PDA

View Full Version : รุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2567


สายน้ำ
20-08-2024, 01:38
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีฝนตกหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย

สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ขอให้ชาวเรือหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-29 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส
ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องมรสุมพาดผ่านตอนบนภาคเหนือ และประเทศลาว ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ตลอดช่วง ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ตลอดช่วง ส่วนในช่วงวันที่ 21 - 24 ส.ค. 67 จะมีแนวพัดสอบของลมตะวันออกเฉียงใต้และลมตะวันตกเฉียงใต้ในระดับบน ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับในช่วงวันที่ 23 - 25 ส.ค. 67 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย จะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ส่วนชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย ตลอดช่วง


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Forcast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Forcast_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Sat2.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Sat2.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Warning.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

สายน้ำ
20-08-2024, 02:22
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


นักท่องเที่ยวฮือฮา พบ "วาฬบรูด้า" โผล่ว่ายน้ำหากินในทะเลบางแสน

นักท่องเที่ยวตื่นเต้น พบ "วาฬบรูด้า" โผล่ว่ายน้ำหากินในทะเลบางแสน ชี้มีให้เห็น 3-4 ตัว ด้าน "ชาวประมงพื้นบ้าน" เผย เป็นช่วงฤดูปิดอ่าว วาฬจึงว่ายมาหากิน

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Thairath_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Bangsaen Paddling Club และผู้ใช้บัญชี TikTok @anusornchadee ได้โพตส์ภาพคลิปวิดีโอขณะนักท่องเที่ยวพายเรือคายัคออกมาในทะเล แล้วมีกลุ่มนกนางนวลบินวนอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นก็มีช่วงหัววาฬบรูด้าโผล่ออกมาเหนือน้ำทะเล ท่ามกลางเสียงตื่นเต้นของผู้พบเห็น โดยบริเวณที่พบห่างออกจากหาดบางแสน มาหาดแหลมแท่น ไปทางเขาสามมุข ประมาณ 3 กม.


ล่าสุด วันที่ 19 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่ บางแสนแพดเดอริ่งคลับ ซึ่งเป็นร้านกาแฟ ที่มีสอนพายเรือ Surfski และมีแคมป์ที่พัก สอบถาม นายอนุสรณ์ ชาดี (ครูโอ๋) อายุ 44 ปี เจ้าของบางแสนแพดเดอริ่งคลับ ผู้โพสต์ เปิดเผยว่า ตนออกไปพายเรือกันสามคน ส่วนคนที่ถ่ายคลิปเป็นลูกศิษย์

ตนพายเรือออกจากคลับไปประมาณ 3 กม. พบที่บริเวณแหลมแท่น ก่อนหน้านี้ตนเคยพบโลมา มา 4 ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พบวาฬ รู้สึกหัวใจฟู ตื่นเต้น คุ้มค่ารู้สึกพายเรือแล้วกับการที่ได้พบ รู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง พายเรือไปแล้วไปเจอวาฬ เห็นแล้วเลยพยายามพายเรือเข้าไปใกล้ ตอนแรกคิดว่ามีตัวเดียว ปรากฏว่ามี 3-4 ตัว

โดยวาฬว่ายมาอยู่รอบๆ เรือ ไม่ได้ทำร้ายพวกตน ไม่รู้ว่าวาฬคิดว่าเป็นพวกเดียวกันรึเปล่า เพราะเรือค่อนข้างยาว ตนไม่แน่ใจข้อมูลที่ว่าวาฬมาบางแสนทุกๆ ปี เท่าที่ฟังจากชาวประมงทราบว่าไม่มีมาเป็น 10 ปีแล้ว ที่วาฬไม่ได้เข้ามาที่หาดบางแสน ตอนแรกตนไม่เชื่อ แต่พอมาเห็นกับตา ตนคิดว่าน่าจะมีจริง ตนคิดว่าทะเลที่บางแสนน่าจะสมบูรณ์ มีพี่ๆ ที่มีข้อมูลบางส่วนได้บอกว่าวาฬที่พบนั้นเป็นวาฬบรูด้า

ด้าน นายเอกศักดิ์ เสริมศรี อายุ 47 ปี พ่อค้าขายอาหารทะเล ชาวประมงพื้นบ้าน และเป็นเจ้าหน้าที่กู้ชีพทางทะเลฉลามขาว เปิดเผยว่า เวลาที่จะพบวาฬได้ช่วงเช้าและเย็น จะอาศัยดูฝูงนกนางนวลที่รวมกลุ่มกันเป็นก้อน เพื่อจะแย่งปลาจากวาฬบรูด้าที่ล้อมกินปลา

ตนขอฝากถึงชาวประมงว่า ช่วงนี้เป็นฤดูปิดอ่าว แต่ประมงพื้นบ้านสามารถออกหาของทะเลได้ ที่พบวาฬได้เพราะวาฬตามแหล่งอาหารมา ตนอยากให้ภาครัฐช่วยขยายเวลาในการปิดอ่าวเพิ่มออกไปอีกสัก 1 เดือน ถึง 1 เดือนกว่า เพื่อให้ลูกปลาที่เข้ามาอาศัยได้มีการเจริญเติบโตมากขึ้น

เพราะแค่ระยะ 3 เดือน พวกปลา หรืออาหารของวาฬลดน้อยลง หากอาหารหมด พวกวาฬบรูด้าก็จะย้ายที่ไป ตนคิดว่าช่วงนี้วาฬจะยังอยู่ที่บางแสนอีกเกือบ 1 เดือน แต่ถ้าแหล่งอาหารหมด วาฬก็จะย้ายที่ไปที่อื่น จะเป็นแบบนี้ทุกปีอยู่แล้ว

ในการที่จะพบวาฬบรูด้านั้นจะกะเวลาไม่ได้ เรือที่มีเสียงเครื่องยนต์จะเข้าใกล้วาฬได้ยาก ส่วนที่เมื่อวานที่พบวาฬนั้นเป็นเรือพาย ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ จึงสามารถเข้าใกล้วาฬได้ ส่วนนักท่องเที่ยวจะมาดูวาฬได้ไหมนั้นต้องมาเสี่ยงดวงเอา เพราะวาฬจะว่ายน้ำหากินไปทั่ว แต่ก็จะอยู่ในบริเวณนี้ จากนักท่องเที่ยวจะมาดูวาฬให้สังเกตดูนกนางนวลที่บินวนกันเป็นกลุ่มๆ เพราะนกจะมาอาศัยกินปลากับวาฬ.

ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Bangsaen Paddling Club และ TikTok @anusornchadee


https://www.thairath.co.th/news/society/2809003

สายน้ำ
20-08-2024, 02:26
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


ประมงพื้นบ้านเชื่อผลดีปิดอ่าว ทำวาฬบรูด้าเยือนทะเลบางแสน : เรื่องเด่นทั่วไทย


IgPPMZVmgEg?si=i0_zyVfmGeRLlz-8

สายน้ำ
20-08-2024, 02:31
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


สามีไม่ยอมแพ้ ดำน้ำ ค้นหาร่างภรรยา ถูกสึนามิพัดหาย 13 ปีก่อน คร่าชีวิตนับหมื่นราย

ไม่เคยหมดหวัง สามีไม่ยอมแพ้ ดำน้ำกว่า 600 ครั้ง ค้นหาร่างภรรยา หลังถูกสึนามิพัดหายเมื่อ 13 ปีก่อน เผยทำเพราะรู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาที่จากไป

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Khaosod_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Khaosod_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานว่า จากโศกนาฏกรรม ?สึนามิ? ภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 20,000 ราย สูญหายอีกเกือบ 3,000 คน

เหตุการณ์ดังกล่าวได้คร่าชีวิตภรรยาของนายทาคามัตสึ ที่ถูกน้ำพัดหายจากหลังคาห้องทำงาน โดยปัจจุบันสามียังไม่ยอมแพ้ที่จะดำน้ำค้นหาร่างของภรรยา

ตามรายงานของสื่อญี่ปุ่น เผยว่า นางยูโกะ ทาคามัตสึวัย 47 ปี เธอเป็นหนึ่งในผู้สูญหายจากเหตุสึนามิถล่มญี่ปุ่น โดยนายยาสุโอะ ทาคามัตสึ สามีของยูโกะ ได้เริ่มค้นหาร่างของภรรยา ตั้งแต่ถูกน้ำพัดหายจมทะเลมาตลอดกว่า 13 ปีอย่างไม่เคยยอมแพ้

โดยนายทาคามัตสึ เล่าว่า เพื่อที่จะค้นหาร่างของภรรยาของเขา เขาได้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงต่อวันอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเรียนดำน้ำในปี 2556

นอกจากนี้ เขายังได้เรียนรู้จากนายมาซาโยชิ ทากาฮาชิ ผู้เชี่ยวชาญในการกู้ซาก และมีประสบการณ์ในการค้นหาร่างสูญหายในมหาสมุทร

ต่อมาในปี 2557 หลังจากผ่านการสอบรับรองการดำน้ำระดับชาติ เขาได้เริ่มดำน้ำหลายร้อยครั้งตามบริเวณนอกชายฝั่งญี่ปุ่น และให้คำมั่นว่า จะฝังศพภรรยาของเขาอย่างสมเกียรติ

อย่างไรก็ตาม จนถึงปัจจุบันนายทาคามัตสึดำน้ำ เพื่อค้นหาร่างภรรยาสุดที่รักไปแล้วอย่างน้อย 600 ครั้ง แต่ตลอดช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยพบศพของภรรยาของเขาเลย ซึ่งเขาพบเพียงโบราณวัตถุบางส่วนเท่านั้น

ภายหลังนายทาคามัตสึ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า แม้ว่าการค้นหาจะเผชิญกับความยากลำบากมากมาย แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องค้นหาต่อไป โดยเขาให้เหตุผลว่า เขารู้สึกใกล้ชิดกับภรรยาของเขามากที่สุดตอนที่เขาลงทะเลเท่านั้น

ทั้งนี้ เหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2554 ถือเป็นแผ่นดินไหวที่รุนแรงเป็นอันดับ 4 ของโลก นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลแผ่นดินไหวสมัยใหม่ตั้งแต่ปี 1900

โดยแผ่นดินไหวดังกล่าวก่อให้เกิดสึนามิ สูงถึง 40.5 เมตร ซัดเข้าชายฝั่งเมืองมิยาโกะในจังหวัดอิวาเตะ และในพื้นที่เมืองเซนไดสร้างความเสียหายไปไกลถึง 10 กิโลเมตร

ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 20,000 ราย และบาดเจ็บเกือบ 7,000 คน รวมถึงมีผู้สูญหายมากถึงเกือบ 2,600 คน

อีกทั้ง ภัยพิบัติครั้งนี้ส่งผลให้สารกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวเมืองหลายแสนคน และต้องมีการอพยพประชาชนในรัศมี 20 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าอีกเช่นกัน


https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_9369092

สายน้ำ
20-08-2024, 02:37
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'สวิตเซอร์แลนด์' แข่งหาไอเดียกู้ 'อาวุธใต้ทะเลสาบ' แบบปลอดภัย ชิงเงิน 2 ล้านบาท
........... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- สวิตเซอร์แลนด์ประกวดหาไอเดียกู้ "อาวุธยุทโธปกรณ์" ที่อยู่ใต้ทะเลสาบกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ชิงเงินรางวัล 50,000 ฟรังก์สเกือบ 2 ล้านบาท

- ระหว่างปี 2461-2507 กองทัพได้ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายชนิดที่มีปัญหา ผลิตมาเกิน หรือล้าสมัยไปแล้ว รวมน้ำหนักกว่า 12,000 ตัน ลงในทะเลสาบหลายแห่งของสวิส

- ขณะนี้มีตะกอนละเอียดหนาถึง 2 เมตรปกคลุมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกทิ้งใต้บาดาลและการจะกู้พวกมันขึ้นมา อาจทำให้เกิดโคลนจำนวนมาก ที่จะทำให้ออกซิเจนในน้ำหายไป จนกระทบต่อระบบนิเวศในน้ำ

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Bkkbiz_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Bkkbiz_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


นักท่องเที่ยวที่เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันสวยงามของ ?ทะเลสาบ? ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าภายใต้ผืนน้ำที่สวยงามนี้ จะมีอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งกระสุน ชนวนระเบิด ระเบิด TNT และอื่น ๆ น้ำหนักรวมกันหลายพันตัน เพราะในอดีตกองทัพสวิสใช้ทะเลสาบเป็นแหล่งทิ้งพวกมัน โดยเชื่อว่าสามารถกำจัดทิ้งได้อย่างปลอดภัย แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะหาวิธีจัดการกับอาวุธเหล่านี้อย่างปลอดภัยและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

สำนักงานกลางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งสวิตเซอร์แลนด์ หรือ Armasuisse ประกวดหาไอเดียกู้ ?อาวุธยุทโธปกรณ์? ที่อยู่ใต้ทะเลสาบกลับขึ้นมาอย่างปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย 3 แนวคิดที่ดีที่สุด จะได้รับรางวัล 50,000 ฟรังก์สวิส หรือเกือบ 2 ล้านบาท

แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้จะไม่ถูกนำไปใช้โดยตรงในปฏิบัติการกอบกู้ แต่จะทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้น โดยการนำกระสุนขึ้นมาจากทะเลสาบก็ต่อเมื่อพวกมันเริ่มส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ระหว่างปี 2461-2507 กองทัพได้ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์หลายชนิดที่มีปัญหา ผลิตมาเกิน หรือล้าสมัยไปแล้ว รวมน้ำหนักกว่า 12,000 ตัน ลงในทะเลสาบหลายแห่งของสวิส ไม่ว่าจะเป็น ทะเลสาบทูน ทะเลสาบเบรียนซ์ และทะเลสาบลูเซิร์น ที่ระดับความลึก 150-220 เมตร แต่อาวุธในทะเลสาบเนอชาแตลนั้นอยู่ต่ำกว่าผิวน้ำเพียง 6-7 เมตรเท่านั้น

ขณะที่ทะเลสาบเนอชาแตลยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ประมาณ 4,500 ตันอยู่ใต้น้ำ เพราะเป็นสถานที่ฝึกซ้อมทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศสวิสเป็นเวลาหลายปี

ด้วยปริมาณกระสุนจำนวนมาก และถูกทิ้งมานานแล้วอาจทำให้การกอบกู้อาวุธเหล่านี้ขึ้นมาอาจจะทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ ทำให้ Armasuisse ต้องการวิธีแก้ปัญหานี้ จึงได้จัดการระดมความคิดจากประชาชนขึ้นมา โดยเปิดกว้างให้ทุกความคิดและไม่จำเป็นต้องระบุตัวตนผู้สมัคร ซึ่งสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเว็บไซต์ และสามารถเสนอไอเดียได้ถึง 6 กุมภาพันธ์ 2568

แนวคิดที่ส่งเข้ามา จะถูกประเมินและพิจารณาโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงาน ทั้งสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และบุคลากรจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกาศผลในเดือนเมษายน 2568 ซึ่งแนวคิดที่ได้รับคัดเลือก Armasuisse จะนำไปศึกษาวิจัยเพิ่มเติม


อาวุธอยู่ใต้ทะเลสาบนานเกินไป

จากการประเมินในปี 2548 เผยให้เห็นว่า ขณะนี้มีตะกอนละเอียดหนาถึง 2 เมตรปกคลุมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกทิ้งใต้บาดาลอยู่ และการจะกู้พวกมันขึ้นมา อาจทำให้เกิดโคลนจำนวนมาก นับว่าเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศที่ละเอียดอ่อนของทะเลสาบ

ตะกอนและโคลนเหล่านี้อาจทำให้ออกซิเจนที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วในระดับน้ำลึกขนาดนี้หมดไป ซึ่งจะเป็นการทำลายระบบนิเวศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงที่อาวุธจะระเบิด ทัศนวิสัยใต้น้ำที่ไม่ดี ความลึกและกระแสน้ำ

อีกทั้งอาวุธยังมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ 4 มิลลิเมตร ไปจนถึง 20 เซนติเมตร และหนักได้ถึง 50 กิโลกรัม เนื่องจากกระสุนส่วนใหญ่ทำจากเหล็กและมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็ก ขณะที่ตัวจุดชนวนบางตัว ทำจากทองแดง ทองเหลือง หรืออะลูมิเนียมที่ไม่ใช่แม่เหล็ก

มาร์กอส บูเซอร์ นักธรณีวิทยาชาวสวิส ได้เขียนรายงานการวิจัยเมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อเตือนรัฐบาลถึงอันตรายของการทิ้งอาวุธในทะเลสาบ โดยบูเซอร์ระบุว่ามันจะทำให้เกิดความเสี่ยง 2 ประการ เขากล่าว ประการแรก แม้ว่าพวกมันจะอยู่ใต้น้ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดการระเบิด เพราะในหลายกรณีกองทัพไม่ได้ถอดฟิวส์ออกก่อนทิ้งอาวุธ

นอกจากนี้ยังมีการปนเปื้อนของน้ำและดิน มีโอกาสที่ TNT จะสร้างมลพิษให้กับน้ำในทะเลสาบและตะกอนได้

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้การกอบกู้ที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นไปได้ยาก และคาดว่าจะต้องใช้เงินในการกู้อาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้หลายพันล้านฟรังก์สวิส โดยบูเซอร์แนะนำให้รัฐบาลขอคำแนะนำจากสหราชอาณาจักร นอร์เวย์ หรือเดนมาร์ก ที่เคยจัดการกับซากเรือในช่วงสงคราม ที่มีอาวุธและระเบิดอยู่ภายใน ซึ่งอาจจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และปลอดภัยกว่าได้

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองทัพสวิสประมาทเลินเล่อกับอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยกองทัพเปิดเผยว่า ในปี 2566 พลเรือนพบอาวุธที่ยังไม่ถูกใช้งานและระเบิดในเขตชนบทเพิ่มขึ้นถึง 12% เมื่อเทียบกับปี 2565 หรือแม้แต่บนธารน้ำแข็ง ที่กำลังละลายอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ยังเผยให้เห็นกระสุนจริงและกระสุนจริงที่เหลือจากการฝึกบนภูเขาสูงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน

ในปี 2490 เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่ที่หมู่บ้านมิธอลซ์ บนเทือกเขาแอลป์ เมื่ออาวุธกว่า 3,000 ตันที่กองทัพเก็บไว้บนภูเขาใกล้หมู่บ้านเกิดระเบิดขึ้น แรงระเบิดทำให้บ้านทั้งหมดราบเป็นหน้ากลอง และมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้คนในเมืองซูริก ที่อยู่ห่างออกไป 160 กิโลเมตร สามารถได้ยินเสียงระเบิด

ต่อมาในปี 2563 กองทัพเปิดเผยว่ามีระเบิดราว 3,500 ตัน ถูกฝังไว้ในภูเขา และจำเป็นต้องกู้ออกมาให้หมด ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านจะต้องอพยพออกจากพื้นที่ภายในปี 2573 เพื่อให้กองทัพสามารถเคลื่อนย้ายหรือฝังอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหลืออยู่อย่างปลอดภัย โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาดำเนินการประมาณ 10 ปีถึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งชาวบ้านจะได้รับเงินชดเชยและการจัดหาที่อยู่ใหม่

ที่มา: BBC, Business Insider, Swiss Info


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1140802

สายน้ำ
20-08-2024, 02:44
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน กับแผ่นดินไทยที่หายไป ด่านหน้าวิกฤตกรุงเทพฯจมน้ำ
......... โดย Sutheemon Kumkoom



SHORT CUT

- วัดขุนสมุทรจีน วัดกลางน้ำทะเล จ.สมุทรปราการ อดีตไม่ได้ตั้งอยู่กลางน้ำ

- ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง ทำให้แผ่นดินไทยกำลังถูกกลืนหายไป

- ด่านหน้าของวลี "กรุงเทพฯกำลังจมน้ำ" คือชุมชนขุนสมุทรจีน

- ชาวบ้านในพื้นที่พ้อ ย้ายบ้านมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง

- กรุงเทพฯยังเสี่ยงจมน้ำ ถ้าไม่แก้ไขปัญหานี้โดยเร็ว

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Springnews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_Springnews_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)


วัดขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ กลายเป็นวัดหนึ่งเดียวที่ยืนหยัดท่ามกลางน้ำทะเลที่รายล้อม ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและภาวะโลกร้อน กำลังทำให้ชุมชนแห่งนี้เหลือแต่ชื่อ

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา แผ่นดินไทยค่อย ๆ กลืนหายไปในทะเลอย่างเงียบ ๆ มีแต่ปากที่ไร้เสียง พยายามเพรียกหาความช่วยเหลือมาตลอด สปริงนิวส์ในคอลัมน์ Keep The World กับซีรีส์พิเศษ Sinking Bangkok ขอพาผู้อ่านเดินทางไปยังชุมชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่คนในหมู่บ้าน ย้ายบ้านมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง จากปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะ และภาวะโลกร้อน


ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน แผ่นดินหายไปเพราะภาวะโลกร้อน?

ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีน หมู่ที่ 9 ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ คืออีกหนึ่งด่านหน้าของกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่ติดกับอ่าวตัว ก. หรืออ่าวไทย เป็นชุมชนเก่าแก่หลายร้อยปี เดิมทีเป็นท่าเทียบสำเภาจีนที่เดินทางมาค้าขายกับสยาม

เพจเรารักพระสมุทรเจดีย์เล่าว่า เนื่องด้วยแผ่นดินไทยในช่วงนั้นดูอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์หลากหลาย สัตว์น้ำมากมาย ชาวจีนบางส่วนจึงตั้งรกรากและสร้างครอบครัวร่วมกับคนท้องถิ่นซึ่งในปัจจุบัน ยังคงมีลูกหลานชาวจีนอาศัยอยู่ และมีศาลเจ้าพ่อลอยชาย (ศาลไหว้เจ้า) และพิพิธภัณฑ์บ้านขุนสมุทรจีนที่ยืนยันได้ว่า ในอดีตเมืองท่าแห่งนี้เคยมีชีวิตชีวามากเพียงใด

แต่ในปัจจุบัน ชุมชนนี้กำลังเหลือเพียงแค่ชื่อ เพราะปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะยังคงคืบคลานเข้าหาเสมอ โดยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2516 - พ.ศ. 2567 ภาพถ่ายจากดาวเทียมเผยให้เห็นว่า พื้นที่ของชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนได้หายไปหลายกิโลเมตรแล้ว สิ่งที่ยังยืนอยู่ได้ และเป็นหลักฐานที่เด่นชัด คือวัดขุนสมุทรจีน ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำ


เสียงจากคนท้องถิ่นขุนสมุทรจีน

ทีมงาน Keep The World ลงพื้นที่สอบถามคนในพื้นที่ นางเอ (นามสมมุติ) หนึ่งในคนท้องที่เล่าว่า ตนเกิดในชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนปีพ.ศ. 2517 อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ในอดีต มีชุมชนและบ้านเรือนหลายหลังตั้งอยู่หน้าวัดขุนสมุทรจีน ซึ่งครอบครัวของตนได้ย้ายบ้านมาแล้ว 3 ครั้ง ถอยร่นออกมาจากพื้นที่ชายฝั่งเข้ามาเรื่อย ๆ จากหน้าวัด ตอนนี้ไปอยู่หลังวัดกันหมดแล้ว เหตุเกิดจากน้ำทะเลกัดเซาะ โดยเฉพาะในช่วงที่ลมพายุรุนแรง จะยิ่งทำให้หน้าดินหายไปมากกว่าเดิม

ซึ่งชาวบ้านได้เคยร้องขอแนวทางแก้ไขปัญหาไปยังหน่วยงานรัฐหลายครั้งแล้ว โดยหน่วยงานรัฐได้ลงมาช่วยบ้าง เช่น ให้งบประมาณค่าไม้ไผ่ สำหรับมาปักลดความแรงของคลื่น แต่ชาวบ้านมองว่า ไม้ไผ่แก้ไขปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้น อยู่นานไปก็หักก็หลุดลอยไป แก้ไขได้ไม่ยั่งยืนถาวร

ทีมงานได้เดินเข้าไปสัมภาษณ์อีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเป็นครอบครัวคนจีนและอาศัยอยู่ที่ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนมาตั้งแต่เกิด นายวิลภ เข่งสมุทร มีบ้านอยู่หลังศาลเจ้าพ่อลอยชาย เล่าว่า แผ่นดินบริเวณวัดขุนสมุทรจีนในช่วง 50 ปีนี้ หายไปแล้วหลายกิโลเมตร ตั้งแต่แยกย้ายออกจากครอบครัวมา บ้านหลังนี้ก็คือย้ายมา 3 ครั้งแล้ว โดยการย้ายบ้านหนึ่งครั้งจะเว้นช่วงห่างจากชายฝั่งประมาณ 1 กิโลเมตร


ปัญหาแก้ได้ แต่ไม่ถูกจุด?

และหากถามว่าในปัจจุบัน ปัญหานี้ทุเลาลงหรือยัง คุณวิลภก็เล่าว่า ทุกวันนี้น้ำยังคงกัดเซาะเรื่อย ๆ อาจจะไม่รุนแรงเท่าอดีต เพราะชาวบ้านและบางหน่วยงานก็ช่วยนำเสาไฟเก่าที่เป็นปูน เป็นซีเมนต์มาวางเป็นแนวกันคลื่นให้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แก้ปัญหาให้ถูกจุด ปัญหาก็ยังคงมีอยู่และอาจจะท่วมลึกเข้าไปอีกจนถึงกรุงเทพฯก็ได้ ซึ่งตนคงอยู่ไม่ทันได้เห็น คงต้องปล่อยให้ลูกหลานมาแก้ปัญหาต่อเอง


งานวิจัยแผ่นดินไทยที่หายไป

นอกจากนี้ หากไปดูงานวิจัยในอดีตที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของบ้านสมุทรจีนกับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ปีพ.ศ. 2552 กรณีศึกษานำร่องเพื่อการออกแบบ ณ บ้านขุนสมุทรจีน ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุลและคณะ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า

ในปัจจุบัน (พ.ศ.2552) ประเทศไทยพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้ทั่วไปตลอดแนวชายฝั่งทั้งด้านอ่าวไทยและอันดามัน คิดเป็นระยะทางทั้งสิ้น 300 กิโลเมตร ชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนได้รับผลกระทบราว ๆ 150 กิโลเมตร เป็นพื้นที่ติดต่อกัน 5 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาครและสมุทรสงคราม

ลักษณะของแผ่นดินส่วนใหญ่เป็นหาดเลน พบการกัดเซาะรุนแรงมากถึง 35 เมตรต่อปี ในบางแห่งถูกกัดเซาะไปมากกว่า 1 กิโลเมตรแล้ว

นอกจากนี้ บทความหนึ่งจากสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ได้เผยบทความ ภาวะโลกร้อนในมุมของนักวิทยาศาสตร์โดย ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาคธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ผู้เขียนนามปากกา Meditate 13 ก.พ. 2008) ว่า

ปัจจุบันบริเวณอ่าวไทยตอนบน น้ำทะเลท่วมลึกเข้ามาในผืนดินไทย ปีละ 2-4 เมตรและเพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ บริเวณหมู่บ้านคลองด่านและบ้านขุนสมุทรจีน จ.สมุทรปราการ พื้นดินหายไปในทะเลแล้วมากกว่า 180,000 ไร่ หมู่บ้านค่อย ๆ จมหายไป เสาไฟฟ้าอยู่ในทะเล โรงเรียนอยู่ในทะเล สะพานที่วิ่งลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม ที่ดินบริเวณ จ.สมุทรปราการ มีการทรุดตัวเร็วมากขึ้นปีละ 3-5 เซนติเมตร เป็นภาวะที่อยู่ในระดับวิกฤตที่คนไทยต้องตื่นตัวได้แล้ว


เชื่อหรือไม่? กรุงเทพฯกำลังจมน้ำ

สุดท้ายนี้ ในปัจจุบัน (พ.ศ.2567) ประเทศไทยยังคงเผชิญหน้ากับปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง จึงเป็นเหตุผลให้หลายครั้ง นักวิชาการต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับสังคม ด้วยการใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องช่วยบ่งชี้ ถึงวาระและวลีฮิตที่ว่า "กรุงเทพฯจะจมบาดาลในอนาคตอันใกล้" นอกจากนี้ปัญหาภาวะโลกเดือดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็เป็นตัวเร่งให้คำกล่าวนี้ใกล้ถึงความจริงมากขึ้น เมื่อทวีปแอนตาร์กติกาเริ่มละลาย ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น หลายประเทศก็เริ่มมีการปรับตัวแล้ว ดังนั้น ปัญหานี้จึงขึ้นอยู่กับว่า คุณจะเชื่อหรือไม่? และจะจัดการกับปัญหานี้ได้ทันท่วงทีอย่างไร จะเกิดขึ้นจริง จะปล่อยให้เกิด หรือจะปรับตัว ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน


https://www.springnews.co.th/keep-the-world/climate-change/852188

สายน้ำ
20-08-2024, 02:54
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


สำรวจโกดังลับ กรุสมบัติจากเรือไททานิค
......... โดยรีเบคกา มอร์เรล บรรณาธิการข่าววิทยาศาสตร์ และ อลิสัน ฟรานซิส
,บีบีซีนิวส์

https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_BBC_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds (https://hosting.photobucket.com/images/aa455/saveoursea/670820_BBC_01.jpg?width=960&height=720&fit=bounds)

กระเป๋าถือหนังจระเข้ และขวดน้ำหอมขนาดเล็กที่ยังคงปล่อยกลิ่นหอมไม่จางหาย เป็นเพียงสิ่งของล้ำค่าบางส่วนที่กู้คืนได้จากเรือไททานิค

ตำแหน่งที่ตั้งของโกดังซึ่งเก็บของที่กู้มาได้เหล่านี้เป็นความลับ ท่ามกลางการปกป้องอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันเหล่าขโมย เราบอกได้เพียงว่ามันอยู่ที่ไหนสักแห่งในนครแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา

ภายในชั้นวางเต็มไปด้วยข้าวของหลายพันชิ้น ตั้งแต่อ่างอาบน้ำที่ถูกวางคว่ำหน้าลง ช่องหน้าต่างที่บุบเบี้ยว ไปจนถึงเครื่องแก้วแกะสลักอย่างประณีต และกระดุมเม็ดเล็ก ๆ

บีบีซีได้รับโอกาสที่หายากเช่นนี้ ให้เข้าไปสำรวจว่าโกดังแห่งนี้เก็บรักษาของอะไรจากเรือไททานิคไว้บ้าง และสิ่งของต่าง ๆ มีเรื่องราวเบื้องหลังเช่นไร


กระเป๋าหนังจระเข้ที่ซ่อนเรื่องราวอันน่าเศร้า

"มันเป็นกระเป๋าใบเล็กที่สวยงามและทันสมัยจริง ๆ" โทมาซีนา เรย์ ผอ.ฝ่ายของสะสมของอาร์เอ็มเอส ไททานิค อิงค์ (RMS Titanic Inc) ซึ่งเป็นบริษัทกู้คืนสิ่งของเหล่านี้ กล่าว

บริษัทกู้เรือสัญชาติอเมริกันแห่งนี้เป็นผู้ได้รับสิทธิกู้ซากเรือไททานิค และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาสามารถเก็บกู้สิ่งของต่าง ๆ ได้กว่า 5,500 ชิ้น จากสถานที่ซึ่งเรืออับปาง โดยบางส่วนได้รับการคัดเลือกไว้เพื่อจัดแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

กระเป๋าที่ทำจากหนังจระเข้ใบนี้ รวมถึงสิ่งของกระจุกกระจิกอันละเอียดอ่อนที่อยู่ในกระเป๋า สามารถคงสภาพอยู่ได้มานานหลายศตวรรษจากส่วนลึกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และยังอยู่ในสภาพดี โดยมันเผยให้เห็นชีวิตของ มาเรียน มีนเวลล์ ผู้เป็นเจ้าของซึ่งเป็นผู้โดยสารชั้นสามของเรือไททานิค

"เธอเป็นช่างทำหมวกอายุ 63 ปี" โทมาซีนา กล่าว "และเธอกำลังเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อไปเจอกับลูกสาวของเธอที่เพิ่งเป็นหม้าย"

ในบรรดาสิ่งของที่เต็มไปด้วยความทรงจำซึ่งบรรจุอยู่ภายในกระเป๋าใบนี้คือรูปถ่ายซีดจาง ซึ่งคาดว่าเป็นรูปแม่ของมีนเวลล์

นอกจากนี้ยังมีเอกสารที่เธอต้องใช้สำหรับการเริ่มชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงจดหมายอ้างอิงที่เขียนด้วยลายมืออดีตเจ้าของบ้านของเธอในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งระบุว่า "เราพบว่านางสาวมีนเวลล์เป็นผู้เช่าที่ดี และจ่ายค่าเช่าตรงเวลาเสมอ"

บัตรตรวจสุขภาพของเธอก็อยู่ในกระเป๋าใบนี้ด้วย โดยผู้โดยสารชั้น 3 ทุกคนต้องพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ได้นำโรคเข้ามาในสหรัฐอเมริกา แต่เอกสารที่เปื้อนน้ำแผ่นนี้ก็ได้เผยให้เห็นโชคชะตาอันน่าเศร้าด้วย

เดิมที มาเรียน มีนเวลล์ จองการเดินทางบนเรือ มาเจสติค (Majestic) ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรอีกลำของบริษัท ไวท์ สตาร์ ไลน์ (White Star Line) เช่นกัน แต่สุดท้ายเรือลำดังกล่าวไม่ได้ออกทะเล ดังนั้นบนบัตรของมาเรียนจึงปรากฏชื่อเรือมาเจสติคที่ถูกขีดฆ่าออก และเผยให้เห็นว่าเธอถูกส่งขึ้นเรือไททานิคแทน ก่อนจะกลายเป็น 1 ใน 1,500 ผู้โดยสารที่เสียชีวิตลง

"การที่สามารถบอกเรื่องราวของเธอได้ผ่านสิ่งของต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก" โทมาซีนา บอก "ไม่อย่างนั้นแล้ว เธอก็เป็นเพียงชื่อ ๆ หนึ่งในรายชื่อผู้โดยสารเท่านั้น"


น้ำหอมที่ยังคงส่งกลิ่นอบอวล

สิ่งของที่เป็นของผู้รอดชีวิต ก็ถูกกู้คืนมาจากห้วงลึกของมหาสมุทรเช่นกัน

โทมาซีนาเปิดภาชนะพลาสติกอันหนึ่ง จากนั้นกลิ่นหอมหวานชวนคลื่นเหียนก็ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ "มันฉุนมาก" เธอยอมรับกลาย ๆ

ข้างในมีขวดน้ำหอมขนาดเล็กที่ถูกปิดผนึกอยู่ แต่กลิ่นหอมอันรุนแรงของพวกมันก็ยังเล็ดลอดออกมาได้ แม้มันอยู่บนพื้นทะเลมานานหลายทศวรรษก็ตาม

"มีพนักงานขายน้ำหอมอยู่บนเรือด้วย และเขาก็มีขวดน้ำหอมขนาดเล็กเหล่านี้มากกว่า 90 ขวด" เธออธิบาย

พนักงานคนนั้นชื่อว่า อดอล์ฟ ซัลเฟลด์ ซึ่งเดินทางในฐานะผู้โดยสารชั้น 2 ของเรือไททานิค

ซัลเฟลด์เป็น 1 ใน 700 คนที่รอดชีวิต แต่การให้ความสำคัญกับผู้หญิงและเด็กระหว่างการอพยพผู้ประสบภัยในครั้งนั้น ทำให้พวกผู้ชายที่หนีออกมาจากตัวเรือได้ต้องเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบาก

"เขาเสียชีวิตไปแล้วตอนที่เราพบสิ่งนี้" โทมาซีนา กล่าว "แต่ตามความเข้าใจของฉันคือ เขาใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นผู้รอดชีวิต"


ส่องวิถีชีวิตฟู่ฟ่าผ่านขวดแชมเปญ

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีขวดแชมเปญถูกเก็บรักษาไว้ในกรุของสะสมจากเรือไททานิคด้วย ซึ่งมันยังมีของเหลวเป็นไวน์อยู่ภายใน พร้อมด้วยจุกก๊อกไม้ปิดไว้ด้านบน

"อาจมีน้ำทะเลเล็กน้อยที่เข้าไปทางจุกไม้ก๊อก ในขณะที่เกิดแรงบีบอัดเพื่อให้แรงดันด้านในและนอกขวดเท่ากัน ก่อนที่ขวดจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทร" เธอกล่าว

เมื่อเรือไททานิคอับปางลงในปี 1912 หลังจากเข้าชนภูเขาน้ำแข็ง เรือก็แยกออกจากกันและสิ่งของในเรือก็ทะลักออกมา กลายเป็นทุ่งเศษซากขนาดใหญ่

"มีขวดจำนวนมากบนพื้นมหาสมุทร รวมถึงหม้อต้มน้ำและหม้อในครัวจำนวนมากด้วย เนื่องจากเรือไททานิคหักครึ่งลำบริเวณห้องครัวห้องหนึ่งของเรือ" โทมาซีนา กล่าว

มีแชมเปญหลายพันขวดอยู่บนเรือ เจ้าของเรือต้องการให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งได้สัมผัสกับความรุ่มรวยเหนือระดับ ภายใต้บรรยากาศหรูหรา พร้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่ดีที่สุด

"มันเหมือนกับพระราชวังลอยน้ำ และไททานิคควรเป็นเรือที่หรูหรามากที่สุด" โทมาซีนา บอก "ดังนั้นการดื่มแชมเปญ การมีโรงยิม และสิ่งอำนวยความสะดวกดี ๆ เหล่านี้สำหรับผู้โดยสาร มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากจริง ๆ"


เผยให้เห็นหมุดย้ำ

เรือไททานิคเดินทางครั้งแรกจากเซาท์แธมป์ตันไปยังสหรัฐอเมริกา และชนกับภูเขาน้ำแข็งระหว่างการเดินทางครั้งนั้น

เรือลำนี้มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยขั้นสูงในช่วงเวลานั้น และได้รับการกล่าวขานว่ามันไม่มีวันจม

โทมาซีนานำหมุดย้ำของเรือมาให้บีบีซีดู มันเป็นหมุดโลหะหนาที่ยึดแผ่นเหล็กหนาเข้าด้วยกัน โดยทั่วทั้งเรือมีหมุดแบบนี้มากกว่าสามล้านอัน

"เมื่อไททานิคอับปาง มีทฤษฎีว่าพวกเขาอาจใช้วัสดุสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และมันทำให้เรือจมลงไวมากขึ้น" เธออธิบาย

หมุดย้ำบางส่วนเหล่านี้ได้รับการทดสอบว่ามันมีสิ่งเจือปนหรือไม่

"มีตะกรันที่มีความเข้มข้นสูงอยู่ในหมุดเหล่านี้ ซึ่งเป็นวัสดุคล้ายแก้ว ทำให้พวกมันเปราะบางมากขึ้นเล็กน้อยเมื่ออยู่ในที่เย็น" เธอบอก

"หากหมุดเหล่านี้เปราะ และหัวหมุดย้ำตัวใดตัวหนึ่งหลุดออกมาง่ายขึ้น มันก็อาจทำให้ช่วงรอยต่อของเรือถูกเปิดออกเมื่อชนกับภูเขาน้ำแข็ง และทำให้ช่องที่ถูกเจาะมีขนาดใหญ่กว่าที่ควรจะเป็น"

โทมาซีนาบอกด้วยว่า ยังมีข้อมูลอีกมากที่ต้องศึกษาต่อว่าเรืออับปางลงได้อย่างไร

"เราสามารถช่วยตรวจสอบทฤษฎีต่าง ๆ ได้ โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรายินดีมากที่จะทำ"


การแบ่งชนชั้นภายในเรือ

ชีวิตบนเรือนั้นมีความแตกต่างกันไปตามชั้นโดยสาร แม้กระทั่งถ้วยและจานที่พวกเขาใช้ดื่มกิน

ผู้โดยสารชั้น 3 จะได้รับแก้วสีขาวเรียบง่ายที่มีเพียงโลโก้ไวท์ สตาร์ สีแดงสด ส่วนผู้โดยสารชั้น 2 จะได้รับการบริการด้วยจานที่ตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้สีน้ำเงินสวยงามและดูดีกว่าเล็กน้อย แต่จานอาหารสำหรับผู้โดยสารชั้น 1 นั้น จะได้จานกระเบื้องเคลือบที่มีความละเอียดอ่อนกว่า และมีขอบสีทอง โดยเราสามารถเห็นลวดลายเป็นพวงดอกไม้อันประณีตซับซ้อนได้หากมันอยู่ใต้แสงไฟ

"ลวดลายเหล่านั้นน่าจะมีสีสัน แต่เพราะมันถูกเคลือเงาอีกชั้นหนึ่ง ทำให้สีบางส่วนถูกชะล้างออกไป" โทมาซีนา บอก

ผู้โดยสารชั้น 1 ที่ร่ำรวยจะได้รับบริการอาหารระดับดีเลิศ แต่ในชั้น 3 เรื่องราวกลับแตกต่างออกไป

"ผู้โดยสารชั้น 3 อาจจะต้องจัดการกับจานชามด้วยตัวเอง เพราะจานชามได้รับการออกแบบมาให้มั่นคงและคงทนกว่าจานชามที่ใช้ในชั้นอื่น ๆ" โทมาซีนาอธิบาย

อาร์เอ็มเอส ไททานิค อิงค์ เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ศาลของสหรัฐฯ อนุญาตให้กู้คืนสิ่งของจากพื้นที่อับปางได้ในปี 1994 ภายใต้เงื่อนไขเข้มงวดที่ระบุว่าสิ่งของเหล่านี้จะต้องอยู่ด้วยกันเสมอ ไม่สามารถขายแยกได้ และพวกมันต้องได้รับการอนุรักษ์อย่างเหมาะสม

จนถึงตอนนี้ สิ่งของทั้งหมดถูกรวบรวมจากทุ่งเศษซากของเรือที่อับปางลง แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของบริษัทขึ้น เมื่อพวกเขาต้องการดึงอุปกรณ์วิทยุมาร์โคนี (Marconi radio) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากไททานิคในคืนที่สิ้นหวัง ออกจากตัวเรือดังกล่าว

"ไททานิคควรเป็นสิ่งที่เราให้ความเคารพ" โทมาซีนา กล่าวถึงประเด็นดังกล่าว

"เราต้องการทำให้แน่ใจว่า พวกเรากำลังเก็บรักษาความทรงจำไว้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลงไปยังไททานิคได้ และเราต้องการนำสิ่งนั้นขึ้นมาให้สาธารณชนได้เห็น"

ในอีกไม่ช้าโกดังลับแห่งนี้จะต้องการชั้นวางเพิ่มขึ้นจากเดิม

การเดินทางครั้งล่าสุดของบริษัทไปยังสถานที่เรืออับปาง ก็เพื่อทำการแสกน 3 มิติตัวเรืออย่างละเอียด ซึ่งต้องอาศัยภาพถ่ายหลายล้านภาพเพื่องานนี้ โดยได้สำรวจสภาพห้องวิทยุมาร์โคนีในปัจจุบันด้วย นอกจากนี้ทีมงานยังระบุวัตถุในทุ่งเศษซากซึ่งพวกเขาต้องการกู้คืนขึ้นมาในอนาคตด้วย

แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเจอกับอะไรอีกบ้าง และมีเรื่องราวเกี่ยวกับโชคชะตาอันโหดร้ายของไททานิคและผู้โดยสารของเรือเรื่องใดอีกบ้างที่ยังรอการเปิดเผยอยู่


https://www.bbc.com/thai/articles/c204xzp9yjgo