SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ.......การประมง (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=110)

สายชล 10-06-2014 13:09

ระดมสมอง…ยกร่าง กม.ประมงฉบับใหม่

พิมพ์ครั้งแรกที่ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (15 ธันวาคม 2555)

โดย ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

ที่ผ่านมาจะเห็นข่าวการทะเลาะกันระหว่างชาวประมงพื้นบ้านกับหน่วยงานรัฐ หรือภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนในพื้นที่นั้นๆ อยู่บ่อยๆนั่นก็เพราะว่าโครงสร้างกฎหมายประมงเดิมได้รวมศูนย์อำนาจการตัดสินใจและการดำเนินการไว้ที่รัฐมนตรีและกรมประมงเป็นหลัก ไม่มีระบบถ่วงดุลอำนาจ เมื่อนโยบายส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการจับสัตว์น้ำให้ได้มากเพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารทะเล

ดังนั้น เนื่องในโอกาสวันประมงโลกเมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย จึงได้จัดการสัมมนาชาวประมงพื้นบ้านในประเทศไทยขึ้นภายใต้หัวข้อ “การมีส่วนร่วมของชาวประมงพื้นบ้านกับกระบวนการแก้ไขปัญหาการประมงและทะเลไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อให้ชาวประมงและเจ้าหน้าที่ของกรมประมงได้แลก

เปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน เป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนชาวประมงและชุมชนชายฝั่งตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะสิทธิชุมชนในร่าง พ.ร.บ.การประมงฉบับใหม่อีกทั้งยังย้ำเตือนให้เห็นถึงความสำคัญของการประมงขนาดเล็ก

ศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า การหารือร่วมกันครั้งนี้ จะเป็นการหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการประมงและชายฝั่งทะเลในสถานการณ์ ปัจจุบัน ทั้งด้านแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรประมงในเขตประมงชายฝั่งการบริหาร จัดการทรัพยากรชายฝั่งโดยชุมชนมีส่วนร่วม ปัญหาการตลาดและการ

เก็บรักษาสัตว์น้ำ แนวทางการเฝ้าระวังและการใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสมโดยการหารือดัง กล่าวจะก่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นระหว่างกรมประมงและ ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน

ขณะที่ วิมล จันทรโรทัยอธิบดีกรมประมงกล่าวถึงการจัดการทรัพยากรประมงทะเลไทยยุคใหม่ว่า ปัจจุบันผลผลิตประมงไทยลดลงเหลือเพียงปีละ 1.6 ล้านตัน จากเดิมที่มีผลผลิตสูงถึง 3-4 ล้านตัน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้กรมประมงต้องจัดทำแผนแม่บททะเลไทย เพื่อคงระดับผลผลิตประมงไทยไม่ให้ลดต่ำไปกว่านี้ เพราะผลผลิตประมงไทยมีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 1.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โดยดึงชาวบ้านชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำด้วย เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ความเสี่ยงที่ประมงพื้นบ้านและทะเลไทยต้องเจอ คือ ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงในด้านอาชีพ ความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ(ราคาสินค้าตกต่ำ) ความเสี่ยงในด้านสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลงและความขัดแย้งกันทั้งระหว่างชาวบ้านกันเอง ผู้ประกอบการเอกชนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ และภาครัฐ

ส่งผลให้ต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ร่วมกันขึ้นมาเพื่อบรรจุไว้ในแผนแม่บททะเลไทยเช่น ด้านเศรษฐกิจ ต้องจับสัตว์น้ำที่มีขนาดเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องอนุรักษ์ให้ปริมาณสัตว์น้ำมีเพียงพอสำหรับอนาคตด้วยและด้านขนาดพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสมดุลในระบบนิเวศ

“ที่ผ่านมากรมประมงได้มีการปรับปรุงกฎหมายในร่าง พ.ร.บ.การประมง (ฉบับที่ 4)พ.ศ. … ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายมากขึ้น มีการกำหนดขอบเขตประมงชายฝั่งที่ชัดเจน โดยนับจากขอบน้ำชายฝั่งออกไป 5 ไมล์ทะเล เว้นแต่บริเวณใดที่มีความจำเป็นที่สามารถได้เป็น 12 ไมล์ทะเล เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน” วิมลกล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการประมงจังหวัด ซึ่งมีหน้าที่ติดตาม กำกับดูแลสนับสนุน รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานขององค์กรชุมชนประมง เพื่อใช้เป็นกลไกในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างกัน

สะมะแอ เจะมูดอนายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัจจุบันประเทศไทยมีหมู่บ้านชาวประมงประมาณ 3,800 หมู่บ้าน หรือ 5.7 หมื่นครอบครัว และที่ผ่านมาชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนชายฝั่งในประเทศไทยได้มีบทบาทอย่างมากในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง ทั้งยังเป็นผู้ผลิตสินค้าประมงเกรดเอปลอดสารเคมีและได้มาจากการทำประมงอย่างรับผิดชอบ ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐ และกลุ่มสหภาพยุโรป แต่ในแง่ของการบริหารจัดการทรัพยากรนั้น กลับยังไม่มีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร ดังนั้นจึงได้รวมตัวกันขององค์กรชาวประมงพื้นบ้านใน 13 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคใต้ เพื่อส่งเสริมการรวมพลังของชาวประมงพื้นบ้านให้มีส่วนร่วมมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การที่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมมือในการดำเนินการตามแผนแม่บทการจัดการประมงทะเลไทย เพราะตระหนักดีว่าชุมชนประมงพื้นบ้านขนาดเล็กจะเป็นกำลังสำคัญในการแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้อย่างยั่งยืน


ข้อมูลจาก...http://thailawwatch.org/2012/12/brainstorming_fishery/


สายชล 10-06-2014 13:13


ประมงพื้นบ้านเข้ากรุง ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาชน

ประมงพื้นบ้าน เข้ากรุง พร้อม10,000 รายชื่อ ดัน พรบ.ประมงฉบับประชาช



เมื่อวันที่1-2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย นำโดยนายสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคม รวมทั้งคณะกรรมการสมาคมและสมาชิกเครือข่ายกว่า 30 คน จากทั้วประเทศ ได้มายื่นรายชื่อหนึ่งหมื่นชื่อในการร่างกฎหมายประมงฉบับชาวบ้าน ที่รัฐสภาโดยทั้งนี้ได้มีการเข้าพบหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมประมงแห่งประเทศไทย กรมประมง

ซึ่งวันที่1 พฤศจิกายน 2555 ในช่วงเช้าได้เข้าหารือกับสมาคมประมงแห่งประเทศไทย โดยมีนายนายภูเบศ จันทนิมิต นายกสมาคมประมงแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ ในการพื้นคุยในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพูดคุยกันอย่างเป็นทางการระหว่างเรือประมงพื้นบ้านและเรือประมงพานิชย์ ซึ่งในอดีตถือเป็นคู่ขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรทางทะเล แต่โดยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ต้องมีการพูดคุยหารือในวาระที่จะมีการผลักดัน พรบ.ประมงฉบับใหม่ ซึ่งมีผลกระทบทั้งเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงพานิชย์ วาระในการพูดคุยครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยกับการผลักดันให้ในเรื่องสิทธิชุมชน เข้ากลับมาอยู่ในพรบ.ประมงฉบับใหม่ แต่เนื่องจากกกฤษฎีกาได้ตัดเนื่อหาส่วนนี้ออกจาก พรบ.ประมงฉบับประชาชน โดยแนวคิดสิทธิชุมชนในพรบ.ประมงฉบับใหม่ที่กำลังจะเกิด ทั้งนี้ในการจัดการทรัพยากรทางทะเล โดยให้มีคณะกรรมการระดับจังหวัดทุกจังหวัด และหลังจากนี้จะมีการพบปะหารือกันมากขึ้นเพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเลในแต่ละพื้นที่ด้ว




ในช่วงบ่าย คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ได้แยกเป็นสองกลุ่มเพื่อพบกับอธิบดีของกรมประมงและกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งส่วนของการเข้าหารือกับอธิบดีกรมประมง และราชการในกรมประมง นายสะมะแอ เจ๊มูดอ ได้กล่าวว่า ทางกรมประมงเห็นด้วยกับการร่วมมือเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างชาวประมงพื้นบ้านและกรมประมง ทั้งนี้จะเร่งผลักดัน ให้เกิดเครือข่ายระดับดังหวัด ที่มีอำนาจในการจัดการด้านการประมง ที่มีครบทุกภาคส่วน อีกทั้งในเรื่องของการเสนอพรบ.ประมงฉบับประชาชน ในส่วนโควต้าของกรมประมง ที่ได้สัดสวน5 คน นั้น ทางกรมประมงจะให้เป็นโควต้าของสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 3 คน




ต่อมาวันที่2 พฤศจิกายน 2555 คณะสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยได้เดินทางไปยังรัฐสภาเพื่อนยื่นรายชื่อ ประชาชน10,000 รายชื่อเพื่อเสนอกฎหมายประมงและกฎหมายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยมีเลขาประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนออกมาต้อนรับและร่วมแถลงข่าวการยื่นรายชื่อในครั้งนี้




หลังจากนั้นทางคณะได้เดินทางเข้าพบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งในส่วนของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึงในส่วนของฝ่ายรัฐบาลให้เข้าพบกับตัวแทนของพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อไทย โดยทั้งสองพรรคจะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรคในเวลาต่อไป แต่ทั้งนี้ในส่วนของฝ่ายรัฐบาลยืนยันว่าจะให้โควต้ากรรมาธิการแก่สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยหนึ่งคน และในส่วนของพรรประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน ก็ยินดีที่จะนำเรื่องนี้เข้าหารือกับกรรมการของพรรค เพื่อหาิศทางที่จะสนับสนุน พรบ.ฉบับประชาชนฉบับนี้ และยืนยัยว่าในส่วนของโควต้ากรรมาธิการที่พรรคฝ่ายค้านได้ จะให้กับสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านหนึ่งคน

โดยพรบ.ประมงฉบับใหม่นี้จะเข้าพิจจารณาในสมัยการประชุมที่จะถึงนี้


ข้อมูลจาก....http://www.oknation.net/blog/print.php?id=833886

สายชล 10-06-2014 20:24


มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ และต่อด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฏร....จนบัดนี้ พ.ร.บ. การประมง ฉบับใหม่ ที่ยกร่างไว้แล้ว ก็ยังค้างเติ่งไม่ได้คลอดออกมา...:(


สายชล 11-06-2014 21:29

สื่ออังกฤษเปิดโปง! ชะตากรรมแรงงานทาสต่างด้าวบนเรือประมงไทย


http://www.thairath.co.th/media/EyWw...eqvKTJt4BJ.jpg
ภาพที่ถูกตีพิมพ์ลงในรายงานข่าวของเดอะ การ์เดียน


นสพ. เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ เปิดโปงชะตากรรมของแรงงานต่างด้าวอาเซียน บนเรือประมงไทย ถูกกระทำเยี่ยงทาส โดนทารุณสารพัด และถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง เพื่อจับกุ้งส่งไปยังบรรดาซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่ วโลก ทั้งวอลมาร์ต และเทสโก้..

เว็บไซต์ของสำนักข่าว เดอะ การ์เดียนในอังกฤษ รายงานเปิดโปงชะตากรรมของแรงงานทาสจากอาเซียนที่ต้อง มาทำงานบนเรือประมงของไทย เพื่อจับกุ้งป้อนส่งตามซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในสหรั ฐฯ และอังกฤษ โดยระบุว่า เรือประมงเถื่อนของไทย ใช้แรงงานต่างด้าวเยี่ยงทาส, โหดร้ายทารุณ แม้กระทั่งโดนฆ่าทิ้ง ในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการส่งกุ้งไปจำหน่ายทั่ว โลก

เดอะ การ์เดียน เปิดเผยว่า จากการสืบหาข่าวเกี่ยวกับการใช้แรงงานทาสในช่วง 6 เดือน พบว่า มีผู้ชายเป็นจำนวนมากถูกซ้ือและขายเยี่ยงสัตว์ อีกทั้งยังถูกควบคุมไว้บนเรือประมงนอกชายฝั่งของไทย เพ่ือจับกุ้งส่งไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วโลก โดยเฉพาะ ห้างค้าปลีกชื่อดังยักษ์ใหญ่ อย่างวอลมาร์ต,คาร์ฟูร์, คอสต์โก้ และเทสโก้

พร้อมกันนั้น เดอะ การ์เดียน ยังรายงานด้วยว่า แรงงานต่างด้าวบนเรือประมงของไทย ต้องทำงานหนักถึงวันละ 20 ชั่วโมง ซึ่งพวกเขาโดนทุบตีและทรมานเป็นประจำ จนถึงขั้นถูกฆ่าทิ้ง โดยมีแรงงานบางคนต้องอยู่บนเรือในทะเลนานหลายปี ,มีบางคนโดนล่อให้ทำงานต่อไป ด้วยการให้ยาบ้า อีกทั้งมีบางคนเห็นเพื่อนแรงงานด้วยกันถูกสังหารต่อห น้าต่อตา

หนังสือพิมพ์ของอังกฤษ เปิดโปงต่อไปว่า มีคนงานต่างด้าว 15 คน จากพม่า และกัมพูชา เล่าว่า พวกเขาถูกใช้งานเยี่ยงทาสกันอย่างไร รวมถึงยังบอกว่าพวกเขาต้องจ่ายเงินค่านายหน้าเพ่ือช่ วยในการหางานตามโรงงานในประเทศไทย หรือไม่ก็ทำงานด้านก่อสร้าง แต่สุดท้ายพวกเขากลับถูกขายให้กับบรรดาเจ้าของเรือปร ะมง ซึ่งมีบางครั้ง ถูกขายด้วยค่าตัวเพียงแค่ 250 ปอนด์หรือประมาณ 14,000 บาทเท่านั้น


ข้อมูลจาก
....ไทยรัฐ ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2557


สายชล 11-06-2014 21:32



Trafficked into slavery on Thai trawlers to catch food for prawns

The Thai fishing industry is built on slavery, with men often beaten, tortured and sometimes killed - all to catch 'trash fish' to feed the cheap farmed prawns sold in the west

http://i.guim.co.uk/w-1430/h--/q-95/...kers-l-010.jpg


There is nothing but a jagged line of splinters where Myint Thein’s teeth once stood – a painful reminder, he says, of the day he was beaten and sold on to a Thai fishing boat.

The tattooed Burmese fisherman, 29, bears a number of other “reminders” of his life at sea: two deep cuts on each arm, calloused fingers contorted like claws and facial muscles that twitch involuntarily from fear. For the past two years, Myint Thein has been forced to work 20-hour days as a slave on the high seas, enduring regular beatings from his Thai captain and eating little more than a plate of rice each day. But now that he’s been granted a rare chance to come back to port, he’s planning something special to mark the occasion: his escape.

Using a pair of rusty scissors, Myint Thein chops off his long, scraggly locks. He rinses himself down with a hose, slips on his only pair of trousers and, peering out at his surroundings, remembers not to open his mouth too wide. A man with no teeth is easy to remember.


Under the tinny roof of Songkhla’s commercial port, on Thailand’s south-east coast, the imperial-blue cargo boat that brought Myint Thein back to shore is unloading its catch, barrel by barrel. The day’s international fish trading has just begun, and buyers are milling about in bright yellow rubber boots, running slimy scales between their fingers, as hobbling cats nibble at the fishbones and guts strewn across the pavement.

Myint Thein doesn’t have much time to talk, so he tells us the basics. He paid a middleman two years ago to smuggle him across the border into Thailand and find him a job in a factory. After an arduous journey travelling through dense jungle, over bumpy roads and across rough waves, Myint Thein finally arrived in Kantang, a Thai port on its western, Andaman coast, where he discovered he’d been sold to a boat captain. “When I realised what had happened, I told them I wanted to go back,” he says hurriedly. “But they wouldn’t let me go. When I tried to escape, they beat me and smashed all my teeth.”

For the next 20 months, Myint Thein and three other Burmese men who were also sold to the boat trawled international waters, catching anything from squid and tuna to “trash fish”, also known as bycatch – inedible or infant species of fish later ground into fishmeal for Thailand’s multibillion-dollar farmed prawn industry. The supply chain runs from the slaves through the fishmeal to the prawns to UK and US retailers. The product of Myint Thein’s penniless labour might well have ended up on your dinner plate.


http://i.guim.co.uk/w-620/h--/q-95/s...3-620x372.jpeg



Despite public promises to clean up the industry, many Thai officials not only turn a blind eye to abuse, the Guardian found, they are often complicit in it, from local police through to high-ranking politicians and members of the judiciary – meaning that slaves often have nowhere to turn when they have the opportunity to run.

“One day I was stopped by the police and asked if I had a work permit,” says Ei Ei Lwin, 29, a Burmese migrant who was detained on the docks at Songkhla port. “They wanted a 10,000 baht (£180) bribe to release me. I didn’t have it, and I didn’t know anyone else who would, so they took me to a secluded area, handed me over to a broker, and sent me to work on a trawler.”
Brokers
Advertisement

Thailand produces roughly 4.2m tonnes of seafood every year, 90% of which is destined for export, official figures show. The US, UK and EU are prime buyers of this seafood – with Americans buying half of all Thailand’s seafood exports and the UK alone consuming nearly 7% of all Thailand’s prawn exports.

“The use of trafficked labour is systematic in the Thai fishing industry,” says Phil Robertson, deputy director of Human Rights Watch’s Asia division, who describes a “predatory relationship” between these migrant workers and the captains who buy them.

“The industry would have a hard time operating in its current form without it.”

Speaking on condition of anonymity, a high-ranking broker explained to the Guardian how Thai boat owners phone him directly with their “order”: the quantity of men they need and the amount they’re willing to pay for them.

“Each guy costs about 25,000-35,000 baht [£450-£640] – we go find them,” explains the goateed broker, who operates out of the industrial fishing and prawn-processing hub of Samut Sakhon, just south of the capital, Bangkok.

“The boat owner finds the way to pay and then that debt goes to the labourers.”

At various points along the way, checkpoints are passed and officials bribed – with Thai border police often playing an integral role.

“Police and brokers – the way I see it – we’re business partners,” explains the broker, who claims to have trafficked thousands of migrants into Thailand over the past five years. “We have officers working on both sides of the Thai-Burmese border. If I can afford the bribe, I let the cop sit in the car and we take the main road.

“This is a big chain,” he adds. “You have to understand: everyone’s profiting from it. These are powerful people with powerful positions – politicians.”

The price captains pay for these men is a extremely low even by historical standards. According to the anti-trafficking activist Kevin Bales, slaves cost 95% less than they did at the height of the 19th-century slave trade – meaning that they are not regarded as investments for important cash crops such as cotton or sugar, as they were historically, but as disposable commodities.

For the migrants who believed Thailand would bring them opportunity, the reality of being sent out to sea is devastating.

“They told me I was going to work in a pineapple factory,” recalls Kyaw, a broad-shouldered 21-year-old from rural Burma. “But when I saw the boats, I realised I’d been sold … I was so depressed, I wanted to die.”
Chained

Life on a 15-metre trawler is brutal, violent and unpredictable. Many of the slaves interviewed by the Guardian recalled being fed just a plate of rice a day. Men would take fitful naps in sleeping quarters so cramped they would crawl to enter them, before being summoned back out to trawl fish at any hour. Those who were too ill to work were thrown overboard, some interviewees reported, while others said they were beaten if they so much as took a lavatory break.

Many of these slave ships stay out at sea for years at a time, trading slaves from one boat to another and being serviced by cargo boats, which travel out from Thai ports towards international borders to pick up the slave boats’ catch and drop off supplies.

The vessels catch fish and shellfish for domestic and international markets, including roughly 350,000 tonnes of trash fish, every year, according to the UN’s Food and Agriculture Organisation (FAO). This trash fish is separated at sea and ferried back on cargo boats to shore, where it is ground down and turned into fishmeal for multinational companies such as CP Foods, which use it in animal feed for prawn, pig and chicken farming.

CP in turn supplies food retailers and giant international supermarkets including Walmart, Tesco, Carrefour, Costco, Morrisons, the Co-operative and Iceland, with frozen and fresh prawns, and ready-made meals.


ข้อมูลจาก....http://www.theguardian.com/global-de...d-thai-fishing


สายชล 13-06-2014 18:41



“ซีพีเอฟ” ซัด “เดอะการ์เดียน” ตั้งธงโจมตี ยันพร้อมแก้ “แรงงานทาส” คุมมาตรฐานซื้อปลาป่น



“ซีพีเอฟ” โต้ “เดอะการ์เดียน” ลั่นพร้อมประณามการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมง ควบคุมการจัดซื้อปลาป่นให้ได้มาตรฐาน แจงมีโครงการคุ้มครองน่านน้ำไทย แก้ละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือ ติงสื่ออังกฤษมุ่งโจมตีประเด็นแรงงานทาส ไม่พูดถึงแผนปรับปรุงที่บริษัทกำลังทำ ย้ำหากจำเป็น พร้อมพัฒนาโปรตีนใช้แทนปลาป่นทั้งหมดในปี 2021

หลังจากหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ ได้นำเสนอรายงานปัญหาการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมปลาป่นและการผลิตกุ้งในประเทศไทย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและประชาสัมพันธ์ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผู้ผลิตอาหารายใหญ่ของประเทศไทย ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ว่า บทความของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วทั้งอุตสาหกรรมในห่วงโซอุปทานอาหารทะเลของประเทศไทยนั้น ซีพีเอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากล็อบบี และไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลไทย หนังสือพิมพ์ได้หันมากดดันแบรนด์และธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกเพื่อผลักดันให้ปรับปรุงสถานการณ์ทันที

ซีพีเอฟเป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสื่อและตอบคำถามสื่อ โดยพื้นฐานแล้ว ซีพีเอฟ เชื่อว่า แต่ละคนที่ทำงานให้ซีพีเอฟ ทำงานกับซีพีเอฟในฐานะผู้ค้า หรือผ่านส่วนใดของห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเรือประมง สมควรต้องได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและด้วยเกียรติภูมิทุกขณะเป็นอย่างน้อย ในเรื่องนี้ ซีพีเอฟจึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบปฏิบัติการทั้งหมดของบริษัทเพื่อประณามการใช้แรงงานทาสตลอดแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานของเรา และนำระบบตรวจสอบอิสระแบบสุ่ม (spot check) ที่ได้รับการประสานงานมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเราไม่มีและยังคงไม่มีการใช้แรงงานทาส

ส่วนการดำเนินการระยะยาว ในฐานะผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทยและผู้นำการผลิตของภูมิภาค ซีพีเอฟมีพันธสัญญาที่จะควบคุมระบบการจัดซื้อปลาป่นให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อขจัดการทำประมงผิดกฎหมายและปรับปรุงการทำประมง ทั้งนี้ ซีพีเอฟใช้ปลาป่นประมาณ 10% ของส่วนประกอบในการผลิตอาหารเลี้ยงกุ้ง มีโรงผลิตอาหารสัตว์น้ำ 5 แห่งในประเทศไทย แต่ละแห่งได้รับการรับรองมาตรฐานแนวปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Best Aquaculture Practice) และบริษัทซื้อปลาป่นที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารเลี้ยงปลาจากโรงงานแปรรูปปลาป่นอิสระ 55 แห่ง ในจำนวนนี้ 40 แห่งปฏิบัติตามมาตรฐานรับรองการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (non-IUU certification scheme) ของกรมประมงเต็มรูปแบบ

ซีพีเอฟชี้แจงอีกว่า โรงงานปลาป่นอิสระที่เราซื้อปลาป่นแปรรูปปลาป่นจากผลพลอยได้ (by-product) ที่ได้จากการตัดแต่งทูน่าและปูอัดและทั้งหมดได้รับการรับรองว่าได้จากการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย หรือปลาที่เหลือจากการจับ (by-catch) ที่บางครั้งเรียกว่า “ปลาเป็ด” จากน่านน้ำนอกประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ (อินโดนีเซีย) และเป็นประเด็นที่เดอะการ์เดียนยกขึ้นมาโจมตีว่ามีแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายประมาณ 200,000 ราย ถูกเอาเปรียบจากหัวหน้าแก๊ง ซีพีเอฟพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยโครงการ “ทำประมงในอ่าวไทยอย่างยั่งยืน” เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2013 เพื่อคุ้มครองอนาคตของน่านน้ำของประเทศไทย และเพื่อให้ชุมชนชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ถึงรุ่นลูกหลาน โครงการนี้ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคมและเศรษฐกิจของการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งการจัดการปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือประมงไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ

นอกจากนี้ ซีพีเอฟพยายามใช้คู่ค้าหรือซัปพลายเออร์ที่ซื้อวัตถุดิบจากผลพลอยได้ให้มากที่สุด ปัจจุบันทำได้แล้ว 42% และเป้าหมายของเราคือ 70% ภายในปี 2016 ผู้ค้าปลาป่นรายใหญ่ที่สุดคือ คิงฟิชเชอร์ (Kingfisher) ใช้ผลพลอยได้จากทูน่าที่ได้จากมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นบริษัทปลาป่นรายแรกที่ได้รับมาตรฐานรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นผู้ค้าที่รับผิดชอบ (responsible supply) ส่วนคู่ค้า 40 จากทั้งหมด 55 ราย ได้รับการรับรองตามมาตรฐานรัฐบาลไทยว่าด้วยการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย คิดเป็น 73% ของคู่ค้าและเราตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ 100%

นอกจากนี้ ซีพีเอฟเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่จ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบว่าไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมายแก่คู่ค้า ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปี 2013 ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มไปแล้วอีก 48.2 ล้านบาท

ซีพีเอฟชี้แจงกรณีเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนว่า หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามแผนความยั่งยืนโดยทั่วไป ซึ่งบริษัทตัดสินใจจะสื่อสารกับหนังสือพิมพ์ ด้วยเข้าใจว่าในฐานะเป็นหนังสือพิมพ์ที่รับผิดชอบ บริษัทหวังว่าเดอะการ์เดียนจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ที่จำเป็นในงานที่บริษัทกำลังทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับแผนปรับปรุงการทำประมงที่ทั้ง SPF และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากลนำเสนอ

ระหว่างการติดต่อสื่อสาร บริษัทส่งคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสถิติการส่งออกมหภาคและรายละเอียดการกำกับดูแลห่วงโซ่อาหารในขณะนี้ ข้อมูลคู่ค้าปลาป่นและความคืบหน้าในการควบคุมการจัดซื้อปลาป่นให้เข้มงวดขึ้นอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเจาะประเด็นแรงงานทาสเพียงประเด็นเดียวโดดๆ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับแผนปรับปรุงการทำประมงโดยรวม

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สามารถช่วยได้ด้วยการเขียนข่าวโดยมีบริบทผูกโยงกับงานที่ซีพีเอฟกำลังทำ แต่หากหนังสือพิมพ์เลือกที่จะแค่ตั้งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสอย่างที่กำลังทำอยู่ งานของเราก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของทั้งอุตสาหกรรม

ซีพีเอฟมีทางเลือกสามารถเลือกที่จะไม่ใช้ปลาป่นอีกต่อไป ทั้งนี้ เราได้พัฒนาโปรตีนซึ่งสามารถนำมาใช้แทนปลาป่น และเรามีพันธะสัญญาที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จภายในปี 2021 หากจำเป็น หรือสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไปและประพฤติตัวด้วยความรับผิดชอบด้วยการใช้พลังและศักยภาพของเราเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม สิ่งที่เราทำกำลังคืบหน้าไปด้วยดี แต่ขณะนี้เรายืนอยู่บนจุดหักเห เราสามารถเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยและเฝ้าดูปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมพวกนี้ทำลายน่านน้ำรอบประเทศไทยรวมทั้งอุตสาหกรรมประมงในอีกหลายรุ่นข้างหน้า หรือไม่เราสามารถช่วยผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมงที่ SFP และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ



รายละเอียดคำชี้แจงของซีพีเอฟ

หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน - การตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ


ปัญหา

· ซีพีเอฟเป็นผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทย

· ปลาป่นเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์ เพราะมีโอกาสเป็นผลพวงจากการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU) การทำประมงผิดกฎหมายนี้นำไปสู่ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมร้ายแรงหลายอย่างรวมถึงประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนโจมตี

· บทความเมื่อวานนี้ (11 มิถุนายน 2557) เป็นบทความล่าสุดในรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน (The Guardian) ซึ่งเปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วทั้งอุตสาหกรรมในห่วงโซอุปทานอาหารทะเลของประเทศไทย ซีพีเอฟถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง
· หลังจากล็อบบี และไม่ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลไทย หนังสือพิมพ์ได้หันมากดดันแบรนด์และธุรกิจใหญ่ๆ ของโลกเพื่อผลักดันให้ปรับปรุงสถานการณ์ทันที


ท่าทีและการดำเนินการของซีพี


การดำเนินการทันที

· ซีพีเอฟเป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในอุตสาหกรรมนี้ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสื่อและตอบคำถามสื่อ

· โดยพื้นฐานแล้ว ซีพีเอฟเชื่อว่าแต่ละคนที่ทำงานให้ซีพีเอฟ ทำงานกับซีพีเอฟในฐานะผู้ค้า หรือผ่านส่วนใดของห่วงโซอุปทานของซีพีเอฟ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงเรือประมง สมควรต้องได้รับการปฏิบัติอย่างยุติธรรมและด้วยเกียรติภูมิทุกขณะเป็นอย่างน้อย

· ในเรื่องนี้ ซีพีเอฟจึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบปฏิบัติการทั้งหมดของบริษัทเพื่อ

o ประณามการใช้แรงงานทาสตลอดแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานของเรา

o นำระบบตรวจสอบอิสระแบบสุ่ม (spot check) ที่ได้รับการประสานงานมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าห่วงโซ่อุปทานของเราไม่มีและยังคงไม่มีการใช้แรงงานทาส


การดำเนินการระยะยาว

ในฐานะผู้ซื้อปลาป่นรายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทยและผู้นำการผลิตของภูมิภาค ซีพีเอฟมีพันธะสัญญาที่จะ

1. ควบคุมระบบการจัดซื้อปลาป่นของเราให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อขจัดการทำประมงผิดกฎหมาย

2. ปรับปรุงการทำประมงเพื่อปกป้องคุ้มครองน่านน้ำไทยให้กับคนรุ่นหลัง


ความเข้าใจเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานปลาป่นในขณะนี้ของเรา

· ซีพีเอฟใช้ปลาป่นเป็นส่วนประกอบในจำนวนไม่มาก (ประมาณ 10% ของส่วนประกอบ) ในการผลิตอาหารเลี้ยงกุ้ง เรามีโรงผลิตอาหารสัตว์น้ำ 5 แห่งในประเทศไทย ซึ่งทุกโรงใช้ปลาป่นในการผลิตอาหารปลา (โรงงานบ้านบึง มหาชัย หนองแค บ้านพรุ น้ำน้อย)

· โรงงานผลิตอาหารสัตว์แต่ละแห่งของเราได้รับการรับรองมาตรฐานแนวปฏิบัติในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Best Aquaculture Practice) http://www.gaalliance.org/

· ปัจจุบันบริษัทซื้อปลาป่นที่จำเป็นสำหรับการผลิตอาหารเลี้ยงปลาจากโรงงานแปรรูปปลาป่นอิสระ 55 แห่ง ซึ่ง 40 แห่งจากทั้งหมด ปฏิบัติตามมาตรฐานรับรองการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (non-IUU certification scheme) ของกรมประมงเต็มรูปแบบ


โรงงานแปรรูปผลิตปลาป่นอย่างไร

· โรงงานปลาป่นอิสระที่เราซื้อปลาป่นแปรรูปปลาป่นจากผลพลอยได้ (by-product) หรือ ปลาที่เหลือจากการจับ (by-catch)

Ø ผลพลอยได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการตัดแต่งทูน่าและปูอัดและทั้งหมดได้รับการรับรองว่าได้จากการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย ผลพลอยได้จากทูน่าส่วนใหญ่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิกและจากเรือประมงที่มีผู้สังเกตการณ์อิสระประจำภูมิภาคบนเรือเพื่อรับรองความถูกต้องของวิธีจับสัตว์น้ำ ผู้สังเกตการณ์อิสระนี้มาจากคณะกรรมาธิการการประมงแปซิฟิกตะวันตก และแปซิฟิกกลาง (WCPFC) http://www.wcpfc.int/

Ø ปลาที่เหลือจากการจับหรือที่บางครั้งเรียกว่า “ปลาเป็ด” จะมาจากน่านน้ำนอกประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ (อินโดนีเซีย) และเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของสัตว์น้ำที่เรือจับได้โดยเป็นสิ่งที่ขายไม่ได้อย่างสิ้นเชิงไม่ว่าในตลาดใด ปกติแล้ว ปลาที่เหลือจากการจับจะถูกแช่แข็งในเรือขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “เรือแม่” ซึ่งจะออกเดินทะเลเป็นเวลาหลายๆ เดือนในแต่ละครั้ง เรือขนส่งลำเล็กจะไปรับบล็อกปลาแช่แข็งจากเรือใหญ่นี้เพื่อนำมาขายต่อที่ท่าเรือประมงของไทย


สายชล 13-06-2014 18:49


ซีพีเอฟ” ซัด “เดอะการ์เดียน” (ต่อ)




ปลาที่เหลือจากการจับและเรือแม่เป็นประเด็นที่เดอะการ์เดียนยกขึ้นมาโจมตี

· ขณะนี้ มีแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายประมาณ 200,000 ราย ที่ทำงานในอุตสาหกรรมประมงของไทย หลายคนทำงานบน “เรือแม่” มีการกล่าวหาว่าบางราย (16% ตามรายงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ) ถูกเอาเปรียบจาก “หัวหน้าแก๊งค์” และตัวแทนเพียงเพราะเรือพวกนี้ต้องอาศัยแรงงานประเภทนี้ ชาวพม่าและเขมรมักเป็นเหยื่อที่หาได้ง่ายของนายจ้างผู้เอารัดเอาเปรียบที่สามารถจัดหาแรงงานให้ได้ทันที และเรือเหล่านี้ชักธงไทยไม่ทางใดทางหนึ่ง

ซีพีเอฟทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายจากปลาที่เหลือจับ รวมทั้งกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน/ใช้แรงงานผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องใน “เรือแม่”

โครงการ “ทำประมงในอ่าวไทยอย่างยั่งยืน” ของซีพีเอฟเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2013 เพื่อคุ้มครองอนาคตของน่านน้ำของประเทศไทยและเพื่อให้ชุมชนชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ถึงรุ่นลูกหลาน

โครงการของซีพีเอฟนี้ครอบคลุมปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของการประมงผิดกฎหมาย ซึ่งการจัดการปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนบนเรือประมงไทยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้เท่านั้น

ขณะนี้ เรากำลังร่วมมือกับหุ้นส่วน ผู้มีส่วนได้เสียรายสำคัญและองค์กรพัฒนาเอกชน ทั่วโลกที่มองโลกด้วยหลักการและเหตุผล เพื่อช่วยขับเคลื่อนโครงการนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงซับซ้อนมากและจำเป็นต้องทำทีละขั้นตอน


สรุปกิจกรรมหลักๆ จนถึงขณะนี้

แผน 10 ประการของซีพีเอฟ


เราสามารถบรรลุเป้าหมายแผน 10 ประการ – มีหลายประเด็นในแผนที่จะส่งผลต่อสังคม อาทิ การกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาส ตามที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนไฮไลต์ สิ่งที่เราทำคือใช้คู่ค้าหรือซัปพลายเออร์ที่ซื้อวัตถุดิบจากผลพลอยได้ (by-product) ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ปัจจุบันเราทำได้แล้ว 42% และเป้าหมายของเราคือ 70% ภายในปี 2016 ซึ่งขณะที่เรากำลังเพิ่มสัดส่วนนี้ การพึ่งปลาที่เหลือจากการจับของเราก็ลดลงเป็นจำนวนมหาศาล ผู้ค้าปลาป่นรายใหญ่ที่สุดของเรา ซึ่งก็คือ คิงฟิชเชอร์ (Kingfisher) ใช้ผลพลอยได้จากทูน่าที่ได้จากมหาสมุทรแปซิฟิกและเป็นบริษัทปลาป่นรายแรกที่ได้รับมาตรฐานรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นผู้ค้าที่รับผิดชอบ (responsible supply)


การรับรองภายใต้มาตรฐานการไม่ทำประมงผิดกฎหมายของรัฐบาลไทย

ขณะนี้ คู่ค้า 40 จากทั้งหมด 55 รายของเราได้รับการรับรองตามมาตรฐานรัฐบาลไทยว่าด้วยการไม่ทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้โรงงานแปรรูปต้องยื่นเอกสารทั้งหมด รวมถึงเอกสารการซื้อสัตว์น้ำที่จับได้ หนังสือรับรองการจับสัตว์น้ำ คำแถลงของกัปตัน และหนังสือรับรองการทำประมง ซึ่งทั้งหมดคิดเป็น 73% ของคู่ค้าของเราและเราตั้งเป้าว่าจะทำให้ได้ 100%


ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับคู่ค้าที่ไม่ทำประมงผิดกฎหมาย (supplier premium for non-IUU)


ขั้นตอนหนึ่งที่ทำได้ทันทีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ค้าปลาป่นของเราทุกรายเข้าร่วมในโครงการนี้ คือเราเป็นผู้ผลิตรายเดียวที่จ่ายค่าส่วนเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองเต็มรูปแบบว่าไม่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมายแก่คู่ค้า ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปี 2013 ซีพีเอฟจ่ายค่าส่วนเพิ่มไปแล้วอีก 48.2 ล้านบาท


การรับรองห่วงโซ่อุปทานอิสระผ่านทาง Chain of Custody


ขั้นตอนที่ 2 คือขณะนี้เรากำลังทำงานกับ IFFO ในโครงการผู้ปรับปรุง IFFO RS (IFFO RS Improvers Program)http://www.iffo.net/node/493 ซึ่งเป็นโครงการตรวจสอบอิสระเพื่อสนับสนุนให้คู่ค้าทุกรายของเรานำกลไกที่ปรับปรุงการทำงานของตนมาใช้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขั้นตอนที่ต้องทำก่อนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการผู้ปรับปรุง IFFO RS อย่างเป็นทางการคือคู่ค้าต้องได้รับมาตรฐานการรับรองการผลิตที่ดี (GMP) และการเป็นคู่ค้าที่รับผิดชอบwww.gmpplus.org ก่อน

ในเดือนนี้ โรงงานบ้านบึงของซีพีเอฟจะเป็นโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกในเอเชียที่จะได้รับการรับรอง IFFO RS CoC (Chain of Custody) ผ่านคู่ค้าปลาป่นรายหนึ่งของเรา และภายใน 3 ปี โรงงานแห่งนี้ตั้งเป้าว่าจะใช้ปลาป่น 100% จากคู่ค้าผู้ได้รับการรับรองมาตรฐาน IFFO RS ตามพันธะสัญญาที่เราทำไว้ในแผน 10 ประการของเรา


การทำงานกับรัฐบาลไทย

เราเป็นผู้ผลิตรายใหญ่รายเดียวในเอเชียที่ทำงานกับรัฐบาลไทย (กรมประมง) เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายประมง โดยได้มีการประชุมอย่างเป็นทางการกับหน่วยงานรัฐตลอดปี 2013 และในไตรมาสแรกของปี 2014 ขณะนี้ กฎหมายใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา


การผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมง – แถบอ่าวไทยและทะเลอันดามัน

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้แปรรูปอาหารทะเลไทยรายสำคัญ 8 ราย*ลงนามในบันทึกเพื่อความเข้าใจ (MOU) (เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2014) พร้อมโครงร่างแผนที่นำทางเพื่อการพัฒนาการประมงไทยอย่างยั่งยืน ซึ่งงานนี้จะมีการนำประเด็นสังคมว่าด้วยการใช้แรงงาน “ทาส” ที่ถูกกล่าวหามาแก้ไขด้วย ขณะนี้ ผู้แปรรูปกำลังจัดทำแผนปรับปรุงการทำประมง (Fishery Improvement Plan – FIP) สำหรับอ่าวไทยและทะเลอันดามัน แต่จำเป็นต้องมีเงินทุน c$500,000 ดอลลาร์เพื่อว่าจ้าง Sustainable Fisheries Partnership (SFP) http://www/sustainablefish.orgและองค...สากล (WWF) http://www.wwf.or.th/en/ซึ่งมีทั้งทั...ึกษา ซีพีเอฟอยู่ระหว่างการระดมทุนก้อนแรก


*สมาคมอาหารสัตว์ไทย สมาคมประมงแห่งชาติ สมาคมประมงไทยต่างประเทศ สมาคมผู้ผลิตปลาป่นประจำประเทศไทย สมาคมอาหารแช่แข็งไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมอุตสาหกรรมปลาทูน่าไทย และสมาคมผู้แปรรูปอาหารไทย


การที่บริษัทเข้าไปเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน


หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนติดต่อบริษัทเพื่อสอบถามแผนความยั่งยืนโดยทั่วไปของเรา ซึ่งบริษัทตัดสินใจจะสื่อสารกับหนังสือพิมพ์ ด้วยเข้าใจว่าในฐานะเป็นหนังสือพิมพ์ที่รับผิดชอบ บริษัทหวังว่าเดอะการ์เดียนจะช่วยสร้างความตระหนักรู้ที่จำเป็นในงานที่บริษัทกำลังทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับแผนปรับปรุงการทำประมงที่ทั้ง SPF และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ


ระหว่างการติดต่อสื่อสาร บริษัทส่งคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ของหนังสือพิมพ์ รวมทั้งสถิติการส่งออกมหภาคและรายละเอียดการกำกับดูแลห่วงโซ่อาหารในขณะนี้ของเรา ข้อมูลคู่ค้าปลาป่นและความคืบหน้าที่ดีในการควบคุมการจัดซื้อปลาป่นของเราให้เข้มงวดขึ้น หนึ่งในตัวอย่างคืองานที่เรากำลังทำกับ IFFO เพื่อผลักดัน “โครงการ IFFO RS Improvers Chain of Custody”


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์ได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเจาะประเด็นแรงงานทาสเพียงประเด็นเดียวโดดๆ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับแผนปรับปรุงการทำประมงโดยรวม


หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สามารถช่วยได้ด้วยการเขียนข่าวโดยมีบริบทผูกโยงกับงานที่ซีพีเอฟกำลังทำ แต่หากหนังสือพิมพ์เลือกที่จะแค่ตั้งเป้าไปที่ผู้ค้าปลีกที่ถูกกล่าวหาว่าใช้แรงงานทาสอย่างที่กำลังทำอยู่ งานของเราก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของทั้งอุตสาหกรรม


ซีพีเอฟมีทางเลือก เราสามารถเลือกที่จะไม่ใช้ปลาป่นอีกต่อไป ทั้งนี้ เราได้พัฒนาโปรตีนซึ่งสามารถนำมาใช้แทนปลาป่น และเรามีพันธะสัญญาที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จภายในปี 2021 หากจำเป็น (แผน 10 ประการของซีพีเอฟ)


หรือเราสามารถเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไปและประพฤติตัวด้วยความรับผิดชอบด้วยการใช้พลังและศักยภาพของเราเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม


สิ่งที่เราทำกำลังคืบหน้าไปด้วยดี แต่ขณะนี้เรายืนอยู่บนจุดหักเห เราสามารถเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยและเฝ้าดูปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมพวกนี้ทำลายน่านน้ำรอบประเทศไทยรวมทั้งอุตสาหกรรมประมงในอีกหลายรุ่นข้างหน้า หรือไม่เราสามารถช่วยผลักดันแผนปรับปรุงการทำประมงที่ SFP และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล นำเสนอ


นอกเหนือจากที่ซีพีเอฟได้ออกเงินสนับสนุนไปแล้ว ขณะนี้เราอยู่ระหว่างการพัฒนาแผนเพื่อระดมทุน ในการนำเงินไปใช้ในการจัดทำแผนและกิจกรรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้เพื่อความยั่งยืน


ข้อมูลจาก....ผู้จัดการออนไลน์ ประจำวันที่ 13 มิย. 57
http://www.manager.co.th/Home/ViewNe...=9570000066612


สายชล 11-12-2014 16:40



ประมงไทยปะทะบทโหดมะกัน-อียู


โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ 11 ธ.ค. 2557 06:01


http://www.thairath.co.th/media/EyWw...Zzfx7dy0AE.jpg




ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า ในปี 2558 จะเป็นปีลุ้นระทึกสำหรับอุตสาหกรรมประมงและการส่งออกสินค้าประมงไทย เพราะมีอุปสรรคใหญ่ในตลาดหลักคือยุโรปและสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 76,000 ล้านบาท หรือกว่า 30% ของการส่งออกประมงปีละกว่า 200,000 ล้านบาท โดยตลาดยุโรปมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านบาท มีการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ทำให้กุ้งไทยแข่งขันได้ลำบาก นอกจากนี้ ยังต้องจับตาสหภาพยุโรป (อียู) ที่อาจออกมาตรการกีดกันสินค้าไทยเพิ่มเติม โดยใช้กฎระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้านและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) ซึ่งล่าสุดอียูได้แจ้งเตือนผ่านทางสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตรประจำกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม ว่า พบว่าไทยยังดำเนินการได้ไม่เข้มงวด โดยให้เวลาแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งใกล้ครบกำหนดแล้ว หากไทยไม่สามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขอาจถูกอียูออกใบแดง หรือมาตรการงดนำเข้าสินค้าประมงจากไทยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตรฯพยายามแก้ไขปัญหานี้ โดยเร่งออกกฎหมายควบคุมกิจกรรมการประมง และการติดตั้งระบบติดตามเรือประมง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนลำละประมาณ 40,000 บาท จากเรือประมงพาณิชย์และเรือประมงนอกน่านน้ำที่ขึ้นทะเบียนไว้ทั้งสิ้นประมาณ 8,500 ลำ

สำหรับตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 44,000 ล้านบาท ยังต้องติดตามผลกระทบจากกรณีสหรัฐฯประกาศให้จัดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในไทยให้ลงไปอยู่ในระดับเทียร์ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด ซึ่งไทยมีเวลาดำเนินการแก้ไขในปีหน้า แม้ว่าการจัดอันดับการค้ามนุษย์ประเทศต่างๆ ตามกฎหมายของสหรัฐฯ จะไม่มีมาตรการสั่งห้ามนำเข้าสินค้า แต่กรณีนี้สินค้าประมงจากไทย จะมีภาพลักษณ์ที่เสียหายในสายตาของผู้บริโภคในสหรัฐฯ.


ข้อมูลจาก....http://www.thairath.co.th/content/468416

สายชล 25-04-2015 14:38



อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

โพสต์เมื่อ : 22 เมษายน 2558 เวลา 08:19:40


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti.jpg


อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน


กระทรวงการต่างประเทศ แถลงผิดหวังอียูแจกใบเหลืองไทย พร้อมขีดเส้นตาย 6 เดือน แก้ปัญหาประมงเถื่อน ขู่ถ้าแก้ไม่ได้ส่อระงับการนำเข้าอาหารทะเล สูญกว่า 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ได้เผยแพร่เอกสารแถลงข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมได้ลงมติภาคทัณฑ์ หรือให้ใบเหลืองกับประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เพื่อแจ้งเตือนไทยอย่างเป็นทางการต่อกรณีที่ยังไม่มีมาตรการเพียงพอตามกฎระเบียบว่าด้วยการป้องกัน ต่อต้าน และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไร้การควบคุม หรือกฎระเบียบ (ไอยูยู) ทั้งนี้ไทยมีเวลาอีก 6 เดือน เพื่อแก้ไขปัญหากิจการประมงผิดกฎหมาย

http://img.kapook.com/u/settawoot/578293-01.jpg

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน

ทั้งนี้ สำนักข่าวเอพี รายงานเพิ่มเติมโดยอ้างคำพูดแหล่งข่าวว่า การเตือนครั้งนี้ของอียูจะเป็นการแจ้งเตือนครั้งสุดท้าย หากไทยถูกอียูสั่งห้ามนำเข้าสินค้าประมงจริง ไทยจะสูญเสียรายได้เกือบ 30,000 หมื่นล้านบาทต่อปี

ขณะที่ นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากการออกหน่วยเคลื่อนที่แบบเบ็ดเสร็จ 112 หน่วยใน 23 จังหวัดชายทะเล เพื่อรับจดทะเบียนและออกใบอนุญาตทำการประมงให้กับเรือประมงไทย พบว่า ขณะนี้มีเรือประมงเข้ารับการจดทะเบียนใหม่ จำนวน 4,243 ลำ และสามารถออกอาชญาบัตรการทำประมงได้ จำนวน 12,455 ลำ โดยมีเรือประมงที่จดทะเบียนรวมทั้งหมด 50,710 ลำ และเรือประมงมีใบอนุญาตทำการประมง รวม 28,364 ลำ

ส่วนความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU Fishing) กรมประมง ได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์ควบคุมเฝ้าระวัง จำนวน 18 ศูนย์ และเตรียมจัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกของเรือประมงอีก 26 ศูนย์ เพื่อทำหน้าที่รับแจ้งและตรวจสอบเรือประมงผิดกฎหมายต่อไป


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti02.jpg

อียูแจกใบเหลือง ! เตือนไทยครั้งสุดท้าย ขีดเส้น 6 เดือน แก้ประมงเถื่อน


ทั้งนี้ในเวลาต่อมา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงชี้แจงถึงเรื่องที่คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) แจกใบเหลืองไทย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. ไทยรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจออกประกาศเตือนดังกล่าวซึ่งสะท้อนว่า อียู มิได้ตระหนักถึงความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรมของไทยในการแก้ปัญหา ไอยูยู รวมถึงความร่วมมือระหว่างไทยกับ อียู ในการต่อต้าน การประมง ไอยูยู ที่มีมายาวนาน

2. ไทยเรียกร้องให้ อียู พิจารณาการดำเนินการของไทยในเชิงเทคนิคตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่มีความโปร่งใสและเที่ยงตรง อย่างไม่เลือกปฏิบัติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่แท้จริงในไทย

3. ไทยจะสานต่อความร่วมมือกับ อียู เพื่อให้ไทยออกจากกลุ่มที่ถูกประกาศเตือน รวมทั้งสามารถแก้ไขและป้องกันการทำประมงแบบ ไอยูยู ต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

รัฐบาลไทยตระหนักถึงความสำคัญในการรักษาทรัพยากรทางทะเลและกำหนดให้การแก้ไขปัญหาการประมงแบบไอยูยูเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติที่ต้องแก้ไขโดยความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานหลักได้เป็นผู้นำในการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการตามแผนงานหลัก6แผนงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

(1) การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง

(2) การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมง ไอยูยู

(3) การเร่งจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง

(4) การพัฒนาระบบควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง โดยเฉพาะการควบคุมการเข้า-ออกท่าของเรือประมง

(5) การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System - VMS)

(6) การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)


http://img.kapook.com/u/settawoot/eu_3miti03.jpg

ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ การรักษาทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำประมงเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลนี้ และรัฐบาลจะยังคงดำเนินการอย่างแข็งขันในการแก้ปัญหาภายใต้การนำของผู้นำระดับสูงต่อไป


สายชล 25-04-2015 14:41

'ประวิตร' ยันไม่ใช้ ม.44 แก้ 'อียู' ใบเหลืองประมงไทย

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 เม.ย. 2558 14:12

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...v2GNMwOxUW.jpg


"ประวิตร" เรียกถกแก้ปัญหา "อียู" แจกใบเหลืองประมงไทย ยันไม่จำเป็นต้องใช้ ม.44 เตรียมออก พ.ร.ก. แก้ปัญหา ตั้งเป้า 3 เดือนปัญหาจบ และจะได้ใบเขียวภายใน 6 เดือน ...

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 เม.ย. ที่อาคารรับรองเกษะโกมล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) หลังจากสหภาพยุโรป หรืออียู ประกาศให้ใบเหลืองไทยด้านการประมงที่ผิดกฎหมาย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงคมนาคม ผบ.ทร. ผบ.ตร. กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหานั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเสนอที่ประชุมให้ออกพระราชกำหนด โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 21 ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ควบคุมในเรื่อง IUU โดยตรง และควบคุมการทำประมงนอกน่านน้ำของเรือประมงไทย ทั้งในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวง เพื่อให้ทันก่อนที่อียูจะมาตรวจสอบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาในเดือนพฤษภาคมนี้ และยังเป็นการอุดช่องว่างระหว่างที่รอราชกิจจานุเบกษา ประกาศแก้ไข พ.ร.บ.ประมง ซึ่งจะมีผลบังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน หลังวันประกาศ

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวในที่ประชุมว่า รัฐบาลให้ความสำคัญ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน ขณะที่หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกชนและประชาชน ต่างก็ให้ความร่วมมือที่จะเร่งแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว มิฉะนั้น จะกระทบกับอุตสาหกรรมประมงในประเทศได้ ทั้งนี้ อยากขอความร่วมมืออุตสาหกรรมประมง ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ขณะที่ประชาชนเองก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะให้การสนับสนุนภาครัฐ เมื่อเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง จะต้องรีบแจ้งโดยทันที

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อทำความเข้าใจ ทั้งนี้ การที่เราโดนใบเหลืองไม่มีปัญหา เราจะต้องร่วมมือกับทางอียูว่า อะไรบ้างที่เรายังทำไม่สมบูรณ์ ซึ่งเราก็ทราบแล้วว่า ทางอียูต้องการกฎหมายที่มองว่ายังไม่เป็นไปตามหลักสากล และยังไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ ตลอดจนเรื่องการติดตามเรือ การตรวจสอบ คือเรายังทำไม่ครบและไม่เป็นไปตามกำหนดเวลา และเราก็ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะให้ใบเหลืองกับเรา เพราะที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปมาก แต่เมื่อเขาแจ้งมาทั้งหมด ซึ่งเราก็ทำ แต่ยังไม่เป็นไปตามหลักสากล หรืออย่างที่อียูต้องการ ประเทศอื่นๆ ที่เคยประสบปัญหาเหมือนเรา แต่เขาแสดงเจตจำนงชัดเจนว่า เขาจะดำเนินการอย่างไรในอนาคต ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ตนได้ทำความเข้าใจกับหน่วยงานทั้งหมดว่าเราจำเป็นต้องแก้ไข และต้องทำให้ได้ทั้งหมด และตกลงกันได้แล้วว่า ทุกส่วนจะไปดำเนินการในเรื่องกฎหมาย การออกของประมง การทำประมงผิดกฎหมาย การติดตามเรื่องจีพีเอส ทั้งเรื่องเรือประมงย้อนกลับว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเราจะดำเนินการทั้งหมด

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า เรามีความจำเป็นต้องจัดตั้งชุดเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่ไปชี้แจงกับอียู ได้รับทราบว่า เราทำอะไรไปบ้าง โดยเฉพาะในส่วนเรือที่จะออกท่า เราจะตั้งจุดเฉพาะกิจใน 22 จังหวัด ในห้วงระยะเวลา 2 เดือน อย่างไรก็ตาม จะมีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งชุดเฉพาะกิจมาประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามความคืบหน้า

"ผมมั่นใจว่าเราจะได้ใบเขียวภายใน 6 เดือนข้างหน้า ถ้าเราดำเนินตามที่อียูต้องการ เพราะผมตั้งเป้าไว้ว่า 1 เดือน เราต้องมีความชัดเจน และ 3 เดือน การแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวต้องจบ ทั้งนี้ ทางอียูจะเดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าในเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งเรามีความชัดเจนในการแก้ปัญหาเตรียมให้เขาดูแล้ว ซึ่งผมไม่หนักใจอะไร เราพร้อมให้ความร่วมมือกับอียูทุกเรื่อง" พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า จะใช้พระราชกำหนด หรือมาตรา 44 ในการออกกฎหมายแก้ไขปัญหา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มาตรา 44 คงไม่ใช้ ถ้าเราออก พ.ร.บ.ไปแล้ว และไม่ได้ ก็ต้องออกกฎหมายลูก เพื่อให้เกิดความครอบคลุม ถ้ากฎหมายลูกยังไม่พอ ก็ออกเป็นพระราชกำหนดได้อีก เมื่อถามย้ำว่าจะใช้พระราชกำหนดแทนใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช้พระราชกำหนดได้ เพราะมาตรา 44 เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงในอนาคต และเราจะใช้เมื่อจำเป็น ตอนนี้ไม่มีความจำเป็น เพราะเรามีกฎหมายตัวอื่นอยู่ ส่วนการแต่งตั้งชุดเฉพาะกิจชี้แจงกับอียูนั้น ตนจะแต่งตั้งเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือ รมว.ต่างประเทศ ก็ได้ ตลอดจนถึงปลัดกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้อง

เมื่อถามว่า ห่วงเรื่องปัญหาการค้ามนุษย์ของไทยที่ภายหลังสหรัฐอเมริกาลดระดับให้อยู่ใน เทียร์ 3 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต่อไปเราจะมีหารือกันในเรื่อง เทียร์ 3 เพราะที่ผ่านมา เราได้ส่งเอกสารชี้แจงไป 2 ครั้งแล้ว ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเรื่องการจับกุม การดำเนินคดี ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับ เราต้องเรียกประชุมใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และให้เกิดความมั่นใจว่าทางสหรัฐฯ จะลดจากเทียร์ 3 เป็นเทียร์ 2.

สายชล 25-04-2015 14:44

กรมเจ้าท่าใช้ไม้แข็ง

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 25 เม.ย. 2558 05:52

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...igyQCmVGWm.jpg

ปราบเรือประมงฝ่าฝืน! เร่งปลดล็อกใบเหลือง

กรมเจ้าท่าออกโรงลุยจัดระเบียบเรือประมง หวังปลดล็อกไทยพ้นใบเหลือง “ไอยูยู ฟิชชิง” สั่งติดตั้งระบบติดตามเรือวีเอ็มเอสใน 3 เดือน แก้กฎหมายบังคับเพิ่มเรือ 30 ตันกรอสต้องแจ้งเข้า-ออก พร้อมเข้มจดทะเบียนเรือ ท่าเรือ ลูกเรือ ลงโทษหนักใครฝ่าฝืน ด้านอธิบดีกรมประมงเข้าพบ รมว.มหาดไทยหารือแนวทางแก้ปัญหา “บิ๊กป๊อก” เร่งทุกหน่วยคืนความเชื่อมั่นอียู กำชับเรือประมงติดเครื่องมือตรวจสอบ ขณะที่รัฐบาลแจงออก พ.ร.ก.อุดช่องปัญหาประมง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมง ไม่อาจทำเป็นทองไม่รู้ร้อน หลังอียูให้ใบเหลืองไทย ต่างพากันขวนขวายแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ นายจุฬา สุขมานพ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 เม.ย. ว่า ในฐานะคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู ฟิชชิง) ได้เร่งบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบเรือประมง และปราบปรามการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมงและการทำประมงผิดกฎหมายหลายรูปแบบ เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากการที่ถูกคณะกรรมาธิการยุโรปด้านประมงและทะเล ประกาศขึ้นบัญชีประเทศไทย เป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมง ภายในเวลา 6 เดือน โดยมาตรการที่ดำเนินการประกอบด้วย การออกกฎข้อบังคับสำหรับการตรวจเรือ โดยอาศัยอำนาจตามความมาตรา 163 ของ พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย บังคับให้เรือขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือ วีเอ็มเอส ให้เสร็จภายใน 3 เดือน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 26 เม.ย.58 หากพ้นกำหนดไปแล้ว ให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคเร่งตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

นายจุฬากล่าวด้วยว่า กรมฯยังเร่งแก้กฎหมายตาม พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย มาตรา 23 ซึ่งเพิ่มเติมในมาตรา 23/1 เพื่อบังคับเรือตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ที่เดินเรือในน่านน้ำไทยสำหรับเรือประมง จะต้องแจ้งเข้าและแจ้งออก เป็นการควบคุมและติดตามเรือ ช่วยการตรวจสอบเรื่องแรงงานประมงกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หลังจากที่ผ่านมาจะบังคับการแจ้งเข้า-ออก เฉพาะเรือ 60 ตันกรอสขึ้นไป ที่ออกไปจับปลาต่างประเทศหรือนอกน่านน้ำไทย จะต้องแจ้งก่อน 6 ชม. และหลังจากเรือที่เข้ามาต้องแจ้งเข้าภายใน 24 ชม.

อธิบดีกรมเจ้าท่ากล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเน้นให้ประเทศไทย ลงโทษเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วม ในการกระทำผิดในเรื่องค้ามนุษย์นั้น กรมให้ความสำคัญเต็มที่ โดยให้คำแนะนำการปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ ในการลงโทษขั้นสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการออกตรวจตราปราบปราม ตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันยังมีการบูรณาการ ในการตรวจตราลงโทษ โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-31 มี.ค.58 มีการออกตรวจเรือ 548 ครั้ง ตรวจเรือได้ 4,049 ลำ พบการกระทำผิด 270 ลำ มีบทลงโทษด้วยการปรับ ตั้งแต่ 500-10,000 บาท และยังได้เร่งรัดให้มีการจดทะเบียนเรือประมงให้ถูกต้อง โดยให้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค ออกหน่วยทะเบียนเรือเคลื่อนที่ 351 ครั้ง รวมทั้งออกประกาศกระทรวง งดเว้นไม่เก็บค่าธรรมเนียมการตรวจเรือสำหรับเรือประมงขนาดไม่เกิน 20 ตันกรอส 1 ปี จนถึงวันที่ 12 มี.ค.59 เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวก พร้อมกับตรวจตราบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยให้จัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี ซึ่งนับตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.58 มีเรือประมงเข้าสู่การจดทะเบียนเรือใหม่ 5,166 ลำ และมีเรือประมงต่ออายุ 7,153 ลำ

ขณะเดียวกันยังเข้มงวดการอนุญาตให้ลงทำการในเรือ ตามมาตรา 285 พ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 โดยการที่คนประจำเรือ หรือแรงงานจะลงทำการในเรือประมง ต้องแจ้งขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อน เมื่อได้รับอนุญาตจึงจะทำการในเรือได้ หากเป็นแรงงานต่างด้าว ต้องนำใบอนุญาตให้ทำงานกรมการจัดหางานและสัญญาจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง มาเป็นเอกสารประกอบในการขออนุญาต โดยปัจจุบันมีการอนุญาตผู้ทำการในเรือ 703 ลำ เป็นคนไทย 1,651 คน คนต่างด้าว 6,981 คน รวมอนุญาต 8,632 คน ตลอดจนได้สำรวจข้อมูลท่าเทียบเรือและแพปลาที่รองรับเรือขนาดตั้งแต่ 30 ตันกรอสขึ้นไป ซึ่งเบื้องต้นมีอยู่ 319 แห่ง และจะรณรงค์ให้ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือและแพปลาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องขออนุญาตสร้าง หรือประกอบกิจการท่าเทียบเรือและแพปลาให้ถูกต้อง ตลอดจนให้มีการส่งข้อมูลเกี่ยวกับเรือประมงที่ฝ่าฝืน หรือไม่กรอกข้อมูลแจ้งเข้า-ออก ให้ศูนย์แจ้งเรือเข้า-เรือออกด้วย

“การดำเนินการมาตรการต่างๆในการจัดระเบียบเรือประมง ทำให้เรือประมงเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนเรือเพิ่มขึ้น กำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และกรมยังคงเร่งทำตามแผนแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมงและการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อสกัดกั้นขบวนการการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง แสดงถึงความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการยุโรป ในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย” นายจุฬากล่าว

วันเดียวกัน นายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เข้าพบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หารือแนวทางแก้ไขปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมาย ในเรื่องความคืบหน้าการลงทะเบียนแรงงานประมง พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า การทำงานของชุดเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้น เพื่อตรวจสอบและจดทะเบียนแรงงาน และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งรัดให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยพร้อมสนับสนุนทุกด้าน เน้นการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนด โดยการทำงานร่วมกัน หลังจากมีกฎหมายหรือพระราชกำหนดออกมา กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปช่วยกันกำกับให้เป็นไปตามมาตรการ โดยมหาดไทย กรมเจ้าท่า ตำรวจน้ำ กรมประมง กระทรวงการต่างประเทศ จะร่วมกันเป็นชุดเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษ ถือเป็นเรื่องสำคัญของชาติ ถ้าแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้จะเกิดผลกระทบมาก สิ่งที่ต้องทำคือการดำเนินมาตรการในท่าเรือ 26 แห่ง โดยกำชับให้ติดเครื่องมือตรวจสอบ ส่วนนี้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านจะขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อให้อียูมีความเชื่อมั่น และให้กรีนการ์ดกับประมงไทย

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการประมงที่ผิดกฎหมายว่า รัฐบาลเร่งดำเนินการ ออกกฎหมายให้ครอบคลุมสิ่งที่อียูเรียกร้อง ก่อนหน้านี้ เราได้แก้ไขปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2490 ที่ล้าสมัยให้เป็นสากลไปแล้ว กำลังรอประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา จึงทำให้สาระสำคัญบางประการไม่ได้ถูกกำหนดลงใน พ.ร.บ.ประมงฉบับที่ปรับปรุง ด้วยเหตุนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงจำเป็นต้องเตรียมร่างพระราชกำหนดขึ้นมาเพื่อปิดช่องโหว่ อาทิ การตรวจสอบย้อนกลับสินค้าประมงจากแหล่งจับ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเป็นสัตว์น้ำที่ได้มาจากการประมงที่ถูกกฎหมาย กำหนดบทลงโทษที่เป็นสากล คาดว่าจะประกาศออกมาในทันทีที่ พ.ร.บ.ประมงมีผลบังคับใช้ ส่วนการใช้มาตรา 44 ร่วมแก้ไขก็เพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดปฏิบัติงาน โดยไม่ขัดกับหลักกฎหมายที่มีอยู่

ค่ำวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการเร่งแก้ไขปัญหาหลังจากอียู ให้ใบเหลืองเตือนไทยเรื่องการทำประมงที่ผิดกฎหมายว่า ได้แก้ปัญหาดังกล่าวมาตลอด มีคณะทำงานเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนการใช้มาตรา 44 เป็นการใช้เพื่อจะบูรณาการ ให้เกิดความรวดเร็ว นำไปสู่การปฏิบัติได้เลย เรื่องการได้ใบเหลือง อย่าวิตก โทษใครไม่ได้ รัฐบาลนี้จะแก้ไขอย่างเต็มที่ แต่ไม่รับประกันได้ว่าจะเสร็จภายใน 6 เดือนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทุกคน แต่หวังว่าจะแก้ปัญหาได้ภายใน 6 เดือน ยืนยันว่าจะทำงานเต็มที่ ส่วนผลกระทบเรื่องการส่งออกนั้น คุยกับภาคเอกชนแล้ว อาจจะมีผลกระทบไม่มากนัก อย่าไปมองว่าอียูจับผิดอะไร เพราะเขาทำเหมือนกันหมดทุกประเทศ แม้จะเป็นปัญหาหนักพอสมควร แต่อย่าท้อถอยจะใช้วิกฤติเป็นโอกาส สร้างความเข้าใจ ร่วมมือกัน การเดินทางไปอินโดนีเซียช่วงที่ผ่านมา ได้คุยกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการประมงอาเซียนร่วมกัน เพราะไทยมีปัญหาเยอะพอควรที่เรือประมงต่างๆ ไปทำผิดที่อินโดนีเซีย

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 24 เม.ย. กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญนายเฆซูส มิเกล ซันส์ เอกอัครราชทูตหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ประจำประเทศไทย เข้าหารือกับนายนภดล เทพพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความผิดหวังที่อียูประกาศเตือนหรือให้ใบเหลืองกับไทยเรื่องการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) พร้อมกับยืนยันความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่แก้ไขปัญหาในภาคประมงอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทุกมิติ และเริ่มมีผลคืบหน้าให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม จึงอยากให้อียูยกเลิกประกาศเตือนในไทยโอกาสแรก ขณะที่ไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับอียูอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป รวมถึงการแจ้งให้สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้ไปขอข้อมูลกับทางการประเทศนั้นๆ ว่าได้ร่วมมือกับอียูอย่างไรในช่วงที่ผ่านมาจนทำให้หลุดจากประเทศในกลุ่มที่อียูให้ใบเหลืองได้ตามกรอบเวลา

สายชล 29-04-2015 10:42



มีผลแล้ว! พ.ร.บ.การประมง ฉบับใหม่ “ประวิตร” ชง “กองทัพเรือ” บูรณาการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

28 เมษายน 2558 19:04


มีผลแล้ว! พ.ร.บ. การประมง ฉบับใหม่ “ประวิตร” สั่งกฤษฎีกา พิจารณาจัดทำรายละเอียดคำสั่งต่างๆ ตาม พ.ร.บ. ให้ กองทัพเรือ บูรณาการทุกหน่วยงานแก้ไข พร้อมสั่งการให้ กระทรวงเกษตรฯ จัดทำร่าง พ.ร.ก. ปิดช่องโหว่ต่างๆ ตามที่อียูได้ท้วงติงมา ส่วน “พ.ร.บ. ค้ามนุษย์” เพิ่มอํานาจทางปกครองให้แก่เจ้าหน้าที่

วันนี้ (28 เม.ย.) มีรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศใช้ พระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ และ พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘

โดย เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มีบทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมต่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในปัจจุบันที่มีความรุนแรง ซับซ้อน และเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ

จึงเห็นควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์โดยกําหนดให้มีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้พบเห็นเหตุการค้ามนุษย์แจ้งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกําหนดมาตรการเพิ่มอํานาจทางปกครองให้แก่เจ้าหน้าที่ รวมทั้งปรับปรุงบทกําหนดโทษที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จะมีการตั้ง คณะกรรมการ ปคม. ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ ปกค. เป็นรองประธานกรรมการ รมว.กลาโหม รมว.การต่างประเทศ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.มหาดไทย รมว.ยุติธรรม รมว.แรงงาน และ ผู้ทรงคุณวุฒิจํานวน 4 คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ด้านการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดฟื้นฟูและการประสานงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไม่น้อยกว่าเจ็ดปี ด้านละหนึ่งคน โดยต้องเป็นภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ

ทั้งนี้ ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์หรือพบการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ในสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะตามมาตรา ๑๖/๑ หากเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการโรงงาน หรือยานพาหนะ ดังกล่าวไม่สามารถชี้แจงหรือพิสูจน์ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง เชื่อได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณีแล้ว ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองมีอํานาจสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

(๑) ปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว
(๒) พักใช้ใบอนุญาตประกอบการสําหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน
(๓) ห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราว
(๔) ดําเนินมาตรการที่จําเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทําผิดเกิดขึ้นอีก

ทั้งนี้ การสั่งตาม (๑) (๒) และ (๓) ต้องไม่เกินครั้งละสามสิบวันนับแต่วันที่เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับทราบคําสั่งในกรณีมีการออกคําสั่งใดๆ ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองแจ้งให้หน่วยงานซึ่งควบคุมสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบ และให้หน่วยงานดังกล่าวถือปฏิบัติตามนั้น การพิจารณาปิดสถานประกอบกิจการหรือโรงงานชั่วคราว การพักใช้ใบอนุญาตประกอบการ

สําหรับการประกอบธุรกิจหรือโรงงาน การห้ามใช้ยานพาหนะเป็นการชั่วคราวหรือการดําเนินมาตรการที่จําเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทําผิดเกิดขึ้นอีก ตามวรรคหนึ่ง และการแจ้งให้หน่วยงานรับทราบตามวรรคสามให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด

มาตรา ๑๖/๓ ให้แจ้งคําสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต่อเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดําเนินกิจการ สถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะนั้นทราบเป็นหนังสือ ณ ภูมิลําเนาของผู้นั้น ภายในเจ็ดวันนับแต่วันออกคําสั่ง

ในกรณีที่ไม่มีผู้รับ ให้ปิดคําสั่งไว้ที่ภูมิลําเนาของผู้นั้นในที่เปิดเผย และให้ถือว่าเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะ ได้รับแจ้งคําสั่งนั้นแล้ว เมื่อพ้นกําหนดสิบห้าวันนับแต่วันปิดคําสั่ง

ในกรณีเจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงาน หรือยานพาหนะไม่เห็นด้วยกับคําสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําสั่งจากคณะอนุกรรมการ

การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุ ุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งของคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๒๕ วรรคสองคําวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด

มาตรา ๗ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา ๒๕ คณะกรรมการและคณะกรรมการ ปกค. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานเพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นในเรื่องหนึ่งเรื่องใดหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการและคณะกรรมการ ปกค. มอบหมายก็ได้ให้คณะกรรมการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการตามมาตรา ๑๖/๒ให้นํามาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับกับการประชุมของคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานโดยอนุโลม”

มาตรา ๘ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๖/๑) ของมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ “(๖/๑) ค่าปรับตามที่กระทรวงการคลังอนุญาต ให้นําไปใช้ได้โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน”

มาตรา ๙ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๕๓/๑ และมาตรา ๕๓/๒ แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑“มาตรา ๕๓/๑ ถ้าการกระทําผิดตามมาตรา ๕๒ หรือมาตรา ๕๓ วรรคสอง เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทํา

(๑) รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่แปดปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท หรือจําคุกตลอดชีวิต
(๒) ถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิตมาตรา ๕๓/๒ เจ้าของ ผู้ครอบครอง หรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบกิจการ โรงงานหรือยานพาหนะ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งตามมาตรา ๑๖/๒ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ”

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี

ส่วน พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ มี เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยที่กฎหมายว่าด้วยการประมงได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน บทบัญญัติบางประการไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำจํานวนจํากัด ในขณะที่เทคโนโลยีด้านการประมงได้พัฒนาไปอย่างมากและถูกนําไปใช้เป็นเครื่องมือทําการประมง อันส่งผลให้สัตว์น้ำลดจํานวนลงอย่างรวดเร็ว จึงสมควรปรับปรุงการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำและการประมงของประเทศ

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DA...58/A/034/1.PDF

ให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล รวมทั้งความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ด้านการประมง และสภาพของสังคมในปัจจุบัน โดยกําหนดให้มีมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาการบริหารจัดการ

การบํารุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์น้ำ และการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริม
ให้ประชาชนหรือชุมชนประมงท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ การบํารุงรักษา และการใช้ประโยชน์
จากทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างสมดุล เพื่อให้สามารถนําทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน
และกําหนดมาตรการในการส่งเสริมให้สัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ได้จากการทําการประมงหรือจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีคุณภาพได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรวมทั้งกําหนดมาตรการควบคุมและจัดระเบียบการใช้เรือประมงไทยในการทําการประมงทั้งในน่านน้ำและนอกน่านน้ำไทย

มีรายงานว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (28 เม.ย.) ได้มีการหารือเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing ซึ่งประเทศไทยถูกสหภาพยุโรป (อียู) ประกาศภาคทัณฑ์ โดย ครม. รับทราบว่า ขณะนี้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประมง พ.ศ. 2558 ฉบับปรับปรุง ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 60 วัน

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานในที่ประชุม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาจัดทำรายละเอียดคำสั่งต่างๆ ตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวเพื่อให้ กองทัพเรือ เป็นหน่วยงานบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการแก้ไขเรื่องต่างๆตามมติของอนุกรรมการฯ และได้สั่งการให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อปิดช่องโหว่ต่างๆตามที่อียูได้ท้วงติงมาให้พร้อม เพื่อประกาศออกมาทันทีที่ พ.ร.บ.ประมงมีผลบังคับใช้”




http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DA...58/A/034/1.PDF


สายชล 29-04-2015 10:43



พระราชบัญญัติ การประมง พ.ศ. ๒๕๕๘

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DA...58/A/034/1.PDF


สายชล 29-04-2015 21:28



คำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฏหมายค่ะ



...........................................................................


คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘

เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม 23 ข้อ ผู้ใดกระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ ถ้าได้กระทําความผิดนั้นซ้ำอีกต้องระวางโทษเป็นทวีคูณ

วันนี้(29 เม.ย.) มีรายงานว่า เวปไซด์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๐/๒๕๕๘ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

มีใจความว่า จากการที่ประเทศไทยได้รับการประกาศเตือนจากสหภาพยุโรปถึงการจัดให้มีมาตรการในการป้องกันยับยั้ง และขจัดการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ซึ่งหากไม่มีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังโดยเร่งด่วนภายในหกเดือนอาจมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเทศไทยในอนาคตและความมั่นคงของประเทศไทยในภาพรวม ดังนั้น เพื่อให้สามารถเร่งดําเนินการแก้ปัญหาให้การทําการประมงสามารถดําเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบ และยกระดับมาตรฐานการประมงของประเทศไทยให้สอดคล้องกับ
มาตรฐานสากล รวมทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมง อุตสาหกรรมต่อเนื่องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากมิได้มีการป้องกันและแก้ไขโดยเร่งด่วน จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศได้ เพื่อดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้จัดตั้ง “ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย” (Command Center for Combating Illegal Fishing) เรียกโดยย่อว่า ศปมผ. (CCCIF) เป็นศูนย์เฉพาะกิจ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี โดยมีผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้บัญชาการศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ผบ.ศปมผ.) และทั้งนี้ ให้ ศปมผ. เริ่มปฏิบัติการตามคําสั่งนี้ ตั้งแต่วันที่๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

ข้อ ๒ ศปมผ. มีโครงสร้างการปฏิบัติการดังต่อไปนี้

(๑) ให้คณะกรรมการนโยบายแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทําประมงผิดกฎหมายซึ่งจัดตั้งขึ้นตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ ๕๒/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแนวทางปฏิบัติในระดับรัฐบาล

(๒) ให้กองทัพเรือ และศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) ซึ่งจัดตั้งโดยมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๐ และวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักของ ศปมผ. ในการปฏิบัติการทางทะเลและชายฝั่ง และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง

(๓) ให้มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก (Port In - Port Out Controlling Center)และศูนย์ให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่เรือประมงแบบเบ็ดเสร็จ (Fishing One Stop Service)ประจําในแต่ละจังหวัดชายทะเล ทั้งนี้ ตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๓ ให้ ศปมผ. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑) กําหนดแนวทางของไทยและจัดทําแผนปฏิบัติการแห่งชาติในการแก้ปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Thailand’s National Plan of Action to Prevent, Deter and Eliminate IUU Fishing, NPOA - IUU) ตลอดจนกํากับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนนั้น รวมถึงดําเนินงานทําความเข้าใจกับสหภาพยุโรป

(๒) ควบคุม สั่งการ กํากับดูแล และประสานการปฏิบัติการทั้งปวงของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สํานักงานตํารวจแห่งชาติและส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม

(๓) พิจารณาเสนอแนะ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมายให้เป็นมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันการทําการประมงที่ผิดกฎหมายและบทลงโทษที่เหมาะสม

(๔) กําหนดโครงสร้างและอัตรากําลังของ ศปมผ. โดยในโครงสร้างนี้ต้องกําหนดให้มีศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก รวมถึงศูนย์ให้บริการและอํานวยความสะดวกแก่เรือประมงแบบเบ็ดเสร็จประจําในแต่ละจังหวัดชายทะเล

(๕) แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติงานใน ศปมผ. จากข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการต่าง ๆ ได้ตามความเหมาะสม

(๖) แต่งตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางาน เพื่อดูแลรับผิดชอบเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะได้ตามความเหมาะสม

(๗) เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐ หรือภาคเอกชน รวมทั้ง หน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อร่วมประชุมแนวทางการดําเนินงาน ประสานการปฏิบัติและติดตามผลการดําเนินงานตามความเหมาะสม

(๘) ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งยกระดับความร่วมมือกับประเทศที่สามโดยเฉพาะประเทศที่เรือที่ชักธงไทยเข้าไปทําการจับปลาในน่านน้ำของประเทศนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ

(๙) รายงานผลการปฏิบัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสหภาพยุโรปได้ยกเลิกประกาศเตือนประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่ไม่มีมาตรการอย่างเพียงพอในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม

(๑๐) ปฏิบัติการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

ข้อ ๔ ให้ ศรชล. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(๑) จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้นใน ศรชล. ประกอบด้วยกําลังทั้งเรือ อากาศยาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากหน่วยงานต่าง ๆ ใน ศรชล. ปฏิบัติงานในแต่ละพื้นที่เพื่อบังคับใช้กฎหมายในทะเลและควบคุมการปฏิบัติต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดโดยเร็วที่สุด

(๒) ควบคุมและสั่งการหน่วยงานที่มาปฏิบัติการภายใต้ ศรชล.

(๓) บูรณาการข้อมูลข่าวสารทางทะเลที่เกี่ยวข้อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศ เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ภาพสถานการณ์ทางทะเล

(๔) จัดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ประจําในศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางทะเล (ศขท.)จากหน่วยงานต่าง ๆ ใน ศรชล. ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าติดตาม พิสูจน์ทราบ และตรวจสอบพฤติกรรมการทําประมงผิดกฎหมายของเรือประมง โดยปฏิบัติหน้าที่เป็นศูนย์ติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง(Monitoring Control and Surveillance Center : MCS) ด้วย เพื่อให้ระบบการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System) มีความครบถ้วนสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด

(๕) ปฏิบัติการอื่นตามที่ ศปมผ. มอบหมาย

ข้อ ๕ ให้สํานักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กับ ศปมผ. และ ศรชล.เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน โดยเบิกค่าใช้จ่ายตามระเบียบของทางราชการ

ข้อ ๖ ให้เจ้าของหรือผู้ประกอบการเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ที่มีขนาดตั้งแต่ ๓๐ ตันกรอสส์ขึ้นไป หรือตามขนาดที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดต้องดําเนินการดังต่อไปนี้

(๑) จัดทําสมุดบันทึกการทําการประมง ตามรูปแบบ ระยะเวลา และวิธีการที่ ศปมผ.ประกาศกําหนด

(๒) ติดตั้งระบบติดตามเรือประมง (Vessel Monitoring System : VMS) ซึ่งมีมาตรฐาน
สมรรถนะของอุปกรณ์และข้อกําหนดเชิงหน้าที่ (Performance Standards and Functional
Requirements) ตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด โดยจะต้องติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาตามที่
ศปมผ. ประกาศกําหนด

(๓) แจ้งการเข้า - ออก ท่าเทียบเรือทุกครั้ง ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดเมื่อได้ดําเนินการติดตั้ง VMS แล้ว ให้เจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการตามวรรคหนึ่ง แจ้งรหัสการเข้าถึงระบบการติดตามเรือ (Access Code) ให้ ศปมผ. ทราบ และต้องเปิดเครื่องไว้ตลอดเวลาขณะอยู่ในทะเล เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตําบลที่เรือได้ ในกรณีที่อุปกรณ์ดังกล่าวขัดข้องหรือไม่สามารถส่งตําบลที่เรือได้ด้วยประการใด ๆ ให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดเจ้าของหรือผู้ประกอบการตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเข้าระบบเพื่อตรวจสอบจุดพิกัดของเรือ

ข้อ ๗ ให้นายทะเบียนเรือตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทยมีคําสั่งเพิกถอนทะเบียนเรือไทยสําหรับการประมงหรือเรืออ่วนตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด และจําหน่ายทะเบียนเรือออกจากสมุดทะเบียนในกรณีดังต่อไปนี้

(๑) เมื่อมีเหตุใดเหตุหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย
พุทธศักราช ๒๔๘๑

(๒) เจ้าของเรือแสดงความประสงค์เป็นหนังสือขอเลิกใช้ทะเบียนเรือไทยต่อนายทะเบียนเรือ

(๓) เรือไทยที่ได้จดทะเบียนแล้วแต่ไม่ได้รับใบอนุญาตใช้เรือ หรือใบอนุญาตใช้เรือสิ้นอายุเป็นเวลาต่อเนื่องกันตั้งแต่สามปีขึ้นไปเมื่อได้มีคําสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนเรือแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของเรือส่งคืนใบทะเบียนเรือภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสอจากนายทะเบียนเรือ

ข้อ ๘ เพื่อประโยชน์ในการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ห้ามมิให้เจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการเรือประมงยินยอมให้บุคคลใด ๆ กระทําการดังต่อไปนี้ในเรือประมงของตน

(๑) ครอบครองเครื่องมือทําการประมงที่ไม่ได้รับอนุญาตในเรือประมง

(๒) นําเรือประมงซึ่งมีเครื่องมือทําการประมงที่ไม่ถูกต้องตรงกับเครื่องมือที่ได้รับอาชญาบัตรหรือไม่ได้รับอาชญาบัตรหรือเครื่องมือทําการประมง ออกจากท่าเทียบเรือไปทําการประมง

(๓) นําเรือประมงซึ่งปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทยกฎหมายว่าด้วยเรือไทย กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองออกจากท่าเทยบเร ี ือจนกว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้นให้ครบถ้วน

ข้อ ๙ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เรือประมงออกไปทําการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวง หรือนําเรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ออกไปน่านน้ำต่างประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก ศปมผ. ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดการอนุญาตตามวรรคหนึ่ง ศปมผ. อาจมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้อนุญาตแทนได้

ข้อ ๑๐ ห้ามมิให้ผู้ใดใช้เรือประมงออกไปทําการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประเทศและในทะเลหลวงโดยฝ่าฝืนกฎข้อบังคับด้านการประมงของรัฐชายฝั่งที่เข้าไปทําการประมงหรือขององค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาค

(มีต่อ)

สายชล 29-04-2015 21:30



คำสั่งหัวหน้า คสช. เรื่องการแก้ไขปัญหาประมงผิดกฏหมาย (ต่อ)


..................................................................................


ข้อ ๑๑ ผู้ใดประสงค์จะนําเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดทุกขนาดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ออกนอกน่านน้ำไทยหรือเดินทางมาจากน่านน้ำต่างประเทศหรือทะเลหลวงเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องออกจากท่าเรือหรือเข้าจอดเรือ ณ ท่าเรือหรือแพปลาที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๑๒ ห้ามมิให้ผู้ใดนําเรือประมงต่างประเทศ หรือเรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็นที่อยู่ในบัญชีเรือที่ห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด เข้ามาเทียบท่าในราชอาณาจักร

ข้อ ๑๓ เจ้าของท่าเรือและเจ้าของแพปลาในทุกจังหวัดชายทะเล รวมถึงตามเกาะแก่งต่าง ๆต้องจดบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็น ตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดทุกขนาดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่ายหรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช ้ทําการประมงทุกลําที่เข้าใช้บริการจอดเรือหรือขนถ่ายสินค้าสัตว์น้ำก็บไว้เพื่อการตรวจสอบในกรณีเรือตามวรรคหนึ่ง เป็นเรือที่ต้องปฏิบัติตามข้อ ๑๑ เจ้าของเรือและเจ้าของแพปลาต้องดําเนินการรวบรวมและจัดส่งรายงานการเข้า - ออกเรือ มาที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออกตามหลักเกณฑ์ วิธีการ ที่ ศปมผ. ประกาศกําหนดรายงานตามวรรคหนึ่งต้องกําหนดให้ครอบคลุมกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือปฏิเสธแจ้งการเข้า - ออก ซึ่งเจ้าของท่าเทียบเรือหรือเจ้าของแพปลาจะต้องทําหน้าที่รายงานฝ่ายเดียว

ข้อ ๑๔ ให้ ศปมผ. และ ศรชล. แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามคําสั่งนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามวรรคหนึ่งมีอํานาจขึ้นตรวจสอบเรือ หรือกักเรือทุกลําที่กระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ กฎหมายว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ำไทย กฎหมายว่าด้วยเรือไทยกฎหมายว่าด้วยการประมง กฎหมายว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตการประมงไทย กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการประมงและการเดินเรือในการขึ้นตรวจสอบเรือตามข้อ ๑๒ หากมีเหตุสงสัยว่าเรือดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทําการประมง
ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจสั่งห้ามการขนถ่ายสัตว์น้ำหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำขึ้นจากเรือ และในกรณีที่เป็นเรือประมงต่างประเทศจะสั่งให้นําเรือออกไปจากราชอาณาจักรก็ได้ และให้ ศปมผ. แจ้งให้รัฐเจ้าของธงและองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาคเพื่อดําเนินการต่อไป

ข้อ ๑๕ พนักงานเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ ศปมผ. และ ศรชล. ที่กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุ หรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทําผิดกฎหมายแต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ ๑๖ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการป้องกันปราบปรามผู้กระทําผิดด้านการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมและปฏิบัติตามแผน npoa - iuu อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องเร่งดําเนินการในเรื่องการจดทะเบียนเรือประมง การออกใบอนุญาตใช้เรือ การต่อใบอนุญาตใช้เรือ การออกอาชญาบัตรและใบอนุญาตทําการประมงและเอกสารทางราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทําผิด

ข้อ ๑๗ เพื่อให้การปฏิบัติตามคําสั่งนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ ศปมผ.และเจ้าหน้าที่ ศรชล. ได้สั่งการให้ส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดกระทําการหรืองดเว้นกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งในการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ แต่ส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นเพิกเฉยหรือละเลยไม่กระทําการหรืองดเว้นกระทําการตามคําสั่งของเจ้าหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ให้เจ้าหน้าที่ ศปมผ.หรือเจ้าหน้าที่ ศรชล. รายงานพฤติกรรมดังกล่าวไปยัง ผบ.ศปมผ. และ ผบ.ศปมผ. มีอํานาจสั่งย้ายหัวหน้าส่วนราชการแห่งนั้นหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นออกจากพื้นที่รับผิดชอบได้ทันที และให้แจ้งรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐที่หัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดทราบพร้อมด้วยเหตุผลในการนี้ ให้รัฐมนตรีหรือหัวหน้าส่วนราชการดําเนินการเพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ หรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่โดยเร็ว และในกรณีที่มีมูลความผิดทางวินัยให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุของหัวหน้าส่วนราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นพิจารณาดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นต่อไป

คําสั่งของ ผบ.ศปมผ. ตามวรรคหนึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาในศาลปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒

ข้อ ๑๘ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ ๖ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

ข้อ ๑๙ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อ ๑๒ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสามสิบล้านบาท

ข้อ ๒๐ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อ ๗ วรรคสอง และข้อ ๑๓ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

ข้อ ๒๑ ผู้ใดกระทําความผิดตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ ถ้าได้กระทําความผิดนั้นซ้ำอีกต้องระวางโทษเป็นทวีคูณ

ข้อ ๒๒ ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ประกอบการเรือประมง เรือบรรทุกสินค้าประมงห้องเย็นตลอดจนยานพาหนะทางน้ำทุกชนิดที่ใช้ทําการประมง ขนถ่าย หรือเก็บรักษาสัตว์น้ำที่ได้จากยานพาหนะทางน้ำทุกชนิด ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งนี้ นอกจากจะต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้ตามคําสั่งนี้ ให้ ศปมผ. มีอํานาจสั่งให้มีการยกเลิกเอกสารทางราชการหรือใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่กําหนดไว้ในคําสั่งนี้ด้วย โดยห้ามมิให้หน่วยงานที่มีอํานาจออกใบอนุญาตออกเอกสารทางราชการหรือใบอนุญาตให้ใหม่เป็นเวลาหนึ่งปี หรือตามระยะเวลาที่ ศปมผ. ประกาศกําหนด

ข้อ ๒๓ ประกาศของ ศปมผ. ที่ออกตามคําสั่งนี้ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

ทั้งนี้ นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ


สายชล 21-07-2015 13:59

ไทยรัฐ
29-04-2015

จ่อออก พ.ร.ก.-ใช้ ม.44 แก้ประมง นายกฯไม่ให้ชี้ชัด 6 เดือนเสร็จ “เข้าใจตรงกันนะ”

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...xO1fyRC2gT.jpg

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

วานนี้ (28 เม.ย.) รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) หลังจากคณะกรรมาธิการยุโรป (อียู) ประกาศให้ใบเหลืองไทยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย ใน พ.ร.บ.ประมง พ.ศ. 2558 และโปรดเกล้าฯลงมาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเร็วๆนี้ และจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน

ขณะเดียวกัน ครม.มีมติเกี่ยวกับการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อมาอุดช่องว่างของกฎหมายบางประเด็นที่อียูต้องกา ร ซึ่งยังไม่ได้มีการแก้ไขใน พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 โดยระบุว่า ควรออก พ.ร.ก.มาหลังจากที่ พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้จะดีกว่าการออกในขณะนี้ ส่วนเหตุผลที่ต้องออก พ.ร.ก.เพิ่มเติม เนื่องจากในระหว่างมีพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประมง นั้น เราไม่ได้ ทราบถึงปัญหาของอียู

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ก็ไม่ต้องเกรงว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำจะไม ่เต็มที่ เพราะนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจตาม มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอุดช่องว่างทางกฎหมายที่อีย ูต้องการได้ เช่น ได้ให้อำนาจทหารเรือในการตรวจตราเรือทุกลำก่อนออกจาก ท่าเรือ เช่น หากพบเรือลำใดมีอวนลากก็จะไม่อนุญาตให้ออกเรือ เพื่อไม่ให้มีโอกาสในการนำอวนลากไปใช้จับปลา นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สื่อสารใหม่ ให้เข้าใจตรงกันด้วยว่า ไม่ให้สื่อสารว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จใน 6 เดือน แต่รัฐบาลให้พยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่แน่นอน

ด้าน น.ส.สุภาวดี แย้มกมล อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า เพื่อรับมือกับการแข่งขันในตลาดอาหารทะเลโลกและอียู ภาครัฐและเอกชนไทยต้องเร่งดำเนินการใน 4 เรื่อง คือ 1.แก้ปัญหาแรงงาน ค้ามนุษย์ และที่สำคัญการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (ไอยูยู) 2.หาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3.ส่งเสริมระบบการตรวจสอบคุณภาพและปรับปรุงโครงสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำเพื่อแก้ปัญหาด้านสุขอนามัย ตามมาตรฐานสากล และ 4.ส่งเสริมการขยายตลาดไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ.

สายชล 21-07-2015 14:03

เดลินิวส์
30-04-2015

'บิ๊กตู่' มีคำสั่งหัวหน้า คสช. ตั้ง ศปมผ. เร่งแก้ปัญหาประมง

http://i1198.photobucket.com/albums/...pst64lhvvr.jpg

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา แพร่คำสั่งหัวหน้า คสช. อาศัย ม.44 จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหม าย พร้อมดำเนินงานทำความเข้าใจสหภาพยุโรป จนกว่าจะยกเลิกประกาศเตือนไทย

เมื่อวันที่29เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่10/2558เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม โดยมีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า จากกรณีที่ประเทศไทยได้รับคำเตือนจากสหภาพยุโรปเกี่ย วกับมาตรการในการป้องกันยับยั้ง การประมงผิดกฎหมาย หากไม่ดำเนินการภายใน 6 เดือนอาจมีผลกระทบกับการส่งออกสินค้าสัตว์น้ำของประเ ทศไทย จึงอาศัยอำนาจตาม ม.44ของ รธน.ชั่วคราว หัวหน้า คสช. จึงมีคำสั่ง ให้จัดตั้ง "ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย " (ศปมผ.) เป็นศูนย์เฉพาะกิจขึ้นตรงกับนายกฯ โดยมี ผบ.ทร. เป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯ และให้เริ่มปฏิบัติตามคำสั่งตั้งแต่วันที่1พ.ค. โดยให้ศูนย์ดังกล่าวกำหนดแนวทางการแก้ปัญหา รวมถึงดําเนินงานทําความเข้าใจกับสหภาพยุโรป ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาเสนอแนะ ปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนากฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายให้เป็นมาตรฐา นสากล และให้รายงานผลการปฏิบัติให้หัวหน้า คสช.ทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าสหภาพยุโรปได้ยกเลิกประ กาศเตือนประเทศไทย ให้ผู้ประกอบการเรือประมง ที่มีขนาดตั้งแต่30ตันกรอสส์ขึ้นไป หรือตามขนาดที่ ศปมผ. ประกาศกำหนดต้องดำเนินการ จัดทำสมุดบันทึกการทำประมง ติดตั้งระบบติดตามเรือประมง ห้ามเรือประมงออกไปทำการประมงในน่านน้ำของรัฐต่างประ เทศและในทะเลหลวง เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก ศปมผ.ทั้งนี้ นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป..

สายชล 21-07-2015 14:08

ผู้จัดการออนไลน์
30-04-2015

ผู้ว่าฯภูเก็ตนำทีมออกตรวจเรือประมงป้องกันการค้ามนุ ษย์และทำประมงผิดกฎหมาย


http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005084003.JPEG


ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ผู้ว่าฯ ภูเก็ต นำทีมออกตรวจสอบเรือประมงบริเวณปากร่องน้ำคลองท่าจีน ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย ฯลฯ ผลตรวจสอบเรือประมง 3 ลำ ไม่พบการกระทำความผิดแต่อย่างใด

เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (29 เม.ย.) นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.พินิจ ศิริชัย รอง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พ.ต.อ.ศิริพงษ์ เพ็ชรศิริรักข์ ผกก.8 บก.รน. พ.ต.ท.ปัญญา ชัยชนะ สว.ส.รน.3 กก.8บก.รน.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยต่างๆ ประกอบด้วย ทัพเรือภาคที่ 3 ประมง จัดหางาน แรงงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงเรือตรวจการณ์คุณพุ่มบูรณาการตรวจเรือประมงทุกประเ ภท บริเวณปากร่องน้ำคลองท่าจีน เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการตรวจสอบเรือประมง จำนวน 3 ลำ ลูกเรือทั้งหมด 47 คน เป็นสัญชาติไทย 7 คน พม่า 40 คน ไม่พบการกระทำผิดเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว การค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน น้ำมันเถื่อน พ.ร.บ.การเดินเรือ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ยาเสพติดหรืออาชญากรรมข้ามชาติ แต่อย่างใด

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการบูรณาการร่วมทุกฝ่ายเกี่ยวข้อง ออกตรวจเรือประมงในครั้งนี้ว่า การลงมาปฏิบัติงานในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนนโยบายขอ งรัฐบาล ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการดูแลเกี่ยวกับเรื่องการประมงผิดกฎหมายหรือ IUU ที่เราได้รับใบเหลืองจากสหภาพยุโรป ในขณะเดียวกันการทำงานในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงการบูรณาการประสานความร่วมมือจากหน่วย งานหลายๆ ฝ่าย ในการออกตรวจเรือประมงต่างๆ ซึ่งทำให้เรามีข้อมูลของแต่ละฝ่ายและง่ายต่อการตรวจส อบ

ทั้งนี้จากการออกตรวจเรือประมงเหล่านี้ ปัญหาที่พบคือใช้เวลาพอสมควร ตรวจเรือ 3 ลำใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง คิดว่าเรื่องนี้ต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น และที่สำคัญเอกสารที่แต่ละหน่วยงานทำขึ้นมาเพื่อตรวจ สอบเรือประมงนั้น คิดว่าต้องมีลายเซ็นจากเจ้าหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเป็นการรับรองว่า เรือได้รับการตรวจแล้ว มีการปฏิบัติตามระเบียบของ IUU เรื่องการค้ามนุษย์หรือเรื่องของคุณภาพชีวิตคนบนเรือ ต่างๆ เพราะฉะนั้น ลักษณะการทำงานแบบนี้ น่าจะช่วยแก้ปัญหาเทียร์ 3 เรื่องการค้ามนุษย์ที่เรากำลังเป็นปัญหาหรือเรื่องขอ ง IUU ที่เรากำลังประสบอยู่


http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005084004.JPEG


นายนิสิต กล่าวอีกว่า สำหรับผลการตรวจสอบ ณ จุดหนึ่งที่เราตรวจสอบ มีความเห็นว่าผู้ประกอบการเรือหรือไต้ก๋งเรือ ยังไม่เข้าใจถึงวิธีการเพราะยังขาดเอกสารต่างๆ เช่นใบสัญญาของผู้ประกอบการในการแจ้งเข้า-ออกเรือ เป็นต้น ที่ทางกรมประมงทำขึ้น แต่ว่าเขาไม่ได้เอาออกมา อีกประเภทยังมีแรงงานที่ยังไม่มีบัตร แต่ก็มีเป็นส่วนน้อย ซึ่งเรื่องนี้เราได้เปิดโอกาสให้เรือประมงในภูเก็ตทำ ให้เสร็จก่อนกลุ่มอื่นๆ คือภายในเดือนพฤษภาคม ตนตกลงกับทางจัดหางานจังหวัดและแรงงานจังหวัดว่า เราจะเร่งรีบดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัด คือบัตรยังไม่ครบแต่ก็เป็นส่วนน้อย นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบการหรือไต้ก๋งเรือลืมนำเอ กสารต่างๆ มาไว้บนเรือที่จะให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบถึงความถูก ต้องของด้านต่างๆ ซึ่งจะแจ้งให้ทางกรมประมงได้สื่อสารทำความเข้าใจกับผ ู้ประกอบการถึงการเตรียมความพร้อมเรื่องเอกสารหลักฐา นต่างๆ ไว้บนเรือให้พร้อมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจ รวมถึงวิธีการตรวจเพื่อให้เกิดความรวดเร็วไม่เป็นการ รบกวนผู้ประกอบการมากเกินไป

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ยังได้มอบนโยบายในเรื่องของการออกตรวจแบบบูรณาการร่ว มหลายฝ่าย ให้ออกตรวจในทุกๆ เดือน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อสุ่มตรวจตามที่ต่างๆ ร่วมกับตำรวจน้ำ ทหารเรือ ซึ่งพร้อมช่วยเราอยู่แล้วในการทำงาน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ติดปัญหาในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งจะหาแนวทางแก้ไขกันต่อไป

สายชล 21-07-2015 14:17

ผู้จัดการออนไลน์
04-05-201

ปัญหาการประมง : “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” ....................... โดย ประสาท มีแต้ม

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยได้รับคำเตือนหรือ “ใบเหลือง” เนื่องจากการทำประมงที่ผิดกฎระเบียบที่เรียกว่า “ ระเบียบ-ไอยูยู (IUU-fishing คือ ผิดกฎหมาย (Illegal), ขาดการรายงาน (Unreported), ไม่มีการควบคุม (Unregulated)” เป็นเวลา 6 เดือนจากสหภาพยุโรปเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา หากรัฐบาลไทยไม่ดำเนินการแก้ไขให้เป็นที่พอใจ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปซึ่งอ้างว่าเป็นผู้นำเข้าสิน ค้าจากการประมงมากที่สุดในโลกก็จะไม่รับซื้อสินค้าดั งกล่าวจากประเทศไทย

เราจึงควรมาทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ลึกกันสักหน่ อยเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ (1) ประเทศไทยส่งออกปลาและผลิตภัณฑ์การประมงคิดเป็นมูลค่ ามากเป็นอัน 3 ของโลกรองจากจีนและนอร์เวย์ และ (2) เป็นเรื่องความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลไม่เฉพาะแต่ สำหรับคนไทยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ในอนาคตของคนทั้งโลกอีกด้วย

ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือจงใจกันแน่ ในช่วงเวลาที่ใกล้กันนั้นได้มีข่าวการค้ามนุษย์หรือแ รงงานทาสในภาคการประมงเกิดขึ้นด้วย จึงทำให้สื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวจนทำให้คนไทยเข้าใจค ลาดเคลื่อนว่า “ไอยูยู” มีเฉพาะปัญหาแรงงานทาสที่รัฐบาลไทยได้แก้ไขไปแล้วรวม ทั้งการผ่าน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์รวดเดียว 3 วาระในสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วย

ในบทความนี้ ผมขอนำเสนอเป็นข้อๆ รวม 5 ข้อดังนี้


หนึ่ง เหตุผลของสหภาพยุโรป

สหภาพยุโรป (European Commission) ถือว่าการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU-fishing) เป็นปัญหาที่รุนแรงของโลกปัญหาหนึ่ง เพราะส่งผลให้เกิด (1) การประมงที่มากเกินไป (overfishing) (2) ทำลายการแข่งขันทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้ชาวประมงที่ซื่อ สัตย์เสียเปรียบ และ (3) ทำให้ชุมชนชายฝั่งอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา

หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อ “ส่งเสริมและสนับสนุนการทำประมงที่เหมาะสม สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับทรัพยากรสัตว์น้ำที่เ ป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลก”

สหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้มาตรการ IUU-fishing ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยอ้างว่าได้ร่วมทำงานกับผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วโลก โดยใช้บังคับทั้งในน่านน้ำของแต่ละประเทศและในน่านน้ ำสากลด้วย มาตรการตอบโต้ต่อประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมืออย่างจริ งจังก็คือประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปจำนวน 27 ประเทศจะไม่รับซื้ออาหารทะเลและผลิตภัณฑ์จากประเทศที ่ไม่ให้ความร่วมมือ โดยเริ่มต้นให้เวลาในการปรับตัวนาน 15 เดือน

จากเอกสารของอียูเอง (21 เมษายน 2558) ระบุว่า ในแต่ละปีปริมาณสัตว์น้ำจากการประมงที่ผิดกฎหมายทั่ว โลกมีประมาณ 11 ถึง 26 ล้านตัน หรือ 15% ของสัตว์น้ำทะเลที่จับได้ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่า 8,000 ถึง 19,000 ล้านยูโร ในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก อียูไม่มีความปรารถนาที่จะร่วมในการกระทำความผิดนี้ และไม่ยินยอมให้สินค้าเหล่านั้นเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโร ป

คำว่า “ผิดกฎหมาย” นี้ทาง FAO ได้ให้ขยายความว่า เป็นการทำประมงในเขตของประเทศอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายประมงหรือระเบียบของประเ ทศนั้นๆ เอง เช่น ทำประมงในช่วงเวลาที่ห้ามทำ หรือในบางพื้นที่อนุรักษ์เป็นพิเศษ เป็นต้น

ในการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความเข้าใจในภาพรวมของ IUU-fishing ทั่วโลก นักวิจัยได้สรุปว่า “IUU-fishing นั้น ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันในประเทศที่รัฐอ่อนแอ มีการคอร์รัปชันในวงกว้างมีความลังเลในการออกกฎหมาย และขาดความมุ่งมั่นหรือประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎห มายที่มีอยู่แล้ว” (ที่มา The Future of Fish – The Fisheries of the Future, world ocean review)


สอง ทำไมอียูจึงให้ใบเหลืองประเทศไทย

จากเอกสารของอียูที่ประกาศเมื่อ 21 เมษายน 2558 ได้ให้เหตุผลว่า “จากการวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนและแลกเปลี่ยนความเห็นก ับทางการไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2554 คณะกรรมการจึงกล่าวโทษ (denounce) ข้อบกพร่องของประเทศไทยที่เกี่ยวกับระบบการติดตามสัง เกต ควบคุม และลงโทษในการทำประมง โดยสรุปว่าประเทศไทยไม่ได้ใช้มาตรการที่เพียงพอในการ ร่วมแก้ปัญหาในระดับสากลเพื่อแก้ปัญหา IUU-fishing”

มาตรการไม่ซื้อสินค้าดังกล่าวทางอียูได้ใช้มาแล้วกับ ประเทศเบลีซ (Belize ในอเมริกากลาง ประชากรไม่ถึง 3 แสนคน) ประเทศกินี (Guinea ในทวีปแอฟริกา ประชากร 8 ล้านคน) กัมพูชาและศรีลังกา ในขณะที่ประเทศเกาหลีและฟิลิปปินส์ก็เคยได้รับใบเหลื องเช่นเดียวกับไทย แต่ก็ได้รับการแก้ไขจนเป็นปกติแล้ว


สาม สถานการณ์ประมงในประเทศไทย

ถ้ายึดกันตามระเบียบ IUU-fishing ตามตัวอักษรแล้ว ก็พบว่าการประมงในประเทศไทยก็มีปัญหาครบตามที่ทาง FAO ขยายความทั้งในเขตน่านน้ำไทยเอง และในน่านน้ำสากลรวมทั้งเขตของประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวคือ เรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาทำประมงในเขตไม่เกิน 3 พันเมตรจากชายฝั่งตามที่ระเบียบได้ห้ามไว้ ชาวประมงพื้นบ้านเล่าให้ผมฟังว่า มีเรือประมงที่ต้องห้ามเข้ามาทำประมงประมาณ 1 พันเมตรเท่านั้น แต่ทางการก็ไม่สามารถเข้าจับคุมได้ นอกจากนี้ยังมีเรือที่ไม่มีใบอนุญาตอีกจำนวนมาก บางรายมีใบอนุญาตใบเดียวแต่มีเรือหลายลำ เป็นต้น

แต่ถ้ายึดกันตามวัตถุประสงค์ของอียูที่ว่า “สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับทรัพยากรสัตว์น้ำที่ เป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลก” เราจะพบว่าในเขตน่านน้ำของประเทศไทยก็ได้สูญเสียความ ยั่งยืนไปนานแล้ว

จากงานวิจัยด้วยการสำรวจของกรมประมงชิ้นล่าสุด (2549, จากวารสารวิจัยเทคโนโลยีประมง) ที่เกี่ยวกับในอ่าวไทยตอนบนโดยใช้เรืออวนลากแผ่นตะเฆ ่ พบว่า ผลการจับสัตว์น้ำต่อหนึ่งชั่วโมงลงงานได้ลดลงจาก ที่ 256 กิโลกรัมต่อชั่วโมงในปี พ.ศ. 2506 ลงมาเหลือ 14 กิโลกรัมต่อชั่วโมงลงงาน ในปี พ.ศ. 2549 หรือลดลงจาก 100% ลงมาเหลือ 5% เท่านั้น ผมได้นำรายละเอียดและผลสรุปเอาไว้ด้วยครับ

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005230201.JPEG

(มีต่อ)

สายชล 21-07-2015 14:22


ปัญหาการประมง : “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” ....................... โดย ประสาท มีแต้ม (ต่อ)

งานวิจัยชิ้นนี้ยังได้นำเสนอด้วยว่า ในบริเวณจังหวัดเพชรบุรีสามารถจับได้เพียง 7 กิโลกรัมต่อชั่วโมงลงงานเท่านั้น ดังนั้น เราพอจะคิดกันเองได้ว่าน่านน้ำในอ่าวไทยของเรามีปัญห ารุนแรงขนาดไหนทั้งในฐานะชาวประมงและในฐานะคนกินปลา

นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผลการจับในปี 2549 ได้สูงกว่าในปี 2542 ซึ่งได้ 12.46 กิโลกรัม (ผมไม่ได้สรุปไว้ในตารางนี้) ว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันในปี 2549 สูงกว่าในปี 2542 ทำให้จำนวนเรือประมงที่ออกทำการประมงในปี 2549 จึงน้อยลงด้วย แล้ว “ทำให้เรือสำรวจจับสัตว์น้ำได้สูงขึ้น”

แม้ผลการจับสัตว์น้ำในปี 2542 กับ 2549 อาจจะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แต่ผมว่าแนวคิดของผู้วิจัยที่ซ่อนอยู่ในงานวิจัยนี้ม ีความสำคัญมาก คือจำนวนเรือประมงมีผลต่อความยั่งยืนของทรัพยากร ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหภาพยุโรปที่ได้กล่า วมาแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์ต่อการเลือกใช้เครื่อง มือประมง (ซึ่งจะกล่าวต่อไป) คือผลการสำรวจครั้งนี้ยังพบอีกว่า ร้อยละ 46 (โดยน้ำหนัก) ของสัตว์น้ำที่จับได้เป็นปลาหน้าดิน โดยมีปลาเป็ดแท้เพียง 13% (คือปลาขนาดเล็กที่คนไม่นิยมบริโภคโดยตรง มักใช้ทำปลาป่นหรือน้ำปลา) ดังนั้น การใช้อวนลาก (ที่ทางอียูยังไม่ได้ยกขึ้นมาเป็นประเด็น) จึงเป็นการทำลายที่อยู่อาศัยอย่างถาวรของปลาจำนวนเกื อบครึ่งหนึ่งในทะเล


สี่ สิ่งที่ทางกรมประมงพยายามแก้ปัญหา

เมื่อทางสหภาพยุโรปได้ตั้งกติกาว่าด้วย IUU-fishing ทางกรมประมงจึงมีแนวคิดที่จะทำเรือที่ผิดกฎหมายอยู่แ ล้วในขณะนี้ให้ถูกกฎหมายเสีย ตามกติกาของอียู แต่ในเรื่องการติดตาม ตรวจตราและการควบคุม ทางกรมประมงก็อ้างว่าได้ทำเต็มที่แล้วตามกำลังที่มีอ ยู่

วิธีการของกรมประมงที่จะทำเรือประมงที่ผิดกฎหมายอยู่ แล้วให้ถูกฎหมายก็โดยการอ้างงานวิจัยในปี 2546 โดยองค์กรด้านอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับกรมประมงพบว่า จำนวนเรืออวนลากของประเทศไทยเกินศักยภาพที่ทรัพยากรจ ะรองรับได้ไป 33% หรือมีจำนวนเรืออวนลากมากเกินไปนั่นเอง โดยที่ขณะนั้นมีเรืออวนลากจำนวน7,968 ลำ

ในปี 2552 ทางกรมประมงพบว่ามีเรืออวนลากที่จดทะเบียนอย่างถูกกฎ หมายหรือมีเรืออวนลากที่ได้รับอาชญาบัตรไปแล้ว 3,619 ลำ ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามงานวิจัยในปี 2546 และกติกาของสหภาพยุโรป ทางกรมประมงจึงได้จิ้มเครื่องคิดเลขแล้วได้ข้อสรุปว่ า สามารถอนุญาตให้เรืออวนลากที่เป็นเรือเถื่อนอยู่ในขณ ะนี้ สามารถขึ้นทะเบียนเป็นถูกกฎหมายได้อีกประมาณ 2,300 ลำ

น่าเสียดายที่ทางกรมประมงได้เลือกเอาเฉพาะงานวิจัยบา งชิ้นมาปฏิบัติ (ชิ้นปี 2546) แต่ไม่ได้คำนึงถึงงานวิจัยในปี 2549 (ซึ่งผมนำมาสรุปไว้ข้างตน) ซึ่งแสดงอย่างชัดเจนว่าแนวโน้มของทรัพยากรสัตว์น้ำใน อ่าวไทยกำลังจะหมดไปจนเหลือแต่น้ำ และงานวิจัยชิ้นหลังนี้มีความสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขอ งสหภาพยุโรปที่อยากจะรักษาทรัพยากรไว้ให้ทั้งคนรุ่นน ี้และลูกหลานในอนาคตด้วย

ผมขอหยุดเรื่องปัญหาการประมงไทยเอาไว้เพียงแค่นี้นะค รับ ต่อไปนี้ผมขอนำข้อมูลและแนวคิดของนักวิชาการในระดับโ ลกมาเล่าสู่กันฟังครับ ว่ากันแบบเบาๆ มีรูปประกอบ เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะนำไปเล่าต่อเพื่อสร้างจิตสำนึก สาธารณะของลูกหลานต่อไปซึ่งก็เป็นวัตถุประสงค์ของสหภ าพยุโรปที่อยากให้รัฐบาลทำด้วย


ห้า ข้อมูล รูปภาพและแนวคิดของนักวิชาการระดับโลกบางคน


ผมได้เรื่องนี้มาจากการฟังคำบรรยายของศาสตราจารย์ Jeremy Jackson อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ ท่านเป็นนักนิเวศวิทยาที่เชี่ยวชาญเรื่องปะการัง ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ฟังด้วยตนเอง มีคำแปล 23 ภาษารวมทั้งภาษาไทย (https://www.ted.com/talks/jeremy_jackson) ท่านพูดในเวที TED Talk ซึ่งใช้เวลาประมาณ 19 นาที

รูปแรกเป็นการเปรียบเทียบขนาดปลาจากนักกีฬาตกปลาที่ท ่าเรือแห่งหนึ่ง จากเรือลำเดียวกัน แต่เวลาต่างกันถึง 60 ปี


http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005230202.JPEG


ภาพถัดไปเป็นร่องรอยท้องทะเลที่ถูกเรืออวนลากทำลาย


http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005230203.JPEG


ภาพถัดมาเป็นภาพวาดแสดงการทำงานของเรืออวนลาก (ไม่ได้มาจากคำบรรยายของศาสตราจารย์ Jackson)


http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005230204.JPEG


หลังจากได้ฟังคำบรรยายแล้ว ผมค้นคว้าเพิ่มเติม จึงได้พบสิ่งที่น่าสนใจมากซึ่งผมไม่เคยทราบมาก่อนครับ

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...005230205.JPEG


ในตอนสรุปคำบรรยายเรื่อง “เราทำให้มหาสมุทรอับปางได้อย่างไร” ศาสตราจารย์ Jackson ว่า

เราทั้งหมดจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร? เรามีวิธีหลายวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ แต่ท้ายที่สุดนะครับ สิ่งที่เราต้องแก้จริงๆ คือตัวเราเอง มันไม่ใช่เรื่องของปลาไม่ใช่เรื่องของมลพิษ ไม่ใช่เรื่องของสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องของเรา เรื่องของความโลภและความกระหายการเติบโต และความไร้ความสามารถของเราที่จะนึกภาพ โลกที่แตกต่างไปจากโลกที่เห็นแก่ตัว ที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้ ฉะนั้นคำถามคือ เราจะรับมือกับเรื่องนี้หรือไม่? ผมจะบอกว่าอนาคตของชีวิต และศักดิ์ศรีของมนุษยชาติ ตั้งอยู่บนการทำเรื่องนี้เลยครับ”


สรุป

ผมได้นำข้อความ “เป็นเรื่องการไร้ความสามารถที่จะคิดแตกต่างไปจากโลก ที่เห็นแก่ตัว” มาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อบทความนี้ ก็เพราะประทับใจและเห็นความจริงบางอย่าง ในฐานะที่เคยเป็นกรรมการสมาคมรักษ์ทะเลไทย ผมได้มีโอกาสเห็นชาวประมงพื้นบ้านร่วมกันตั้งธนาคารป ู โดยการเสียสละปูม้าที่ตนจับได้ที่อยู่ในสภาพไข่หน้าท ้องมาเพาะฝักต่อ แล้วปล่อยไข่ปูนับแสนๆ ฟองลงสู่ทะเล ผลที่ตามมา ภายในเวลาไม่นานปรากฏว่ามีลูกปูนับพันๆ ตัวมาวิ่งเล่นตามชายหาดเต็มไปหมด ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นที่อ่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดประจ วบคีรีขันธ์

ผมสรุปว่า ชาวประมงพื้นบ้านเริ่มมีความสามารถในการคิดถึงในสิ่ง ที่แตกต่างไปจากความเห็นแก่ตัวได้แล้วครับ แต่กับกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว ข้าราชการระดับสูงรวมทั้งนักการเมือง ผมยังไม่เห็นครับ

สายชล 21-07-2015 14:39

ไทยรัฐ
07-05-2015


เงี่ยหูฟังแก้ปัญหาประมง

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...MaOKzVPjam.jpg

“ประยุทธ์” เช็กข้อมูลก่อนทีมอียูถึงไทย

ร.อ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ผู้แทนกองทัพเรือได้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้ แจงถึงความก้าวหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการประมง ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (ไอยูยู) โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ อยู่ระหว่างการร่างกฎหมายลำดับรอง 70 ฉบับ ที่จะต้องออกตาม พ.ร.บ.ประมง พ.ศ.2558 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและจะมีผลบังคับใช้ใน 60 วัน ส่วนการจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันยับยั้งไอยูยูน ั้น นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้ทำให้เสร็จก่อนเดือน พ.ค.นี้

ด้านนายจุมพล สงวนสิน อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ในวันที่ 10 พ.ค.นี้ เจ้าหน้าที่จากอียูจะเดินทางมาไทย เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาไอยูยู ซึ่งกรมได้แปล พ.ร.บ.การประมง 2558 ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเรือ ความก้าวหน้าการติดตั้งระบบติดตามเรือ (วีเอ็มเอส) ไว้รองรับ และพร้อมพาไปดูระบบการจัดการเรือเข้า-ออกจากท่าเรือไทย (พอร์ตอิน-พอร์ตเอาต์) หากอียูต้องการลงพื้นที่ ซึ่งหลังจากการเข้ามาประเมินในวันที่ 10 พ.ค.นี้ อียูก็จะเข้ามาประเมินอีกเป็นระยะ และจะตัดสินสินค้าประมงไทยอีกครั้งประมาณเดือน ต.ค.นี้”

ส่วนการเตรียมการออก พ.ร.ก.ประมง เพื่อให้มีผลบังคับใช้แก้ปัญหาไอยูยูได้อย่างรวดเร็ว อุดช่องโหว่ทางกฎหมายในช่วงที่ พ.ร.บ.การประมง พ.ศ.2558 ยังไม่ทันมีผลบังคับใช้นั้น ขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ.


สายชล 21-07-2015 14:50

คม ชัด ลึก
10-05-2015

เรื่องเล่าอ่าวคั่นกระได จาก 'ผู้ร้าย' กลายเป็น 'พระเอก' ..................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง สมาคมรักษ์ทะเลไทย

http://www.komchadluek.net/media/img...9f5j7a7bk7.jpg

คนต้องการ "บ้าน" เป็นที่อยู่อาศัย สัตว์น้ำก็เช่นเดียวกัน !

ในปี 2551 สภาพเศรษฐกิจในหมู่บ้านคั่นกระไดย่ำแย่มาก เพราะทะเลเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชาวบ้านบางคนต้องหันไปเป็นคนงานก่อสร้าง ทุกคนต่างมีคำถามอยู่ในใจว่า “จะทำอย่างไรให้ปลากลับมา ?”

หลังจากได้เดินทางไปศึกษาดูงานการอนุรักษ์ทะเลที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช และได้เห็นชาวบ้านที่นั่นทำ “บ้านปู” พวกเขาก็กลับมาด้วยความหวัง

“พี่รุ่งแกเคยไปออกเรือใหญ่แถวทางใต้ แกเล่าให้ฟังว่า พวกเรือประมงพาณิชย์ชอบใช้วิธีทำ “ซั้ง” เพื่อล่อปลาเข้ามาเป็นฝูงแล้วก็ล้อมจับ วิธีนี้น่าจะเอามาดัดแปลงเป็น “บ้านปลา” ได้ แต่เราจะไม่ทำเหมือนเรือพาณิชย์ที่ใช้ซั้งล่อปลามาจับ เราจะทำซั้งเพื่อให้ลูกปลาได้เข้ามาหลบภัย ให้มันได้เจริญเติบโต แล้วก็ต้องตกลงกติกากันว่า ห้ามจับปลาที่ซั้ง เราจะปล่อยให้มันโต”

“ซั้งกอ” หรือบ้านปลา คือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ประยุกต์มาจากการสังเกตธรรมชาติของฝูงปลา ที่จะต้องมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน มีที่หลบภัย ซั้งกอจะทำหน้าที่คล้ายปะการังเทียม แต่ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายในหมู่บ้าน ประกอบไปด้วย

ทางมะพร้าว สำหรับทำเป็นกิ่งก้านของซั้งกอ เพื่อให้สัตว์น้ำได้เข้ามาหลบภัยโดยทางมะพร้าวที่ใช้นั้น ต้องเป็นทางมะพร้าวสด เพราะจะมีกลิ่นหอมที่ปลาชอบ ซั้งกอ 1 ต้นใช้ทางมะพร้าวราว 3-4 ต้น ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ

ไม้ไผ่ยาว 8-10 เมตร ใช้สำหรับทำเป็นต้นซั้งกอ

ทุ่นซีเมนต์หล่อเป็นแท่ง หนักประมาณ 80 กิโลกรัม ใช้สำหรับถ่วงต้นซั้งไว้ให้อยู่กับที่เมื่อทิ้งซั้งกอลงสู่ทะเล

“ครั้งแรกเลยที่ทำซั้งกัน เราไปทิ้ง 3 กอ พอเช้ามา น้าเล็กแกมาโวยวายใหญ่เลย พวกมึงมาทิ้งกันอย่างนี้แล้วกูจะวางอวนได้ยังไง มันเกะกะนะ กูไม่ให้ทิ้ง ว่าแล้วแกก็ไปของแกคนเดียวเลย จัดการลากซั้ง 3 กอมารวมกันเป็นกระจุกเดียว เราก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะน้าเล็กแกเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วอีกอย่างเราก็ยังไม่รู้ว่าซั้งมันจะได้ผลหรือเปล่าด้วย ปรากฏว่าแค่ 3 วันเท่านั้นเอง ปลาไอ้หม่องโกยมันมาจากไหนก็ไม่รู้ มันมาตอมอยู่ตรงนั้นแหละ แล้วก็มีแต่น้าเล็กคนเดียวที่วางอวนอยู่ตรงนั้น รอบนั้นคาดว่าแกจะวางไอ้หม่องโกยขายได้เป็นแสน เติมน้ำมันออกไปแค่ 3 ลิตรเอง เราก็ไปถาม เป็นไงล่ะคุณน้า ซั้งของพวกฉัน แกก็ยิ้มบอกว่า เออๆ ใช้ได้ๆ หลังจากนั้นมาเวลาที่เราทิ้งซั้งกัน น้าเล็กจะเข้ามาช่วยเป็นตัวหลักทุกครั้ง”

นอกจากซั้งกอแล้ว บ้านคั่นกระไดยังมีกระชังปูไข่ หรือ “ธนาคารปู” ที่ปัจจุบันชุมชนประมงพื้นบ้านในหลายจังหวัดเริ่มทำกันแพร่หลายมากขึ้น เพราะเป็นวิธีการขยายพันธุ์ปูม้าให้เพิ่มขึ้นอย่างได้ผล กิจกรรมนี้จะมีกลุ่มเด็กๆ เยาวชนในหมู่บ้านเป็นผู้ดูแลอย่างกระตือรือร้น เพราะนอกจากความสนุกสนานแล้ว แม่ปูที่สลัดไข่เสร็จ เด็กๆ ก็จะนำไปขายเป็นรายได้ของกลุ่มเยาวชน

“ทุกวันนี้ เราจะทิ้งซั้งกันปีละ 2 ครั้ง มีคนถามว่าที่จริงซั้งก็เหมือนกับปะการังเทียม ทำไมเราไม่ทิ้งปะการังเทียมไปเลย เราคิดว่า ซั้งกอมันมีความหมายมากกว่าปะการังเทียมที่ต้องใช้งบประมาณมาก ต้องติดต่อประสานให้ประมงจังหวัดมาช่วย แต่ซั้งเราทำจากวัสดุที่หาได้เอง ไม่ต้องใช้งบประมาณมาก เวลาทำซั้งคนในหมู่บ้านก็จะมาช่วยกันทำ พอทุกคนได้มีส่วนร่วมก็จะรู้สึกว่าเป็นเจ้าของซั้งแล้วก็จะช่วยกันดูแล ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ แต่พวกเด็กๆ ก็จะมาช่วยกัน ทำให้เด็กๆ ของเราได้เรียนรู้ซึมซับการดูแลรักษาทะเลไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่ด้วย”

เมื่อปลากลับบ้าน... เกิดอะไรขึ้นที่นี่

“โอ้โหย ขึ้นกันหัวขาวๆ เลย”

พี่น้อย โกศล จิตรจำลอง นายกสมาคมประมงพื้นบ้านอ่าวคั่นกระได ชี้ให้เด็กๆ ในเรือดูลูกปลาทูฝูงใหญ่ที่ดำผุดดำว่ายอยู่ตามแนวซั้งกอ วันนี้ชาวบ้านออกมาทิ้งซั้งเพิ่มเพื่อเสริมแนวซั้งชุดเก่าที่เริ่มผุพัง กิจกรรมนี้พวกเขาทำต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว เพราะการทำซั้งกอบังเกิดผลอย่างเกินคาดหมาย ทุกวันนี้ชาวประมงคั่นกระไดแทบไม่ต้องออกเรือไปหาปลาไกลถึงต่างหมู่บ้านอีกเลย

“เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องออกเรือไปไกล แค่หน้าบ้านก็มีปลาให้จับ บางช่วงหมู่บ้านอื่นไม่ได้ปลากันเลย แต่หน้าบ้านเราได้กุ้งเป็นร้อยๆ กิโล แถมยังเป็นกุ้งไซส์ใหญ่ทั้งนั้น ขนาดน้าเล็กแกเรือลำเล็ก ออกได้แต่น้ำตื้น บางวันยังได้ปลาตั้งสองสามร้อยกิโล”

ไม่เพียงแต่ปลาเท่านั้น การทำธนาคารปูมากว่า 3 ปีก็ทำให้ปูม้าในอ่าวคั่นกระไดชุกชุมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“พ่อเลยลงทุนทำอวนปูให้ผมออก ออกเองใช้เวลาว่างตอนกลับจากโรงเรียนมาก็วางอวนปูทิ้งไว้ อีก 2-3 วันก็ออกไปเก็บครั้งหนึ่ง ขายปูได้ พ่อก็ให้เป็นรายได้ของผมเลยครับ บางครั้งขายปูได้ 1,000-2,000 บาท รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นปูที่ผมกับเพื่อนๆ ทำกระชังเลี้ยงปูไข่”

http://www.komchadluek.net/media/img...5fgi77hb98.jpg

น้องนนท์ ลูกชายของหน่องเล่าถึงงานอดิเรกของตัวเอง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านคั่นกระไดที่ได้ประโยชน์จากการทำซั้งกอ ปัจจุบันอ่าวคั่นกระไดได้กลายเป็นทำเลหากินที่ดึงดูดเรือประมงต่างถิ่นเข้ามามากมาย ซึ่งในระยะแรกๆ พวกเขาต้องหมั่นเพียรชี้แจงทำความเข้าใจกฎระเบียบที่ห้ามจับปลาในซั้ง จนเป็นที่เข้าใจกันในหมู่ชาวประมงพื้นบ้านใกล้เคียง

แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ เรืออวนล้อม และเรือปั่นไฟที่มักแอบเข้ามาล้อมจับลูกปลาในแนวซั้ง

3 วันต่อมา พี่น้อยก็บ่นพึมพำอย่างหัวเสีย

“ปลาทูฝูงนั้นหายไปแล้ว พวกอวนล้อมมากวาดไปเรียบ”

เช้าวันรุ่งขึ้น เรือคั่นกระได 4 ลำออกทะเลแต่เช้ามืด มุ่งหน้าตรงสู่เรือประมงพาณิชย์ที่กำลังปล่อยอวนล้อมลูกปลาทู

“พวกเราทำเขตอนุรักษ์ แต่พวกพี่มาจับลูกปลา มันไม่ถูกนะพี่นะ” หน่อง ส่งเสียงถึงคู่กรณีผ่านทางวิทยุสื่อสาร มีเสียงโต้ตอบกลับมาทันใดทางดอกลำโพง

“เฮ้ย ลูกปลาอะไร เขาจับกันมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว ของเราเป็นประมงพื้นบ้าน เรือต่ำกว่า 7 วา”

“ผมรู้ว่าเรือพี่เป็นประมงพื้นบ้าน แต่ไอ้เครื่องมือของพี่น่ะ มันไม่ใช่นะ...”

การโต้เถียงยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งเรือคั่นกระไดทั้ง 4 ลำแล่นประชิดเข้ารายล้อมเรือประมงพาณิชย์ลำดังกล่าว สุดท้าย เรืออวนล้อมยอมล่าถอยออกนอกเขตซั้งแต่โดยดี โชคดีที่วันนี้ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น

ฉากเหตุการณ์เช่นนี้ มักเกิดขึ้นเสมอหลังจากที่พวกเขาทำให้ “ปลากลับบ้าน” ได้เป็นผลสำเร็จ มันได้ทำให้พวกเขาเรียนรู้มากขึ้นว่า การที่จะฟื้นฟูทรัพยากรให้ได้นั้น นอกจากองค์ความรู้แล้ว พวกเขายังต้องมีการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องเขตอนุรักษ์จากการทำประมงแบบทำลายล้าง

“ช่วงแรกๆ มีปัญหาบ่อยมาก ถึงขั้นชักปืนขู่กันก็เคยมี บางทีเรือพวกนี้มาลากซั้งไปทั้งกอเลย เราทำซั้งแล้วไม่ใช่ไปทิ้งไว้เฉยๆ แต่ต้องคอยดูแล ต้องสร้างกฎกติกาของบ้านเราขึ้นมา แล้วคนอื่นที่เข้ามา เราก็ต้องทำให้เขาเคารพในกติกาของบ้านเราด้วย”

“เมื่อมีการรวมกลุ่มกัน สิ่งดีๆ ก็เกิดขึ้นเยอะ เสียงเราก็จะดังขึ้น อำนาจต่อรองก็เกิดขึ้นเมื่อต้องเจรจาแก้ไขปัญหา”

หน่องสรุปประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ของเขา...


สายชล 21-07-2015 15:01

คม ชัด ลึก


เรื่องเล่าอ่าวคั่นกระได จาก 'ผู้ร้าย' กลายเป็น 'พระเอก' (จบ) ................... รักชีวิต รักษ์สิ่งแวดล้อม โดย เสาวลักษณ์ ประทุมทอง สมาคมรักษ์ทะเลไทย

http://www.komchadluek.net/media/img...jee9kbcb76.jpg

เมื่อพวกเขารวมตัวกันได้ จึงก้าวข้ามความกลัว!!!

ในปี 2552 บ้านคั่นกระไดต้องเผชิญปัญหาครั้งใหญ่จากโครงการบ่อบำบัดขยะและโรงไฟฟ้าขยะที่จะเกิดขึ้นในบริเวณช่องเขาทางทิศเหนือของหมู่บ้าน โครงการนี้ถูกชักนำเข้ามาโดยผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ชาวบ้านใน ต.อ่าวน้อย ต่างเกรงกลัวมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

ภูเขาดังกล่าว มีชื่อว่า ทุ่งกระต่ายขัง ตั้งอยู่ห่างชายฝั่ง 500 เมตร และเป็นจุดกำเนิดต้นน้ำที่ใช้สำหรับผลิตน้ำประปาของหมู่บ้านในบริเวณดังกล่าว ส่วนพื้นที่ระหว่างช่องเขาก็ถูกใช้เป็นที่ทิ้งขยะจากเทศบาลเมืองประจวบฯ มาหลายปีแล้ว จนกองขยะเริ่มใหญ่โต ส่งกลิ่นเหม็น และควันไฟจากการเผาขยะก็แพร่ไปไกลถึงเรือประมงที่กำลังวางอวนหาปลา ภายใต้โครงการดังกล่าวนี้ ในอนาคตขยะจากทั้งจังหวัดหรืออาจรวมไปถึงจังหวัดใกล้เคียงด้วย จะถูกขนมาจัดการที่นี่ ทำให้ชาวบ้านวิตกกังวลกันมาก แต่ที่สำคัญกว่าอื่นใดก็คือ ความหวาดกลัวต่ออิทธิพลของผู้ที่ชักนำโครงการโรงไฟฟ้าขยะเข้ามา

“เรายกขบวนกันไปปรึกษาพี่กระรอก (กรณ์อุมา พงษ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก) ว่าจะเอายังไงกันดี พี่รอกบอกว่า อันดับแรกเลยต้องถามก่อนว่า ถ้าจะค้านเรื่องนี้ กลัวไหม ? พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ พี่รอกก็ว่าถ้าจะค้าน อันดับแรกต้อง ก้าวข้ามความกลัว ให้ได้ก่อน แล้วค่อยกลับมาคุยกันว่าจะเดินกันยังไงต่อ”

ความโหดเหี้ยมมาแต่ครั้งอดีตของผู้มีอิทธิพลดังกล่าว เป็นสิ่งที่คนใน ต.อ่าวน้อย เล่าขานกันเรื่องแล้วเรื่องเล่า และคนคั่นกระไดเองบางคนก็เคยถูกข่มเหงรังแกมาก่อน การลุกขึ้นคัดง้างกับอำนาจอิทธิพลเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในแถบชายทะเล ต.อ่าวน้อย

“ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เรามา เวลาอยู่ต่อหน้าเขาได้แต่ยืนเอามือกุมเป้า ถ้าเราไม่มีความกล้า ลูกเราก็ต้องยืนกุมเป้าต่อหน้าลูกเขาต่อไป” หรั่ง มองย้อนไปถึงความคิดในตอนนั้น

“ถ้าเรากลัวก็ต้องลำบากไปชั่วลูกชั่วหลาน แต่ถ้าเราสู้ตั้งแต่ตอนนี้ เรายังมีโอกาสรอด พี่น้อยบอกว่างั้นเราค้านกัน มากรีดเลือดกินน้ำสาบานกันเลย”

พวกเขายกขบวนกลับไปหาพี่กระรอกอีกครั้ง จากนั้นการวางแผน “เดินงานมวลชน” ก็เริ่มต้นขึ้น ภายใต้การหนุนช่วยของพันธมิตรจากบ้านทุ่งน้อย บ่อนอก บ้านกรูด ที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับโรงไฟฟ้าถ่านหินมาก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ถูกกำชับมาจากนักต่อสู้รุ่นพี่ก็คือ พวกเขาจะต้องสู้ด้วยตัวเอง ต้องสร้างความคิด “พึ่งพาตนเอง” ให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องสมาชิกในชุมชนให้ได้

“วันแรกที่ออกไปแจกใบปลิว กลับมาถึงบ้านไม่กล้านอนบนเตียง ลงไปนอนอยู่ใต้เตียง กลัวมาก”

บุช เล่าถึงตัวเองอย่างขันๆ ชาวบ้านคั่นกระไดได้ก้าวข้ามความกลัวที่ฝังรากลึกอยู่ในชุมชนจนสำเร็จ ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าขยะได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ส่วนช่องเขาทุ่งกระต่ายขัง ที่ถูกเอกชนบุกรุกยึดครองไปเป็นที่ทิ้งขยะ ก็ถูกทางการยึดกลับมาเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ของแผ่นดินตามเดิม นี่คือผลพวงจากพลังแห่งความร่วมมือของคนเล็กคนน้อยในชุมชน

การ “ก้าวข้ามความกลัว” และหันกลับมา “พึ่งตัวเอง” ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในสำนึกของชาวบ้านคั่นกระได พวกเขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของการเคารพตนเอง เลิกมองตัวเองเป็นผู้ต่ำต้อยอ่อนแอ

กลุ่มประมงเรือเล็กอ่าวคั่นกระได มี “เสื้อเขียว” เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม และกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการคนเสื้อเขียว” ที่ประกอบไปด้วยชุมชนนักต่อสู้รุ่นพี่อื่นๆ ตั้งแต่ อ.กุยบุรี อ.เมือง อ.ทับสะแก ไปจนถึง อ.บางสะพาน ชุมชนเหล่านี้ประสานกันเป็นเครือข่ายในนาม “พันธมิตรสิ่งแวดล้อม จ.ประจวบคีรีขันธ์” และเมื่อใดที่ชุมชนประสบปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่มาจากนโยบายของรัฐ พวกเขาก็จะรวมตัวกัน

“ยังจำคำพูดของพี่เจริญ(เจริญ วัดอักษร อดีตประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก)ได้ดี ที่บอกว่า เราสู้ได้ ถ้าพี่น้องประชาชนรวมตัวกัน” คือคำพูดของหรั่งที่มักบอกเล่าต่อผู้มาเยี่ยมเยือนเสมอ

แต่ปัญหาก็ไม่จบเพียงแค่นั้น

11 สิงหาคม 2556 ปิยะ เทศแย้ม ชาวประมงแห่งบ้านทุ่งน้อย อ.กุยบุรี ถูกรุมซ้อมจนสะบักสะบอมขณะขึ้นปลาที่สะพานปลาประจวบฯ เขาคือนายกสมาคมประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้มีบทบาทในการดูแลรักษาทะเลมานานกว่าสิบปี ปิยะ ถูกรุมทำร้ายโดยสมุนของนายทุน “เรือคราดหอยลาย” ซึ่งมักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มประมงพื้นบ้านแทบจะทุกๆ ชายฝั่งของประเทศไทยมาช้านาน และกลางท้องทะเลที่ไกปืนเที่ยง การสาดกระสุนปืนเข้าใส่เรือของกันและกันเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในทุกภูมิภาค และอาจยังคงเกิดขึ้นได้อีกเสมอ

ราวปี 2554 เครือข่ายประมงพื้นบ้านจากหลายอำเภอเริ่มรณรงค์เคลื่อนไหวกดดันต่อทางจังหวัดให้แก้ไขปัญหาเรือคราดหอยอย่างจริงจัง โดยมีการเสนอข้อมูลวิชาการและข้อเรียกร้องต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ปรับปรุงกฎหมาย ขยายเขตห้ามคราดหอยจากระยะ 3,000 เมตรเป็น 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง และให้ทางจังหวัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างชุมชนและราชการเพื่อเฝ้าระวังเรือคราดหอยที่รุกล้ำเขตหวงห้าม

ด้วยการเกาะติดปัญหาของชาวบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่อาจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังเช่นที่เป็นมาได้อีกต่อไป เพียงไม่นานหลังจากนั้น เรือคราดหอยในอ่าวประจวบที่มีอยู่ทั้งสิ้น 7 ลำก็ต้องเปลี่ยนเครื่องมือไปทำประมงอย่างอื่น คงเหลือเพียง 2 ลำ ที่ยังออกคราดหอยลายตามเดิม

ในขณะเดียวกัน การแก้ไขกฎหมายที่ชาวบ้านผลักดันต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ทางกระทรวงรับข้อเรียกร้องของชาวบ้านไปศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะแนวเขตที่เหมาะสมในทางวิชาการที่จะกำหนดเป็นเขตหวงห้ามสำหรับเครื่องมือคราดหอย จนในที่สุดเดือนธันวาคม 2555 ก็มีการออกประกาศกระทรวงฯ กำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมือคราดหอยจากเดิม 3,000 เมตร เป็น 5,400 เมตร หรือ 3 ไมล์ทะเล ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่ง 5 อำเภอนับตั้งแต่ อ.หัวหิน จนถึง อ.เมืองประจวบฯ

แม้ว่าประกาศกระทรวงดังกล่าวจะกำหนดระยะหวงห้ามไว้เพียง 3 ไมล์ทะเล ไม่ใช่ 12 ไมล์ทะเลตามที่ชาวบ้านเรียกร้อง แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยินยอมออกประกาศขยายเขตห้ามเรือคราดหอยตามคำเรียกร้องของชาวประมง ทำให้ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดเดียวของประเทศไทยในขณะนี้ที่มีการขยายเขตอนุรักษ์ชายทะเลออกไปถึง 5,400 เมตร

อย่างไรก็ตาม เรือคราดหอย 2 ลำ ที่เหลือในอ่าวประจวบ ยังคงออกทำการอย่างไม่เกรงใจผู้ใด เมื่อถูกชาวบ้านแจ้งจับหลายครั้งเข้าก็เกิดความโกรธแค้น และสั่งลูกน้องให้มาดักรุม ปิยะ ที่สะพานปลา

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ ปิยะ ถูกทำร้ายบาดเจ็บ ชาวบ้านร่วมร้อยคนจากหลายหมู่บ้านตำบลก็มาประชุมที่ศาลาบ้านโพธิ์เรียง ปิยะ ในสภาพหน้าตาบวมช้ำบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สะพานปลาจนกระทั่งไปถึงสถานีตำรวจ ซึ่งผลปรากฏว่าตำรวจสั่งปรับทั้งสองฝ่ายโดยสรุปว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาท ทั้งๆ ที่ตัวเองถูกดักรุมทำร้ายโดยชายฉกรรจ์ถึง 3 คน และในระหว่างที่ถูกรุม เขาได้ยินฝ่ายตรงข้ามพูดว่า “เสือกแจ้งดีนัก”

“ผมโทรแจ้งประมงให้ออกไปจับ ก็มีแต่ประมงที่รู้ว่าผมเป็นคนแจ้ง แล้วมันรู้ได้ไง”

ปิยะ ถามขึ้นโดยไม่ต้องการคำตอบ ที่ประชุมชาวบ้านต่างก่นด่า “ประมง” กันดังขรม ก่อนที่จะปรึกษาหารือกันถึงการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ ปิยะ หัวข้อถกเถียงมาสะดุดอยู่ที่การกำหนดวันเคลื่อนไหวที่หาข้อตกลงร่วมกันไม่ได้เสียที เพราะชาวบ้านต้องประสานงานนัดหมายกันถึง 14 หมู่บ้านอย่างกะทันหัน

“โต้ง” ภูษิต จิตรจำลอง จากบ้านคั่นกระได ที่ปกติแล้วเป็นคนพูดน้อย จึงลุกขึ้นกล่าวเสียงดังว่า

“เราไม่ใช่คนทุ่งน้อยก็จริง แต่เห็นแล้วยอมไม่ได้ ถ้าใครไปเห็นปิยะถูกทำเมื่อวานนี้ เห็นลูกปิยะที่เดือดร้อนตอนนี้ จะบอกได้เลยว่าพรุ่งนี้ก็ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็อย่าทำมันเลยเรื่องอนุรักษ์น่ะ”

ทุกคนต่างปรบมือสนับสนุนความเห็นของโต้ง การตัดสินใจของเครือข่ายประมงพื้นบ้านครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายๆ เช่นนี้เอง

13 สิงหาคม 2556 ขบวนชาวบ้านจาก 14 หมู่บ้านใน อ.กุยบุรี และ อ.เมือง ตั้งแถวยาวเหยียดออกเดินรณรงค์รอบเทศบาลเมืองประจวบฯ ปราศรัยบอกเล่าปัญหาของเรือคราดหอยที่ทำลายทรัพยากร และความป่าเถื่อนที่กระทำต่อ ปิยะ เทศแย้ม ต่อสังคม สุดท้าย ขบวนแถวชาวบ้านก็ไปหยุดยั้งอยู่ที่สุดปลายอ่าวประจวบ ใกล้บ้านของนายทุนเรือคราดหอยคู่กรณี เรือคราดหอยยังคงลอยลำสงบนิ่งอยู่หน้าหาด

เสียงปราศรัยของ ปิยะ ดังก้องไปทั่วตลาด เพื่อให้นายทุนเห็นว่า จะต้องต่อสู้กับอะไร ถ้ายังขืนใช้อิทธิพลเถื่อนคราดหอยแบบเดิม ท่ามกลางขบวนชาวประมง 14 หมู่บ้านที่หน้าตาเคร่งเครียดขมึงทึง

การเจ็บตัวของปิยะไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า เพราะพี่น้องชาวประมงไม่ปล่อยให้เขาโดดเดี่ยว หลังจากออกมารณรงค์ปัญหาต่อสาธารณะในครั้งนี้ ก่อนสิ้นปี 2556 ชาวบ้านก็ได้รับข่าวดีว่า เรือคราดหอยเกเร 2 ลำสุดท้ายของอ่าวประจวบ ได้ยุติอาชีพคราดหอยลงแล้วโดยสิ้นเชิง


สายชล 21-07-2015 15:05

GREENPEACE
13-05-2015

ใบเหลืองอียู แปรวิกฤตให้เป็นโอกาสก่อนทะเลไทยจะล่มสลาย

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...881_186180.jpg

เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่ผ่านมาสหภาพยุโรป(อียู) ออกประกาศอย่างเป็นทางการ โดยขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ทั้งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยมีความล้มเหลวต่อเรื่องนี้ ใบเหลืองอียูยังสะท้อนวิกฤตห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมประมงไทยที่โยงกับนโยบายประมงโลก แม้จะเข้าใจกันดีว่า หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อปลดใบเหลืองอียูภายใน 6 เดือนตามที่กำหนด แต่หากละเลยมิติความยั่งยืนในเรื่องการฟื้นฟูทะเลและทรัพยากรชายฝั่งให้ไปพ้นจากการประมงทำลายล้าง การมุ่งปลดใบเหลืองอียูโดยให้ความสำคัญกับผลประโยขน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของอุตสาหกรรมประมงนั้นจะเป็นผลชั่วครู่ชั่วยามบนซากปรักหักพลังของระบบนิเวศทะเลไทย


ใบเหลืองจากอียูสำคัญอย่างไรต่อการประมงไทย

ข้อมูลการส่งออกสินค้าประมงไทยไปอียูโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.) ระบุว่า ในปี 57 ไทยส่งออกสินค้าทะเลไปอียูปริมาณ 148,995 ตัน มูลค่า 26,292 ล้านบาท ในปี 56 ส่งออกปริมาณ 176,939 ตัน มูลค่า 31,072 ล้านบาท และปี 55 ส่งออกปริมาณ 189,904 ตัน มูลค่า 33,782 ล้านบาท นี่เป็นเพียงตัวเลขของการส่งออกที่เป็นยอดเงินที่ยังไม่คำนวนถึงมูลค่าความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจจากการทำประมงที่ผิดกฎหมายที่คิดเป็นเงินราว 659 พันล้านบาท
สาเหตุที่มาของสัญญาณเตือนใบเหลืองนี้ เนื่องมาจากตั้งแต่ปี 2554 อียูได้ตรวจสอบการควบคุมการทำประมงที่ผิดกฎหมาย IUU ในประเทศไทย และไม่มีการปรับปรุงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายการออกกฎหมาย และการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมมาเป็นระยะเวลา 3 ปี ประเทศไทยจึงกขึ้นบัญชีเป็นประเทศที่ไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม (IUU) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา หมายความว่า หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ในเดือนตุลาคมนี้จะให้ใบแดง และระงับการสั่งซื้อสินค้าประมงจากประเทศไทยทันที เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับประเทศกัมพูชา กินี และศรีลังกา


ช่องโหว่ในมาตรการแก้ไขของรัฐบาลไทย

ชะตาการส่งออกสินค้าประมงของไทยจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการจัดการของรัฐบาลไทยในช่วง 6 เดือนนี้ โดยอาจเป็นได้สามแนวทาง คือ การออกใบเขียว-ยกเลิกการเตือนสินค้าประมง การออกใบแดง-ห้ามการนำเข้าสินค้าประมงไทย ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หรือสุดท้ายคือยืดเวลาให้ไทยแก้ปัญหาต่อไปอีก
อย่างไรก็ตามแต่การออกมาตรการแก้ไขเร่งด่วนของรัฐหลายประการไม่ว่าจะเป็นการตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด การต้อนเรือประมงมาจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นต้น มิได้รับประกันว่าจะนำไปสู่การปลดใบเหลืองอียู แต่กลับละเลยมิติของความยั่งยืนในการฟื้นฟูทะเลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำการประมงเกินขนาด

อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์ว่า 6 มาตรการการจัดของของภาครัฐยังมีช่องโหว่ที่ส่งเสริมให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลของไทย กล่าวคือ

1. การจดทะเบียนเรือประมงและออกใบอนุญาตทำการประมง หรือการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน จะเป็นการเปิดโอกาสให้เครื่องมือประมงทำลายล้าง เช่น เรืออวนลากเข้ามาสู่ระบบ ทั้งที่เรืออวนลากเป็นการทำประมงที่ทำลายล้าง กวาดล้างปลา และพันธุ์สัตว์น้ำในทะเลไทย รวมถึงทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยและระบบนิเวศทางทะเลที่มีความสำคัญ การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้ได้สร้างผลกระทบต่อชุมชนชายฝั่งที่พึ่งพาระบบนิเวศทางทะเลอย่างมาก และส่งผลร้ายแรงต่ออนาคตของความอุดมสมบูรณ์ของทะเลไทย

2. การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง ยังต้องอาศัยการบังคับใช้กฎหมายประมงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดถือประโยชน์ของประชาชน ชาวประมงพื้นบ้าน และความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้ง

3. การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (วีเอ็มเอส) ยังขาดแผนการทำงานที่เป็นระบบ การตรวจสอบควรนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่เป็นระบบ และน่าเชื่อถือ

4. การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ แต่ปัจจุบันยังเป็นการตรวจสอบผ่านเอกสารเนื่องจากบุคลากรไม่เพียงพอ

5. การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง มาตรการการบังคับใช้กฎหมายในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพได้เต็มที่จำเป็นต้องรอกฏหมายลูกอีกหลายฉบับมารองรับเพื่อให้เกิดผลบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังขาดกฏหมายที่คุ้มครองสัตว์น้ำวัยอ่อนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีใครพูดถึง

6. การจัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้า IUU แต่การจัดทำแผนระดับชาติในครั้งนี้มุ่งแต่การป้องป้องสินค้าส่งออก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมประมง แต่ไม่คำนึงถึงการรักษาทรัพยากรทางทะเลโดยรวม


ปลาในทะเลไทยกำลังหายไป

จุดมุ่งหมายสำคัญของกรรมธิการยุโรปในการกำหนดและสร้างข้อตกลงร่วมกันในสหภาพยุโรปในเรื่องการนำเข้าสินค้าประมงเข้ามาในสหภาพยุโรป คือ ต้องการให้นานาประเทศยกระดับการจัดการประมงทะเลอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาทรัพยากรและแหล่งอาหารไว้ให้คนรุ่นต่อไป ขณะนี้จากรายงานของ FAO ปี 2558 พบว่าผลผลิตการจับปลามวลรวมของประเทศไทยลดลงถึงร้ยละ 39 เมื่อเปรียบเทียบย้อนไป 10 ปี (2546-2555) โดยการลดลงของทรัพยากรทางทะเลบางส่วนมีสาเหตุจากการทำประมงเกินขนาด และปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมในอ่าวไทย ซึ่งสอดคล้องกับสถิติของกรมประมงพบว่า อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของการทำประมงอวนลากลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี 2504 มีอัตราอยู่ที่ 297.6 กก.ต่อชม. ในปี 2525 ลดลงเหลือ 49.2 กก.ต่อชม. ในปี 2549 อัตราการจับสัตว์น้ำเฉลี่ยของอ่าวไทยตอนบนเหลืออยู่เพียง 14.126 กก.ต่อชม.

การจัดการประมงอย่างยั่งยืน คือ การคืนชีวิตให้ทะเลไทย และนั่นคือทางออกสำหรับอนาคตการประมงของไทย ประเทศไทยมีทรัพยากรทางทะเลเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงชาวไทยและส่งออกไปภูมิภาคต่างๆ ของโลกได้อย่างยั่งยืนหากเราตระหนักที่จะดูแลท้องทะเลร่วมกัน แต่ที่ผ่านมาการพัฒนากิจการประมงของไทยเป็นไปในทางทำลายเพื่อกอบโกยเงินให้มากที่สุด หกเดือนต่อจากนี้คือการตัดสินสำคัญของอนาคตทะเลไทยที่ภาครัฐจะต้องปรับปรุงระบบการประมงทั้งระบบให้ถูกต้องและยั่งยืน เพราะหากภาครัฐไม่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมและปกป้องรักษาท้องทะเลต้องแต่ตอนนี้ ทะเลไทยจะยิ่งเสื่อมโทรมและไม่อาจกลับคืนสภาพสมบูรณ์ได้อีกเลย


สายชล 21-07-2015 15:18

GREENPEACE
14-05-2015

เครือข่ายประชาสังคมเสนอรัฐใช้วิกฤตใบเหลืองอียูเพื่อฟื้นฟูทะเลไทยอย่างยั่งยืนโดยยกเลิกเครื่องมือประมงที่ทำลายล้างและหยุดนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อน

เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทย (1) ตั้งข้อสังเกตและเสนอทางออกกรณีคณะกรรมธิการยุโรป (EU) ขึ้นบัญชีประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าข่ายไม่ให้ความร่วมมือในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม(IUU Fishing) โดยเครือข่ายภาคประชาสังคมระบุว่า การออกมาตรการแก้ไขของรัฐบาลนั้นเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่ตอบสนองผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมประมงและอาหารทะเลขนาดใหญ่แต่เพียงอย่างเดียว และมิได้รับประกันว่าจะนำไปสู่การปลดใบเหลืองอียูได้อย่างถาวร ที่สำคัญ มาตราการเหล่านั้นได้ละเลยมิติของความยั่งยืนในการฟื้นฟูทะเลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำประมงเกินขนาด การใช้เครื่องมือประมงที่ทำลายล้าง และการจัดการและเข้าถึงทรัพยากรและระบบนิเวศทางทะเลอย่างเป็นธรรม

ในวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการยุโรป(EU) แจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ (2) กรณีที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพียงพอในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินตามมาตรการในแผนปฏิบัติการ

กรมประมงได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และขาดการควบคุม (IUU) โดยตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด และออกมาตรการ 6 ข้อในการจัดการปัญหาประมงไทยได้แก่

1. การเร่งขึ้นทะเบียนเรือประมง และออกใบอนุญาตทำการประมง
2.การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง
3.การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS)
4.การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ
5.ปรับปรุงพระราชบัญญัติการประมงและกฎหมายลำดับรอง และ
6. จัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้าไอยูยู

ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดินได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวว่า "ด้วยเจตนารมณ์ของมาตรการการต่อต้าน IUU Fishing (combat IUU Fishing) และการที่ประเทศไทยได้ใบเหลืองจากสหภาพยุโรปในกรณีนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการประมงของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งในเรื่องการทำประมงผิดกฏหมาย การทำลายระบบนิเวศทางทะเล และความไม่โปร่งใสของแหล่งที่มาของสินค้าสัตว์น้ำ เป็นต้น ผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบควรใช้โอกาสนี้ในการสะสางปัญหาประมงไทยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานและนับวันจะรุนแรงมากขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อการแก้ปัญหาและให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างรับผิดชอบ เพื่อนำไปสู่ความอย่างยั่งยืนของระบบนิเวศและวิถีประมงไทยที่เปิดโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายการแก้ปัญหาเพื่อการปลดล๊อคใบเหลืองเท่านั้น"

เครือข่ายภาคประชาสังคมยังได้แสดงข้อกังวลถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีขึ้น เนื่องจากมาตรการแก้ไขของหน่วยงานรัฐบาลยังคงมองข้ามการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทย

“ประสบการณ์การทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งร่วมกับพี่น้องชุมชนประมงชายฝั่งมา 30 กว่าปี ผมพบว่าทะเลไทยเป็นแหล่งอาหารโปรตีนในธรรมชาติที่สำคัญสำหรับสังคมไทย ทั้งยังเป็นอาชีพและแหล่งรายได้ของผู้คนจำนวนมาก การเร่งการจดทะเบียนเรือหรือนิรโทษกรรมเรือประมงทำลายล้างเป็นการทำร้ายและทำลายทะเลไทย และเป็นการการทำลายวิถีชุมชน ทำลายอาชีพและความเป็นอยู่ของพี่น้องร่วมชาติอย่างเลือดเย็นที่สุด ทางออกต่อเรื่องนี้คือต้องลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี2547(3)” นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว

“เราควรดูแบบอย่างจากประเทศที่รอดพ้นจากใบเหลืองกรณีการประมงผิดกฎหมาย เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ที่ได้ปรับปรุงและพัฒนาการจัดการด้านการประมงโดยยึดหลักการทำงานร่วมกันระหว่างประชาสังคมและภาครัฐ กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาภายใต้แนวคิดการจัดการอย่างมีส่วนร่วมโดยให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้านเท่ากับตัวเลขการส่งออกของประมงพาณิชย์ การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องทำทั้งระบบไม่ใช่เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง” อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว

เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานปกป้องทะเลไทยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังนี้

1) ยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงทำลายล้างรวมถึงอวนลาก อวนรุน ซึ่งทำลายแหล่งปลาและระบบนิเวศของทะเลไทย

2) ยุติการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเถือนที่ล้างผลาญทะเลไทยและลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี 2547

3) ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายประมงและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ และยกระดับธรรมาภิบาลด้านการประมงเพื่อต่อกรกับการทำประมงเกินขนาดที่นำไปสู่ความเสื่อมโทรมของทะเลและมหาสมุทร

4) ใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังกับระบบการควบคุม ติดตามตรวจสอบรวมถึงมีการประสานงานเชิงนโยบายและการจัดการประมงในระดับภูมิภาคอย่างจริงจังเพื่อที่จะอุดช่องโหว่ของการทำประมงผิดกฎหมาย เช่น การขนถ่ายสินค้าจากการประมงนอกน่านน้ำกลางมหาสมุทร เป็นต้น


หมายเหตุ

(1) เครือข่ายภาคประชาสังคมประกอบด้วย 1. สมาคมรักษ์ทะเลไทย 2. มูลนิธิสายใยแผ่นดิน 3. สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย 4. องค์การอ็อกแฟมแห่งประเทศไทย 5.กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2) http://europa.eu/rapid/press-release_IP-15-4806_en.htm

(3) http://www.rebyc-cti.org/downloads/d...city-reduction

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ร่วมปกป้องและฟื้นฟูทะเลไทยได้ที่ www.greenpeace.or.th/s/call-for-Ocean-protection


สายชล 21-07-2015 15:19

greennewstv
14-05-2015

"เรือปั่นไฟ" ปัญหาเรื้อรังสู่หายนะทะเลไทย

http://www.greennewstv.com/wp-conten...42400150_n.jpg

นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย-สหพันธ์ประมงพื้นบ้านเอือมปัญหา “เรือปั่นไฟ” มฤตยูของทรัพยากรทางทะเลที่กำลังสร้างหายนะอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่แก้ได้ง่ายแต่รัฐไม่ยอมทำ

ปัญหาการทำประมงด้วยเรือปั่นไฟ นับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในท้องทะเลอย่างรุนแรง และต่อระบบเศรษฐกิจของอุตสาหกรรมประมงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนับว่าไม่ต่างจากการประมงโดยใช้อวนลากหรืออวนรุน แต่กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงหรือเป็นที่รู้จักมากนัก

“บรรจง นะแส” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย หนึ่งในผู้ต่อต้านการประมงโดยวิธีการดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายว่า การจับปลาโดยวิธีการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อจับปลากะตักในเวลากลางคืน โดยใช้แสงไฟล่อให้ปลาเข้ามาหาจำนวนมากแล้วจึงลงอวนจับ แต่สิ่งที่ได้มานอกจากปลากะตักแล้วยังมีลูกปลาเศรษฐกิจอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต ทั้งหมดถูกลากขึ้นมากองเป็นภูเขา หนึ่งในนั้นที่เห็นได้ชัดคือลูกปลาทู ที่ถูกนำมาขายราคาถูกๆอย่างไร้คุณค่า กลายเป็นอาหารสัตว์ แทนที่เมื่อเจริญเติบโตจะมีราคาดีและเป็นอาหารของมนุษย์

http://www.greennewstv.com/wp-conten...65295823_n.jpg

นักอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลกล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องดังกล่าวสามารถห้ามได้เพียงการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือ เคยถูกบังคับใช้มาแล้วเมื่อปี พ.ศ.2526 โดย นพ.บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสมัยนั้น ที่ได้ออกประกาศกระทรวงให้ยกเลิกการทำการประมงด้วยวิธีปั่นไฟ แต่พอมาในปี พ.ศ.2539 ยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี กลับถูกยกเลิกประกาศเก่าแล้วออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่ โดย นายมณฑล ไกรวัตนุสสรณ์ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ขณะนั้น) เปิดโอกาสให้กลับมาใช้วิธีการทำการประมงด้วยวิธีใช้แสงไฟล่อปลาได้เช่นเดิม ทำให้พันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจวัยอ่อนชนิดต่างๆจำนวนมาก ก็ยังถูกทำลายเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน

แม้เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ลูกปลาตัวเล็กๆยังคงถูกจับโดยวิธีทำลายล้างเช่นนี้มาตลอด แต่จำนวนปลาที่จับได้ในแต่ละครั้งยังคงมีจำนวนมาก นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ระบุว่า นั่นคือสิ่งที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลไทย

“ลองจินตนาการดูว่าหากเราสามารถหยุดการกระทำเหล่านี้ได้ เราจะมีสัตว์ทะเลมากมายสมบูรณ์เพียงใด แต่สิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้คือระบบนิเวศน์ถูกทำลาย ปลาใหญ่ไม่มีโอกาสโตและมีจำนวนน้อยลง เนื่องจากไม่มีปลาเล็กให้กิน” นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทยกล่าว

http://www.greennewstv.com/wp-conten...27335698_n.jpg

ด้าน “วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี” ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พ.ร.บ.ประมง 2558 ที่ผ่านออกมานั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวมากนัก เป็นเพียงการพูดหลักการกว้างๆ และยังคงให้อำนาจรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะหากให้อำนาจกลุ่มท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจคงจะมีการยกเลิกการประมงวิธีการดังกล่าวไปแล้ว

“สิ่งที่เป็นอยู่คือการทำลายวงจรทั้งทางระบบนิเวศน์และเศรษฐกิจ ทรัพยากรที่มีอยู่นั้นจำกัดด้วยศักยภาพการผลิตของทะเลไทย หากปล่อยให้มีกลุ่มประมงสัก 10-20 รายกวาดเอาปลาตัวเล็กตัวน้อยไปขายถูกๆจนหมด แล้วคืนอื่นจะเหลืออะไร ในเมื่อหากปล่อยไว้แล้วมาจับใหม่ปริมาณจะเพิ่มมากขึ้นหลายร้อยหลายพัน” วิโชคศักดิ์กล่าว

ผู้จัดการสมาคมสหพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยยังกล่าวว่า อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ผู้คนตระหนักคือ อาหารทะเลที่มีคุณภาพเกือบทั้งหมดมาจากประมงรายเล็กซึ่งใช้วิธีจับแบบพื้นบ้าน และไม่มีสารที่เป็นอันตราย ต่างจากอาหารทะเลที่มาจากประมงรายใหญ่ที่มักมีสารแปลกปลอม อาทิฟอร์มาลีนที่ถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักเพื่อรักษาปลาให้สดเป็นระยะเวลานาน และกว่าครึ่งหนึ่งของการประมงโดยใช้อวนลาก อวนรุน หรือเรือปั่นไฟเช่นนี้เป็นไปเพื่อนำมาเลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เลี้ยงคน


สายชล 21-07-2015 15:22

GREENPEACE
15-05-2015

ชะตากรรมทะเลไทยในสถานการณ์ปลดล๊อดใบเหลืองอียู

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...132015_171.jpg
ภาคประชาสังคมได้มาร่วมกันถกถึงปัญหาวิกฤตประมงไทยและใบเหลืองจากอียู ในประเด็น “ใบเหลืองอียู: ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง”

“ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าของประเทศเป็นหลัก โดยไม่คิดถึงการรักษาทรัพยากรเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว จึงมีมาตรการเร่งรัดเพื่อรักษาตลาด พยายามแก้พรบ.การประมง แก้ไขเรื่องทรัพยากรชายฝั่ง แต่ต้องดูว่าจะเป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือเปล่า จะเป็นการแก้ให้เราทุกคนหรือแก้ให้ใคร” คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

เมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ภาคประชาสังคมได้มาร่วมกันถกถึงปัญหาวิกฤตประมงไทยและใบเหลืองจากอียู ในประเด็น “ใบเหลืองอียู: ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง” ซึ่งเป็นการมาพูดคุยกันถึงข้อวิตกกังวลในเรื่องทรัพยากรทางทะเลไทยที่กำลังถูกตักตวงเกินประสิทธิภาพในการฟื้นฟู จากมุมมองของเครือข่ายประมงพื้นบ้าน ผู้ที่ทำประมงอย่างอนุรักษ์และฟื้นฟูท้องทะเล และเห็นถึงวิกฤตปัญหาทางทรัพยากรที่เกิดขึ้น แต่ภาครัฐกลับมองข้ามไม่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของประมงพื้นบ้าน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นทางออกในการทำประมงอย่างยั่งยืน เพื่อความมั่นคงทางอาหารของไทย ไม่ใช่อุตสาหกรรมประมงที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่กลุ่ม นี่คือโจทย์ที่ภาครัฐต้องเลือกและหาคำตอบให้ได้ระหว่างผลประโยชน์ทางธุรกิจและผลประโยชน์ของประชาชน เป็นความท้าทายที่ว่ารัฐบาลจะทำให้ผลประโยชน์กลับมาสู่ประชาชน และระบบนิเวศของทุกคนได้หรือไม่

และที่สำคัญที่สุดคือจะรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยที่ผลประโยชน์ของธุรกิจเป็นรองได้หรือไม่

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...132015_091.jpg
คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย


เรือประมงแบบทำลายล้าง ศัตรูของท้องทะเลที่ไม่ควรได้รับนิรโทษกรรม

ข้อกังวลที่ผู้เข้าร่วมเสวนาจาก สมาคมรักษ์ทะเลไทย มูลนิธิสายใยแผ่นดิน สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย องค์การอ็อกแฟมแห่งประเทศไทย และกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นพ้องตรงกัน คือ ปัญหาการประมงแบบทำลายล้างและเกินขนาดที่สร้างความเสื่อมโทรมให้กับทรัพยากรทางทะเล และความหละหลวมในการบังคับใช้กฎหมายของภาครัฐ

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...132015_131.jpg
คุณสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย

“5,919 ลำ คือจำนวนเรืออวนลากที่อ่าวไทยรับได้จากข้อมูลการวิจัยโดยกรมประมง ณ วันนี้ เรืออวนลากมีกว่า 12,000 ลำแล้ว เป็นข้อคำถามถึงความตั้งใจในมาตรการของกรมประมงว่าต้องการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลของไทยจริงหรือไม่ ภาครัฐของไทยเปิดโอกาสให้เรือประมงพาณิชย์ทำลายล้างทุกอย่าง หลายประเทศมีการปิดประเทศไม่ให้เรืออวนลากเข้า เช่น อินโดนีเซียมีการยกเลิกเรืออวนลาก อวนล้อม แต่ในไทยเป้าหมายของผู้ประกอบการคือเรืออวนลาก กับการนิรโทษกรรมเรืออวนลาก ซึ่งต่อไปถ้าปล่อยให้เกิดการจดทะเบียน ทะเลไทยจะทรัพยากรลดลงเรื่อยๆ

หลังจากได้รับใบเหลือง ภาครัฐไม่ได้มองถึงกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านซึ่งมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 85 ว่าเป็นกลุ่มที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศเดิน ทั้งที่มีการรับซื้อและส่งออกไปต่างประเทศ ไม่ได้มองว่าเราเป็นหนึ่งคู่กับทะเล มีการฟื้นฟูทะเล และทรัพยากรหน้าบ้านของตนเองมาตลอด แต่เรือประมงแบบทำลายล้างที่เต็มทะเลต่างหากทำให้ชะตาทะเลไทยอยู่ในขั้นวิกฤต” คุณสะมะแอ เจ๊ะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย กล่าว

อันที่จริงแล้วทะเลไทยมีศักยภาพสูง หากเราเปิดโอกาสให้ระบบนิเวศได้ฟื้นตัว ไม่นานนักทะเลก็จะสามารถคืนความอุดมสมบูรณ์กลับมาได้ ดังที่คุณบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าวว่า “ขณะนี้มีเรืออวนลากจำนวนกว่า 12,000 ลำในทะเลไทย แต่ยังสามารถจับปลาเล็กมาได้จำนวนกว่า 9 แสนตันต่อปี แสดงถึงศักยภาพของทะเลไทยถึงแม้จะถูกเรือประมงแบบทำลายล้างทำร้ายระบบนิเวศกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาจากท้องทะเลตั้งแต่ผิวดินถึงผิวน้ำ หากเราปล่อยให้ลูกปลาเหล่านี้เติบโตจะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาลมากว่ามูลค่าของปลาป่น เรือประมงแบบทำลายล้างอย่างเรืออวนรุน อวนลาก เรือคราดหอย และเรือปั่นไฟ ถึงแม้ว่ารัฐจะบอกสามารถจดทะเบียนให้ถูกกฎหมาย แต่สังคมไทยจะว่าอย่างไร จะยอมให้ทะเลไทยถูกทำลายเช่นนี้ต่อไปไหม ทางออกต่อเรื่องนี้คือต้องลดจำนวนเรืออวนลากลงครึ่งหนึ่งตามที่กรมประมงทำวิจัยร่วมกับ FAO และเสนอรัฐบาลไว้เมื่อปี2547”


การบังคับใช้กฎหมายประมงอย่างมีประสิทธิภาพและมีธรรมาภิบาล หนทางปลดล็อควิกฤตทะเลไทย

ที่ผ่านมาการบังคับใช้ของกฎหมายประมงที่มีช่องโหว่อย่างเห็นได้ชัดทำให้ คุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรีผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ถึงกับกล่าวออกมาว่า “ผมไม่คาดหวังเลยกับกฎหมายประมง”

วิกฤตทะเลไม่ได้เพิ่งมาเกิดตอนได้ใบเหลือง แต่ FAO ได้ระบุว่าเราจับเกินระยะฟื้นฟูของทะเลตั้งแต่ปี 2523 ล่าสุดภาครัฐได้ออกกฎหมายประมงฉบับใหม่เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา แต่ภาคประชาสังคมยังมีข้อกังวลว่ากฎหมายนี้ยังคงมีช่องโหว่ ซึ่งคุณวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี เสริมว่า “ความสำคัญในกฎหมายประมง 104 มาตรา ยังไม่สามารถฝากความหวังได้ แต่เป็นการสร้างปัญหาเพิ่ม ไม่คำนึงถึงการประมงพื้นบ้าน อีกทั้งอำนาจกฎหมายยังผูกขาดอยู่ในมือรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่เพียงผู้เดียว ที่สำคัญคือไม่มีบทลงโทษสำหรับเรือประมงพาณิชย์ที่ละเมิดกฎหมาย มีเพียงการปรับ ซึ่งเมื่อเทียบระหว่างรายได้ 1 แสนบาท และค่าปรับ 2 พันบาทแล้ว คงไม่มีใครกลัวเกรงการกระทำผิด แต่ในขณะที่เรือประมงพื้นบ้านกรณีที่ออกนอกเขตสามไมล์ทะเล จะถูกส่งฟ้องศาลเพื่อรอดำเนินอาญาเท่านั้น กฎหมายเช่นนี้จะทำให้ทะเลวินาศในอีกสองเดือน ไม่ใช่ดีขึ้น”
ซูม

การแก้ปัญหาวิกฤตทะเลไทย และปลดล็อคได้อย่างตรงจุดที่สุดนั้นต้องระบุถึงปัญหาอย่างจริงใจ ไม่ใช่ปกปิด และมีการจัดการในระยะยาว สิ่งสำคัญที่ภาครัฐต้องคำนึงถึงคือ ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นไม่ใช่แค่อุตสาหกรรม แต่มีชาวประมงพื้นบ้านที่อนุรักษ์และฟื้นฟู รวมถึงผู้บริโภคที่มีส่วนในการกินอาหารทะเล และเป็นเจ้าของทะเลเช่นกัน

“ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าสาเหตุของใบเหลืองเพราะมีแรงงานไม่ถูกกฎหมาย แต่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของกรมประมงที่ต้องอธิบายว่าทำไมเรือเหล่านี้ถึงผิดกฎหมาย ซึ่งมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าทะเลไทยไม่ควรมีเรือพวกนี้อยู่ หากสิ่งที่เราสู้กันมากลับถูกปลดล็อคง่ายๆ คงเป็นปัญหาแน่ การส่งออกในปัจจุบันมีความไม่โปร่งใสในการได้มา เช่น การประมงที่ผิดกฎหมาย หรือการขโมยมา อันที่จริงแล้วปัญหาเป็นเรื่องของการจัดการประมงในระยะยาว ไม่ใช่ได้มาแบบทางลัดแก้ปัญหาในระยะสั้น ประมงยังอยู่กับเราไปอีกยาวนาน เป็นเรื่องของโจทย์สำหรับผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง” ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการการจัดการทรัพยากรประมงชายฝั่ง มูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าววิเคราะห์

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...132015_078.jpg
คุณอัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

คุณอัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวสรุปว่า

“ทางออกในการจัดการประมงไทยเราสามารถศึกษาจากตัวอย่างของประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้ใบเขียวมาหลังจากการถูกเตือน ซึ่งมีหัวใจหลักคือ การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน ให้น้ำหนักกับประมงพื้นบ้านเท่ากับประมงพาณิชย์ คำนึงถึงทรัพยากรที่จะสูญเสียไป พร้อมกับกฎหมายใหม่ที่ใช้ได้จริง ไม่นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและพาณิชย์ หรือจะเป็นประเทศอินโดนีเซียที่เอาจริงกับการวางระบบการเฝ้าระวังการประมงผิดกฎหมาย ดังที่เคยมีเหตุการณ์การจมเรืออวนลากของไทยในน่านน้ำอินโดนีเซีย รัฐบาลไทยควรหันมาให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้าน การปกป้องทรัพยากรประมงชายฝั่ง กระจายอำนาจ ดังที่บ้านเราก็มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าทำได้จริง เช่น ชุมชนคั่นกระไดกับการสร้างกติกาชุมชน”

ทะเลไทยคือสมบัติของชาวไทยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมการประมงของบริษัทใด ขณะที่ภาครัฐยังไม่ได้ดำเนินการนิรโทษกรรมเรืออวนลากเพื่อเร่งปลดล็อคใบเหลืองอียู ผู้บริโภคอย่างเราทุกคนมีพลังในการผลักดันให้รัฐเลือกกำหนดอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทะเลไทย ยุติการสนับสนุนเรือประมงแบบทำลายล้างที่กอบโกยผลประโยชน์จากทะเลเพื่อรายได้ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของอุตสาหกรรมประมง หันมาบังคับใช้กฎหมายประมงใหม่ให้มีประสิทธิภาพ ยึดถือประโยชน์ของประชาชน ชาวประมงพื้นบ้าน และความยั่งยืนทางสิงแวดล้อมเป็นที่ตั้ง เพื่อทะเลอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับชาวไทย และทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน


สายชล 21-07-2015 15:32

greennewstv
16-05-2015

ส่องเพื่อนบ้านอาเซียน จัดการประมงอย่างไรจึงรอดพ้นใบเหลือง EU

ตัวอย่างจากอินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ รอดพ้นใบเหลือง EU ด้วยหลักการมีส่วนร่วมของชุมชน และเด็ดขาดกับประมงผิดกฎหมาย ขณะที่ภาคประชาสังคมชี้ประเทศไทยยังเดินหน้าแก้ใบเหลืองผิดทาง

http://www.greennewstv.com/wp-conten...9173805816.jpg
ภาพจาก dailymail.co.uk

ประเทศไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ล้วนเป็นประเทศที่ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงได้ใบเหลืองกรณีการประมงจากคณะกรรมการยุโรป (EU) ซึ่งสิ่งที่ 3 ประเทศทำเหมือนกันคือ คลอดกฎหมายประมงฉบับใหม่ออกมา

ผลจากกฎหมายใหม่ทำให้ประเทศอินโดนีเซียกลายเป็นตัวอย่างความเด็ดขาดของการบังคับใช้ สิ่งที่ประเทศนี้ทำคือเมื่อตรวจพบการจับปลาแบบผิดกฏหมายในน่านน้ำของตน ทางการจะยึดเรือทันที จากนั้นมีการตัดสินโดยศาลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งระเบิดจมเรือเหล่านั้นสู่ก้นทะเล และท้ายที่สุดอินโดนีเซียไม่เคยได้รับใบเหลืองจาก EU เลย

“อินโดนีเซียทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มันร้ายแรง และแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหา เพราะอย่างนี้จึงไม่ได้โดนใบเหลืองเลย” อัญชลี พิพัฒนาวัฒนากุล ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุททรกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กล่าว

ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ใช้เวลา 11 เดือน ในการปลดล็อคใบเหลือง ที่ EU มอบให้ตั้งแต่กลางปี 2557 “อัญชลี พิพัฒนาวัฒนากุล” ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทรกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นว่าสิ่งสำคัญคือการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งรัฐบาลของฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้านไม่ต่างกับตัวเลขการส่งออกของประมงพาณิชย์ เห็นได้จากเมื่อประมงพื้นบ้านรวมตัวกันเสนอรายชื่อเครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง ภาครัฐก็รับฟังและรีบออกมาตรการเพื่อมาจัดการกับประมงเหล่านั้น หรือให้ชาวประมงในชุมชนร่วมตรวจการณ์กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเฝ้าระวังเรือประมงผิดกฎหมาย

http://www.greennewstv.com/wp-conten...015/05/p06.jpg
เวทีเสวนา “ใบเหลืองอียู : ชะตากรรมทะเลไทยในอุ้งมือรัฐและอุตสาหกรรมประมง”

ส่วนสถานการณ์ของไทยภายหลัง EU ตัดสินใจให้ใบเหลืองด้านประมงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้พระราชบัญญัติการประมงใหม่ของไทยเปิดช่องให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น โดยสามารถรวมกลุ่มประมงพื้นบ้านและมีโอกาสส่งตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมการของจังหวัด ซึ่งมีสิทธิ์ผลักดันนโยบายได้ แต่ “วิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี” ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเห็นว่าโอกาสนี้จะเกิดขึ้นสำหรับชุมชนที่ตื่นตัวเท่านั้น ซ้ำการตัดสินใจที่แท้จริงยังคงอยู่ในมือของฝ่ายบริหาร

“สมมติว่ากรรมการจังหวัดมีมติร่วมกันทั้งจังหวัดว่าประมงชนิดนี้จังหวัดตนถือว่าเป็นประมงแบบผิดกฎหมาย แต่ถ้ารัฐมนตรีไม่อนุญาตก็ประกาศใช้ไม่ได้ เพราะอำนาจในกฎหมายยังคงเป็นของฝ่ายการเมือง หรืออยู่ในมือคนเดียวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์”

สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือการจัดการกับประมงผิดกฎหมาย โดยเฉพาะประมงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่เมื่อฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการใช้เครื่องมือผิดประเภท หรือเข้ามาทำประมงในเขตหวงห้าม ยังคงระบุโทษไว้เพียงการปรับเท่านั้น

“กฎหมายใหม่ถ้าจะปรับให้ถาม 3 คน อัยการ หัวหน้าตำรวจ และประมงจังหวัด ผมเป็นอวนลากผมจ่าย 3 คนเลยคราวนี้ เพราะสิ่งที่ผมกลัวคือการริบเรือ ผมไม่กลัวค่าปรับ ซ้ำทำผิดแล้วไม่ต้องส่งฟ้องศาลแต่เปรียบเทียบปรับได้เลย ผมก็จ่ายค่าปรับตอนเช้าก็ออกเรือเหมือนเดิม” วิโชคศักดิ์อธิบายถึงช่องโหว่ขนาดใหญ่ของกฏหมาย

ทำให้ข้อสรุปจากเวทีจึงเห็นตรงกันว่า มาตรการของไทยออกมาอย่างรีบร้อนเกินไป ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่อาจจะลวง EU ได้สักพัก แต่เมื่อมองไกลไปในระยะยาว ยังไม่มีข้อใดที่สามารถแก้ไขปัญหาประมงได้อย่างแท้จริง


สายชล 21-07-2015 15:50

ไทยรัฐ
20-05-2015

อียูทำโฆษณาต้านสินค้าประมงไทย

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...zOZmTDib7G.jpg

นายธวัชชัย เดชาเชษฐ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา องค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ในสหภาพยุโรป (อียู) ได้สร้างโฆษณาเรื่องประมงไทย รณรงค์ให้ผู้บริโภคในอียูเกิดความรังเกียจ และเลิก หรือเลี่ยงการบริโภคสินค้าประมงจากประเทศไทย ซึ่งหากเกิด กระแสต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสการต่อต้านสินค้าไทยจะเป็นตัวผลักดันการพิจารณาใบเหลือง กรณีการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม (ไอยูยู) ให้เป็นใบแดงได้ และเมื่อนั้นสินค้าประมงไทยก็จะถูกอียูห้ามนำเข้า กระทบและซ้ำเติมการส่งออกของไทย “ขณะนี้คณะผู้แทนไทยที่ดับบลิวทีโอ และบริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อชี้แจงความคืบหน้าการแก้ปัญหาไอยูยูของไทย ในประเด็นที่อียูตั้งข้อสงสัยว่าไทยเอาเปรียบคู่ค้า โดยใช้แรงงานผิดกฎหมาย เพื่อให้ต้นทุนการค้าต่ำกว่าคู่แข่ง หากผลการตรวจสอบออกมาว่าไทยไม่ได้เอาเปรียบคู่ค้า ไม่ได้ทำการค้าผิดกฎหมาย อียูก็จะประกาศยกเลิกใบเหลือง เหมือนกรณีเกาหลีและฟิลิปปินส์ ขณะนี้รัฐบาลไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อปรับปรุงให้การทำประมงไทยได้มาตรฐานสากล หากแก้ปัญหาได้ ภาพพจน์สินค้าประมงไทยจะดีขึ้น”

นายผณิชศวร ชำนาญเวช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ที่ปรึกษานายก กล่าวว่า ไทยต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เป็นไปได้อยากให้นายกรัฐมนตรีประกาศห้ามส่งออกสินค้าประมง 2 ปี เพื่อปรับอุตสาหกรรมทั้งระบบจนกว่าอียูจะให้การยอมรับ.




เดลินิวส์
21-05-2015

อินโดนีเซียจมเรือประมงต่างชาติ

http://www.dailynews.co.th/images/1056672?s=750x500

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตาประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่21พ.ค.ว่าทางการอินโดนีเซียได้ตัดสินใจจมเรือประมงต่างชาติทิ้งจำนวน41ลำเพื่อเป็นสัญญาณเตือนเรื่องการลักลอบเข้ามาจับปลาโดยผิดกฎหมายในเขตน่านน้ำของอินโดนีเซีย

เรือประมงต่างชาติมาจากหลายประเทศด้วยกันถูกระเบิดทิ้งที่ท่าเรือหลายแห่งทั่วอินโดนีเซียซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแหล่งหาปลาที่ดีที่สุดในโลกด้วย

ส่วนโฆษกกองทัพเรืออินโดนีเซียแถลงว่า เรือประมง 35ลำถูกระเบิดทิ้งด้วยกองทัพเรืออินโดนีเซียและอีก 6 ลำนั้นทางตำรวจน้ำอินโดนีเซียเป็นผู้ดำเนินการ

นางซูซีปุดจิอาสตูติ รัฐมนตรีประมงของอินโดนีเซียกล่าวว่าอินโดนีเซียได้จมเรือประมงต่างชาติทิ้งไปหลายลำแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเมื่อปีที่แล้วนำโดยนายโจโค วิโดโดประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซีย“


สายชล 21-07-2015 15:58

ผู้จัดการ
25-05-2015


ดูกันชัดๆ “เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรอยู่” ปล่อยเรืออวนลากคู่ล้างผลาญสบายใจในเขตอุทยานแห่งชาติ

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...006095601.JPEG

เรืออวนลากลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (ภาพ : บรรจง นะแส)

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - แฉภาพเรืออวนลากคู่ออกจับสัตว์น้ำในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ชี้เป็นหลักฐานยืนยันชัดว่า กฎหมายประมง-อุทยาน ไม่สามารถปกป้องทรัพยากรของประเทศชาติ หรือเอาผิดต่อผู้ฝ่าฝืนได้ เชื่อต่อไปสัตว์น้ำถูกจับส่งโรงงานผลิตอาหารสัตว์หมดทะเล ส่อเกิดวิกฤตโภชนาการในอนาคต ซ้ำธุรกิจประมงไทยอาจไม่รอดถูกใบแดงจากกลุ่มอียู

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...006095602.JPEG

วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ บรรจง นะแส พร้อมเขียนข้อความว่า

“อวนลากคู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตาวันนี้เจอหลายคู่ ท่านอธิบดีกรมอุทยานคงนอนหลับสบายดีนะครับ”

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...006095603.JPEG
เรืออวนลากลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา (ภาพ : บรรจง นะแส)


โดยโพสต์ดังกล่าวขณะนี้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามากดถูกใจกว่า 976 คน และมีการแชร์ต่อไปยังหน้าเพจอื่นๆ อีกกว่า 230 ครั้ง และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ตามมาหลายความคิดเห็น

นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ว่า ถ่ายภาพเรืออวนลากคู่กำลังลักลอบจับปลาในเขตอุทยานแห่งชาติได้เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะลงพื้นที่พบปะเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านใน จ.สตูล ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นหลักฐานยืนยันที่ตอกย้ำให้สังคมได้รับรู้ว่า การปล่อยปละละเลยให้การทำประมงแบบผิดกฎหมายยังคงมีอยู่ในประเทศไทย แม้ภาครัฐจะอ้างว่าขณะนี้กำลังเข้มงวดกวดขันในเรื่องนี้หลังจากถูกใบเหลืองจากกลุ่มประเทศอียู

http://mpics.manager.co.th/pics/Imag...006095604.JPEG

“ขณะนี้ไทยยังคงติดโทษใบเหลืองจากอียู ทำให้สินค้าประมงส่งออกมีปัญหา รัฐบาลแก้ปัญหานี้โดยไม่ฟังเสียงจากกลุ่มพี่น้องชาวประมงพื้นบ้านซึ่งมีประสบการณ์รับรู้ปัญหาในวงการประมงไทยมาโดยตลอด ภาพที่เห็นแสดงให้เรารู้ว่า กฎหมายประมง กฎหมายอุทยานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประกอบกับจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถปกป้องรักษาทรัพยากรในท้องทะเลของประเทศชาติได้ ถ้าเป็นแบบนี้ปัญหานี้ก็จะยังไม่มีทางหมดไป”

นายบรรจง กล่าวว่า การลักลอบจับสัตว์น้ำของเรืออวนลาก อวนรุน ในเขตหวงห้ามเพื่อลักลอบจับสัตว์น้ำทุกขนาดส่งขายให้แก่โรงงานปลาป่นยังคงเกิดขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง ยังเป็นต่อไปเช่นนี้ต่อไปทรัพยากรในทะเลจะค่อยๆ หมดไป คนไทยจะไม่ได้กินอาหารโปรตีนดีๆ จากท้องทะเลอีก เพราะสัตว์ทะเลวัยอ่อนถูกกวาดต้อนเข้าโรงงานปลาป่นเพื่อนำไปขายเป็นอาหารสัตว์ทั้งหมด อนาคตลูกหลานไทยจะประสบปัญหาด้านโภชนาการอาหารอย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ก็อาจได้รับใบแดงจากกลุ่มสหภาพยุโรปในที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องมือประมงแบบอวนลาก อวนรุน เป็นเครื่องมือประมงที่สามารถจับสัตว์น้ำได้ทุกขนาด ถือเป็นเครื่องมือประมงประเภททำลายล้างชนิดหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียได้ได้ออกกฎหมายยกเลิกการใช้เครื่องมือประเภทนี้แล้วเมื่อต้นปี 2558 ที่ผ่านมา ขณะที่ในประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายห้ามใช้เครื่องมือชนิดนี้ และยังคงมีเรืออวนลากจำนวนมากที่ลักลอบจับปลาในเขตหวงห้ามซึ่งเป็นปัฐหาที่เกิดขึ้นมานาน และยังไม่สามารถจัดการแก้ไขได้

สายชล 21-07-2015 16:06

มติชน
29-05-2015


http://www.matichon.co.th/online/201...432781621l.jpg

นายมนูญ ตันติกุล ประมงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมประมงได้ออกประกาศปิดอ่าวไทยตอนใน หรืออ่าวไทยรูปตัว "ก" ครอบคลุมทะเลบางส่วนในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-31 กรกฎาคมนี้ เพื่ออนุรักษ์แหล่งอาหารและแหล่งเลี้ยงตัวของสัตว์น้ำหลายชนิด ให้มีความอุดมสมบูรณ์ สามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยตามประกาศดังกล่าวห้ามการใช้เครื่องมือประมงต้องห้าม เช่น เครื่องมืออวนล้อม อวนลาก อวนรุนที่ใช้ประกอบกับเรือกล แต่ไม่มีผลถึงการทำประมงที่ใช้เครื่องมือประมงที่ได้รับการยกเว้น เช่น เครื่องมืออวนติดตาปลาทู ที่มีขนาดช่องตาไม่ต่ำกว่า 3.8 เซนติเมตร ความยาวอวนไม่เกิน 2,000 เมตร

"ขอให้ชาวประมงปฏิบัติตามกฎระเบียบ เพราะการวิจัยพบว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน ปลาทูขนาดเล็กยังไม่สามารถวางไข่ได้ หากปล่อยปลาทูเจริญเติบโตต่อไปอีก 2 เดือนจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น และยังทำให้สัตว์น้ำขนาดเล็กสามารถเจริญเติบโตและแพร่ขยายพันธุ์ ช่วยฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำได้อย่างมหาศาลด้วย"

สายชล 21-07-2015 16:07

GREENPEACE
30-05-2015

นิรโทษกรรมเรืออวนลากเถื่อนไม่ได้ช่วยปลดล็อกใบเหลืองอียู แต่กลับซ้ำเติมวิกฤตทะเลไทย

รัฐบาลกำลังปลดล็อคใบเหลืองอียูเพื่อใคร? เป็นประเด็นที่สังคมกำลังจับตามอง พร้อมกับมีข้อกังขาที่เกิดขึ้นถึงมาตรการแก้ไขวิกฤตปัญหาทะเลไทยอย่างไร ให้ยั่งยืนและเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมธิการยุโรป (European Commission) แจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการ กรณีที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการเพียงพอในการต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม(IUU Fishing) โดยให้เวลา 6 เดือนในการดำเนินตามมาตรการต่างๆ เพื่อถอดถอนใบเหลือง

แต่ในมาตรการการจัดการปัญหาภายใต้แผนระดับชาตินั้น กรมประมงมีแผนการ “นิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน” จำนวน 3,199 ลำโดยจะออกอาชญาบัตรเครื่องมือประมงอวนลากให้กับเรือประมงอวนลากที่ผิดกฏหมายเหล่านี้

งานวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนว่าการทำประมงอวนลากในประเทศไทยส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว รวมทั้งยังทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของทรัพยากรสัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นแนวปะการัง หญ้าทะเล ระบบนิเวศพื้นท้องทะเล เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำลายเครื่องมือประมงของชาวประมงพื้นบ้านในทะเลเพื่อดักจับปลาให้เสียหายอยู่เสมอ ซึ่งกรมประมงก็ตระหนักในปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี

“ประมงอวนลากได้ทำร้ายทะเลไทยและชุมชนประมงชายฝั่งอย่างรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน การแก้ปัญหา IUU Fishing ต้องไม่ผลักสถานการณ์ประมงไทยให้เลวร้ายไปกว่านี้ ด้วยการนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อน ในทางกลับกันรัฐควรจะพลิกวิกฤตที่ EU ให้ใบเหลืองประมงไทยเป็นโอกาสต่อมาตรการกำจัดเครื่องมือประมงทำลายล้างเหล่านี้ให้หมดไป” ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน-สัตว์น้ำ มูลนิธิสายใยแผ่นดินกล่าว

ปัญหาวิกฤตทะเลไทยที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่อุตสาหกรรมการประมงของไทย แต่ยังส่งผลต่อชาวประมงพื้นบ้านที่เป็นผู้ทำประมงอย่างยั่งยืนและอนุรักษ์ท้องทะเลไทย รวมถึงต่อผู้บริโภคอาหารทะเลที่พึ่งพาความมั่นคงทางอาหารของไทย

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...282015_116.jpg

ในวันที่ 28-29 พฤษภาคม 2558 พี่น้องชาวประมงพื้นบ้านจาก สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย ชาวประมงพื้นบ้านจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยอง สมุทรสงคราม และสงขลาและเครือข่ายภาคประชาสังคมรวมกว่า 80 คน ได้รวมตัวกันหน้าศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย เพื่อยื่นจดหมายต่อนายกรัฐมนตรี พร้อมเรียกร้องมาตรการการจัดการปัญหาใบเหลืองประมง ในแผนการจัดการปัญหาประมงระดับชาติซึ่งยังไม่นำไปสู่การจัดการปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม

ป้ายข้อความ “ใบเหลืองอียูปลดล็อคเพื่อใคร” ถูกชูขึ้นเบื้องหน้าศูนย์บัญชาการการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย พร้อมกับความหวังที่พี่น้องชาวประมงพื้นบ้าน และภาคประชาสังคมฝากไว้ให้กับภาครัฐให้หยุดการนิรโทษกรรมเรือประมงผิดกฎหมายและทำลายล้าง ซึ่งรวมถึง เรืออวนลาก อวนรุน อวนล้อมปั่นไฟปลากะตักกลางคืน และอวนล้อมปลากระตักกลางวัน

นอกจากจะตอกย้ำให้ภาครัฐรับรู้ถึงวิกฤตทะเลที่เกิดจากการเครื่องมือประมงแบบทำลายล้างแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ภาคประชาสังคมร่วมกันเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการคือ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนประมงพื้นบ้าน ชาวประมงชายฝั่ง และภาคประชาชนอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการร่างแผนระดับชาติในการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (NPOA-IUU) รวมถึงการร่างกฏหมายลูกที่จะมารองรับกฏหมายประมง พ.ศ.2558

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...292015_109.jpg

“EU Yellow Card. People Before Profit” คืออีกหนึ่งข้อความที่ส่งถึงคณะกรรมการอียู ด้วยข้อกังวลว่า ภาครัฐจะคำนึงถึงเฉพาะผลประโยชน์ทางธุรกิจของอุตสาหกรรมการประมงที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่กลุ่ม โดยที่มองข้ามวิกฤตปัญหาทางทรัพยากรที่เกิดขึ้น และละเลยผลประโยชน์ของประชาชนในระยะยาว เพราะผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นไม่ใช่มีแค่อุตสาหกรรม แต่มีชาวประมงพื้นบ้านที่อนุรักษ์และฟื้นฟู รวมถึงผู้บริโภคที่มีส่วนในการกินอาหารทะเลที่เป็นธรรม และเป็นเจ้าของทะเลด้วยเช่นกัน

“การใช้ใบเหลืองอียูเป็นข้ออ้างในการนิรโทษกรรมเรือประมงอวนลากเถื่อนของกรมประมงนี้ถือเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของสหภาพยุโรปในการออกมาตรการ IUU Fishing เพื่อสนับสนุนให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน และยังจะส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนในการบริหารจัดการประมงและทรัพยากรทางทะเลในประเทศไทยอย่างมหาศาล ตลอดจนสร้างความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรประมงของประชาชนในประเทศเป็นวงกว้างอีกด้วย” บรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย กล่าว

อนาคตของทะเลไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกำหนดมาตรการครั้งนี้ของรัฐเท่านั้น แต่เราชาวไทยทุกคนสามารถร่วมกันผลักดันทางออกที่ยั่งยืนของทะเลไทยได้ ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคและเป็นเจ้าของทะเล เพราะทะเลไทยไม่ใช่สมบัติของอุตสาหกรรมการประมงบริษัทใดที่มุ่งกอบโกยผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว การปกป้องทะเลไทยด้วยการหยุดนิรโทษกรรมเรือประมงแบบทำลายล้างของภาครัฐในครั้งนี้ จะช่วยให้ทะเลไทยฟื้นตัว และสามารถผลิตอาหารทะเลให้เราและลูกหลานได้มีกินมีใช้กันไปอีกนาน


สายชล 21-07-2015 16:09

greennewstv
30-05-2015

กลุ่มประมงพื้นบ้านเดินขบวนมอบปลายักษ์ให้เจ้าสัวซีพี จี้เลิกจับปลาเล็กทำปลาป่นป้อนอาหารสัตว์

http://www.greennewstv.com/wp-conten...9-1024x768.jpg

เครือข่ายประมงพื้นบ้านเดินขบวนไปเยี่ยมตึก ซี.พี.ทาวเวอร์ ถ.สีลมหิ้วปลาตัวใหญ่มาให้เจ้าสัวธนินท์ เรียกร้องให้หยุดสนับสนุนการประมงทำลายล้าง

วันนี้ (29 พ.ค.) เวลา 12.00 น. นายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย และนายสะมะแอ เจะมูดอ นายกสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเครือข่ายชาวประมงพื้นบ้านกว่า 80 ชีวิต เข้าพบคณะผู้แทนจาก บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ที่อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ ถนนสีลม เพื่อนำปลาขนาดใหญ่หลายตัวมามอบให้แก่ “นายธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) พร้อมจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ทางซีพีเลิกสนับสนุนการทำประมงแบบทำลายล้าง

http://www.greennewstv.com/wp-conten...9-1024x768.jpg

ซึ่งการนำปลาขนาดใหญ่มามอบให้กับนายธนินท์ในครั้งนี้ เพื่อให้ได้ตระหนักว่าปลาที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สูงเช่นนี้ คือผลิตผลที่เกิดจากท้องทะเลไทย และกำลังจะหายไปหากยังมีการทำประมงแบบทำลายล้าง ที่ไม่มีโอกาสให้สัตว์ทะเลเหล่านี้ได้เติบโต แต่ต้องมาจบชีวิตเพียงแค่ปลาป่นและกลายเป็นอาหารสัตว์

“นายสะมะแอ เจะมูดอ” เปิดเผยว่า การเดินทางมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะเรียนให้ท่านเจ้าสัวได้ทราบว่า ชาวประมงพื้นบ้านได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบอาชีพรุนแรงขึ้นทุกวัน หลายชุมชนถึงขั้นล่มสลายในการทำอาชีพประมง ต้องอพยพถิ่นฐานไปขายแรงงานที่อื่น เนื่องมาจากทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลลดลงอย่างรุนแรง จากการทำประมงแบบทำลายล้างด้วยเครื่องมือ 3 ชนิดที่เรียกว่า อวนลาก อวนรุน และเรือปั่นไฟ

http://www.greennewstv.com/wp-conten...9-1024x768.jpg

ซึ่ง “ธุรกิจปลาป่น” ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ มีส่วนสนับสนุนให้การทำประมงแบบทำลายล้างดำรงอยู่ได้ เพราะเหล่ากุ้ง หอย ปู ปลา ตัวเล็กตัวน้อยที่รอวันโตเหล่านี้ จะถูกกวาดจับด้วยเครื่องมือประมงดังกล่าว กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อส่งเข้าโรงงานปลาป่น และผู้ที่ใช้ปลาป่นในการประกอบธุรกิจมากที่สุด ก็คือบริษัทต่างๆในเครือเจริญโภคภัณฑ์นั่นเอง

นอกจากนี้สิ่งที่ทางกลุ่มรับรู้คือ ธุรกิจในเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นใหญ่โต มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย และมีอิทธิพลเหนือระบบราชการและการเมืองภายในประเทศ รวมถึงอำนาจเหนือตลาดในธุรกิจต่างๆแทบทุกชนิดที่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ “ธุรกิจปลาป่น” นั้นมีส่วนทำร้ายอาชีพการทำประมงชายฝั่งอย่างแท้จริง

http://www.greennewstv.com/wp-conten...1-1024x768.jpg

ในวันนี้จึงอยากขอร้อง ขอความเห็นใจ และขอความร่วมมือจากบริษัทในเครือ CP หยุดการสนับสนุนการทำประมงแบบทำลายล้าง ด้วยการยุติการรับซื้อวัตถุดิบหรืออื่นใดจากการทำประมงรูปแบบดังกล่าว ซึ่งทางกลุ่มเชื่อว่าหากทางบริษัทรับรู้เหตุผลและสามารถทำได้ จะมีส่วนช่วยให้การทำลายล้างทรัพยากรในทะเลลดลง และช่วยให้การประกอบอาชีพประมงชายฝั่งมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้าน “นายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์” ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ CPF กล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทฯไม่มีโรงงานผลิตปลาป่น แต่ได้รับซื้อมาอย่างถูกต้องตามหลักการของ IUU Fishing และมีแรงงานที่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างไรทาง CP ก็รับปากว่าจะดำเนินการตามข้อเรียกร้องของทางกลุ่มฯอย่างแน่นอน


สายชล 21-07-2015 16:52

greennewstv
03-06-2015

แนะคนกรุงกินปลาแบบช่วยรักษาทะเล

http://www.greennewstv.com/wp-conten.../2015/06/1.jpg

อาหารทะเลตามท้องตลาดมาจากประมงแบบทำลายล้าง ตัดวงจรลูกปลา สูญเสียแนวปะการัง – แนะผู้บริโภคทำความรู้จักสัตว์น้ำอินทรีย์ ยื้อชีวิตทะเลไทย ต่อลมหายใจประมงพื้นบ้าน

ทีมข่าวสำนักข่าวสิ่งแวดล้อมมาเยือนแผงขายอาหารทะเลสด ในพื้นที่กลางกรุงย่านเอกมัย ที่มีชื่อหน้าร้านว่า “โครงการประมงพื้นบ้าน สัตว์น้ำอินทรีย์” สินค้าในวันนี้มีตั้งแต่ปลาทรายจากอวนลอย ปลาเก๋าที่ตกได้จากเบ็ดชาวประมงน่านน้ำทะเลกระบี่ ปลาครูดคราดสัตว์น้ำท้องถิ่นฝั่งอันดามันที่ชื่ออาจไม่คุ้นหู รวมทั้งปลานิลน้ำกร่อยที่ตกได้จากทะเลสาบสงขลา ดูเผิน ๆ แผงขายปลานี้เหมือนทุกที่ทั่วไป แต่สัตว์น้ำที่นำมาจำหน่ายกลับแตกต่างจากท้องตลาดที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าถึง

http://www.greennewstv.com/wp-conten...99360968_n.jpg

อาหารทะเลสดตามท้องตลาดส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดมาจากประมงพาณิชย์ ซึ่งนิยมใช้เครื่องมือแบบทำลายล้าง เช่น อวนลาก อวนรุน ที่วิธีการจะกวาดต้อนสัตว์น้ำมาทั้งหมด นอกจากได้สัตว์น้ำขนาดที่ต้องการแล้วยังจับสัตว์เศรษฐกิจวัยอ่อน สัตว์สงวน และปะการังหรือหญ้าทะเลขึ้นมาด้วย สัตว์น้ำที่สภาพดีจะถูกแยกออกไปขายยังท้องตลาด ส่วนปลาที่สภาพไม่ดี ปลาตัวเล็กตัวน้อย ที่เรียกว่าปลาเป็ดจะถูกส่งเข้าโรงงานอาหารสัตว์ทำเป็นปลาป่น ทั้งนี้สัตว์น้ำทะเลที่ถูกอัดอยู่ในถุงอวนเป็นเวลานานตั้งแต่ทะเลถึงชายฝั่งและการขนส่งมาถึงตลาด มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการใช้สารเคมีเพื่อรักษาสภาพความสดให้ยังคงขายได้ราคา

กลายเป็นรูปแบบการประมงแบบไม่รับผิดชอบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่าผู้บริโภคก็ยังคงเลือกซื้อเลือกกินสัตว์น้ำจากการทำประมงรูปแบบนี้

http://www.greennewstv.com/wp-conten...Untitled-1.jpg
ภาพจากคลิป Where does our SEAFOOD come from?? : https://www.youtube.com/watch?v=JB7p2msCcF4

ส่วนสินค้าจากโครงการประมงพื้นบ้านสัตว์น้ำอินทรีย์มีกระบวนการที่แตกต่างกัน โดยมูลนิธิสายใยแผ่นดินเป็นผู้ริเริ่มโครงการ ภายใต้การสนับสนุนงบของสหภาพยุโรป ที่นำสินค้าจากประมงพื้นบ้านที่มีความรับผิดชอบ และได้การรองรับจากสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับไปถึงแหล่งการทำประมงว่าวิธีการจับและผู้จับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือไม่ รวมทั้งสัตว์ที่ได้จะต้องมีการดูแลคุณภาพให้สดโดยไม่ปนเปื้อนสารเคมีทุกขั้นตอน

“ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ” ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน – สัตว์น้ำอินทรีย์ ระบุว่าสินค้าที่นำมาจำหน่วยมาจากกลุ่มประมงพื้นบ้านที่ดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ในพื้นที่อยู่แล้ว ได้แก่ 1.กลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2. แพปลาชุมชน ต.แหลมผักเบี้ย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 3. แพปลาชุมชนบ้านหินร่วม ต.คลองเคียน อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา 4. แพปลาชุมชนบ้านช่องฟืน ต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง 5. แพปลาชุมชนบ้านคุขุด อ.สทิงพระ จ.สงขลา และกำลังขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม

“ประมงพื้นบ้านออกเรือเช้ามาเย็นกลับ หรือไปแค่วันสองวัน เขาใช้เครื่องมือมีลักษณะคัดเลือกจับสัตว์น้ำ เช่น อวนลอย ลอบ หรือไซ ซึ่งระบุชัดเจนว่าจะได้สัตว์น้ำที่มีชนิดและขนาดตามที่ต้องการ ก่อนจะเอาขึ้นมาขาย”

สินค้าคุณภาพเหล่านี้แต่เดิมจะมีพ่อค้าคนกลางมาซื้อถึงหมู่บ้านก่อนนำไปขายยังต่างประเทศหรือร้านอาคารในโรงแรม อีกส่วนถูกนำไปขายรวมกับปลาที่ได้จากเรือพาณิชย์ การเปิดโอกาสให้สินค้าจากประมงพื้นบ้านมาถึงมือผู้บริโภคโดยตรงจึงทำให้ชาวประมงมีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนคนซื้อก็ได้เข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ ปราศจากสารเคมี และไม่ส่งเสริมการทำลายทรัพยากรในทะเล

“ปลาแป้น จากที่เคยไม่มีมูลค่าเลย มักถูกนำไปทำเป็นอาหารเลี้ยงปลาในกระชัง แต่เมื่อส่งเสริมให้ชุมชนแปรรูป จากกิโลกรัมละไม่กี่บาทก็มีมูลค่าได้ แล้วเราก็จะแนะนำลูกค้าให้รับประทานปลาแป้นที่มีแคลเซียม ซึ่งดีกว่าการทานปลาสายไหมหรือปลาข้าวสารที่เป็นลูกปลากระตักซึ่งไม่ควรรับประทาน” ผู้จัดการโครงการ กล่าว

http://www.greennewstv.com/wp-conten...Untitled-1.jpg
ดร.สุภาภรณ์ อนุชิราชีวะ ผู้จัดการโครงการประมงพื้นบ้าน – สัตว์น้ำอินทรีย์

สินค้าในร้านมีทั้งปลากะพงหิน (ครูดคราด) ปลาเก๋า ปลากะพงแดง เนื้อกะพงขาวแล่ เนื้อปลาน้ำดอกไม้ ปลาอินทรีย์แว่น ปลากุเราแว่น กุ้งแชบ๊วยหลายขนาด กุ้งแห้ง เนื้อปลาสีเสียดแล่ ปลาขี้เก๊ะ หรือเปลี่ยน ไปตามฤดูกาล ทั้งนี้จะคัดสัตว์น้ำท้องถิ่นรสชาติดีที่ไม่มีขายในกรุงเทพ ฯ มาแนะนำให้เลือกซื้อด้วย โดยสามารถสั่งซื้ออนไลน์ หรือเดินทางมาซื้อถึงหน้าแผง ผู้สนใจติดตามรายละเอียดได้ทางเพจเฟสบุ๊ค @เครือข่ายรักษ์ปลา-รักษ์ทะเล

ซึ่งนอกจากสินค้าอาหารทะเลที่นำมาจำหน่าย ยังจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคลงพื้นที่สัมผัสการทำประมงพื้นบ้านด้วยตาตนเอง รวมทั้งอีกหนึ่งกิจกรรม “กินปลา-รักษาทะเล” ในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ณ ครัวใส่ใจ ซ.วิภาวดี 22 ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่จะทำให้คนกรุงได้รู้จักการเลือกบริโภคบนแนวทางรับผิดชอบต่อธรรมชาติให้มากขึ้น


สายชล 21-07-2015 16:55

ข่าวสด
04-06-2015

หนุ่มสวีเดนโชว์ตกปลายักษ์ 2 เมตร หนักร้อยกว่าโล ขายไม่ต่ำกว่า 3 แสนบาท

http://www.khaosod.co.th/online/2015...433323742l.jpg

อีริค แอ็กซ์เนอร์ ชาวสวีเดนวัน 24 ปี ออกทริปตกปลาพร้อมเพื่อนอีก 2 คน คือโจนาธาน แจนส์สัน และมาร์ติน แบมเบิร์ก ที่เกาะล็อฟเท็น ประเทศนอร์เวย์ และอีริคก็ได้พบกับเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อเขาสามารถตกปลาแฮริบัตขนาดยักษ์ไว้ได้ โดยอีริคต้องลากดึงปลาแฮริบัตตัวนี้อยู่นาน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดึงปลาตัวนี้ขึ้นมาจากน้ำ

เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในน้ำที่หนาวจัด เพื่อถ่ายรูปตัวเองกับปลาแฮริบัตแทนก่อนจะปล่อยปลายักษ์คืนสู่ธรรมชาติอีกครั้ง

อีริคเปิดเผยว่า "ปลาที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เอาขึ้นเรือต้องพังแน่ เราเลยเอามันไว้นอกเรือ"

"ผมไม่อยากทำให้มันบาดเจ็บ เลยกระโดดลงน้ำไปถ่ายรูปคู่กับมันเท่านั้น การได้อยู่ในน้ำพร้อมๆกับปลาขนาดยักษ์เป็นประสบการณ์ที่พิเศษมากๆ หลังจากเราถ่ายรูปแล้วเราก็ปล่อยปลาคืนสู่ธรรมชาติ"

โดยปลาแฮริบัตที่อีริคจับได้ตัวนี้ มีความยาวเกือบ 2 เมตร และมีน้ำหนักกว่า 100 ก.ก. ซึ่งจากการคำนวณน้ำหนัก ปลาแฮริบัตตัวนี้จะมีเนื้อส่วนฟิเลประมาณ 250 ชิ้น ตามภัตตาคารชั้นดีจะขายจานหลักที่เป็นปลาแฮริบัตที่จานละประมาณ 25 ปอนด์ หรือราว 1,290 บาท ทำให้ปลาตัวนี้อาจมีมูลค่ารวมมากถึง 6,000 ปอนด์ หรือราว 309,700 บาท เลยทีเดียว

จากการประเมินคร่าวๆปลาแฮริบัตตัวนี้น่าจะมีอายุ 20-30 ปี ขณะที่ปลาแฮริบัตขนาดใหญ่ที่สุดที่มีผู้จับได้มีน้ำหนักมากถึง 234 ก.ก. โดยนักตกปลาชาวเยอรมัน เมื่อปี 2556


สายชล 21-07-2015 16:58

เดลินิวส์
05-06-2015


เรือไอซ์แลนด์ขนเนื้อวาฬ 1,700 ตันส่งขายญี่ปุ่น

http://www.dailynews.co.th/images/1071055?s=750x500

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ว่า กองทุนระหว่างประเทศเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ (ไอเอฟเอดับเบิลยู) เผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์การเดินเรือมารีนทราฟฟิก ระบุว่า เรือ "วินเทอร์เบย์" ของบริษัทล่าวาฬฮวาลูร์ เอชเอฟ ของไอซแลนด์ ออกเดินทางจากท่าเรือเมืองฮาร์ฟนาร์ฟยอร์ดู ทางตะวันออกของประเทศ เมื่อเวลา 17.30 น. วันพฤหัสบดี ตามเวลาประเทศไทย โดยบรรทุกเนื้อวาฬ 1,700 ตัน เพื่อขนส่งไปยังประเทศญี่ปุ่น“

แหล่งข่าวเผยว่า เรือลำดังกล่าวมีกำหนดจอดเทียบท่าระหว่างทาง 4 ครั้ง ซึ่งการเดินทางอาจไม่ราบรื่นตามแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากคาดว่าจะมีกระแสต่อต้านตลอดเส้นทาง โดยการขนส่งเมื่อปีที่แล้ว เรือขนเนื้อวาฬจอดพักระหว่างทางแค่เพียงครั้งเดียวนอกฝั่งมาดากัสการ์ ทั้งที่มีแผนจะเข้าเทียบท่าที่แอฟริกาใต้ แต่กระแสต่อต้านกดดันให้รัฐบาลต้องออกมาประกาศไม่ต้อนรับเรือดังกล่าว“

ปัจจุบัน ไอซ์แลนด์และนอร์เวย์เป็นเพียง 2 ประเทศที่ยังมีการดำเนินธุรกิจล่าวาฬอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการท้าทายต่อประกาศห้ามของคณะกรรมการการล่าวาฬระหว่างประเทศปี 2529 ขณะที่ญี่ปุ่นอาศัยช่องว่างทางกฎหมายใช้การล่าเพื่อการศึกษาวิจัยบังหน้า ทั้งที่เป็นการล่าเพื่อการพาณิชย์“

http://www.dailynews.co.th/images/1071056?s=750x500

ซิกูร์สเตนน์ มัสซัน โฆษกของไอเอฟเอดับเบิลยูประจำไอซ์แลนด์ กล่าวว่า การล่าสัตว์ที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นเป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรม ไม่มีเหตุผลและความความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องนำเนื้อวาฬมาบริโภค อีกทั้งการล่าวาฬยังไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อเศรษฐกิจและธุรกิจประมงของไอซ์แลนด์อีกด้วย“

องค์กรอนุรักษ์วาฬและโลมา (ดับเบิลยูดีซี) เผยว่า อุตสาหกรรมการล่าวาฬของไอซ์แลนด์เมื่อปี 2557 คร่าชีวิตวาฬฟินไป 137 ตัว และวาฬมิงก์อีก 24 ตัว ขณะที่ปี 2556 มีวาฬฟินถูกล่า 134 ตัว และวาฬมิงก์อีก 35 ตัว โดยความนิยมในการบริโภคเนื้อวาฬในญี่ปุ่นลดลงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขณะที่มีชาวไอซ์แลนด์เพียงบางส่วนที่ยังบริโภคเนื้อวาฬเป็นประจำ.“


สายชล 21-07-2015 17:10

ไทยรัฐ
09-06-2015

ปัญหาประมงไทยที่ควรรู้

http://www.thairath.co.th/media/EyWw...PaPi19QUr4.jpg

สมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทยเดินทางเข้ามายื่นหนังสือเรียกร้องให้ ซีพี หยุดรับซื้อปลาป่น เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุของอุตสาหกรรมประมงไทย เพราะต้นเหตุคือ การทำประมงของเรือพาณิชย์ ด้วยเครื่องมือจับปลาที่ผิดกฎหมาย ทั้งอวนลาก อวนรุน อวนล้อมปั่นไฟ ทำลายระบบนิเวศความอุดมสมบูรณ์ของทะเล เนื่องจากความไม่เข้มงวดและเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายประมงไทย

จนกระทั่งปัญหาถูกยกขึ้นมาเป็นระดับชาติ หนทางแก้ไขที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วน เริ่มจากภาครัฐที่มีการแก้ไขกฎหมายประมงไทยให้เทียบเคียงกับมาตรฐานสากล การต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย การรายงานและการควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU เพื่อแก้ปัญหาที่คณะกรรมาธิการยุโรป หรือ EU วางกรอบจำกัดเวลาในการแก้ปัญหาไว้ 6 เดือน ไม่เช่นนั้นก็จะมีผลกระทบกับสินค้าประมงไทยทั้งหมด

รัฐบาลไทยโดยกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหัวหอกในการออกมาตรการเร่งด่วน โดยการตั้งทีมเฉพาะกิจควบคุมเรือประมงที่ออกจากท่าในพื้นที่ 22 จังหวัด และออก 6 มาตรการ ในการจัดการปัญหาประมงไทย ได้แก่ การเร่งขึ้นทะเบียนเรือประมง และออกใบอนุญาตการทำประมง การควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การจัดทำระบบติดตามตำแหน่งเรือ การปรับปรุงระบบการตรวจสอบย้อนกลับ การปรับปรุง พ.ร.บ.การประมง กฎหมายลำดับรอง และ จัดทำแผนระดับชาติในการป้องกันสินค้าที่ทำผิดกฎหมายประมง

นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกประกาศในแผนแม่บทการดำเนินงานแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคประมง คือ นิรโทษกรรมเรือประมงอวน ลากเถื่อน ด้วยการให้อาชญาบัตรเรือประมงที่ใช้เครื่องมือผิดกฎหมายเปลี่ยนสภาพเป็นเรือประมงที่ถูกกฎหมายทันที 3,199 ลำ เป็นที่มาของการคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์และกลุ่มประมงขนาดเล็ก

ถือว่าเป็นการปล่อยผีอย่างไม่ถูกต้อง

ส่งผลให้กลุ่มประมงพื้นบ้านออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐพิจารณามาตรการดังกล่าวให้รอบคอบและโปร่งใส ที่จะต้องทบทวนถึงมาตรการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเล ตลอดจนวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านในระยะยาวด้วย

ในขณะที่ กฎหมายประมงไทย อยู่ระหว่างการแก้ไข ปลายเหตุของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจประมง โดยเฉพาะประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ ควรจะร่วมกันแก้ปัญหา และยึดหลักการทำงานร่วมกันระหว่าง ภาคประชาสังคมและภาครัฐ ถ่วงดุลความเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการทั้งสองกลุ่ม

ภาคเอกชน บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ ในฐานะผู้ใช้วัตถุดิบรายใหญ่ ยืนยันจะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องทุกประการ เพราะเห็นว่าการแก้ไขปัญหาประมงไม่สามารถทำได้ด้วยคนใดคนหนึ่ง แต่จะต้องจัดระบบและระเบียบ มีตัก ก็ต้องมีเติม ให้ชุมชนและสังคมสามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างยั่งยืนตลอดไป.

สายชล 21-07-2015 17:13

GREENPEACE
09-06-2015


มหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์ คือโลกที่อุดมสมบูรณ์ ..................... โดย มาร์ค เดีย หัวหน้าโครงการรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผู้คนส่วนมากใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่ได้นึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แม้ว่าในความเป็นจริง มหาสมุทคคือแหล่งผลิตออกซิเจนที่เราหายใจ ณ ขณะนี้ คำกล่าวที่ว่า “ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน” นั้น เป็นทั้งความจริงและยังเป็นเรื่องเร่งด่วน เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำบนผืนดินนั้นในที่สุดจะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทรที่สรรพชีวิตต่างพึ่งพิง

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...830_188294.jpg

ความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลกอาจมีแนวโน้มทำให้รู้สึกว่าตัวเราช่างไร้ความสำคัญ หรือเป็นเพียงคนตัวเล็กๆที่ไม่อาจทำอะไรได้ หากมีคนบอกกับคุณว่าบ้านที่คุณอาศัยร่วมกับคนอื่นกำลังโดนไฟไหม้ แน่นอนว่าคุณคงจะไม่นิ่งเฉยนั่งคุยกับเพื่อนร่วมบ้านเพื่อถกว่าใครได้รับถังน้ำดับไฟถังแรกในขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้อยู่รอบตัวคุณ แต่นั่นกำลังเกิดขึ้นในการประชุมเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศของเหล่านักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายระดับโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเราก็กำลังรอดูว่าการประชุมสำคัญที่จะมีขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ที่กรุงปารีส ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกหรือไม่


แต่ช้าก่อน…การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกี่ยวข้องอย่างไรกับความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร?

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า 1 ใน 3 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมของมนุษย์นั้นจะถูกดูดซับไว้โดยมหาสมุทร และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในน้ำ ทำให้อุณหภูมิของท้องทะเลสูงขึ้น และทำให้น้ำทะเลมีภาวะเป็นกรด ซึ่งจะมีผลไปยั้บยั้งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงจากแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นหินปูนหรือกระบวนฟอร์มตัวเพื่อการเจริญเติบโตของประการังและเป็นการสร้างเปลือกและโครงสร้างของร่างกายเพื่อความอยู่รอดของสัตว์ทะเล (calcification) แต่ประการังโชคร้ายเป็น 2 เท่า คือ นอกจากสภาพมหาสมุทรที่มีความเป็นกรดจะส่งผลต่อการสร้างโครงร่างที่เป็นเปลือกแข็งของพวกมันแล้ว ยังไปฟอกสีสาหร่ายซึ่งเจริญเติบโตอยู่ในโครงสร้างของประการังซึ่งพวกมันต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันเพื่อความอยู่รอด และอุณหภูมิของน้ำที่ร้อนจัดจะส่งผลให้ประการังเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือที่เราเรียกว่าประการังฟอกขาวและจะตายในที่สุด ทำให้ระบบห่วงโซ่อาหารในทะเลแปรปรวนทั้งระบบ

ปัญหาที่กล่าวมานี้อาจทำให้คุณหันไปให้ความสนใจในเรื่องอื่นที่คุณสามารถทำได้ แต่จริงๆ แล้วหากลองคิดดีๆ คุณก็สามารถมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เช่นกัน


คุณช้อปปิ้งหรือเปล่า

เรามักซื้อสินค้าในเกือบทุกวัน และส่วนใหญ่ของที่ซื้อจะถูกบรรจุในถุงพลาสติกเพื่อถือกลับบ้าน คุณทราบหรือไม่ว่าเกือบทั้งหมดนั้นถูกผลิตมาจากพลาสติกราคาถูกที่ออกแบบมาเพื่อการใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ท้ายสุดแล้ว ถุงพลาสติกเป็นจำนวนมากถูกทิ้งลงในมหาสมุทรและถูกพัดพาไปตามกระแสน้ำ

จากนั้นพลาสติกจะสลายตัวไป? ไม่เลย.. พลาสติกจะอยู่ในมหาสมุทรเป็นเวลายาวนาน สร้างความเสียหายและทำร้ายมหาสมุทรตลอดอายุของพวกมัน มีพื้นที่บางจุดของมหาสมุทรเต็มไปด้วยพลาสติกที่กองสะสมเป็นอ่างน้ำวนขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดมลพิษในท้องทะเลอย่างถาวร ใครจะคิดว่าพฤติกรรมการซื้อของของคุณจะก่อให้เกิดผลกระทบและบาดแผลต่อมหาสมุทรได้มากมายขนาดนี้

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...831_188296.jpg

ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทั่วโลกที่จะหยุดการใช้พลาสติกที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง ในหลายเมืองสามารถทำได้แล้ว ร้านค้าจำนวนมากปฎิเสธที่จะให้ถุงพลาสติกโดยการให้คุณนำถุงใส่ของมาเอง ดังนั้นหากครั้งต่อไปที่คุณซื้อสินค้าแล้วพนักงานขายพยายามที่จะใส่สินค้าที่คุณซื้อลงถุงพลาสติก คุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงบอกเขาว่า “ไม่รับถุงพลาสติก” และยื่นถุงใส่ของที่คุณเตรียมมาจากบ้านให้กับพนักงานแทน


คุณทานปลามั้ย?

เราสามารถช่วยกันลดความตึงเครียดของปัญหาในมหาสมุทรลงได้ด้วยตัวคุณเอง โดยการเลือกทานอาหารทะเลอย่างรับผิดชอบและไม่ทำร้ายท้องทะเล บางทีแซลมอนจานโปรดของคุณอาจเดินทางมาจากฟาร์มที่อยู่ห่างจากคุณถึงครึ่งค่อนโลก นั่นหมายความว่าคุณได้มีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการทานอาหารในครั้งนี้ นอกเหนือจากนี้ เป็นไปได้ที่ปลาหนึ่งกิโลกรัมที่คุณกำลังทานอยู่นั้นมาจากการเลี้ยงโดยใช้ปลาป่นถึงสามกิโลกรัม ซึ่งเป็นปลาที่ถูกจับจากธรรมชาติ นำมาบดและอัดเม็ดกลายเป็นอาหารปลาสำเร็จรูปเพียง 1 กิโลกรัมเพื่อนำมาเลี้ยงปลาที่คุณชอบกินใส่สารเคมี และยาสำหรับสัตว์น้ำ ซึ่งสามารถปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เราควรถามไถ่ถึงแหล่งที่มาของปลาที่คุณกิน

http://www.greenpeace.org/seasia/th/...832_188298.jpg

ปลาทะเลตามธรรมชาติจำนวนมากถูกจับมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง จำนวนมากถูกจับด้วยเครื่องมือประมงแบบทำลายล้าง การทำประมงเบ็ดราวที่ใช้จับปลาทูน่าบางชนิดทำให้แต่ละปีมีสัตว์อื่นๆที่ไม่ใช่เป้าหมายนับพันตัว เช่น เต่า ฉลาม และนกทะเล ต้องมาติดกับดักนี้ เพราะเรือประมงเบ็ดราวขนาดใหญ่สามารถวางเบ็ดราวยาวหลายกิโลเมตร ใช้เบ็ดหลายพันตัว ที่สามารถจับสัตว์น้ำขนาดใหญ่ทุกตัวที่ว่ายผ่าน

แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง? มีคู่มือแนะนำอาหารทะเลจำนวนมากซึ่งสามารถให้คำแนะนำได้ หากทำได้ควรซื้ออาหารทะเลที่มาจากประมงพื้นบ้าน อาจจะฟังดูยาก แต่เราต้องเริ่มถามผู้ขายทุกครั้งที่ซื้อ เราจะต้องร่วมกันสร้างเทรนด์การทานอาหารทะเลอย่างมีจิตสำนึก รู้แหล่งที่มาของอาหารทะเลว่าทำร้ายท้องทะเล ชาวประมงพื้นบ้าน หรือสุขภาพของคุณเองหรือไม่ และผู้บริโภคสามารถเลือกทานอย่างชาญฉลาดได้

มีวิธีอื่นๆอีกไหม? แน่นอนมีอีกหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้….ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ การเลือกบริโภคและเลือกทานอาหารทะเลของคุณสามารถเป็นพลังเพื่อช่วยฟื้นฟูให้มหาสมุทรมีความอุดมสมบูรณ์เพื่อเกื้อหนุนสรรพชีวิตอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน โลกที่เป็นบ้านใบเดียวของเรา


สายชล 21-07-2015 17:24

มติชน
15-06-2015

ธุรกิจประมงป่วน! เรือออกหาปลาไม่ได้-โรงงานแห่ปิด หลังถูกรัฐจัดระเบียบ

http://www.matichon.co.th/online/201...434329645l.jpg

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า หลังการจัดระเบียบประมงไทย ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น ผู้ประกอบการอาจได้รับผล กระทบบ้างเพราะจับปลาน้อยลง แต่เมื่อผลิตสินค้าน้อยลงราคาก็ย่อมขยับขึ้นตาม ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนการทำประมงพื้นบ้านที่มีเรือ กว่า 30,000 ลำ คงไม่ได้รับผลกระทบเพราะตามหลักการของประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (ไอยูยู) ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงการทำประมงพื้นบ้าน เพียงแค่ต้องมาจดทะเบียนเข้าออกหรือเทียบท่าตามท่าเรือที่กำหนดเท่านั้น

นายพจน์กล่าวว่า ในวันที่ 16 มิถุนายน ทางสภาหอการค้าฯและสมาพันธ์ผู้ผลิตสินค้าประมงไทย (ทีเอฟพีซี) ที่ประกอบด้วย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย, สมาคมกุ้งไทย, สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป, สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย, สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย, สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย, สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย จะจัดกิจกรรมประกาศจุดยืนสนับสนุนการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการบังคับใช้ พ.ร.บ.การประมง พ.ร.บ.ต่อต้านการค้ามนุษย์ฯ และแนวทางแก้ไขปัญหาการทำประมงไอยูยูของไทยที่โรงแรมดุสิตธานี

นายอภิสิทธิ์ เตชะนิธิสวัสดิ์ นายกสมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย กล่าวว่า หลังการจัดระเบียบ ทำให้การประมงไทยมีปัญหาบ้าง โดยมีเรือประมงออกทะเลได้เพียง 40% เท่านั้น ที่เหลืออีก 60% ไม่สามารถออกไปทำประมงได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องเอกสารการแจ้งที่ศูนย์แจ้งท่าเรือเข้าออก (Port in-Port out) ส่งผลให้ปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนโรงงานแปรรูปลดลงอย่างมาก ทำให้โรงงานแล่เนื้อปลา โรงงานผลิตปลา และปลาบด (ซูริมิ) ปิดกิจการจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.สงขลา คิดเป็นปลาที่หายไป 1 พันตัน/วัน หรือคิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท/วัน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ชาวประมงยังไม่เลิกทำ ประมง เพียงแต่ไม่สามารถออกทะเลได้เท่านั้น ทางสมาคมอยากให้ภาครัฐและศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) เข้ามาดูแลเรื่องต่างๆ ด้วย คือ

1.อำนวยความ สะดวกการออกเอกสารของเรือประมงเพื่อให้ ออกทำประมงได้ตามปกติโดยเร็ว และให้ทัน กับที่ ศปมผ.กำหนดให้แล้วเสร็จภายในสิ้น เดือนมิถุนายนนี้ หากไม่ทันก็อยากให้มีมาตรการอื่นช่วยเหลือชาวประมง

2.อยากให้ กระทรวงแรงงานดูแลเรื่องการจดทะเบียน แรงงานต่างด้าวให้สามารถทำได้ตลอดปี จาก ที่ปัจจุบันเปิดรับครั้งละ 3 เดือน ทำให้ภาคประมงประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน

3.อยากให้กรมเจ้าท่าอำนวยความสะดวกเรื่องการออกใบนายท้ายเรือให้แก่คนขับเรือ และควรเปิดสอบใบนายท้ายเรือใหม่ให้ตรงกับประเภทเรือ เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้ใบนายท้ายเรือ ผิดประเภท


สายชล 21-07-2015 17:32

มติชน
17-06-2015

สลด!! ประมงไทยชำแหละกระเบนแมนต้าสุดโหด ทั้งที่เหลือเพียง 50 ตัวในอันดามัน

http://www.matichon.co.th/online/201...434456373l.jpg

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพซากปลากระเบนแมนต้า ซี่งเป็นกลุ่มปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนท้ายรถกระบะ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการคุ้มครองปกป้อง สัตว์ในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้กำหนดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎหมาย

จากกรณีดังกล่าว ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง ดร.ธรณ์ ซึ่งดร.ธรณ์ ได้ให้ความกระจ่างมาดังนี้

ภาพซากปลากระเบนบนท้ายรถกระบะนั้น เป็นภาพที่เพื่อนของ ดร.ธรณ์ ส่งมาให้ดู ซึ่งเป็นปลากระเบนที่ถูกล่าในจังหวัดระนอง โดยผ่านมาทางท่าเรือขึ้นปลาที่จังหวัดระนอง ซึ่ง ดร.ธรณ์ บอกว่า เป็นท่าขึ้นปลาที่ใหญ่ที่สุดในฝั่งอันดามันอยู่แล้ว อีกทั้งปลาชนิดนี้มีรายงานว่า พบในแถบจังหวัดตรัง สตูล ระนอง และภูเก็ต

ปัจจุบัน ปลากระเบนแมนต้า ยังไม่ได้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองใดๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองจากกฎหมายทางฝั่งกรมประมง ว่าด้วยการห้ามทำการประมง หรือเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง จาก พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ.2535 จากทางฝั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การที่จะผลักดันปลากระเบนแมนต้าให้ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย ก็อาจจะต้องผลักดันไปพร้อมๆ กับ การเสนอวาฬบรูด้า ให้เป็นสัตว์สงวน ซึ่งจะมีความเข้มข้นกว่าสัตว์คุ้มครอง เนื่องจากสัตว์สงวน จะห้ามล่า ห้ามมีไว้ในครอบครองทุกกรณี

และจากภาพที่มีคนจับฉลามวาฬ ไว้บนเรือประมง ดร.ธรณ์ กล่าวว่า นั่นก็น่าจะผิดกฎหมายเต็มๆ เนื่องจากฉลามวาฬ นอกจากจะอยู่ในความคุ้มครองตามกฎหมาย ให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองในปัจจุบันแล้ว ยังเป็นสัตว์ห้ามทำการประมง ตามประกาศของกรมประมงอีกด้วย )

http://www.matichon.co.th/gallery/fu...1434452167.jpg
(ภาพจากเฟซบุ้ก Pongwat Datchtaradon ที่ระบุว่า ฉลามวาฬตัวนี้ ถูกจับมาจากการทำประมงแบบอวนลาก และเรียกร้องให้การประมงลักษณะนี้ หมดไปจากประเทศไทย)

ทั้งนี้ ดร.ธรณ์ กล่าวว่า การพยายามผลักดัน ปลากระเบนแมนต้าให้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง นี้ อาจจะเป็นเรื่องยากในแง่ที่ว่า ปัจจุบันเรามีข้อมูลเกี่ยวกับปลาตัวนี้ค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยมีใครได้พบ จากแวดวงนักดำน้ำ คาดว่า ทางฝั่งทะเลอันดามัน มีอยู่เพียง 50 ตัวเท่านั้น ซึ่งจำนวนที่มีน้อยขนาดนี้ ก็สมควรที่จะได้รับความคุ้มครองโดยเร็ว

นอกจากนี้ ดร.ธรณ์ ยังได้โพสต์ภาพ การล่าปลากระเบนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นภาพจาก เพจเฟซบุ๊ก Thailand Manta Project เพจที่ส่งเสริมการวิจัยกระเบนราหูในประเทศไทย

http://www.matichon.co.th/gallery/fu...1434451534.jpg


*********************************************************************************************************************************************************


"ดร.ธรณ์" โพสต์เฟซบุ๊ก กระเบนแมนต้า ใหญ่ที่สุดในโลก ยังทยอยถูกฆ่า เสนอให้เป็นสัตว์คุ้มครอง

http://www.matichon.co.th/online/201...434439021l.jpg

ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ และนักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพซากกระเบนแมนต้า ซี่งเป็นกลุ่มปลากระเบนที่ใหญ่ที่สุดในโลก บนท้ายรถกระบะ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการคุ้มครองปกป้อง สัตว์ในกลุ่มนี้อย่างจริงจัง โดยเสนอให้กำหนดเป็นสัตว์คุ้มครอง ตามกฎหมาย ดังนี้


"ภาพอันน่าเศร้าที่เพื่อนธรณ์เห็นเกิดขึ้นที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในประเทศไทยสัตว์ที่นอนตายกองกันอยู่ท้ายกระบะคือหนึ่งในกลุ่มปลากระเบนใหญ่ที่สุดในโลก และสัตว์ที่เป็นเพื่อนรักของนักดำน้ำทุกราย กระเบนกลุ่มนี้ทำรายได้ให้การท่องเที่ยวมหาศาล เป็นความประทับใจแห่งอันดามันที่ผู้มาเยือนไม่เคยลืมเลือน

น่าเสียดายที่ในทะเลมีเครื่องมือประมงบางอย่างที่สามารถจับแมนต้าและญาติกลุ่มนี้ที่น่ารักได้น่าเสียดายที่มีความตายเกิดขึ้นอย่างโหดร้ายในทะเล

การอนุรักษ์แมนต้าและญาติเป็นเรื่องยาก การห้ามการประมงกระเบนกลุ่มนี้เหมือนที่เคยใช้กับฉลามวาฬเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างไรก็ตามการปล่อยให้แมนต้าและญาติตายไปเรื่อยๆเป็นสิ่งที่คนรักทะเลยอมรับไม่ได้ทางออกสุดท้าย...สัตว์คุ้มครอง

ปลากระเบนกลุ่มแมนต้าและญาติเป็นสัตว์สงวนเช่นบรูด้าไม่ได้เพราะเรามีข้อมูลน้อยมากแต่เราอาจมีช่องทางในเรื่องสัตว์คุ้มครองแม้มันจะยากแสนสาหัสแต่อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าเราไม่ทำอะไรเลย

ผมจึงลองเสนอแผนง่ายๆดังนี้

- พวกเราช่วยกันผลักดันวาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวน หากสำเร็จ กระทรวงทรัพยากรฯ จะจัดประชุมเพื่อพิจารณา หากเป็นไปได้ เราจะพยายามผลักดันแมนต้าและญาติให้เป็นสัตว์คุ้มครองเข้าไปในการประชุมครั้งนี้ด้วย

- แมนต้าและกระเบนกลุ่มนี้เป็นปลาที่ออกลูกน้อยมาก หากแมนต้ารุ่นนี้ถูกฆ่าหมด โอกาสที่ปลากลุ่มนี้จะสูญพันธุ์ไปจากน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเรื่องง่าย

- เรามีบทเรียนกับปลาฉนากกับปลาโรนินมาแล้ว ปัจจุบัน เราไม่เจอปลาฉนากอีกเลยและแทบไม่เจอโรนินอีกแล้ว (ที่นักดำน้ำพอเจออยู่บ้างคือโรนัน)

- แมนต้าและเพื่อนบางชนิดอยู่ใน CITES บัญชี 2 ถือเป็นสัตว์ที่ทั่วโลกให้การคุ้มครอง โอกาสนำเสนอเป็นสัตว์คุ้มครองในไทยเป็นไปได้

- ระหว่างนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอาจกรุณาศึกษาความเป็นไปได้ของปลากระเบนกลุ่มนี้ก่อนครับ

เอาเป็นว่าเรามาเริ่มต้นกันตรงนี้ก่อนเพื่อนธรณ์ช่วยกันได้โดยโหวตสนับสนุนให้วาฬบรูด้าเป็นสัตว์สงวนทำให้เกิดการประชุมเราจะช่วยกันผลักดันแมนต้าและญาติๆเป็นสัตว์คุ้มครองครับ"



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:11

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger