PDA

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม 2564


สายน้ำ
15-07-2021, 02:23
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 15 ? 16 ก.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมทะเลจีนใต้ตอนกลาง ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 17 ? 20 ก.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศเมียนมาและลาวเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ในวันที่ 17 ? 20 ก.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Forecast1.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/d163fcce-7e2b-4648-9ef1-1bdb2f7b8443)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Wave_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/dc08dda5-5328-4d2d-b784-9ccf0383c3ae)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/7b4ba810-977f-4afc-8d12-5fdad3b4af78)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/44ea3d03-382b-41f0-a99f-6ac3f5eb9db9)

สายน้ำ
15-07-2021, 02:27
ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


แฉเล่ห์พ่อค้าเปลี่ยนชื่อหลอกขาย "ปลาข้าวสาร หมึกกระตอย"

ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน เผยงานวิจัยสำรวจ 15 จังหวัด พบ พฤติกรรมเปลี่ยนชื่อสัตว์น้ำวัยละอ่อน ให้เข้าใจว่าเป็นพันธุ์ใหม่ "ปู-หมึกกระตอย ปลาทูแก้ว ปลาข้าวสาร " หวั่นสูญพันธุ์ กระทบระบบนิเวศน์ ด้านกรีนพีชแฉ "จีน" เจ้าตลาดจับปลา 15 % ของประมงโลก กว่า 12 ล้านตันต่อปี "ปลาเป็ด" เสี่ยงสูงสุด

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Prachachart_01(1).jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/b2d00568-8f93-4501-9880-fa20b2ddd623)

วันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน ( CSO : Coalition for Ethical and Sustainable Seafood in Thailand) เปิดตัวงานวิจัยล่าสุดเรื่อง ?การสำรวจรูปแบบการจัดจำหน่ายสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่โตไม่ได้ขนาดในประเทศไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน? พร้อมจัดเวทีเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ ?ปัญหาปลาเด็ก เรื่องไม่เล็กของทะเลไทย? ซึ่งสนับสนุนโดยองค์การอ็อกแฟมในประเทศไทย และสหภาพยุโรป เพื่อย้ำให้เห็นถึงวิกฤตอาหารทะเล หากไม่หยุดขายและบริโภคสัตว์น้ำวัยอ่อน พร้อมเรียกร้องผู้บริโภคส่งสารถึงซุเปอร์มาเก็ตให้เลิกขายสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัย เพราะอาหารทะเลกำลังจะ #หมดแล้วจริงๆ

งานวิจัยระบุว่า มีการขายสัตว์น้ำวัยอ่อนอย่างกว้างขวาง โดยตลาดใหญ่ที่สุดคือ ห้างโมเดิร์นเทรด เมื่อเทียบกับตลาดสด และร้านขายของฝาก จากเก็บข้อมูลใน 15 จังหวัด พบมีการจำหน่ายสัตว์น้ำที่โตไม่ได้ขนาดวางจำหน่ายในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ระบุหากเป็นเช่นนี้ในอนาคตจะกระทบต่อระบบนิเวศทะเลและไม่มีปลาให้จับอีกต่อไป กลุ่มประมงพื้นบ้านและภาคประชาสังคมร่วมกันรณรงค์หยุดจับและหยุดซื้อขายปลาวัยอ่อน ทั้งเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งร่างกฎหมายควบคุมการจับปลาวัยอ่อนอย่างเร่งด่วน

นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย องค์กรพัฒนาเอกชนด้านงานอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยว่า ที่ผ่านมามีปัญหาการจับสัตว์น้ำละอ่อนมาขาย โดยมักเปลี่ยนชื่อเรียกเสมอจนผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นปลาสายพันธุ์เล็ก ไม่ใช่ปลาวัยอ่อน เช่น ปลาทูวัยเด็กเปลี่ยนชื่อ เป็นปลาทูแก้ว, หมึกกล้วยวัยละอ่อน เรียกว่าหมึกกะตอย, ปลากะตักเป็นปลาข้าวสาร หรือปูม้าวัยละอ่อนก็เป็นปูกะตอย ทำให้ผู้บริโภคอาจเข้าใจว่าทั้งหมดนี้เป็นสัตว์น้ำสายพันธุ์ใหม่หรือเป็นชื่อสัตว์น้ำสายพันธุ์เล็ก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ แต่เป็นสัตว์น้ำวัยเด็กที่ยังไม่โตเต็มวัย

"ผลกระทบเมื่อจับสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัยไปจนหมดจึงไม่เหลือให้ขยายพันธุ์ในเวลาต่อๆ ไป ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศตลอดจนเศรษฐกิจและผู้บริโภค "นายวิโชคศักดิ์กล่าว

ทั้งนี้ ปลาที่ถูกมนุษย์จับมาวางขายมากที่สุดคือ ปลากะตัก ซึ่งเป็นปลาขนาดเล็กโดยธรรมชาติไม่ว่าจะวัยเด็กหรือวัยโต ทำให้มันเป็นอาหารหลักของปลาทุกชนิดในระบบนิเวศ แต่เมื่อมนุษย์จับปลากะตักมาขายทำให้ห่วงโซ่อาหารตรงนี้ขาดหายไป และทำให้ปลาโตกว่าต้องหันมากินลูกตัวเอง

ต่อมาตัวปลาอย่างอื่นก็เริ่มลดน้อยถอยลงไป โดยเฉพาะปลาทูแทบจะหายไปจากทะเลไทย มนุษย์ที่ไปจับปลาจึงจับได้น้อยลงทำให้ต้องจับมากขึ้น ผู้ได้รับผลกระทบหลักๆ คือชาวประมงพื้นบ้านที่มีรายได้น้อย

ส่วนประมงพานิชย์ก็ต้องออกเรือให้จับมากขึ้น ใช้เวลา อวนและน้ำมันเรือมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งระบบ เพราะต้องใช้สัตว์น้ำวัยอ่อนจำนวนมากจึงจะมีน้ำหนักครบหนึ่งกิโลกรัม ซึ่งหากรอให้สัตว์น้ำโตเต็มวัยแล้วขายก็ใช้เวลาเพียงหกเดือน เท่านั้น ปลาส่วนใหญ่ก็จะโตเต็มวัย ทำให้ราคาในตลาดเปลี่ยนเป็นราคาถูกลง โดยหากไม่จัดการเรื่องนี้จะเกิดวิกฤติอย่างรุนแรง คนไทยจะกินปลาที่แพงมากขึ้น หาปลาที่มีคุณภาพมาบริโภคได้ยากมากขึ้น

พร้อมกันนี้ รายงานวิจัยล่าสุดเรื่อง "การสำรวจรูปแบบการจัดจำหน่ายสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่โตไม่ได้ขนาดในประเทศไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน" พบว่า กลุ่มที่มีการซื้อขายสัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนมากที่สุดไล่ตามลำดับคือ 1.ห้างโมเดิร์นเทรด หรือตลาดค้าปลีก 2. กลุ่มตลาดขายของฝาก 3. ตลาดสด 4. ตลาดออนไลน์ต่างๆ

ผลจากการสำรวจใน 15 จังหวัดพบว่าความนิยมของการบริโภคในผู้คนในจังหวัดชลบุรีมาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือนครราชสีมา ต่อมาคือกรุงเทพ แปลว่ากลุ่มเมืองใหญ่ที่มีผู้คนเยอะ มีชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อเยอะ เป็นกลุ่มลูกค้าหลักในการบริโภคสัตว์น้ำวัยอ่อนในไทย

นายวิโชคศักดิ์ กล่าวอีกว่า ต้องมีการร่วมมือกันจากคนสี่กลุ่ม ได้แก่ ชาวประมงที่เป็นคนจับปลา หากทะเลกลับมาสมบูรณ์ชาวประมงจะได้กำไรและไม่ต้องออกทะเลไกลๆ อีกแล้ว ลำดับต่อมาคือผู้บริโภค หากจะต้องซื้อสัตว์น้ำก็สามารถซักถามได้ หรือเข้าร่วมแคมเปญต่างๆ ร่วมลงชื่อเรียกร้องต่อบรรดาตลาดในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ให้หยุดขายสินค้าสัตว์น้ำวัยอ่อน

"ลำดับต่อมาคือภาครัฐ ต้องออกกฎหมายเป็นภาพรวมให้ได้ ส่วนไหนที่ควรตัดสินใจก็ให้ภาครัฐตัดสินใจเสีย ลำดับสุดท้ายคือ ห้างโมเดิร์นเทรด ที่เป็นตลาดใหญ่มาก จากผลสำรวจชี้ชัดว่าเป็นมือที่สำคัญในห่วงโซ่การบริโภคอาหารทะเล ไม่ต้องรอกฎหมายแต่ใช้ความกล้าหาญในการตัดสินใจว่าจะไม่ขายสัตว์น้ำยังไม่โตเต็มวัย และตนหวังว่าจะเกิดขึ้นได้จริง"

ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีแคมเปญ "ซูเปอร์มาร์เก็ต: เลิกขายสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัย เพราะอาหารทะเลกำลังจะ #หมดแล้วจริงๆ" ซึ่ง ธันวา เทศแย้ม ชาวประมงรุ่นใหม่ ได้สร้างแคมเปญนี้ เพื่อรณรงค์เลิกกินปลาเล็กผ่านเว็บไซต์ Change.org/BabySeafood โดยเชิญชวนให้ผู้บริโภคช่วยกันลงชื่อเพื่อบอกกับซูเปอร์มาร์เก็ต ให้เลิกขายสัตว์น้ำวัยอ่อน ถ้าซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอยู่ทั่วประเทศรวมกันหลายพันสาขาเลิกขาย ก็จะช่วยตัดตอนวงจรระหว่างคนจับและคนซื้อไปได้มหาศาลแน่นอน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_Prachachart_02(1).jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/59991e52-2435-4103-b405-5ece12e13153)

ด้าน นางสาวดวงใจ พวงแก้ว Producer Outreach Manager ? SE Asia องค์กรมาตรฐานอาหารทะเลยั่งยืน ASC เสริมว่า สัตว์น้ำแต่ละสายพันธุ์นอกจากจะมีหน้าที่เรื่องห่วงโซ่อาหารของกันและกัน ยังมีหน้าที่รับผิดชอบต่อกันในการสร้างความสมดุลในท้องทะเล หากมนุษย์บริโภคมากไปโดยไม่ให้สัตว์น้ำได้ฟื้นฟู เช่น บริโภคโดยไม่ให้สัตว์น้ำได้มีโอกาสแพร่พันธุ์ หรือรักษาความสมดุลในระบบนิเวศก็อาจจะเกิดปัญหา

"ประมงพื้นบ้านหรือประมงพานิชย์ เมื่อออกเรือจากเมื่อก่อนออกไปไม่นานก็ได้สัตว์น้ำกลับมาคุ้มค่าแรง แต่เมื่อสัตว์น้ำน้อยลง ทำให้เรือประมงวิ่งออกไปไกลมากขึ้น หมดน้ำมันมากขึ้น เสียทรัพยากรแรงงานและเวลา ทั้งยังก่อให้เกิดคาร์บอน ฟุตปรินต์มากขึ้น และสิ่งต่างๆ ที่ต้องสูญเสียไปเพื่อชดเชยในการเอาอาหารทะเลกลับมายังฝั่งด้วย"

นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการองค์กร Greenpeace กล่าวว่า หากดูประมงโลกจะพบว่าจีนเป็นมหาอำนาจของประมงทะเล เข้าใจว่ากองเรือประมงออกหาปลามีจำนวนมาก จีนจับปลา 15 % ของประมงโลก โดยนิยมจับปลาเป็ด จนส่งผลกระทบวงกว้างต่อระบบนิเวศทางทะเลของจีน 80 % เป็นปลาวัยอ่อน ปริมาณของปลาเป็ดเหล่านี้มากกว่าปลาทั้งหมดที่จับได้ในประเทศไทย

ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมก็มีข้อเรียกร้องเช่นกัน เพราะนโยบายการประมงของจีนนั้นท้าทายมาก และได้มีการคุยกันว่าพยายามการลดการทำประมงทะเลให้เหลือ 10 ล้านตันต่อปีจาก 12-13 ล้านตัน และลดจำนวนกองเรือประมงลง จะช่วยให้ทะเลฟื้นฟูกลับมาได้ระดับหนึ่ง

"กรีนพีซในตุรกีมีงานรณรงค์เรื่องการจับสัตว์น้ำวัยอ่อนเมื่อราว 10 ปีก่อน และมีคนร่วมลงชื่อให้รัฐบาลออกกฎหมายห้ามจับปลาวัยอ่อน 8 ชนิด กว่า 5-6 แสนคน ทั้งยังมีการกดดันในหลายๆ ทางจนเกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายประมงในตุรกีตามมา" นายธารากล่าว

นายธารา กล่าวว่า ประเด็นนี้ต้องการการเปิดเวทีให้คนเข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะผู้บริโภคซึ่งมีส่วนอย่างมากในการกำหนดชะตากรรมของทะเลไทย ซึ่ง อาจต้องใช้แคมเปญดึงดูดใจ ทำอย่างไรจึงจะเชื่อมผู้บริโภคแต่ละคนในเมืองหลวงที่ซื้อของจาก modern trade มองว่าปลาต่างๆ โยงไปถึงชาวประมงพื้นบ้าน ชุมชนที่ดูแลทะเล

และแสดงให้เห็นว่าพลังผู้บริโภคในเมืองมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางทะเลไทย ส่วนดวงใจเสริมว่าสิ่งที่เราขาดกันคือการให้ชื่อสินค้าเป็นชื่อแบบอื่นทำให้ผู้บริโภคเองอาจหลงลืม และเข้าใจผิดว่าเป็นสายพันธุ์ปลา จึงต้องส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในประเด็นนี้ต่อผู้บริโภคด้วย

นายจิรศักดิ์ มีฤทธิ์ ชาวประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า สัตว์วัยอ่อนเป็นสัตว์น้ำขนาดเล็ก การใช้เครื่องมือจึงต้องเล็กกว่าตัวปลาซึ่งส่วนมากก็ไม่ได้จับกันได้บ่อยนัก โดยการทำประมงนั้นแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ

กลุ่มแรกคือชาวประมงพื้นบ้านที่จะออกเรือแค่วันละครั้ง จับสัตว์น้ำแบบแยกประเภททำให้การออกเรือแต่ละครั้งต้องนำอุปกรณ์จับสัตว์น้ำเฉพาะชนิดไป ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านไม่สามารถจับสัตว์น้ำได้คราวละมากๆ ต่อการออกเรือหนึ่งครั้ง ขณะที่ประมงพานิชย์เป็นประมงขนาดใหญ่ เครื่องมือมีความพร้อมกว่า ถ้าเป็นอวนล้อมจับก็จะมีออกคืนหนึ่ง 3-5 ครั้ง ทำให้จับสัตว์น้ำได้เป็นปริมาณมาก

"มีช่วงหนึ่งที่ตนจับปลาผิดประเภทโดยใช้อวนตาถี่จับลูกปลา วันหนึ่งหลายพันกิโลกรัม ทำให้เมื่อปี 2551 เกิดวิกฤติในประเทศคือไม่มีปลาให้จับ ต้องอพยพครอบครัวไปหากินที่ต่างอำเภอ จนสมาคมรักษ์ทะเลไทยก็ได้มาลงพื้นที่ ถอดบทเรียนในการทำประมง ว่าทำไมเมื่อก่อนปลาเยอะแต่ตอนนี้ไม่มีปลาให้จับเลย ก็ได้ข้อสรุปว่าเราจับลูกปลาหมดจนไม่มีปลาขยายพันธุ์เลย เราจึงเลิกใช้อวนปลาขนาด 2.5 เลย เป็นข้อตกลงในชุมชนว่าจะไม่ใช้อวนขนาดเล็กมาจับปลาอีก ทำให้เห็นภาพว่าถ้าเราใช้ลูกปลาทะเล อาชีพเราก็พัง แต่ถ้าเราปล่อยให้เขาโตแล้วค่อยจับ เราก็มีโอกาสรอด" นายจิรศักดิ์กล่าว

"ทะเลไม่ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย แต่ถ้าใส่ใจก็จะส่งทะเลให้ลูกหลานได้ ตนกำลังจะส่งต่อทะเลให้ลูกหลาน ชาวประมงส่วนใหญ่รู้ว่าปลาที่จับนั้นเป็นปลาอะไร เราแยกขนาด สายพันธุ์ได้ หากเรายั้งใจรออีก 6 เดือนให้สัตว์น้ำโต ก็จะเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตนก็อยากเห็นท้องทะเลกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง" นายจิรศักดิ์กล่าว


https://www.prachachat.net/economy/news-714347

สายน้ำ
15-07-2021, 02:32
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


"หมึกแก้ว" ภาพน่าตื่นตาของสัตว์น้ำลึกหายากในมหาสมุทรแปซิฟิก

แม้นักวิทยาศาสตร์รู้จักหมึกแก้วมานานกว่า 100 ปีแล้ว แต่แทบไม่มีใครเคยเห็นภาพของมันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย จึงทำให้การศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ทำได้ยาก

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_BBC_01(1).jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/12230952-a95d-472e-b302-25d8f0885d1d)

ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สำรวจท้องทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่หาดูได้ยากยิ่งของ "หมึกแก้ว" หรือ "หมึกสายแก้ว" (glass octopus) สัตว์น้ำลึกซึ่งมีร่างกายโปร่งใสจนมองเห็นอวัยวะภายใน

ทีมนักวิจัยจากสถาบันมหาสมุทรชมิดต์ (Schmidt Ocean Institute) บันทึกวิดีโอที่น่าตื่นตาของหมึกแก้วไว้ได้ในภารกิจการสำรวจก้นมหาสมุทรเป็นเวลา 34 วัน โดยพวกเขาได้พบเจอกับหมึกชนิดนี้ถึง 2 ครั้งในทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะฟีนิกซ์ ซึ่งอยู่ห่างจากนครซิดนีย์ของออสเตรเลียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 5,100 กิโลเมตร

ภาพที่ได้เผยให้เห็นหมึกที่มีผิวหนังโปร่งใสราวกับแก้ว จนมองเห็นได้เพียงลูกตา เส้นประสาทตา และระบบย่อยอาหารของมัน

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมชีววิทยาทางทะเลของสหราชอาณาจักร เมื่อปี 1992 ระบุว่า ดวงตาทรงกระบอกของหมึกชนิดนี้อาจมีวิวัฒนาการเพื่อให้ศัตรูหรือเหยื่อมองเห็นได้ยาก เวลาที่มองขึ้นมาจากด้านล่าง ถือเป็นกลยุทธ์ในการพรางตัวอย่างหนึ่งของพวกมัน

หมึกแก้ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vitreledonella richardi อาศัยอยู่ในทะเลเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน ที่ความระดับลึก 200 - 3,000 เมตรจากผิวน้ำทะเล โดยจากการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่ามีการพบหมึกชนิดนี้ในทะเลแถบอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

แม้นักวิทยาศาสตร์รู้จักมันมานานกว่า 100 ปีแล้ว แต่แทบไม่เคยมีใครได้เห็นภาพของมันตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เลย จึงทำให้การศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ทำได้ยาก โดยที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ต้องศึกษาพวกมันจากซากที่ถูกพบอยู่ในท้องของสัตว์นักล่า

ด้วยเหตุนี้ทีมวิจัยจึงหวังว่าวิดีโอที่บันทึกได้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัย และช่วยให้เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหมึกชนิดนี้ได้มากขึ้น

สำหรับภารกิจครั้งนี้ทีมนักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจก้นมหาสมุทรครอบคลุมพื้นที่ 30,000 ตารางกิโลเมตร และพวกเขาบอกว่ายังมีอะไรอีกมากให้ค้นหาในท้องทะเล

นางเวนดี ชมิดต์ ซึ่งร่วมก่อตั้งสถาบันมหาสมุทรชมิดต์กับสามี คือ นายเอริก ชมิดต์ อดีตซีอีโอบริษัทกูเกิล กล่าวว่า "การสำรวจเช่นนี้สอนให้เรารู้ว่าทำไมเราจึงต้องเพิ่มความพยายามในการฟื้นฟู และทำความเข้าใจกับระบบนิเวศทางทะเลของโลกให้มากขึ้น เพราะห่วงโซ่ชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่เริ่มต้นขึ้นในมหาสมุทรมีความสำคัญต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์เรา"


https://www.bbc.com/thai/international-57835175


******************************************************************************************************************************************************


อุณหภูมิแบบสุดขั้วทั้งร้อนจัด-หนาวจัด เป็นสาเหตุให้ผู้คนทั่วโลกล้มตายปีละ 5 ล้านคน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_BBC_02(1).jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/9a8d86ee-6d39-4bc0-94e8-270495f8598e)

ความผันผวนเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรงในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลในแต่ละปี โดยผลการศึกษาล่าสุดซึ่งใช้ข้อมูลการสำรวจขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาพบว่า อุณหภูมิทั้งร้อนจัดและหนาวจัดแบบสุดขั้ว ได้ทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องล้มตายไปถึงปีละ 5 ล้านคน

ทีมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์จากนานาชาติ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลวิจัยข้างต้นในวารสาร The Lancet Planetary Health ฉบับเดือนกรกฎาคม โดยเผยว่ามีการเก็บข้อมูลอัตราการเสียชีวิตของผู้คน ในขณะที่อากาศมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินขอบเขตที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตหรืออุณหภูมิห้อง จากสถานที่ทั้งหมด 750 แห่งทั่วโลก

ช่วงเวลาที่มีการเก็บข้อมูลดังกล่าวคือระหว่างปี 2000-2019 ซึ่งเป็นยุคที่อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น 0.26 องศาเซลเซียสทุกหนึ่งทศวรรษ ถือเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของโลกนับแต่ยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นต้นมา

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/640715_BBC_03(1).jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/d6a862c0-181c-4a39-a08b-8411df874166/p/0bd3bef0-60b4-433c-81a1-bea8beb38793)

หลังจากนั้นมีการวิเคราะห์ผลสำรวจดังกล่าว เพื่อมุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับอัตราการตายของประชากรโลกใน 43 ประเทศ จาก 5 ทวีป โดยนำปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทั้งเรื่องของภูมิอากาศ เงื่อนไขทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม โครงสร้างพื้นฐาน และคุณภาพของการให้บริการสาธารณสุข มาพิจารณาร่วมด้วย

ผลวิเคราะห์ข้อมูลการสำรวจพบว่า กรณีการเสียชีวิต 9.43 % ของทั้งโลก มีสาเหตุมาจากอุณหภูมิที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป โดยในจำนวนนี้ผู้เสียชีวิตต้องอำลาโลกเพราะอากาศหนาวเย็นในสัดส่วนที่มากกว่า คิดเป็นถึง 9 ใน 10 ของอัตราการตายส่วนเกิน (excess deaths) หรือกรณีการตายที่สำรวจพบจริงสูงเกินความคาดหมาย

ทวีปเอเชียและแอฟริกามีอัตราการตายเพราะความหนาวเย็นสูงที่สุดของโลก โดยมีจำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละ 2.4 ล้านคนและ 1.18 ล้านคน ตามลำดับ ส่วนกรณีการตายด้วยอุณหภูมิร้อนจัดนั้น ทวีปเอเชียยังคงครองแชมป์ที่ 224,000 รายต่อปี ตามมาด้วยภูมิภาคยุโรปที่ 178,700 รายต่อปี โดยยุโรปนั้นเป็นทวีปเดียวที่มีกรณีการตายจากทั้งอุณหภูมิร้อนจัดและเย็นจัดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่มีการศึกษานั้นอัตราการตายจากสภาพอากาศสุดขั้วมีแนวโน้มลดลงทั่วโลก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคืออัตราการตายจากอุณหภูมิร้อนจัดกำลังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวและภาวะโลกร้อน

ทีมผู้วิจัยคาดว่าสัดส่วนของผู้เสียชีวิตจากอุณหภูมิร้อนจัด อาจเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับปัจจุบัน ซึ่งอัตราการตายส่วนเกินด้วยสาเหตุนี้อยู่ที่ 74 รายในประชากรโลกทุก 100,000 คน และถือเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของสาเหตุการตายที่พบมากทั่วโลก


https://www.bbc.com/thai/international-57831700