View Full Version : เหลียวหลังกลับไปเดือนธันวา ... เมื่อครั้งที่มาลุย "ตรัง"
พวกน้องๆไปกันถึงอันดามันเหนือแล้ว สองสายยังตะล่วมต้วมเตี้ยมอยู่แถวตรังอยู่เลย
จำได้ว่า ถ่ายรูปกันอุตลุต แต่พอหม่องและเหม่งสรุปเสร็จ ก็ไม่เห็นมีใครตามมาโพสต์อะไรกันต่อ
ลืมตรังกันเสียแล้วหรือไร .......
ถึงลืมก็ไม่เป็นไร ...
.... จะช่วยสะกิดความจำให้ครับ
เช้าวันที่ 10 .... สองสายและพี่ไท (ลุงของน้อง Ploybabe) ที่กรุณานำรถกระบะส่วนตัวไปช่วยขนสัมภาระให้พวกเรา ไปถึงก่อนเวลาที่รถด่วนจาก กทม.จะเข้าเทียบชานชลา
รอไม่นานนัก รถก็เข้าเทียบ ....
อยู่ตู้ไหนกันก็ไม่รู้ คนดูวุ่นวายไปหมด ....
เมื่อฝรั่งหลบไป จึงได้เห็นหุ่นอันบอบบางของสมาชิกเราปรากฎขึ้นทีละคนสองคน
ยังไม่ทันจะไปไหน ... เจอเข้ากับรายการแรก ก็แทบอยากจะกลับไปนอนเสียแล้ว
มื้อแรกกับอาหารเช้าของพวกเราที่ "เลตรัง 2" ของคุณแม่จิ๋มกับพ่อกำนันพรศักดิ์ ของน้อง Ploybabe ซึ่งอยู่ห่างสถานีรถไฟไปไม่ไกลนัก
ประทับใจสุดๆกับติ่มซำชั้นยอด ที่ต้องซื้อตัวพ่อครัวมาเพื่อผลิตติ่มซำเพียงอย่างเดียว อร่อยคุ้มค่าการลงทุนจริงๆครับ
ติ่มซำแต่ละจาน ล้วนเต็มอิ่มไปด้วยเนื้อทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหมู ปลา กุ้ง ปู ฯลฯ ที่สำคัญ ต้องขอขอบคุณ "ป๋าหนิ่ง" ที่ออกค่าอาหารมื้อนี้ให้กับพวกเรา
แม่จิ๋ม ถ่ายรูปกับพวกเราจนครบทุกโต๊ะ ... ยังกะงานแต่งงานเลย
เดินทางกันมาด้วยตู้นอน ก็ต้องถือว่า ทุกคนได้นอนหลับพักผ่อนกันมาพอเพียงแล้ว
เมื่ออิ่มหนำสำราญ และเข้าห้องน้ำทำธุระกันเป็นที่เรียบร้อย ตะลอนทัวร์โดยมีนายปาล์มเป็นหัวหน้าทัวร์ และโชเฟอร์ ก็ซิ่งไปท่องเที่ยวรายการแรกทันที
ถ้ำเลเขากอบ ครับ ....
แบ่งกันลงเรือลำละ 5 - 6 คน กระจายกันไป
ตุ๊กแกผา
04-02-2010, 14:09
เหอๆๆๆๆๆๆๆๆมารอชมภาพงามๆของพี่สองสายคั๊บ
ตรัง......ไม่เคยลืมค่ะพี่ รวมทั้งตังค์ด้วยที่ไม่เคยลืม อิอิ จนบัดนี้ก็ยังอยากกลับไปอีก
ทำความรู้จักกับ "ถ้ำเลเขากอบ" กันสักนิดครับ
ถ้ำเลเขากอบ หรือ ถ้ำทะเล หรือ ถ้ำเขากอบ ตั้งอยู่ที่ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอห้วยยอด ถ้ำเลเขากอบ เป็นชื่อที่ชาวบ้านในบริเวณตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เรียกกันตามภาษาพื้นบ้าน การที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ถ้ำเล หรือ ถ้ำทะเล นั้น ไม่ได้หมายถึง โพรงหรือถ้ำที่เกิดจากการผุกร่อนของหน้าผาชายฝั่งทะเล จากการถูกคลื่นกัดเซาะ ทั้งนี้เพราะบริเวณที่ตั้งของตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด อยู่ห่างจากทะเลกว่า 40 กิโลเมตร
คำว่า "ถ้ำเล" นี้ ตามภาษาท้องถิ่นทางภาคใต้หมายถึง สิ่งที่เป็นน้ำ มีบริเวณกว้างใหญ่ เพราะถ้ำเลเป็นถ้ำใหญ่ที่มีน้ำไหลผ่านตลอดถ้ำ ถ้ำเลประกอบด้วย ถ้ำต่าง ๆ หลายถ้ำ อยู่ภายใต้ภูเขากอบ ได้แก่ ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำรากไทร ถ้ำท้องพระโรง ถ้ำพระสวรรค์ ถ้ำตะพาบน้ำ ถ้ำเพชร ถ้ำพลอย และถ้ำแป้ง เป็นต้น นอกจากนี้ สภาพภายในถ้ำเขากอบมีหินย้อยที่แตกต่างไปจากถ้ำอื่น ๆ คือ มีหินย้อยประเภทที่เรียกว่า หลอดหินย้อย (Soda straw) อยู่เป็นจำนวนมาก แสดงถึงช่วงของการเกิดเป็นหินย้อยในระยะต้น
ถ้ำเลเขากอบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ สำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย เพราะถ้ำแห่งนี้มีทางน้ำใต้ดินไหลผ่าน ต้องใช้เรือล่องตามลำน้ำเข้าไปข้างใน เพื่อไปชมหินงอกหินย้อยอันงดงาม ซึ่งยังมีการก่อตัวของหินอยู่ ภายในสลับซับซ้อนมีถ้ำต่างๆหลายสิบถ้ำ แต่ปัจจุบันนี้ เปิดให้บริการท่องเที่ยวเพียง 5 ถ้ำเท่านั้น ได้แก่
1. ถ้ำคนธรรพ์ เป็นโถงถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และมีหินอยู่ส่วนหนึ่งที่เมื่อเคาะแล้วจะเกิดเสียงกังวาลคล้ายเสียงเครื่อง ดนตรีไทย นอกจากนี้ชาวบ้านยังตำนานเล่าต่อกันว่า ในอดีตมีคนธรรพ์มาเคาะเล่นดนตรีให้นางกินรีฟังขณะที่กำลังเล่นน้ำตกภายในถ้ำ และมีหินส่วนหนึ่ง ย้อยลงมา คล้ายกับฉากมโนราห์สวยงาม
2. ถ้ำท้องพระโรง
3. ถ้ำรากไทร เป็นโถงถ้ำที่มีลักษณะทางเดินยาว ตลอดทางเดินจะมีรากไทรขนาดใหญ่ทอดตัวขนานไปตลอดทางเดิน
4. ถ้ำเจ้าสาว มีหินงอกลักษณะคล้ายผ้าม่านกั้นอยู่บริเวณด้านหน้าโถง ภายในมีแท่นหินลักษณะคล้ายเตียงนอน ชาวบ้านในท้องถิ่นเชื่อกันว่าหากคนที่ยังไม่มีคู่ เมื่อลอดเข้าโถงถ้ำทางช่องกลางของม่านเจ้าสาว กลับไปก็จะได้พบกันเนื้อคู่ แต่ถ้าหากมีคู่แล้วก็ให้ลอดช่องทางด้านซ้ายมือก็จะอยู่กันอย่างมีความสุข แต่ถ้าหากคนไหนมีคู่แล้ว ต้องการมีเพิ่มก็ให้ลอดช่องด้านขวามือ เมือกลับไปจะได้พบคู่เพิ่ม และเมื่อออกจากโถงถ้ำเจ้าสาว จะต้องออกทางช่องใหญ่ มิฉะนั้นจะไม่เป็นดังคำอธิฐาน
5. ถ้ำลอด หรือ ถ้ำมังกร เป็นจุดเด่นของการเที่ยวถ้ำเลเขากอบ เนื่องจากโถงถ้ำมีระดับเพดานถ้ำต่ำมาก การเดินทางผ่านถ้าลอดต้องอาศัยการนอนราบไปบนเรือ ตลอดระยะทางประมาณ 350 เมตร เปรียบเสมือนการนอนลอดผ่านท้องมังกร
ถ้ำเลเขากอบสามารถเที่ยวได้ตลอดปี ยกเว้นในฤดูฝนบางช่วงที่มีปริมาณน้ำมาก เรืออาจเข้าไปไม่ได้ อบต.เขากอบจัดเรือพายบริการนำเที่ยว ค่าเรือพายราคาลำละ 200.-บาท นั่งได้ 6-7 ท่าน
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org
ตอนเข้าไป จำไม่ได้หรอกครับว่าถ้ำไหนเป็นถ้ำไหน เพราะไม่ค่อยจะได้ยินเสียงไกด์ซึ่งอยู่ข้างหน้านู่น
ถ้ำแรกผ่านไปได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก เพราะมีเสียงของพวกเราและนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆสวนทางเข้ามาแล้วครับ
ที่ไกด์เค้ากลัวคือ มันจะมาแออัดกันตรงนี้ แล้วจะขยับเรือกันลำบาก ...
บริเวณตลิ่งที่จอดเรือรอนักท่องเที่ยว เป็นดินเหนียวที่เหนียวหนึบ จะปรากฎร่องรอยของปลายพายที่ไกด์ใช้ยันเต็มไปหมด
บางจุดคงรอกันนานพอ จนสามารถปั้นหน้าอย่างนี้ขึ้นมาได้
แล้วก็ไปอีกถ้ำหนึ่ง ซึ่งจำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน
แต่เป็นปกติของถ้ำที่มีน้ำหยด ที่จะต้องมีหินยอกหินง้อย เอ๊ย .. หินงอกหินย้อย ให้เห็นอยู่ทั่วไป
หินย้อยที่จุดนี้มีรูปทรงแปลกหน่อย ซึ่งไกด์บอกว่า มันคือ "เป็ดย่าง"
ในฐานะที่เป็นผู้ที่ชอบบริโภคเป็ดย่างเป็นชีวิตจิตใจคนหนึ่ง ต้องยอมรับว่า บางมุม มองแล้ว เหมือนจริงๆ มีน้ำมันไหลลงมาหยดตรงส่วนหัวซะด้วย ....
ห้องโถงนี้ มีหินงอกชิ้นใหญ่ แต่ปัจจุบัน ดูเหมือนจะไม่ได้มีความหมายแค่เป็นหินงอกเสียแล้ว เพราะมีผ้าแพรเจ็ดสีผูกพันไว้รอบ พร้อมพวงมาลัยห้อยเต็มไปหมด
ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ครับ ....
หินงอกที่รูปทรงแปลกอีกจุดหนึ่งคือ บริเวณนี้ครับ
แหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน จะเห็นเหมือนมีลูกชิ้นเสียบไม้กับไอติมโคนอยู่ทั่วไปหมด
แหงนหน้ามองดูลูกชิ้นเพลินๆ ....
ไกด์บอกให้มองต่ำลงมา จะเห็นเป็นหินตาหินยาย ....
ดูยังไงก็ไม่เห็นเป็นเลย อย่างของสมุยนั่น สื่อได้ชัดเจน เหมือนมากๆ
คุณสายชลให้เข้าไปดูใกล้ๆ พร้อมอธิบายเสริมว่า ...
หินตา คือ อันที่โด่ๆอยู่ด้านล่าง
ส่วนหินยาย ของที่นี่ไม่เหมือนของสมุย คือไม่ใช่อวัยวะเพศ แต่เป็นหินที่ห้อยลงมา เหมือนนมยานๆของยาย
ถึงบางอ้อเลยครับ ... ยานจริงๆ
จุดนี้ รูปทรงเหมือนช้าง ...
ไกด์จึงให้พวกเราลอดท้องช้างเสดาะเคราะห์กันเสียเลย
กลุ่มนี้ยังสนใจลูกชิ้นกันอยู่เลยครับ
มีสะเก็ดแวววาวเหมือนกากเพชร ...
เห็นมีสีขาวเหมือนเกล็ดหิมะ ....
ที่ไหนได้ พี่แกเอาแป้งมาโรยเพื่อขัดเอาเลขหวยกันจนขาวโพลนไปหมด
ตรงนี้ ต้องเป็นถ้ำเจ้าสาวแน่ๆเลยครับ ....
จำได้ว่า ตอนเข้า ไกด์ให้ลอดช่องเล็ก แต่ตอนออก ให้ลอดช่องใหญ่
ว่าอะไรก็เชื่อกันไปหมดเลยครับ
สวยดี .... ตรงไหนก็ไม่ทราบ แต่พอจะโงหัวขึ้นมาถ่ายได้
แถวถ้ำมังกรครับ ....
บางจุด ขนาดนอนหงายแล้ว พุงยังครูดหินเลย ...
เห็นแสงรำไร ดีใจจัง ไม่ต้องนอนราบแล้ว ...
ทะยอยออกมากันทีละลำ ด้วยสีหน้าที่มีความสุข
บางลำ ถึงขนาดจะไปแย่งอาชีพเค้าเลยนะนี่ ....
ออกจาก ถ้ำเลเขากอบ ....
เราไปแวะชมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากไม้เทพธาโร ... ได้ของฝากติดมือกันคนละนิดคนละหน่อย
พวกน้องๆไปกันถึงอันดามันเหนือแล้ว สองสายยังตะล่วมต้วมเตี้ยมอยู่แถวตรังอยู่เลย
จำได้ว่า ถ่ายรูปกันอุตลุต แต่พอหม่องและเหม่งสรุปเสร็จ ก็ไม่เห็นมีใครตามมาโพสต์อะไรกันต่อ
ลืมตรังกันเสียแล้วหรือไร .......
ยังไม่ลืมตรังหรอกครับพี่ ยังจำฝังใจว่าต้องกลับไปย้อนรอยอีกหน โดยเฉพาะที่ร้านเลตรัง 2 หวังไว้ว่าคราวหน้าจะได้นั่งกินแบบละเลียด ลิ้มรสจานอร่อยได้ครบ
สถานที่ต่อไปคือ วัดถ้ำเขาปินะ .... ตั้งอยู่ ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ปินะเป็นภาษายาวี แปลว่า ผู้ชนะทุกสิ่ง
บนป้ายหน้าทางขึ้นถ้ำ บอกเอาไว้ว่า ....
"ภายในถ้ำเขาปินะ เคยพบหม้อ 3 ขา และกระดูกคนโบราณ เขาปินะมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน มีถ้ำน้อยใหญ่สลับซับซ้อน ตามระดับความสูงแตกต่างกัน 6 ระดับ เริ่มตั้งแต่ ถ้ำน้ำ ระดับสูงขึ้นไปคือ ถ้ำฤาษี ถ้ำแกลบ ถ้ำพระบรรทม ถ้ำพระองค์กลาง ถ้ำเจดีย์ และระดับสูงสุดคือ ถ้ำลม ถ้ำจำปา ถ้ำเสวย และถ้ำมะขาม บริเวณปากถ้ำมะขามด้านบน มีพระปรมาภิไธยย่อของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวปรากฎอยู่ นอกจากนี้ ถ้ำมะขามยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินสีขาว ปางมารวิชัย ที่แกะจากหินอ่อนสีขาว หรือหินอลาบาสเตอร์ (Alabaster) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่องค์หนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในประเทศพม่า ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ในกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขาปินะ"
แล้วก็เริ่มป่ายปีน ....
บันไดแต่ละขั้นแคบ และสูงชัน .... ดูได้จากหน้าน้องปื๊ด
ขึ้นไปถึงอีกชั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าถ้ำนี้ชื่ออะไร ...
แล้วก็ปีนป่ายกันต่อไป
ถ้ำที่เห็นด้านล่าง น่าจะชื่อ ถ้ำเจดีย์ ....
ถ้ำนี้ อยู่ชั้นบนสุด .... น่าจะชื่อถ้ำมะขาม
ด้านบน มีค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด
เดินเลยไปอีกนิด ก็จะออกปากถ้ำมะขาม ...
มีพระปรมิภิไธยของ ร.7 อยู่ที่ผนังถ้ำด้านบน ซึ่งต้องแหงนหน้ามองกันแบบนี้
ถ้ำเป็นถ้ำและมีน้ำไหลลงมา ย่อมต้องมีหินงอกหินย้อยเป็นธรรมดา
ยังมีฟอสซิลหอยโข่งอยู่ตามผนังด้วย ...
ถ้ำนี้ คงจะชื่อถ้ำลม เพราะลมผ่านแรงเย็นสบายทีเดียว
เจ้าปื๊ดจอมซน ไปเคาะระฆัง แล้วเกิดผิดสำแดงอะไรขึ้นไม่ทราบ เอาไม้มาเคาะหัวตัวเอง
ซากรถบรรทุกจากอเมริกาที่กองอยู่ด้านล่าง ไหงมีผ้ามาผูกด้วย
ที่พามาปีนถ้ำที่วัดนี้ เพราะอยากพามาดู 2 สิ่งนี้
... อย่างแรกคือ พระพุทธรูปทรงเครื่องโนห์รา ซึ่งที่วัดนี้เป็น 1 ใน 5 วัดในประเทศไทยที่มีพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบนี้
ถ้ำมะขามยังเคยเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินสีขาว ปางมารวิชัย ที่แกะจากหินอ่อนสีขาว หรือหินอลาบาสเตอร์ (alabaster) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่เก่าแก่องค์หนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในประเทศพม่า ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ในกุฏิเจ้าอาวาสวัดเขาปินะ
อย่างที่สอง ที่อยากพามาชมกันก็คือ พระพุทธรูปหินอ่อนสีขาว องค์นี้แหล่ะครับ
เมื่อ 2 ปีก่อนที่สองสายมา ได้ขึ้นไปชมบนกุฏิเจ้าอาวาส ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกย่อมๆฝั่งตรงข้ามกับถ้ำปินะ แต่มาปีนี้ ที่เดิมที่เคยประดิษฐานไว้กำลังปรับปรุงใหม่ คาดว่าท่านเจ้าอาวาสองค์เดิมคงจะมรณภาพไปแล้ว เจ้าอาวาสองค์ใหม่จึงนำมาไว้ข้างเตียงในห้องบนศาลาการเปรียญ แต่ยังอนุญาตให้พวกเราเข้าชมและสักการะได้
จริงๆแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของวันนี้ ก็คือ 2 แห่งนี้ แล้วกะจะให้เข้าที่พักที่ เลตรังรีสอร์ท ริมหาดปากเมง ....
แต่น้องปาล์มคงเห็นพี่ๆไม่มีท่าทางอ่อนเพลีย จึงพาแวะอีก 2 แห่ง ซึ่งอยู่บนเส้นทางที่จะไปหาดปากเมงนั่นเอง
จุดแรกคือ น้ำตกอ่างทอง ...
น้ำตกอ่างทอง ตั้งอยู่ที่ตำบลไม้ฝาด ริมถนนสายตรัง-สิเกา ห่างจากตัวเมืองตรัง 21 กิโลเมตร เป็นน้ำตกชั้นเดียวสูงประมาณ 20 เมตร ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เนื่องจากก้อนหินบริเวณน้ำตกนี้เป็นสีออกดำแกมเหลือง จึงทำให้น้ำในน้ำตกแห่งนี้ดูเหมือนเป็นสีทองจางๆ อันเป็นที่มาของชื่อ น้ำตกอ่างทอง
พอไปถึงก็พักผ่อนกันตามมุมถนัด ...
แต่สักพักเดียว ก็เริ่มซน ขยับขยายกันลงไปอยู่ในน้ำ
ก่อนจะกลับ มีโชว์กระโดดน้ำจากชั้นบนของน้ำตกลงมาในอ่าง โดยเด็กวัยรุ่นแถวๆนั้น
มองไม่เห็นหรอกครับ ไม่ได้เอาเลนส์ซูมติดกล้องลงไปด้วย
อีกนิดเดียวก็จะถึงที่พัก แต่น้องปาล์มพาเลี้ยวเข้า Aquarium ของวิทยาลัยราชมงคลฯ
เป็นอควาเรียมเล็กๆ มีปลาน้ำจืดเสียเป็นส่วนมาก แสงน้อยค่อนข้างมืด ถ่ายภาพไม่ได้เลย
แต่ที่ประทับใจคือ การนำวัสดุเหลือใช้ อย่างตู้แช่เก่าๆ ตู้โทรทัศน์ และ Monitor มาใช้เป็นกรอบตู้ปลา ดูสวยงามและแปลกตาดี
อีก 2 สิ่งที่ดูแปลกตาเหมือนกัน เพราะเคยเห็นแต่ตัวเป็นๆในทะเล ไม่เคยเห็นแห้งๆอย่างนี้
มันคือ ฉลามวาฬ และฉลามเสือดาวแดดเดียว ...
ไฮเปอร์จริงๆ .... อาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ ยังมีเรี่ยวแรงออกมาเดินเล่นริมหาดปากเมงตอนโพล้เพล้กันไหวอีก
อยู่จนพระอาทิตย์หมดแสง จึงยอมเดินกลับเข้ารีสอร์ทเพื่อทานอาหารเย็นกัน
วันที่ 2 แล้วครับ .... ถึงเวลาออกทะเล เพื่อไปปล่อยปลาและม้าน้ำ
Mr.Can และครอบครัวนำปลามาถึงเลตรังตามเวลานัดหมาย
เมื่อทานอาหารเช้ากันครบแล้ว ก็อพยพลงเรือที่จอดรออยู่ที่ท่าเรือปากเมง ...
ก่อนจะไปลงเรือ ....
สองสายนำปลาและม้าน้ำมาให้คุณแม่ศรีประภา และพี่เล็กได้ดูว่า สัตว์ที่พวกเราจะนำไปปล่อยลงทะเลตรังหน้าตาเป็นอย่างไร
(คุณแม่ศรีประภา คือ คุณแม่ของแม่จิ๋ม เป็นยายของน้อง ploybabe และเป็นย่าของน้องปาล์ม และเป็นบุคคลที่สองสายรักและให้ความเคารพ เสมือนแม่แท้ๆของเรา)
และขอให้คุณแม่และพี่เล็กได้จบและอธิษฐานก่อนที่จะนำไปปล่อย เพื่อจะได้ทำบุญทำกุศลร่วมกัน
Mr.Can หรือคุณสามารถ ผู้เพาะเลี้ยงปลาและม้าน้ำ แห่งศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่ง กระบี่ นอกจากนำสัตว์น้ำมาให้เราได้ปล่อยตามที่ขอไปแล้ว ยังพาครอบครัวมาร่วมกิจกรรมกับเราอีกด้วย
สภาพของปลาและม้าน้ำตอนยังอยู่ในถุง ซึ่งถูกจัดเรียงไว้ที่ชั้นบนของเรือเลตรัง
และสภาพของม้าน้ำที่ถูกบรรจุลงแก้วพลาสติค ที่พร้อมจะนำลงไปปล่อยแล้ว
หลังจากบรี๊ฟจุดดำน้ำ และวิธีปล่อยสัตว์น้ำทั้ง 2 ชนิดกันแล้ว
ถึงเวลาที่จะนำปลาและม้าน้ำลงสู่ใต้ทะเล โดยแบ่งเฉลี่ยกันออกไปตามกลุ่มดำน้ำ
ปลาทั้ง 2 ชนิดคือ ปลาหูช้าง และ ปลาเฉี่ยว จะต้องนำลงไปทั้งถุง โดยไล่ลมออกจากถุงและเติมน้ำเข้าไปแทน และไปเปิดปากถุงปล่อยปลาออกไปที่ใต้ผิวน้ำ .... ทุลักทุเลพอสมควร
ลูกปลาเฉี่ยว พอออกพ้นปากถุง ก็รวมกลุ่มกันโกยอ้าว หายวับไปในพริบตา
ส่วนเจ้าปลาหูช้างหรือปลาใบไม้ ที่น่าจะให้ชื่อว่า ปลาเฉื่อย ....
ด้วยความที่มีรูปร่างเหมือนใบไม้ลอยไปมา จึงได้ใจเย็น ไม่ได้รีบร้อนตื่นกลัวแต่อย่างใด ว่ายน้ำไปช้าๆอย่างสบายใจ บางตัวว่ายขึ้นไปเกือบถึงผิวน้ำ
มาชมรูปลักษณ์ของปลาหูช้างหรือปลาใบไม้ใกล้ๆกันครับ ...
ส่วนม้าน้ำนั้น ว่านอนสอนง่าย หรือจะเป็นเพราะ Mr.Can ฝึกมาดี
พอปล่อยออกจากแก้ว ก็พยายามม้วนหางเกาะตามกิ่งก้านของกัลปังหาทันที
โดยเฉพาะวิธีของป๋าหนิ่ง ที่หยิบออกจากแก้ว และจับไปเกาะที่กัลปังหาทีละตัว .... ถึงจะช้า แต่ก็แน่นอน
ครั้งนี้ มีทั้งม้าน้ำตัวจิ๋ว ผิวสีดำ และตัวเขื่อง ผิวเหลืองและชมพู
มีเหมือนกัน บางตัวที่พยายามจะหนีเที่ยว .... แต่มาป๊ะกับตากล้องเสียก่อน จึงถูกต้อนกลับเข้าที่เดิม
ทริปอันดามันใต้ในเดือนมีนาคม เราจะกลับมาเยี่ยมเยียนม้าน้ำกลุ่มนี้ด้วยครับ
ใช้เวลาไม่นานนักในการปล่อยทั้งปลาและม้าน้ำ เร็วจนเก็บภาพแทบไม่ทัน
หลังจากนั้น ก็ดำน้ำชมความงามใต้ทะเลของเกาะแหวน ...
มีกัลปังหามากมายหลายชนิดและหลายสี
ถึงน้ำออกจะขุ่นมัวซัว แต่ไม่สามารถบดบังความงามและสีอันอ่อนหวานของปะการังอ่อนไว้ได้
ภาพแบบมาโคร ก็พอจะมีอะไรให้ถ่ายมาได้เหมือนกันครับ
อย่าง ปูแอนนีโมน หรือ Porcelain Crab ตัวนี้
นูดี้ที่ผมพบค่อนข้างจะสามัญไปนิด ...
ปูเสฉวน .... ของชอบของคุณสายน้ำเลยล่ะครับ
ปะการังอ่อนกับเพรียงหัวหอม ....
ปิดไดฟ์นี้ ด้วยภาพปลาเก๋าขี้อาย ...
หลังอาหารกลางวัน และเป็นการพักรอลงไดฟ์ต่อไป
เรา Skin เข้าถ้ำมรกตกันครับ ...
ภาพตอนเข้าถ้ำไม่มี มีแต่ตอนทะลุเข้าด้านในแล้วครับ ..
ทั้งหมดเป็นภาพจากกล้องน้อง Koy ครับ
ไดฟ์ที่สอง เราลงดำกันที่เกาะมุก ....
แค่ฐานผูกทุ่นก็มีอะไรสวยๆให้ชมแล้ว
จุดดำน้ำจุดนี้ เต็มไปด้วยสีสันจริงๆเลยครับ
ไดฟ์นี้ สองสายมี Razorfish 1 ฝูง เป็น Dive Leader ครับ
ไปไหนก็ไปกัน จนไม่รู้ใครตามใครกันแน่ ....
บนพื้นทรายที่มีสภาพเป็นทรายดำๆ สกปรกๆ ทำให้ไดฟ์นี้กลายเป็น Muck Dive ไปในทันที
ที่พบบนพื้นทรายก็มี .... ทากขน Flambellina
ดูเผินๆเหมือนมีตัวเดียว แต่ไม่ใช่ครับ ...
สกปรกๆแบบนี้ Indian Walkman ชอบนักเชียว
เจอปลาอมไข่ด้วย แต่เป็นตอนที่มันไม่มีไข่ให้อม ...
เราจบรายการดำน้ำเพียงวันเดียวของเราอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า
สุขที่ได้ทำบุญ ปล่อยปลาและม้าน้ำ และสุขที่ได้เห็นความสวยงามใต้ท้องทะเลตรัง ที่ไม่แพ้ที่ไหนๆเลย เพียงแต่น้ำขุ่นไปนิดเท่านั้นเอง
วันที่สาม ......
โปรแกรมของวันนี้คือ ช่วงเช้า ลงเรือหางยาว ลากเรือคายัค ไปยังสิเกา เพื่อปลูกป่าชายเลน และช่วงบ่ายจะย้อนกลับมาพายเรือคายัคเล่นกันทางด้านหาดราชมงคล
แต่ ..... วันนี้มีอะไรผิดคาดหลายอย่าง
อย่างแรก ..... น้ำลงเยอะจนผิดคาด ทำให้เรือไม่สามารถลัดเลาะเข้าไปตามแนวป่าชายเลนของปากเมงเพื่อไปทะลุด้านหาดราชมงคลได้ เรือต้องวิ่งอ้อมออกไปทางเกาะเมง ทำให้เสียเวลาไปพอสมควร
อย่างที่สอง ..... ลมแรงผิดคาด แรงยิ่งกว่าเมื่อวานที่ออกไปดำน้ำกันเสียอีก แต่วันนี้ เรือเล็กกว่าเมื่อวาน เพราะเป็นเรือหางยาว เมื่อวิ่งฝ่าคลื่นลมออกไป นอกจากน้ำจะสาดเข้ามาแล้ว เรือที่ต้องลากคายัคไปถึง 5 ลำ ทำให้วิ่งได้ช้าหนักเข้าไปอีก
แต่ ..... ผู้โดยสารดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน หน้าตาระรื่นดีทุกคน
ที่ผิดคาดเป็นอย่างที่สาม คือ ...... ตอนที่มาดูโลเกชั่นล่วงหน้า น้ำขึ้นเต็มหาด จึงตั้งใจว่าจะให้เรือหางยาวมาเทียบเข้าหน้าหาด ตรงจุดที่เราจะปลูกไม้ชายเลนกันเลย จะได้ไม่ต้องเดินกันไกล
แต่วันนี้ อย่างที่บอก น้ำลงผิดคาด เรือเข้าเสียบหน้าหาดไม่ได้ ต้องไปจอดบริเวณท่าเรือใหม่ ต้องเดินกันไกลพอสมควร
ผิดคาดอย่างที่สี่ คือ ....
สองสายได้ฝากกำนัน พ่อน้องพลอย ขอกล้าไม้ไว้ให้เบาะๆสัก 1,000 ต้น (บางปีจำนวนคนเท่ากัน เราปลูกกันได้ถึง 3,000 - 4,000 ต้น)
แต่กำนันมาบอกว่า เค้าเตรียมไว้ให้เพียง 300 ต้นเท่านั้น แต่พอมาถึงจุดที่กล้าไม้กองอยู่ เรานับได้เพียง 206 ต้นเอง
สีหน้าห่อเหี่ยวไปตามๆกัน .... เจ้าหน้าที่เค้ายังไม่รู้จักพวกเราดีพอ คงคิดว่าพวกเราคงเหมือนกลุ่มอื่นๆอีกหลายกลุ่ม ที่ทำเหมือนผักชีโรยหน้า ลงมาจิ้มๆกันคนละต้นแล้วก็ไป
ถ้ารู้จักกันแล้ว จะรู้ว่า พวกเราทำกิจกรรมกันจริงๆจังๆ ถึงแม้จำนวนคนจะน้อยนิด แต่เราทำกันสุดกำลังกายและกำลังใจ ไม่งั้นคงไม่ยอมควักกระเป๋ามาไกลอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาสวันเฉลิมฯแล้วด้วย จะมากจะหนักเท่าไร ไม่เคยยั่น
เมื่อหายสลด ทำใจให้หายเซ็งได้แล้ว ....
เริ่มลงมือลำเลียงกล้าไม้ ลงไปรวมกันไว้ในจุดที่เราจะปลูกกัน
คนละไม้คนละมือครับ ...
คนมีหน้าที่ขุดทำรู ก็จิ้มๆงัดๆกันไป .... บางคนนี่เราต้อง Import มาจากอินเดียเชียวนะครับ
คนไหน .... ก็คนที่โพกหัวนั่นไง
คนที่ถนัดลงต้นกล้า ก็ลงกันไป ....
"หนูขอประกาศให้ทราบไว้ ณ ที่นี้ ว่า sos ไม่ใช่โรงงานนรก เราไม่ได้ใช้แรงงานเด็กนะคะ .... คือ เด็กเค้าอาสามากับพ่อแม่เค้าค่ะ คือ เธอไฮเปอร์มากๆค่ะ โตขึ้นเธอจะสมัครเป็นสมาชิก sos และเข้ารวมกลุ่มกับสาวไฮเปอร์ของ sos แน่นอนค่ะ"
ส่วนคนนี้ ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร จะยอมเป็นเจ้าบ่าว
พวกนี้ ต้องไม่พอใจที่ได้กล้าน้อยไปแน่ๆ ..... จับกลุ่มกันเกิน 5 คน สงสัยกำลังเตรียมจะก่อความวุ่นวายในบ่ายวันนี้ ต้องรีบไปบอกคุณสายชลให้ประกาศสภาวะฉุกเฉิน ...
.... กราบขอโทษคร๊าบ คุณแม่ เพิ่งจะเห็นว่าคุณแม่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเราก็ลงกล้าไม้เสร็จสิ้น ...
เรือหางยาวพาพวกเราย้อนกลับไปทางหาดราชมงคล เพื่อหาทำเลเหมาะทานข้างกลางวันกันก่อน ถ้าอิ่มหนำสำราญกันแล้ว ค่อยพายเรือคายัคก่อนต่อ
แต่ สิ่งที่ผิดคาดอย่างที่ห้าคือ .... ลมแรงมากๆ ดูเหมือนจะมาจากทุกทิศทุกทาง กว่าจะหามุมเหมาะๆเพื่อทานอาหารกันได้ ก็ทุลักทุเลกันพอดู
ร้อน หนาว เหนื่อย และหิว .....
แจกข้าวกล่องจากเลตรัง และลงมือกิน ...
ยัยติ๋วแย่งของเด็กกิน .... เจ้าข้าเอ๊ย
พออิ่มได้สักพัก ....
ไฮเปอร์อันดับหนึ่งของ sos ก็คว้าพาย ออกเรือคายัคนำไปก่อนแล้ว
แล้วก็ตามๆกันออกไป ...
พายเป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง แต่ก็มันส์เขาล่ะ
ลำนี้ จองมาเป็นแพ็คเกจครอบครัวครับ ....
สองคนนี้ สงสัยจะมีอะไรที่ไม่ชอบพอกันเป็นส่วนตัวอยู่แล้วแน่ๆ .... ไม่น่าปล่อยให้ไปด้วยกันเล๊ย
หรือว่าน้องจา....กับ....น้องปิ๋ม....จะล่มเรือหารักให้มากล้นกว่าเดิม...
ว่าที่บ่าวสาวคู่ต่อไป ....
เดอะหม่อง แอนด์ เดอะเหม่ง
วันสุดท้าย ....
ทานอาหารเช้าที่เลตรังเสร็จแล้ว ก็ขนข้าวของออกมารวมกันไว้ และ Check Out เลย ....
โปรแกรมวันนี้ จะพาวิ่งไปตามถนนเลียบชายหาด และแวะตามจุดต่างๆบนเส้นทางนี้
จุดแรกคือ หาดหยงหลิง ที่อยู่ในเขตของ อช.หาดเจ้าไหม .... มีถ้ำให้เดินลอดด้วย แต่ก่อนจะถึงทางเข้าถ้ำ ต้องเดินผ่านดงไม้เข้าไป
ที่จุดนี้ ผมไม่ได้เดินเข้าไปด้วย ขออาสาอยู่เฝ้ารถ เพราะสาเหตุอะไร อีกสักครู่จะบอก
นายแบบรูปหล่อ .... สุดที่รักของปื๊ดทั้ง 2 คนเลย
เรามาถูกเวลา เพราะน้ำลงตอนเช้า จึงสามารถเดินเข้า และออกได้โดยไม่ถูกน้ำทะเลรบกวน
ทะลุออกไปริมทะเลจะได้บรรยากาศแบบนี้
ช่องนี้ มีเสน่ห์ดีเหมือนกัน ..... โดยเฉพาะถ่ายให้เป็น Silhouette แบบนี้
ใครเป็นใคร เดาเอาเองครับ
ช่องหินช่องนี้ รูปทรงคล้ายดวงตาเลยนะครับ ...
ดวงตาคือ หน้าต่างของหัวใจ ..
แอคชั่นด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนใคร .... ก็มีอยู่คนเดียวแหล่ะครับ
ถึงเวลาเฉลยแล้วว่า ทำไมผมจึงอาสาอยู่เฝ้ารถ ...
ไม่ได้กลัวรถหายหรอกครับ ... กลัวเจ้าสมุนพระราม ญาติหนุมาน หลานซึงหงอคง พวกนี้แหล่ะ อยู่กันเต็มไปหมด
แค่เจ้า 2 ตัวที่อยู่บนกิ่งไม้เหนือหลังคารถนี่ ก็หวาดเสียวกลัวอึกลัวฉี่เต็มทนแล้ว
ระหว่างที่คอยไล่ให้ไปพ้นรถแล้ว ผมยังคอยสังเกตพฤติกรรมของวานรเหล่านี้ไปพลางๆด้วย .... โดยเฉพาะคู่นี้
.... เริ่มด้วยการหาเห็บหาหมัดให้กันอยู่บนพื้นหญ้า
.... แล้วย้ายขึ้นไปหากันต่อบนคาคบไม้
.... ไม่ทราบเหมือนกันว่า การหาเห็บให้กัน มันไปเร้าอารมณ์กันได้ตอนไหน คู่นี้จึงลงไปแสดงบทพิศวาสกันต่อบนพื้นหญ้าอย่างที่เห็น
หันกลับไปที่รถตู้ซิ่ง ก็มีแม่ลิงสาวตัวนี้ นั่งโชว์เชพอยู่บนหลังคาเสียแล้ว
ทรวดทรงของเธอละม้ายคล้ายแอนเจลินา โจลี่มากเลยครับ
คงคิดว่าตัวเองเป็น Spider Monkey .....
ท่าทางมันเท่ห์อย่าบอกใครเชียว
สอดแนมกันแทบทุกมุม .... ถ้ามีหน้าต่างบานไหนลืมปิดล่ะก็ เสร็จพวกท่านแน่
ในเมื่อเข้าในตัวรถไม่ได้ เลยนั่งส่องกระจก เพื่อคอนเฟิร์มความหล่อของตัวเอง
หนอย ... ทำผมทรงแห้วสุดฮิตเสียด้วย
ยังไม่วายระแวง .....
หลังจากนี้ ผมต้องเรียนเชิญพวกท่านออกไปจากรถผม และต้องทำการเช็ดกระจก ลบรอยมือรอยเท้าของพวกท่านที่มีอยู่บนกระจกแทบทุกบานออกไปครับ
ออกจากหาดหยงหลิง น้องปาล์มแวะจอดให้ชมวิวเป็นระยะๆ
พ่อหนุ่มคนนี้หลบมานั่งบนราวสะพานอยู่คนเดียว กลัวจะคิดสั้น จึงเข้าไปถาม
เขาตอบว่า "ผมกลัวแดดอ่ะครับ"
ป่าชายเลนด้านนี้ของตรัง ถูกเก็บรักษาไว้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
พอใกล้เที่ยง เราแวะเข้าไปที่วนอุทยานน้ำพุร้อนควนแคง เพื่อทานอาหารกลางวันแบบบ้านๆที่กำนันสั่งจองให้
บ่อน้ำพุร้อนถูกก่อขึ้นมาได้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ ...
สีเขียวๆที่เห็นในบ่อคือ ตะไคร่น้ำที่ลอยยืดขึ้นมาตามแรงของน้ำพุ
อิ่มหนำสำราญแล้ว น้ำร้อนก็ไม่อยากอาบ .... นอนให้เค้านวดดีกว่า
อากาศคงยังร้อนไม่พอ จึงมีคนสมัครใจไปอาบน้ำร้อนในบ่อกันหลายคน
ห้องนี้ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นน้องก้อยกับน้องโหย๋ แต่ไม่ได้โผล่เข้าไปดู
ที่ต้องเข้าไปดูคือห้องนี้ครับ ...
ขณะที่เดินผ่าน ได้ยินเสียงผู้ชายร้อง "ว๊ายๆ ซื๊ด"
ด้วยความอยากรู้ จึงเข้าไปดู ก็พบภาพนี้ครับ
สบายตัวกันแล้ว ทั้งนวดทั้งอาบน้ำร้อน ....
ออกเดินทางกันต่อไปกันตัง โดยข้ามแพขนานยนต์ ...
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่งในอำเภอกันตังคือ สถานีรถไฟกันตัง ที่อนุรักษ์รูปลักษณ์ตั้งเดิมเอาไว้ได้
วิกิพิเดีย บรรยายเอาไว้ว่า .....
สถานีรถไฟกันตัง ตั้งอยู่บนถนนหน้าค่าย ตำบลกันตัง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นสถานีรถไฟสุดทางของทางรถไฟสายใต้ ฝั่งทะเลอันดามัน
สถานีรถไฟกันตัง เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ในอดีตใช้เป็นที่รับส่งสินค้ากับต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย มีรางรถไฟต่อไปเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ถึงท่าเทียบเรือกันตัง ซึ่งเป็นท่าเรือเก่าแก่ตั้งแต่โบราณ ปัจจุบันทางรถไฟส่วนนี้ถูกชาวบ้านรุกล้ำที่ และไม่มีรางรถไฟส่วนนี้แล้ว
ตัวสถานีรถไฟกันตัง เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวทรงปั้นหยาทาสี เหลืองมัสตาร์ดสลับน้ำตาล ตัวอาคารแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้านหน้ามีมุขยื่นประดับมุมเสาด้วยลวดลายไม้ฉลุ ประตูบานเฟี้ยมแบบเก่า คงเอกลักษณ์เดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรแล้ว
ด้านหน้าอาคารทางเข้าชานชาลา
ถ้าผมจำไม่ผิด ...
คุณลุงกับจักรยานคันนี้ ไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่พวกเราเห็นคุณลุงนั่งอยู่ เลยขอให้ท่านนั่งเป็นนายแบบให้พวกเราต่อไปอีกสักครู่นึง .... ท่านก็นั่งได้หน้าเครียดเชียว
ตัวอาคารทาสีเหลืองสวย .... แม้แต่ลูกกรงก็ทาสีเหลือง
บ้านพักเจ้าหน้าที่ ถึงจะเก่าจะโทรม แต่ก็ดูคลาสสิค
กำลังคิดสั้นอยู่หรือเปล่าหน๊อ .... หรือว่าเมียทิ้ง
เมื่อกี้ก็นั่งบนราวสะพานคนเดียวทีนึงแล้ว เที่ยวนี้ก็มานั่งหลบอยู่คนเดียวอีก นี่ถ้าไปนั่งอยู่บนรางรถไฟล่ะก็ ... ชัวร์เลย
จุดสุดท้ายที่น้องปาล์มจะพาไปคือ สะพานยอดไม้ ในสวนพฤกษศาสตร์ทุ่งค่าย
วิกิพิเดีย บอกว่า .....
สวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) - Peninsular Botanical Garden (Thung Khai) เดิมชื่อ สวนรุกขชาติทุ่งค่าย ตั้งอยู่ในพื้นที่ 2,600 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าทุ่งค่าย หมู่ที่ 2, 3 และ 9 ตำบลทุ่งค่าย อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดตรังประมาณ 13 กิโลเมตร
สวนรุกขชาติทุ่งค่าย เริ่มจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 โดยกรมป่าไม้ ตามนโยบายของนายชวน หลีกภัย (ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 และเป็นสถานที่อนุรักษ์พันธุ์ไม้ - สัตว์ป่า และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชนทั่วไป
ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบและที่ราบบนเนินเขาเตี้ยๆ สภาพป่าเป็นป่าดิบชื้น และป่าพรุ มีป่าพรุธรรมชาติที่เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยสายเล็กๆ ดินเป็นดินทรายและดินร่วนปนทราย
ในปี พ.ศ. 2536 สวนรุกขชาติทุ่งค่าย ได้ยกฐานะเป็นสวนพฤกษศาสตร์ ตามนโยบายจัดตั้งองค์การสวนพฤกษศาสตร์ขึ้น อยู่ในกำกับดูแลของส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช้ชื่อว่า สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้ย้ายมาสังกัดสำนักบริหารจัดการพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ 20 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ภายในสวนพฤกษศาสตร์สากลภาคใต้ (ทุ่งค่าย) มี สะพานศึกษาเรือนยอดไม้ (Canopy walkway) ความยาว 175 เมตร มีความสูง 10-18 เมตร มีจำนวนหอคอย 6 หอ รองรับน้ำหนักได้ 200 กิโลกรัม/ตารางเมตร ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าทุ่งค่าย มีระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ผ่านป่าดิบชื้นและป่าพรุ สร้างเสร็จเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ด้วยงบประมาณส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
ยิ่งขึ้นชั้นสูงๆ รู้สึกว่าสะพานมันยิ่งแกว่งยิ่งเขย่า ...
นี่เป็นชั้นบนสุดแล้ว อยู่ระดับเดียวกับยอดไม้ครับ
ได้เวลาเดินลงแล้ว ต้องไปส่งจากับปิ๋มขึ้นเครื่องและไปทานอาหารเย็นที่เลตรัง 2 กันอีก
มีภาพของบ่าวสาวหมาดๆ .... จาและปิ๋ม
ขอโทษที กระโดดข้ามไปได้ไงไม่รู้
เราปิดท้ายรายการกันด้วยอาหารเย็นที่ร้านเลตรัง 2 ....
อาหารซีฟู๊ดดีๆทั้งนั้น ปริมาณคับอก แต่เวลาไม่มี ทานกันยังไม่เต็มอิ่ม ก็ต้องรีบเผ่นไปขึ้นรถไฟ .... เสียดายจัง
จบแล้วครับ .... ขอขอบคุณน้องๆทุกคนที่ร่วมกันทำให้กิจกรรมครั้งนี้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ และทำให้ทั้ง 4 วันที่อยู่ร่วมกันที่ตรังมีแต่สีสัน ความสุข และสนุกสนาน
เอาไว้ไปล้างแค้นกันใหม่ ปลายปี 53 นี้ครับ ....
blue day
06-02-2010, 22:24
ขอบพระคุณสำหรับภาพสวยๆ ครับพี่สายน้ำ ดูแล้วคิดถึง เพ่ ล่ะ อ่ะ ย่ะ ผมขออนุญาตเพิ่ม รูปนิสส์ นึง นะครับ ร้านคุณแม่จิ๋ม (ผมเอง) ...อิอิ:p
http://image.ohozaa.com/i2/img_0668.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=c7d41ee49939feab7df5a3068c5ebbaf)
http://image.ohozaa.com/ic/1img_0662.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=f9c160be60bc7c1631aeae37b81aabe5)
http://image.ohozaa.com/iw/0img_0665.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=98697a1cdb878074eba2728794aaed5b)
blue day
06-02-2010, 22:26
http://image.ohozaa.com/i1/img_0809.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=3757a6bfa2b50d03176333510e88cb7b)
http://image.ohozaa.com/i0/0img_0806.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=a9a6451a919cd699413363edf2d38ae7)
http://image.ohozaa.com/iz/0img_0807.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=bc92c009f4a8034bb0a25439fd22f6d3)
http://image.ohozaa.com/iy/img_0856.jpg (http://image.ohozaa.com/show.php?id=6fb3b16e6dfb585f6e509a32697f56ef)
ผมอ่ะเลิฟฟฟฟ ตรัง จริงงจริ๊งงงงงง
ผมขออนุญาตเพิ่ม รูปนิสส์ นึง นะครับ ร้านคุณแม่จิ๋ม (ผมเอง) ...อิอิ
เฮ๊ย!!! กลายเป็นแม่จิ๋มของน้องดื้อไปแล้วเหรอ ...
คิกๆ.....น้องดื้อจ๋า ช่วยลุ้นจ้ะ....ช่วยลุ้น.....:p
คิดถึงตรังและคนตรังมากๆ............ยิ่งได้ชมภาพที่คุณสายน้ำนำมาลงก็ยิ่งคิดถึง นั่งวนชมภาพอยู่หลายรอบ....
ด้วยความคิดถึง....เดือนมีนาคมนี้สองสายคงจะได้แวะไปเยี่ยมเยือนตรังและคนตรังอีกครั้งค่ะ...:p
นั่งตามดูรูปกระทู้ตรังเวอร์ชั่นครบเครื่องของพี่จ๋ิอม สนุกสนานและรู้ัสึกไม่ต่างจากพี่น้อยเลยครับ คิดถึงๆๆๆ
โหวตให้กระทู้นี้ทันทีครับผม ..
ดื้อครับ รูปสาวๆผมยังแอบถ่ายไกลๆ แต่ไฉนดื้อ ถึงได้โฟกัสกันแบบไม่เกรงใจหนุ่มๆแถวนั้นเลยหรือครับ ฮี่ๆ ..
เด็กน้อย
08-02-2010, 12:17
ดูแล้วมีความสุข :)
ขอบคุณพี่สองสายครับ
บริเวณข้างอาคารสถานีรถไฟกันตัง....
ชายหนุ่มนักท่องเที่ยวคนหนึ่งปลีกตัวเดินออกมา จากกลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังวุ่นวายหามุมถ่ายภาพในตัวอาคารสถานีรถไฟ....
เสียงพูดและเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆแว่วมาเข้าหูชายหนุ่ม ทำให้เขาเดินตามเสียงนั้นไป.....
จากที่ยืนดูอยู่ห่างๆ...เขาเดินไปทรุดตัวลงนั่งห้อยขาที่ขอบปูนชานชลาที่อยู่ติดกับสวนหย่อม...
เด็กๆชายหญิงวัย 5-6 ขวบสองสามคน กำลังสนุกสนานอยู่กับการใช้มือช้อนปลาหางนกยูง ที่อยู่ในอ่างบัวกลางสวนหย่อมเล็กๆ เสียงหัวเราะของเด็กๆดังกังวาลอย่างมีความสุขยามเมื่อจับปลาในอ่างมาใส่ไว้ในแก้วพลาสติกเล็กๆ ที่ใส่น้ำไว้ครึ่งหนึ่ง
เราไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่.........แต่เราเห็น....
เขากำลังยิ้มอย่างสดชื่นกับภาพที่ได้เห็นอยู่เบื้องหน้า.....
http://www.saveoursea.net/forums/attachment.php?attachmentid=6132&d=1265467657
เบลูก้าน้อย
08-02-2010, 14:26
มีความสุขจัง :)
ploybabe
08-02-2010, 17:41
ยิ้ม ไม่หุบเลยยยยยยยย
ภูมิใจ บ้านนู๋เอง !! อิอิ
ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ ตอนนี้ หนูอยู่ประจำแล้วค่าาา
เหลียวหลัง พร้อม กะ ...อมยิ้มแก้มตุ่ยไปด้วยอ่ะ....ขอบคุณค่ะ
เสียดายนะครับ ที่ไม่ได้ทำสปาหน้า..ที่ตรัง
ก๊ากกกกก....
เห็นภาพน้องนุทำสปาหน้าแล้ว หัวเราะก๊ากกกกได้ทุกที
ปีหน้าไปตรัง....จะจัดไปสระมรกต...น้ำตกร้อน....น้ำพุร้อนให้อีกจ้ะ
อ่านไป...ยิ้มไปเหมือนกันคร๊าบบบ
เหม่ เหม่ พี่ต้นดูดี๊ดี...แม้แต่ตอนที่พี่น้อยมาบรรยายให้ฟังรูปที่พี่ต้นเก็กเท่ห์ที่สถานี้รถไฟ
พี่ต้นดูเป็นคนอบอุ่นและรักเด็ก ฮี่ ฮี่
...
ส่วนสปาหน้าของไอนุ...เอ่อ...พี่ขอเป็นคนลง((...))ทำให้ดีมะน้องงงง
...
ขอบคุณพี่น้อยกับพี่จ๋อมคร๊าบ
ถ้าเอารูปมาลงมั่งจะเก่าไปมั๊ยนี่คร๊าบ
ไม่เก่าคร้าบบบ....อยากชมภาพของน้องปื้ดและของท่านอื่นๆด้วยคร้าบบบบ.....
.......
น้องต้นของพี่ปื้ดก็เป็นคนอบอุ่นน่ารักออกคร้าบบบ.....จากที่เห็นตอนนั่งมองเด็กๆ ก็ดูน้องต้นจะรักเด็กอยู่นะคร้าบบบ (เด็กเล็กๆ ไม่ใช่เด็กเอ๊าะๆนะคร้าบบบ....)
:) :) :) :) หุบยิ้มลำบากเลยเนี่ย หุๆๆ
sea addict
11-02-2010, 17:19
อนุโมทนา สาธุ ครับ อยากไปปล่อยปลาบ้างจัง แต่งานยุ่งมากเลยได้แต่คอยชื่นชมผลงานครับหวังว่าคงได้ไปร่วมทำบุญบ้างสักครั้งครับ (รูปสวย ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยนะครับ)
ปล. ปลาหูช้างตัวเด็กควรหาที่ปล่อยในแนวปะการังชายฝั่งใกล้ป่าชายเลนครับ เพราะพวกนี้จะพรางตัวให้เหมือนใบไม้แห้งลอยน้ำ จึงเป็นเหตุให้เมื่อปล่อยแล้วมันจึงรีบลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อให้สมบทบาทและลอยตัวเข้าใปหากินเลี้ยงตัวบริเวณชายฝั่งจะได้มีโอกาสรอดสูงกว่า และทำให้นักดำน้ำมักไม่ค่อยพบมันในเขตแนวปะการังน้ำลึกจนกว่าจะโตเป็นปลาวัยรุ่นหรือเต็มวัยครับ
ขอบคุณคุณ sea addict เช่นกันค่ะ สำหรับคำชมแบะคำแนะนำ....:)
หวังว่าจะได้ไปดำน้ำทำบุญด้วยกันบ้างในโอกาศอันใกล้นี้นะคะ...
vBulletin® v3.8.10, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions, Inc.