View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 5 มกราคม 2565
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง แต่ยังคงทำให้บริเวณภาคเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส และยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนบางแห่ง
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีเมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 5 - 6 ม.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังอ่อนลง
ส่วนในช่วงวันที่ 7 ? 10 ม.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า
สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนตลอดช่วง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
ข้อควรระวัง
ในช่วงวันที่ 5 ? 10 ม.ค. 65 ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_Forecast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/7e7cc235-501b-4347-8cd4-d77ba2445734)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_Wave_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/3bc03d58-d498-4366-bb2e-587fcb467773)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/6fbccd40-386f-49da-8245-7811ce528c1f)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/e14131db-4c3d-4a80-8e3c-fc5d29e9cb70)
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์
ตรัง นักดำน้ำตื้นตะลึงพบกระเบนใหญ่สุดในโลกที่เกาะรอก
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_NNT_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/ab53f550-02d8-473d-bff5-bd356a231ad5)
นักดำน้ำตื้นสุดตะลึงพบ "กระเบนแมนตา" หรือ "กระเบนราหู" ปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เกาะรอก แถมยังให้เข้าไปยลโฉมได้อย่างใกล้ชิด ผู้ประกอบการทัวร์เผยเจอครั้งแรกในรอบ 18 ปี
ทีมผู้ประกอบการท่องเที่ยวทะเลตรัง ได้นำนักท่องเที่ยวเดินทางไปดำน้ำตื้น ที่บริเวณจุดดำน้ำหลังเกาะรอก ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นราชินีอันดามัน อันเนื่องมาจากธรรมชาติของโลกใต้น้ำที่ยังคงมีความสวยงามมาก โดยทุกคนต่างก็รู้สึกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้พบกับปลากระเบนแมนตา หรือปลากระเบนราหู ซึ่งจัดเป็นปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากปกติแล้วผู้ที่จะพบเห็นปลากระเบนชนิดนี้ได้ จะต้องเป็นกลุ่มนักดำน้ำลึก หรือ Scuba Diving เท่านั้น แต่กลุ่มที่ดำน้ำตื้น จะมีโอกาสเจอน้อยถึงน้อยมาก แถมปลากระเบนตัวนี้ยังดูคุ้นกับผู้คนอีกด้วย
สำหรับปลากระเบนแมนตา หรือปลากระเบนราหู ที่พบตัวนี้ มีความกว้างของช่วงปีก จากคลีบซ้ายถึงคลีบขวา 3-4 เมตร แต่มีตำหนิที่คลีบซ้าย เหมือนโดนฉลามกัดมา แต่บางตัวอาจมีความกว้างของช่วงปีกได้ถึง 6.7 เมตร หรือ 22 ฟุต และมีน้ำหนักได้ถึง 1,350 กิโลกรัม ปกติมักอาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะรอบๆ แนวปะการัง ส่วนที่จังหวัดตรัง จะพบมากบริเวณกองหินกลางทะเล หรือ "หินม่วง หินแดง" ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะรอก ออกไปอีก 1 ชม. (Speedboat 50-60 กม./ชม.) ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
นายพฤกษ์ อุบลเกิด ผู้จัดการ มดตะนอย รีสอร์ท ทีมผู้ประกอบการท่องเที่ยวทะเลตรัง กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเองทำทัวร์ดำน้ำตื้นมายาวนานถึง 18 ปี แต่เพิ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีปลากระเบนแมนตา หรือปลากระเบนราหู ขึ้นมาให้ยลโฉมในระดับน้ำตื้นเช่นนี้ และเฉพาะที่บริเวณเกาะรอก ก็แทบไม่เคยมีประวัติว่า พบปลากระเบนชนิดนี้มาก่อน แต่ล่าสุดเพิ่งมีทีมดำน้ำลึกพบเห็นปลากระเบนแมนต้า ที่บริเวณหินม่วง หินแดง จำนวน 2 ตัว จึงนับเป็นความโชคดีทั้งของตนเองและกลุ่มนักดำน้ำตื้นที่ได้เจอปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลกตัวนี้อย่างใกล้ชิด
https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG220104215435414
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
ย้อนรอยภัยพิบัติปี 2021 ย่างก้าวที่ธรรมชาติเริ่มทวีความผันผวน .................. โดย เกรียงไกร เรืองทรัพย์เดช
นอกจากวิกฤต "โควิด-19" ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกแล้ว ในปีที่ผ่านมาโลกเราต้องเผชิญภัยธรรมชาติหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนที่สะสมมานานหลายสิบปี และในอนาคต ปัญหาเหล่านี้อาจรุนแรงเกินกว่าจะจินตนาการได้
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_NationTV_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/1f167de3-a32c-4479-abf2-d5a4c8672dbc)
Highlights
- ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดแพร่กระจาย ภัยพิบัติทางธรรมชาติเองก็ร้ายแรงและสร้างผลกระทบแก่ผู้คนเป็นจำนวนมากไม่แพ้กัน
- ในปีที่ผ่านมาโลกเราเผชิญภัยธรรมชาติหลายรูปแบบ ตั้งแต่คลื่นความร้อน ไฟป่าครั้งใหญ่ น้ำท่วม ภัยแล้ง หรือแม้แต่ปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาไหม้
- สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อนที่สะสมยาวนานหลายร้อยปีนับแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และหากเรายังปล่อยโลกให้ดำเนินไปในทิศทางนี้ สิ่งที่ตามมาอาจร้ายแรงเกินจินตนาการของมนุษย์เลยทีเดียว
- บรรดาผู้นำประเทศต่างเริ่มตระหนักถึงปัญหาจากการประชุม COP26 ที่ผ่านมา จากข้อกำหนดและความเห็นชอบในหลายด้าน ทำให้เรายังมีความหวังในการยับยั้งภัยพิบัติเหล่านี้อยู่บ้าง
--------------------
ช่วงปีที่ผ่านมาประเด็นที่ผู้คนพากันให้ความสนใจสูงสุดย่อมเกี่ยวข้องกับโรคระบาดและการแพทย์ หลังเชื้อโรคร้ายคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปนับล้าน บังคับให้ผู้คนต้องเว้นการรวมตัวรักษาระยะห่าง เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราไปตลอดกาล สร้างผลกระทบใหญ่หลวงแก่ผู้คนเกือบทุกชนชั้น
แต่นั่นไม่ใช่แค่ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นภายในปีนี้ นอกจากโรคระบาดอีกสิ่งที่ผู้คนต้องหันมารับมือกันจริงจังคือภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรง สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง เริ่มมีผู้สังเกตเห็นผลกระทบแต่นับเป็นเพียงส่วนเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่น่ากลัวเท่าสิ่งที่กำลังจะตามมานับจากนี้
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_NationTV_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/38dd5d4b-0dcb-4c26-a41a-09fff3463813)
ภาพไฟป่าในประเทศกรีซ
ภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ที่ทวีความถี่และรุนแรงขึ้นทุกปี
สำหรับหลายท่านอาจกลายเป็นข่าวชาชินหรืออาจไม่ให้ความสนใจนัก ด้วยภัยธรรมชาติคือสิ่งที่เกิดเป็นประจำอยู่ทุกปีแต่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมานับว่าปีนี้เป็นความรุนแรงคนละระดับ สังเกตได้จากผลกระทบและความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม ตั้งแต่
คลื่นความร้อน
นี่คือหนึ่งในปัญหาที่หนักหนาขึ้นทุกปี ความแปรปรวนทางสภาพอากาศยิ่งร้ายแรงส่งผลให้คลื่นความร้อนทวีความรุนแรง นอกจากตรงเข้ารบกวนการใช้ชีวิตรวมถึงสุขภาพเราโดยตรง ยังส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและเป็นต้นเหตุของภัยธรรมชาติอื่นตามมา
คลื่นความร้อนในปีนี้ทำให้อุณหภูมิในอุทยานแห่งชาติ เดธ วัลเลย์ ในสหรัฐฯพุ่งไปถึง 54.4 องศาเซลเซียส เช่นเดียวกับกรีซที่อุณหภูมิพุ่งไปถึง 47.1 องศาเซลเซียส หรือแม้แต่รัสเซียที่เป็นเมืองหนาวยังอุณหภูมิสูงถึง 34.1 องศาเซลเซียส เรียกว่าหลายประเทศเข้าสู่เขตร้อนกันทั่วหน้า
ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความแปรปรวนทางสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบร้ายแรงตามมา
ไฟป่า
เมื่ออุณหภูมิจากอากาศตามธรรมชาติมีอุณหภูมิสูงขึ้น สิ่งตามมาคือการเกิดเพลิงไหม้ได้ง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟป่า สภาพอากาศร้อนอบอ้าวแห้งแล้งขาดความชุ่มชื้นตามธรรมชาติโอกาสเกิดจึงเพิ่มเป็นทวีคูณ และเมื่อเกิดไฟป่าขึ้นครั้งหนึ่ง อุณหภูมิที่สูงจากเปลวเพลิงยังเพิ่มโอกาสให้ปัญหาลุกลามขยายวงกว้างขึ้นอีก
เหตุการณ์ไฟป่าครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมาตัวอย่างเช่น ไฟป่าในรัฐบริติชโคลัมเบีย แคนาดา หลังการมาถึงของคลื่นความร้อนทำให้เกิดการลุกไหม้ นำไปสู่ผู้เสียชีวิตกว่า 719 คน, ไฟป่าในทวีปยุโรปที่เริ่มจากตุรกี ลุกลามไปยังกรีซ แอลจีเรีย สเปน จนถึงอิตาลี หรือเหตุการณ์ไฟป่าในไซบีเรียที่กินพื้นที่ไปกว่า 6,437 ตารางกิโลเมตร เป็นต้น
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_NationTV_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/15e710b4-6528-4f65-9cf4-c06e71d764ab)
ภาพน้ำท่วมใหญ่ในประเทศจีน
น้ำท่วม
ภัยพิบัตินี้เป็นผลกระทบจากการขยายตัวคลื่นความร้อน เมื่อพื้นที่หนาวเย็นอย่างไซบีเรียหรือแคนาดาเกิดร้อนอบอ้าว ไอน้ำและมวลอากาศเย็นจึงถูกพัดพาไปที่อื่น เป็นผลให้มีโอกาสที่เมื่อถึงฤดูมรสุมจะเกิดฝนตกน้ำท่วมรุนแรง ด้วยปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมในหลายพื้นที่
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในจีน กับน้ำท่วมจากฝนตกครั้งใหญ่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 302 คน ส่งผลกระทบต่อผู้คนอีก 13 ล้านชีวิต ด้วยมวลน้ำจากการตกเพียง 3 วันที่มากเท่าฝนตกตลอดทั้งปี หรือน้ำท่วมใหญ่ในทวีปยุโรปที่กินพื้นที่ทั้งในฝั่งเบลเยียม เยอรมนี รวมถึงอิตาลี นับเป็นภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปีเลยทีเดียว
ภัยแล้ง
อีกหนึ่งภัยพิบัติที่ตามมาจากความแปรปรวนทางสภาพอากาศ เมื่อเกิดอุณหภูมิสูงทำให้ความร้อนสะสม พัดพาเอาน้ำหายไปไม่ตกกลับลงมาเป็นฝน ทำให้บางพื้นที่ขาดแคลนน้ำจนประสบปัญหาภัยแล้ง ซึ่งส่วนนี้ส่งผลต่อทั้งการอุปโภคบริโภค ภาคการเกษตร หรือแม้แต่การผลิตสินค้า
พื้นที่ได้รับผลกระทบสูงสุดในปีนี้คือแถบอเมริกาใต้ โดยเฉพาะบราซิล ปารากวัย และอาร์เจนตินา ที่เข้าจุดวิกฤติจนทำให้เขื่อนสำรองน้ำใกล้แห้งขอด ส่งผลกระทบไปถึงการผลิตไฟฟ้า แม่น้ำปารานาที่เป็นแม่น้ำสายหลักยังลดระดับต่ำสุดในรอบ 77 ปี ส่งผลต่อเส้นทางคมนาคมรวมถึงการขนส่งสินค้าอย่างร้ายแรง
ปัญหาฝุ่นละออง
อีกหนึ่งปัญหาที่อาจไม่ใช่ในทางตรงแต่ก็เป็นผลลัพธ์จากสภาพอากาศแปรปรวน เมื่อสภาพอากาศผิดเพี้ยนกระแสลมหรือฝนที่ควรมีหายไป ผลที่ตามมาคือเมื่อเกิดการเผาไหม้สะสม ตะกอนกับฝุ่นละอองในอากาศจึงยังคงอยู่ไม่ถูกขจัดให้หมดไป พากันสะสมอยู่ในอากาศและสิ่งแวดล้อมจนกลายเป็นพิษต่อผู้คน
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650105_NationTV_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/3e046420-ca0c-434c-82ec-4f04f7c2c3ce)
ปัญหาฝุ่นละอองในอินเดีย
วิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลกที่มีอัตราการเผาไหม้สูง สอดคล้องกับบริเวณที่เกิดไฟป่าหลายครั้งอย่างกรีซ รัสเซีย หรือแคนาดา รวมถึงอินเดีย ที่ค่าฝุ่นละอองพุ่งสูงทะลุ 999 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แม้แต่ในประเทศไทยเองที่มักมีค่าฝุ่นละอองสะสมจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนในระยะยาว
ทั้งหมดคือภัยธรรมชาติและวิกฤตที่เกิดขึ้นภายในรอบปีที่ผ่านมา หลายเหตุการณ์ตามปกติมักมีการกระจายข่าวกว้างขวางเพื่อส่งต่อความช่วยเหลือ แต่ปีนี้ทุกอย่างต้องสะดุดเมื่อทุกประเทศต่างผจญวิกฤติการณ์ ทำให้ประเทศที่ประสบภัยพิบัติไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนมากนัก ซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่แล้วให้หนักขึ้นไปอีก
สาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงและบ่อเกิดภัยพิบัติ เมื่อโลกกำลังส่งสัญญาณเตือน
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือภาวะโลกร้อน การแปรวปรวนของธรรมชาติกำลังย้อนกลับมาส่งผลกระทบถึงตัวเรา ร้ายแรงกว่าคือจากรายงานของ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) แห่งสหประชาชาติ ยังบอกว่า ภัยพิบัติในวันนี้เป็นแค่บทโหมโรงของสิ่งที่กำลังจะตามมา
รายงานสภาพภูมิอากาศโลกและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตบ่งชี้ชัดเจนว่า เวลาของมนุษย์เราในการแก้ปัญหาโลกร้อนกำลังจะหมดลง หากเราไม่เริ่มแก้ไขปัญหาโลกร้อนหาทางรับมือความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศเสียแต่ตอนนี้ ทุกอย่างอาจสายเกินแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
คลื่นความร้อนต้นเหตุภัยพิบัติทั้งหลายภายในปีนี้จะมากกว่าเดิมราว 9.4 เท่า ไม่ต่างจากเหตุการณ์ฝนถล่มในประเทศจีนที่มีโอกาสเกิดมากขึ้น 2.7 เท่า เมื่อเทียบกับปี 1850 ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม และภายในสิ้นศตวรรษนี้ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าเดิม 2 เมตร ส่งผลให้พื้นที่ตามแนวชายฝั่งอาจถูกน้ำท่วมส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน
หากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ต่อไป อุณหภูมิโลกอาจพุ่งสูงกว่าเดิมถึง 4 องศาเซลเซียส ผลักดันให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเกินจินตนาการเลยทีเดียว
นั่นคือเส้นทางยากจะหลีกเลี่ยงเมื่อวิเคราะห์จากแนวโน้มในปัจจุบันถือเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญในอนาคต ต่อให้ทุกประเทศหันมาจริงจังในด้านสิ่งแวดล้อมในตอนนี้ปัญหาก็ยังต้องเกิดขึ้น เพราะนี่คือผลพวงจากการกระทำของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งมันจะเลวร้ายยิ่งกว่าถ้าไม่เริ่มหยุดเสียแต่ตอนนี้
แสงแห่งความหวังอันริบหรี่ การประชุม COP26
ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้าย การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ กับความพยายามในการแก้ไขปัญหาลดกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน โดยมีจุดหมายสำคัญในการรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้สูงเกิน 2 องศาเซลเซียส และลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050
โดยร่างสัญญาฉบับดังกล่าวมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2030 และให้ประเทศพัฒนาแล้วเพิ่มเงินช่วยเหลือประเทศที่ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศเป็นจำนวน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รวมถึงการแสดงให้ทั่วโลกได้เห็นความสำคัญต่อปัญหาด้านสภาพแวดล้อมยิ่งขึ้น
แน่นอนว่ายังมีข้อติดขัดบางประการในการเปลี่ยนผ่านรูปแบบการสร้างพลังงาน โดยเฉพาะประเด็นด้านยุติการใช้ถ่านหินในอุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า รวมถึงการที่ข้อตกลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในการประชุมไม่มีผลบังคับทางกฎหมายใดๆ ปราศจากหลักประกันมายึดเหนี่ยวจนมีลักษณะเป็นแค่สัญญาใจมากกว่า
กระนั้นก็ตามจากท่าทีการจับมือของสหรัฐฯกับจีนเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงในการทำงานร่วมกัน เห็นชอบในความร่วมมือจะลดการใช้ถ่านหิน ลดการปล่อยมีเทนและคาร์บอน เปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ให้การสนับสนุนเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียน ก็ดูเป็นก้าวสำคัญที่พอให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาบ้าง
ถึงตอนนี้นอกจากคาดหวังว่านานาประเทศที่เข้าร่วมการประชุมจะเข้าใจ ตระหนัก และแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ตัวเราเองก็ควรเริ่มลดภาระแก่สิ่งแวดล้อม เริ่มปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ในการทำลายสิ่งแวดล้อมนี้เช่นกัน
และหากไม่เริ่มเสียแต่วันนี้บางทีอาจไม่มีโลกให้ตัวเราหรือลูกหลานได้ใช้ชีวิตอยู่อีกต่อไปก็เป็นได้
https://www.nationtv.tv/original/378859154
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.