View Full Version : รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการเก็บขยะตัดอวนที่โลซิน พฤษภาคม 2565
รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการเก็บขยะตัดอวนที่โลซิน พฤษภาคม 2565
โดยสมาชิกอาสาสมัคร wwwSaveOurSea.net
วันที่ 13 . 19 พฤษภาคม 2565
ในระหว่างวันที่ 19 - 23 พฤษภาคม 2565 สมาชิกอาสาสมัครชาว www.SaveOurSea.net ได้ร่วมกันลงแรงใจ แรงกาย และแรงทรัพย์ ไปดำน้ำทำงานเก็บขยะและตัดอวนกันที่โลซินและลอปีที่เป็นเกาะเล็กๆ ในจังหวัดปัตตานี และเลยไปดำน้ำทำงานกันที่ปะการังเทียมรถถัง ตู้รถไฟ และถังขยะ ที่หน้าเมืองนราธิวาสด้วย หลังจากไม่ได้ไปทำงานที่จุดดำน้ำเหล่านี้มากว่าสองปี เหตุเพาระพิษโควิดที่ระบาดในไทย ทำให้เราจำต้องดกิจกรรมดำน้ำทำงานของชาว SOS ไปหลายครั้งหลายหน
ในเย็นวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 พวกเราชาว SOS และนักวิชาการ รวม 21 คน ได้เดินทางไปรวมตัวกันที่จุดนัดพบ คือบนเรือวีนัสซึ่งจะเป็นพาหนะของเราในทริปนี้ ที่จอดเทียบท่าเรือหน้าเมืองสงขลาคอยเราอยู่แล้ว โชคดีที่ในวันนั้นสภาพอากาศที่สงขลาดีมาก แสงแดดแผดจ้าตั้งแต่เช้าจรดเย็น ท้องฟ้าไร้เมฆฝน กระแสลมก็อ่อนมาก
สี่ทุ่มกว่าๆ เรือแล่นออกจากท่ามุ่งหน้าสู่กลางอ่าวไทย จุดหมายแรกที่เราจะไป คือโลซิน เกาะเล็กๆ กลางอ่าวไทยที่ติดชายแดนมาเลเซียทางด้านใต้ ส่วนทางด้านตะวันออกไกลออกไปหน่อย คือเขตแดนของเวียตนาม ทะเลที่ราบเรียบทำให้คืนนั้นเรานอนหลับกันสนิทไปตลอดทั้งคืน
เช้าวันใหม่ พวกเราหลายคนตื่นแต่เช้ามืดและลุกขึ้นไปนั่งรับลมและแสงแดดยามเช้า ครับทะเลยังราบเรียบ และอากาศยังสดใส กลุ่มผู้นำดำน้ำและสมาชิกของเราหลายคนเริ่มทำงานตามหน้าที่ ด้วยการจัดเตรียมอุปกรณ์ทั้งกรรไกร ถุงตาข่าย และถุงลม (ทั้งแบบสำเร็จรูปและถุงก๊อบแก๊บ) เพื่อให้น้องใหม่ที่มาดำน้ำทำงานกับเราเป็นครั้งแรกได้ใช้ และเผื่อไว้สำหรับคนเก่าๆ ที่ลืมอุปกรณ์ของตัวเองติดตัวมาด้วย
แปดโมงเช้า น้องพัทเริ่มเคาะกระดิ่งระดมพล เมื่อทุกคนขึ้นมารวมกันที่ชั้นบน น้องติ๊กก็เริ่มต้นทักทายพวกเราทุกคนอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย ทำให้เราได้ยิ้มหัวและหายงัวเงีย จากนั้นเป็นการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการมาทำงานครั้งนี้ การแนะนำเกี่ยวกับเรือวีนัสและการใช้ชีวิตให้มีความสุขและปลอดภัยตลอดเวลาที่เราทำงานอยู่บนเรือลำนี้ ต่อด้วยการแนะนำตัวสมาชิกทุกคนและการแบ่งกลุ่มดำน้ำ วิธีการดำน้ำอย่างปลอดภัย วิธีการดำน้ำเก็บขยะและตัดอวนอย่างถูกวิธี ต่อด้วยการบอกเล่าถึงจุดที่เราจะลงดำน้ำทำงานกัน
สายชลในฐานะผู้อาวุโส ได้กล่าวปิดท้ายในเช้าวันนี้ ด้วยเรื่องกฎ กฏิกา มารยาท ในการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขและปลอดภัยของพวกเราชาว SOS ที่ได้ยึดถือและปฏิบัติมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว ซึ่งพวกเราที่เคยร่วมงานกันมานานน่าจะจำได้ขึ้นใจ (No Ego, No Logo, No Decom., No Alcohol, No Gambling, No Political)
กองหินกระโจมไฟ เกาะโลซิน
ด้านเหนือและด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
9 โมงเช้า ได้เวลาลงดำน้ำทำงานไดฟ์แรก ที่กำหนดให้เป็นด้านเหนือของกองหินกระโจมไฟ เกาะโลซิน ซึ่งเป็นกองหินที่อยู่เหนือน้ำ พื้นที่ราว 10 ตารางเมตร เพื่อที่เราจะได้นำพวงมาลัยมะลิเล็กๆ ไปไหว้พี่ไมโล (ผู้อาวุโสที่รักโลซินมากและได้เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน และเราได้แบ่งอัฐิของท่านมาไว้ที่นี่) พอเสร็จพิธีแล้ว เราจะได้ทำงานกันต่อไปได้ทันที
ลมเริ่มพัดมาฉิวๆ มองจากบนเรือ กระแสน้ำเริ่มไหลแรง บางจุดเห็นเหมือนน้ำเดือด อย่างที่เราเคยเห็นแถวเกาะโคโมโด ในอินโดนีเซีย ซึ่งพอเห็นแล้ว เราก็ชักจะหวั่นๆ ว่า การดำน้ำทำงานที่โลซินเช้านี้ คงจะไม่หมูอย่างเคยแล้ว
เราแบ่งกลุ่มดำน้ำเป็น 5 กลุ่ม โดยกลุ่ม 1 และ 2 กระโดดลงไปก่อน ซึ่งสองกลุ่มนี้ดูจะลงดำน้ำไปได้เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา แต่พอกลุ่มที่ 3, 4 และ 5 ที่มีสายน้ำกับสายชลรวมอยู่ด้วย พากันกระโดดลงน้ำตามๆ กันลงไปนั้น เราเริ่มเจอปัญหา เหตุเพราะเรือจอดห่างเกาะโลซินมากไปหน่อย แถมยังลอยเรืออยู้ใต้กระแสน้ำอีกด้วย พอเรากระโดดลงไป กระแสน้ำที่แรงอย่างที่ไม่เคยเห็นแถวโลซินมาก่อน ก็พาเราลอยละล่องไปไกลจากกองหิน ระดับน้ำเริ่มลึกมากขึ้นเรื่อยๆ จนขนาดที่เรามองไม่เห็นพื้นทรายเบื้องล่าง
หลังจากอยู่ใต้น้ำได้ 10 นาที และไม่มีทีท่าว่ากระแสน้ำจะพาเราเข้าไปใกล้ตัวเกาะแน่นอนแล้ว เราตัดสินใจลอยตัวสูงขึ้นข้าๆ หลังจากทำ Safety Stop ครบแล้ว เราก็ลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วก็พบว่าตัวเราลอยไปไกลจากเกาะโลซินกว่า 200 เมตร และเมื่อปีนกลับขึ้นเรือวีนัสที่แล่นมารับ ก็พบว่ามีสมาชิกกลุ่ม 1-5 ไหลตามน้ำไปไกลเหมือนเราด้วยกว่า 10 คน
ดื่มน้ำและพักพอหายเหนื่อยแล้ว เราก็ใส่อุปกรณ์ดำน้ำอีกครั้ง แล้วให้เรือแล่นไปส่งบริเวณเหนือกระแสน้ำและใกล้ๆ ตัวเกาะโลซิน คราวนี้ไม่มีปัญหา พอหัวจมน้ำ กระแสน้ำก็พาเราลงไปใต้ทะเลใกล้ยอดหินกระโจมไฟ ตรงจุดที่เราต้องการพอดี
สภาพใต้น้ำที่โลซินวันนี้ ไม่เหมือนเดิม นอกจากกระแสน้ำจะแรงแล้ว น้ำยังไม่ใสแจ๋วเหมือนเคย ใกล้ผิวน้ำ ทัศนวิสัยค่อนข้างดี แต่พอลึกเกิน 10 เมตรลงไป น้ำเริ่มขุ่นเหมื่อนมีแป้งมันผสมน้ำอยู่
สภาพดงปะการังด้านเหนือเริ่มฟื้นตัวขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน แม้จะมีร่องรอยการหักของปะการังเขากวางและปะการังโต๊ะ อยู่หลายจุดบ้างก็ตามที
ปลาหายไปเยอะ แต่ก็ยังพอมีปลาผีเสื้อ ปลาหูช้าง และฝูงปลากะมงที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีดำและขาวจับคู่กันอยู่ฝูงหนึ่ง
สิ่งที่น่าสังเกตคือ ที่นี่ไม่มีปะการังฟอกขาวที่เกิดจากโลกร้อน แต่มีปะการังที่ถูกดาวมงกุฏหนามเกาะกินจนซีดขาวเป็นหย่อมๆ
อีกจุดที่น่าสังเกตคือ บริเวณที่ปะการังถูกทำลายเป็นหย่อมๆ แหลกละเอียดจนเห็นพื้นทรายขาวนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะกลับฟื้นคืนดีได้ดังเดิม
กระแสน้ำจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่ไหลแรงมากมาทางด้านตะวันออกเเฉียงใต้ ทำให้เราดำน้ำไปไหนกันได้ไม่ไกล ได้แต่วนไปวนมาอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีกองหินบังกระแสน้ำไว้ให้เป็นบริเวณเล็กๆ ไดฟ์นี้จึงไม่มีงานหนักให้เราได้ทำมากมายนัก มีเพียงเศษซากอวนชิ้นเล็กๆ เชือกเอ็นเบ็ด และเชือกปากอวนให้เราได้เก็บและตัด แก้เซ็งไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง?
กองหินกระโจมไฟ เกาะโลซิน
ด้านตะวันออก
เราลงดำน้ำทางด้านตะวันออกของกองหินกระโจมไฟอีกหนึ่งไดฟ์ และพบว่าปะการังด้านนี้ค่อนข้างสวยงามและสมบูรณ์ดี และไม่มีขยะหรือเศษซากอวนให้เก็บหรือตัดเลย
การดำน้ำไดฟ์นี้จึงเหมือนการดำชมความงามของแนวปะการังที่นี่มากกว่าการมาทำงาน
ชมแนวปะกาารังสวยๆ เพลินไปเลยค่ะ
กองหินกระโจมไฟ เกาะโลซิน
ด้านใต้
ไดฟ์ต่อมา กระแสน้ำเริ่มอ่อนลง เราจึงลงดำน้ำทางด้านใต้ของกองหินกระโจมไฟ ต่อกับชายขอบของกองหินจม เราก็พบกับแนวปะการังที่ถูกทำลาย
ส่วนหนึ่งมาจากฝีมือดาวมงกุฎหนาม ที่เห็นอยู่หลายตัว
แต่ปะการังอีกส่วนหนึ่งที่ถูกทำลายจนย่อยยับ
จะด้วยสาเหตุอะไรนั้น เราไม่อยากจะพูดถึง
ที่จุดดำน้ำทั้งทางด้านตะวันออกเฉียงใต้และด้านใต้ของกองหินกระโจมไฟ มีงานเล็กๆน้อยๆ ให้เราทำไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน ชนิดเวลาดำน้ำหมดไม่รู้ตัว
กองหินจม เกาะโลซิน
คลื่นลมที่แรงขึ้นในเย็นวันแรกที่โลซิน ทำให้คลื่นลมแรง ในคืนนั้น เราจึงนอนอยู่ในเรือที่เหมือนชิงช้าที่แกว่งไปมา และในเช้าวันรุ่งขึ้น แผนการที่เราจะลงดำน้ำโดยการกระโดดลงเหนือกองหินจม จึงจำต้องเปลี่ยนมากระโดดน้ำลงทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของกองหินกระโจมไฟ แล้วว่ายให้กระแสน้ำพาเราไหลไปยังกองหินจมแทน
สภาพใต้น้ำระหว่างเกาะกระโจมไฟและกองหินจม มีสภาพที่เปลี่ยนไป ปะการังหนังที่เคยขึ้นอยู่หนาแน่นหายไปเกือบหมด แต่ปะการังแข็งยังคงสวยงามและอุดมสมบูรณ์ดี
ปะการังแข็งที่นี่ยังมีความหลากหลายอยู่มาก ใกล้ๆยอดกองหินจม ยังพอมีปะการังหนังแซมอยู่ แต่ไม่มากเหมือนเดิม
ปลาหูช้างฝูงใหญ่ที่เคยหากินเหนือยอดกองหินจม เหลืออยู่ไม่กี่ตัว แต่ก็ยังเชื่องเหมือนเดิม ระหว่างที่เราก้มหน้าก้มตาตัดเศษซากอวนที่ติดปะการังอยู่ น้องปลาก็มาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ
กระแสน้ำที่ยังแรงและน้ำที่ขุ่นมัวอยู่ ทำให้เราทำงานไม่สะดวก และไปไหนไม่ได้ไกล ทำให้การทำงานสองวันที่โลซินของเรา ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เก็บขยะและเศษอวนได้เพียง 30 กว่ากิโลกรัมเท่านั้น
ทำงานใต้น้ำว่าเหนื่อยแล้ว แต่ยังไม่เหนื่อยพอ เพราะเราต้องขึ้นมาทำงานแยกขยะ ส่งสิ่งมีชีวิตและซากปะการังกัลปังหากลับคืนสู่ทะเล และชั่งน้ำหนักขยะและเศษอวนที่เรานำขึ้นมาบนเรือวีนัสด้วย ซึ่งสายชลจะรวบรวมภาพให้ชม หลังรายงานการดำน้ำทำงานใต้น้ำเสร็จสิ้นแล้วค่ะ
ปะการังเทียมรถถัง
หลังจากดำน้ำทำงานที่โลซินเสร็จสิ้นในเย็นวันที่สองของการทำงานแล้ว เรือวีนัสก็แล่นกลับเข้าฝั่งด้านจังหวัดนราธิวาส ใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมงเศษ เรือก็มาจอดทอดสมออยู่หน้าเมืองนราธิวาส
8 โมงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการทำงานของเรา น้องติ๊กและทีมผู้นำดำน้ำของเราก็ดำเนินการบรีฟถึงจุดดำน้ำปะการังรถถัง ที่เราจะลงไปดำน้ำทำงานกัน หลังการบรีฟและเรือหาจุดดำน้ำได้แล้ว เราก็กระโดดลงน้ำกันอย่างกระปรี้กระเปร่า
วันนั้น สภาพน้ำทะเลที่หน้าเมืองนราธิวาสใสกว่าปกติ กระแสอ่อนมาก พอเราโดดลงไปใต้น้ำได้ไม่นาน เราก็เห็นรถถังที่จอดนิ่งอยู่บนพื้นทราย แม้จะไม่ได้เห็นทั้ง 25 คัน แค่คันเดียวเราก็ดีใจและไม่ต้องขวนขวายไปการถถังที่ไหนอีก เพราะรถถังที่เราเห็นนั้น ทั้งคันถูกคลุมด้วยอวนเต็มไปหมด ซึ่งสมาชิกเกือบทุกกลุ่มที่ลงไปดำน้ำทำงาน ก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน
เห็นอวนแล้วรออะไร ตัดสิคะ
เห็นอวนแล้วชักจะเหนื่อย แต่ไม่เกินกำลังของพวกเรา ภายใน 20 นาที อวนที่อยู่ในสายตาของพวกเราก็ถูกเก็บขึ้นสู่ผิวน้ำหมด
งานสำเร็จไปอีกหนึ่งจุด สบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ
ปะการังตู้รถไฟ และ ถังขยะ
ได้เศษอวนเป็นกอบเป็นกำที่ปะการังเทียมรถถัง แม้จะเหนื่อย แต่พวกเรากลับมีความสุขสนุกสนาน และคาดการณ์กันว่าที่ปะการังเทียมตู้รถไฟและถังขยะ ก็น่าจะมีขยะและเศษอวนให้เราได้เก็บมากมายเช่นกัน
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ ที่ตู้รถไฟใต้ทะเลซึ่งผุพังเจนหลือแต่โครง มีเศษอวน เส้นเชือก และสายเบ็ดให้เราได้เก็บกันมากมายจริงๆ เราเลยสนุกสนานและเพลิดเพลินกับการตัดอวน จนใกล้หมดเวลาดำน้ำ
เรามีเวลาเพียง 20 กว่านาทีในการดำน้ำทำงาน ฉะนั้นเราจึงต้องพยายามเร่งมือตัดอวนกันจนมือเป็นระวิง
แต่ตัดเท่าไรก็ยังมีให้ตัดอยู่อีกตามมุมเล็กมุมน้อย
ทำงานกันถึงนาทีสุดท้าย จนแน่ใจว่าไม่มีขยะและเศษอวนเหลือแล้ว จึงเตรียมตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ๕
ยังพอมีเวลาให้ตรวจความเรียบร้อยก่อนขึ้นสู่ผิวน้ำ?
เกาะลอปี
หลังเสร็จภารกิจที่ปะการังเทียมตู้รถไฟและถังขยะแล้ว เรือวีนัสแล่นขึ้นเหนือ มุ่งหน้าสู่เกาะลอปี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัดปัตตานีทันที
เราวางแผนว่าจะดำน้ำทำงานที่กองหินที่อยู่ใต้น้ำด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะลอปี แต่กัปตันบอกว่าหมายไม่มีและก็วนเรือหาแล้วก็ไม่เจอ เราเลยต้องเปลี่ยนแผนให้เรือไปส่งให้เราลงดำน้ำที่เกาะลอปีแทน
สองสายขอบายไม่ลงดำน้ำที่จุดนี้เพราะรู้สึกเพลียจากการลงดำน้ำสองไดฟ์แรกในวันนี้ แต่ได้น้องก้อยลีดเดอร์ของกลุ่ม 2 ช่วยถ่ายภาพและรายงานว่า ใต้ทะเลรอบเกาะลอปีสวยงามและสมบูรณ์ดีเหมือนที่เราได้เคยเห็นมาแล้วเมื่อ 4-5 ปีก่อน และน้ำก็ยังขุ่นข้นเหมือนเดิม แต่ดีตรงขยะและเศษอวนไม่ค่อยมี และมีฟองน้ำครกใหญ่ๆ และรูปทรงแปลกตาขึ้นอยู่เกลื่อนกลาด รอบๆ เกาะ
เมื่อสมาชิกขึ้นเรือกันครบทุกคนแล้ว การปฏิบัติงานของพวกเราในครั้งนี้เป็นอันจบลงได้ด้วยดี ไร้ปัญหาและอุปสรรคทั้งสิ้นทั้งปวง
เรือวีนัสเริ่มแล่นขึ้นเหนือมุ่งหน้าสู่เมืองสงขลา ซึ่งคาดว่าในเวลาตีสอง เรือจะเข้าเทียบท่าสงขลาได้ตามกำหนด
การแยกและชั่งขยะ
หลังการดำน้ำทำงานเก็บขยะและตัดอวน และนำขยะและเศษอวนขึ้นเรือวีนัสแล้ว พวกเรามีหน้าที่นำขยะทั้งหมดมาคัดแยกออกเป็นประเภทต่างๆ คือ อวน (เขียว ดำ ญี่ปุ่น) เชือก เอ็นเบ็ด ขวดแก้ว ขวด|แก้วน้ำ|ท่อ (พลาสติก) กระสอบ (พลาสติก) ตะกั่ว ฯลฯ
ครั้งนี้ เราเก็บขยะ/เศษอวน ได้รวมทั้งสิ้น 123 กก. รายละเอียดตามภาพที่แนบ
งานแยกขยะ ไม่ใช่เพียงแค่แยกขยะเหม็น ๆ แต่ละประเภทออกจากกันเท่านั้น แต่เราต้องนำสิ่งมีชีวิต กุ้ง หอย ปู ปลา รวมทั้งซากปะการังและกัลปังหา ที่ติดขยะหรือเศษอวนขึ้นมา กลับคืนสู่ท้องทะเลด้วย
แม้ว่างานแยกขยะจะเป็นงานที่มีแต่ความเหม็น ความร้อน ความเมื่อยล้า และความคันคะเยอ ที่เราได้รับกันอย่างถ้วนทั่ว กลับไม่มีใครรังเกียจหรือปฏิเสธการทำงานนี้ อาจจะเป็นเพราะงานนี้จะสอนให้เรารู้ว่า ถ้าเรารักทะเล เราก็สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อทะเล เหมือนกับการที่เรารักใครสักคนหนึ่ง เราก็สามารถจะทำได้ทุกอย่างเพื่อคนๆ นั้น
นอกจากนี้ งานนี้ยังสอนให้เรามีความอดทน อดกลั้น และไม่รังเกียจหรือย้อท้อต่อความลำบากหรือเหนื่อยยากที่ต้องเผชิญอีกด้วย
การสัมมนาทางวิชาการ
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชาว SOS ที่ในการออกทะเลมาทำกิจกรรมทุกครั้ง เราจะต้องเชิญนักวิชาการหรือไม่ก็สมาชิกอาสาสมัครของเราเอง มาให้ความรู้หรือเล่าเรื่องราวต่างๆที่มีแระโยชน์และน่าสนใจให้เราฟัง เพื่อเช่วยสริมความรู้และเพิ่มรอยหยักในสมองของเราเสมอ
คราวนี้ มีนักวิชาการและสมาชิกของเรา 3 คน มาให้ความรู้แก่เรา คือ
1. น้องปาล์ม บรรยายเรื่อง โลซิน พื้นที่คุ้มครองทางทะเลแห่งใหม่ของไทย
2. น้องโดม บรรยายเรื่อง การฟื้นฟูอ่าวมาหยา
3. น้องพร บรรยายเรื่อง แพลงก์ตอนพืชกับ Climate Change
การบรรยายเป็นไปด้วยความเรียบง่ายและเป็นกันเอง แต่พวกเราก็ได้รับความรู้เพิ่มขึ้น และมีความสุขสนุกสนานไปด้วยในตัว
ขอบคุณน้องปาล์ม น้องโดม และน้องพร มากค่ะ
การสรุปผลการทำงาน
หลังการบรรยายให้ความรู้จากน้องปาล์ม น้องโดม และ น้องพร แล้ว น้องติ๊กในฐานะหัวหน้าทีมลีดเดอร์ของพวกเราได้กล่าวสรุปถึงผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมาสามวันของพวเรา ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี สมาชิกทุกคนปฏิบัติงานด้วยความขยันขันแข็ง กินอิ่ม นอนหลับกันดี มีขยะที่เก็บได้ทั้งสิ้น 113 กก. (แยกเป็นประเภทต่างๆ ตามที่รายงานแล้วข้างต้น) น้องคิ๊กได้กล่าวขอบคุณสมาชิก ลีดเดอร์ น้องนี ผู้จัดการเรือและลูกเรือทุกคน ที่ทำให้การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปด้วยดี ราบรื่น และปลอดภัย
จากนั้น น้องติ๊กได้ให้สมาชิกเก่าที่ไม่ได้มาร่วมงานนานแล้ว และสมาชิกใหม่ที่มาร่วมงานกับ sos เป็นครั้งแรก ได้ขึ้นมากล่าวแสดงความรู้สึกส่วนตัว ในการที่ได้มาร่วมโครงการนี้ ซึ่งแต่ละคนก็พูดได้ดีและน่าแระทับใจมาก
จบด้วยสายชลกล่าวปิดงาน ด้วยการขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกท่านทุกฝ่ายที่ทำให้การปฏิบัติงานครั้งนี้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ทุกประการ การปฏิบัติงานในครั้งนี้ เหมือนได้มาทำบุญ (เพื่อทะเลและสิ่งแวดล้อม)ด้วยกัน จึงขอให้ผลบุญนั้นนำพาให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง รำ่รวยเงินทอง และเดินทางกลับภูมิลำเนาของแต่ละท่านด้วยความปลอดภัย
จากนั้น มีการถ่ายภาพหมู่ของสมาชิกอาสาสมัครร่วมกัน บนดาดฟ้าเรือวีนัส
โครงการเก็บขยะ/ตัดอวนที่โลซินของ SOS ครั้งนี้เกิดขึ้นได้ และประสบความสำเร็จด้วยดี เป็นเพราะได้รับความร่วมมือ และการสนับสนุน จากบุคคลดังต่อไปนี้
1. น้องนี และสต๊าฟของเรือ Venus Marina ทุกคน ที่ให้บริการกับสมาชิก SOS อย่างเต็มความสามารถ
2. น้องพร นักวิจัย ม.รามฯ น้องโดม นักวิชาการ กรมอุทยานฯ และน้องปาล์มจากเลตรังไดฟ์วิ่ง ที่ได้สละเวลามาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ให้สมาชิกได้รับทราบ
3. ขอบคุณน้องก้อยสำหรับภาพถ่าย และข้อมูลของไดฟ์ไซด์ที่สองสายไม่ได้ลงดำน้ำทำงานด้วย
4. สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณและยกความดีความชอบให้กับสมาชิก SOS และนักวิชาการที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 21 คน ที่เสียสละทุนทรัพย์ เวลา และหยาดเหงื่อแรงงานมาร่วมทำงานเพื่อพิทักษ์รักษาทะเลไทยให้อยู่รอด ปลอดภัยไว้ให้ลูกหลาน
หวังว่าจะได้พบกันอีกในทริปต่อๆไป
ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่ะ .....
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.