PDA

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564


สายน้ำ
01-02-2021, 03:08
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า ในขณะที่ลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือตอนบนมีอุณหภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังปานกลาง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 1 - 3 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ส่งผลให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้า ประกอบกับในช่วงวันที่ 1-2 ม.ค. 64 คลื่นกระแสลมตะวันตกได้เคลื่อนผ่านภาคเหนือตอนบน ไปปกคลุมประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ทำให้บริเวณภาคเหนือตอนบน อุณหภูมิลดลง 2-3 องศาเซลเซียส โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวบริเวณภาคเหนือ

ส่วนในช่วงวันที่ 3 ? 6 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากระเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ และบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_Forecast_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/5b1d9a8c-a4b5-4681-8cc5-ef74112034a2)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_Wave&Sat.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/5740386e-ef1b-4925-b92b-ea735f3a444a)

สายน้ำ
01-02-2021, 04:03
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์


"เจ้าท่า" ลุยปรับปรุงท่าเรือเกาะสมุย บูมเที่ยวทะเลอ่าวไทย

กรมเจ้าท่า เร่งปรับโฉมใหม่ท่าเรือเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี คาดแล้วเสร็จปี 67 รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอ่าวไทยเพิ่มสูงขึ้น-ยกระดับมาตรฐานท่าเรือให้ปลอดภัย

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_Dailynews_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/81539c23-a6bb-48a6-8eba-4071222aa475)

นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่าได้ดำเนินการตามแผนด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำ เพื่อยกระดับท่าเรือให้ได้มาตรฐานและความปลอดภัย ซึ่งท่าเทียบเรือดังกล่าว เป็นท่าเรือสำคัญที่จะรองรับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งท่าเรือเกาะสมุย เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางไปยังเกาะพะงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะม้า จ.สุราษฎร์ธานี ในอนาคตอาจมีแนวโน้มนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายวิทยา กล่าวต่อว่า กรมเจ้าท่า จึงดำเนินการปรับปรุงรื้อถอนท่าเทียบเรือเดิมบางส่วน และปรับปรุงท่าเรือดังกล่าว ได้แก่ ปรับปรุงโครงสร้างท่าเทียบเรือเพื่อส่งเสริมหน้าท่าพื้นที่ 864 ตารางเมตร และเพิ่มพื้นที่สะพานทางเดิน 2,340 ตารางเมตร สร้างอาคารพักคอยรองรับผู้โดยสารเรือครุยส์ ขนาด 1,800 ตารางเมตร และอาคารพักคอยด้านหลังท่าเทียบเรือ 182.25 ตารางเมตร และงานก่อสร้างด้านอื่นๆ ด้วยรูปแบบที่ทันสมัย และได้มาตรฐานความปลอดภัย คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จปี 67

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การปรับปรุงท่าเรือเกาะสมุยจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ และรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ในอนาคต หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐกิจฝั่งอ่าวไทยในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดี ตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อน และพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี อีกด้วย


https://www.dailynews.co.th/economic/822510

สายน้ำ
01-02-2021, 04:07
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ชาวประมงญี่ปุ่นจับถ่วงน้ำดับ วาฬมิงค์ติดอวน ตอกย้ำช่องโหว่กฎหมายล่าวาฬ .............. ถอดความจาก รายงาน ของ ฟลอรา ดูรี ผู้สื่อข่าวบีบีซี

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_Khaosod_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/9f62e0f1-81ce-4afe-941c-ec4dd4d0c5fe)

วิดีโอที่เผยช่วง 20 นาทีสุดท้ายที่ทารุณของชะตากรรม วาฬมิงค์ ในมือของชาวประมงญี่ปุ่น สร้างความสะเทือนใจผ่านสื่อต่างประเทศ แต่เหล่านักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์บอกว่า วิดีโอดังกล่าวเผยวาฬถูกทำให้จมน้ำอย่างช้าๆ หลังติดอวน เป็นการตอกย้ำช่องโหว่กฎหมายอย่างสิ้นเชิง ที่ใช้ฆ่าวาฬหลายสิบตัวในแต่ละปี

นายมาร์ก ซิมมอนด์ส นักวิทยาศาสตร์ทะเลอาวุโส แห่งองค์การสิทธิสัตว์ สมาคมมนุษยธรรมสากล (Humane Society International: HSI) ออกแถลงการณ์ถึงวิดีโอดังกล่าวว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์พิเศษหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด แต่เป็นกระบวนการทั้งหมดเหล่านี้ที่มีคนเห็นและบันทึกเพื่อให้ทั่วโลกเห็น"

ที่จริงแล้ว การตายของวาฬมิงค์ตัวนี้เป็นอีกครั้งที่เผยช่องว่างระหว่างญี่ปุ่นและโลกกว้างถึงการล่าวาฬ ซึ่งบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์มองว่าเป็นการตายที่โหดร้ายและสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่กลุ่มชาวประมงมองว่าเป็นของขวัญจากท้องทะเล

ญี่ปุ่น เป็นเช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ทั่วโลก ที่มีประเพณีการล่าวาฬมายาวนานหลายร้อยปี และหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เนื้อวาฬกลายเป็นวัตถุดิบหลักบนโต๊ะอาหารญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นพยายามคงประชากรวาฬไว้

แต่สำหรับกลุ่มผู้สนับสนุนการล่าวาฬ ประเพณีดังกล่าวเป็นมากกว่าอาหารธรรมดาในจาน นั่นคือที่มาของความภาคภูมิใจในชาติ

อย่างไรก็ตาม ชาวประมงไม่ได้รับอนุญาตล่าวาฬนอกชายฝั่งญี่ปุ่นเป็นเวลาอีก 30 ปี โดยรัฐบาลญี่ปุ่นลงนามใน คณะกรรมการการล่าวาฬระหว่างประเทศ (IWC) หลังจับปลามากเกินไปมาหลายสิบปีที่เร่งให้ประชากรวาฬใกล้สูญพันธุ์

ทว่าเมื่อเดือนก.ค.2562 เรือล่าวาฬออกเดินทางอีกครั้ง ทั้งที่ความต้องการเนื้อวาฬจะลดลง หลังญี่ปุ่นกำหนดโควตาอย่างเข้มงวดเพื่อล่าวาฬอย่างรับผิดชอบเป็นปีแรก ทำให้ผู้สนับสนุนการล่าวาฬกล่าวในเวลานั้นว่า รู้สึกโล่งใจที่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตจะถูกส่งผ่านคนรุ่นต่อไป

ปีแรก (2562) ออกโควตาอนุญาตล่าวาฬทั้งหมด 227 ตัว ในช่วงฤดูล่าวาฬ ได้แก่ วาฬมิงค์ (ไม่ใช่สัตว์ใกล้สูญพันธุ์) 52 ตัว ตลอดจน วาฬบรูด้า 150 ตัว และ วาฬเซย์ 25 ตัว

ส่วนในปี 2563 และ 2564 โควตาเพิ่มเป็น 383 ตัว ซึ่งแบ่งที่มาออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ จากเรือล่าวาฬจากทางการ จากรัฐบาล และ จากการจับสัตว์น้ำแบบพลอยได้ (by-catch) ที่วาฬว่ายเข้ามาผิดเอง

เฉพาะในปี 2564 ชาวประมงชำแหละและขายวาฬมากถึง 37 ตัว จากที่มาจากการจับแบบพลอยได้ รวมถึงวาฬมิงค์ที่ตายและปรากฏในวิดีโอด้วย

นายเรน ยาบูกิ หัวหน้า Life Investigation Agency (LIA) องค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อสิทธิสัตว์ญี่ปุ่น เป็นคนแรกที่เห็นวาฬมิงค์ตัวนี้ซึ่งติดอวนนอกเมืองไทจิ ภูมิภาคคันไซ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ปีที่แล้ว ย้อนเหตุการณ์นั้นว่า ตอนแรกหวังว่า ชาวประมงจะยกอวนและปล่อยวาฬมิงค์ออกไป โดยชายประมงคนหนึ่งพยายามทำดังกล่าวอยู่ 10 นาที แต่พวกชาวประมงก็หยุดช่วย

นายยาบูกิสงสัยว่าพวกชาวประมงไม่ต้องการยกอวนออกเนื่องจากภายในอวนมีปลาหลายตัว จึงเป็นที่มาของ 20 วัน ทั้งวิ่งเต้นสมาคมเจ้าของอวนจับสัตว์น้ำเพื่อช่วยกันปล่อยวาฬมิงค์ตัวนั้น และเริ่มอัพโหลดวิดีโอเหตุการณ์ที่เจ้าตัวใช้โดรนบันทึกในแต่ละวัน เพื่อให้คนทั่วโลกเห็นชะตากรรมวาฬมิงค์ที่ดิ้นไปมาและพยายามฝ่าอวนออกไปหลายครั้งอย่างสิ้นหวัง

กลายเป็นพาดหัวไปทั่วโลกและคนเรียกร้องปล่อยวาฬมิงค์ตัวนี้มากขึ้นๆ แต่แล้ว เมื่อวันที่ 11 ม.ค. นายยาบูกิเห็นเรือสองลำขนาบวาฬมิงค์ตัวนั้นทั้งสองข้าง ก่อนจับหางวาฬมิงค์ผูกกับเสาตอม่อบนเรือ ลำหนึ่ง บังคับให้หัววาฬมิงค์อยู่ใต้น้ำเป็นเวลา 20 นาที กระทั่งจมน้ำในที่สุด เรือเต็มไปด้วยเลือดวาฬมิงค์ที่ตายเพราะบาดเจ็บขณะพยายามดิ้นรนเพื่อเป็นอิสระ

หลายวันจากเหตุการณ์วันนั้น มีวิดีโอลับเผยเนื้อวาฬที่บรรจุหีบห่ออย่างดี ขายที่ราคา 398 เยน ต่อน้ำหนัก 100 กรัม ในซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่น แต่นั่นอาจไม่ใช่วาฬมิงค์ตัวเดียวกับที่ตายในเมืองไทจิก็ได้

สำหรับผู้สนับสนุนการล่าวาฬ ไม่มีอะไรผิดปกติกับเหตุการณ์วันนั้น นายฮิเดกิ โมโรนูกิ ผู้อำนวยการเจรจาการประมง สำนักการประมงญี่ปุ่น กล่าวว่า คนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งรู้สึกเห็นใจต่อสัตว์ชนิดนี้ที่ติดอยู่ในแหและต้องการให้มันถูกปล่อยหากเป็นไปได้ แต่ว่า

"ขณะเดียวกัน มีหลายคนถือว่าสัตว์ชนิดนี้เป็นของขวัญจากมหาสมุทรและจะนำมาใช้อย่างเต็มที่อย่างรู้คุณค่า" นายโมโรนูกิกล่าว

สำหรับชาวประมง วาฬที่ติดอวนถือเป็นของแถมจากทะเล จึงจับเอาไว้ เพราะในปัจจุบันปกติไม่มีใบอนุญาตจับและขายวาฬแล้ว แต่นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์บอกว่า นี่คือความล้มเหลวของระบบการกำหนดโควตาล่าวาฬ เนื่องจากไม่เอื้อให้ชาวประมงปล่อยวาฬ

นายซิมมอนด์ส แห่ง HSI ชี้ว่า การจับสัตว์น้ำแบบพลอยได้เกี่ยวข้องกับการจับสัตว์ที่ไม่ต้องการโดยอุบัติเหตุหรือไม่ตั้งใจระหว่างการทำประมง

การจับวาฬติดอวนในญี่ปุ่นไม่ใช่การจับแบบพลอยได้ แต่เป็น การจับที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้และวางแผนอย่างรอบคอบ และ การที่วาฬติดอวนไม่ใช่เป็นเพียงเหตุผลที่วาฬจะต้องตาย

นอกจากนี้ วาฬมิงค์ตัวที่เป็นข่าวแล้ว เรือล่าวาฬลำเดียวกันนั้นจับวาฬอีก 2 ตัว ตัวแรกเป็น วาฬมิงค์ จับได้เมื่อปลายเดือนพ.ย. แต่ปล่อยเป็นอิสระในอีกวันให้หลัง ส่วนวาฬมิงค์ที่ตายเป็นตัวแรกที่สอง และตัวที่สามเป็น วาฬหลังค่อม ถูกพบลอยตายติดอวน ในวันที่ 25 ธ.ค. หรือ 1 วัน หลังวาฬมิงค์ตัวที่สองตาย

ด้านสมาคมการประมงเมืองไทจิออกแถลงการณ์โต้แย้งในเวลานั้นว่า ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฆ่าวาฬมิงค์ตัวที่สอง เนื่องจาก "กระแสน้ำแรงและยากต่อการปล่อยวาฬมิงค์ตัวนั้น" สอดคล้องกับที่นายโมโรนูกิ ผู้อำนวยการเจรจาการประมง กล่าวว่า สภาพทะเลรุนแรงเกินกว่าจะใช้วิธีอื่นเพื่อฆ่าวาฬมิงค์

"ผมเชื่อว่า สำหรับเหตุผลเหล่านี้ คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นวิธีการเป็นจริงและปฏิบัติได้จริงเพียงวิธีเดียว และไม่ได้ใช้อารมณ์และความวุ่นวายใดๆ ในการลงมือ" นายโมโรนูกิกล่าว

แต่สำหรับนายยาบูกิ นี่เป็นความโหดร้ายของชะตากรรมสัตว์ที่ต้องตายที่ยังอยู่ "มือของผมด้วยความเสียใจ น่าเศร้ามาก ผมโกรธมาก ผมต้องการช่วยเหลือวาฬเพื่อนำไปปล่อย แต่ทำไม่ได้"

เช่นเดียวกับนายซิมมอนด์สที่บอกว่า การบังคับให้ส่วนหัวของวาฬที่วิวัฒนาการมาใต้น้ำต้องกลั้นหายใจเป็นเวลานานๆ เพื่อให้ออกซิเจนหมดไปอย่างช้าๆ เป็นวิธีการฆ่าที่โหดร้ายอย่างยิ่งจากทุกมาตรฐาน


https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_5855353

สายน้ำ
01-02-2021, 04:11
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


มหาสมุทรแอตแลนติกกำลังขยายตัว มีขอบเขตกว้างใหญ่ขึ้นทุกปีเพราะอะไร

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_BBC_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/d6e498ec-9fca-4293-9d85-a367a1bc8d24)
รูปคลื่นยักษ์สีฟ้าที่มาของภาพ .... GETTY IMAGES

แม้นักวิทยาศาสตร์จะทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่า มหาสมุทรแอตแลนติกซึ่งกั้นกลางระหว่างทวีปอเมริกากับแผ่นดินยุโรปและแอฟริกานั้น กำลังขยายตัวใหญ่ขึ้นปีละกว่า 4 เซนติเมตร จนเบียดให้มหาสมุทรแปซิฟิกค่อย ๆ แคบลงไปด้วย แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าปรากฏการณ์นี้มาจากสาเหตุใดกันแน่

ล่าสุดทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากอิตาลี ออสเตรีย และสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์ผลการศึกษาทางธรณีวิทยาที่ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมาหลายปีลงในวารสาร Nature โดยระบุว่าความเคลื่อนไหวที่ผิดคาดของแผ่นเปลือกโลกใต้ผืนน้ำ บริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นต้นเหตุที่นำมาซึ่งการขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งของผืนมหาสมุทรในครั้งนี้

ย้อนไปเมื่อปี 2016 มีการใช้เรือสำรวจหย่อนอุปกรณ์ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว (seismometer) รวม 39 ตัว ลงไปที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก บริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทรนอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา เพื่อทราบถึงความเคลื่อนไหวของหินหลอมละลายหรือแมกมาในชั้นเนื้อโลก (mantle) ได้ชัดเจนขึ้น

ตามทฤษฎีดั้งเดิมที่ว่าด้วยการแปรสัณฐานของแผ่นธรณีภาค หรือทฤษฎีความเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลก เชื่อว่าบริเวณใต้เทือกเขากลางมหาสมุทรนั้นสงบนิ่ง ไม่สู้จะมีบทบาทต่อพลวัตความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยามากนัก

แต่ทีมนักวิทยาศาสตร์กลับได้พบกับเรื่องน่าประหลาดใจ เมื่อผลการตรวจวัดล่าสุดชี้ว่า แมกมาที่ไหลเวียนในชั้นเนื้อโลกซึ่งจะเอ่อล้นขึ้นมาด้านบนและกลับจมลงไปด้านล่างครั้งแล้วครั้งเล่า มีแรงดันมากพอที่จะทำให้แผ่นเปลือกโลกบริเวณเทือกเขากลางมหาสมุทรขยายตัวและเคลื่อนห่างออกจากกันได้

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_BBC_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/d5a9b2a7-29f6-4835-b0f4-95c0588d883c)
เรือสำรวจหย่อนอุปกรณ์ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือนลงไปที่ก้นมหาสมุทรแอตแลนติก
ที่มาของภาพ ..... UNIVERSITY OF SOUTHAMPTON

ทีมผู้วิจัยบอกว่า ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับกระบวนการที่ทำให้เกิดเกาะภูเขาไฟอย่างฮาวายหรือไอซ์แลนด์ แต่การไหลเวียนของแมกมาที่เป็นตัวการขยายพื้นก้นสมุทรให้กว้างขึ้นนี้ กลับไม่มีการระเบิดปะทุของแมกมาออกมาจากชั้นเนื้อโลก เปรียบเสมือนกับไขมันและหนองที่ดันหัวสิวให้โป่งนูนขึ้น แต่ยังไม่แตกออก

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640201_BBC_03.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/24bdfa77-f167-45d4-8894-5e2945dc8b29)
แผนที่แสดงตำแหน่งของอุปกรณ์ตรวจวัดแรงสั่นสะเทือน 39 ตัว (จุดสีแดง) ที่นอกชายฝั่งทวีปแอฟริกา ..... ที่มาของภาพ UNIVERSITY OF SOUTHAMPTON

การค้นพบดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องทบทวนความรู้เดิมด้านธรณีวิทยาเสียใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อที่ว่ามหาสมุทรแอตแลนติกนั้นสงบนิ่ง ไม่สู้มีความเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลกมากเท่ากับมหาสมุทรแปซิฟิกที่มี "วงแหวนแห่งไฟ" (Ring of Fire)


https://www.bbc.com/thai/international-55876489