สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2565

[สายน้ำ]

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-14 องศาเซลเซียส และยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 9 - 10 ม.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-15 องศาเซลเซียส และบริเวณยอดภูมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศา

ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 14 ม.ค. 65 บริเวณความกดอากาศสูงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส และมีอากาศหนาวเย็นลง โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนตลอดช่วง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 9 - 10 ม.ค. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 14 ม.ค. 65 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Forecast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/3e33c16a-c3eb-49d7-a4be-d291d2a3e23a)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Wave_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/ae3e28c5-0fad-4f0f-9b6f-a8a0965bc367)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/c9a03368-b45a-40a8-a7fc-c5d730a4b728)

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พบเรือผีลอยกลางทะเลสุราษฎร์ ทัพเรือภาค 2 เข้าตรวจไม่พบคนรอลากเข้าฝั่ง

ทัพเรือภาค 2 ส่งเรือ ต.113 ออกลาดตระเวนตามหาเรือไร้สัญชาติกลางทะเล หลังพบเข้าใกล้แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลสุราษฎร์ เบื้องต้นไม่พบคนบนเรือ และมีน้ำเข้าในเรือบางส่วน รอตรวจก่อนลากเข้าฝั่ง

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/a356dbcd-bdde-411e-9091-43925c977eca)

เมื่อวันที่ 8 ม.ค.65 นาวาเอกวศากร สุนทรนันท รองผู้อำนวยการ ศรชล. จว.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค.65 พลเรือโทสุนทร คำคล้าย ผู้บัญชาการทัพเรือภาค 2 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่แท่นขุดเจาะน้ำมันเชฟรอน ตรวจพบเรือไร้สัญชาติลอยเข้ามาใกล้แท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล และสั่งการให้อากาศยานไร้คนขับ และเรือต.113 ออกลาดตระเวน ค้นหาพบเรือ FIN SHUL YUEN 2 (ชื่อตามที่ปรากฏ) บริเวณ แลต. 8 องศา 45.09 ลิปดา เหนือ ลอง. 101 องศา 17.88 ลิปดาตะวันออก หรือประมาณระยะทาง 100 ไมล์ทิศทาง 025 จากปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลา และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบเรือลำดังกล่าว

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าเรือมีลักษณะคล้ายเรือสินค้า ความยาวประมาณ 80 เมตร ไม่มีสินค้าในระวาง ไม่มีหมายเลขเรือ หมายเลขท้ายเรือถูกลบ และไม่มีการพักอาศัยของคนประจำเรือ ไม่มีสมอและโซ่สมอ สภาพมีน้ำท่วมภายในตัวเรือ ในห้องเครื่องไฟฟ้าและเครื่องจักรใหญ่ ตัวเรืออยู่ในลักษณะเอียงประมาณ 35 องศา

จากนั้นเรือ ต.113 ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าทำการสูบน้ำออก เพื่อให้เรือทรงตัวอยู่ได้ไม่จมลงสู่ใต้ทะเล เพราะจะเป็นผลกระทบต่อความปลอดภัยในเส้นทางเดินเรือ และจากสภาพอากาศแปรปวนคลื่นลมแรง ซึ่งสามารถสูบน้ำออกจากเรือได้ในระดับหนึ่ง ต้องถอนกำลังเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายระหว่างการปฏิบัติงาน และเตรียมตรวจสอบเรือเพื่อรับเรือเข้าฝั่งและติดตามหาเจ้าของเรือต่อไป.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/2283262


*********************************************************************************************************************************************************


ชาวบ้าน จ.สตูลยิ้ม ถึงฤดูหาหอยท้ายเภาตามชายหาด เผยขายราคาดี กก.ละ 700

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Thairath_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/77c0416f-691f-4ae3-9bae-01568bb1f31d)

ชาวบ้านบ่อเจ็ดลูก ม.1 ต.ปากน้ำ และต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล ออกหาหอยท้ายเภาตามชายหาดกาสิงห์ ปีนี้ราคาดีพุ่งสูงถึง 700 บาท โดยทำรายได้รายละ 2,500-5,000 บาท แต่ต้องจับแบบเชิงอนุรักษ์ ห้ามใช้คราด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณชายหาดกาสิงห์ ต.ปากน้ำ และ ต.แหลมสน อ.ละงู จ.สตูล ที่มีชายหาดต่อเนื่องกันช่วงระหว่างปลายเดือนธ.ค.-มี.ค.ของทุกปีจะมีชาวบ้านออกมาหาหอยท้ายเภาเป็นรายได้เสริม เนื่องจากเป็นฤดูกาลของหอยท้ายเภา ซึ่งเป็นหอยที่มีราคาแพง แพที่รับซื้อแต่ละแห่งรวมกันจะได้น้ำหนักเป็นตันเลยทีเดียว ความนิยมของหอยท้ายเภาเพราะเนื้อมาก รสหวาน นิยมทำหอยอบโหระพา ผัดฉ่า แกง ผัดน้ำมันหอย และอีกหลากหลายเมนู ซึ่งเป็นเมนูที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว ราคาอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท โดยปีนี้หอยท้ายเภาสูงกว่าทุกปี หน้าแพรับซื้อจากชาวบ้าน กก.ละ 550 บาท ส่งเข้ากทม.กก.ละ 700 บาทเลยทีเดียว

นายอิสแนน กองบก ชาวบ้านที่นำเรือออกไปงมหาหอย กล่าวว่า การหาหอยท้ายเภาจะเริ่มหาช่วง 14-3 ค่ำ เพราะน้ำทะเลจะลงต่ำ ทำให้งมหาได้ง่าย โดยการนั่งเรือออกไปประมาณ 1 กม. แล้วดำลงไปหารูหอย ซึ่งจะมี 2 รูใกล้ๆ กัน จากนั้นใช้ตะขอเหล็ก 2 ง่ามเจาะลงไปในทรายและงัดเอาหอยออกมา ช่วงนี้ชาวบ้านจะมีรายได้จากการหาหอย ปีนี้ได้ราคาดี คนดำน้ำหาเก่งๆ มีรายได้วันละ 4-5 พันบาท แต่คนที่หาส่วนใหญ่จะอยู่ที่วันละ 2,500-5000 บาท ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_Thairath_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/9eb09335-35d1-472f-9087-00bd6c25e89d)

ชาวบ้านที่ออกหาหอยท้ายเภา กล่าวต่อว่า กติกาของหมู่บ้านในการอนุรักษ์หอยท้ายเภาคือต้องดำหาหอยด้วยตัวเปล่า มีแค่อุปกรณ์การหากับแว่นตาเท่านั้น ห้ามใช้คราด หรือถังออกซิเจนหรืออุปกรณ์ช่วยในการดำน้ำต่างๆ ใช้วิถีชุมชน และห้ามเก็บหอยตัวเล็ก ขนาดที่เก็บได้ไม่เกิน 28 ตัว/กก. หากตัวใหญ่ๆ จะตกอยู่ที่ตัวละ 50 บาท ชาวบ้านจึงไม่อยากกินนำไปขายได้เงินดีกว่า

ด้าน นางฟาริดา ทุมมาลี เจ้าของแพรับซื้ออาหารทะเล กล่าวว่า ปีนี้ราคาหอยท้ายเภาสูงสุดเท่าที่ตนรับซื้อมา ราคารับซื้อจากผู้หา 550 บาท ราคารับซื้อต่อจากแม่ค้าอีกที กิโลกรัมละ 620 บาท และส่งไปกทม.จะอยู่ที่กิโลกรัมละ 700 บาท หอยท้ายเภาเข่งเดียวราคา 15,000 บาท สำหรับราคาที่แพงเนื่องจากหอยท้ายเภามีรสชาติหวาน นุ่ม ไม่เหนียวเหมือนหอยชนิดอื่น และกำลังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/2283025

[สายน้ำ]

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


ชาวเน็ตเชื่อฉลามดึกดำบรรพ์ "เมกาโลดอน" ยังอยู่

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_NationTV_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/b5bf0083-ab07-40ef-a3ed-dad63c753e0c)

ความเชื่อที่ว่าฉลามยักษ์ยุคดึกดำบรรพ์ "เมกาโลดอน" (Megalodon) ยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้หวนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีภาพฉลามขาวมีรอยกัดขนาดใหญ่ ปรากฎในโซเชียลมีเดีย พร้อมกับคำถามว่าใครจะกล้าทำกับฉลามสายพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุดแบบนั้นได้

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_NationTV_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/040220ab-52da-4626-bb74-596e735ae938)

ชาวโซเชียลมีเดียพากันปักใจเชื่อว่า รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่ลำตัวของฉลามตัวหนึ่ง ต้องเป็นรอยฟันของนักล่าที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกอย่าง เมกาโลดอน (Megalodon) ที่เคยท่องไปในมหาสมุทรทุกแห่งมาก่อน ทำให้เกิดความวิตกว่ามันอาจหวนคืนสู่ท้องทะเลลึกอีก ซึ่งชาวเน็ตคนหนึ่งคอมเมนต์หลังจากเห็นรอยแผลที่ฝากไว้ที่ฉลามขาวว่า มันน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_NationTV_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/9db21083-af52-4ee3-9a6c-9c10a007ad47)

สิ่งที่พิสูจน์การมีตัวตนของมันคือซากฟอสซิล ที่นักโบราณคดีหลายคนค้นพบ โดยเฉพาะส่วน "ฟัน" ที่มีขนาดใหญ่กว่าของฉลามทุกสายพันธุ์บนโลกใบนี้ ยิ่งขนาดลำตัวไม่ต้องพูดถึง เมกาโลดอนมีขนาดใหญ่กว่าฉลามยุคปัจจุบันหลายเท่า

แต่ถ้าไปถามผู้เชี่ยวชาญอย่าง Dr. Tristan Guttridge ประธานมูลนิธิเพื่อสัตว์น้ำที่ไม่แสวงกำไร "Saving the Blue" เขาให้ความเห็นว่า ถ้าดูจากรอยแผลน่าจะเกิดจากการถูกกัดโดยฉลามขนาดใหญ่อีกตัวหนึ่ง มันเป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันตัว เช่นเดียวกับ Michael Domeier ที่บอกว่า มันต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาอย่างแน่นอน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/650109_NationTV_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://app.photobucket.com/u/saveoursea/a/a2b4b8c2-0c12-4a61-90e8-0e899727dae5/p/12249a14-e778-4fb5-a8eb-ddaee7ec89a6)

ฉลามที่มีรอยแผลมีความยาว 15 ฟุต และถูกพบบริเวณชายฝั่งเม็กซิโก และแม้ผู้เชี่ยวชาญจะคิดว่าเป็นผลงานของฉลามด้วยกัน แต่ชาวโซเชียลมีเดียกลับมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเมกาโลดอน เพียงแต่ฉลามตัวนี้โชคดีที่รอดมาได้


https://www.nationtv.tv/news/378859691