View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือแล้ว คาดว่าจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคกลาง และภาคตะวันออกในวันนี้ (4 ก.พ. 64) ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังอ่อนยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อยในระยะนี้
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 4 ? 6 ก.พ. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอากาศเย็นในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย
ส่วนในช่วงวันที่ 7 ? 9 ก.พ. 64 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกเคลื่อนผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังปานกลางตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 7 ? 9 ก.พ. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น สำหรับเกษตรกรควรป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Forecast_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/c1da7c49-11b0-4df8-9a0f-8de0e2cd9ea6)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Wave&Sat.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/295fad3c-be6c-48be-8743-254099c03e3b)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Warning.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/97e6ba3a-3636-42ad-ae49-9ad3a10b1fa3)
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เผยภาพวาฬหัวทุยยืนหลับล่องลอยกลางทะเล
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Mgr_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/95406609-0f52-4961-9773-96ae4f80085a)
ภาพ : Stephane Granzotto (https://www.nationalgeographic.com/)
โลกออนไลน์แชร์ภาพวาฬหัวทุยนอนงีบหลับอย่างน่าอัศจรรย์ โดยจะลอยตัวเป็นแนวตั้งกลางทะเลเป็นกลุ่มๆ คล้ายกับยืนหลับอย่างน่าตื่นตา
บทความในเว็บไซต์ nationalgeographic.com เมื่อปี 2017 เผยภาพวาฬหัวทุยงีบหลับ โดยเป็นฝีมือการถ่ายภาพของช่างภาพชาวฝรั่งเศสชื่อ Stephane Granzotto ที่จับภาพพฤติกรรมการนอนของวาฬได้ขณะดำน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ทั้งนี้มีการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2008 ในวารสาร Current Biology เป็นผลงานชิ้นแรกที่สรุปว่าถึงท่าทางการนอนหลับของวาฬในแนวตั้ง
ก่อนหน้านี้มีการพยายามศึกษาการนอนหลับของพวกวาฬโดยการจับความเคลื่อนไหวของดวงตา แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าวาฬในธรรมชาตินอนหลับอย่างไร โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูส์และมหาวิทยาลัยโตเกียวได้รวบรวมข้อมูลจากวาฬหัวทุยจำนวน 59 ตัว พบว่าวาฬใช้เวลาเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของวันในการนอนหลับในแนวตั้งใกล้กับผิวน้ำ โดยพวกมันใช้เวลางีบหลับราว 10-15 นาที นักวิจัยกล่าวว่า พวกมันอาจเป็นสัตว์ที่ใช้เวลานอนหลับน้อยที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
https://mgronline.com/travel/detail/9640000010918
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
'วราวุธ' รมว.ทส. ดันกฎหมายลำดับรองกว่า 13 ฉบับรักษาทะเลไทย
'วราวุธ'รมว.ทส. ดันกฎหมายลำดับรองกว่า 13 ฉบับรักษาทะเลไทย คุ้มครองทรัพยากรทางทะเล แก้กัดเซาะชายฝั่ง ด้านรองประวิตร ให้เร่งประกาศก่อนทรัพยากรเสียหาย
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Khaosod_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/6288ad28-1893-4e88-bb67-19d0db7b0c90)
เมื่อวันที่ 2 ก.พ. นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า หลักการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ คือ การสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เนื่องจาก ทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นสมบัติของเราทุกคน
นอกจากนี้ เครื่องมืออีกตัวหนึ่งที่เราต้องใช้เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน มีความยุติธรรมและเท่าเทียม นั่นคือ การใช้มาตรการทางกฎหมาย สำหรับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งก็เช่นกัน ตนได้พยายามส่งเสริมการมีส่วนร่วมควบคู่กับการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกำกับควบคุมการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ที่ผ่านมาได้มีการประกาศใช้กฎหมายลำดับรองภายใต้พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ไปแล้ว 29 ฉบับ และเตรียมประกาศเพิ่มอีก 13 ฉบับ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว
โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ ดังกล่าว ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดผลักดันตามขั้นตอน เพื่อประกาศบังคับใช้กฎหมายลำดับรองทุกฉบับ ก่อนที่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะเสียหายและไม่สามารถฟื้นคืนได้ และให้เร่งสำรวจทุกทรัพยากร หากจำเป็นต้องใช้กฎหมายในการกำกับ ควบคุม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการโดยด่วน ต่อไป
ด้านนายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) กล่าวเสริมว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ยกร่างกฎหมายลำดับรอง จำนวน 13 ฉบับ โดยทุกฉบับได้ผ่านการกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
โดยกฎหมายลำดับรองทั้ง 13 ฉบับ ประกอบด้วย การประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเลและอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล จำนวน 6 ฉบับ การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน จำนวน 4 ฉบับ การป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง จำนวน 3 ฉบับ
บางฉบับได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วและเตรียมการประกาศ และบางฉบับอยู่ในกระบวนการเสนอตามขั้นตอน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะได้เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อประกาศบังคับใช้กฎหมายลำดับรองทุกฉบับ
นอกจากนี้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดทส. ได้สั่งการให้กรมฯ เสนอแผนการศึกษาและสำรวจในพื้นที่ เพื่อเตรียมการจัดทำร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองทรัพยากรและพื้นที่ที่มีความสำคัญเร่งด่วน รวมทั้ง ให้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึง ภาคประชาชนและผู้มีส่วนส่วนเสีย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เพื่อลดปัญหาความขัดแย้งและให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน
https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_5870226
*********************************************************************************************************************************************************
สาวงง ซื้อหมึกจากตลาดมาต้ม ก่อนพบว่าหมึก "ละลาย" หายเหลือแต่น้ำสีขุ่น
หญิงคนหนึ่งในเมืองเฉิงตู ซื้อหมึกมาจากตลาด แต่เมื่อนำไปต้มก็พบว่าหมึกละลายหายไปเกือบหมด เหลือเพียงแค่เศษเล็ก ๆ เท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ภายในหม้อ
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Khaosod_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/d6e1c9e2-b9f7-40ba-b967-3228c561d7aa)
เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมาหญิงคนหนึ่งในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวนได้ไปซื้อหมึกมาสองตัวจากตลาด แต่ก่อนที่เธอจะนำไปปรุงอาหารเธอได้นำหมึกเหล่านั้นไปลวกก่อน แต่หลังจากที่ใส่มันลงไปในหม้อต้มสักพักหมึกเหล่านั้นก็หายไป เหลือเพียงเศษซาก และน้ำขาวขุ่นที่ตกตะกอนได้
ทำให้คลิปวิดีโอที่เธอได้บันทึกไว้ ทำให้ชาวเน็ตจีนต่างพูดถึง "หมึกที่หายไป" กันอย่างดุเดือดบนโซเชียลมีเดีย "ความปลอดภัยของอาหารคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด" "ฉันพึ่งไปกินบุฟเฟ่ต์มาแล้วหมึกก็มีรสชาติเหมือน 'บุก' " "ฉันอ่านเจอว่าเป็นมันไม่สดถูกแช่แข็งซ้ำ ๆ" และชาวเน็ตบางส่วนก็ตั้งคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเรื่องที่หญิงสาวแต่งขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจก็เท่านั้น
ในวันรุ่งขึ้นเธอจึงกลับไปที่ตลาดเดิม ซื้อหมึกจากร้านเดิมอีกครั้ง และลวกพวกมันด้วยวิธีเดียวกันกับเมื่อวาน ทั้งยังมีการจับเวลาการต้มเมื่อเวลาผ่านไป 5 นาที ก็พบว่าหมึกในหม้อเหล่านั้นเริ่มกลายเป็นสีชมพู ก่อนจะละลายหายไป และเหลือเพียงชิ้นส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น และน้ำที่ใช้ต้มก็กลายเป็นสีขาว ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดเธอได้อัดวิดีโอคลิปเอาไว้
R4pADebktIs
จากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะ "หมึกไม่สด" และความเป็นไปได้มากว่าเซลล์ในหมึกนั้นถูกทำลายหลังที่หมึกเหล่านั้นถูกแช่แข็ง และละลายซ้ำไป ซ้ำมาหลายครั้งจนทำให้ความสดของวัตถุดิบลดลง ซึ่งในทางชีววิทยาจะทำให้ของเหลวภายในเซลล์ไหลออกมา เมื่อประกอบกับการปรุงอาหารเป็นเวลานาน จึงทำให้หมึกเหล่านั้นเปื่อยจนเหมือนกับว่าพวกมันละลายหายไป
ทั้งนี้การนำอาหารไปแช่แข็งนั้นจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ หรือโครงสร้างของอาหารได้ ทำให้อาหารเสื่อมสภาพ ซึ่งปรากฏการณ์นี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำชนิดอื่นได้ เช่นปลิงทะเล ส่วนความเป็นไปได้ว่า หมึกที่เธอนำมาต้มอาจจะเป็น 'หมึกปลอม' เหมือนในกรณีวัตถุดิบปลอมที่พบได้บ่อยในจีนนั้น
ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้อยู่ แต่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่าการทำหมึกปลอมนั้นมีต้นทุนสูง และยากที่จะเลียนแบบได้ในทางเทคนิค ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดเขตเหวินเจียงระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจริง และอยู่ในระหว่างสุ่มตรวจสอบร้านขายอาหารทะเล
https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5875749
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
ชาวประมงเมืองคอนเฮลั่น ออกหา "มุกสีส้ม" แต่ได้ "อ้วกวาฬ" หนัก 5 กิโล
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_KhomChudLuek_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/e28fc951-10b7-4293-8bfa-17e2c076985a)
ชาวประมงเมืองคอนเฮลั่น ออกหา "มุกสีส้ม" แต่ได้ "อ้วกวาฬ" หนัก 5 กิโล ที่มีราคาแพงไม่แพ้กัน โอดไม่รู้จะเอาไปขายที่ไหน วอนสื่อประสานหาคนมาช่วยซื้อ
จากกรณีพระไพโรจน์ ฐิตรตโณ พระลูกวัดเกาะเพชร หมู่ 6 ที่ ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช แจ้งข่าวว่าประชาชนแตกตื่นพากันออกเสาะหาหอยมุกกันอย่างคึกคักตลอดแนวชายหาด โดยเฉพาะในเวลากลางคืน หลังจากที่มีชาวบ้านคนหนึ่งพบหอยมุกบนชายหาด เมื่อนำกลับมาบ้านเพื่อจะแกะเอาปลอกหอยที่แวววาวมาประดับตกแต่งกรงนกกรงหัวจุก แต่กลับพบว่าภายในหอยมีมุกขนาดใหญ่ เม็ดสีส้ม ลักษณะกลมเกลี้ยง ขนาดเล็กกว่าเหรียญ 5 บาทเล็กน้อย มาทราบภายหลังว่าเป็นไข่มุกเมโล ซึ่งเป็นมุกที่หายากที่สุดในโลกและราคาแพงที่สุดในโลก จึงทำให้ชาวบ้านแห่ออกเดินเสาะหาหอยมุกดังกล่าวที่คาดว่าคลื่นซัดขึ้นมาเกยตลอดแนวชายหาดใน ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช
ล่าสุดวันนี้ (3 ก.พ.2564) ผู้สื่อข่าวรายงานเดินทางไปสังเกตการณ์พบว่าในช่วงกลางวันยังมีประชาชนเดินทางมาหอยมุกดังกล่าวตลอดแนวชายหาด โดยหวังว่าจะโชคดีได้พบเจอหอยมุกหายากและมีราคาแพงที่สุดในโลกดังกล่าว
ขณะที่บ้านของนายอานนท์ นิยมเดชา หรือ บังหมัด อายุ 60 ปี และนางเจ๊นะ นิยมเดชา อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ 6 ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช สองสามีภรรยาที่ลูกชายพบหอยมุกมีเม็ดมุกสีส้มขนาดใหญ่อยู่ด้านใน ก็มีประชาชนบางรายพากันมาขอดูหอยมุกหายากเป็นบุญตา แต่บังหมัดให้ดูได้เพียงภาพถ่ายเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
โดย บังหมัด เผยว่า ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดผ่านพระไพโรจน์ ได้ที่เบอร์ 083-4621709 หรือที่นายไพฑูรย์ อินทศิลา ประธานศูนย์ข่าวนคร 24 ชม. สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช 081-6761299 ที่เป็นคนนำเสนอข่าวคนแรก และเพื่อความปลอดภัยจะมอบให้พระไพโรจน์นำเม็ดมุกล้ำค่าไปเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟของธนาคารต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นอีกครั้งหลังนายสะอาด เจ๊ะต่ำ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/2 หมู่ 6 ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช พบอำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ ที่มีราคาแพงไม่แพ้มุกเมโลเช่นกัน จึงเดินทางไปตรวจสอบก็พบกับนายสะอาด และบุตรสาว ที่กำลังนำอำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ มาโชว์ให้ดู โดยอ้วกวาฬดังกล่าวมีลักษณะเป็นก้อนสีขาว มีกลิ่นหอม น้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม
นายสะอาด กล่าวว่า ชาวประมงที่นี่จะพบของที่มีค่าอยู่ตลอดที่ถูกคลื่นซัดมาเกยชายหาด ซึ่งอ้วกวาฬ หรือ อำพันทะเล ก็ยังพบเป็นประจำ ซึ่งหลังจากที่นายอานนท์ หรือ บังหมัด พบหอยมุกเม็ดสีส้ม ก็ทำให้ชาวบ้านทั้งในและจากต่างพื้นที่แห่เดินทางมาหาหอยมุกและของมีค่าอื่นๆมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน แสงไฟระยิบระยับเต็มตลอดแนวชายหาดเกาะเพชร
"อำพันทะเล หรือ อ้วกวาฬ มีราคาสูงมาก หากคุณภาพดีๆราคาจะกิโลกรัมละ 1 ล้าน แต่ชาวบ้านที่พบก็ไม่รู้จะไปติดต่อขายที่ไหน ก่อนหน้านี้ชาวบ้านพบหลายราย บางรายพบแล้วก็ทิ้งไป ตนทราบว่าชาวบ้านในท้องที่หมู่ 9 ต.เกาะเพชร อ.หัวไทร พบอ้วกวาฬหลายสิบกิโลกรัมเก็บเอาไว้หลายเดือนแล้วยังขายไม่ได้เลย แม้ไม่ได้ราคาแพงตามที่เป็นข่าวก็ตาม จึงอยากให้ผู้สื่อข่าวช่วยประสานติดต่อกับผู้ซื้อให้มาซื้ออ้วกวาฬจากชาวบ้านด้วย อย่างน้อยชาวบ้านจะได้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19"
https://www.komchadluek.net/news/local/457260
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ฉลามหูดำและเต่าทะเลอวดโฉมนักดำน้ำ
เกาะพีพี 3 ก.พ.-ครูสอนดำน้ำ บันทึกภาพฉลามหูดำ-เต่าทะเล บริเวณเกาะปิดะนอก ใกล้เกาะพีพี จ.กระบี่ แสดงว่าบริเวณดังกล่าวมีแหล่งอาหารสัตวน้ำที่สมบูรณ์
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_Thainews_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/1b309583-cf36-4970-bf00-fe2299868c0e)
นายคมศักดิ์ เจนหัตถ์ หรือไก่โต้ง ครูสอนดำน้ำที่เกาะพีพี จ.กระบี่ บันทึกภาพใต้ท้องทะเลเกาะพีพี ไว้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังนำนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดำน้ำ ดำสำรวจใต้ทะเล บริเวณเกาะปิดะนอก ใกล้กับเกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ ซึ่งจะเห็นฉลามหูดำ หรือฉลามคลีบดำ ซึ่งถือเป็นสัตว์ทะเลห่วงโซ่อาหารบนสุด หากเจอจำนวนมากก็แสดงว่าบริเวณดังกล่าวมีแหล่งอาหารสัตวน้ำที่สมบูรณ์นั่นเอง โดยพบว่าฉลามหูดำ จะเวียนว่ายไปมา กระจายกันหาอาหารตามแนวปะการัง และใกล้ๆกัน ก็จะพบกับเต่าทะเลขนาดใหญ่ พระเอกแห่งใต้ทะเลเกาะพีพี ที่คอยหากินอยู่ตามแนวปะการัง ท่ามกลางฝูงปลาจำนวนมาก โดยจะพบได้ทั้งจุดที่มีการวางปะการังเทียม และตามแนวปะการังทั่วไป
นายคมศักดิ์ เปิดเผยว่า ช่วงวิกฤติโควิด-19 ทั้งระลอกแรกและระลอก 2 ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวน้อยมาก จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยว เดินทางมาท่องเที่ยวที่เกาะพีพี เพาะตอนนี้เกาะพีพีปลอดโควิดแล้ว และมีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวด ขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจ สำหรับผู้ที่ต้องการดำน้ำลึกแบบโลกส่วนตัว ซึ่งสามารถเดินทางมาเที่ยวที่เกาะพีพี จ.กระบี่ ได้โดยไม่วุ่นวาย และช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น สภาพอากาศดีมาก หากโชคดีก็จะเจอฉลามวาฬด้วย ซึ่งที่ผ่านามักจะเจอบ่อยครั้ง และตอนนี้เกาะพีพีก็ปลอดโควิด มีการคัดกรองเข้มงวด นักท่องเที่ยวสามรถเดินทางมาเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวล.
https://tna.mcot.net/region-630443
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
สุดล้ำ! Interceptor เรือเก็บขยะแม่น้ำเจ้าพระยาลำแรกถึงไทย
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมกับองค์กร The Ocean Cleanup นำร่องส่งนวัตกรรมเครื่อง Interceptor เรือเก็บขยะแม่น้ำ ลำแรก ดักเก็บขยะพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา สุดล้ำใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แยกขยะ คาดเก็บขยะได้ 3?4 ตันต่อวัน
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_TPBS_01.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/84b5c8e8-4df3-4311-a7a0-235bc019fffb)
วันนี้ (3 ก.พ.2564) นางสุมนา ขจรวัฒนากุล ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) พร้อมด้วยนายโบแยน สแลต ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งองค์กร The Ocean Cleanup จากเนเธอร์แลนด์ผู้ที่คิดค้นทุ่นดักขยะทะเลใช้กำจัดแพขยะในมหาสมุทร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการนำเครื่อง Interceptor เพื่อวิจัยขยะพลาสติกในแม่น้ำ และการดักเก็บขยะพลาสติกในแม่น้ำของไทยก่อนออกสู่ทะเล โดยจะติดตั้งบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ 3 จุด จุดแรกนำร่องติดตั้งบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวการแก้ปัญหาขยะทะเล
นางสุมนา กล่าวว่า นวัตกรรม Interceptor เพื่อจัดการขยะในแม่น้ำก่อนลงสู่ทะเล ได้ผ่านการคิดค้นและทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว โดยจะนำมา ทดลองใช้ในไทยในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาก่อนลงสู่ทะเล เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณขยะในแม่น้ำมากที่สุด
"ปี 2560 มีปริมาณขยะสูงถึง 2,172 ตัน หรือกว่า 173 ล้านชิ้น แต่จากมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อลดปริมาณขยะในแม่น้ำ และทะเลส่งให้แม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณขยะลดลงในปี 2562 เหลือเพียง 702 ตัน หรือกว่า 42 ล้านชิ้น"
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640204_TPBS_02.jpg?width=590&height=370&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/b284498a-e16e-4fe8-879d-2abcc4a61d82/p/a0a75319-43ec-454c-a7d3-7a47a6a4943f)
ภาพ:กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์-เก็บขยะ 3-4 ตัน
นอกจากนี้ นวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยลดปัญหาขยะตกค้างในสิ่งแวดล้อมก่อนไหลลงสู่ทะเล และช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสัตว์ทะเลหายาก ทรัพยากรทางทะเล และระบบนิเวศชายฝั่งด้วย เบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาความลึกของแม่น้ำและกระแสน้ำที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องดังกล่าว
สำหรับเครื่อง Interceptor สามารถดักเก็บขยะอัตโนมัติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถจัดเก็บขยะได้ 3?4 ตันต่อวันขึ้นอยู่กับปริมาณขยะในพื้นที่ หรือเฉลี่ยลดปริมาณขยะในแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ทะเลได้ถึงร้อยละ 60 โดยขยะที่เก็บรวบรวมได้จะถูกนำมาคัดแยก และกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy การเลือกไทยเป็นพื้นที่ดำเนินการได้พิจารณาจากความเหมาะสมและความพร้อม ทั้งด้านสถานที่ บุคลากร และนักวิชาการที่จะต่อยอดการดำเนินงานต่อได้ในอนาคต
https://news.thaipbs.or.th/content/301049
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.