามารถเป็นสีชมพู สีขาว หรือสีอื่นๆ ได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อเติบโตบนโครงร่างของปะการังนั่นเอง.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1966670

สายน้ำ
03-11-2020, 04:11
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


PADI ควง GoPro จัดแคมเปญแรก "วันเซลฟี่ใต้น้ำ" รณรงค์อนุรักษ์มหาสมุทร

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Mgr_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/dbf66c58-d6dd-4ced-aaa7-20cf6916efe5)

PADI และ GoPro ร่วมกันรณรงค์ ให้ประชาชนทั่วโลกดำน้ำและประกาศเจตนารมณ์เพื่อการอนุรักษ์มหาสมุทร ในวันเซลฟี่ใต้ทะเลครั้งแรกของโลกในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 โดยผู้ร่วมกิจกรรมรอบโลกสามารถใช้แฮชแท็ก #UnderwaterSelfieDay เพื่อร่วมรณรงค์และชิงรางวัล

คริสติน วาเลตต์-เวิร์ธ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านแบรนด์และสมาชิกของ PADI Worldwide กล่าวว่า PADI มุ่งขยายชุมชนพร้อมสร้างแรงบันดาลใจที่พร้อมสำรวจและปกป้องมหาสมุทร ทำให้บริษัทดีใจมากที่ได้ร่วมมือกับ GoPro ในการให้ข้อมูล มอบความตื่นเต้น และสร้างพลังให้ผู้คนทั่วทุกแห่งได้ออกผจญภัยและปกป้องมหาสมุทรในวันเซลฟี่ใต้น้ำและวันอื่นๆ ตลอดปี

ด้าน ริค ลาวรี่ รองประธานฝ่ายการตลาดระดับโลกของ GoPro กล่าวว่า พนักงาน GoPro มองว่า บริษัทประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงเมื่อนิโคลัส วู้ดแมน ผู้ก่อตั้งตัดสินใจหมุนกล้องกลับและถ่ายภาพตนเอง มุมถ่ายภาพที่กว้างของ GoPro เหมาะแก่การบันทึกทั้งการแสดงออกและทุกประสบการณ์ที่กำลังดื่มด่ำ ทำให้บริษัทยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมริเริ่มกิจกรรม #UnderwaterSelfieDay ซึ่งส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย

"นอกจากนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมจะพบว่า HERO9 Black ที่ทุกคนปรารถนา เป็น GoPro ตัวแรกซึ่งวางจำหน่ายในบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดพลาสติก อันเป็นอีกก้าวหนึ่งของเราในการปกป้องสิ่งแวดล้อม"

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_Mgr_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/0e02330f-69ac-424c-8215-09d563c22fcd)

กิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดว่าการที่นักดำน้ำ ผู้รักน้ำ และผู้ชื่นชอบกีฬาที่น่าตื่นเต้น ช่วยกันลงภาพและวิดีโอใต้น้ำอย่างท่วมท้นในสื่อสังคมออนไลน์พร้อมกันหนึ่งวัน จะทำให้ประชาชนหลายล้านคนทั่วโลกได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมหาสมุทร และทำให้รู้ว่ามหาสมุทรนั้นมหัศจรรย์เพียงใด และเหตุใดจึงควรปกป้อง

วิธีร่วมกิจกรรม "วันเซลฟี่ใต้น้ำ" คือการดำน้ำแล้วถ่ายภาพเซลฟี่ใต้น้ำที่ดีที่สุดด้วยกล้อง GoPro หรือลงภาพจากการผจญภัยครั้งก่อนซึ่งแสดงให้เห็นโลกที่อยากปกป้อง เพื่อที่คนรุ่นหลังจะได้ผจญภัยต่อไป

จากนั้นลงภาพถ่ายเซลฟี่หรือวิดีโอใน Facebook Instagram หรือ Twitter ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563 แท็ก PADI และ GoPro ด้วยแฮชแท็ก #underwaterselfieday คณะกรรมการจะเลือกภาพชนะเลิศโดยพิจารณาคุณภาพ รูปแบบ องค์ประกอบ การวางกรอบในภาพ และความคิดสร้างสรรค์โดยรวม เจ้าของภาพชนะเลิศจะได้รับรางวัลจำนวน 2,000 ดอลลาร์ และกล้อง GoPro HERO9 Black ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานนี้

ผู้ได้รางวัลรองชนะเลิศ 2 ท่านจะได้รับกล้อง GoPro HERO9 Black กล้อง GoPro รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่มีเซ็นเซอร์ภาพซึ่งมีความละเอียด 23.6 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายวิดีโอที่มีความคมชัดระดับ 5K มีความละเอียดของภาพวิดีโอแต่ละเฟรมถึง 14.7 ล้านพิกเซล บันทึกภาพนิ่งได้ละเอียดถึง 20 ล้านพิกเซล มีคุณสมบัติกันสะเทือนรุ่น 3.0


https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9630000113478

สายน้ำ
03-11-2020, 04:14
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


ล็อบสเตอร์ถูกทิ้งตายเป็นตัน จีนตั้งแง่ไม่นำเข้าสินค้าออสเตรเลีย

เพราะความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างสองประเทศ ทำให้จีนชะลอนำเข้าล็อบสเตอร์ออสเตรเลีย ปล่อยคาสนามบินเป็นตัน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/631103_PostToday_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b9cdc2d5-94e8-44a5-90eb-0027583650d7/p/2cff26e2-b835-4501-9e9d-4f7246d2aa26)

สำนักข่าวออสเตรเลียรายงานว่า กุ้งล็อบสเตอร์จากออสเตรเลียกลายเป็นเหยื่อรายล่าสุดของข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและออสเตรเลีย โดยล็อบสเตอร์จำนวนหลายตันถูกทิ้งไว้อยู่ที่สนามบินในประเทศจีนเนื่องจากจีนไม่อนุญาตให้นำเข้าประเทศ

ไซมอน เบอร์มิงแฮม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่ารัฐบาลได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นและกำลังดำเนินการอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว

รวมถึงแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาความล่าช้าที่เกิดขึ้นในการส่งสินค้าไปยังประเทศจีนว่า ผู้นำเข้าควรดำเนินการภายใต้มาตรฐานที่เท่าเทียมและไม่ควรมีการคัดกรองที่เลือกปฏิบัติซึ่งบ่งบอกถึงการละเมิดกฎองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงการค้าเสรีจีน-ออสเตรเลีย (CHAFTA)

การที่จีนปฏิเสธกุ้งล็อบสเตอร์ที่นำเข้าจากออสเตรเลียหรือปล่อยทิ้งไว้นานกว่า 48 ชั่วโมงส่งผลให้กุ้งเหล่านั้นเสื่อมสภาพ เป็นการส่งสัญญาณการประท้วงทางการค้าอีกครั้งหลังจากที่ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศกำลังเพิ่มสูงขึ้น

โดยจีนเป็นประเทศนำเข้าอาหารทะเลรายใหญ่ของออสเตรเลียส่งผลให้อนาคตของอุตสาหกรรมกุ้งล็อบส์เตอร์ออสเตรเลียขึ้นอยู่กับประเทศจีน จากกรณีล่าสุดส่งผลให้ชาวประมงออสเตรเลียได้รับคำสั่งให้หยุดจับกุ้งล็อบสเตอร์เนื่องจากเกรงว่าจะถูกปล่อยทิ้งไว้ที่สนามบินในจีน

ทั้งนี้ ระบบการตรวจสอบสินค้านำเข้าของจีนถูกเปลี่ยนใหม่ให้เข้มงวดมากขึ้นโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความล่าช้าอย่างมากในการขนส่งกุ้งล็อบสเตอร์

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 1 พ.ย. กลุ่มที่ปรึกษาการค้าอาหารทะเล (STAG) แถลงว่าไม่กี่วันที่ผ่านมาการส่งออกล็อบสเตอร์ของออสเตรเลียบางส่วนประสบปัญหาความล่าช้าในการขนส่งเนื่องจากจีนมีการตรวจสอบสินค้านำเข้ามากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงนี้ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ตัดสินใจยุติการส่งสินค้าไปยังประเทศจีน

อย่างไรก็ตามทั้งสองประเทศมีการค้าขายระหว่างกันมาโดยตลอด แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเริ่มย่ำแย่ลง โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียสนับสนุนการสอบสวนหาต้นตอของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้รัฐบาลจีนบังคับใช้มาตรการเพื่อตรวจสอบและควบคุมสินค้าที่นำเข้าจากออสเตรเลีย

รวมถึงก่อนหน้านี้ยังมีสินค้าจำพวกเนื้อวัว, ข้าวบาร์เลย์ และไวน์ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันหลังจากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาหลายครั้ง


https://www.posttoday.com/world/637072