View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2566
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป
บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นมีกำลังอ่อนลงแต่ยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกบางในตอนเช้า สำหรับภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และหนาวเย็นไว้ด้วย รวมถึงระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่เกิดจากสภาพอากาศแห้งในระยะนี้
สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุม อ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้อ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 8 มกราคม 2566 รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6-8 มกราคม 2566 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงใกล้เกาะบอร์เนียวบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ปลายแหลมญวณ ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-15 กม./ชม.
คาดหมาย
ในช่วงวันที่ 5 - 8 ม.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะลจีนใต้ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ทำให้ประเทศไทยมีอุณหภูมิลดลง 1 - 3 องศาเซลเซียส ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมบริเวณอ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ในขณะที่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณเกาะบอร์เนียวจะเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนล่าง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งเกิดขึ้นได้ ส่วนภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร
หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 9 ? 10 ม.ค. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง
ข้อควรระวัง
ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงระวังอันตรายการสัญจร ในบริเวณที่มีหมอก สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ในช่วงวันที่ 5 ? 8 ม.ค. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งไว้ด้วย ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกให้ระวังคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย
******************************************************************************************************
ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณภาคใต้ และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย ฉบับที่ 2 (2/2566) ( มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5-8 มกราคม 2566 )
ในช่วงวันที่ 5-8 มกราคม 2566 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ปลายแหลมญวณ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำ ให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย
สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Forecast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Forecast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Sat1.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Sat1.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
น่าเอ็นดู! นักท่องเที่ยวดำน้ำเกาะคลุ้มเจอ 'พี่จุด' ฉลามวาฬอวดโฉมข้างเรือ
หาดูได้ยากอย่างยิ่ง.. นักท่องเที่ยวดำน้ำเกาะคลุ้ม โชคดีเจอ "พี่จุด" ฉลามวาฬโผล่ต้อนรับ ว่ายน้ำอวดโฉมข้างเรือตื่นตาตื่นใจ
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Dailynews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Dailynews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับเรื่องสุดประทับใจจาก นายดนัย อึ้งโล้ ไต้ก๋งเรือนำเที่ยวของบริษัท มิสเตอร์ ไข่ ทัวร์ ขณะกำลังนำนักท่องเที่ยว 15 คน เตรียมลงดำน้ำชมความงามใต้ท้องทะเลที่หลังเกาะคลุ้ม อ.เกาะช้าง จ.ตราด ก่อนจะพบฉลามวาฬว่ายขึ้นมาผิวน้ำ อวดโฉมอยู่ข้างเรือ เป็นภาพที่หาดูได้ยากอย่างยิ่ง
นายดนัย เล่าถึงวินาทีที่พบฉลามวาฬยักษ์ตัวนี้ว่า วันนี้เวลาประมาณ 12.00 น. ตนได้ขับเรือพานักท่องเที่ยวออกไปบริเวณหลังเกาะคลุ้ม หมู่เกาะช้าง ขณะกำลังจอดเรือและเตรียมอุปกรณ์ดำน้ำตื้นให้นักท่องเที่ยว ฉลามวาฬตัวยักษ์ ขนาดประมาณ 4 เมตร ได้ว่ายขึ้นมาผิวน้ำบริเวณข้างลำเรือ จากนั้นตนจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้ ซึ่งนับว่าโชคดีมาก เพราะฉลามวาฬมักจะมาปรากฏตัวให้เห็นไม่บ่อยนัก หลังจากว่ายอยู่ประมาณ 10 นาที ฉลามวาฬตัวดังกล่าวก็ว่ายหายไป
สำหรับเกาะคลุ้ม ตั้งอยู่หลังเกาะช้าง มีทัศนียภาพแปลกตา คือ หินลูกบาตรและหินลาดหลังคุ้ม เหมาะแก่การตกปลา ดำน้ำตื้น ส่วนปลาฉลามวาฬนั้น เป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนกับปลาทั่วไป คือมีอุณหภูมิร่างกายใกล้เคียงกับอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่ และฉลามวาฬยังได้จัดอันดับให้เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มที่มีขนาดความยาวประมาณ 12.5 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 21.5 ตัน ปัจจุบันสถานภาพปรับให้ฉลามวาฬ ซึ่งมีสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และได้ขยับเป็นใกล้สูญพันธุ์แล้ว
https://www.dailynews.co.th/news/1859882/
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
รู้แล้วเรือใบทับปะการังเป็นของต่างชาติ เจ้าหน้าที่เตรียมแจ้งความดำเนินคดี
กระบี่ - รู้แล้ว! เรือใบจอดทับปะการังเป็นของต่างชาติ ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานเตรียมแจ้งความดำเนินคดี ประสานเจ้าของเข้าพบเจ้าหน้าที่แล้ว
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
วันนี้ (4 ม.ค.) จากกรณีมีการแชร์ภาพเรือใบทับปะการังได้รับความเสียหาย และมีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เข้าไปจัดการ ล่าสุด เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ดำน้ำสำรวจความเสียหายของแนวปะการัง บริเวณเกาะยาวาซำ แหล่งดำน้ำดูปะการัง ใกล้กับเกาะปอดะ ทะเลแหวก ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ หลังจากเพจ เฟซบุ๊กขยะมรสุม ได้นำภาพเรือใบจอดทับปะการังบริเวณดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 ม.ค.โพสต์ลงโซเชียล
จากการตรวจสอบ พบว่า แนวปะการังได้รับความเสียหายเป็นแนวยาว ส่วนใหญ่เป็นปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเล จากนั้นนำข้อมูลให้นักวิชาการประเมินค่าความเสียหาย รวบรวมหลักฐาน ภาพถ่าย แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ต่อไป พร้อมประสานเจ้าหน้าที่เจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ ตรวจสอบเรือใบส่วนตัว รหัส 4139T Catspaw ลำที่จอดทับแนวปะการัง พร้อมลาดตระเวนตามหาแต่ไม่พบเรือลำดังกล่าว
เบื้องต้น ทราบว่าเป็นเรือใบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จอดประจำอยู่ที่ท่าเรือโบํทลากูน ต.คลองเขม้า อ.เหนือคลอง ขณะนี้ ประสานเจ้าของเรือให้มาพบเจ้าหน้าที่แล้ว
นายฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เผยว่า กำลังประสานกับทางเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ เพื่อเร่งตรวจสอบว่าเรือใบลำดังกล่าว จดทะเบียนที่ไหน ใครเป็นผู้ครอบครอง เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีเอาผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ ส่วนของเรือนำเที่ยวที่ฝ่าฝืนแนวทุ่นจะติดตามเจ้าของเรือมาทำการเปรียบเทียบปรับทุกราย รายละ 5,000 บาท เพราะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ เช่นกัน
พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่เพิ่มความถี่การลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทำความผิด พ.ร.บ.ทุกกรณี พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งให้ผู้ประกอบการนำเที่ยว ให้ปฏิบัติตามระเบียบอุทยานอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ขณะที่นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยกันดูแลความปลอดภัยของนักท่อวเที่ยว และทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พื้นที่แนวปะการัง สัตว์น้ำทะเลที่สวยงาม แนวชายหาด เกาะต่างๆ และเรือที่นำนักท่องเที่ยวเข้ามา รวมถึงเรือยอชต์ ต้องมีการตรวจตรา และเพิ่มความถี่ในการออกตรวจการณ์ลาดตระเวนตามจุดต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวไป ต้องเข้มงวดและปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ อย่างเคร่งครัด เพื่อดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลายและเกิดความเสียหายจากนักท่องเที่ยว หรือผู้ประกอบการ พร้อมทั้งกำชับไกด์นำเที่ยวต้องมีใบอนุญาตถูกต้อง และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวก่อนลงเล่นน้ำ หากมีผู้ฝ่าฝืนให้เอาผิดและดำเนินคดีตามกฎหมาย พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติต่อไป
ด้านนายมานะ นวลหวาน ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขากระบี่ กล่าวว่า ตามที่เป็นข่าวได้มีเรือใบของนักท่องเที่ยวจอดทับปะการังได้รับความเสียหายบริเวณเกาะยาวาซำ เขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมือง จ.กระบี่ โดยตามภาพเป็นเรือใบ หรือยอชต์ ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการแจ้งเข้าแจ้งออกประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไหร่ และปัจจุบันจอดอยู่ที่ไหน ซึ่งในระบบของเจ้าท่าไม่พบข้อมูลของเรือลำดังกล่าว ซึ่งจะได้ตรวจสอบในสารบบอื่นต่อไป และหากตรวจพบและพบว่าเรือดังกล่าวได้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การเดินเรือ จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปด้วย
https://mgronline.com/south/detail/9660000000854
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.
เฮต้อนรับปีกระต่าย! แม่เต่ามะเฟือง วางไข่ 131 ฟอง
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_MCOT_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_MCOT_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
วันที่ 3 มกราคม 2566 เวลา 02:50 น. สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 โดยส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา) ได้รับแจ้งจากนายนพรัตน์ ว่องไวย ราษฎรตำบลนาเตย อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ว่าพบการขึ้นมาวางไข่ของเต่ามะเฟืองที่ชายหาดนาเกลือ ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา พิกัด 421033 E 908019 N (ห่างจากคอกกั้นฟักไข่เต่ามะเฟืองของศูนย์เฝ้าระวังฯ ไปทางทิศเหนือประมาณ 670 เมตร)
จึงเข้าไปทำการตรวจสอบ พบว่าเต่ามะเฟืองได้วางไข่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างฝังกลบไข่ แล้วทำหลุมหลอก จากนั้นจึงเดินลงสู่ทะเล เจ้าหน้าที่ทำการวัดร่องรอยขนาดพายหน้าจากซ้ายไปขวา 220 ซม. ขนาดอก 110 ซม. ร่วมกันขุดค้นหาจนพบไข่เต่ามะเฟืองที่ระดับความลึก 72 ซม. ขนาดของไข่ 5.3 ซม. จึงแจ้งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบนเพื่อประสานการปฏิบัติ ตรวจสอบพื้นที่ของหลุมวางไข่แล้วปรากฎว่าอยู่ในแนวที่น้ำทะเลท่วมถึง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไข่เต่ามะเฟือง จึงได้ทำการเคลื่อนย้ายพร้อมทั้งตรวจนับไข่เต่ามะเฟืองได้ทั้งสิ้น 131 ฟอง(ไข่ดี 116 ฟอง และไข่ลม 15 ฟอง) นำไปขุดหลุมฟักไข่ใหม่ในพื้นที่คอกกั้นฟักไข่เต่ามะเฟือง ของศูนย์เฝ้าระวังฯ เพื่อเฝ้าระวังดูแล พิทักษ์ ให้ลูกเต่ามะเฟืองได้ฟักและเดินลงสู่ทะเลได้อย่างปลอดภัยต่อไป
https://www.mcot.net/view/UjMF14s2
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เร่งเอาผิด "นักท่องเที่ยว" จอดเรือใบทับปะการังเกาะยาวาซำ
อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ รวบรวมหลักฐานแจ้งความดำเนินคดีเรือใบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หลังจอดเรือทับแนวปะการัง เกาะยาวาซำ ใกล้กับเกาะปอดะ สำรวจพบแนวปะการังเสียหายเป็นแนวยาว โดยเฉพาะปะการังเขากวาง-ดอกไม้ทะเล
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_TPBS_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_TPBS_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
ความคืบหน้ากรณีเพจเฟซบุ๊กขยะมรสุม โพสต์ภาพเรือใบจอดทับปะการังบริเวณเกาะยาวาซำ แหล่งดำน้ำดูปะการังใกล้กับเกาะปอดะ-ทะเลแหวก ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา
วันนี้ (4 ม.ค.2566) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีพบท้องเรือใบจอดอยู่กลางทะเลครูดทับอยู่บนหินปะการังใต้ทะเลจนเกิดความเสียหาย บริเวณเกาะยาวาซำ จ.กระบี่ ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเร่งติดตามเรือดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะจากการตรวจสอบพบปะการังเสียหายและแตกหักเสียหายอย่างมาก จึงไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้
ทั้งนี้ ช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศไทย ได้เน้นย้ำทุกอุทยานแห่งชาติต้องช่วยกันดูแลและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดี ไม่เน้นที่รายได้ แต่เน้นหลังปิดฤดูกาลท่องเที่ยวแล้วจะดูแลความสมบูรณ์ของธรรมชาติได้มากน้อยเพียงใด จึงให้แต่ละอุทยานแห่งชาติต้องประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวให้ดี เกี่ยวกับกฎระเบียบการเยี่ยมชมธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติต้องไม่ทำลายทรัพยากรจนเสียหายในระดับที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะธรรมชาติต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวนานกว่า 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น
ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ดำน้ำสำรวจความเสียหายตามแนวปะการัง จากการตรวจสอบพบว่าแนวปะการังได้รับความเสียหายเป็นแนวยาว ส่วนใหญ่เป็นปะการังเขากวางและดอกไม้ทะเล จากนั้นได้นำข้อมูลส่งให้นักวิชาการ ประเมินค่าเสียหาย ก่อนจะรวบรวมหลักฐาน แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ประสานกับเจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ ให้ตรวจสอบเรือใบส่วนตัวลำดังกล่าว รวมถึงลาดตระเวนตามหา แต่ไม่พบ ทราบเพียงว่าเป็นเรือใบของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จอดประจำอยู่ที่ท่าเรือโบ๊ทลากูน ต.คลองเขม้า อ.เหนือคลอง
นายฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี กล่าวว่า อยู่ระหว่างประสานเจ้าท่าเพื่อเร่งตรวจสอบเรือใบลำดังกล่าวว่าจดทะเบียนที่ใดและใครเป็นผู้ครอบครอง เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ
ส่วนของเรือนำเที่ยวที่ฝ่าฝืนแนวทุ่นจะติดตามเจ้าของเรือมาทำการเปรียบเทียบปรับทุกราย รายละ 5,000 บาท เพราะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ เช่นกัน พร้อมกำซับเจ้าหน้าที่เพิ่มความถี่ ในการลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทำความผิด
https://www.thaipbs.or.th/news/content/323219
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
พบกิจกรรมดำน้ำท่องเที่ยว "Freediving" ทำลายแนวปะการังพีพี-ลันตา
อุทยานฯ พีพี สั่งตรวจสอบพื้นที่เสียหาย-ตามหาเจ้าของเรือเพื่อปรับ
https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Greennews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/660105_Greennews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
อุทยานแห่งชาติเกาะลันตายอมรับยังไม่มีมาตรการจัดการ เตรียมชงหารือที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชชาติหมู่เกาะลันตาเดือนหน้า (ก.พ. 2566)
พบความเสียหาย-อุทยานฯ พีพี ตามหาเจ้าของเรือ
สืบเนื่องจากการเปิดเผยของ เพจเฟสบุ๊ก ขยะมรสุม เมื่อ 2 ม.ค 2566 ที่ผ่านมา ว่าพบภาพแนวประการังเสียหายจากการจอดเรือใบนักท่องเที่ยว และเรือนำเที่ยวเข้าจอดในแนวทุ่นเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี บริเวณเกาะยาวาสัม ต.อ่าวนาง จ.กระบี่ รวมถึงภาพของนักท่องเที่ยวที่ทำกิจกรรมทางน้ำฟรีไดฟ์ (Freediving) เหยียบปะการังบางส่วนแตกหักเสียหาย
ล่าสุด ฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี สั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพิกัดที่เกิดเหตุ บริเวณใกล้กับเกาะยาวาซำ พบความเสียหายในแนวปะการัง มีร่องรอยปะการังแตกหัก จึงได้ทำบันทึกการตรวจสอบไว้และลงบันทึกประจำวันที่ สภ.อ่าวนาง
"ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานเจ้าท่าเพื่อเร่งตรวจสอบเรือใบลำดังกล่าวว่าจดทะเบียนที่ใด และใครเป็นผู้ครอบครอง เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ พ.ศ.2504
ในส่วนของเรือนำเที่ยวที่ฝ่าฝืนแนวทุ่นจะติดตามเจ้าของเรือมาทำการเปรียบเทียบ ปรับทุกราย รายละ 5,000 บาท เพราะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานฯ เช่นกัน พร้อมกำซับเจ้าหน้าที่เพิ่มความถี่ ในการลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทำความผิด
เบื้องต้นตรวจสอบแล้วพบว่าเรือใบลำในภาพเป็นเรือที่มาจากพื้นที่ จ.ภูเก็ต แต่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของ ส่วนความเสียหายของแนวปะการัง จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจในเบื้องต้น และประสานให้ผู้ชำนาญการมาดูรายละเอียดความเสียหายอีกครั้ง" ฑีฆาวุฒิเปิดเผย
อุทยานฯ ลันตายอมรับ "ยังไม่มีมาตรการ"
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาออกประกาศวันนี้ (4 ม.ค.2566) ระบุว่า กิจกรรมฟรีไดฟ์ (Freediving) นั้นกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันและอุทยานยังไม่มีมาตรการจัดการที่เหมาะสมรองรับ และจะนำเรื่องนี้เข้าหารือที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชชาติหมู่เกาะลันตาเดือนหน้า (ก.พ. 2565)
"เนื่องด้วยในปัจจุบันอุทยานฯ ยังไม่มีการจัดการระบบ และพื้นที่ ที่เหมาะสมกับการดำเนินกิจกรรมดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลกระทบด้านความปลอดภัยและทรัพยากรทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามมา
โดยทางอทุยานฯ จะเร่งดำเนินการหารือกับคณะที่ปรึกษาอุทยานฯ ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ เพื่อให้กิจกรรม ฟรีไดฟ์ มีการบริหารจัดการที่เป็ระบบ ปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวลดล้อม" ประกาศระบุ
ซึ่งหนึ่งในภาวะคุกคามประการัง คือการ การท่องเที่ยวในแนวปะการัง ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายจากการท่องเที่ยวประเภทดำที่ผิวน้ำ (skin diving) โดยมีการยืนหรือเดินเหยียบปะการังจนแตกหักเสียหาย และจากการท่องเที่ยวแบบดำน้ำลึก (scuba diving) ซึ่งนักดำน้ำอาจไม่ระมัดระวัง จนตีนกบกระแทกปะการังแตกหักเสียหาย
มีโทษ หากปะการังเสียหาย
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระบุไว้ว่า
หากนักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมที่ทำให้ปะการังเสียหาย มีการจับและสัมผัสปะการัง "การกระทำเหล่านั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรปะการัง มีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ตามมาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดล่า หรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 4 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
และยังอาจมีความผิดตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 มาตรา 56 มิให้ผู้ใดจับสัตว์น้ำในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้ำ ตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจำจังหวัด โดยอนุมัติรัฐมนตรีประกาศกำหนด
ผู้ใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับ ตั้งแต่ 5,000 ? 50,000 บาท หรือปรับจำนวน 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
จับตา Freediving
รายงานข่าวเปิดเผยว่า กิจกรรมดำน้ำ Freediving ถูกจับตาด้วยเพราะกำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวททางทะเลหลายพื้นที่รวมถึงหมู่เกาะพีพี หมู่เกาะลันตา
ฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เผยว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉลี่ยวันละกว่า 5,400 คน
"ในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างเป็นอย่างมาก หลังจากการระบาดของโรค Covid-19
ทำให้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2566 มีเรือนำเที่ยว จำนวนมากนำนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว ทำให้การจราจรทางน้ำคึกคัก เจ้าหน้าที่ต้องจัดระเบียบ การเข้าเทียบท่าเรือทางเข้าอ่าวมาหยา" ฑีฆาวุฒิ กล่าว
อะหมาน หมัดอะดัม ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท) สำนักงานกระบี่ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 65 ถึงวันที่ 2 มกราคม 66 มี นักท่องเที่ยว จองห้องพัก ตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น อ่าวนาง อ่าวไร่เลย์ คลองม่วง เกาะพีพี เกาะลันตา รวม จำนวน 62,927 คน สร้างรายได้ จำนวน 908.73 ล้านบาท
https://greennews.agency/?p=32368
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.