พระราชวังหลวง http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_02.jpg หลวงพระบางเป็นเมืองหลวงของลาวเมื่อนานเนกาเลมาแล้ว...ตามประวัติชาติลาว ที่เล่าโดยไกด์สาวชาวลาว ได้ความว่า.... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_11.jpg เดิมที่อาณาจักรล้านช้างมีชื่อเรียกว่า “เมืองชวา” อันเนื่องมาจากมีชาวชวาอาศัยอยู่มากกว่ากลุ่มอื่น เมื่อปี พ.ศ. 1896 – 1916 พระเจ้าฟ้างุ้มได้รวบรวมแว่นแคว้นต่างๆของชนเผ่าไท-ลาวในเขตลุ่มน้ำโขง แม่น้ำคาน แม่น้ำอู แล้วก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง ณ ดินแดนริมน้ำโขง ซึ่งคือที่ตั้งเมืองหลวงพระบาง โดยการช่วยเหลือของกษัตริย์ขอม ผู้เป็นบิดาของพระมเหสีของเจ้าฟ้างุ้ม พร้อมๆกันนั้น พระองค์ได้รับเอาพุทธศาสนาเข้ามาแทนการนับถือผี ที่ชาวลาวเคยนับถือ ในปี พ.ศ. 1900 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เมืองเชียงทอง" กระทั่งกษัตริย์ขอมได้พระราชทานพระพุทธรูปองค์หนึ่ง มีชื่อว่า พระบาง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลปะสิงหล เจ้าฟ้างุ้มจึงทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “หลวงพระบาง" ปัจจุบัน...พระบาง ได้ประดิษฐานไว้ใน "หอพระบาง" ซึ่งตั้งอย่างสง่างาม อยู่ทางด้านซ้ายทางเข้าพระราชวังหลวง ซึ่งได้เปลี่ยนมาเป็น พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ของลาวไปแล้ว อาณาจักรล้านช้างแตกออกเป็นสามอาณาจักร คือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และ จำปาศักดิ์ ปี พ.ศ. 2088 พระเจ้าโพธิสารราชเจ้า โปรดฯ ให้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างไปอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ แม้หลวงพระบางจะไม่ได้เป็นเมืองหลวงต่อไป แต่เจ้ามหาชีวิตยังคงประทับที่หลวงพระบาง กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง สืบทอดราชบัลลังก์กระทั่งถึงยุคสิ้นสุดของราชวงศ์ อันมีสาเหตุหลักมาจากตกเป็นเมืองขึ้นของสยาม เวียตนาม และ ฝรั่งเศส กษัตริย์หรือเจ้ามหาชีวิตองค์สุดท้าย ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชาวลาว คือ เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งมีอนุเสาวรีย์ตั้งอยู่ด้านขวามือของวังหลวง |
เราได้เข้าไปชมในพระตำหนักที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต ที่แบ่งออกเป็นห้องต่างๆมากมาย แต่ละห้องได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามน่าชม (ผิดกับที่เราได้เข้ามาชมเมื่อยี่สิบปีก่อนมาก) ทั้งนี้ โดยได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก UNESCO ซึ่งได้ยกย่องให้เมืองหลวงพระบางเป็น เมืองมรดกโลก น่าเสียดาย...ที่ห้ามถ่ายภาพ ภายในเขตพระตำหนัก โดยเราต้องเก็บกล้องไว้ในตู้ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ให้ จะได้ไม่เผลอหยิบกล้องมาถ่าย ให้ถูกจับ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_12.jpg ด้านข้างพระตำหนัก มีรถทรงในพระราชพิธีต่างๆแสดงไว้ด้วยในเต๊นท์ผ้าใบ คาดว่าจะเป็นการตั้งแสดงไว้เป็นการชั่วคราว เพราะเต๊นท์นั้น หาได้คุ้มแดดคุ้มฝนไม่ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_13.jpg ไกด์สาวชาวลาวของเรา บรรยายเรื่องราวของวังหลวงให้เราได้ฟังอย่างสนุกสนาน http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_03.jpg |
ด้านหน้าวังหลวง เป็นที่ตั้งของ พระธาตุพูสี ซึ่งตั้งอยู่บนดอยสูง...ส่วนที่เชิงดอย เป็นที่ขายของพื้นเมืองของชาวบ้าน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นชาวเขาเผ่าต่างๆของลาว http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_14.jpg ไม่ซื้อ...ไม่หา...ไม่ว่าอะไร... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_15.jpg มือหนึ่งอุ้มลูก...อีกมือวุ่นกับการจัดของเตรียมขาย... ความรักของแม่.....เห็นที่ไหนก็ประทับใจเสมอ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Palace_16.jpg |
วัดวิชุนราช หรือ วัดหมากโม...เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในเมืองหลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนนวิชุนราช สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ พระธาตุรูปร่างโค้งมนเหมือนผลแตงโมผ่าครึ่ง อันเป็นที่มาของชื่อ "วัดหมากโม" วัดวิชุนราช ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนนวิชุนราช สร้างขึ้นเมื่อ ปีพ.ศ. 2046 ในสมัยพระเจ้าวิชุนราช เพื่อใช้ประดิษฐาน พระบาง ซึ่งอาราธนามาจากเมืองเชียงคำ ภายในวัดวิชุนราชมีปทุมเจดีย์หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ซึ่งพระนางพันตีนเชียง พระอัครมเหสีของพระเจ้าวิชุนราช โปรดฯให้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2057 หลังจากสร้างวัดแล้ว 11 ปี ด้วยรูปทรงของเจดีย์มีลักษณะคล้ายแตงโมผ่าครึ่งทำให้ชาวเมืองหลวงพระบางเรียกว่า "พระธาตุหมากโม" เป็นทรงโอคว่ำ ยอดพระธาตุมีลักษณะคล้ายรัศมีแบบเปลวไฟของพระพุทธรูป ตามแบบลังกาหรือสุโขทัย บริเวณมุมฐานชั้นกลางและชั้นบน มีเจดีย์ทิศทรงบัวตูมทั่งสี่มุม พระธาตุหมากโมนี้มีสีดำเก่าๆ แม้จะเคยผ่านการบูรณะปฎิสังขรมาแล้วสองครั้ง ในปีพ.ศ.2402 รัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตสักรินทร์(คำสุก) ซึ่งเป็นพระราชบิดาของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ อีก 19 ปีต่อมา ในปี พ.ศ.2457 ในรัชสมัยของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ มีการปฎิสังขรอีกครั้ง ซึ่งการบูรณะครั้งนี้พบโบราณวัตถุมากมาย เช่น เจดีย์ทองคำ พระพุทธรูปหล่อสำริด พระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน โดยเฉพาะพระพุทธรูปที่แกะสลักจากแก้ว ซึ่งคล้ายกับพระแก้วมรกต โบราณวัตถุเหล่านี้ ได้นำถวายเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเก็บรักษาไว้ในพระราชวังหลวงพระบางในปัจจุบัน |
พระอุโบสถ หรือที่ชาวลาวเรียกว่า "สิม" เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบาง ตัวอุโบสถมีรูปทรงอาคารไทลื้อสิบสองปันนา ซึ่งมีจุดเด่นคือส่วนคอชั้นสองจะยกระดับสูงขึ้นไป ส่วนบนหลังคาประดับด้วยโหง่(หรือช่อฟ้าแบบไทย) ตรงกลางหลังคามีช่อฟ้า เป็นรูปปราสาทยอดฉัตรเล็กๆ ลดหลั่นหลายชั้น หน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยลูกมะหวด บานประตูด้านหน้าทั้งสามช่อง แกะสลักลงรักปิดทอง มีรูปเทพเจ้าของพราหมณ์ คือ พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม และ พระอินทร์ ซึ่งลักษณะเป็นศิลปะแบบเชียงขวาง พระประธาน หรือพระองค์หลวงในพระอุโบสถมีขนาดใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง ด้านหลังพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่นพระพุทธรูปสำริด พวกไม้จำหลักลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรักปิดทองสูงเท่าคนจริงจำนวนมาก |
ด้านข้างวัด มีวิหารเล็กๆตั้งอยู่ มีเจดีย์สีดำคล้ำ สร้างอยู่หลายองค์ http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_12.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_13.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_14.jpg |
เด็กน้อยวัยเพียงแปดเดือน ที่ไปกับพ่อ แม่ ตา ยาย น้าสาว และน้าเขย....น่ารักน่าเอ็นดู อารมณ์ดี ไม่งอแงเลยค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_07.jpg ใครเห็น...ก็อดไปทักทายไม่ได้... http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_06.jpg สองสายก็ได้เพื่อนใหม่มากมายจากการไปทริปครั้งนี้ค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...t-Wisun_16.jpg |
วัดเชียงทอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองหลวงพระบาง ใกล้บริเวณที่แม่น้ำคานไหลมาบรรจบกับแม่น้ำโขง วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้า ที่พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทน์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของประเทศลาว พระอุโบสถ ภาษาลาวเรียกว่า "สิม" เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนัก หลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตุว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่ |
http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_04.jpg ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่า "โหง่" มีรูปร่างเป็นเศียรนาค และมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_20.jpg ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงามที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน – มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ ส่วนผนังด้านหลังของพระอุโบสถ เป็นภาพที่เกิดจากการใช้กระจกสีตัด ติดต่อกันเป็นรูปต้นทองขนาดใหญ่ ซึ่งเคยมีในเมืองหลวงพระบางลักษณะคล้ายต้นโพธิ์ ด้านข้างต้นทองเป็นรูปสัตว์ในวรรณคดี ยามใดที่แสงแดดสาดส่อง จะส่งแสงดสะท้อนดูงดงาม |
http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_08.jpg วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถ เป็นที่ตั้งของวิหารสองหลัง จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน บนพื้นสีชมพู อะร้าอร่ามยามเมื่อต้องแสงแดด... http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_14.jpg หน้าต่างบานเล็กๆ ที่เปิดออกมาชมพระอุโบสถได้ http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_15.jpg |
http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_21.jpg ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507 และ ที่ฐานพระไสยาสน์ มีพระพุทธรูปตั้งไว้องค์หนึ่ง ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นพระอะไร http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_27.jpg ผนังด้านหนึ่งตั้งพระพทธรูปเรียงกันสามองค์ http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_22.jpg ผนังด้านในของวิหารน้อยทุกด้าน ประดับด้วยพระองค์เล็กๆงามยิ่งนัก บนเพดานเป็นสีแดง วาดลวดลายเทวดาประดับไว้ http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_28.jpg |
ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถคือ วิหารพระม่าน ผนังวิหารด้านนอกมีลักษณะคล้ายกับวิหารองค์แรก ภายในวิหารนี้ประดิษฐาน พระม่าน ในช่วงวันขึ้นปีใหม่ จะมีการอันเชิญมาให้ประชาชนสรงน้ำและกราบไหว้เป็นประจำทุกปี.....เสียดายที่ในวันที่เราไป วิหารหลังนี้ไม่ได้เปิดให้เข้าชม http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_11.jpg หน้าต่างที่มีไม้ลูกมะหวดปิดกั้นไว้ แทนลูกกรง http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_17.jpg ผนังด้านหลังวิหารทาด้วยสีชมพูประดับด้วยกระจกสี แสดงถึงวิถีชีวิตของผู้คน สร้างขึ้นใน พ.ศ.2493 เพื่อเฉลิมฉลองที่โลกก้าวสู่ยุคกึ่งพระพุทธกาล http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_13.jpg |
โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้น สามารถถอดออกได้ เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ จุดเด่นของโรงเมี้ยนโกศยังอยู่ที่ประตูด้านนอก ที่เป็นภาพแกะสลักวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น ตอนพิเภกกำลังบอกความลับ ที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม ถัดลงมา เป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ ถัดลงมาเป็นตอนที่พระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์ ด้านล่างสุด เป็นตอนที่นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นการลงรักปิดทอง ต่อมาได้มีการบูรณะใหม่โดยทาสีทองเหลืองอร่าม หากจะไปชมโรงเมี้ยน ควรจะไปถึงในช่วงบ่ายๆ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงทางด้านตะวันตก แสงแดดจะตกกระทบหน้าโรงเมี้ยน ทำให้เห็นภาพชัดเจนและงดงามมาก ข้างทางก่อนออกจากประตูด้านข้าง มีซุ้มปูนปั้น รูปสี่เหลี่ยมด้านบนโค้งมน มีรูปปั้นพระฤๅษี คว่ำพังพาบอยู่ด้านบน ไปมองด้านในซุ้ม มีพระพุทธรูปปูนปั้นตั้งอยู่ ไม่ทราบว่ามีความหมายเช่นไร.. |
http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_07.jpg ภายในวัดยังมีเขตสังฆาวาสและยังมีพระจำพรรษาอยู่เช่นวัดทั่วไป วันนั้น เราได้เห็นพระและเณรช่วยกันเก็บกวาดลานวัด และเก็บขยะไปทิ้ง... http://i835.photobucket.com/albums/z...g-Thong_01.jpg ทางเข้าวัดด้านข้าง อยู่บนถนนเล็กๆชื่อถนนโพธิสารราช ซึ่งอยู่ข้างๆวัด นำไปสู่ริมน้ำโขง และตลาดเช้าของหลวงพระบางก็ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ที่เชื่อมต่อกับถนนสายนี้... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_09.jpg ท่าเรือหลังวัดเชียงทอง...นอกจากมีคนใช้บริการเรือ ทั้งข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งแล้ว ยังมีการบริการให้เช่าไปวัดถ้ำติ่ง ไปดูหมู่บ้านต้มเหล้า การร่อนทองในแม่น้ำโขง และการเดินทางล่องแม่น้ำโขงไปจนถึงเมืองเชียงแสน และเมืองเชียงของ ในฝั่งไทยด้วย http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_08.jpg |
:d
มาชิม อาหารตา และอาหารใจ จานใหญ่ จากพี่สองสายค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะพี่ น้องรออ่านหนังสือรวมเล่ม นะคะ....เมื่อไรวางแผงเอ่ย ????? |
ขอบคุณจ้ะ น้องติ่ง...อาหารจะอร่อย ต้องพิถีพิถัน และใช้เวลาในการปรุงแต่งรสชาติหน่อยนะจ๊ะ...:) |
วันรุ่งขึ้น...หลังอาหารเช้าแล้ว เราจะไปเที่ยว "ถ้ำติ่ง" ถ้ำดังของลาวเหนือกัน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน สองสายเคยไปเยือนถ้ำติ่งมาแล้ว โดยนั่งเรือจากท่าวัดเชียงทอง ทวนน้ำขึ้นไปทางเหนือ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ระหว่างนั้นก็แวะชมหมู่บ้านต้มเหล้าริมฝั่งโขง และดูการร่อนทองในแม่น้ำด้วย ส่วนขากลับ เราล่องตามน้ำใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็กลับถึงหลวงพระบาง แต่ครั้งนี้ เราจะขับรถเป็นกองคาราวาน โดยใช้ถนนลาดยางสาย 13 กันค่ะ ถนนจากหลวงพระบางอยู่ในสภาพที่ดีทีเดียว เมื่อเราวิ่งไปสัก 20 กว่ากิโลเมตร ก็ถึงทางแยกเข้าซ้ายมือ ถนนดีๆก็กลายเป็นถนนลูกรังแคบๆ เป็นหลุมเป็นบ่อ สูงๆต่ำๆ ขบวนคาราวานของเรา ก็กลายเป็นขบวนรถออฟโรด วิ่งกันฝุ่นตลบ ไม่นานก็ถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง วิ่งลัดเลาะไปตามตลิ่งอีกไม่นานก็ถึงหมู่บ้านปากอู รวมระยะทางราว 30 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาไปกว่าชั่วโมง เราต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถนอกหมู่บ้าน..จากนั้นก็เดินผ่านหมู่บ้านไปที่ร้านอาหารริมโขง ระหว่างทาง มีร้านขายของพื้นเมืองวางล่อตาล่อใจอยู่ อดใจไว้ก่อน เดี๋ยวขากลับค่อยมาซื้อดีกว่า ร้านอาหารมื้อกลางวันของเรา ตั้งอยู่บนริมฝั่งโขง วิวดี สะอาด และอาหารอร่อยมากๆ จานที่อร่อยเด็ด และเราอยากรับประทานกันมากคือ สาหร่ายหรือ "ไคแผ่น" โรยงาทอดกรอบ ทานกับน้ำพริกเผาใส่หนังหมูหรือหนังควาย ที่เรียกว่า "แจ่วบอง" ทานเพลินจนต้องขอเพิ่มอีก.. “ไค” เป็นสาหร่ายน้ำจืดในวงศ์ Zygnemataceae รูปร่างเป็นเส้นยาวละเอียดคล้ายเส้นผมสตรี สีเขียวสด ชอบขึ้นเป็นกลุ่มตามห้วยธารที่น้ำไหลตลอดเวลา และใสสะอาด ฤดูหาไคเริ่มประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งแม่น้ำลำธารใสสะอาด และยังมีปริมาณน้ำมากอยู่ พอน้ำเริ่มลด หรือมีฝนตกซึ่งทำให้น้ำขุ่น ชาวบ้านก็จะเลิกหา เมื่อได้ไคมาแล้วก็จะนำมาล้างให้สะอาด เอาเศษดินเศษทรายออกจนหมด จากนั้นนำไคมาชุบน้ำ ละลายส้มมะขามซึ่งผสมด้วยขิง ข่า กระเทียม หอมใหญ่ มะเขือเทศ ผงชูรส และเกลือ แล้วรอให้สะเด็ดน้ำ แผ่ไคบนตับใบหญ้าคาโดยใช้ไม้ตีให้ไคแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ เสร็จแล้วโรยด้วยงา ตากแดดให้แห้ง เวลาเก็บจะม้วนเป็นก้อนกลมทำนองเดียวกับม้วนผ้า เมื่อจะนำมารับประทานก็ใช้กรรไกรตัดไคเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ ทอดในน้ำมันร้อนๆ แต่ไฟต้องอ่อน การทอดต้องรวดเร็วแบบจุ่มแล้วเอาขึ้นทันที มิฉะนั้นไคจะไหม้ และมีรสขม ควรรับประทานขณะที่ไคยังร้อนเพราะหากปล่อยให้เย็นจะเหนียว ไม่อร่อย “แจ่วบอง” เป็นน้ำพริกเผาชนิดหนึ่ง ไม่มีน้ำมันมากเหมือนน้ำพริกเผาไทย แต่ไม่แห้งร่วนเหมือนน้ำพริกปลาย่าง ส่วนสำคัญคือต้องใส่หนังหมู หรือหนังควายหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมอยู่ในเนื้อน้ำพริกด้วย (บางตำรับไม่ใส่)เวลากินจะกรุบๆ อร่อยใช้ได้ทีเดียว ไคแผ่นทอด (จื่นไคแผ่น) เป็นอาหารว่าง หรือของแกล้มที่ชาวหลวงพระบางนิยมรับประทานกัน และมักจิ้มกับแจ่วบอง เพื่อเพิ่มรสชาติให้กล่อมกลมมากยิ่งขึ้น |
ที่ร้านนี้ เลี้ยงนกฮูกตัวโต ขนฟูฟ่องไว้ด้วย เจ้าของร้าน เขาเลี้ยงนกตัวนี้ด้วยปลาสดๆจากแม่น้ำโขง... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_02.jpg เราทานข้าวเสร็จ ก็เข้าห้องน้ำ เรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปที่ชายหาด เพื่อเตรียมลงเรือข้ามไปยังถ้ำติ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ริมฝั่งแม่น้ำโขงอยู่สูงจากชายหาดเกือบยี่สิบเมตร บันไดที่สูงชัน ทำให้ต้องระมัดระวังในการเดินลงมากๆ ชายหาดของแม่น้ำโขงบริเวณนี้ เป็นลานทรายที่ทอดยาวกว่าร้อยเมตร ลงไปถึงชายน้ำโขง พื้นที่ไม่ได้ถูกทิ้งไว้ให้ไร้ประโยชน์ ชาวบ้านนำพืชสวนครัว และข้าวโพดลงมาปลูกกันเป็นแถวเป็นแนว.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_10.jpg ถึงริมโขงแล้ว นึกว่าจะได้ลงเรือ กลับต้องเดินลัดเลาะไปตามริมน้ำอีกหลายสิบเมตร เพราะท่าเรือไม่ได้อยู่ตรงหน้าร้านอาหารสักหน่อย... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_06.jpg |
การเดินไปบนพื้นทรายนี่ ทุลักทุเลมากค่ะ ทรายละเอียดสีขาวสะอ้าน สวยดีนะคะ แต่เดินได้ลำบากมาก ทำให้เท้าจมลงไป แล้วก็พลิกได้ง่ายๆ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_07.jpg เห็นเรือที่เราจะเดินไปลงแล้วค่ะ....อ้าวววว...ไม่ใช่ลำนี้ค่ะ....!!! http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_09.jpg ถึงเรือของเราเสียทีค่ะ...อูยยยย....ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน....!!! http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_11.jpg เรือไม่ได้จอดที่ท่าเรือใหญ่แต่เป็นแพเล็กๆ การขึ้นเรือจึงลำบากมาก ต้องปีนจากเรือลำหนึ่งไปยังเรืออีกลำหนึ่งที่จอดอยู่ด้านนอก งานนี้เล่นเอาคนแก่บ่นกันเป็นแถว (รวมทั้งสองสายด้วย) http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_08.jpg |
ได้นั่งเรือแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย...แดดไม่ร้อน แถมมีลมโชยผ่านมา ทำให้คลายร้อนไปได้มาก การนั่งเรือข้ามไป-กลับนี่ เขาคิดเงินคนละ 10,000 กีบ (50 บาท) บนเรือมีบริการน้ำชากาแฟไว้ให้ดื่มด้วยค่ะ ส่วนค่าเข้าชมถ้ำติ่งคนละ 20,000 กีบ (100 บาท) http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_12.jpg เห็นเรือหลายลำจอดอยู่หน้าถ้ำติ่ง ก็เดาได้เลยว่า คนในถ้ำคงมีมากมาย... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_14.jpg เรือวิ่งไปไม่ถึงสิบนาที ก็ถึงท่าเรือหน้าถ้ำติ่งซึ่งทำไว้อย่างดี แต่..เงาของภูเขาที่ถ้ำติ่งตั้งอยู่ ทาบลงมาที่ท่าเรือ ทำให้มืดครึ้มและเย็นสบายดีค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_13.jpg เห็นทางขึ้นตัวถ้ำแล้ว...โอ้...พระเจ้าช่วย ทำไมบันไดถึงชันเช่นนี้ !!! http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_15.jpg |
โอ้ว มีถ้ำของน้องด้วยหรือค่ะ
ครั้งที่แล้วไป ไม่ได้ไปแวะค่ะ เสียดายจัง |
อ๊ายยยย...พลาดได้อย่างไรจ๊ะ น้องติ่ง หากไปหลวงพระบาง ต้องไปวัดเชียงทอง วัดหมากโม พระธาตุภูสี และถ้ำติ่งจ้ะ ถึงจะไม่สวยเลิศ....แต่มีคุณค่าทางจิตใจ ที่ได้ไปเยือนจ้ะ..:) ตอนนี้ดูภาพของพี่สองสายไปก่อน...แล้วค่อยหาเวลาไปเที่ยวลาวอีกสักครั้ง แล้วหาโอกาสไปเยือนให้ได้นะจ๊ะ...;) |
บันไดทางขึ้นไม่สูงเลยค่ะ...แต่บันไดเล็กและชันมากๆ คนตัวใหญ่ๆ (อย่างสองสาย) เดินตรงๆเสี่ยงมากๆ ต้องค่อยๆเดินตะแคงขึ้นไป พอขึ้นไปถึงที่พักชั้นแรก ก็เห็นทางแยกซ้ายขวา ถ้าไปทางขวา จะเป็นที่ตั้งของถ้ำลุ่ม (ถ้ำล่าง) ซึ่งสูงจากพื้นน้ำราว 60 เมตร ถ้าไปทางขวา จะปีนขึ้นไป ถ้ำเทิง (ถ้ำบน) ซึ่งจะต้องปีนบันไดขึ้นไปอีก 218 ขั้น เราตัดสินใจไม่ยาก คือ เดินเลี้ยวขวา ขึ้นไปถ้ำลุ่มดีกว่า เมื่อขึ้นไปบนถ้ำซึ่งมีสองชั้น เป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปจำนวนมากหลายขนาด ส่วนใหญ่จะเป็นพระยืน มีทั้งปางประทานพร และปางห้ามญาติ ไกด์สาวชาวลาว นามว่า "ไกด์พร" เล่าให้เราฟังว่า ถ้ำติ่ง แปลว่า ถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยโผล่ยื่นออกมาเหมือนติ่ง บางทีก็เรียกว่า "ถ้ำปากอู" ตามชื่อหมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของถ้ำ ในสมัยโบราณ...ชาวลาวเคยนับถือผี ถ้ำติ่งนั้นได้ถูกใช้เป็นสถานที่สักการะบวงสรวงดวงวิญญาณผีฟ้า ผีแถน เทวดา ต่อมา พระเจ้าโพธิสารราช ซึ่งทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาเป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และทรงใช้ถ้ำติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนา |
นับแต่นั้นมาถ้ำติ่งจึงเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่เจ้ามหาชีวิตแห่งหลวงพระบางต้องไปสักการบูชาพระพุทธรูปในถ้ำ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ลาว ทั้งเจ้ามหาชีวิต ข้าราชบริพาร พระสงฆ์ ประชาชนทั่วไปจะเดินทางไปสรงน้ำพระพุทธรูป ที่ถ้ำติ่งบนและถ้ำติ่งล่าง จากนั้นจึงไปไปสรงน้ำพระพุทธรูปที่วัดปากอู ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับถ้ำติ่ง มีการค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคริสศตวรรษที่ 18-19 กว่า 2,500 องค์ ส่วนใหญ่ทำขึ้นจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่มีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งที่ทำด้วยเงินและทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด ส่วนถ้ำติ่งบนนั้น ไกด์พร ซึ่งก็ไม่ยอมปีนขึ้นไปดูเหมือนกับเรา บอกว่า ทางเดินขึ้นไปร่มรื่นด้วยเงาไม้ ลักษณะถ้ำติ่งบนเป็นปากถ้ำไม่ลึกมาก มีพระพุทธรูปอยู่ภายในถ้ำแต่ไม่เยอะเท่าถ้ำติ่งล่าง ถ้าใครจะเข้าไปชม สามารถเช่าไฟฉายไปส่องดูภายในถ้ำได้ |
http://i835.photobucket.com/albums/z...-Cave_29-1.jpg พระพุทธรูปบางองค์ งดงามและอิ่มเอิบมาก... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Cave_24-1.jpg มีรูปปั้นพระฤๅษีนั่งบำเพ็ญบุญอยู่กลางโถงถ้ำ ผ้าที่คลุมรูปปั้นพระฤๅษีนั้น เป็นผ้าลายเสือดาว ที่ผู้มีศรัทธาได้นำมาคลุมไว้ให้.. http://i835.photobucket.com/albums/z...-Cave_25-1.jpg รูปปั้นสิงห์ นั่งสง่างามอยู่ไม่ไกลจากรูปปั้นพระฤๅษี |
การได้มากราบพระที่่ถ้ำติ่ง เป็นครั้งที่สองในชีวิตนี้ นับเป็นมงคลในชีวิต เพราะเรากราบครั้งเดียว เหมือนได้สักการะพระเป็นพันๆองค์ในครั้งเดียว หลังจากนั่งเรือจากถ้ำติ่ง กลับไปขึ้นหมู่บ้านปากอูแล้ว ก็ถึงเวลาซื้อของฝากกัน สองสายได้แต่ของกระจุกกระจิก ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เช่น ผ้าพันคอ ผ้านุ่ง แต่เพื่อนของเราหลายคน ได้ซอลาวกลับมาเล่นที่เมืองไทย... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Cave_04.jpg หัวขบวนไม่ได้พาเราแวะไปดูหมู่บ้านต้มเหล้า หรือดูการร่อนทอง อย่างที่วางแผนไว้ แต่กลับวิ่งตรงดิ่งกลับเข้าหลวงพระบาง ระหว่างทางเข้าเมือง เราผ่านบ้านเมืองของชาวหลวงพระบางที่เปลี่ยนไปจากที่เราเคยเห็นเมื่อยี่สิบกว่าปีมาก http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_10.jpg บ้านที่อยู่อาศัย ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร และ ร้านค้า... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_12.jpg |
http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_13.jpg บ้านสวยๆ ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย พอมีให้เห็น...แต่น้อยมาก http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_14.jpg เราขับรถกลับถึงกลางเมืองหลวงพระบางกันอย่างกระปลกกระเปลี้ยเพลียแรง รถนำขบวนพาเราไปจอดอยู่เชิง พระธาติภูสี เพื่อให้พวกเราปีนขึ้นไปกราบไหว้พระธาตุ และชมวิวบนยอดดอยที่ประดิษฐานของพระธาตุ แต่สองสายหมดแรง บอกว่าเคยขึ้นไปแล้ว ขอกราบพระธาตุจากข้างล่างดีกว่า... ว่าแล้วก็เข้าไปนั่งคอยในร้านอาหาร ที่จะเป็นจุดที่เราจะทานอาหารเย็นกัน แล้วก็สั่งส้มตำ และกาแฟเย็นแสนอร่อยของลาว มานั่งกินนั่งดื่มอย่างมีความสุข ไม่นานนัก มีพวกเราจากรถหลายคันมาร่วมวงทานส้มตำกับเราด้วย... -------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ: ขอบคุณข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบาง จาก http://www.louangprabang.net/index.asp และ http://www.oceansmile.com/Lao/lao2.htm |
เรานอนอยู่ที่หลวงพระบางสามคืน...มีความสุขสนุกสนานดีค่ะ แต่ก็รู้สึกจะอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันมากๆ และเมื่อต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางจากหลวงพระบางในวันรุ่งขึ้น เราจึงไม่ค่อยจะอยากลุกจากเตียงกันนัก แต่ก็จำต้องลุกขึ้น เพราะเกรงจะตกขบวนคาราวาน... ก่อนจะออกนอกเมือง ล่องใต้ย้อนกลับไปตามถนนหมายเลข 13 เพื่อกลับไปวังเวียง เราต้องเติมน้ำมันกันให้เต็มถัง เพราะระหว่างทาง แทบจะหาปั๊มน้ำมันใหญ่ๆ ที่พอจะให้รถทั้ง 30 คัน เข้าไปจอดเข้าคิวเติมน้ำมันพร้อมกันไม่ได้ ถนนตอนออกจากเมืองหลวงพระบางใหม่ๆ ผิวถนนค่อนข้างจะดี เป็นถนนมาตรฐานแบบวิ่งสวนกัน แต่ไร้เส้นแบ่งถนน ขอบถนนก็หามีไม่.. ขบวนรถวิ่งขึ้นเขา ลัดเลาะไปตามถนนหลวงสายสำคัญของลาว ที่เริ่มแคบลง แถมยังขรุขระและปุปะ บางช่วงก็กลายเป็นถนนลูกรังไปซะเฉยๆ...รถหมายเลข 15 ของเรา ยังคงผจญกับหมู หมา กา ไก่ วัว แพะ และวีโก้คอยาว ที่ชอบวิ่งตัดหน้า หรือไม่ก็กระแซะเข้ามาหา ให้เราหวาดเสียวร้องกรี๊ดๆได้เหมือนเดิม.. |
รถวิ่งไปตามถนนลัดเลาะขึ้นๆลงๆไปตามไหล่เขา ข้างหนึ่งเป็นผาสูง อีกข้างหนึ่งเป็นเหวลึก รถเจ้าถิ่นที่สวนไปมาทั้งรถเล็กรถใหญ่วิ่งกันไม่ยั้ง แต่พอเห็นขบวนรถเราเปิดไฟแว๊บๆมา ก็จะชลอจอดให้ ผิดกับรถทะเบียนต่างชาติ โดยเฉพาะรถทะเบียนไทยนั้น ไม่ค่อยจะหยุดให้ เราจึงต้องส่งเสียงเตือนผ่านวิทยุกันตลอดทาง หุบเหวและขุนเขาสวยๆข้างทางมีหลายจุด แต่ถนนที่คับแคบ ทำให้เราหมดโอกาสที่จะหยุดถ่ายภาพ ได้แต่ชะเง้อมอง และถ่ายภาพผ่านกระจกรถเท่านั้น... แผงขายส้มพื้นเมืองข้างทาง หน้าตาน่าซื้อมากค่ะ แต่เราก็ได้แต่มองผ่านเหมือนเดิม.. รถเทรลเลอร์บรรทุกรถแทร์กเตอร์ขุดดินคันใหญ่มหึมา ที่ตกไปในร่องระบายน้ำข้างถนน ซึ่งเราเห็นตั้งแต่ตอนขาไป ยังคงจอดเอียงกระเท่เร่อยู่ทีเดิม คนขับรถและเด็กรถถึงกับต้องตั้งแคมป์ หุงหาอาหารและนอนอยู่แถวนั้น เพื่อรอความช่วยเหลือ คุณอนันต์..พี่ชายคุณอานนท์ ที่คุมรถสนับสนุนและรถเสบียงหมายเลข 99 เล่าผ่านวิทยุว่า รถคันนี้ช่วยให้ขึ้นมาตั้งบนถนนได้ง่ายนิดเดียว คือให้รถขุดดินใช้แขนตักดิน ยันกับหน้าผา เพื่อยกตัวเองและรถเทร์ลเลอร์ขึ้นจากร่องน้ำ เพียงแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว... |
เราได้มาหยุดจอดพักรถ เข้าห้องน้ำ และทานอาหารเที่ยง ก็เมื่อถึง "ภูเพียงฟ้า" ที่เราได้จอดพักตอนขาไปเชียงขวาง โชคดีค่ะที่ภูเพียงฟ้า ในวันหลังนี้ ท้องฟ้าดีกว่าวันแรกที่เห็น และลมก็ไม่แรงเท่า... http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_07.jpg อาหารที่นี่อร่อย บรรยากาศก็ดี ใช้ได้เลยค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_10.jpg ก่อนจากลาภูเพียงฟ้า..ก็ต้องถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกกันหน่อย ตามธรรมเนียม... http://i835.photobucket.com/albums/z...iang-Fa_12.jpg |
จากภูเพียงฟ้า...รถค่อยๆไต่จากยอดเขาสูง ต่ำลงไปเรื่อยๆ...จนเข้าสู่ที่ราบสูงใกล้เมือง วังเวียง http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_01.jpg บ้านเรือนผู้คนจากที่อยู่ห่างๆกัน ค่อยๆหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ รถราวิ่งกันขวั่กไขว่... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_02.jpg เขาสูงๆต่ำๆข้างทางถูกตัดล้างถางพง...ต้นไม้ถูกตัดจนเกือบเกลี้ยง.. http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_03.jpg ทั้งเพื่อปลูกพืชไร่ และปลูกบ้านเรือน ร้านค้า... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_04.jpg |
ผลิตผลส้มจีนทั้งผลเล็กผลใหญ่ ที่ปลูกได้แถวๆนี้ ถูกนำมาวางขายข้างทาง...เราได้แต่มองตาระห้อย... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_06.jpg ยิ่งใกล้วังเวียงเท่าไร...ภูเขายอดแหลมๆ เว้าๆแหว่งๆ สูงเสียดฟ้าดูหนาตาขึ้น... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_07.jpg ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงยางมะตอยร่อนหายไป กลายเป็นถนนดินลูกรัง ทำให้ฝุ่นฟุ้งตลบอบอวล ยากที่จะมองเห็นรถข้างหน้า... http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_08.jpg แล่นรถจากหลวงพระบางได้ราว 200 กิโลเมตร...ก็ถึงเขตเมืองวังเวียงแล้วค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...et-View_09.jpg |
วังเวียง จากถนนสาย 13...ขบวนคาราวานของเราก็เลี้ยวขวาเข้า เมืองวังเวียง ที่ได้ชื่อว่า "กุ้ยหลินเมืองลาว” เมืองที่นักท่องเที่ยวฝรั่งต่างชาติ พากันหลงใหลในเสน่ห์ของวังเวียง จงหลั่งไหลมาเยี่ยมเยือน เพื่อจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม ทิวเขาสูงสลับซับซ้อน สายหมอก และลำน้ำซองที่น้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี บ้านเรือนและร้านค้าทั้งเก่าและใหม่ ตั้งหนาแน่นอยู่ข้างถนนลาดยางมะตอยสภาพดีกว่าถนนหลวง พอออกไปชานเมือง มีโรงแรมและรีสอร์ตหลายแห่งตั้งอยู่ด้านขวามือของเรา เราจึงเดาได้ทันทีว่า "แม่น้ำซอง" แห่งวังเวียง ต้องตั้งอยู่หลังโรงแรมและรีสอร์ตนั้นแน่ๆ ถึงโรงแรมที่พักของเราแล้วค่ะ...ชื่อเก๋ไก๋มาก "โรงแรมทะวีสุก" จะสุขหรือจะสุก หน้าตาของโรงแรมใหม่เอี่ยม ท่าทางใช้ได้ทีเดียวค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_Hotel_01.jpg ตัวตึกแบ่งเป็นสองตึก ต่อกันเป็นรูปตัว L หน้าตึกทั้งสอง เป็นสระว่ายน้ำที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ทำให้รกรุงรังไม่น่าดูเลยค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_Hotel_02.jpg |
ด้านหลังโรงแรม เป็นลานกว้าง มีบังกาโลหลายหลังปลูกเรียงรายอยู่ด้านข้าง มีต้นไม้และสนามหญ้าเขียวขจี ทำให้ดูสบายตาขึ้นได้บ้าง... บังกาโลด้านหนึ่ง ดูเก่าๆ แต่ต้นไม้ที่ปลูกประดับไว้ ทำให้ร่มรื่น น่าพัก... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_Hotel_03.jpg บังกาโลอีกด้านหนึ่งใหม่เอี่ยม น่าพักมาก แต่เรากลับไม่ได้พักที่บังกาโลทั้งเก่าหรือใหม่ แต่ได้ไปพักบนตึกของโรงแรม ที่ไม่ค่อยน่าพักเท่าไร ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเราจะนอนที่นี่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็เช็คเอาท์ เพื่อกลับไปเวียงจันทน์แล้ว... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_Hotel_04.jpg เราไปจอดรถไว้ริมถนนของโรงแรม แล้วก็ขนของเข้าห้องพัก ซึ่งแสนโบราณ อารมณ์ตัดกับห้องพักที่โรงแรมหลวงพระบางอย่างแรง... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_Hotel_05.jpg |
จับของโยนเข้าห้องพักแล้ว เราต้องรีบวิ่งเร็วจี๋ลงไปริมฝั่งแม่น้ำซอง ซึ่งอยู่ด้านหลัง หรือ จะเรียกด้านหน้าโรงแรมก็ได้ (ถ้ามองจากริมฝั่งตรงข้าม) เพื่อเตรียมตัวล่องเรือในลำน้ำซอง ก่อนที่แสงอาทิตย์จะลับหาย เพราะใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว... น้ำในลำน้ำซองใสสะอาด และตื้นเขินจนเห็นกรวดที่อยู่ในท้องน้ำได้..ทิวทัศน์ที่เห็นก็สวยดีค่ะ ถ้าจะไม่มีสะพาน และบ้านเรือนที่ปลูกรุกล้ำลำน้ำ (รวมทั้งร้านอาหารของโรงแรมด้วย) มาบดทังความงามตามธรรมชาติของภูเขาและสายน้ำแห่งนี้... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_01.jpg เราทยอยนั่งเรือหางยาวลำเล็กๆแคบๆ ที่นั่งได้เพียงสองคน ที่นั่งดูน่าสบายดี แต่เรือเล็กอย่างนี้จะรับน้ำหนักสองสายไหวไหมนะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_04.jpg ทุลักทุเลมาก...กว่าจะลงเรือกันได้ พอลงเรือได้แล้ว ก็ต้องนั่งกลางๆลำเรือ และไม่ขยับตัวให้เรือโยก มิฉะนั้นคงได้เปียกปอนกันแน่ๆ... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_02.jpg อะฮ้า!...ลงเรือได้สำเร็จแล้วค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_06.jpg |
เรือหางยาวแล่นเตร็ดๆแต๊ดๆ ออกไปในร่องน้ำเล็กๆ ที่สองฟากเป็นเนินกรวดหินที่โผล่พ้นน้ำซองขึ้นมา... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_03.jpg สะพานไม้ข้ามลำน้ำซองบดบังวิวงามๆข้างหน้า...ต้องลอดสะพานไปก่อนค่ะ น่าจะได้ภาพสวยๆ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_49.jpg ลอดใต้สะพานแล้ว ทิวทัศน์สวยงามขึ้นมาทันตาเห็น http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_50.jpg เรือแล่นทวนน้ำซองขึ้นไปทางเหนือ...ที่นี้ เราจะได้ชื่นชมความงามของลำน้ำซองแห่งเมืองวังเวียง ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พอๆกับลำน้ำปายของไทย เขาสูงที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้างหน้านี้ คือ "ผาตั้ง" ภูผาที่อยู่ติดลำน้ำซอง ในมุมมองที่ไม่ค่อยจะคุ้นชินจากที่เคยเห็นตามภาพถ่ายทั่วไปนัก เพราะขณะนี้ต้นไม้สูงใหญ่ขึ้นสูง บดบังทุ่งนาที่อยู่ด้านหน้าผาตั้งจนหมดสิ้น |
ข้างบนนั้นเป็นภาพงามๆตามธรรมชาติของวังเวียง ที่สองสายเก็บไว้ได้ ในวันแรกที่ไปถึงวังเวียง นอกนั้นเป็นภาพการใช้ธรรมชาติ เพื่อความสุขและประโยชน์ส่วนตน ของมนุษย์อย่างเราๆท่านๆค่ะ ดังเช่น....รีสอร์ตที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ทั้งสองฝั่งลำน้ำซอง..ซึ่งมีทั้งน่าดู http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_12.jpg สวย แต่แห้งแล้ง... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_13.jpg รีสอร์ตที่ไม่ค่อยจะน่าดู....ซึ่งมีทั้งบ้านพัก หอที่ใช้กระโดดน้ำ และบาร์ที่รุกล้ำเข้าไปในลำน้ำซอง และเปิดเพลงฝรั่งดังลั่นไปทั้งคุ้งน้ำ เป็นมลพิษทางเสียงอย่างยิ่ง.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_22.jpg รีสอร์ตบันเทิง ที่มีทั้งสลิงและรอกให้ลูกค้ากระโดดน้ำเล่น รุกล้ำลำน้ำอย่างชัดเจน.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_23.jpg |
รีสอร์ตที่มีลานไม้ลื่นยักษ์ หอสลิงกระโดดน้ำ และร้านอาหารรุกล้ำลงไปในลำน้ำซอง... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_24.jpg แพร้านอาหารและให้บริการห่วงยาง.. http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_25.jpg ร้านให้บริการกระโดดน้ำ ห่วงยาง และเครื่องดื่ม... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_31.jpg สถานที่บริการด้านบันเทิงแก่ผู้ต้องการเล่นน้ำในลำน้ำซอง... http://i835.photobucket.com/albums/z...g_River_32.jpg |
การหาความสุขจากลำน้ำซองของมนุษย์ ก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการล่องห่วงยาง ไหลไปตามลำน้ำที่เย็นยะเยือก (แต่บางคนไม่หนาว เพราะดื่มเบียร์ไปด้วย) |
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:32 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger