View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6-11 ต.ค. 64 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มที่จะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีน ขอให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 6 ? 7 ต.ค. 64 ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้
ประกอบกับในช่วงวันที่ 7-11 ต.ค. 64 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6 ? 11 ต.ค. 64 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น และเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะไหหลำ
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 6 ? 7 ต.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 7-11 ต.ค.64 เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรงดจากฝั่ง
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_Forecast1.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/1c6b4a53-9400-4f55-9db6-83291146463e)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_Wave_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/2da89d07-1cb5-484f-9028-58a6d202c51a)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/d8a43142-5780-4dee-b44d-55893092ebe0)
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เมฆตอบสนองการเปลี่ยนแปลง น้ำแข็งในทะเลอาร์กติก
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/5b50c613-a4f2-4001-b3c5-2327d5bfc997)
เมฆเป็นหนึ่งในตัวแทนสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อการคาดการณ์ว่าดินแดนแถบอาร์กติกจะอุ่นขึ้นในอนาคตได้เร็วเพียงใดและเร็วแค่ไหน ซึ่งเป็นเวลาหลายสิบปีที่นักวิทยา ศาสตร์สันนิษฐานว่าการสูญเสียน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกทำให้เกิดเมฆจำนวนมากขึ้นใกล้ผิวมหาสมุทร
เมื่อเร็วๆนี้มีการวิจัยใหม่ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือองค์การนาซา ชี้ว่าการปล่อยความร้อนและความชื้นผ่านช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ผืนน้ำแข็งในทะเลซึ่งรู้จักกันในชื่อโพลีเนีย (Polynya) จะกระตุ้นการก่อตัวของเมฆจำนวนมากขึ้น เกิดการดักจับความร้อนในบรรยากาศ และขัดขวางการแข็งตัวของน้ำแข็งใหม่ในทะเล การค้นพบนี้มาจากข้อมูลการสแกนดาวเทียมที่เกือบจะทันทีทันใดจากพื้นที่ใกล้กับนอร์ท วอเตอร์ โพลีเนีย (North Water Polynya) ทางตอนเหนือของอ่าวแบฟฟิน ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะกรีนแลนด์และแคนาดา งานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่ตรวจสอบปฏิสัมพันธ์ระหว่างโพลีเนียและเมฆด้วยเซ็นเซอร์แบบแอ็กทีฟบนดาวเทียม ที่ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถวิเคราะห์เมฆในแนวตั้งในระดับที่ต่ำกว่าและสูงกว่าในชั้นบรรยากาศได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ว่าการก่อตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรใกล้พื้นผิวมหาสมุทรเหนือโพลีเนียและน้ำแข็งในทะเลโดยรอบ
หลังจากนี้ทีมงานวางแผนเตรียมจะนำการวิจัยนี้ไปสู่ระดับต่อไป และทดสอบว่าสามารถสังเกตผลกระทบของเมฆที่คล้ายคลึงกันได้ในพื้นที่อื่น ที่น้ำแข็งทะเลและมหาสมุทรมาเปิดมาบรรจบกันหรือไม่.
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2210616
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ปินส์ช็อกป่าชายเลนอ่าวมะนิลา ขยะพลาสติกท่วมเป็นทะเล
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_Khaosod_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/077fe0d7-6556-462a-adf6-6005aba6f02a)
ปินส์ช็อกป่าชายเลนอ่าวมะนิลา ? วันที่ 5 ต.ค. เดอะการ์เดียนรายงานสถานการณ์วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ป่าชายเลนและทะเลโคลนเมืองโนวาทัส บริเวณอ่าวมะนิลา เบย์ ประเทศฟิลิปปินส์ ว่าเต็มไปด้วยกองขยะพลาสติกมหาศาล สร้างความสะอิดสะเอียนให้นักสิ่งแวดล้อม
นายดิอุว์ส เดอ จีซุส นักชีววิทยาทางทะเลในฟิลิปปินส์ ผู้ถ่ายภาพและนำมาเผยแพร่ กล่าวว่า ปริมาณขยะที่พบนั้นมากถึงขนาดที่ทำให้รากของต้นโกงกางแทบไม่สามารถหายใจได้
รายงานระบุว่า ป่าชายเลนนั้นเป็นระบบนิเวศที่สำคัญ เพราะเป็นแหล่งอาหารให้บรรดานกที่ย้ายถิ่นฐาน ป้องกันน้ำท่วม และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หนึ่งในต้นเหตุก่อปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือโลกร้อน มีความสามารถในการดูดซับมากยิ่งกว่าป่าดิบชื้น
นางจานีนา กาสโตร สมาชิกกลุ่มอนุรักษ์นกป่าและป่าชายเลน ระบุว่า ขยะเหล่านี้กำลังทำลายป่าโกงกางให้หมดไป เพราะไปปิดผิวดินทำให้รากหายใจ (pneumatophores) ของต้นโกงกางไม่สามารถหายใจได้ ส่งผลให้ต้นโกงกางอ่อนแอ และอาจตายไปได้
ป่าชายเลนและทะเลโคลนดังกล่าวเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่บริเวณอ่าวมะนิลา โดยบริเวณนี้ในอดีตเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ และไร่นาข้าวเขียวขจี แต่ถูกเมืองขยายเข้ากลืนกินจนเหลือป่าชายเลนอยู่เพียง 540 ตารางกิโลเมตร เมื่อคริสศตวรรษที่ 19
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บรรดากลุ่มนักอนุรักษ์และสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เข้าช่วยเหลือ แต่กระนั้นก็ป่าชายเลนบริเวณนี้ก็ยังลดลงเรื่อยๆ จนเหลือไม่ถึง 8 ตร.ก.ม. เมื่อปี 2538 ส่วนทางกับกรุงมะนิลาปัจจุบันที่เป็นหนึ่งในมหานครที่หนาแน่นที่สุดในโลก
นายจีซุส ระบุว่า ถ้าเพียงรัฐบาลห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้ก็จะช่วยลดขยะพลาสติกเหล่านี้ลงไปได้มหาศาล พร้อมแสดงความเป็นห่วงถึงโครงการก่อสร้างขยายแผ่นดินของรัฐ ที่นำดินมาถมและเทคอนกรีตทับผืนดินออกไปในทะเล
ป่าชายเลนบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งอาหารและจุดพักที่สำคัญของนกหายากหลายสายพันธุ์ตามเส้นทางอพยพย้ายถิ่นประจำปี โดยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง เอเชียน-ออสเตรเอเชียน ฟลายเวย์ ซึ่งมีระยะทางตั้งแต่คาบสมุทรอาร์กติกในรัสเซียและอเมริกาเหนือไปถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
นกหายากจำพวกนี้ที่พบเห็นอยู่ตามป่าชายเลนบริเวณอ่าวมะนิลา อาทิ นกปากช้อนหน้าดำ นกอีก๋อยตะโพกสีน้ำตาล และนกน็อตใหญ่ รวมถึงนกใกล้สูญพันธุ์อย่างนกโจรสลัดเกาะคริสต์มาส
ทั้งนี้ นักสิ่งแวดล้อมยังกังวลว่า ขยะพลาสติกจะเป็นอันตรายต่อนกหายากเหล่านี้ เพราะเมื่อสลายตัวแล้วจะกลายเป็นไมโครพลาสติก ซึ่งปลาและหอยสามารถกินเข้าไปได้ แล้วพวกมันก็ถูกนกกินเข้าไปอีกที รวมถึงขยะมูลฝอยเหล่านี้ยังเป็นบ่อสะสมเชื้อโรคทั้งต่อสัตว์และมนุษย์
นางกาสโตร ระบุว่า หนึ่งในปัญหาที่ป่าชายเลนและทะเลโคลนกำลังเผชิญเป็นความเข้าใจผิดของผู้คนในสังคม ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สวยงามและไม่จำเป็น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_6659770
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
"วิกฤตเป็นโอกาส" ชาวบ้านแห่เก็บ "ปลาน็อกน้ำ" สร้างรายได้ให้ชุมชน
ชาวบ้านชุมชนประมงริมหาดบางแสน "ชลบุรี" พลิกวิกฤตเป็นโอกาส หลังฝนตกหนัก "ปลาน็อกน้ำ" ลอยตายเกลื่อน แห่เก็บขายสร้างรายได้
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_KhomChudLuek_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/5c61a08b-1801-4207-9bed-2351498385e2)
วันที่ 5 ต.ค.2564 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ชุมชนประมงริม "หาดทะเลบางแสน" ช่วงหาดวอนนภา ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี พบชาวบ้านหลายสิบคนจากชุมชนชาวประมง ต่างถือถัง ถือตะกร้า มุ่งหน้าไปเก็บปลาทรายหรือปลาเห็ดโคลน ที่ลอยตายเกลื่อนทั่วบริเวณริมหาดทะเลบางแสน จากนั้นนำมาล้างทำความสะอาดแล้ววางขายที่ริมถนน
จากการสอบถามนางสาวเสริมสุข ระยูรศักดิ์ อายุ 52 ปี แม่ค้าชาวประมงเล่าว่า ฝนตกลงมาอย่างหนักทำให้น้ำจืดไหลลงทะเลปลาทรายหรือที่ชาวบ้านเรียกปลาเห็ดโคลน "น็อกน้ำ" ทำให้ลอยตายเกลื่อน แต่ก็ยังเป็นปลาสด ชาวบ้านจึงพากันไปเก็บ
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_KhomChudLuek_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/08dab951-b639-4b9f-af95-b7be97d14d2a)
ปกติแล้ว ปลาเห็ดโคนไม่ใช่ปลาที่จะหากินได้ง่ายนัก ไม่ได้เกิดขึ้นแบบนี้ทุกปี จึงทำให้มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 140 บาท จังหวะที่ต้องเจอมรสุม ก็กลับพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ โดยช่วงนี้ชาวบ้านระแวกนี้ เก็บปลาเห็ดโคลน "สร้างรายได้ในชุมชน" ได้เป็นจำนวนมาก
https://www.komchadluek.net/news/486826
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
เตือนถ้าโลกยังไม่หยุดร้อนกัมมันตรังสีจากปรมาณูในอดีตจะกลับมา
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/641006_PostToday_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/c784ea1d-ea99-4286-870b-87bd27b4ec65/p/3ab4c34e-83fa-4843-9403-2505a646518c)
AFP PHOTO / Greg BAKER
ยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้น ชั้นดินเยือกแข็งที่ขั้วโลกจะยิ่งละลาย ปลดปล่อยกากนิวเคลียร์สมัยสงครามเย็นที่อยู่ข้างใต้ซึ่งอันตรายกับมนุษย์สู่ชั้นบรรยากาศ
ทีมนักวิทยาศาสตร์จาก Aberystwyth University ในเวลส์เตือนว่า ราว 2 ใน 3 ของชั้นดินเยือกแข็ง หรือ Permafrost ในแถบขั้วโลกเหนืออาจละลายหายไปภายในปี 2100 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยพื้นที่แถบดังกล่าวร้อนขึ้นกว่า 3 เท่าของอัตราเฉลี่ยทั่วโลก
และเมื่อชั้นดินเยือกแข็งเหล่านี้ละลายจากภาวะโลกร้อน กัมมันตรังสีและขยะนิวเคลียร์จากการทดสอบระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามเย็น รวมทั้งเชื้อโรคร้ายในอดีตที่ถูกแช่แข็งอยู่ข้างใต้ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์จะถูกปลดปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศและสภาพแวดล้อม
นักวิทยาศาสตร์เน้นที่อาวุธนิวเคลียร์ 130 ชิ้นที่ทดสอบในชั้นบรรยากาศโดยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1995-1990 ซึ่งทิ้งสารกัมมันตรังสีไว้ในระดับสูง
นอกจากขยะนิวเคลียร์ ยังมีจุลินทรีย์อีกนับไม่ถ้วนที่ถูกแช่แข็งอยู่ใต้ชั้นดินเยือกแข็ง และเมื่อชั้นดินเยือกแข็งละลายก็มีโอกาสที่แบคทีเรียเหล่านี้จะออกมาปะปนกับหิมะหรือน้ำแข็งที่ละลาย ก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสที่ดื้อยา
ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Climate Change ระบุว่า พบจุลินทรีย์ที่ถูกแช่แข็งอยู่ในชั้นดินเยือกแข็งกว่า 100 ชนิดที่ดื้อยา
หากขยะนิวเคลียร์ถูกปลดปล่อยออกมาอาจเป็นอันตรายกับมนุษย์และสัตว์ เช่นเดียวกับไวรัสและแบคทีเรียโบราณอาจเป็นภัยคุกคามสังคม
ข้อมูลของ Observer Research Foundation ระบุว่า เมื่อปี 2016 การละลายของชั้นดินเยือกแข็งในไซบีเรียทำให้ซากกวางเรนเดียร์ที่ติดเชื้อแอนแทร็กซ์อายุกว่า 70 ปี โผล่ขึ้นมา ส่งผลให้เชื้อไปติดเด็กชายในหมูบ้านเสียชีวิต 1 ราย และเจ็บป่วยอีกหลายราย
ทั้งนี้ ชั้นดินเยือกแข็งครอบคลุมพื้นที่ราว 9 ล้านตารางไมล์ของแถบอาร์กติก โดยส่วนใหญ่มีอายุราว 1 ล้านปี และยิ่งอยู่ลึกลงไปก็ยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่านั้น
อาร์วิน เอ็ดเวิร์ดส์ หนึ่งในทีมวิจัยเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและนิเวศวิทยาของอาร์กติกจะส่งผลต่อทุกส่วนของโลกเนื่องจากจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ชั้นบรรยากาศและทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
เอกสารแถลงข่าวของทีมวิจัยระบุว่า แม้ว่ารัฐบาลรัสเซียจะมีโครงการทำความสะอาดกัมมันตรังสีและขยะนิวเคลียร์ดังกล่าว แต่การตรวจสอบในแถบอาร์กติกพบซีเซียมและพลูโตเนียมในระดับสูงระหว่างตะกอนดินใต้ทะเล พืชผัก และแผ่นน้ำแข็ง
นอกจากรัสเซีย สหรัฐก็มีส่วนก่อให้เกิดขยะนิวเคลียร์ในชั้นดินเยือกแข็งจากการตั้งศูนย์วิจัยพลังงานนิวเคลียร์ Camp Century ในกรีนแลนด์ซึ่งปลดประจำการในปี 1967
https://www.posttoday.com/world/664847
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.