PDA

View Full Version : สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567


สายน้ำ
25-04-2024, 02:25
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานานไว้ด้วย

ในขณะที่มีแนวสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อน โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับลมตะวันตกเฉียงเหนือและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย

ฝุ่นละอองในระยะนี้: ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง มีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงค่อนข้างสูง เนื่องจากลมที่พัดปกคลุมมีกำลังอ่อน และการระบายอากาศในบริเวณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ดี


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางแห่ง
โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 28-30 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาเซลเซียส
ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 24 ? 25 เม.ย. 67 มีแนวสอบของลมตะวันตกเฉียงใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่

ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 30 เม.ย. 67 ลมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ประเทศไทย และทะเลอันดามัน ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนอง กับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางพื้นที่


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ตลอดช่วง

ส่วนในช่วงวันที่ 24 ? 25 เม.ย. 67 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Forcast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Forcast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Sat2.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Sat2.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Warning02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

สายน้ำ
25-04-2024, 03:25
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ทะเลเดือด ความร้อนพุ่งสูง อ่าวไทยเสี่ยงปะการังฟอกขาว ประมงต้นทุนเพิ่ม

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

ปะการัง ในอ่าวไทยเสี่ยงฟอกขาวครั้งใหญ่ หลังอุณหภูมิน้ำทะเลพุ่งสูงกว่าทุกปี หวั่นลุกลามไปถึงแนวปะการังในทะเลอันดามัน ส่งผลต่อเม็ดเงินการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ชาวประมงต้องออกไปหาปลาไกลขึ้น เนื่องจากปลาบางส่วนอพยพหนีน้ำทะเลร้อน ไปในเขตน้ำลึก เสี่ยงจะทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรทางทะเลหนักกว่าทุกปี

"ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง" อาจารย์ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผู้ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของทะเลไทย กล่าวกับทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเลไทย มีความเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ต้นปี 2567 จึงมีผลทำให้กระแสน้ำในมหาสมุทรมีความเปลี่ยนแปลง

"ช่วงต้นปีเราจะเจอสัตว์จากทะเลลึก ขึ้นมาในพื้นที่น้ำตื้น ซึ่งคนที่ไปดำน้ำที่สิมิลัน หรือชาวประมงในพื้นที่ จ.สตูล จะเจอปลาที่อยู่ในเขตน้ำลึกขึ้นมาน้ำตื้น และทำให้หลายคนตื่นตกใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากกระแสน้ำเย็นลอยขึ้นมาสูงมากขึ้น และนำพาสิ่งมีชีวิตในน้ำลึก และแร่ธาตุต่างๆ ขึ้นมาตามมวลน้ำ"

สิ่งที่ตามมาตอนนี้คือ เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงขึ้นเนื่องจากความร้อนของสภาพอากาศ ทำให้เห็นปรากฏการณ์ "แมงกะพรุนลอดช่อง" ลอยขึ้นมาเต็มทะเลอันดามัน ตั้งแต่ จ.สตูล ไปจนถึง จ.ระนอง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของน้ำทะเล ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตบางอย่างขยายพันธุ์มาก และการเพิ่มของแมงกะพรุนจำนวนมาก ก็อาจส่งผลให้สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นลดลง

อีกผลกระทบจากความร้อนของน้ำทะเล ทำให้หญ้าทะเลทยอยตาย โดยเฉพาะต้นหญ้าทะเลขนาดใหญ่ แถบเกาะลิบง จ.ตรัง เนื่องจากปีนี้น้ำทะเลแห้งเป็นเวลานานกว่าปกติ เมื่อน้ำทะเลลดทำให้หญ้าทะเลที่อยู่บนผิวดิน ถูกแดดเผา จนเหง้าที่อยู่ใต้ดินตายไปด้วย

การที่หญ้าทะเลทยอยตาย ส่งผลต่อพะยูน ในทะเลอันดามัน ที่กินหญ้าทะเล เพราะจากผลสำรวจจากจำนวนพะยูน ในปีก่อนมีอยู่กว่า 180 ตัว แต่พอปีนี้พบพะยูนในพื้นที่เพียง 30?40 ตัว ซึ่งมีสมมติฐานว่า พะยูนบางส่วนอาจเสียชีวิตจากการขาดแหล่งอาหาร ขณะที่อีกบางส่วนอพยพไปอยู่ในพื้นที่อื่นที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์

"การที่แหล่งหญ้าทะเลลดลง มีผลมาถึงสัตว์น้ำที่เป็นอาหารของมนุษย์ เพราะพื้นที่หญ้าทะเลเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ สิ่งนี้ทำให้ชาวประมง หาปลาทะเลได้ลดลง จนส่งผลกระทบต่อรายได้ และบางรายต้องขึ้นฝั่งไปทำงานบนบก ขณะเดียวกันชาวประมงชายฝั่ง ก็ต้องออกเรือไปไกลจากฝั่งมากขึ้น เนื่องจากปลาไม่มีแหล่งอนุบาล และอุณหภูมิของน้ำทะเลในช่วงน้ำตื้นร้อนกว่าจุดที่เป็นน้ำลึก ทำให้ชาวประมงมีต้นทุนที่ต้องจ่ายเพิ่ม และอาจเกิดการแย่งชิงทรัพยากรกับเรือหาปลาขนาดใหญ่ได้ในอนาคต เช่นเดียวกับผู้บริโภค ก็มีแนวโน้มที่ต้องซื้ออาหารทะเลในราคาสูง"


อุณหภูมิทะเลพุ่งสูง กระตุ้นปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่

"ศักดิ์อนันต์" เล่าต่อถึงผลกระทบของอุณหภูมิในน้ำทะเลที่พุ่งสูงจะส่งผลกระทบให้เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในทะเลไทย และทั่วโลก เหมือนในปี 2540 เพราะตอนนี้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าเดิมประมาณ 1.5-2 องศา และน่าสนใจว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นอีก ซึ่งปกติอุณหภูมิในน้ำทะเลประมาณ 30 องศา ก็ถือว่าร้อนมาก โดยสัตว์น้ำแค่อุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแค่ 1 องศา ก็เริ่มจะอพยพไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่ หรือตายได้ง่าย

คาดว่าถ้าเกิดปะการังฟอกขาว จะเกิดในช่วงเดือน พ.ค. 67 โดยเฉพาะปะการังในเขตน้ำตื้น แถบฝั่งอ่าวไทย ที่มีอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นมากแล้ว ขณะที่โซนทะเลอันดามัน เนื่องจากต้นปีมีกระแสน้ำเย็นลอยขึ้นมา ทำให้ความร้อนของน้ำทะเล ยังมีอุณหภูมิต่ำกว่า ประกอบกับทะเลอันดามันมีความลึกของน้ำกว่าโซนอ่าวไทย

ผลกระทบที่ตามมาจากปะการังฟอกขาว จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกิจกรรมดำน้ำเพื่อดูปะการังจะต้องหยุด ซึ่งปกติฝั่งอันดามัน จะไม่มีกิจกรรมดำน้ำตั้งแต่ 15 พ.ค. ของทุกปี แต่ปีนี้อาจจะมีคลื่นลมนิ่ง ทำให้มีคนที่ฝ่าฝืนได้

"แนวปะการังที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากปะการังฟอกขาวคือ เกาะช้าง สมุย พะงัน แต่ก็ยังมีความคาดหวังว่า ปะการังในทะเลไทย จะมีความอดทนต่ออุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นได้ โดยปะการังที่ฟอกขาว ถ้าได้รับผลกระทบแต่ยังไม่ตายภายใน 1?2 เดือน ก็จะฟื้นขึ้นได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่ปะการังตาย จะไม่สามารถคืนสภาพได้ และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะกลับมาเหมือนเดิม

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น นอกจากจะส่งผลต่อสัตว์น้ำแล้ว มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะชาวประมงที่หาปลา ขณะเดียวกันแนวทางช่วยเหลือ ที่ไม่ให้ปะการัง หรือสัตว์น้ำที่ได้รับผลกระทบได้รับการรบกวนจากมนุษย์ คือต้องไม่ไปซ้ำเติม ด้วยการปล่อยน้ำเสีย ทิ้งขยะลงทะเล เช่นเดียวกับหน่วยงานของภาครัฐ จะต้องมีการเข้าไปดูแลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิดทันที.


https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2780450

สายน้ำ
25-04-2024, 03:29
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พบซากเรือใบ ลอยติดโขดหินริมทะเลเนินนางพญา จ. จันทบุรี

จันทบุรี ? พบซากเรือใบ ลอยติดโขดหินริมทะเลเนินนางพญา จ. จันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นายายอาม คาดเป็นซากเรือที่ลอยมาจากที่อื่นเนื่องจากไม่พบข้อมูลการรับแจ้งเหตุเรืออับปางในพื้นที่

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (24 เม.ย.) เจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างกตัญญูธรรมสถานจันทบุรี ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นายายอาม จ.จันทบุรี เพื่อขอกำลังชุดปฏิบัติการเข้าสนับสนุนการค้นหาผู้สูญหายในน้ำ พร้อมเรือท้องแบน จำนวน 1 ลำ เพื่อตรวจสอบวัตถุไม่ทราบชนิดที่ลอยมาติดโขดหิน บริเวณเนินนางพญา หมู่7 ต.สนามไชย อ.นายายอาม จ.จันทบุรี หลังรับแจ้งจึงรีบเดินทางลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ 4 นายและเรือท้องแบน 1 ลำ

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ จำนวน 4 นายได้ดำน้ำตรวจสอบวัตถุที่คว่ำหน้าอยู่บริเวณโขดหิน กระทั่งพบว่ามีลักษณะคล้ายเรือใบ เนื่องจากมีอุปกรณ์ภายในเกี่ยวกับเรือ แต่ไม่พบวัตถุอื่นๆ เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จึงได้ทำการดึงซากเรือขึ้นจากโขดหิน เพื่อนำส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. นายายอาม ทำการตรวจสอบ

ขณะที่ พ.ต.อ.พลภัทร ธรรมะสนอง ผกก.สภ.นายายอาม เผยว่าเมื่อช่วงค่ำวานนี้ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซากเรือลอยมาติดโขนหินบริเวณเนินนางพญา จึงประสานไสำนักงานเจ้าท่า จันทบุรี ให้ตรวจสอบเหตุเรืออับปางในพื้นที่รับผิดชอบ แต่ก็ไม่พบข้อมูลการรับแจ้ง จึงคาดว่าน่าจะเป็นซากเรือที่ลอยมาจากพื้นที่อื่น

" เบื้องต้นยังไม่พบข้อสงสัยที่จะสามารถเชื่อมโยงกับคดีใดได้ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรักษาซากเรือไว้ที่ศาลากลางหมู่บ้าน ต.สนามไชย อ.นายยายอาม จ.จันทบุรี เพื่อรอการตรวจสอบต่อไป" ผกก.สภ.นายายอาม กล่าว


https://mgronline.com/local/detail/9670000035602

สายน้ำ
25-04-2024, 03:31
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


สุดสลด "โลมาปากขวด" แสนรู้โดนยิงจมกระสุนเจาะสมอง-กระดูกสันหลัง-หัวใจ ตายสงบคาหาดรัฐหลุยเซียนา NOAA ออกรางวัลนำจับด่วน 20,000 ดอลลาร์

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

เอเจนซีส์ ? โลมาปากขวดวัยรุ่นตัวหนึ่งพบเป็นศพถูกยิงจมกระสุนที่หาด West Mae?s Beach รัฐหลุยเซียนา เมื่อวันที่ 14 มี.ค ที่ผ่านมา องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ NOAA ทนไม่ไหวออกรางวัลนำจับคนใจบาปด่วน 20,000 ดอลลาร์ สภาพสุดสลดโดนยิงกระสุนเจาะเข้าสมอง กระดูกสันหลัง และหัวใจ

นิวยอร์กโพสต์รายงานวันอังคาร(23 เม.ย)ว่า โลมาปากขวด (bottlenose dolphin) ตัวที่เสียชีวิตเชื่อว่ากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น พบเป็นศพอยู่บนหาด West Mae?s Beach ในเมืองคาเมรอน พาริช (Cameron Parish) รัฐหลุยเซียนา เมื่อวันที่ 14 มี.คก่อนหน้า

เจ้าหน้าที่องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ NOAA คาดว่าโลมาตัวดังกล่าวน่าจะเสียชีวิตจากการทนพิษบาดแผลไม่ไหวหลังพบกระสุนเจาะที่บริเวณสมอง กระดูกสันหลัง และหัวใจ

ทั้งนี้องค์กร Audubon Aquarium Rescue ซึ่งเป็นเครือข่ายพันธมิตรของ NOAA ค้นพบโลมาปากขวดตัวดังกล่าวก่อนที่จะส่งไปยังสถาบันธรรมชาติออดูบอน (Audubon Nature Institute) ในเมืองนิวออร์ลีนเพื่อทำการชันสูตรพลิกศพและต้องตกตะลึงเมื่อพบกระสุนปืนเจาะไปที่อวัยวะหลายแห่งของโลมาแสนรู้

นิวยอร์กโพสต์รายงานว่า แผนกบังคับใช้กฎหมายของ NOAA กำลังสอบสวนการตายของโลมาปากขวดวัยรุ่นตัวนี้อย่างเร่งรีบพร้อมกับเสนอรางวัลเพื่อเบาะแสไปสู่การนำจับเป็นจำนวน 20,000 ดอลลาร์สำหรับมือปืนที่ก่อเหตุอุกอาจเย้ยกฎหมายขั้นร้ายแรงเช่นนี้


https://mgronline.com/around/detail/9670000035659

สายน้ำ
25-04-2024, 03:34
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


การสูบน้ำบาดาลจนแผ่นดินทรุดตัว มหันตภัยร้ายเสี่ยงทำเมืองชายทะเลของจีนจมน้ำ

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)
นักวิจัยของจีนและสหรัฐฯ พบว่า ประชากรจีนราว 1 ใน 3 ใน 82 เมืองอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่แผ่นดินทรุดตัวเร็วกว่า 3 มิลลิเมตรต่อปี และร้อยละ 7 อาศัยในบริเวณที่แผ่นดินทรุดตัวเร็วกว่า 10 มิลลิเมตรต่อปี - ภาพรอยเตอร์

มหาวิทยาลัยของจีนและสหรัฐอเมริกาเผยผลการศึกษาชิ้นใหม่ซึ่งทำร่วมกัน โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของน้ำบาดาลและน้ำหนักของอาคารสิ่งก่อสร้างมีความเชื่อมโยงกับการเกิดแผ่นดินทรุดตัว และหากไม่มีการป้องกันแล้ว การทรุดตัวของแผ่นดินประกอบกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจะทำให้พื้นที่ชายฝั่ง 1 ใน 4 ของจีนจมใต้ระดับน้ำทะเลภายในหนึ่งศตวรรษ หรือภายในปี พ.ศ.2663 และประชาชนหลายร้อยล้านคนเสี่ยงถูกน้ำท่วม

นอกจากนั้น ยังระบุด้วยว่า ขณะนี้ชาวจีนราว 270 ล้านคนอาศัยอยู่บนแผ่นดินที่กำลังทรุดตัวมากเกือบเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรยุโรป และ 67 ล้านคนอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่แผ่นดินกำลังทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว มากเท่ากับประชากรทั้งหมดในฝรั่งเศส

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งในจีน รวมถึง มหาวิทยาลัยเซาท์ไชน่านอร์มอลและมหาวิทยาลัยปักกิ่ง สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ตลอดจนมหาวิทยาลัย 2 แห่งในสหรัฐฯ ตีพิมพ์เผยแพร่ผลการศึกษาดังกล่าว ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิแล้วใน วารสารไซแอนซ์ (Science) เมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.) นักวิจัยเหล่านี้ระบุว่า การดำเนินการควบคุมอย่างต่อเนื่องในระยะยาวในการสูบน้ำบาดาลคือกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาแผ่นดินทรุดตัว โดยจำเป็นต้องมีการประสานความร่วมมือกันระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักวิจัยและวิศวกรโยธา เพื่อแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับยกตัวอย่างนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีประชากรมากที่สุดในจีนและพื้นที่ใกล้เคียงมีการควบคุมการสูบน้ำบาดาลในระยะยาวอย่างแข็งขัน ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งอธิบายได้ว่าเหตุใดจึงสังเกตเห็นการทรุดตัวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ ที่นั่น

การทรุดตัวทำให้เกิดรอยแยกของพื้นดิน สร้างความเสียหายให้อาคาร และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินยุบตัวในประเทศจีนทำให้มีผู้เสียชีวิต หรือบาดเจ็บหลายร้อยคน และก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจโดยตรงกว่า 7,500 ล้านหยวนต่อปีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

ในการศึกษาครั้งนี้ทีมวิจัยได้จัดทำแผนที่การทรุดตัวของเมืองทั่วประเทศระหว่างปี พ.ศ.2558 ถึง 2565 โดยอาศัยดาวเทียมถ่ายภาพเรดาร์ เซนติเนล-1 (Sentinel-1) ขององค์การอวกาศยุโรป เพื่อวัดการเคลื่อนที่ของพื้นดินในแนวตั้งโดยใช้เรดาร์พัลส์วัดการเปลี่ยนแปลงของระยะทางระหว่างดาวเทียมกับพื้นผิวดิน

นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์เมืองใหญ่มีประชากรกว่า 2 ล้านคน ทั้งหมด 82 แห่ง คิดเป็นเกือบ 3 ใน 4 ของประชากรในเมืองจำนวน 920 ล้านคนในจีน และพบว่า ราว 1 ใน 3 ของประชากรในเมือง 82 แห่งนี้อาศัยในภูมิภาคที่มีการทรุดตัวเร็วกว่า 3 มิลลิเมตรต่อปี และประชากรร้อยละ 7 อาศัยในบริเวณที่มีการทรุดตัวเร็วกว่า 10 มิลลิเมตรต่อปี โดยนครเทียนจินทางภาคเหนือและกรุงปักกิ่งอยู่ในจุดที่มีการทรุดตัวอย่างรวดเร็วเหล่านี้

ที่มา : "China's 'sinking' big coastal cities at risk of floods as sea levels rise, study warns" ในเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์


https://mgronline.com/china/detail/9670000034660

สายน้ำ
25-04-2024, 03:37
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


รู้จัก "ปะการังฟอกขาว" หายนะครั้งใหญ่จากความร้อนในมหาสมุทร และครั้งนี้อาจรุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Mgr_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

หลังจาก องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) และโครงการริเริ่มแนวปะการังนานาชาติ (International Coral Reef Initiatives : ICRI) ประกาศว่า โลกกำลังประสบสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ (Mass Bleaching) เป็นครั้งที่ 4 นับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมา และได้เผยว่าในปัจจุบันนี้ 54 ประเทศทั่วโลก กำลังประสบปัญหาสภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้น้ำในพื้นผิวมหาสมุทรอุ่นขึ้น

MGROnline Science จึงขอพาไปทำความรู้จักกับการฟอกขาวของปะการัง ที่ทำให้ปะการังสีสันสวยงาม กลายมาเป็นสีขาวซีดจนน่าหดหู่ใจ

ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ สภาวะปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ระดับโลกนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการเกิดขึ้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 ครั้งที่สอง ปี 2553 และครั้งที่สาม ระหว่างปี 2557 ถึงปี 2560

จะเห็นได้ว่าการเกิดปะการังฟอกขาวเป็นช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งครั้งที่ 3 และ 4 ห่างกันไม่ถึง 10 ปี และในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรง และมีความถี่ในการเกิดบ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ

ปะการังฟอกขาว (Coral Bleaching) คือ สภาวะที่ปะการังมีสีซีดจางลง จนมองเห็นเป็นสีขาว มีสาเหตุมาจากการสูญเสีย "สาหร่ายซูแซนเทลลี" (Zooxanthellae) สาหร่ายขนาดเล็กที่ดํารงชีวิตอยู่ร่วมกับปะการัง ในวงจรชีวิต "แบบพึ่งพากัน" (mutualism)

ปกติแล้วในเนื้อเยื่อของปะการังไม่ได้มีสีสันสวยงาม มันเป็นเพียงเนื้อเยื่อใสๆ เท่านั้น ส่วนสีที่เราเห็นในปะการังล้วนเป็นสีที่ได้รับมาจากสาหร่ายซูแซนเทลลี ซึ่งอาจจะเป็นสีแดง สีส้ม สีเขียว หรือน้ำตาลก็ขึ้นอยู่กับชนิดของซูแซนเทลลีที่เข้าไปอาศัยอยู่ในตัวปะการัง

สาหร่ายซูแซนเทลลีจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ช่วยเร่งกระบวนการสร้างหินปูน รวมถึงการสร้างสีสันให้แก่ตัวปะการัง ส่วนปะการังก็ให้ที่อยู่แก่สาหร่ายเป็นการใช้ชีวิตที่เกื้อกูลกันและกัน

หากมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตในแนวปะการังเกิดขึ้น เช่น อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 30-31 องศาเซลเซียส ติดต่อกันประมาณ 3-4 สัปดาห์ ค่าความเค็มของน้ำทะเลเปลี่ยนไปจากเดิม หรือมลพิษในน้ำทะเล สาหร่ายซูแซนเทลลีจะไม่สามารถดำรงชีวิตในปะการังในบริเวณนั้นได้ และมีการออกจากเนื้อเยื่อปะการังเพื่อความอยู่รอด ส่งผลให้ปะการังเหลือเพียงเนื้อเยื่อใสๆ และจะเห็นเป็นสีขาวของโครงสร้างหินปูนที่อยู่ภายใน เหตุนี้จึงเรียกกันว่า "ปะการังฟอกขาว"

การที่ปะการังจะกลับมามีสีสันเหมือนเดิมนั้น จะต้องรอสภาพแวดล้อมในแนวปะการังกลับมาสมดุลเหมือนเดิม สาหร่ายซูแซนเทลลีก็จะกลับเข้ามาอาศัยในเนื้อเยื่อปะการังตามเดิม สภาวะปะการังฟอกขาวก็จะหายไปและปะการังก็จะกลับมาสีสันสวยงามเหมือนเดิมอีกครั้ง


ขอบคุณข้อมูล ? รูปอ้างอิง
- www.science.navy.mi.th
- www.noaa.gov องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ


https://mgronline.com/science/detail/9670000034169

สายน้ำ
25-04-2024, 03:39
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


เผยชื่ออาหาร ปนเปื้อนไมโครพลาสติกมากที่สุด เสี่ยงต่อสุขภาพ แถมหาซื้อง่าย

อย่ามองข้าม เผยรายชื่ออาหาร ปนเปื้อนไมโครพลาสติกมากที่สุด ภัยเงียบซ่อนตัว เสี่ยงต่อสุขภาพ ซึมเข้ากระแสเลือดได้

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Khaosod_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Khaosod_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

สำนักข่าวต่างประเทศ เผยบทความวิจัยกรณีศึกษาเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมาพบว่า ร้อยละ 90 ของตัวอย่างอาหารประเภทโปรตีนจากพืชและสัตว์ มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติก ภัยเงียบอันตรายต่อร่างกาย โดยมีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งในต่อมลูกหมาก และยังส่งผลต่อความผิดปกติทางพันธุกรรมของเซลล์ในร่างกายอีกด้วย

โดยวารสาร Environmental Research ทีมนักวิจัยได้ทดสอบอาหารแช่แข็งประเภทโปรตีนที่คนนิยมรับประทานกันโดยทั่วไปหลายชนิด ได้แก่ เนื้อวัว กุ้งและกุ้งชุบแป้งทอด อกไก่ และนักเก็ตไก่ เนื้อหมู อาหารทะเล เต้าหู้และอาหารประเภทแพลนต์เบสต่างๆ

อย่างไรก็ตาม จากผลการตรวจสอบพบว่า กุ้งชุบแป้งทอดพบไมโครพลาสติกปนเปื้อนมากที่สุด โดยเฉลี่ยแล้วจะมีอยู่ราว 300 ชิ้นต่อมื้อ ส่วนอันดับที่ 2 ได้แก่ นักเก็ตแพลนต์เบส มีไมโครพลาสติก 100 ชิ้นต่อมื้อ ต่อมาคือนักเก็ตไก่ ตามมาด้วยชิ้นปลาคลุกแป้งขนมปัง เนื้อกุ้งสดและปลาแพลนต์เบสคลุกแป้งขนมปัง

ส่วนอาหารที่มีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกน้อยที่สุด คือ เนื้ออกไก่ ตามด้วยเนื้อหมูสันในและเต้าหู้

ขณะเดียวกัน นักวิจัยจาก University of Catania ประเทศอิตาลี พบเศษชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กในผลไม้และผักบางชนิด ซึ่งพบไมโครพลาสติกในแอปเปิล 1 กรัม เฉลี่ย 195,500 ชิ้น

ในขณะที่ลูกแพร์มีปริมาณไมโครพลาสติกเฉลี่ย 189,500 ชิ้น ต่อ 1 กรัม ส่วนบร็อกโคลี และแคร์รอต เป็นผักที่พบไมโครพลาสติกมากที่สุด เพราะพบไมโครพลาสติกในปริมาณมากกว่า 100,000 ชิ้นต่อผัก 1 กรัม

ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมามีผลวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เผยผลทดสอบในการสุ่มตรวจสอบตัวอย่างน้ำดื่มบรรจุขวดทั่วไป จำนวน 5 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 3 ยี่ห้อ รวมทั้งหมด 15 ตัวอย่าง ผลการศึกษานี้พบว่า มีอนุภาคไมโครพลาสติกระหว่าง 110,000-400,000 ชิ้นต่อลิตร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 240,000 ชิ้น

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญได้ให้คำแนะนำสำหรับการบริโภคอาหารเพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะรับไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายไว้ว่า ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่บรรจุภัณฑ์แบบพลาสติก ถ้าเป็นไปได้ในการเลือกซื้ออาหารที่บรรจุในขวดแก้วหรือห่อกระดาษฟอยล์ดีกว่า

นอกจากนี้ หลีกเลี่ยงอาหารแช่แข็งหรืออาหารที่ผ่านการแปรรูป และไม่ควรใช้ภาชนะพลาสติกอุ่นอาหารให้ร้อนด้วยไมโครเวฟ แต่ควรเปลี่ยนถ่ายอาหารใส่ภาชนะประเภทแก้วเสียก่อน หรืออุ่นอาหารด้วยเตาประเภทอื่นแทน


https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_8200886

สายน้ำ
25-04-2024, 03:42
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


ตื่นตา!!พบปะการังอ่อนหลากสีงอกใหม่สวยงามบน'เกาะจำปีเล็ก'ตรัง

นักท่องเที่ยวตื่นตาหลังพบปะการังอ่อนหลากสีที่งอกขึ้นมาใหม่บนเกาะจำปีเล็ก จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เพราะมีน้ำทะเลท่วมถึง ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้เป็นแหล่งหากินและพบเห็นจนชินตา แต่ไม่เคยทำลาย

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Naewna_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Naewna_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

วันนี้ 22 เม.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เกาะจำปีเล็ก ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ซึ่งเป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เพราะมีน้ำทะเลท่วมถึง มีเนื้อที่กว่า 5 ไร่ แต่เวลาน้ำลดชาวบ้านจะพบเห็นปะการังอ่อนหลากสีที่งอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งชาวบ้านเผยว่าเห็นจนชินตาและไม่มีใครคิดทำลาย แต่ใช้เป็นแหล่งหาหอย ปูปลาหลังน้ำลดมานานหลายสิบปีแล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นปะการังอ่อนอย่างใกล้ชิดโดยไม่ต้องไปเสียค่าดำน้ำ และอยู่ห่างจากท่าเรือเกาะสุกรประมาณ 500 เมตร

บางชนิดเป็นปะการังน้ำลึก แต่พบในเขตน้ำตื้น เช่น ปะการังแหวนและปะการังแจกันหรือปะการังจาน เบื้องต้น พบว่ามีทั้งปะการังถ้วยสมอง ปะการังเขากวาง ปะการังเกล็ดน้ำแข็ง ปะการังรังผึ้ง,ปะการังลูกฟูกและปะการังดอกจอก ขึ้นกระจายเต็มเกาะจำปีเล็ก ซึ่งหาดูได้ยากมาก แต่ที่เกาะสุกร กลับพบปะการังในเขตน้ำตื้นหลายจุด อาจเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และไม่มีมลพิษ ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่ได้ช่วยกันอนุรักษ์ ทำให้กลายเป็นจุดเช็คอินแห่งใหม่ของเกาะสุกร

ก่อนหน้านี้ พบกัลปังหาสีแดงในเขตน้ำตื้นบนเกาะสุกร เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในทะเลตรัง จนสร้างความฮือฮามาแล้ว โดยปะการังทุกชนิดมีหลากสีสัน สวยงามแปลกตา และหาชมได้ทุกวันหลังน้ำทะเลลดลงต่ำสุด ท่ามกลางการดูแลอย่างเข้มงวดของผู้ประกอบการท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับแหล่งปะการังในเขตน้ำตื้น

ด้านนายเพิง ไชยมูล อายุ 67 ปีชาวบ้านหมู่ที่ 1 ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง กล่าวว่า ชาวบ้านเรียกปะการังพวกนี้ว่าปะการังเชี่ยน มีแบบเป็นฟองน้ำด้วย ซึ่งพบอยู่ทั่วไปโดยตนเกิดมาก็เจอแล้ว มีปริมาณคงที่แต่หลากหลาย มีทั้งสีเทา สีฟ้าอ่อน คนที่เกาะจะช่วยกันรักษา คนนอกไม่ค่อยได้มาเพราะแถบนี้ชาวบ้านมาหาปูหาปลาอยู่และติดในเขตอนุรักษ์ ชาวบ้านบอกว่าสวยงามดี ถือว่าเป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ โดยวันนี้ตนหาเจอดอเทศ (ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง) หอยกะพง หอยแครง ถือว่าเป็นครัวของชาวบ้านที่หาประจำ เวลาน้ำแห้งก็ลงมาหาอาหารที่นี่


https://www.naewna.com/likesara/800435

สายน้ำ
25-04-2024, 03:46
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


ทช.นำทีมสัตวแพทย์ เกาะติด'โลมาฟันห่าง' เตรียมพาออกกลางอ่าวกลับฝูง

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Naewna_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Naewna_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

จากกรณีเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (24 เม.ย.67) หน่วยกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณร่องน้ำ หน้าเกาะพระ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าพบโลมา มีความยาวประมาณ 1.8 เมตรเศษ คาดว่าน่าจะพลัดหลงจากฝูง และมีอาการคล้ายมีอาการบาดเจ็บ และเกรงว่าโลมาอาจตายได้หากได้รับการช่วยเหลือล่าช้า เพราะบริเวณดังกล่าวมีเรือหลวง และเรือประมงชาวประมง วิ่งเข้าออกตลอด

ล่าสุด นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 นายธนพรรณ ชมชื่น นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง อ่าวไทยฝั่งตะวันออก และเจ้าหน้าที่ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมหน่วยกู้ภัยทางน้ำ มูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถาน นำกำลังขึ้นเรือออกติดตาม เฝ้าดูอาการ ของโลมาฟันห่าง ตัวดังกล่าวตลอดทั้งวัน บริเวณร่องน้ำ หน้าเกาะพระ ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ใกล้เคียงกับจุดที่พบเมื่อช่วงเช้า

นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 พร้อมทีมสัตวแพทย์ จากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ลงเรือไปสำรวจ ตรวจสอบว่าโลมาตัวดังกล่าว เพื่อเฝ้าดูอาการ หากพบว่าเกิดการเจ็บป่วย รุนแรงทีมสัตวแพทย์จะวางแผนล้อมจับเพื่อนำไปรักษาต่อไป โดนจากการตรวจสอบรูปถ่าย พบว่าน่าจะเป็นโลมาฟันห่าง ความยาวประมาณ 180 เซนติเมตร ขณะนี้เตรียมประสานเจ้าหน้าที่ทหารเรือและศรชล ภาค 1 ร่วมถึงกลุ่มประมงช่วยกันเฝ้าระวังดูโลมาตัวดังกล่าวไปอีกระยะ ซึ่งตอนนี้ยังพบว่าโลมาตัวดังกล่าวยังคงวนเวียนว่ายน้ำอยู่บริเวณดังกล่าว

นายธนพรรณ ชมชื่น นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ศูนย์วิจัยทรัพย์กรทางทะเลและชายฝั่ง อ่าวไทยฝั่งตะวันออก กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าโลมาค่องข้างอ่อนแรง มีอาการลอยตัว แต่ยังหายใจได้ดี แต่โดยส่วนใหญ่โลมา จะหายใจเสียงดัง แต่ตัวนี้ค่อยข้างเบา แต่อาการโดยร่วมยังแข็งแรง ยังว่ายน้ำและดำน้ำได้อยู่ วันนี้การทำงานยังลำบากจึงได้มีการประชุมและยกเลิกภารกิจไปก่อน แต่ก็ยังมีการติดตามอาการต่อเนื่อง

โดยในวันศุกร์นี้ เราจะกลับมาติดตามดูอาการอีกที ซึ่งในขณะนี้มีการแจ้งเครือข่ายกับสัตว์ทะเลหายาก ให้ช่วยกันติดตาม และเฝ้าระวัง ตัวที่พบในวันนี้เป็นโลมาฟันห่าง ดูจากผิวหนังน่าจะมีอายุที่เยอะแล้ว สำหรับที่เข้ามาในอ่าวสัตหีบอาจมีอาการป่วย เพราะโลมากลุ่มนี้จะไม่ค่อยเจอใกล้ชายฝั่งเท่าไร อาจป่วยหรือไม่ก็หลงฝูง ก็เป็นได้ การเข้ามาในบริเวณอ่าว เพราะบริเวณนี้จะมีเกาะ ที่สามารถช่วยเขากั้นคลื้นและลม โดยแผนขั้นต้น จะพยายามดันเขาออกไปนอกอ่าว แต่ถ้าโลมาไม่สามารถว่ายไปได้ หรือยังว่ายกลับมา เราจะนำตัวเขาขึ้นมาตรวจให้ละเอียดเพื่อทำการรักษา โดยโลมาวิธีการรักษาในธรรมชาติจะดีกว่า นำเขาขึ้นมารักษาในที่เลี้ยง ซึ่งจะได้มีการประชุมวางแผนต่อไป


https://www.naewna.com/local/800978

สายน้ำ
25-04-2024, 04:11
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'ภาวะโลกร้อน' ทำพิษ 'ยุโรป' กลายเป็นทวีปที่ร้อนเร็วที่สุดในโลก ............ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Bkkbiz_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Bkkbiz_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

การศึกษาใหม่ระบุ "ยุโรป" กลายเป็นทวีปที่ร้อนเร็วที่สุดในโลก โดยมีอุณหภูมิสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรม 2.3 องศาเซลเซียส ขณะที่ทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยเพียง 1.3 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ธารน้ำแข็งละลาย และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ร่วมกับสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S ออกรายงานเกี่ยวกับสภาพอากาศในยุโรป พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุณหภูมิในยุโรปสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 2.3 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่า ข้อตกลงสภาพภูมิอากาศปารีสปี 2015 ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และสูงกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกที่อยู่ 1.3 องศาเซลเซียส

แม้ว่าทวีปยุโรปจะเป็นทวีปที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และไฟฟ้าพลังน้ำ มากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแล้วก็ตาม โดยในปี 2023 ยุโรปสามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ 43% เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปีก่อนหน้า


"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทำ "ยุโรป" ร้อนกว่าเดิม

สาเหตุหลักที่ทำให้ยุโรปร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่าอยู่ใกล้กับอาร์กติก และขั้วโลกเหนือมาก เมื่อขั้วโลกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงมายังยุโรป

นอกจากนี้กระแสน้ำในมหาสมุทรของยุโรปอบอุ่นกว่ากระแสน้ำที่ละติจูดใกล้เคียงกันในส่วนอื่นๆ ของโลก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฤดูหนาวในลอนดอนถึงมีอุณหภูมิอบอุ่นกว่าชิคาโกมาก แม้ว่าลอนดอนจะอยู่ใกล้ขั้วโลกมากกว่าก็ตาม และยิ่งน้ำในมหาสมุทรร้อนขึ้นเท่าใด อากาศในยุโรปก็ยิ่งร้อนอบอ้าวมากขึ้นเท่านั้น

รายงานดังกล่าวเตือนว่าโลกของเรากำลัง "เข้าขั้นวิกฤติ" และเราไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะทำให้โลกดีขึ้น โดยเดือนมีนาคม 2567 กลายเป็นเดือนที่อุณหภูมิรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ทำให้อุณหภูมิผิวน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วยุโรปแตะระดับสูงสุด

"การแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศอาจจะมีต้นทุนสูง แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยจะเกิดความสูญเสียมากกว่านั้นมาก" เซเลสเต เซาโล เลขาธิการ WMO กล่าว


"สภาพอากาศสุดขั้ว" ถล่ม "ยุโรป"

ในปี 2023 อุณหภูมิทั่วยุโรปสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากถึง 11 เดือน และมีเดือนกันยายน ที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบันทึก อีกทั้งต้องเผชิญกับ ?สภาพอากาศสุดขั้ว? หลากหลายรูปแบบ

ประเทศทางตอนใต้ของยุโรป เช่น โปรตุเกส สเปน และอิตาลี เผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในพื้นที่อยู่อาศัย และควันไฟพัดพาปกคลุมเมืองต่างๆ อีกทั้งยังเกิด "ไฟป่า" รุนแรงในหลายประเทศ โดยเฉพาะกรีซที่ได้รับผลกระทบจากไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในสหภาพยุโรป สร้างความเสียหายไปแล้วกว่า 600,000 ไร่

ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งของยุโรปกลับมีฝนตกหนักจนทำให้เกิด "น้ำท่วม" ในปี 2023 มีความชื้นเพิ่มขึ้นประมาณ 7% มากกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้ธารน้ำแข็งหายไปในทวีปนี้ รวมถึงหิมะ และน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาแอลป์ด้วย ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยุโรปสูญเสียธารน้ำแข็งไปแล้ว 10% จากที่มีอยู่

"ในปี 2023 ยุโรปเผชิญกับไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ ขณะเดียวกันก็เกิดฝนตกชุกที่สุด และน้ำท่วมร้ายแรงที่ลุกลามเป็นวงกว้าง" คาร์โล บูออนเทมโป ผู้อำนวยการฝ่ายบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส กล่าว


"คลื่นความร้อน" คร่าชีวิตชาวยุโรป

ชาวยุโรปได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น มีผู้เสียชีวิตจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น 30% ไม่ว่าจะเป็น คลื่นความร้อน พายุ น้ำท่วม และไฟป่า อีกทั้งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามากกว่า 14,300 ล้านดอลลาร์

"ผู้คนหลายแสนคนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วในปี 2023 ก่อให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ในระดับทวีป คิดเป็นมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยหลายหมื่นล้านยูโร" คาร์โล บูออนเทมโป ผู้อำนวยการ C3S กล่าว

คลื่นความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้คนเสียชีวิตมากที่สุด ในเดือนกรกฎาคม 2023 เกิด ?คลื่นความร้อน? ในทวีปยุโรปจนทำให้มีอุณหภูมิสูงเกือบ 40 องศา โดยเฉพาะในยุโรปทางตอนใต้ ผู้คนบางส่วนไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปได้ อีกทั้งไม่มีเครื่องปรับอากาศช่วยคลายร้อน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนนับหมื่นคน

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2024 ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปตัดสินคดีที่กลุ่มผู้หญิงสูงวัยชนะคดี ที่ฟ้องรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ ข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนของพวกเธอ เนื่องจากรัฐไม่มีนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่เด็ดขาด จนทำให้กลุ่มผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน

คำตัดสินดังกล่าวทำให้รัฐบาลยุโรปทุกประเทศเสี่ยงต่อการดำเนินคดีในศาล หากไม่มีนโยบายที่จะป้องกันไม่ให้โลกร้อนขึ้น ตามข้อตกลงปารีส ดังนั้นในปีนี้หลายเมืองในยุโรปกำลังหามาตรการช่วยเหลือประชาชนให้สามารถเข้าถึงเครื่องปรับอากาศ เพื่อรับมือกับคลื่นความร้อนให้ได้มากที่สุด

เฟรเดอริก อ็อตโต นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน กล่าวกับสำนักข่าว The Guardian ว่า "หากมนุษย์ยังคงเผาน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินต่อไป คลื่นความร้อนก็จะรุนแรงกว่าเดิม และผู้คนที่อ่อนแอจะเสียชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ"

ที่มา: AP News, NPR, The Guardian


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1123642

สายน้ำ
25-04-2024, 04:13
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.


ระวัง "แมงกะพรุนลอดช่อง" โผล่เกลื่อนชายหาดปากเมง จ.ตรัง เตือนนักท่องเที่ยวอย่าสัมผัส

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_MCOT_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_MCOT_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

ที่บริเวณหาดปากเมง ม.4 ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง พบแมงกะพรุนลอดช่องจำนวนมาก ถูกคลื่นซัดขึ้นกองเรียงรายตลอดแนวชายหาดปากเมง เขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ลักษณะเป็นวุ้นใส ขนาด 3-5 นิ้ว

ด้านหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เล่าว่าช่วงนี้มีรายงานพบแมงกะพรุนชนิดนี้อยู่ในทะเลฝั่งอันดามันพื้นที่จ.ตรัง-กระบี่ สำหรับแมงกะพรุนชนิดนี้เป็นแมงกะพรุนที่นำไปทำอาหารได้ ไม่มีอันตรายเหมือนแมงกะพรุนชนิดอื่นๆ พบมากในช่วงเดือน เม.ย.- พ.ค.

โดยชาวประมงพื้นบ้านจะออกเรือไปตักแมงกะพรุนสร้างรายได้ตัวละ 5-6 บาทอย่างไรก็ตามเตือนนักท่องเที่ยวที่มีอาการแพ้ง่ายอย่าไปสัมผัสตัวโดยตรง เพราะจะทำให้เกิดระคายเคืองที่ผิวหนังได้

ทั้งนี้ ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบแมงกะพรุนลอดช่องจำนวนมาก ลอยอยู่ในทะเลอันดามัน บริเวณเกาะห้องก่อนถูกคลื่นซัดขึ้นหาดผักเบี้ย ต.เขาทอง อ.เมืองกระบี่ เขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ เช่นกัน

นอกจากนี้มีข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ว่า การพบแมงกะพรุนเยอะมากในช่วงนี้มีที่มาจากปรากฏการณ์ยูโทรฟิเคชัน (Eutrofication) หรือการเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอนบลูม อย่างต่อเนื่องในน่านน้ำไทย

เนื่องจากมีธาตุอาหารในทะเลจำพวก สารประกอบฟอสฟอรัสและไนโตรเจนเป็นจำนวนมาก การเพิ่มขึ้นของปริมาณสารอาหาร อาจเกิดจากการปล่อยน้ำเสีย หรือการทำเกษตรที่ไหลมาพร้อมกับน้ำจากปากแม่น้ำ หรือเกิดจากปริมาณธาตุอาหารที่ไหลขึ้นมาจากพื้นท้องทะเล

ขอบคุณภาพข้อมูล : สวนเสม็ดแดง แคมป์ปิ้ง ปากเมง,สวพ.FM91


https://www.mcot.net/view/669FDGLA

สายน้ำ
25-04-2024, 04:17
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


วิกฤตแล้ง "เกาะพีพี" อ่างเก็บน้ำแห้งขอด-ขาดแคลนน้ำประปา

ชาวบ้านและผู้ประกอบการขนาดเล็กบนเกาะพีพี จ.กระบี่ เดือดร้อนหลังบริษัทผลิตน้ำประปาประกาศยุติส่งน้ำ เพราะอ่างเก็บน้ำอยู่ในสภาพแห้งขอด ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาซื้อน้ำจากภูเก็ตมาเติม

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_TPBS_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_TPBS_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

วันนี้ (24 เม.ย.2567) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อ่างเก็บน้ำเนื้อที่กว่า 5 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บนเขาของเกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ขณะนี้มีสภาพแห้งขอด โดยบริษัทเอกชนผู้ผลิตน้ำประปา ประกาศยุติการผลิตน้ำต่อเนื่องเป็นวันที่ 3

เช่นเดียวกับอ่างเก็บน้ำของกรมชลประทาน เนื้อที่ 3 ไร่ ซึ่งอยู่ในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านและสถานประกอบการขนาดเล็กที่ไม่มีบ่อบาดาล หรือแหล่งน้ำเป็นของตัวเอง ต้องซื้อน้ำในราคาสูงถึงลูกบาศก์เมตรหรือคิวละ 150-200 บาท

ชาวบ้านบนเกาะพีพี บอกว่า เริ่มประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ หรือมีการปล่อยน้ำเฉพาะช่วงเช้าและช่วงเย็นมานานเกือบ 1 เดือน จนเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา มีการแจ้งในบิลค่าน้ำประปาว่าจะยุติการส่งน้ำตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย.เป็นต้นไป

แต่สิ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวบ้าน หลังจากทราบข่าวว่าเจ้าของบริษัทเอกชนผู้ให้บริการผลิตน้ำประปาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว จึงเกรงว่าทายาทจะไม่สนใจสืบทอดธุรกิจ อย่างไรก็ตามทีมข่าวไทยพีบีเอสได้รับการยืนยันจากบรรดาคนงานว่า เถ้าแก่ได้มอบกิจการให้ลูกชายเป็นผู้บริหารจัดการตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิต จึงไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด

ด้านนางสุกัญญา วงศ์ดี เจ้าของร้านซัก อบ รีด บนเกาะพีพี กล่าวว่า แม้จะซื้อน้ำจากบริษัทเอกชน ผู้ขุดเจาะน้ำบาดาล และเลือกทำเลเช่าร้านติดกับบ่อ จึงไม่ส่งผลกระทบมากนัก ยังคงเปิดให้บริการลูกค้าในราคาปกติ แต่อาจมีบางวันที่เจ้าของบ่อบริหารจัดการโดยการปล่อยน้ำเป็นเวลา

สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำ ได้รับการยืนยันจากองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง ว่า ระยะสั้น บริษัทเอกชนอยู่ระหว่างเจรจาตกลงราคาซื้อน้ำจากขุมเหมืองใน จ.ภูเก็ต มาเติม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน เนื่องจากภูเก็ตมีการคาดการณ์ว่าหากไม่มีฝนตกลงมา จะมีน้ำใช้ไปถึงเดือน พ.ค.

หลายภาคส่วนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ เนื่องจากเกาะพีพี เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญระดับโลก มีการจัดเก็บภาษีแต่ละปีจำนวนมาก จึงไม่ควรต้องประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ


https://www.thaipbs.or.th/news/content/339351

สายน้ำ
25-04-2024, 07:26
ขอบคุณข่าวจาก Greennews


ชัดปีแรก โลกเดือดทำหญ้าทะเลเหง้าเน่า-เต่าทะเลตัวผู้ลด จับตาปะการังฟอกขาว

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Greennews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Greennews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

GreenBrief "ชัดปีแรก ผลกระทบโลกเดือดต่อทะเลไทยหนักระดับ หญ้าทะเลเหง้าเน่า?เต่าทะเลตัวผู้ลด จนขาดสมดุลเพศในการผสมพันธุ์" กรมทะเลเผย พร้อมระบุกำลังจับตา?รับมืออีกวิกฤตใหญ่ "#ปะการังฟอกขาวจากอุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่ม"


ทำหญ้าทะเลเหง้าเน่า

"(กรมฯ) พบว่า #ภาวะโลกเดือด สร้างความเสียหายต่อ #หญ้าทะเลทำให้หญ้าทะเลเกิดความเสื่อมโทรมและตายในที่สุดโดยปกติหญ้าทะเลที่ตายใบจะร่วงแล้วงอกขึ้นมาใหม่

แต่ในปีนี้นับเป็นปีแรกที่สถานการณ์โลกเดือดทำให้เหง้าของหญ้าทะเลเกิดการเน่าเปื่อย เนื่องจากดินมีความร้อนสูงกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น จึงส่งผลทำให้หญ้าทะเลเกิดการอืดแห้งนาน แต่ส่วนหนึ่งก็เกิดจากระดับน้ำทะเลต่ำกว่าปกติ 30 ? 50 เซนติเมตรทำให้หญ้าทะเลอืดแห้งนานกว่าปกติมากกว่าหนึ่งชั่วโมง

กรมฯได้ส่งทีมนักวิชาการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานและสถาบันการศึกษาดำเนินการค้นคว้าและวิจัยหาสาเหตุการตายของหญ้าทะเลปรากฏว่าภาวะโลกเดือดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หญ้าทะเลเสื่อมโทรมลงและหญ้าทะเลที่หายไปยังส่งผลกระทบต่อพะยูนและเต่าทะเลเพราะหญ้าทะเลคืออาหารของพวกมัน

อย่างไรก็ตามกรมฯได้ดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการในการแก้ปัญหาหญ้าทะเลเสื่อมโทรมเพื่อเร่งฟื้นฟูสภาพแหล่งหญ้าทะเลให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม"

ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยวันนี้ พร้อมชี้แจงแนวทางการจัดการของกรมฯ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงว่า กำลังติดตามสถานการณ์วิกฤตนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมรับมือ


ทำเต่าทะเลตัวผู้ลดจนขาดสมดุลเพศ

"อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกเดือด คือ การขาดความสมดุลเพศของเต่าทะเล เนื่องจากอุณหภูมิเป็นตัวกำหนดเพศของเต่าทะเล ในอดีตสามารถรักษาสมดุลให้มีเพศผู้และเพศเมียอย่างละครึ่ง ปรากฏว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกเดือดทำให้เต่าเพศเมียเยอะขึ้นเพศผู้ก็ลดลง ในส่วนปัญหาที่พบเจอเพศผู้ลดน้อยลงไม่มีการผสมพันธุ์ ทำให้เกิดเป็นไข่ลมและเน่าเสียได้" อธิบดี ทช. กล่าว

ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat เมื่อ 14 เม.ย.2567 ที่ผ่านมา ในกรณีผลกระทบโลกเดือดต่อสมดุลเพศเต่าทะเลว่า

"ไม่ว่าเราทุ่มเทขนาดไหน มีบางครั้งที่โลกไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ไข่เต่ามะเฟืองของแม่ 14 กุมภา 120+ ฟอง ไม่ได้รับการผสมทั้งหมด ไม่มีลูกเต่าเกิดแม้แต่ตัวเดียว

ปัญหาไข่ไม่มีเชื้อเกิดทั่วโลก บางแห่งถึงขั้นทำให้เต่ามะเฟืองหายไปจากพื้นที่นั้นถาวร เหตุเพราะเพศของเต่าจะขึ้นกับอุณหภูมิในรัง หากอุณหภูมิสูงเป็นเพศเมีย ต่ำเป็นเพศผู้ แต่โลกร้อนขึ้น ทรายร้อนขึ้น เต่าเกือบทั้งหมดฟักเป็นเพศเมีย เหลือตัวผู้เพียงน้อยนิด ยิ่งเวลาผ่านไป โลกร้อนขึ้นและร้อนขึ้น ตัวผู้ยิ่งน้อยลงและน้อยลง แม่เต่าบางตัวเจอตัวผู้ผสมพันธุ์เพียงไม่มาก ทำให้สัดส่วนของไข่ไม่มีเชื้อสูงขึ้น

แต่สำหรับรังนี้ ไม่มีเลย แม่เต่าไม่เจอคู่ของเธอเลย ทั้งที่เธอขึ้นมาวางไข่ในวันที่ 14 กุมภา วันแห่งความรัก เธออยากมีความรัก แต่โลกที่มนุษย์ทำให้เปลี่ยนไป ไม่ยินยอมให้เธอมีรัก และไม่ยอมให้เธอมีลูก" ดร.ธรณ์ ระบุ


จับตา ปะการังฟอกขาว

"กรมฯ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และสัตว์ทะเลหายาก ได้ติดตามสถานการณ์โลกเดือดอย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมความพร้อมในการรับมือและดำเนินการวางแผนเฝ้าระวังสถานการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อนช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม โดยในปีนี้ได้คาดการณ์ว่าจะเกิด ปะการังฟอกขาวเป็นวิกฤตโลก ส่งผลกระทบด้านการเจริญเติบโตของปะการัง ซึ่งปกติกว่าปะการังจะกลับคืนมาสภาพเดิมได้นั้น ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ? 10 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้ ภายใน 10 ปีได้เกิดสถานการณ์ปะการังฟอกขาวรายใหญ่ 2 ครั้งทำให้ปะการังเติบโตไม่ทันส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเล

จากรายงานขององค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA เผยถึงภาวะ ?ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่? รอบที่ 4 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศของโลกส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์และส่งผลต่อแนวปะการังทั่วโลก

อย่างไรก็ตามกรมฯไม่ได้นิ่งนอนใจได้ดำเนินการเตรียมพร้อมรับมือร่วมกับเครือข่ายอนุรักษ์ปะการังรวมถึงกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาปะการังฟอกขาวโดยมีระบบติดตามเฝ้าระวังการตรวจวัดอุณหภูมิใต้ทะเลหากพบน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติ

กรมฯจะดำเนินการตามกฎระเบียบและข้อบังคับที่กำหนดโดยการลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดปัญหาต่อปะการังรวมถึงลดภัยคุกคามต่างๆที่ทำให้ปะการังเครียดเช่นกิจกรรมการท่องเที่ยวทางทะเลกิจกรรมดำน้ำดูปะการังและการปล่อยน้ำเสียลงในทะเลเป็นต้น

นอกจากนี้ กรมฯ ได้เปิดโอกาสให้เครือข่ายชุมชนชายฝั่งเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อพบจุดปะการังฟอกขาวที่รุนแรง หรือ มีแนวโน้มที่กำลังจะตาย ให้รีบแจ้งเบาะแสไปยังสำนักงานภายในพื้นที่สังกัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ทั้ง 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล หรือโทรไปที่เบอร์ 1362 สายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อที่กรมฯ จะดำเนินการประเมินและพิจารณาในการตัดสินใจย้ายปะการังไปไว้ในที่ปลอดภัยบริเวณพื้นที่ทะเลที่มีอุณหภูมิเย็น เพื่อปะการังจะฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมอีกครั้ง" ปิ่นสักก์ เปิดเผยเพิ่มเติม


พัชรวาทสั่งกรมทะเลฯ "เตรียมพร้อมรับมือ-สร้างความตระหนักประชาชน"

"ปัจจุบันโลกของเราได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั่วโลก ต่างต้องเผชิญหน้ากับการแปรปรวนของสภาพอากาศแบบสุดขั้วที่เรียกว่า ?ภาวะโลกเดือด? ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเลคือสิ่งที่ระบบนิเวศทางทะเลกำลังเผชิญกับผลกระทบหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นหญ้าทะเลเกิดความเสื่อมโทรมอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติและการเกิดสถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงนี้นับว่าเป็นสัญญาณเตือนของวิกฤตทะเลเดือด

จากปัญหาที่เกิดขึ้น ตนในฐานะผู้นำของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้หารือกับนายจตุพรบุรุษพัฒน์ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเร่งหาแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินงานในการจัดการและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามที่ได้ประกาศไว้

พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ อันเป็นทรัพยากรสำคัญของระบบนิเวศทางทะเล

นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกเดือดให้กับประชาชนนับเป็นเรื่องที่สำคัญ ควรมีการจัดเวทีประชุมให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตโลกเดือด การปล่อยของเสีย และการทิ้งขยะลงในทะเล รวมถึงดึงภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเครือข่ายอนุรักษ์เข้ามามีบทบาทในการปกป้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนเรื่องใกล้ตัวให้เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบ ปรับเปลี่ยนทัศนคติและรูปแบบการใช้ชีวิตชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งรับ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดทั้งร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นำไปสู่การเปลี่ยนโลกเพื่อ "ลดโลกเดือด" ต่อไป"

พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายจัดการปัญหาดังกล่าวล่าสุด


https://greennews.agency/?p=37591

สายน้ำ
25-04-2024, 07:31
ขอบคุณข่าวจาก Greennews


ตั้งคณะทำงานแก้ "กำแพงกันคลื่น-กัดเซาะชายฝั่ง" ภาคปช.เผยสัญญาณบวก

กรมทะเลสั่งตั้งคณะทำงานแก้ปัญหา "กำแพงกันคลื่น?กัดเซาะชายฝั่ง" เครือข่ายภาคประชาชนเผย "เป็นสัญญาณบวก?มิติใหม่" จากภาคราชการ

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Greennews_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Greennews_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


คำสั่งตั้งคณะทำงานฯ

"22 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา กรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่งได้มีคำสั่งเเต่งตั้ง "คณะทำงานขับเคลื่อนแนวทางและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง" ประกอบด้วยผู้แทนจากทั้งภาครัฐและ ประชาสังคม?ประชาชน รวม 20 คน ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ 3 ข้อเรียกร้องของกลุ่ม Beach for life เเละเครือข่ายประชาชนทวงคืนชายหาด เมื่อปลายปี 2565

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้มีการศึกษากรอบเเนวทางในการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเชิงระบบของประเทศไทย และผลการศึกษาของคณะกรรมการได้สิ้นสุด ทำให้กรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่ง ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงได้มี "คำสั่งกรมทรัพยากรทางทะเลเเละชายฝั่ง" เเต่งตั้งคณะทำงานฯ นี้ ลงนามโดยนายปิ่นสักส์ สุรัสวดี มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยของหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรูปธรรมสอดคล้องกับหลักวิชาการและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่

คณะทำงานดังกล่าว มีองค์ประกอบ ดังนี้

1 .นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ที่ปรึกษาคณะทำงาน

2. นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี ประธานคณะทำงาน

3. ผู้แทนสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะทำงาน

4. ผู้แทนกรมเจ้าท่า คณะทำงาน

5. ผู้แทนกรมโยธาธิการและผังเมือง คณะทำงาน

6. ผู้แทนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คณะทำงาน

7. ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะทำงาน

8. ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น คณะทำงาน

9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง คณะทำงาน

10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนัสพงษ์ โภควนิช คณะทำงาน

11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล คณะทำงาน

12. นายกิตติพจน์ เพิ่มพูล คณะทำงาน

13. นายอุกกฤต สตภูมินทร์ คณะทำงาน

14. นายนิรันดร์ ชัยมณี คณะทำงาน

15. นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล คณะทำงาน

16. นายอภิศักดิ์ ทัศนี คณะทำงาน

17. ผู้อำนวยการกองอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง คณะทำงาน และเลขานุการ

18. ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมชายฝั่ง คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ

19. ผู้อำนวยการส่วนแผนงานบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่ง คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ

20. นายอธิวัฒน์ เส้งคุ่ย คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ

โดยคณะทำงานชุดนี้ จะมีอำนาจหน้าที่ พิจารณา ปรับปรุง และแก้ไขแนวทางและกรอบการดำเนินงานเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งเชิงระบบ ตามผลการศึกษาของคณะทำงานกำหนดกรอบแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งภายใต้คณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศ

เเละ เสนอแนะแนวทางการขับเคลื่อน แนวทางการจัดทำแผนงาน/โครงการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวปฏิบัติ" รายงานข่าวเปิดเผย


"เป็นความหวัง" Beach for life

"ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่ผ่านมานั้นเกิดจากการสร้างโครงสร้างป้องกันชายฝั่ง เเละการรบกวนกระบวนการชายฝั่งเป็นหลัก เเละหน่วยงานใช้การเเก้ไขปัญหาด้วยการใช้โครงสร้าง ?กำเเพงกันคลื่น? รูปเเบบเดียวในการเเก้ไขปัญหาโดยปราศจากการวิเคราะห์ต้นต่อปัญหาบริบทของพื้นที่เเละความเป็นไปได้อื่นๆ

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างกรอบการปฏิบัติงานของหน่วยงานในการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่บูรณาการทุกหน่วยงานพิจารณาสภาพพื้นที่เเละกระบวนการชายฝั่งมองทางเลือกที่หลากหลายเเละเลือกทางเลือกที่กระทบชายหาดน้อยที่สุด

การตั้งคณะทำงานชุดนี้ จึงเป็นความหวังของการผลักดันวิธีคิดของการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเเบบใหม่ไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานราชการ เเละประชาชนมีส่วนร่วมได้ เเน่นอนว่าคณะชุดนี้จะไม่เพียงเเค่ประชุมในห้องเเต่ต้องทำให้เกิดการเรียนรู้เเละออกเเบบร่วมกันของสาธารณะด้วย" อภิศักดิ์ ทัศนี ผู้ประสานงานกลุ่ม Beach for life ให้ความเห็นต่อคำสั่งฯ


"มิติใหม่การมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย" มูลนิธิภาคใต้สีเขียว

"การตั้งคณะทำงานชุดนี้ขึ้นมาเป็นผลจากข้อเรียกร้องของภาคประชาชน ที่พยายามจะมีส่วนร่วมในการสร้างเเละออกเเบบกฎหมายระเบียบของทางราชการในการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะที่ผ่านมากรณีการเเก้ไขปัญหาด้วยกำเเพงกันคลื่นจนเกิดความเสียหายต่อชายหาดมากมายนั้น พิสูจน์เเล้วว่ากฎกติกาในการปฏิบัติราชการเพื่อการเเก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งนั้นมีปัญหา เเละหากยังคงเป็นเเบบเดิม ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทยจะวิกฤติมากกว่านี้

ดังนั้นภาคประชาชนที่ตื่นตัว เเละมีความรู้ทางวิชาการจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างกติกาใหม่นี้ร่วมกัน รวมถึงสร้างกระบวนการเรียนรู้ทางสาธารณะที่ทำให้ภาคประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการเสนอ ออกเเบบกฎหมายเเละนโยบายได้ ผมคิดว่าเรื่องชายหาดคือรูปธรรมที่น่าจับตามองของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบายสาธารณะ" ประสิทธิ์ชัย หนูนวล มูลนิธิภาคใต้สีเขียว หนึ่งในคณะทำงานฯ ให้ความเห็น


https://greennews.agency/?p=37639

สายน้ำ
25-04-2024, 07:35
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ระบบนิเวศทะเลไทยถูกทำลาย สัตว์น้ำลด ทำ "อุตสาหกรรมประมง" สูญแสนล้านบาท


SHORT CUT

- ระบบนิเวศทางทะเลไทยถูกทำลายมากขึ้น ทำสัตว์น้ำลด หายาก จับได้น้อยลง

- สวนทางราคาที่ต่ำลง หลังถูกอาหารทะเลต่างประเทศเข้ามาตีตลาด

- ปัญหาต่างๆ มีการประเมินว่าจะทำให้ตลาดอาหารทะเลไทยสูญเงินไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


"ระบบนิเวศทางทะเลไทย" ถูกทำลายมากขึ้น ทำสัตว์น้ำลด หายาก จับได้น้อยลง สวนทางราคาที่ต่ำลง หลังถูกอาหารทะเลต่างประเทศเข้ามาตีตลาด

ทะเลเดือด จากปัญหาโลกร้อนส่อรุนแรงมากขึ้น ล่าสุด พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ปัจจุบันโลกของเราได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั่วโลก ต่างต้องเผชิญหน้ากับการแปรปรวนของสภาพอากาศแบบสุดขั้วที่เรียกว่า "ภาวะโลกเดือด"

ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเล คือสิ่งที่ระบบนิเวศทางทะเลกำลังเผชิญกับผลกระทบหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหญ้าทะเลเกิดความเสื่อมโทรมอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นผิดปกติ ทั้งนี้ได้ทั้งมอบหมายให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ปะการังฟอกขาวที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ อันเป็นทรัพยากรสำคัญของระบบนิเวศทางทะเล

นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และเข้าใจเกี่ยวกับภาวะโลกเดือดให้กับประชาชนนับเป็นเรื่องที่สำคัญ ควรมีการจัดเวทีประชุมให้ทุกคนได้เรียนรู้เกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากวิกฤตโลกเดือด การปล่อยของเสีย และการทิ้งขยะลงในทะเล นอกจากนี้ดึงภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเครือข่ายอนุรักษ์ เข้ามามีบทบาทในการปกป้อง ดูแล รักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

โดยเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนเรื่องใกล้ตัวให้เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบ ปรับเปลี่ยนทัศนคติและรูปแบบการใช้ชีวิตชีวิตประจำวันให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และตั้งรับ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดทั้งร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นำไปสู่การเปลี่ยนโลกเพื่อ "ลดโลกเดือด" ต่อไป

แน่นอนว่าเรื่องปัญหาทะเลเดือดได้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างมาก ทำให้สัตว์น้ำมีปริมาณที่ลดลง #สปริงนิวส์ สัมภาษณ์พิเศษ นายกำจร มงคลตรีลักษณ์ ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึ่งได้เปิดเผยว่า ปัจจุบันปริมาณสัตว์น้ำในทะเลลดลงจริง ส่งผลกระทบอย่างมากในอุตสาหกรรมประมง รวมถึงการแปรรูปส่งออก

ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากสัตว์น้ำได้รับผลกระทบจากระบบนิเวศทางทะเลไทยถูกทำลายมากขึ้น ความอุดมสมบูรณ์ต่ำลง รวมถึงปัญหาโลกร้อนทำทะเลเดือด นอกจากนี้ยังประสบปัญหาเรือประมงขนาดเล็กมีปริมาณมากขึ้น

นอกจากนี้ยังประสบปัญหาอาหารทะเลจากต่างประเทศ อย่างเวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ราคาถูกเข้ามาตีตลาด จึงทำให้อาหารทะเลวิกฤตเผชิญปัจจัยรุมเร้าทั้งราคาตกต่ำ สัตว์น้ำหายาก แถมยังถูกสินค้าจากต่างประเทศตีตลาด โดยเบื้องต้นประเมินว่าปัญหาต่างๆที่กล่าวมาจะทำให้ตลาดอาหารทะเลไทยสูญเงินไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โลกร้อน ทะเลเดือด ระบบนิเวศทางทะเลถูกทำลาย ทำให้อุตสาหกรรมทะเลปั่นป่วนไม่น้อยเลยเดียว


https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/849620

สายน้ำ
25-04-2024, 07:39
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


พร้อมยัง? ไทยรับมือ 'เอลนีโญ' สิ้น พ.ค. สู่ 'ลานีญา' ? ก.ย.จับตาผลกระทบรอยต่อ


SHORT CUT

- ระทึก! "ไทย" รับมือสถานการณ์น้ำเปลี่ยนจากภาวะ "เอลนีโญ" ที่จะสิ้นสุด พ.ค.นี้

- เตรียมเข้าสู่ "ลานีญา" ก.ย.นี้ จับตาฝนทิ้งช่วงระหว่างรอยต่อ

- คาดมีทั้งฝนทิ้งช่วง และฝนมากปลายฤดู มีโอกาสเกิดลานีญา 60%

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_02.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


ระทึก! "ไทย" รับมือสถานการณ์น้ำเปลี่ยนจากภาวะ "เอลนีโญ" ที่จะสิ้นสุด พ.ค.2567 เตรียมเข้าสู่ "ลานีญา" ก.ย.นี้ จับตาฝนทิ้งช่วงระหว่างรอยต่อ คาดมีทั้งฝนทิ้งช่วง และฝนมากปลายฤดู มีโอกาสเกิดลานีญา 60%

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทุกวันนี้ คือ สิ่งที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง และเร่งออกมาตรการรับมือโลกปั่นป่วน โดยเฉพาะ 'เอลนีโญ' ที่สร้างผลกระทบภัยแล้งทั่วไทย และทั่วโลก สลับกับบางพื้นที่เกิดลานีญา ทำให้โลกใบนี้โกลาหลไม่น้อย ส่วนของไทยก็ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้เช่นกัน จึงทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งออกมารับมือ อย่างเช่นล่าสุด กระทรวงเกษตรฯ เผยจัดสรรน้ำตามแผนแล้งปี 66/67 ว่าเป็นไปตามแผน พร้อมให้ความมั่นใจรับมือฝนทิ้งช่วง-แล้งยืดเยื้อ จับตา ก.ย.-ต.ค.ปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ยได้

สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ช่วงรอยต่อระหว่าง "เอลนีโญ" ส่งผลให้ปริมาณฝนลดลงในปี 2565-2566 และกำลังเข้าสู่สถานการณ์ "ลานีญา" ที่จะมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น โดยกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า สภาวะเอลนีโญกำลังปานกลางในปัจจุบัน จะอ่อนลงและเปลี่ยน เข้าสู่สถาวะเป็นกลางในช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย.2567 จากนั้น มีความน่าจะเป็น 62% ที่จะเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.2567

ขณะที่ กรมชลประทาน รายงานว่า ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำทุกขนาดทั่วประเทศ 470 แห่ง วันที่ 20 เม.ย.2567 มีความจุน้ำรวม 76,337 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีปริมาณน้ำในอ่าง 43,443 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 57% ของความจุอ่าง และมีปริมาณน้ำใช้การได้ 19,500 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 37% ของความจุอ่าง ทำให้ยังรับน้ำได้อีก 32,894 ล้านลูกบาศก์เมตร

ล่าสุด #กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทีมกรุ๊ป กล่าวว่า เอลนีโญในไทยนั้นจะอ่อนกำลังลงตั้งแต่เดือน พ.ค.เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะปริมาณน้ำสำรองในประเทศลดลงมากรวมทั้งจากการวิเคราะห์ข้อมูลองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ระบุว่า ไม่เพียงแต่เอลนีโญจะอ่อนกำลังลงเพียงแต่มีโอกาสเกิดลานีญาในไทย 60% และจะหนักขึ้นในช่วง ก.ย.-ต.ค.2567 ทำให้ต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำในอ่างเป็นพิเศษ

ทั้งนี้ต้องติดตามร่องฝนจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ทุกวันเพื่อตรวจสอบพายุที่จะเกิดขึ้นในช่วงหน้าฝนที่จะทำให้ปริมาณน้ำมากกว่าปกติ เพื่อเตรียมการรับมือกับน้ำที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ เท่าที่ติดตามข้อมูลพบว่าภาครัฐเตรียมการรับมือปริมาณน้ำฝนที่จะเกิดขึ้นจากการถอดบทเรียนจากปี 2564-2565 ที่ปริมาณฝนสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยมีการลอกคลองหรือการกำจัดขยะและวัชพืชในแม่น้ำและท่อระบายน้ำ รวมถึงการบำรุงรักษาบานประตูระบายน้ำ เครื่องสูบน้ำให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุดและปรับปรุงคลองรัฐโพธิ์ให้พร้อมรับน้ำช่วงหน้าฝนเพื่อปกกันน้ำท่วมในอนาคต

"เป็นเรื่องดีที่เอลนีโญนั้นอ่อนกำลังลง แต่ต้องรับมือปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นจากสถานลานีญาในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมซ้ำรอยเหมือนในอดีต" นายชวลิต กล่าว

ขณะที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในขณะที่เดือน ก.ย.2567 ผลพยากรณ์จากอุตุนิยมวิทยา 13 สำนักทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนทิศทาง โดยบ่งชี้ว่าปริมาณฝนจะกลับมาเพิ่มขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติในเกือบทุกภูมิภาคเล็กน้อย ต้องระวังน้ำท่วมเพราะเป็นเดือนที่ปริมาณฝนสูงสุดในรอบปี ส่วนเดือน ต.ค.2567 ปริมาณฝนจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติในเกือบทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคเหนือที่ฝนจะอยู่ระดับปกติ ต้องระวังน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะใต้ตอนบนเพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูฝนใหญ่ของภาคใต้

"อากาศร้อนจัดและความแห้งแล้งที่อาจยืดเยื้อ ดังนั้นต้องเตรียมวางแผนการใช้น้ำช่วงฤดูแล้งและช่วงฤดูฝนที่ฝนอาจมาล่าช้ากว่าปกติ และเตรียมรับมือน้ำท่วมและอากาศหนาวเย็นช่วงปลายปี" ร้อยเอกธรรมนัส กล่าว


https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/849706

สายน้ำ
25-04-2024, 07:45
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


"โลกเดือด" ส่งผลอย่างไรกับ "ทะเลไทย" และมีอะไรบ้างที่เราต้องเฝ้าระวัง


SHORT CUT

- อ.ธรณ์ เผย "สวัสดีวัน Earth Day ด้วยความร้อน 43 องศา ทะเลร้อนเกิน 32 องศา ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไม่รักโลกตอนนี้ ก็ไม่เหลือเวลาให้รักแล้วครับ"

- อ่าวไทยร้อนเกิน 32 องศา, เกิดปรากฏการณ์ "หญ้านึ่ง", แพลงก์ตอนบลูม, ไข่เต่ามะเฟืองไม่มีเชื้อ, ปะการังเกาะยา จ.ตรัง ฟอกขาวแล้ว

- พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบหมายให้ ทช. รับมือปะการังฟอกขาว

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_03.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


เมืองไทยอากาศร้อนทะลุ 43 องศา บนบกก็ว่าร้อนตับจะแตกแล้ว ดำลงน้ำก็ร้อนพอกัน อ.ธรณ์ เปิดเผยว่า วัดอุณหภูมิท้องทะเลช่วง 7 โมงเช้า ได้ 32 องศาเข้าไปแล้ว มารีเช็กกันหน่อยว่า ทะเลไทยในยุคโลกเดือดได้รับผลกระทบยังไงบ้าง?


โลกเดือด ทะเลเดือดยิ่งกว่า!

องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ หรือ NOAA ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า โลกกำลังเจอกับปะการังฟอกขาวระดับหายนะ (Global Coral Bleaching Event) ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 4 ของโลก และถือเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 10 ปี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลมาจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น

เป็นเหตุให้ขณะนี้ กว่า 53 ประเทศทั่วโลกกำลังเจอกับปะการังฟอกขาว ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะปะการังเหล่านี้ถือเป็นที่อิงอาศัยให้กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ และคอยมอบความอุดมสมบูรณ์ให้กับประเทศต่าง ๆ แต่ดูเหมือนว่า "The Giverแห่งท้องทะเล" กำลังถูกทะเลเดือดเล่นงานแบบไม่ให้พักยก


"สวัสดีวัน Earth Day ด้วยความร้อน 43 องศา ทะเลร้อนเกิน 32 องศา ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไม่รักโลกตอนนี้ ก็ไม่เหลือเวลาให้รักแล้วครับ"

นี่คือประโยคสั้น ๆ จาก ผศ.ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ หรือ อ.ธรณ์ ในแบบที่เรารู้จัก แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เวลาที่เช้ามาก ๆ ท้องทะเลก็มิได้เย็นตามความเข้าใจ เราต้องยอมรับและตื่นตัวกันอย่างจริงจังได้แล้ว เพื่อหาวิธี "ทุเลา" ทะเลไทย เพราะสายเกินไปแล้วที่จะกลับไปแก้...


เนื่องในโอกาสวันคุ้มครองโลก (Earth Day) หรือวันที่ 22 เมษายนของทุกปี สปริงนิวส์ถือโอกาสรวบรวมปัญหาโลกเดือดกับทะเลไทยมาให้อ่านกัน เอาแค่เฉพาะปี 2024 ทะเลไทยเจอวิกฤตจากโลกเดือดไปแล้วกี่กระทง


อ่าวไทยร้อนเกิน 32 องศา

ประเดิมด้วยอุณหภูมิน้ำ ขณะนี้โลกเดือด แดดจัด ผนึกกำลังกันทำให้ท้องทะเลอ่าวไทยกลายเป็น "หม้อไฟ" โดยพบว่าตอนนี้อ่าวไทยอุณหภูมิพุ่งทะลุ 32.5 องศาไปแล้ว ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ แม้ในตอนกลางคืน ช่วงที่ไม่มีแดด ต้องแต่แสงพระจันทร์ อุณหภูมิน้ำทะเลอ่าวไทยก็ยังแตะ 32 องศา โดยรวมแล้ว อุณหภูมิอ่าวไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยจากปีที่แล้วประมาณ 1.5 องศา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติเอาเสียเลย


เกิดปรากฏการณ์ "หญ้านึ่ง" อันดามันใต้ ตรัง-กระบี่

เบื้องต้น หญ้าทะเลที่อันดามันใต้ จังหวัดตรัง ? กระบี่ (ตอนล่าง) ลากลามไปจนถึงพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสตูล เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "หญ้านึ่ง" นอกจากนี้ น้ำที่ลดต่ำลง ผนวกกับแดดแรงทำให้หญ้าทะเลไหม้และตายไปหมด ส่งผลโดยตรงให้พะยูนในพื้นที่กระจายกันไปหาอาหารในแหล่งอื่น


บางแสน จ.ชลบุรี เกิดแพลงก์ตอนบลูม เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นสีเขียว

จำข่าวทะเลบางแสนสีเขียวกันได้ไหม แม้จะได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอันตราย และยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อย่างไรก็ดี แพลงก์ตอนบลูมถือเป็นอีก 1 เหตุการณ์ที่มีต้นตอมาจากโลกเดือด

เพราะเดิมที แพลงก์ตอนบลูมจะเกิดเฉพาะช่วงหน้าฝนเท่านั้น แต่ในยุคโลกเดือด แพลงก์ตอนบลูมโผล่ให้เห็นกันตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว และในหนึ่งปีมักเกิดแค่ 15 ครั้ง แต่ปีที่ผ่านมาเกิดไปทั้งสิ้น 70 ครั้ง แม้จะไม่เป็นอันตรายต่อคน แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ


ไข่เต่ามะเฟืองไม่มีเชื้อ และมีเต่าตัวผู้น้อยลง

แม่เต่ามะเฟือง 14 กุมภา จำนวน 120 ฟอง ที่ตั้งไว้ริมชายหาด พบว่าไข่ทุกใบไม่ได้รับการผสม ไม่มีลูกเต่าเกิดแม้แต่ตัวเดียว สิ่งนี้เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่าง แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้เต่ามะเฟืองตัวผู้หายากขึ้นทุกวัน ๆ

สาเหตุเพราะว่า เพศของเต่าจะขึ้นตรงกับอุณหภูมิในรัง หากโลกร้อนจะเกิดเป็นเต่าเพศเมีย หากอุณหภูมิต่ำจะเป็นเพศผู้ จึงไม่แปลกใจเลยที่เราเหลือเต่าตัวผู้เพียงน้อยนิด


ปะการังเกาะยา จ.ตรัง ฟอกขาวแล้ว 1%

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาวด้วยวิธีสุ่มตรวจ และติดเครื่องวัดอุณหภูมิน้ำทะเลที่บริเวณเกาะยา จังหวัดตรัง เบื้องต้นพบว่า ปะการังในบริเวณดังกล่าวเริ่มมีสีซีดเซียว คิดเป็น 1% ของพื้นที่สำรวจ และน้ำทะเลมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 31.8 องศา


เฝ้าระวังปะการังฟอกขาวอ่าวไทย-อันดามัน

เบื้องต้น พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เตรียมรับมือสถานการณ์ปะการังฟอกขาว และเดินหน้าสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ "ภาวะโลกเดือด" ให้กับประชาชน

นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เผยว่า ได้เตรียมความพร้อมในการรับมือและดำเนินการวางแผนเฝ้าระวังสถานการณ์ปะการังฟอกขาว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อนช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม โดยในปีนี้ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดปะการังฟอกขาวเป็นวิกฤตโลก

ที่มา: Thon Thamrongnawasawat


https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/849716

สายน้ำ
25-04-2024, 07:49
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


เดือดแน่! อุณหภูมิเฉลี่ยไทย จ่อเทียบเท่า "ทะเลทรายซาฮารา" ภายในปี 2613


SHORT CUT

- นักวิทยาศาสตร์เผยผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่น่าตกใจ อนาคตอุณหภูมิเฉลี่ยของไทยอาจพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์

- คาดการณ์ว่าภายในปี 2613 อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของไทยจะพุ่งสูงเทียบเท่ากับอุณหภูมิในทะเลทรายซาฮารา

- คลื่นความร้อนสุดโหด จะส่งผลให้พื้นที่ชุมชนเมืองใหญ่ในประเทศไทยไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดทั้งปี

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670425_Springnews_04.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยอาจพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เทียบเท่ากับอุณหภูมิทะเลทรายซาฮารา ภายในปี 2613 กลายเป็น "ประเทศที่ร้อนเกินกว่าจะอยู่อาศัยได้" คนรุ่นต่อไป อาจต้องเผชิญกับวิกฤตภัยพิบัติที่หนักหน่วง

นักวิทยาศาสตร์รายงานผลการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่น่าตกใจ อนาคตอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยอาจพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เทียบเท่ากับอุณหภูมิทะเลทรายซาฮารา ภายในปี 2613

การคาดการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงภาพฝันร้ายที่ประเทศไทยอาจกลายเป็น "ประเทศที่ร้อนเกินกว่าจะอยู่อาศัยได้" หากโลกยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราสูงสุดต่อไป สภาพอากาศร้อนจัดเช่นนี้จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเกษตรกรรมและการดำรงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก

ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตร จึงมีอากาศร้อนเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ปัญหาโลกร้อนไม่ได้เกิดจากสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง แต่เป็นผลรวมของแนวโน้มในระยะยาวของการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิผิวโลกอันเนื่องจากก๊าซเรือนกระจก

กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ฤดูร้อนปี 2567 ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนอบอ้าวโดยทั่วไป และมีอากาศร้อนจัดในหลายพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยบริเวณประเทศไทยตอนบน 35-38?C โดยคาดการณ์อุณหภูมิสูงที่สุด 43 ? 44.5?C ซึ่งใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับสถิติของประเทศไทย

จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า อุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยของไทยเพิ่มขึ้น 1.5?C นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งมากกว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกที่ 1.3?C นอกจากนี้ แบบจำลองยังคาดการณ์ว่าหากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิเฉลี่ยของไทยจะเพิ่มขึ้นอีก 2.5-5.5?C ภายในปี 2643

"สิ่งที่น่ากังวลคือแนวโน้มอุณหภูมิสูงเฉลี่ยของประเทศไทย ในปี 2566 อยู่ที่ 28.1?C สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา (2534-2563) และมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2613 อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีของไทยจะพุ่งสูงกว่านั้นอย่างมาก เทียบเท่ากับอุณหภูมิในทะเลทรายซาฮารา ซึ่งคลื่นความร้อนสุดโหดในระดับดังกล่าวจะส่งผลให้พื้นที่ชุมชนเมืองใหญ่ในประเทศไทยไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ตลอดทั้งปี"

ผลกระทบรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องมีแผนรับมือ และปรับตัวกับวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน ทั้งคลื่นความร้อน ภัยแล้ง อุทกภัย และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เพื่อบรรเทาปัญหา

มิฉะนั้นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อทุกภาคส่วนในประเทศไทย โดยเฉพาะคนรายได้น้อย ภาคเกษตรกรรม และประชากรกลุ่มเปราะบาง รวมถึงอนาคตของคนไทยรุ่นต่อไป ต้องเผชิญกับวิกฤตภัยพิบัติที่หนักหน่วง

หากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใน 5 ทศวรรษข้างหน้า โลกจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่กับประเทศไทย แต่เกือบหนึ่งในสามของประชากรโลก จะต้องดำรงชีวิตท่ามกลางสภาวะอากาศร้อนรุนแรงเสมือนทะเลทรายซาฮารา


https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/849778