PDA

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566


สายน้ำ
15-11-2023, 02:28
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงอีกเล็กน้อย โดยภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากโดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย ส่วนอ่าวไทยตอนบนทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือ ในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 16?19 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง โดยมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 5-7 องศาเซลเซียส ภาคเหนืออุณหภูมิจะลดลง 4?6 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 2?4 องศาเซลเซียส


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง
อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 14 ? 15 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งเกิดขึ้นได้ สำหรับภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร


ส่วนในช่วงวันที่ 16 ? 20 พ.ย. 66 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 5 - 7 องศาเซลเซียส ภาคเหนืออุณหภูมิจะลดลง 4 ? 6 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 2 ? 4 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 - 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16 ? 19 พ.ย. 66 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น และลมแรง สำหรับเกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย ส่วนประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง ส่วนเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17 - 19 พ.ย. 66 นี้ไว้ด้วย



******************************************************************************************************



ประกาศเริ่มต้นฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2566

ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้วในวันนี้ (14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566) โดยอุณหภูมิต่ำสุดบริเวณประเทศไทยตอนบนจะลดลงต่ำกว่า 23 องศาเซลเซียส ซึ่งอยู่ในเกณฑ์อากาศเย็นในหลายพื้นที่ และทิศทางลมที่พัดปกคลุมบริเวณประเทศไทยที่ระดับความสูง 100 เมตร ถึงความสูง 3,500 เมตร เปลี่ยนเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือหรือลมตะวันออก ส่วนลมระดับบนที่ความสูงตั้งแต่ 5,000 เมตรขึ้นไป เปลี่ยนเป็นลมฝ่ายตะวันตก อย่างไรก็ตามช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวปีนี้ บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีฝนตกเล็กน้อยในบางช่วง ส่วนบริเวณภาคใต้จะมีฝนตกชุกหนาแน่นต่อไป


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Sat.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

สายน้ำ
15-11-2023, 03:14
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


วาฬสีน้ำเงินในไทย ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเล สัตว์ป่าสงวนที่ใกล้สูญพันธ์ุ

ข่าวดีสำหรับคนรักสัตว์ ล่าสุดวันที่ 13 พ.ย. 2566 มีรายงานว่าพบวาฬสีน้ำเงินในไทยแถวหมู่เกาะสุรินทร์ หลังจากที่เคยพบล่าสุดเมื่อ 6 ปีก่อน แถวทะเลพังงา

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


รู้จักวาฬสีน้ำเงิน ยักษ์ใหญ่แห่งท้องทะเล

วาฬสีน้ำเงิน (Blue whale) จัดว่าเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยทั่วไปจะมีขนาดยาวประมาณ 30-34 เมตร ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมีความยาวถึง 60 เมตร ซึ่งเทียบได้กับความยาวของช้างในปัจจุบันจำนวนแปดเชือกมาต่อกันเรียงแถว น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 100-200 ตัน ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ลูกแรกเกิดมีขนาดยาว 7-8 เมตร อายุยืน 80-90 ปี

ลูกวาฬสีน้ำเงินหย่านมเมื่ออายุ 8 เดือน วัยเจริญพันธุ์อายุ 8-10 ปี ตัวเมียมีวงรอบการตกลูกทุก 2-3 ปี ในฤดูหนาว ตั้งท้องนาน 10-12 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว

นอกจากขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว วาฬสีน้ำเงินยังมีลักษณะเด่นที่น่าสนใจคือส่วนหัวมีสีน้ำเงินสม่ำเสมอ ลำตัวด้านหลังมีสีน้ำเงินอมเทา ส่วนท้องสีจางกว่าเล็กน้อย ด้านหลังและด้านข้างมีลายสีน้ำเงิน หรือเทาอ่อน มีลักษณะเป็นดวงๆ เหมือนรอยด่าง ลำตัวเพรียวยาว ส่วนหัวกว้างคล้ายตัวยู (U-shaped) เมื่อมองจากด้านบน

มีสันกลางหัว 1 สัน มีช่องหายใจขนาดใหญ่ 2 รู มีซี่กรอง 260-400 คู่ แต่ละซี่ยาวประมาณ 100 เซนติเมตร ลักษณะของซี่กรองค่อนข้างหยาบ มีร่องใต้คาง 60-88 ร่อง ยาวเกือบถึงสะดือ ครีบหลังมีขนาดเล็กอาจมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม หรือลาดเอียง ปลายครีบแหลม หรือกลมมน ฐานครีบหลังตั้งอยู่ค่อนไปทางหาง คอดหางหนา ครีบข้างเพรียวยาว ปลายครีบแหลม และมีสีอ่อนกว่าส่วนอื่นของครีบ มีความยาวได้ถึงร้อยละ 15 ของความยาวลำตัว ครีบหางกว้างประมาณ 1 ส่วน 4 ของความยาวลำตัว มีร่องกึ่งกลางระหว่างแพนหาง


ขนาดของวาฬสีน้ำเงินเมื่อเทียบกับสัตว์ขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆ

อาหารของวาฬสีน้ำเงินคือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก เช่น เคยสายพันธุ์ต่างๆ (Krill) วิธีการกินอาหารโดยการอ้าปากขยายร่องใต้คางให้ใหญ่ขึ้น และพุ่งเข้าหาเหยื่อโดยมักจะตะแคงตัว หรือหงายท้อง โดยกินอาหารทั้งผิวน้ำ และที่ระดับความลึกถึง 300 เมตร สามารถดำน้ำได้นานถึง 36 นาที ว่ายน้ำ 3-6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถว่ายน้ำได้เร็วถึง 7-20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อมีสิ่งรบกวน วาฬสีน้ำเงินใช้เสียงในการส่งสัญญาณสื่อสารกันในระยะทางไกล เป็นเสียงแบบอินฟราโซนิก (Infra Sonic) 17-20 เฮิร์ตซ์ ซึ่งต่ำเกินไปสำหรับมนุษย์ที่จะได้ยิน วาฬสีน้ำเงินจะโผล่ส่วนหัว และช่องหายใจเหนือผิวน้ำมากกว่าวาฬชนิดอื่นๆ


การพบวาฬสีน้ำเงินในไทย

ถิ่นอาศัยของวาฬสีน้ำเงินจะอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้, แอตแลนติก และมหาสมุทรอินเดีย รวมถึงในมหาสมุทรแอนตาร์กติกด้วย

สำหรับประเทศไทยที่ผ่านมาเคยมีรายงานว่าพบวาฬสีน้ำเงินในทะเลไทยเพียง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นบริเวณฝั่งทะเลอันดามันทั้งหมด พบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2550 ที่หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ต่อมาพบเข้ามาเกยตื้นที่เกาะลิบง จ.ตรัง เมื่อปี พ.ศ.2556 ครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ.2560 พบที่หมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา

พบล่าสุดครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 13 พฤศิจิกายน พ.ศ.2566 ได้มีรายงานว่าพบวาฬสีน้ำเงินที่บริเวณทะเลหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ซึ่งเป็นที่ตื่นเต้นในหมู่คนรักสัตว์และวาฬเป็นอย่างมาก กับการพบวาฬสีน้ำเงินในครั้งนี้

วาฬสีน้ำเงิน เป็นสัตว์ทะเลหายาก และใกล้สูญพันธุ์ ที่ได้รับความสำคัญจากนานาประเทศ เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นระยะไกล จึงมีแหล่งอาศัยในพื้นที่ทางทะเลระหว่างประเทศ จัดเป็นทรัพยากรร่วมกันของภูมิภาคและระดับโลก ประชากรปลาวาฬสีน้ำเงินโตเต็มวัยทั่วโลกมีอยู่ประมาณ 5,000-15,000 ตัว

เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ.กำหนดให้ "วาฬสีน้ำเงิน" เป็นสัตว์ป่าสงวน จากเดิมเป็นสัตว์ป่าควบคุม อนุรักษ์เข้มงวดไม่ให้สูญพันธุ์

เนื่องจากในอดีต วาฬสีน้ำเงิน มักถูกล่าจับเป็นจำนวนมากเพื่อนำเนื้อและไขมันมาใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และประมงพื้นบ้าน ขณะที่แหล่งอาหารที่ลดลงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความเป็นกรดในทะเล ส่งผลต่อการสืบพันธุ์ จึงเป็นที่มาของการเสนอเป็นสัตว์ป่าสงวนในครั้งนี้.

ข้อมูลอ้างอิง : กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2740533

สายน้ำ
15-11-2023, 03:20
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


คลื่นใหญ่หอบซัดหอยกะพงเกยหาดนับ 100 เมตร ชาวบ้านเมืองคอนเฮเก็บกิน-ขาย

นครศรีธรรมราช - หลังจากเกิดฝนตกหนักติดต่อกันมา 3-4 วัน และมีคลื่นลมแรง ทำให้คลื่นใหญ่หอบซัดหอยกะพงเกยหาดโคกตะเคียน ต.สระแก้ว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ยาวนับ 100 เมตร ชาวบ้านเก็บกิน-ขาย คาดถูกซัดมาจากจุดที่มี "ดอนหอย"

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

วันนี้ (14 พ.ย.) ที่หาดโคกตะเคียน ต.สระแก้ว อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช หลังจากเกิดฝนตกหนักติดต่อกันมา 3-4 วัน และมีคลื่นลมแรง พบว่าคลื่นได้ซัดหอยกะพงที่อยู่ใต้ท้องทะเลขึ้นมาเกยชายหาดเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้เดินทางมาเก็บหอยกะพง ซึ่งถูกซัดมาเกยหาดปริมาณมหาศาลตลอดแนวหาดหลาย 100 เมตร

ชาวบ้านนับ 100 คน พากันมาเก็บหอยที่ถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง แต่ละคนเก็บได้เป็นจำนวนมาก บางคนเก็บได้มากว่า 100 กก. นอกจากนี้มีชาวบ้านจากหลายพื้นที่ในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทราบข่าวถึงปรากฏการณ์นี้ได้พากันเดินทางมาดู และมาเก็บเป็นของติดไม้ติดมือ เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยมาก ในแต่ละปีจะเกิดขึ้นในช่วงมรสุมที่มีคลื่นลมแรง

ชาวบ้านในพื้นที่ที่มาเก็บหอยเล่าว่า ปรากฏการณ์หอยกะพง หรือหอยถูกคลื่นซัดเข้ามาจากท้องทะเล ในพื้นที่ศาลาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในรอบ 15 ปี โดยพบว่าคลื่นใต้น้ำซัดหอยขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น (13 พ.ย.) หอยที่เก็บมานั้นต้องนำไปแช่น้ำทะเลก่อนให้คายทรายออก ก่อนจะนำไปประกอบอาหารและนำไปขายได้ การที่คลื่นซัดขึ้นมาจำนวนมากเช่นนี้เข้าใจว่า คลื่นลมได้รุนแรงในจุดที่มี ?ดอนหอย? หรือแหล่งที่มีหอยอุดมสมบูรณ์ คลื่นซัดจนหลุดจากที่ยึดเกาะจนถูกคลื่นหอบมาเกยหาด

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการ์ณนี้สร้างความตื่นเต้นให้ชาวบ้านเป็นอย่างมาก ปรากฏการณ์หอยที่ถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งจำนวนมหาศาลในครั้งนี้ยังไม่มีใครระบุว่ามาจากสาเหตุใด แต่เบื้องต้นมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าอาจจะมาจากระบบนิเวศที่ได้รับผลกระทบจากการนำเครื่องมือประมงผิดกฎหมายมาคราดหาหอยแครงในท้องทะเล ทำให้แนวดอนหอยเสียหายขาดการยึดเกาะที่มั่นคง เมื่อเกิดคลื่นลมแรงทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น


https://mgronline.com/south/detail/9660000102360


******************************************************************************************************


วาฬสีน้ำเงิน พี่ใหญ่มาเยือนทะเลไทยฝั่งอันดามัน เป็นครั้งที่ 4 แถวหมู่เกาะสุรินทร์

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

วานนี้ (13 พ.ย.2566) เพจเฟซบุ๊ค ThaiWhales โพสต์คลิปสั้นๆ และข้อความว่า มีพี่ใหญ่ Blue whale หรือ วาฬสีน้ำเงิน มาเยือนหมู่เกาะสุรินทร์ ฝั่งอันดามัน และเดือนที่แล้วก็มี Omura?s whales ทางแอดมินบอกว่านำคลิปมาจากน้องสายป่าน- อภิญญา สกุลเจริญสุข Apinya นักแสดงและครูสอน Freedive และคุณกฤษดา ราหมัน ไกด์บนเรือ ที่พบวาฬ

แจ้งว่าได้ส่งข่าวให้เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.)แล้ว ทั้งผชช. หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก อันดามันทั้ง 2 และสัตวแพทย์ ทช.?อยากไปเก็บข้อมูลกันมากเลย ? อยากจะรู้เหมือนกันว่า ปีนี้กระแสน้ำเป็นยังไง หรืออะไรที่มีผลต่อการมีวาฬหายากๆ แวะเข้ามาอันดามันหลายตัวมั๊ย ก่อนหน้านี้ก็พบ omura?s ที่พบน่าจะมากกว่า 3 ตัวเลยค่ะ?

จากฐานข้อมูลข่าว กรมทช. ระบุว่า ในทะเลไทยเคยพบวาฬสีน้ำเงินเพียง 3 ครั้ง พบเห็นบริเวณฝั่งทะเลอันดามันทั้งหมด โดยพบครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2550 ที่หมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา ต่อมาพบเข้ามาเกยตื้นที่เกาะลิบง จ.ตรัง เมื่อปี พ.ศ. 2556 ล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2560 พบที่หมู่เกาะสิมิลัน จ. พังงา ดังนั้น การพบครั้งนี้จึงเป็นครั้งที่ 4

จากการพบวาฬสีน้ำเงินในทะเลอันดามันส่วนใหญ่จะเกิดจากการอพยพย้ายถิ่นตามแหล่งอาหารที่มีความอุดมสมบูรณ์ วนไปเรื่อยๆ โดยอาหารหลักของวาฬสีน้ำเงินจะเป็น กุ้งเคยและแพลงก์ตอน แต่ก็อาจจะกินสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น ปลาขนาดเล็กเข้าไปด้วย ซึ่งจะมีอัตราการกินอาหารอยู่ที่ 2-5% ของน้ำหนักตัว บางส่วนก็อพยพเพื่อหาพื้นที่ในการออกลูกและเลี้ยงดู โดยแต่ละกลุ่มก็จะมีประมาณ 2-5 ตัว แต่ส่วนใหญ่จะพบครั้งละตัว เนื่องจากวาฬสีน้ำเงินสามารถดำน้ำลงไปหาอาหารได้ลึกถึง 100 เมตร และอยู่ใต้น้ำได้ครั้งละ 20-40 นาที

ทั้งนี้ "วาฬสีน้ำเงิน" ถือเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อโตเต็มที่จะมีความยาวประมาณ 26-29 เมตร น้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 100-200 ตัน แต่ที่ใหญ่ที่สุดจากสถิติเท่าที่มีการบันทึก ความยาวจะอยู่ที่ 31.2 เมตร เฉพาะลิ้นก็มีน้ำหนักเกือบเท่าช้างหนึ่งตัว หัวใจมีขนาดเท่ารถยนต์คันหนึ่ง และเส้นเลือดบางเส้นกว้างขนาดที่มนุษย์พอจะลงไปว่ายน้ำได้ และครีบหางก็มีขนาดกว้างกว่าปีกของเครื่องบินโดยสารขนาดเล็ก จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน มีปริมาณวาฬสีน้ำเงินในซีกโลกใต้อยู่ประมาณ 1,350 ตัว อีกทั้งมีหลักฐานว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ต่อปี แต่ยังไม่มีการประมาณจำนวนวาฬชนิดนี้ที่ดีพอในบริเวณอื่นของโลก

สำหรับสถานภาพวาฬสีน้ำเงิน พ.ศ. 2561 IUCN Red List กำหนดสถานภาพให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ (Endangered Species, EN) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเสนอเป็นสัตว์ป่าสงวน เพื่อเข้าบรรจุตามกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 (มาตรา6)


https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9660000102227


******************************************************************************************************


แฉกองเรือประมงเวียดนามนับ 100 ลำบุกยึดอ่าวนครศรีฯ ทำประมงเสรีนานนับเดือน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

นครศรีธรรมราช - แฉกองเรือประมงพาณิชย์เวียดนามนับ 100 ลำ ยึดหน้าอ่าวนครศรีธรรมราช ทำประมงได้อย่างเสรีต่อเนื่องนานนับเดือนแล้ว เรือประมงไทยเผยแจ้งกองทัพเรือแล้วยังเฉย

ภาพจากเรือประมงพาณิชย์ชาวนครศรีธรรมราช ลำหนึ่งได้บันทึกไว้เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อกลับเข้าฝั่งได้นำภาพนี้มาเปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ประมงพาณิชย์หน้าอ่าวนครศรีธรรมราช ว่ากำลังอยู่ในภาวะวิกฤตจากการรุกล้ำของกองเรือประมงเวียดนามนับ 100 ลำ เข้ามาทำประมงได้อย่างเสรี และต่อเนื่องมานานนับเดือนแล้ว โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยเข้าตรวจสอบ หรือเข้าเฝ้าระวังแนวน่านน้ำของประเทศไทย

ไต๋เรือประมงพาณิชย์ ผู้บันทึกภาพนี้ซึ่งไม่ขอเปิดเผยตัวเอง เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา อ่าวไทยบริเวณแนวเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ไปจนถึงเกาะกระ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ระยะใกล้ฝั่งมาก ห่างจากชายฝั่งนครศรีธรรมราชประมาณ 20-35 ไมล์ทะเล และชัดเจนว่านี่คือน่านน้ำนครศรีธรรมราช และน่านน้ำประเทศไทยในระยะใกล้ฝั่งมาก ซึ่งได้บันทึกภาพพิกัดที่พบไว้เป็นหลักฐาน จะเต็มไปด้วยกองเรือประมงเวียดนามตามภาพ ทั้งระยะใกล้ ระยะไกล ชาวประมงไทยไม่กล้าทำอะไร เนื่องจากกลัวว่ากองเรือเวียดนามเหล่านี้จะติดอาวุธ

กองเรือเวียดนามทำประมงอยู่นับเดือนแล้ว และยังคงทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็นการใช้ตะแกรงคราดหน้าดินหาสัตว์น้ำจำพวกปลิงทะเล ปลิงบอล ราคาแพงที่มีอยู่ชุกชุมในอ่าวนครศรีธรรมราช ทำลายหน้าดินใต้ทะเลอย่างรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้เรือประมงไทย ก่อให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ประมงซ้ำอีก แจ้งทางการโดยเฉพาะทางกองทัพเรือไปแล้ว แต่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ทั้งๆ ที่เรือของเจ้าหน้าที่ออกจากฝั่งมาถึงแนวทำประมงของกองเรือเวียดนามพวกนี้ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า บางช่วงเวลาเรือประมงพื้นบ้านที่ออกไปทำประมงพาณิชย์ ห่างจากฝั่งประมาณ 5-6 กิโลเมตร เคยพบเรือประมงเวียดนามเหล่านี้เช่นเดียวกัน ทำให้ชาวประมงเกิดความวิตกว่าอาจเกิดกระทบกระทั่งกันกลางทะเล ระหว่างชาวประมงไทยกับชาวประมงเวียดนาม และอาจนำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินได้ หากมีการปล่อยปละละเลยกันเช่นนี้


https://mgronline.com/south/detail/9660000102279

สายน้ำ
15-11-2023, 03:23
ขอบคุณข่าวจาก มติชน


ทร.โต้ ไม่มีเรือประมงเวียดนาม ยึดอ่าวไทย ชี้ เข้าใจคลาดเคลื่อน ทภ.2 ลาดตระเวนต่อเนื่อง

ทร.โต้ ไม่มีเรือประมงเวียดนาม ยึดอ่าวไทย เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน ชี้ ทภ.2 จัดเรือลาดตระเวนเฝ้าระวังต่อเนื่อง ใครรุกน่านน้ำจับทุกราย

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Matichon_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/661115_Matichon_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พล.ร.ต.วีรุดม ม่วงจีน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าว กรณีเรือประมงเวียดนาม เข้ามาทำการประมง ในบริเวณหน้าอ่าวนครศรีธรรมราชเป็นจำนวนมากโดยไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยเข้าไปตรวจสอบหรือเฝ้าระวังตามแนวน่านน้ำนั้นว่า ข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยที่ผ่านมากองทัพเรือโดยทัพเรือภาคที่ 2 ร่วมกับศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 2 ได้จัดเรือและอากาศยาน ทำการลาดตระเวนที่รับผิดชอบอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเฝ้าสังเกตการณ์และติดตามพฤติกรรมของกลุ่มเรือประมง ที่ลักลอบเข้ามาทำการประมงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย ซึ่งหากมีการตรวจพบจะดำเนินการจับกุมตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งได้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง กองทัพเรือ โดยทัพเรือภาคที่ 2 ศูนย์อำนวยการ รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และเครือข่ายเรือประมงไทย ในการแจ้งข้อมูลข่าวสารและเบาะแสต่างๆ

โดยที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ทัพเรือภาคที่ 2 ได้รับแจ้งว่ามีการตรวจพบเรือประมงเวียดนาม ในพื้นที่รับผิดชอบจึงได้จัดส่งเรือหลวงคลองใหญ่ เข้าตรวจสอบแต่ไม่พบว่ามีเรือประมงต่างชาติเข้ามาทำการประมงในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาจะได้รับแจ้งว่าตรวจพบหรือประมงต่างชาติเข้ามาทำการประมงในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทยจำนวน 1-2 ลำเท่านั้น ไม่ได้มีจำนวนเป็นร้อยลำ ดังที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

โดยปัจจุบัน ได้มีการจัดเรือหลวงเทพา และเรือ ต.112 เฝ้าลาดตระเวนอยู่ในพื้นที่บริเวณเกาะกระ จังหวัดนครศรีธรรมราช และเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้ การจับกุมเรือประมงต่างชาติ ที่มีพฤติกรรมเข้ามาทำการประมงบริเวณเขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศไทย ที่ผ่านมาได้มีการจับกุมมาแล้วหลายครั้ง สำหรับในปีงบประมาณ 2566 ทัพเรือภาคที่ 2 ได้จัดเรือและอากาศยานเฝ้าตรวจและสามารถจับกุมเรือประมงเวียดนามจำนวน 3 ครั้ง ประกอบด้วย เรือประมง 3 ลำและลูกเรือจำนวน 15 คน

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้มีการแจ้งเตือนเรือประมงต่างชาติมิให้รุกล้ำเข้ามาทำการประมงในเขตน่านน้ำของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการฝ่าฝืนและลักลอบเข้ามาทำการประมงอยู่บ่อยครั้ง โดยการจับกุมแต่ละครั้ง ทางเจ้าหน้าที่มิได้มีการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด และเป็นการดำเนินการเพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจที่สำคัญของกองทัพเรือ

"การดำเนินการจับกุมเรือประมงต่างชาติข้างต้นนั้น เป็นไปตามนโยบายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ของ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ในฐานะรอง ผอ.ศรชล.ที่ได้มีนโยบายให้ทุกหน่วยงาน มีการบูรณาการร่วมกันในการป้องกันและปรามปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ทรัพยากรทางทะเลไทยมีความอุดมสมบูรณ์ เกิดความมั่นคง ยั่งยืนและสามารถแสวงหาประโยชน์ได้ตลอดไป" โฆษกกองทีพเรือกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพเรือและ ศรชล.จะดำเนินการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางทะเล รวมทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน ในการร่วมกันแก้ปัญหาความเดือดของพี่น้องประชาชน ที่ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจการทะเลต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรม มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป


https://www.matichon.co.th/politics/news_4282680