SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   ห้องรับแขก (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=2)
-   -   คำเตือนเรื่อง "สุขภาพ" (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=1742)

สายน้ำ 24-11-2011 08:13


“ทำอย่างไรเมื่อลูกป่วยเป็นไข้”


สถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือโรงเรียนที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ผู้ปกครองต้องระวังบุตรหลานให้ดี หากมีไข้อาจเกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก ศ.พญ.นวลอนงค์ วิศิษฎสุนทร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มีวิธีสังเกตอาการมาฝาก

อาการของไข้หวัด ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม หากอยู่ในที่มีเด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก เด็กๆจะมีโอกาสติดหวัดได้ง่ายขึ้น แต่ไข้เลือดออก จะเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะของโรค ซึ่งลักษณะอาการจะแยกได้ดังนี้

เริ่มที่อาการของไข้หวัด อาจมีไข้ต่ำๆ มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล ส่วนมากในช่วงแรกจะเป็นน้ำมูกใสๆ ถ้าเป็นหลายวันสีจะข้นขึ้น มีอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก เบื่ออาหาร ในเด็กเล็กมีอาการกวนมากกว่าปกติได้ ไข้หวัดโดยทั่วๆไปอาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง ถ้าเป็นในเด็กที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคแทรกซ้อนอะไร ก็สามารถดูแลในเบื้องต้นได้ แต่ถ้าในกรณีเด็กเล็กมากหรือมีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ควรมาพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาตามความเหมาะสม

ส่วน ไข้หวัดใหญ่ มักจะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เด็กจะค่อนข้างซึมดูไม่สบาย ขณะที่เด็กเป็นไข้หวัดธรรมดา อาจกวนบ้างแต่ยังเล่นได้ แต่ถ้ามีไข้สูง เมื่อรับประทานยาลดไข้แล้ว ไข้ก็ไม่ลด มีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ อาจมีปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน และมีจุดเลือดออกหลังจากมีไข้ 3-4 วัน จะเป็นอาการของไข้เลือดออก ซึ่งต้องพามาพบแพทย์เพื่อเจาะเลือด ตรวจวินิจฉัย และให้น้ำเกลือเพื่อรักษาต่อไป

สำหรับการดูแลในเบื้องต้น ถ้ามีไข้ต่ำๆ ให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา และถ้ายังมีไข้สูง ควรให้ยาลดไข้ขนาด 10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง และดื่มน้ำอุ่นมากๆ หากมีเสมหะ ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือและน้ำผึ้ง เพื่อช่วยขับเสมหะและช่วยลดอาการไอได้ ในกรณีที่ดูแลเบื้องต้นแล้วยังมีน้ำมูกและมีอาการแน่นจมูก ให้รับประทานยาแก้หวัด เมื่ออาการดีขึ้นก็ให้หยุดยาได้ แต่ต้องระวัง และดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ โดยทั่วไปอาการไข้จะหายภายใน 3-4 วัน

เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรหลานป่วยเป็นไข้ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด เพราะอาจมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสทำให้ติดหวัดได้ง่ายขึ้น รวมถึงระวังยุงลายกัด ซึ่งเป็นพาหะของไข้เลือดออก


ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




จาก ................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 25-11-2011 08:43


ดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ


ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว มักมีผู้ป่วยด้วยโรคจมูก คอ และหลอดลมกันมาก สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลัน เพื่อสุขภาพที่ดี เรามาเรียนรู้วิธีดูแลตัวเองและป้องกันโรคกับ รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดเฉียบพลัน มีอยู่หลายโรคด้วยกัน ตั้งแต่จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ โรคคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบ รวมถึงโรคหลอดลมอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งผู้ป่วยมักจะหายได้เองภายใน 7-10 วัน โดยไม่ต้องรับประทานยาต้านจุลชีพ ถ้าผู้ป่วยดูแลตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น โดยเฉพาะแอร์ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นหรืออาบน้ำเย็น เนื่องจากอากาศที่เย็นจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อลดลง ทั้งยังกระตุ้นเยื่อบุจมูกให้อักเสบมากขึ้น เกิดการคัดจมูก คัน จาม หรือมีน้ำมูกไหลมากขึ้น รวมทั้งยังกระตุ้นหลอดลม ทำให้หลอดลมหดตัว มีอาการไอและมีเสมหะได้ นอกจากนั้นควรปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจามด้วยผ้าเช็ดหน้า และดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เนื่องจากน้ำเป็นยาละลายน้ำมูก หรือเสมหะที่ข้นเหนียวได้ดีที่สุด และถ้ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอ ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการผัดหรือทอด และทำความสะอาดคอบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารด้วยการแปรงฟัน หรือกลั้วคอด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เพราะแบคทีเรียที่เกิดจากเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ อาจทำให้คออักเสบมากขึ้นได้ รวมถึงผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจด้วย เช่น ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การสัมผัสกับผู้ป่วย หรืออากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และควรอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก พักผ่อนให้เพียงพอ และขยันออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้อาการต่างๆดีขึ้นเร็วแล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อนั้นเป็นซ้ำ หรือลุกลามแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นด้วย

ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




จาก ................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 25-11-2011 08:50


แนะวิธีดูแลลูกน้อยให้ห่างไกล "ผื่นภูมิแพ้"

http://pics.manager.co.th/Images/554000015834901.JPEG
ขอบคุณภาพประกอบจาก happybaby.in.th

กล่าวได้ว่า "ผื่นภูมิแพ้" เป็นโรคที่ไม่มีพ่อแม่คนใดปรารถนาให้เกิดกับลูก เพราะทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงวัย 5 ขวบ ป่วยและมีอาการได้ถึง 80 -90 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นลูกรักของคุณอาจมีความเสี่ยงต่อผื่นภูมิแพ้ได้ หากไม่เตรียมความพร้อม และป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ความสำคัญนี้ นพ.ธัญธรรศ โสเจยยะ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ โรงพยาบาลวิภาวดี บอกว่า ด้วยชั้นผิวหนังของลูกรักที่มีความบอบบาง และละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ใหญ่ ทำให้ผิวของเด็กเปิดรับต่อสิ่งเร้าทั้งรังสียูวี สารเคมีและสารก่ออาการแพ้ต่างๆได้ง่ายกว่าผุ้ใหญ่ถึง 3 เท่า ทำให้ผิวพรรณของเด็กเกิดอาการระคายเคืองและแพ้ง่าย โดยเฉพาะโรคผื่นแพ้ผิวหนัง โรคผิวหนังอักเสบ หรือโรคน้ำเหลืองไม่ดีที่ทำให้เด็กมีอาการเห่อครั้งแรกภายในช่วงวัย 1 ปีถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และเด็กในช่วงวัย 5 ขวบปีแรกจะมีอาการเห่อของผื่นภูมิแพ้ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

สำหรับสาเหตุของผื่นภูมิแพ้นั้น ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์หรือคนในครอบครัวของเด็กมีประวัติโรคภูมิแพ้ เช่น ผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไอจามบ่อย หรือเป็นหอบหืด และอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อกระตุ้นการเกิดผื่นภูมิแพ้ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม เช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคายเคือง สภาพอากาศที่ร้อนจนทำให้เหงื่อออก มีสารเคมีระคายเคืองผิวหนัง แมลง ขนสัตว์ และเชื้อโรค ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ลูกน้อยที่มีผิวบอบบางอยู่แล้ว เกิดอาการแพ้ได้ง่ายยิ่งขึ้น เริ่มจากผื่นแดงคัน มีตุ่มแดงและตุ่มน้ำใสเล็กๆ อยู่ในผื่นแดงนั้น ส่วนเด็กโตตุ่มจะนูนแดง มีขุยเล็กน้อย มักไม่พบตุ่มน้ำแตกแฉะเหมือนลูกวัยทารก แต่จะมีอาการคันทำให้เกาจนเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ ส่วนมากพบบริเวณรอบคอ ข้อพับ ด้านในของแขนและขา

"เราพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้จะมีอาการของโรคต่อเนื่องจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนและการทำงานในอนาคต โดย 50 เปอร์เซ็นค์ของเด็กที่เป็นผื่นภูมิแพ้ มีโอกาสเป็นโรคหอบหืด โดยเฉพาะเด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงกว่าเด็กโต และ 2 ใน 3 ของลูกที่ป่วยเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ เมื่อโตขึ้นมีโอกาสป่วยเป็นโรคแพ้อากาศร่วมด้วย รวมทั้งมีปัญหาผิวพรรณ ผิวหนังอักเสบ และมีอาการคันเรื้อรัง" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังรายนี้เผย

ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษาจึงทำได้เพียงการบรรเทาผิวหนังที่อักเสบของลูกรักให้กลับมาเป็นผิวหนังปกติ ผิวหนังที่มีสุขภาพดี และป้องกันการเห่อซ้ำของผื่นภูมิแพ้เท่านั้น เช่น หากมีอาการผื่นรุนแรง อาจต้องใช้ยาทาทีมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ซึ่งไม่สามารถใช้ต่อเนื่องนานๆได้ เพราะอาจจะมีผลข้างเคียงต่อลูก เช่น ทำให้ผิวหนังบาง ผิวหนังแตกลาย หรือมีผลต่อระบบต่างๆในร่างกาย

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่คือคนสำคัญที่จะช่วยปกป้องผิวพรรณที่แสนจะบอบบางของลูกน้อยจากโรคภูมิแพ้ ด้วยเคล็ดลับ Safety Baby ตามแนวทางง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

- รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังลูก

- ไม่ควรอาบน้ำอุ่นบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวลูกแห้ง และคันได้ง่าย

- เลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวลูก และผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือมีสารสังเคราะห์ที่ทำให้ผิวลูกระคายเคือง

- ดูแลผิวพรรณลูกให้สะอาด ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่นที่ปราศจากสารเคมีอันตรายหลังอาบน้ำให้ลูก โดยเฉพาะวันที่อาบน้ำอุ่น เนื่องจากน้ำอุ่นจะทำให้ผิวขับไขมันออกมามาก ทำให้ผิวเด็กบางคนที่แห้งอยู่แล้วจะแห้งยิ่งขึ้น

- ทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนอนของลูกให้สะอาดอยู่เสมอ โดยทำการซักทุก 1-2 สัปดาห์ ด้วยน้ำร้อน 55-60 องศาเซลเซียส

- ไม่ควรมีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้าน หรือให้สัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ชิดลูก

- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นการเห่อของผื่นภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง ไรฝุ่น ความเครียด ความร้อนหรือความเย็นมากเกินไป รวมทั้งอาหารบางชนิดที่คุณแม่สังเกตได้ว่าอาจทำให้ผื่นลูกเห่อมากขึ้น เช่น นม ไข่ หรือถั่วลิสง

- เลือกเสื้อผ้าที่ทำจากใยธรรมธาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าออร์แกนิก คอทตอน 100 % หรือเนื้อผ้าที่สัมผัสแล้วมีความเนียนนุ่มละเอียด รวมไปถึงเสื้อผ้าที่มีการตัดเย็บละเอียดเรียบร้อย ไม่มีตะเข็บ ขอบ หรือด้ายหลุดลุ่ยที่อาจเกี่ยวพันอวัยวะส่วนต่างๆ ของลูก ทำให้ผิวหนังระคายเคือง เกิดการอับชื้น นำไปสู่ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้

เห็นได้ว่า ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่รู้เท่าทันและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะเกิดก็จะมีน้อยลงครับ




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 25-11-2011 08:55


เต้าหู้ย่างเคล้างา อุดมโปรตีนย่อยง่าย

http://www.dailynews.co.th/content/i...hl25112011.jpg

บางคนอยากลดเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะห่วงเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลจะทำลายเส้นเลือด แต่ถ้ากินน้อยไปก็กังวลว่าร่างกายอาจขาดโปรตีน ทว่ายังมีอาหารอีกชนิดที่อุดมด้วยโปรตีนเช่นกัน นั่นคือ 'เต้าหู้'

วันนี้ 'มุมสุขภาพ' มีเมนู 'เต้าหู้ย่างเคล้างา' มาฝากผู้อ่าน เพราะเป็นเมนูที่อุดมไปด้วยโปรตีนและย่อยง่าย ทั้งยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายด้วย

สำหรับ 'เต้าหู้' มีโปรตีนไม่น้อยไปกว่าเนื้อสัตว์ บางคนอาจเปรียบให้เป็นเนื้อไม่มีกระดูก นอกจากนี้โปรตีนที่มีในเต้าหู้ยังเป็นชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย มีวิตามินและเกลือแร่ ไม่มีคอเลสเตอรอล ดังนั้น เต้าหู้ จึงช่วยลดความเสี่ยงไขมันอุดตันเส้นเลือดได้

นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นในสูตรนี้ ต่างก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน อย่าง 'งา' ทั้งงาขาวและงาดำ สรรพคุณโดยรวม คือ ช่วยลดคลอเลสเตอรอล ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ โดยเฉพาะงาดำ ช่วยให้การนอนหลับมีประสิทธิภาพ กระปรี้กระเปร่าขณะตื่น ป้องกันเหน็บชา บำรุงกระดูก ป้องกันท้องผูก และช่วยบำรุงรากผม ส่วน 'ขิง' ช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้องนั่นเอง

ส่วนผสมมีให้เตรียม ดังต่อไปนี้...
  • เต้าหู้อ่อนกึ่งแข็งหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 400 กรัม หรือประมาณ 2 ถ้วย
  • งาขาว 1 ช้อนชา
  • งาดำ 1 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรมสูตรเจ-เห็ดหอม 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันงา 4 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1+1/2 ช้อนชา
  • ขิงสับละเอียด 1 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา


วิธีปรุง เริ่มจากผสมซีอิ๊วขาวกับซอสหอยนางรม น้ำมันงา น้ำตาลทราย ขิงสับละเอียด และพริกไทยป่น โดยคนให้ละลายเข้ากัน จากนั้นใส่เต้าหู้ลงไป โรยงาขาวและงาดำ คลุกเคล้าให้เข้ากันอย่างเบามือ อย่าให้เต้าหู้แตกเละ แล้วหมักทิ้งไว้นาน 20 นาที

ต่อมา ย่างเต้าหู้ที่หมักไว้จนสุกและมีกลิ่นหอมด้วยตะแกรงหรือกระทะ ระหว่างย่างให้ทาน้ำซอสที่ผสม ลงไปที่เต้าหู้ เสร็จแล้วจัดใส่จาน รับประทานได้ทันที และน้ำซอสที่เหลือจากการหมัก สามารถนำไปเคี้ยวให้พอเหนียวค้นแล้วใช้ราดลงบนเต้าหู้ย่างได้อีกด้วย.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์กินดี วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 26-11-2011 08:16


เตือน! ยาพาราฯกินน้อยแต่นานอาจถึงตาย ..................... โดย วัจน พรหโมบล

http://www.komchadluek.net/media/img...abeabkk9cj.jpg

นักวิจัยเตือนอันตรายยาแก้ปวดยอดฮิต กินน้อยแต่นานเกินขนาดไม่รู้ตัว เสี่ยงกว่าคนกินรวดเดียวเป็นแผง

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอดินเบรอะ ในสกอตแลนด์ เตือนผ่านวารสารเภสัชวิทยาอังกฤษ ถึงอันตรายจากการใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอลว่า แม้จะรับประทานไม่กี่เม็ดในแต่ละวัน แต่หากรับประทานเป็นประจำนานหลายวัน เป็นสัปดาห์ หรือเป็นปี ก็ถือเป็นการใช้ยาเกินขนาด แถมมีความเสี่ยงเสียชีวิตสูงกว่าคนที่รับประทานยาเกินขนาดจำนวนมากในครั้งเดียว

นักวิจัยกล่าวว่า ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากแพทย์จะไม่สามารถตรวจพบปัญหาตั้งแต่แรกเริ่ม สำหรับคนที่ใช้ยาพาราฯเป็นเวลานานช่วงหนึ่งนั้น ผลตรวจเลือดจะไม่แสดงระดับพาราเซตามอลในระดับสูง แบบที่เห็นในกรณีใช้ยาเกินขนาดแบบปกติ หรือกรณีที่คนไข้กลืนยาเป็นกำมือหรือเป็นแผง เพื่อฆ่าตัวตาย และแม้ผลตรวจจะพบระดับยาพาราฯในระดับต่ำ แต่คนเหล่านั้นอาจยังมีความเสี่ยงต่ออวัยวะล้มเหลวหรือเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบข้อมูลผู้ป่วยที่มีปัญหาตับถูกทำลายอันเนื่องมาจากยาพาราเซตามอล จำนวน 663 คน ช่วงปี 2535-2551 พบว่า ในจำนวนนี้ 161 คนเกิดจากการใช้ยาพาราฯเป็นเวลานาน ส่วนใหญ่รับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะและปวดท้อง โดยไม่ได้ตระหนักว่ากำลังใช้ยามากเกินไป หรือรู้ตัวว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นจากการใช้ยาเกินขนาด อีกทั้งเมื่อมีปัญหาที่ตับหรือสมองแล้ว ความเสี่ยงเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อน จะมากกว่าคนที่ใช้ยามากๆในคราวเดียว จึงเรียกร้องให้แพทย์หาหนทางใหม่ในการประเมินผู้ป่วย เพื่อความแน่ใจว่า ผู้ป่วยหายดีพอที่จะถูกส่งกลับบ้านหรือควรให้การรักษาเพิ่มเติม

นักวิจัยเตือนด้วยว่า ผู้ที่มีปัญหาเจ็บปวดและรู้สึกว่ายาพาราฯไม่ได้ผลแล้ว ควรปรึกษาเภสัชหาหนทางบรรเทาความเจ็บปวดอย่างอื่น หรือพึ่งแพทย์ให้ช่วยหาสาเหตุของอาการผิดปกตินั้น แทนที่จะคิดเพิ่มปริมาณยาด้วยตนเอง




จาก ..................... คม ชัด ลึก เวิลด์วาไรตี้ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 27-11-2011 07:40


โรคไอบีเอส (IBS)หรือ 'โรคลำไส้ทำงานแปรปรวน' ตอน 1

http://www.dailynews.co.th/content/i...r/p6thurl2.jpg

โรคไอบีเอส (IBS) หรือชื่อเต็มเป็นภาษา อังกฤษคือ โรค Irritable Bowel Syndrome หรือในชื่อไทยคือ โรคลำไส้ทำงานแปรปรวน โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคใหม่แต่เป็นโรคที่มีมานานแล้ว เนื่องจากเป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยากเนื่องจากอาการของโรคไม่มีความเฉพาะเจาะจง แพทย์จึงไม่ได้มีการวินิจฉัยโรคนี้ ในปัจจุบันมีความรู้เกี่ยวกับโรคไอบีเอสเพิ่มมากขึ้นและมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคไอบีเอสให้ชัดเจนขึ้น จึงมีการวินิจฉัยโรคนี้เพิ่มมากขึ้น


โรคไอบีเอสคืออะไร

โรคไอบีเอสหรือโรคลำไส้ทำงานแปรปรวน เป็นโรคของลำไส้ที่ทำงานผิดปกติไป ทำให้เกิดการปวดท้องร่วมกับมีอาการท้องเสียหรือท้องผูก หรือท้องเสียสลับกับท้องผูก โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติทางพยาธิสภาพที่ลำไส้ เช่น ส่องกล้องตรวจลำไส้จะไม่มีการอักเสบ ไม่มีแผล ไม่มีเนื้องอกหรือมะเร็ง เป็นต้น และการตรวจเลือดต่างๆก็ไม่พบความผิดปกติ รวมทั้งไม่มีโรคของอวัยวะอื่นๆที่จะมีผลให้การทำงานของลำไส้ผิดปกติ เช่น โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือโรคเบาหวาน เป็นต้น โรคไอบีเอสเป็นโรคเรื้อรังมักเป็นๆหายๆ หรืออาจเป็นตลอดชีวิต เป็นโรคที่ไม่ทำให้สุขภาพเสื่อมโทรมแม้จะเป็นมาหลายๆปี และไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่เป็นโรคที่สร้างความรำคาญและความทุกข์ทรมานให้ผู้ป่วยอย่างมากได้ เนื่องจากผู้ป่วยจะวิตกกังวลว่าทำให้โรคไม่หายแม้ได้ยารักษา ทำให้มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยโรคจะรบกวนการดำรงชีวิตปกติของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ มีการหยุดงานบ่อยและมีประสิทธิภาพของการทำงานลดลง


โรคไอบีเอสพบบ่อยหรือไม่

ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปพบร้อยละ 10-20 ของประชากร ในประเทศญี่ปุ่นพบร้อยละ 25 ของประชากร ในประเทศไทยมีข้อมูลค่อนข้างน้อยในการศึกษาเรื่องนี้ ข้อมูลที่มีอยู่คือ พบได้ประมาณร้อยละ 7 ของประชากร แต่ถ้าศึกษาเฉพาะกลุ่มผู้ป่วย ที่มีอาการท้องเสียเรื้อรังมาพบแพทย์จะพบว่าเป็นโรคไอบีเอสถึงร้อยละ 10-30 จากตัวเลขดังกล่าวในประเทศไทยจะมีผู้ป่วยไอบีเอส ประมาณไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน

ซึ่งอาจจะเป็นการประมาณที่ต่ำกว่าเป็นจริง เพราะว่าในรายที่มีอาการไม่มากอาจคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นโรคนี้ พบว่ามีผู้ป่วยเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่ไปพบแพทย์เนื่องจากเกรงว่าจะเป็นโรคร้ายแรง เช่นกลัวเป็นมะเร็ง มากกว่าที่จะไปพบแพทย์เพราะความรุนแรงของโรค


โรคไอบีเอสพบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จริงหรือไม่

ในต่างประเทศในทั่วไปพบโรคไอบีเอสได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2:1 ถึง 4:1 สำหรับสาเหตุที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนั้นยังไม่รู้ว่าสาเหตุที่แน่นอน สิ่งหนึ่งที่มีความแตกต่างกันคือ ผู้หญิงเมื่อมีอาการของโรคแม้จะไม่รุนแรงมักจะไปพบแพทย์มากกว่าผู้ชาย ส่วนข้อมูลในบ้านเราพบในผู้หญิงและผู้ชายในจำนวนใกล้เคียงกันหรือพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเล็กน้อย


โรคไอบีเอสพบบ่อยในวัยใด

โรคไอบีเอสพบได้ทุกวัยตั้งแต่ในวัยรุ่นจนถึงวัยสูงอายุ โดยพบได้บ่อยในคนวัยทำงานคือ อายุเริ่มต้นเฉลี่ยระหว่าง 20-30 ปี และจะพบได้บ่อยไปจนถึงอายุ 60 ปี หลังอายุ 60 ปี จะพบน้อยลง และพบว่าโรคไอบีเอสมักพบได้บ่อยในคนที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมชั้นกลางถึงชั้นสูง


จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นโรคไอบีเอส

ในคนปกติการถ่ายอุจจาระของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันมาก บางคนจะถ่ายอุจจาระทุกวัน บางคนถ่ายอุจจาระเป็นบางวัน โดยทั่วไปถือว่าการถ่ายอุจจาระที่ปกติคือการถ่ายอุจจาระ ไม่เกิน 3 ครั้งต่อวันหรือไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลักษณะอุจจาระที่ปกติจะต้องเป็นก้อนแต่ต้องไม่แข็งเป็นลูกกระสุนหรือเหลวมาก หรือเป็นน้ำ ต้องไม่มีเลือดปนและไม่มีปวดเกร็งท้องร่วมด้วยอาหารที่มีกากหรือเส้นใย (Fiber) จะช่วยลดอาการของไอบีเอสได้

อาการสำคัญของผู้ป่วยไอบีเอสคือปวดท้อง ส่วนใหญ่มักปวดท้องน้อย ลักษณะจะเป็นปวดเกร็ง อาการปวดจะดีขึ้นหลังถ่ายอุจจาระ พร้อม ๆ กับปวดท้องผู้ป่วยจะมีความปกติของการถ่ายอุจจาระร่วมด้วย อาจเป็นท้องเสียหรือท้องผูกก็ได้หรือเป็นท้องผูกสลับท้องเสีย ลักษณะอุจจาระจะเปลี่ยนไปเป็นก้อนแข็งหรือเหลวจนเป็นน้ำ ผู้ป่วยอาจถ่ายอุจจาระลำบากขึ้นต้องเบ่งมากหรืออาจรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระทันทีกลั้นไม่อยู่ผู้ป่วยจะรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระบ่อยๆ แม้เพิ่งจะไปถ่ายอุจจาระมามีความรู้สึกถ่ายไม่สุด จะมีถ่ายเป็นมูกปนมากับอุจจาระมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีท้องอืดมีลมมากในท้อง เวลาถ่ายอุจจาระมักมีลมออกมาด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการแบบนี้เป็นๆหายๆ รวมเวลาแล้วมักเป็นเกิน 3 เดือน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักมีประวัติเป็นมานานหลายปี

ถ้าผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นเลือด มีไข้ น้ำหนักลด ซีดลง มีอาการช่วงหลังเที่ยงคืน หรือมีอาการปวดเกร็งท้องมากตลอดเวลา อาการเหล่านี้บ่งชี้ว่าไม่ใช่โรคไอบีเอส


โรคไอบีเอสวินิจฉัยได้อย่างไร

โรคไอบีเอสจะได้รับการวินิจฉัยก็ต่อเมื่อแพทย์ได้วินิจฉัยแยกโรคอื่นๆแล้วหรือหาโรคอื่นที่จะอธิบายว่าเป็นสาเหตุของโรคไอบีเอสไม่ได้ ในวัยรุ่นหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีแพทย์จะวินิจฉัยโรคไอบีเอส โดยอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลัก และจะให้การรักษาไปก่อนโดยไม่จำเป็นต้องทำการสืบค้น สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาหรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 หรือ 50 ปี นอกจากแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดและจะทำการสืบค้นได้แก่ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ตรวจเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ หรือส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ ซึ่งผลการตรวจร่างกายและการสืบค้นต่างๆจะต้องอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ข้อมูลจาก นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลพญาไท 2




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 27-11-2011 07:43


ฝนตกน้ำท่วมเด็กเสี่ยง 'ปอดบวม' พ่อแม่ช่วยเสริมภูมิ...ป้องกันได้

http://www.dailynews.co.th/content/i.../p4thurl27.jpg

ปอดบวมเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบทั่วโลก และในช่วงนี้เป็นช่วงฝนตกน้ำท่วมถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้น!

เนื่องในโอกาส วันปอด บวมโลก (World Pneumonia Day) ที่เพิ่งผ่านพ้นไป อาทิตย์สุขภาพวันนี้ขอนำเสนอสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับ “โรคปอดบวม” พร้อมวิธีการป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคดังกล่าวให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

ศ.พญ.อุษา ทิสยากร นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ว่า โรคปอดบวมเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญที่คร่าชีวิตเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ทั่วโลกถึงปีละ 2 ล้านคนหรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตของเด็กเล็ก 1 คนทุกๆ 20 วินาที ถึงแม้ว่าโรคปอดบวมจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนในปัจจุบัน แต่อุบัติการณ์การเสียชีวิตก็ยังคงสูงขึ้นจนน่ากลัว ดังนั้นองค์กรพันธมิตรวันปอดบวมโลกจึงร่วมกันรณรงค์วันปอดบวมโลกขึ้นเป็นปีที่ 3 ซึ่งตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ทุกประเทศรณรงค์ให้ความรู้ในการป้องกันโรคปอดบวมให้กว้างขวางยิ่งขึ้น พร้อมเร่งลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตของเด็กเล็กอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง

สำหรับในประเทศไทยจากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกระทรวงสาธารณสุขพบว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 พฤษภาคม 2554 พบผู้ป่วยโรคปอดบวม 54,705 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ขวบมากที่สุดร้อยละ 40 รองลงมาเป็นผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปร้อยละ 29 ซึ่งจะเห็นได้ว่าเพียงไม่กี่เดือนมีผู้เสียชีวิตมากถึงขนาดนี้และยิ่งในปัจจุบันเกิดมรสุมพัดผ่านประเทศไทยทำให้เกิดฝนตกหนัก อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รวมทั้งเกิดสภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก ถ้าเด็กลงไปเล่นน้ำแล้วเกิดสำลักน้ำอาจทำให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอดได้จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆได้มากขึ้น โดยโรคที่มากับฝน ได้แก่ โรคปอดบวม และโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ

ด้าน ศ.เกียรติคุณ นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ที่ปรึกษาชมรมโรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤติในเด็กแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ถึงโรคปอดบวมว่า เกิดจากเชื้อหลายชนิด เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสและแบคทีเรียร่วมกัน โดยพบว่าโรคปอดอักเสบเกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามาก คืออาศัยอยู่ในเยื่อบุโพรงจมูก ลำคอ เมื่อใดที่เยื่อบุถูกทำลายจากการเป็นหวัดเรื้อรังหรือมีน้ำมูกคั่งในโพรงจมูกเป็นเวลานานมีโอกาสที่เชื้อนิวโมคอคคัสจะหลุดเข้าสู่ร่างกายก่อให้เกิดโรคปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ และไอพีดีได้ นอกจากเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัสแล้วพ่อแม่ยังต้องระวังเชื้อแบคทีเรียเอ็นทีเอชไอ ซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อรุนแรงในหูชั้นกลางด้วย

“เชื้อนิวโมคอคคัส” อาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ และก่อให้เกิดโรคติดเชื้อรุนแรงในอวัยวะนั้น ๆ ได้ และทำลายระบบต่าง ๆ ที่สำคัญของร่างกายในเวลาไม่กี่วัน เช่น โรคปอดบวมหรือโรคปอดอักเสบ เมื่อเนื้อเยื่อถูกทำลายทำให้ไม่สามารถส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ หากรุนแรงจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิต นอกจากนี้เชื้อดังกล่าวยังสามารถก่อให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือฝีในสมอง โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (หูน้ำหนวก) ได้ ดังนั้นพ่อแม่ควรสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิดเมื่อลูกไม่สบาย

โดยอาการของโรคปอด บวมในเด็ก เช่น มีไข้ ไอ จาม หายใจถี่และหอบ หายใจลำบากและมีเสียงดังวี้ดๆ หรือหายใจจนซี่โครงบุ๋ม ถ้าพบว่าเด็กมีไข้ ไอบ่อย หรือหายใจเร็ว ซึ่งพ่อแม่สามารถดูได้จากอัตราการหายใจ ซึ่งในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบหายใจเร็วมากกว่า 50 ครั้งต่อนาทีและเด็กเล็กอายุมากกว่า 1 ขวบ หายใจเร็วมากกว่า 40 ครั้งต่อนาที ให้สงสัยว่าเด็กอาจเป็นโรคปอดอักเสบ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและการรักษาที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นพ่อแม่ควรดูแลลูกน้อยให้มีสุขภาพแข็งแรงด้วยการให้ทารกดูดนมแม่ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยควรทำร่างกายให้ลูกน้อยอบอุ่นอยู่เสมอและสอนให้เด็กรู้จักรักษาสุขอนามัยเป็นประจำ โดยเฉพาะการล้างมืออย่างถูกวิธีเป็นประจำจะช่วยลดการติดเชื้อที่สัมผัสติดมากับมือรวมทั้งใส่หน้ากากอนามัย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนและสถานที่แออัดเป็นเวลานานๆ หมั่นทำความสะอาดโพรงจมูกลูกน้อยอย่าให้มีน้ำมูกคั่งเป็นเวลานาน

ที่สำคัญควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนไอพีดีพลัส ปอด-หูอักเสบ ที่นอกจากจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากโรคปอดบวม ปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบและโรคติดเชื้อในกระแสเลือดจากเชื้อนิวโมคอคคัสแล้วยังช่วยป้องกันโรคหูชั้นกลางอักเสบที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัสและเชื้อเอ็นทีเอชไอได้อีกด้วย

สุดท้ายการสังเกตอาการลูกน้อยยามเจ็บป่วยสำคัญยิ่งสำหรับพ่อแม่อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจนเด็กมีอาการหอบ หายใจลำบากและมีอาการรุนแรงมากขึ้นเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้.




จาก .................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 27-11-2011 07:47


“ยุงรำคาญ” พาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบอื้อ / ปี 54 ป่วยไข้เลือดออกตาย 56 ราย

กรมควบคุมโรค พบยุงรำคาญมากสุด พาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ แต่ยืนยันไม่พบการระบาด มีวัคซีนป้องกันอยู่แล้ว ขณะที่ช่วงน้ำท่วมห่วงยุงลาย ก่อไข้เลือดออก พบผู้ป่วยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันรวม 6 หมื่น

http://pics.manager.co.th/Images/554000015931403.JPEG
ยุงรำคาญ

นพ.วิชัย สติมัย ผอ.สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับยุงที่พบในประเทศไทยนั้นมี 4 ชนิด ประกอบด้วย 1.ยุงรำคาญ ซึ่งพบมากกว่าร้อยละ 80 เนื่องจากยุงชนิดนี้จะบินไกลถึง 1-2 กิโลเมตร ซึ่งสามารถจำแนกยุงรำคาญที่มักพบในไทยได้ 3 ชนิด คือ

1.ยุงรำคาญ (Culex gelidus) มักพบตามท่อน้ำ ชอบบินข้างหู กัดเจ็บ แต่ไม่นำโรค แม้ในบางประเทศเคยมีรายงานการติดเชื้อไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดดังกล่าวกัด แต่ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้สมองอักเสบจากการโดนยุงชนิดนี้กัด 2.ยุงรำคาญ (Culex quiquefasciatus) เป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง แต่พบว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 1 และ 3.ยุงรำคาญ (Culex Tritaeniorhynchus) ซึ่งพบว่ายุงชนิดนี้เป็นพาหะนำเชื้อไข้สมองอักเสบ เจอี แต่เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการในการให้วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบชนิดนี้อยู่แล้ว จึงไม่พบการระบาดของโรคนี้ โดยยุงชนิดนี้มักพบตามฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ม้า เป็นต้น

http://pics.manager.co.th/Images/554000015931401.JPEG
ยุงลาย

นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า

2.ยุงลาย พบประมาณ 10% ซึ่งลูกน้ำยุงลายสามารถเติบโตได้ในแหล่งน้ำนิ่ง และเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก แต่ธรรมชาติของยุงลายจะบินไม่ไกล ประมาณ 100-200 ม.ดังนั้น จึงไม่ควรมีแหล่งน้ำขังอยู่ภายในบ้าน หากเลี่ยงไม่ได้ควรที่จะหาทางลดการสัมผัสกับยุงโดยการจุดยากันยุง นอนกางมุ้ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบันยังเกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนที่ประสบอุทกภัยต้องไปพักที่ศูนย์พักพิงจำนวนมาก ทำให้อาจจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้ ทางกรมควบคุมโรค โดยสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง จึงมีการเฝ้าระวังตามศูนย์พักพิงต่างๆ ซึ่งขณะนี้พบจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้น แต่ยังอยู่ในจำนวนที่น้อย ซึ่งยังไม่ถือเป็นนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ทางสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงยังต้องจำเป็นแนะนำวิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายตามศูนย์พักพิงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

สำหรับยุงชนิดที่ 3 และ 4 คือ ยุงเสือ และยุงก้นป่อง โดยทั้งสองชนิดรวมกันมีรายงานการพบไม่10 % ซึ่งในส่วนของยุงเสือ จะพบตามผักตบชวา ซึ่งเป็นพาหะทำให้เกิดโรคเท้าช้าง ขณะที่ยุงก้นป่อง มีรายงานว่าพบตามแหล่งน้ำทิ้งบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดการระบากของโรคมาลาเรีย เพราะการระบาดของโรคนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อยุงก้นป่องไปกัดคนที่เป็นมาลาเรียแล้วไปกัดคนอื่นต่อเท่านั้น

"สำหรับตัวเลขผู้ป่วยไข้เลือดออกตั้งแต่ต้นปี 2554 ถึงปัจจุบันพบ 64,000 ราย เสียชีวิต 56 ราย ขณะที่ปี 2553 พบผู้ป่วย 100,000 ราย เสียชีวิต 100 ราย ซึ่งไม่แตกต่างหรือน่ากังวลนัก” นพ.วิชัย กล่าว ว่าราย เสียชีวิตแล้ว 56 ราย




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 30-11-2011 07:51


“การผ่าตัดรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก”


ปัจจุบันพบว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมากมีมากขึ้น การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งต่อมลูกหมาก หรือที่เรียกว่า psa นั้น รศ.นพ.ไชยยงค์ นวลยง ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ยืนยันว่าสามารถช่วยให้ตรวจพบมะเร็งได้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมีโอกาสรักษาหายขาดได้ โดยวิธีผ่าตัดเอาต่อมลูกหมากออกหรือการฉายรังสีรักษา ซึ่งในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 70 ปี หรือยังมีสุขภาพแข็งแรง การผ่าตัดเพื่อเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด ถือเป็นวิธีการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ และมีโอกาสหายจากมะเร็งได้สูง

การรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ในปัจจุบันเราใช้การผ่าตัดด้วยกล้อง โดยเจาะผ่านช่องท้อง เพราะช่วยลดอาการเจ็บแผลหลังผ่าตัดลงไปมาก เนื่องจากแผลผ่าตัดเป็นแผลเจาะรู ระยะเวลาฟื้นตัวหลังผ่าตัดสั้นลง หรือถ้าเป็นการรักษาทันยุค จะใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ซึ่งวิธีนี้ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากเห็นเป็นภาพ 3 มิติ มีความแม่นยำในการผ่าตัดสูงมาก ทั้งนี้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ จะช่วยให้ผู้ป่วยกลั้นปัสสาวะได้ดี และคงสมรรถภาพทางเพศไว้ได้ดีกว่า เนื่องจากขณะผ่าตัดสามารถเห็นภาพขยายของท่อปัสสาวะและใยเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้ชัดเจนกว่า

มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะเริ่มต้น อาจจะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะเวลากลางคืน ปัสสาวะลำบาก มีอาการปวดเวลาปัสสาวะ มีเลือดในน้ำเชื้อหรือปัสสาวะ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดในผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโตหรือต่อมลูกหมากอักเสบ และอาจจะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากหากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย

ดังนั้นผู้ชายไทยอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป จึงควรได้รับการตรวจมะเร็งต่อมลูกหมากประจำปีแม้ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ตาม และหากพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น การผ่าตัดในปัจจุบันสามารถช่วยรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีผ่าตัดทั่วไป ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและเจ็บตัวน้อยลง

ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล






จาก ..................บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 30-11-2011 07:54


หลากสูตรมะขามป้อม แก้ไอขับเสมหะ

http://www.dailynews.co.th/content/i...hl30112011.jpg

เมื่อเจ็บคอก็มักมีอาการไอและมีเสมหะ ซึ่งถ้าปล่อยไว้ ไอบ่อยๆ ก็ยิ่งเจ็บและระคายคอหนักขึ้น อีกทั้งอาจสร้างความรำคาญแก่คนรอบข้าง และขัดจังหวะการสนทนา

สำหรับผู้ที่ไม่ชอบการรับประทานยาเพื่อรักษาอาการ ก็มักจะใช้วิธีกินหรือจิบน้ำมะนาว และดื่มน้ำอุ่นมากๆ ช่วยบรรเทา แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า 'มะขามป้อม' ที่รสฝาดเปรี้ยว ขมและอมหวาน ก็มีสรรพคุณแก้ไอ และขับเสมหะเช่นเดียวกัน โดยสูตรมะขามป้อมที่สามารถนำมาทำเป็นยาสามัญประจำบ้านนี้ ทำง่ายไม่มีพิษภัย

สูตรแรกอย่างเบสิก เมื่อมีอาการไอก็แค่เคี้ยวผลมะขามป้อมให้ละเอียด แล้วกลืนลงคอทั้งเนื้อและน้ำ หรืออาจค่อยๆเคี้ยวและดูดกลืนเอาเฉพาะน้ำก็ได้

ส่วนสูตรต่อมา คัดผลมะขามป้อมที่แก่จัด โขลกพอแหลก ผสมกับเกลือเล็กน้อย แล้วอมหรือเคี้ยวกลืนลงคอไป ขณะที่สูตรสุดท้าย ให้ใช้ผลมะขามป้อมไปตำให้ละเอียด จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำ ได้แล้วผสมเกลือเล็กน้อย ใช้จิบบ่อยๆ จะช่วยบรรเทาให้อาการไอและเสมหะเบาบางลง ทั้งนี้หากเป็นอยู่นานไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ สามัญประจำบ้าน วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 30-11-2011 07:58


3 วิธีง่ายๆ แก้อาการปวดต่างๆ ........................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

http://pics.manager.co.th/Images/554000016016801.JPEG

โอ๊ย ปวดหลัง ปวดคอ ปวดหัว ทั้ง 3 อาการปวดนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเป็นกัน จากสถิติพบว่าคนเรา 80% มักมีอาการปวดต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิต

ผู้คนจำนวนหลายล้านคนในอเมริกาต้องเผชิญกับการปวดขั้นรุนแรง ประมาณ 27% ปวดหลัง 15% บ่นปวดหัวหรือไมเกรน อีก 15% ปวดคอ จากการศึกษาในเวปสุขภาพของแพทย์ที่สหรัฐอเมริกา มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

อาการปวดบางประเภทอาจต้องพึ่งยาหรือแพทย์ในการดูแลรักษา แต่อาการปวดบางอย่างสามารถหายได้โดยการเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวง่ายๆในชีวิตประจำวัน


ท่านั่ง

วิธีง่ายๆวิธีหนึ่งในการในการแก้ปัญหาการปวดคือการเปลี่ยนท่านั่งให้ถูกวิธี ร่างกายของคนเราถูกออกแบบมาเพื่อการเดินรับอากาศบริสุทธิ์ในสวน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ใช่ถูกออกแบบมาเพื่อการนั่งทำงานที่โต๊ะทำงาน จ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 8-12 ชั่วโมงต่อวัน นักกายภาพบำบัดทางด้านกีฬาใน Nashville กล่าว

แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้วผู้คนหลายล้านคนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนงานเปลี่ยนอาชีพใหม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการเปลี่ยนวิธีการนั่ง คนทั่วไปมักนั่งทับกระดูกเชิงกราน ซึ่งทำให้เกิดอาการตึงบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาการปวดหลังจึงเกิดขึ้น นอกจากนั้นแล้วเรายังชอบนั่งโดยการยื่นแขนและศีรษะไปข้างหน้า ท่านั่งที่ผิดท่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อตึงในช่วงบ่าและคอ และท่าที่ศีรษะยื่นออกไปทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ แล้วเราควรจะนั่งอย่างไรดี งานวิจัยกล่าวว่าไม่มีเก้าอี้ที่ออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นวิธีที่ทำได้คือการหาตำแหน่งท่านั่งที่รองรับกระดูกของเราได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

• นั่งและให้กระดูกเชิงกรานรับน้ำหนักไปข้างหน้าทั้งหมด งุ้มหลังลง
• ทำอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ยกหลัง และยืดอกขึ้น ให้กระดูกสันหลังได้เคลื่อนไหว
• ทำกลับไปกลับมาในระหว่าง 2 ท่านี้หลายๆครั้ง ทำจนกระทั่งหาตำแหน่งตรงกลางที่เหมาะสมได้

อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือการจัดที่ทำงานที่เอื้อและลดสภาวการณ์ปวดหลังแบบง่ายๆ ลอเรน พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า

• อย่าทำงานโดยใช้ Laptop
• ให้จัดคอมพิวเตอร์ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ลักษณะการมองตรงไปข้างหน้าแบบตั้งฉาก แต่ให้จัดตั้งจอคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่มองลงประมาณ 10 ดีกรี ไม่ควรก้มตัว โก่งหลังโค้งลงไป
• จัดที่วางเท้าใต้โต๊ะเพื่อให้ข้อเท้าได้รับการผ่อนคลายและยืดหยุ่น สิ่งนี้จะช่วยผ่อนน้ำหนักของร่างกายส่วนล่าง วางน้ำหนักลงบนสะโพก ลงน้ำหนักส่วนน้อยที่บริเวณหลัง
• ทุกๆชั่วโมงให้ยืนขึ้น 2-3 นาที และบิดขี้เกียจ หรืออาจใช้วิธีให้หลังนอนราบแบนลงกับพื้น ด้านหลังของโต๊ะทำงาน พยายามยืดตัวไปมา
• ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ทำเป็นกระบอกกรวยทรงตัน
• วางผ้าขนหนูบริเวณบ่ากดลงให้หลังชิดกับพนักเก้าอี้
• เลื่อนบ่าให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมา อย่าทำแรงเกินไป แต่ให้ผ้าขนหนูกลิ้งไปมาได้สะดวก


การนอนหลับพักผ่อน

มากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ใช้เวลานอน 39% คือในแต่ละคืนจะใช้เวลานอนประมาณ 7 ชั่วโมง และนั่นอาจเป็นสาเหตุของการปวดเมื่อย การนอนเป็นเหมือนยารักษาสุขภาพ เมื่อเรามีเวลานอนไม่พอจะทำให้กล้ามเนื้อไม่กระฉับกระเฉง ทำให้อารมณ์หงุดหงิด และไม่ร่าเริง ในทางตรงกันข้ามเมื่อเราได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอร่างกายจะรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อตื่นตัวพร้อมที่ในการทำงาน 2 สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ท่านอนและที่นอน เราควรหาที่นอนที่เหมาะสมสำหรับหลังของเรา

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า ที่นอนแบบไหนดีที่เราควรเลือก สรีระของร่างกายคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนชอบที่นอนแข็ง บางคนชอบนิ่ม ไม่เหมือนกันแต่ที่สำคัญต้องไม่นิ่มจนตัวจมเข้าไปที่ที่นอน ร่างกายของเราต้องการที่นอนที่สามารถรองรับกระดูกสันหลังในท่าที่เหมาะสมและสบาย อีกอย่างที่ควรคำนึงถึงคือหมอน เราต้องการหมอนหนุนที่ทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่เหมาะสม หากเรานอนตะแคงให้ใช้หมอนวางไว้ระหว่างขา หากเรานอนราบให้วางหมอนไว้ใต้เข่า ท่านอนและหมอนที่เหมาะสมจะทำให้นอนหลับสบายและไม่ไปกดทับกระดูกสันหลัง


การออกกำลัง

เราอาจเคยได้ยินว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนั้นจึงเป็นข้ออ้างของหลายคนในการไม่ออกกำลังกายแต่แท้ที่จริงแล้ว เราจะปวดเมื่อยมากยิ่งขึ้นหากไม่ได้รับการขยับเขยื้อน หากเราเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างสมดุล และไม่ปวดเมื่อยง่ายๆ

คนส่วนใหญ่มักใช้การเดินในการออกกำลังกาย แต่พอไลท์ก้า นักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเราอาจเดินผิดวิธี หลายคนใช้วิธีการเดินด้วยหัวเข่า ไม่ใช่สะโพก วิธีแนะนำง่ายๆ คือ

• เหยียดปลายเท้าทั้ง 2 ข้างออก
• แกว่งแขน
• ก้าวเท้ายาวๆ ไม่ใช่ก้าวสั้นๆ

การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วยให้มีความยืดหยุ่นและมีกำลัง ทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง กระชับ อย่าใช้แต่เพียงข้อต่อ ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้วการออกกำลังกายยังจะช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งหากมีน้ำหนักมากเกินไปจะนำมาซึ่งความปวดเมื่อยต่างๆ ทั้งข้อต่อ สะโพก ข้อเท้า และส่วนล่างของหลังอีกด้วย

คำแนะนำเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้อาการปวดต่างๆหายหมดไปจนหมดสิ้น แต่หากเราลองพยายามทำสัก 2-3 อาทิตย์แล้ว จะทำให้ร่างกายเริ่มรู้สึกผ่อนคลายและที่สำคัญทำให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพายาที่อาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพตามมาอีกด้วย




จาก .................. ผู้จัดการออนไลน์ Life & Family วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554

สายน้ำ 01-12-2011 08:11


โรคเบาหวานท่ามกลางน้ำท่วม พึงดูแลเพื่อป้องกันอาการแทรก


ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้ออกโรงแนะนำการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานในช่วงน้ำท่วม โดยระบุว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมนี้ ดังนั้นจึงควรมีความรู้เบื้องต้นในการดูแลรักษาสุขภาพของตน เพื่อรับมือไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาในช่วงนี้

ในภาวะที่เต็มไปด้วยความเครียดเช่นนี้ ร่างกายของมนุษย์จะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวานจึงไม่ควรหยุดทานยารักษาเบาหวานเด็ดขาด เพราะการหยุดยาอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายได้ แต่ถ้าท่านทานอาหารไม่ได้หรือทานได้น้อย อาจต้องระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะมีอาการเตือนคือ ใจสั่น มือสั่น หน้ามืด บ่นหิว จะเป็นลม หากเกิดอาการเหล่านี้ให้หยุดยาเบาหวานชั่วคราวก่อน และควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และให้แพทย์ปรับขนาดยาให้เหมาะสม ที่สำคัญคือห้ามใช้ยาเบาหวานของผู้อื่น แม้เม็ดยาจะดูคล้ายกันแต่อาจเป็นยาคนละชนิด

ในกรณีผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฉีดยาอินซูลิน ไม่ควรอดอาหารเด็ดขาด และก่อนฉีดยาทุกครั้งต้องแน่ใจว่ามีอาหารรับประทานเพียงพอ โดยฉีดยาตามขนาดที่เคยฉีดทั้งหมดต่อวัน กรณีรับประทานอาหารได้น้อยลงอาจต้องมีการปรับลดปริมาณยาฉีดลงเพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามหยุดฉีดอินซูลินเอง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน (เบาหวานชนิดที่ 1) เพราะอาจเกิดเลือดเป็นกรดจากสารคีโตนคั่งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ และไม่แนะนำให้ปรับเพิ่มขนาดยาฉีดอินซูลินด้วยตัวเอง เว้นแต่ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดแล้วพบว่าสูง และต้องเคยได้รับคำแนะนำเรื่องการปรับขนาดยาจากแพทย์แล้วเท่านั้น ควรเก็บยาอินซูลินไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา แต่ถ้าใช้ตู้เย็นไม่ได้เนื่องจากถูกตัดไฟฟ้าก็สามารถเก็บยาฉีดอินซูลินได้ที่อุณหภูมิห้องนาน 1 เดือน โดยอย่าให้ถูกแสงแดด ความร้อน หรือความเย็นจัด นอกจากนี้ไม่ควรใช้ยาอินซูลินที่มีลักษณะผิดไปจากเดิม เช่น ยาจับตัวเป็นก้อน สีของยาเปลี่ยน และไม่ควรใช้หัวเข็มฉีดยาหรือยาฉีดร่วมกับผู้อื่น

ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อทั้งภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและน้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น ถ้ามีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลจากเลือดปลายนิ้ว จะช่วยในการวินิจฉัยภาวะดังกล่าวและเฝ้าระวังได้ง่ายขึ้น

อาการระดับน้ำตาลในเลือดสูง มักเกิดจากการขาดยารักษาเบาหวาน หรือหยุดฉีดยาอินซูลิน หรือทานอาหาร เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลมาก เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น และมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปทางปัสสาวะมากขึ้น ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ ริมฝีปากแห้ง หากได้รับน้ำและเกลือแร่ไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะเกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ มีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรง ไตวาย ซึมลงหรือหมดสติได้

หากเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน แล้วได้รับอินซูลินไม่เพียงพอ ร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานไม่ได้ จึงต้องสลายไขมันมาใช้แทน ทำให้เกิดสารคีโตนคั่งในเลือด ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ถ้ารุนแรงมากขึ้นจนเลือดเป็นกรด ผู้ป่วยจะหายใจเร็วและลึก อาจมีไข้หรือปวดท้องร่วมด้วย ถ้าไปรับการรักษาไม่ทันอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากมีอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คือ หิวน้ำบ่อย ปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะมาก ควรให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น และแก้ไขสาเหตุที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ต้องพาไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด

อาการระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้แก่ ผู้สูงอายุ มีความเสี่ยงมากกว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานอายุน้อย ทานอาหารได้น้อยกว่าปกติ หรือมื้ออาหารถูกงดหรือเลื่อนเวลาออกไปจากเวลาปกติ ในขณะที่ยังทานยารักษาเบาหวานหรือฉีดยาอินซูลินปริมาณเท่าเดิม เวลาเดิม ออกกำลังกาย หรือมีการใช้พลังงานมากขึ้น การทำงานของตับและไตเสื่อมลง

อาการเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้แก่ เหงื่อแตก ใจสั่น มือสั่น คลื่นไส้ เหงื่อออก รู้สึกหิว กระสับกระส่าย หากไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้สมองขาดน้ำตาลไปเลี้ยง จนทำให้เกิดอาการมึนงง ปวดศีรษะ สับสน ตาพร่ามัว ง่วงซึม หมดสติหรือชักได้ หากสงสัยว่าผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ให้ผู้ป่วยกินน้ำหวานหรือน้ำอัดลม 1 แก้วหรือน้ำผลไม้ 1 กล่อง หรือน้ำตาลก้อน 2 ก้อน หรือทานผลไม้ เช่น ส้มหรือกล้วย 1-2 ผล หรือลูกอมหวาน 3 เม็ด ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 15 นาที หรือผู้ป่วยหมดสติ ให้รีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด


--------

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลและโรคแทรก

1.สวมเสื้อผ้าที่มิดชิดและป้องกันน้ำได้ ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไป แต่ควรจะระบายความร้อนได้ดีเพื่อลดความอับชื้น และควรเป็นชุดสีสว่างเพื่อไม่ให้เก็บความร้อน

2.หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำ ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ตยางกันน้ำทุกครั้ง อาจสวมถุงเท้าเพื่อป้องกันการเสียดสีที่อาจทำให้เกิดบาดแผลบริเวณเท้า เมื่อลุยน้ำเสร็จแล้วให้รีบล้างเท้าด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง

3.หมั่นสำรวจเท้าทุกวัน โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าและฝ่าเท้า เพื่อดูว่ามีแผลรอยถลอก หรือแผลพุพองหรือไม่ ทำความสะอาดเท้าทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และทันทีเมื่อเท้าสกปรก ด้วยน้ำสบู่อ่อนและน้ำสะอาด (ไม่ควรใช้น้ำร้อน) และใช้ผ้าเช็ดเท้าและซอกนิ้วให้แห้งทุกครั้ง ถ้ามี

4.บาดแผลควรรีบทำแผลด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน และพบแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะตามความเหมาะสม กรณีบาดแผลสกปรกอาจต้องฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักด้วย ถ้ามีแผลน้ำกัดเท้าซึ่งมักเกิดบริเวณง่ามนิ้วเท้า และเกิดจากเชื้อรา ทำให้มีอาการคัน แสบ แตก ผิวหนังลอก การรักษาต้องทาด้วยยาฆ่าเชื้อราต่อเนื่องระยะหนึ่ง ร่วมกับดูแลเท้าให้แห้งสะอาด.




จาก .................. ไทยโพสต์ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 1 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 04-12-2011 07:10


'ไข้เลือดออก' ภัยร้ายน้ำท่วมขัง! เร่งทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ป้องกันได้

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/1515.jpg

สถานการณ์อุทกภัยขณะนี้เริ่มอยู่ในสภาวะทรงตัว บางพื้นที่น้ำเริ่มลดแล้ว ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ภัยของน้ำที่นิ่งเฉย นี้มีอะไรบ้าง โดยน้ำท่วมขังมีลักษณะคล้ายกับสภาพที่เกิดขึ้นหลังฝนตก ถือเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีของเหล่าเชื้อโรคต่างๆที่เป็นภัยร้ายต่อเรา อีกทั้ง น้ำท่วมขังยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุง โดยเฉพาะยุงลายทำให้ใครที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขังเสี่ยงเป็นโรค “ไข้เลือดออก” โดยเฉพาะเด็กอาจมีอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านบริหารความเสี่ยง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ความรู้ว่า ยุงลายมักจะชอบวางไข่ในน้ำที่นิ่งสะอาดและชอบกัดคนในเวลากลางวัน ทำให้หลังจากเกิดน้ำท่วมขังสักระยะหนึ่งเราจะพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นและอาจมีการแพร่ระบาดของโรคขยายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะในชุมชนที่แออัด เช่น ศูนย์ผู้อพยพ ถ้ายิ่งขาดสุขอนามัยที่ดีและขาดการควบคุมประชากรยุงที่มีประสิทธิภาพจะยิ่งทำให้พบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นได้หลังเกิดอุทกภัยน้ำท่วม

โรคไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมี 4 ชนิด คือ เดงกี-1 ถึงเดงกี-4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค สามารถแพร่เชื้อไวรัสเดงกีไปยังผู้อื่นได้หลังจากยุงลายดูดเลือดของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสและไปกัดคนอื่นต่อ โดยอาการของผู้ป่วยไข้เลือดออกมี 3 ระยะ คือ

1.ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงนานประมาณ 3-7 วัน และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ พบอาการชักได้ในเด็กเล็ก ซึ่งอาการไข้สูงลอย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มักไม่มีอาการของหวัดชัดเจน มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ตับโตและกดเจ็บ มีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง เลือดออกบริเวณเยื่อบุต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และอาจพบเลือดออกในกระเพาะอาหารด้วย

2. ระยะวิกฤติ เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีอาการไข้ลดลง ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจะมีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาออกจากเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะเลือดข้น และอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจะมีอาการที่สังเกตได้คือ อาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเร็ว และเบาลง มีความดันโลหิตต่ำ ถ้าหากมีอาการเช่นนี้ต้องรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด และ

3.ระยะพักฟื้น เป็นระยะที่ผู้ป่วยหายจากโรค อาการทั่วไปดีขึ้น เริ่มอยากรับประทานอาหาร ปัสสาวะเพิ่มขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจลดลง อาจมีผื่นแดงขึ้น โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง

การวินิจฉัยไข้เลือดออกแพทย์จะอาศัยอาการของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือด ซึ่งหลังจากการตรวจเลือดจะพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวและจำนวนเกล็ดเลือดลดลง กรณีที่มีการรั่วของน้ำเหลืองหรือพลาสมาจะมีความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นและตรวจพบน้ำในเยื่อหุ้มช่องปอด อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่าเป็นไข้เลือดออกจริงนั้นมีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางราย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนการรักษาโดยทั่วไปมักไม่จำเป็นต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยเฉพาะในระยะแรกของโรค

http://www.dailynews.co.th/sites/def...tos/1515/0.jpg

หากผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกในระยะแรก การรักษาที่สำคัญที่สุดคือการรักษาตามอาการ คือมีไข้ขึ้นสูงควรเช็ดตัวบ่อยๆ รวมทั้งรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล และหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน นอกจากนี้ยังแนะนำให้ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยสารน้ำที่แนะนำ ได้แก่ น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำที่มีสีแดงหรือสีดำ เนื่องจากกรณีผู้ป่วยอาเจียนออกมาอาจทำให้เข้าใจผิดว่ามีเลือดออกจากในกระเพาะอาหารได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขาดน้ำอย่างมากรวมทั้งมีภาวะช็อกซึ่งจะมีอาการมือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตต่ำ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาลโดยเร็ว

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอายุของผู้ป่วยไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นในเด็กโตและผู้ใหญ่ที่อายุไม่มากนัก ดังนั้นการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสเดงกีทำได้โดยการปราบยุงและลูกน้ำยุงลาย หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัดด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด และใช้ยากันยุงหรือนอนในมุง ทั้งนี้ควรมีการรณรงค์ให้ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลูกน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือหากพบลูกน้ำยุงลายในภาชนะใส่น้ำให้กำจัดโดยการใส่ทรายอะเบตลงไป และที่สำคัญคือการกำจัดหรือทิ้งทำลายภาชนะขังน้ำที่ไม่ได้ใช้แล้วไป เช่น ยางรถยนต์เก่า กระถางต้นไม้ที่แตกหัก และเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่นๆ ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆให้มิดชิด ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าว

ส่วนวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นอีกทางออกหนึ่งในการควบคุมและป้องกันไข้เลือดออก แต่ปัจจุบันวัคซีนยังอยู่ในขั้นทดลองใช้ โดยพบว่ามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง คาดการณ์ว่าจะสามารถนำวัคซีนมาใช้อย่างแพร่หลายได้ในอนาคตอันใกล้นี้

โรคไข้เลือดออกเป็นภัยร้ายที่มากับน้ำท่วมขังอย่างคาดไม่ถึง เพราะหากเป็นในระยะรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น การป้องกันควรเริ่มต้นที่ต้นตอด้วยการทำลายภาชนะขังน้ำ จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสเดงกีได้ เพียงแค่นี้ตัวเราและคนที่เรารักก็จะห่างไกลจากโรคร้ายอย่างไข้เลือดออกไปได้ท่ามกลางวิกฤติอุทกภัยครั้งนี้.




จาก .................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 4 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 04-12-2011 07:12


ป.ปลา กันภูมิแพ้

http://www.khaosod.co.th/view_resizi...360&height=360

เพราะเด็กเล็กกับเสียงหายใจดัง "วีซๆ" เป็นอาการปกติที่พบได้บ่อย จนพ่อแม่ส่วนใหญ่ละเลย คิดว่าไม่มีอันตรายในภายหลัง แต่รู้ไหมว่า นั่นคือสัญญาณเริ่มต้นของโรคภูมิแพ้เรื้อรังที่น่ากลัว

ดร.เอมม่า กอก ซอร์ ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโกเตนเบิร์ก สวีเดน ทดสอบทารก 4,171 คน ด้วยการเปรียบเทียบประวัติโภชนา การของเด็กๆ กับผลการตรวจสุข ภาพ ในวัย 6 เดือน 12 เดือน และ 4 ขวบครึ่ง ปรากฏว่า

ทารกที่เริ่มกินปลาเนื้อขาว จำพวกปลากะพง และปลาเก๋า หรือสุดยอดปลาทะเล อย่าง แซลมอน ก่อนอายุครบ 9 เดือน จะมีแนวโน้มปลอดภัยต่อภาวะ "วีซซิ่ง" หรือ อาการ "หายใจเสียงดัง" ได้มากถึงร้อยละ 50 เลยทีเดียว

แถมเมนูปลาจานเด็ดเหล่านี้ ยังมีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืดได้อีกต่างหาก เพราะเนื้อปลาเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม ซึ่งอุดมด้วยวิตามิน กรดไขมันโอเมก้า-3 ทั้งยังมีกรดอะมิโนจำนวนมาก ช่วยเสริมให้โปรตีนทำหน้าที่สร้างอวัยวะ และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้สมบูรณ์ขึ้นนั่นเอง




จาก .................... ข่าวสด คอลัมน์ เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ วันที่ 4 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 05-12-2011 08:45


คัน 'หู' คู่โรค

http://beta.dailynews.co.th/sites/de...cover/1614.jpg

อาการคันหูไม่เข้าใครออกใคร ความทรมานขึ้นอยู่กับคันมากคันน้อย ถ้าคันพอสังเขปเป็นรสชาติชีวิต แต่ถ้าคันยิกลิงเข้าก็เอาเรื่อง

“มุมสุขภาพ” วันนี้ “นพ.กฤษดา ศิรามพุช” ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกเล่าถึง อาการ “คัน” ยิ่งถ้าเป็นอวัยวะที่มีซอกหลืบเยอะอย่าง “หู” ก็มักตีคู่มากับการเกา และขั้นกว่าคือมีเครื่องมือช่วย นั่นคือ “ไม้แคะหู” อุปกรณ์คู่มือยิ่งเกายิ่งมัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกา และยิ่งเละ

เพราะการลากไม้แคะไปในท่อหูอ่อนๆ แต่ละครั้งจะทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆ ขึ้นมากมายโดยเราไม่รู้ตัว

ปรากฏการณ์เจ็บๆคันๆยันหูอื้อจำต้องมีผู้ร้ายที่ต้องหาให้เจอ เพราะบางทีถ้าเผลอไปคันเอาสุ่มๆจะเป็นเรื่องเนื่องด้วยหูเป็นอวัยวะซับซ้อนไม่ได้ใช้กั้นสมองอย่างเดียว หากแต่ช่วยในการทรงตัวให้เรายืนอยู่ติดพื้นได้ ถ้าเกิด “หูพัง” หรือ “หูดับ” จากเส้นประสาทขึ้นมาแล้วจะมีผลต่อการเดินดินของเรามากเลย

ซึ่งนับไปมาแล้วก็มีผู้ร้ายใกล้หูอยู่มากพอดู เริ่มจาก “แคะหูถี่” มีตัวช่วยเร่งปฏิกิริยาคือ “ไม้แคะหู” ถ้าเป็นไม้ธรรมดาก็ยังพอว่า แต่ถ้าหาไม้ไม่ได้แล้วจำต้องใช้ของใกล้ตัวอย่าง “เส้นผม” หรือ “ไม้จิ้มฟัน” แล้วละก็มีสิทธิ์ “หูป่วย” ได้เร็วขึ้น โดยเป็นได้ตั้งแต่รูหูอักเสบไปจนถึงแก้วหูทะลุหนองทะลัก วิธีแก้คืออย่าแคะหูถี่ไป โดยเฉพาะหลังอาบน้ำหูแฉะใหม่ๆ ไม่ควรแคะทันทีและถ้ามีอาการเจ็บๆคันๆ ก็อาจต้องให้คุณหมอช่วยส่องดูสักนิด เพราะอาจมีเชื้อราแพร่พันธุ์อยู่

http://beta.dailynews.co.th/sites/de...tos/1614/0.jpg

“มีอุบัติเหตุ” นอกจากการถูกกระทบกระแทกหูอย่างแรงจากการตกตึก, รถชน, ถูกสัมผัสบ้องหูด้วยหลังมือ แล้วอุบัติเหตุร้ายที่ทำลายหูที่สำคัญคือ “เสียง” ครับ เสียงที่ดังเกิน 70 เดซิเบล (บ้านอยู่ติดถนนก็ใช่แล้ว) ก็เริ่มทำลายการได้ยินของหู ถ้าดังมากเกิน 100 เดซิเบลจะทำลายประสาทหูชั้นในจนทำให้หูดับอย่างถาวรได้ การใช้หูฟังก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะหูฟังชนิดเสียบเข้าไปลึกล้ำแทบถึงก้านสมอง ต้องพักหูบ้าง

“ว่ายน้ำบ่อย” ฉลามน้อยฉลามใหญ่แต่ไม่ใช่ฉลามบกมักมีปัญหา “หูแฉะ” เพราะแคะหูหลังว่ายน้ำ และน้ำนั่นเองที่เป็นตัวทำให้ “หูเปื่อย” โดยเฉพาะท่อหูส่วนนอก นักว่ายน้ำเป็นกันมาก เรื่อง “หูส่วนนอกอักเสบ (External Otitis)” จนฝรั่งตั้งชื่อให้โรคนี้ว่าเป็นโรคหูนักว่ายน้ำ(Swimmer’s ear) อาการที่ว่าอาจเป็นในคนที่เพิ่งว่ายน้ำใหม่ๆก็ได้ เกิดจากหูเปียกแล้วมือไม่อยู่สุขไปแคะเข้า

และ “ร้อยภูมิแพ้” แก้ไม่ยากหาก “คุมแพ้” ให้อยู่หมัด อาการภูมิแพ้สามารถขึ้นไปจมูก, ลูกตา และหูได้ทำให้คันยุบยิบเชียว ท่านที่ขึ้นเครื่องบินจะสังเกตได้ว่าเวลาเครื่องขึ้นหรือลงจะมีเสียงเด็กร้องฟีเจอริ่งเข้ามาด้วยเสมอ เพราะอาการตันที่ท่อหูจากภูมิแพ้ทำให้เจ็บปวดมากเวลาเครื่องบินเปลี่ยนระดับจากความดันอากาศข้างใน ให้คุมโรคแพ้ด้วยการออกกำลังกับกินอาหารต้านแพ้จะช่วยได้มาก

ที่สำคัญการ “แก้ด้วยยา” ยาไม่ใช่ทางออกของร้อยโรคเสมอไป ยากินหลายอย่างที่ทำลายหูโดยเฉพาะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อกลุ่มแบคทีเรียทางเดินปัสสาวะและทางเดินอาหาร หรืออย่างยาฆ่าเชื้อ “วัณโรค” อย่างสเตร็ปโตมัยซินฉีดแล้วก็ทำให้ประสาทหูเสียได้ บางรายมีเสียงวิ้งๆหึ่งๆ น่ารำคาญเหมือนมีสถานีวิทยุหรือวงมโหรีไม่ได้รับเชิญอยู่ในหัว ฟังมากๆ พาลจะเป็นโรคประสาทเอา บางครั้งแม้หยุดยาแล้วอาการก็ยังไม่หายเพราะประสาทหูเสียถาวรไปแล้ว อยากขอวอนให้ใช้ยาตามความจำเป็น.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 5 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 21-12-2011 07:20


หายปวดฟันทันใจ 'เกลือสมุทร-สารส้ม'

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/4021.jpg
สูตรสามัญประจำบ้านบรรเทาอาการปวดฟันทุเลาลงในเวลาไม่ช้า ทำอย่างไรให้เกลือสมุทรกับสารส้มให้สรรพคุณแก้ปวดฟัน?

เวลามีอาการปวดฟัน ทรมานอย่าบอกใคร ผู้ที่เคยมีประสบการณ์คงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี 'มุมสุขภาพ' สรรหาสูตรยาภูมิปัญหาชาวบ้าน เสมือนเป็นยาแก้ปวดฟันแบบเฉพาะหน้ายามที่ยังไม่สามารถพบทันตแพทย์ได้

สูตรนี้ให้เตรียมเกลือสมุทรเอาไปตำให้ละเอียด 1/2 ช้อนชา และสารส้มที่นำไปตำละเอียดเช่นเดียวกันอีก 1/2 ช้อนชา ได้แล้วใส่ถ้วยเพื่อผสมให้เข้ากัน จากนั้นล้างมือให้สะอาด ก่อนใช้นิ้วป้ายส่วนผสมแล้วทาเข้าไปในช่องปากตรงบริเวณที่รู้สึกปวดฟัน ช่วยลดอาการปวดฟันได้ในไม่ช้า

หากเกรงว่าส่วนผสมจะกระจายตัวเร็วเกินไป ให้ห่อเกลือสมุทรและสารส้มละเอียดนั้นด้วยสำลีแผ่นบางหุ้มผ้าก๊อส เอาใส่ปากกัดเบาๆไว้ให้ตรงบริเวณที่ปวดฟันก็ได้เช่นกัน

แม้สารส้มจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะส่วนใหญ่ก็นิยมใช้สารส้มแกว่งน้ำเพื่อให้สิ่งสกปรกตกตะกอน แล้วนำนำมาไปดื่มไปใช้ แต่หากกินสารส้มในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้บางคนเกิดแพ้พิษของสารส้ม ซึ่งจะเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ซึม

อย่างไรก็ตาม หลังบรรเทาอาการปวดด้วยสูตรเกลือสมุทรกับสารส้มแล้ว ควรไปพบทันตแพทย์ตรวจหาสาเหตุของการปวดฟันและรับการรักษาให้ตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 21 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 24-12-2011 07:59


จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 1)


โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย คือ โรคพันธุกรรมระบบเลือดที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดความผิดปกติในการสังเคราะห์โปรตีนโกลบิน ซึ่งเป็นโครงสร้างของเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดแดงเปราะแตกง่าย โดยปกติเม็ดเลือดแดงจะทำหน้าที่นำออกซิเจนที่ได้รับจากการหายใจไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ไต กล้ามเนื้อ ทำให้ร่างกายอยู่ในสมดุลปกติ

ดังนั้น เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกจะส่งผลให้ร่างกายซีด เนื่องจากสารเหลืองจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงจะออกมาในกระแสเลือด ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง ร่างกายอ่อนเพลีย ถ้าเป็นมาก ตับ ม้าม จะทำงานหนักมากขึ้นในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงทดแทนที่ขาดไป และอาจมีภาวะหัวใจล้มเหลวจนถึงแก่ชีวิตได้ โรคธาลัสซีเมียถือได้ว่าเป็น “โรคประจำถิ่น” เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย สามารถ่ายทอดต่อกันได้ภายในครอบครัวโดยทั่วไป ผู้ที่มีพันธุกรรมของโรคธาลัสซีเมียแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

1.ผู้ที่มียีนแฝง (พาหะ)

ผู้ที่มีพันธุ์ (ยีน) ของโรคธาลัสซีเมียแฝงอยู่จะไม่แสดงอาการ ดังนั้นผู้ที่เป็นพาหะจะมียีนผิดปกติเพียงข้างเดียว และยังคงมียีนที่ปกติเหลือเพียงพอที่จะทำหน้าที่ทดแทนยีนที่ผิดปกติได้ สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ ซึ่งคนที่มียีนแฝงจะมีลักษณะหน้าตาปกติ และมีสุขภาพปกติเหมือนบุคคลทั่วๆ ไป ในประเทศไทยพบได้ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประชากรไทย 60 ล้านคน จะมีผู้ที่มียีนผิดปกติเหล่านี้ถึง 24 ล้านคน

2.ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียมีระดับความรุนแรงที่หลากหลาย ตั้งแต่ซีดเล็กน้อยหรือปานกลาง จนกระทั่งซีดมากและเรื้อรัง ตับและม้ามโต ต้องรับเลือดเป็นประจำ บางรายไม่เคยมีอาการเลย แต่เมื่อต้องประสบภาวะเจ็บป่วย มีไข้ติดเชื้อ บุคคลเหล่านี้จะมีอาการซีดลง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย ในขณะที่บางชนิดทารกที่เป็นโรคนี้อาจเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือตั้งแต่แรกเกิดไม่เกิน 1 วัน ในประเทศไทยพบผู้เป็นโรคนี้ประมาณร้อยละ 1 ของประชากร หรือประมาณ 6 แสนคน


โอกาสเสี่ยงและการถ่ายทอดของโรคธาลัสซีเมีย

โรคธาลัสซีเมียถ่ายทอดแบบพันธุ์ด้อย กล่าวคือ หากมีความผิดปกติเพียงยีนเดียวจะไม่ปรากฏอาการ แต่หากมีความผิดปกติของยีนทั้ง 2 ข้าง จึงจะแสดงอาการ ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคได้ทั้งเพศหญิงและเพศชายเท่าๆ กัน แบ่งได้เป็น 4 กรณี ดังต่อไปนี้

กรณีที่ 1

ถ้าท่านและคู่ของท่านเป็นพาหะหรือมียีนแฝงทั้ง 2 คน ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 25, มียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 25

กรณีที่ 2

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านมียีนแฝงคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสมียีนแฝงร้อยละ 50 และเป็นปกติร้อยละ 50

กรณีที่ 3

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนปกติ ในการตั้งครรภ์ทุกครั้ง ลูกของท่านทุกคนมีโอกาสมียีนแฝง หรือเท่ากับร้อยละ 100

กรณีที่ 4

ถ้าท่านหรือคู่ของท่านเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียคนใดคนหนึ่งและอีกคนมียีนแฝง ในการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ลูกของท่านมีโอกาสเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียร้อยละ 50 และมียีนแฝงร้อยละ 50

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 23 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 26-12-2011 07:51


ตาบวมทำไงดี

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/4543.jpg

มีหลายคนสงสัยว่าทำไมบางวันตื่นนอนขึ้นมาตาถึงบวม หรือบางทีร้องไห้มากๆ ก็ตาบวมเหมือนกัน จะเป็นสัญญาณอันตรายอะไรหรือไม่ แล้วจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เผื่อต้องออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอกจะได้ไม่อายใคร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาจักษุวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า อาการตาบวมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย เกิดจากน้ำที่เป็นส่วนประกอบของเลือดซึมออกมาคั่งที่บริเวณเนื้อเยื่อรอบเปลือกตา เป็นอาการที่ไม่รุนแรง และเป็นความผิดปกติของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน คนที่มีอาการดังกล่าวควรได้รับการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงว่า เกิดจากอะไร


สาเหตุของตาบวมที่พบบ่อย เช่น

1. ภูมิแพ้ แพ้ฝุ่น แพ้อาหารทะเล แพ้เกสรดอกไม้ อาจทำให้ตาบวมได้ โดยในคนที่เป็นภูมิแพ้นั้นมักจะมีอาการตาบวมในตอนเช้า

2. อาการตาบวมอาจมีสาเหตุมาจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจบีบตัวไม่เต็มที่ ทำให้เกิดการบวมบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ในตอนเช้าจะบวมที่หน้า ตอนเย็นบวมที่ขา หรือตอนนอนหน้าบวม ตาบวม กรณีเช่นนี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดหาสาเหตุที่แท้จริง

3. อาจเป็นธรรมชาติของคนๆนั้นที่ตาบวมง่าย

ส่วนปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการตาบวม เช่น การนอนดึก การร้องไห้ เป็นต้น การดื่มน้ำมากๆ ไม่มีผลทำให้ตาบวมแต่อย่างใด


วิธีแก้ปัญหาอาการตาบวม

ถ้าอาการบวมเกิดจากภูมิแพ้ หรือการแพ้ ก็ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้ กรณีนี้แพทย์อาจให้ยาแก้แพ้คนไข้ไปรับประทานด้วย ส่วนอาการบวมจากไตทำงานบกพร่อง หรือหัวใจทำงานไม่เต็มที่ก็ต้องไปรักษาที่ต้นเหตุ ปกติอาการตาบวมมักจะเป็น 2 ข้าง แต่ถ้าตาบวมข้างเดียวร่วมกับการอักเสบส่วนใหญ่จะเป็นตากุ้งยิง

ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้คนไข้ประคบด้วยความเย็นเพื่อลดอาการตาบวม ด้วยการใช้เจลแช่เย็นประคบรอบดวงตา ซึ่งความเย็นจะดึงน้ำกลับเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้อาการบวมลดลง นอกจากนี้อาจแนะนำการนอน เช่น ไม่นอนหัวราบ เวลานอนควรหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปกติ

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตว่า ให้ใช้แตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นๆ วางที่เปลือกตา หรือนำถุงชาที่ชงรับประทานแล้วไปแช่เย็นแล้วนำถุงชานั้นมาวางทาบบนเปลือกตา หรือ นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น มาวางทาบที่บริเวณดวงตานั้น รศ.นพ.ศักดิ์ชัย บอกว่า หลักสำคัญคือ เป็นการใช้ความเย็นลดอาการบวมจากเปลือกตานั่นเอง

สรุปว่าตาบวมนอกจากจะเป็นธรรมชาติของแต่ละคนแล้ว อาจเกิดจากภูมิแพ้ ไตหรือหัวใจทำงานผิดปกติก็ได้ ดังนั้นหากใครที่มีอาการตาบวมเป็นประจำไม่ควรนิ่งนอนใจควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง จะได้รักษาตรงจุด.




จาก .................... เดลินิวส์ คอลัมน์ x-ray สุขภาพ วันที่ 25 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 27-12-2011 07:15


จะทำอย่างไรเมื่อมีความเสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (ตอน 2)


ท่านจะทราบได้อย่างไรว่า "มียีนแฝง (เป็นพาหะ)" หรือเป็น “โรคธาลัสซีเมีย”

1. การซักประวัติครอบครัว

2. การวินิจฉัยโดยการเจาะเลือด ซึ่งเป็นการตรวจเลือดพิเศษที่เฉพาะเจาะจงในเรื่องโรคธาลัสซีเมีย

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มียีนส์แฝง (เป็นพาหะ) ของโรคธาลัสซีเมีย

ผู้ที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย มีโอกาสจะถ่ายทอดโรคไปสู่ลูกหลานได้ จึงควรวางแผนก่อนมีบุตรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นโรคนี้ ดังนั้น จึงควรพาคู่สมรสไปรับการตรวจเลือดก่อนจะมีบุตร ถ้าคู่สามีภรรยามียีนส์แฝงทั้งคู่ ไม่ได้มีข้อห้ามในการแต่งงานกันหรือมีบุตร คู่สมรสสามารถที่จะมีครอบครัวได้ตามปกติ แต่ก่อนตั้งครรภ์ ต้องทำการปรึกษาแพทย์ให้เรียบร้อย เพื่อทำการวินิจฉัยและคัดเลือกบุตรที่ความเป็นปกติมากที่สุด

คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย

สำหรับผู้ที่เป็นธาลัสซีเมียแล้ว การดูแลรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยได้แก่ ซีดมาก อ่อนเพลีย ติดเชื้อง่าย หัวใจทำงานหนัก เป็นนิ่วในถุงน้ำดี ม้ามโต และการดูแลรักษาสามารถทำได้โดยการรับเลือดเมื่อมีอาการซีดมาก และใช้ยาขับเหล็กในกรณีที่เหล็กในเม็ดเลือดแดงแตกออกมามีปริมาณมากและจับกับอวัยวะต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของธาลัสซีเมียที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลด้วย การรักษาให้หายขาดทำได้วิธีเดียว คือ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ในกรณีนี้ควรทำในผู้ป่วยที่อายุยังน้อย

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ป่วยธาลัสซีเมีย

1.ควรรับประทานผักสด ไข นม หรือนมถั่วเหลืองเป็นประจำ

2.ดื่มน้ำชาหลังอาหารเพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก

3.ควรตรวจฟันทุก 6 เดือนเนื่องจากฟันจะผุง่าย

4.งดการสูบบุหรี่และการดื่มสุรา

5.หลีกเลี่ยงการทำงานหนักและการเล่นกีฬาที่รุนแรง

6.ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวารุนแรง มีไข้และเหลืองมากขึ้น อาจเกิดจากถุงน้ำดีอักเสบ ควรรีบพบแพทย์

7.ในรายที่ตัดม้ามแล้วจะมีการติดเชื้อได้ง่าย เมื่อมีไข้สูงต้องทานยาลดไข้และยาปฏิชีวนะทันที แล้วรีบพบแพทย์

ดังนั้น กล่าวโดยสรุป คือ เมื่อมีความเข้าใจเรื่องโรคธาลัสซีเมียเป็นอย่างดี การเป็นพาหะหรือเป็นโรคไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรืออันตรายอีกต่อไป ถ้ายังมีข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ การขอรับคำปรึกษาทางพันธุกรรมจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญเป็นหนทางที่ดีที่สุด ความตระหนักในเรื่องการวางแผนครอบครัวของคู่สมรสที่เป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคธาลัสซีเมียใหม่ในประชากรไทย และทำให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงเป็นพลเมืองที่มีคุณค่าต่อไป

ข้อมูลจาก ดร.นพ.โอบจุฬ ตราชู อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคพันธุกรรมและมะเร็งในครอบครัว โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 26 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 27-12-2011 07:18


ผิวคล้ำใช่ว่าจะรอด (ยูวี)

http://www.bangkokbiznews.com/home/m...g_426500_1.jpg

รังสียูวีจากแสงแดด ตัวการเร่งการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นของผิวสาว แต่จะจริงแค่ไหนที่ว่า รังสียูวีแผลงฤทธิ์ทำร้ายสาวผิวขาวมากกว่าสาวผิวคล้ำ

รังสียูวีในแสงแดดแบ่งเป็น "ยูวีเอ" และ "ยูวีบี" โดยยูวีเอพบมากในแสงแดดช่วงเช้าและเย็น ส่วนยูวีบีจะพบมากในช่วงแดดจัดระหว่างวัน

รังสียูวีบีจะทำให้ผิวแสบร้อนและไหม้ เป็นรอยแดง ขณะที่ยูวีเอจะส่งผลต่อเม็ดสี (Pigmentation) เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง โรคแพ้แดด และอาจทำลายลึกถึงระดับดีเอ็นเอ

"40 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์มองเพียงแค่ยูวีบี เพราะเห็นผลที่เกิดกับผิวหนังได้ชัดและทันตา" โดมินิค โมยาล ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีและการปกป้องผิวจากแสงแดด ศูนย์วิจัยลอรีอัล ประเทศฝรั่งเศส และประธานคณะผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากแสงแดด ของสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งภูมิภาคยุโรป กล่าว

ผลจากการวิจัยล่าสุดกลับชี้ชัดว่า รังสียูวีเอ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีสัดส่วนในแสงแดดมีมากถึง 95% ให้ผลเสียต่อผิวหนังที่รุนแรง หยั่งรากลึกกว่ารังสียูวีบีหลายเท่า โดยจะทำร้ายเซลล์ผิวทีละน้อย อย่างสะสมไปเรื่อยๆ

ที่สำคัญ สำหรับคนผิวคล้ำ ที่มักคิดว่า แสงแดดและรังสียูวีที่ทำให้ผิวคล้ำ ไม่มีผลต่อพวกเธอนั้น คงต้องคิดใหม่ เพราะยิ่งผิวคล้ำ ความชะล่าใจที่จะอยู่กลางแดดมีมาก โอกาสที่รังสียูวีเอจะทำลายผิวให้เกิดร่องริ้วรอย ตลอดจนมะเร็งผิวหนังในระยะยาวย่อมมากตาม

"คนที่มีสีผิวคล้ำ จะมีเซลล์เม็ดสีเมลานินมาก ยูวีเอก็จะยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีเหล่านั้นทำงานมากขึ้น ความคล้ำยิ่งมากและคงอยู่นานกว่าเดิม และยูวีเอยังทำลายภูมิคุ้มกันของผิว เพิ่มโอกาสให้แพ้แสงแดดอีกด้วย" ผู้เชี่ยวชาญด้านยูวีกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญมีคำเตือนให้กับสาวเอเชียว่า โซนเอเชียมีรังสียูวีเอที่เข้มข้นกว่าโซนยุโรป 2 เท่าในช่วงฤดูหนาว และจะมากกว่าเป็น 4 เท่าในช่วงฤดูร้อน ดังนั้น สาวเอเชียจึงต้องการการปกป้องจากรังสียูวีเอมากกว่า

สำหรับการปกป้องผิวจากรังสียูวี ผลิตภัณฑ์ป้องกันแดดเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเลือกอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกโดยอ่านข้อมูลจากฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ โดยให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ (SPF) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีบี ร่วมกับค่าพีพีดี (ppd) ที่เป็นสัญลักษณ์ของประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีเอ

การป้องกันรังสียูวี สัดส่วนระหว่างค่าพีพีดีและเอสพีเอฟต้องไม่ต่ำกว่า 1:3 เช่น หากครีมกันแดดเอสพีเอฟ 60 ต้องมีค่าพีพีดีไม่ต่ำกว่า 20

โดยทั่วไปผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับค่าเอสพีเอฟ ยิ่งสูงยิ่งดี โดยไม่สนใจค่าพีพีดี ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

โมยาล อธิบายว่า มีการวิจัยทดสอบเปรียบเทียบระหว่างผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟเท่ากัน 2 ชิ้น แต่ชิ้นแรกมีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ และชิ้นที่ 2 มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ นำไปทาบนผิว แล้วใช้แสงยูวีในความเข้มข้นระดับต่างๆ

ผลปรากฏชัดว่า ผิวที่ทาผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีค่าพีพีดีน้อยกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ ปรากฏรอยดำคล้ำได้เร็วกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีมากกว่า 1 ใน 3 ของค่าเอสพีเอฟ

"แม้ยูวีบีจะทำให้ผิวไหม้เป็นรอยแดงทันทีเมื่อสัมผัสแดดนาน แต่ยูวีเอสามารถแสดงผลทันทีเมื่อผิวสัมผัสรังสียูวีเป็นเวลา 1-1.30 ชั่วโมง โดยผิวจะคล้ำลงเพราะยูวีเอกระตุ้นการทำงานของเมลานินที่ทำให้เกิดสีผิวคล้ำลง และความคล้ำจากยูวีเอยังคงอยู่นานถึง 4-12 เดือน ขณะที่ผิวไหม้แดงจากยูวีบีคงอยู่เพียง 1-2 วันเท่านั้น"

ฉะนั้น การเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด จึงต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพผิวและกิจกรรมระหว่างวันที่แตกต่างออกไป หากเป็นหน้าหนาวควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดี 12-13 แต่หากเป็นหน้าร้อนต้องมีค่าพีพีดีอยู่ที่ 25-28 แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับแสงแดด ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีพีดีสูงที่สุดที่มีจำหน่ายอยู่คือ 42

"แม้จะอยู่ในอาคาร อาจจะเลี่ยงยูวีบีได้ แต่หากอยู่ใกล้กระจกหรือหน้าต่าง หรือแม้กระทั่งขับรถ คงหนียูวีเอไม่พ้น เพราะรังสียูวีเอสามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ ดังนั้น การป้องกันผิวด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดจึงจำเป็น เพื่อผิวที่สดใส สุขภาพดี" คำแนะนำทิ้งท้ายจากผู้เชี่ยวชาญด้านรังสียูวี




จาก ...................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ สุขภาพ วันที่ 27 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 28-12-2011 06:53


7 ข้อตีแตกทุกปัญหาสิว

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/4966.jpg

ข้อแรก หาสาเหตุของการเกิดสิวให้ได้ ไม่ต้องแปลกใจที่ทำตามวิธีการรักษาสิวที่คนอื่นใช้ได้ผลแต่วิธีนั้นกลับไม่ได้ผลกับเรา เพราะสิวที่เกิดจากต่างสาเหตุก็ต้องรักษาต่างวิธี เช่นสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนสามารถรักษาได้ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก แต่หากเกิดสิวแบบเป็นตุ่มแดงและอักเสบ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยาแรงขึ้น เช่น ยาทาที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ ที่จะช่วยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนัง และละลายสิ่งสกปรกอุดตันตามรูขุมขนแต่ไม่ควรทายามากไปหรือโปะหนาๆ ลงบนบริเวณที่เป็นสิว เนื่องจากจะทำให้ผิวแห้ง วิธีทายาที่จะช่วยรักษาสิวและไม่ทำร้ายผิวคือทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิวเท่านั้น

ข้อต่อมาคือ ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างฉลาก หากซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาสิวเองโดยที่ไม่ได้ไปพบแพทย์ผิวหนังโดยตรง ต้องอดทนทำตามคำแนะนำข้างฉลากอย่างเคร่งครัด เพราะอาจไม่เห็นผลทันทีที่ใช้เหมือนยารักษาสิวที่ออกให้โดยแพทย์ แต่จะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่วางขายตามเคาน์เตอร์จะเห็นผลชัดเจนเมื่อใช้ 6-8 สัปดาห์ หากเกินกว่านี้แล้วไม่เห็นผลจึงควรเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่

ข้อที่สาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้กับผิวหน้าหรือใกล้ๆผิวหน้าเป็นออยล์-ฟรีและนอน-คอมิโดเจนิคหรือไม่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งอาจเกิดเพราะการแต่งหน้าโดยใช้รองพื้นหนาๆ หรือกลบด้วยคอนซีลเลอร์มากๆ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมเช่น ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันก็อาจทำให้เกิดสิวได้ ดังนั้นจึงควรชโลมครีมลงบนปลายผมเท่านั้น

ข้อสี่ หากรักษาสิวด้วยตัวเองแล้วไม่หายผลสักที ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพราะจะประหยัดเงินและเวลามากกว่า เนื่องจากแพทย์จะวินิจฉัยได้อย่างถูกต้องถึงสาเหตุแห่งการเกิดสิวและให้ตัวยาที่รักษาสิวได้อย่างตรงจุด รวมถึงให้คำแนะนำในการใช้ยาที่ไม่ทำร้ายผิวด้วย

ข้อที่ห้า หากเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ซึ่งสังเกตง่ายๆ คือมักเป็นสิวช่วงมีประจำเดือน สามารถรักษาได้โดยการทานยาคุมกำเนิด หรือยาที่ควบคุมระดับฮอร์โมน แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

ข้อหก สิวแบบซีสติค ซึ่งมีลักษณะเป็นถุงภายในมีหนอง และมักจะทิ้งรอยแผลเป็น หากรักษาแล้วไม่ได้ผลไม่ว่าจะทานยาแก้อักเสบหรือฉีดยา การทานโรแอคคิวเทน 6-8 สัปดาห์สามารถแก้ปัญหาสิวชนิดนี้ได้ แต่ควรทานภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด เพราะยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงคืออาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหรืออาจทำให้ทารกพิการได้ หากใช้ในหญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์

ข้อสุดท้าย ขจัดสิวบริเวณอกและแผ่นหลังด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายหรือครีมที่มีส่วนผสมของเบนซิลเปอร์ออกไซด์ แต่มีข้อเสียคือมักจะทำให้เสื้อผ้าเป็นรอยด่าง หรืออาจรักษาสิวบนใบหน้า แผ่นอกหรือหลังด้วยการทำเลเซอร์ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสิวได้ดี แต่ข้อเสียคือราคาแพง




จาก .................... เดลินิวส์ วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 28-12-2011 06:56


หยุดไวรัสตับอักเสบบี ตรวจหาเชื้อฟรี-สกัดมะเร็ง

http://www.khaosod.co.th/view_resizi...360&height=360

ไวรัสตับอักเสบ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ

จากสถิติพบว่าทั่วโลกมีผู้เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังกว่า 350 ล้านคน และมีผู้ได้รับเชื้อชนิดนี้กว่า 2,000 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยพบว่ามีผู้เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบีกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งมีสถิติพบว่าทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ไม่ได้รับการรักษา 1 ล้านคนต่อปี

รศ.น.พ.ธีระ พิรัชวิสุทธิ์ นายกสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย อธิบายว่า อาการทั่วไปของโรคไวรัสตับอักเสบ เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ

1.ระยะเฉียบพลัน จะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อน เพลีย ปวดชายโครง ตาเหลือง โดยจะมีอาการประมาณ 6 เดือน

2.ระยะเรื้อรัง จะอ่อนเพลีย มีอาการต่อมน้ำลายโต และตับแข็ง ซึ่งแพทย์จะต้องตัดชิ้นเนื้อหรือเอกซเรย์ดู จึงจะทราบอาการและส่วนมากหากเป็นขั้นรุนแรงก็จะมีชีวิตอยู่ได้แค่ 4-6 เดือน หากได้รับการรักษาส่วนมากจะเป็นอยู่ประมาณ 10-20 ปี หลังจากนั้นจะเข้าสู่อาการต่อไป คือ ตับแข็ง

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) เรื้อรังให้หายขาด แต่มีการรักษา 2 แบบ ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้โรคเลวร้ายลงและป้องกันโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โดยลดปริมาณไวรัสให้ต่ำลงเพื่อไม่ให้ทำลายเซลล์

การติดเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่เกิดจากแม่สู่ลูก ไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่เป็นเพราะทารกได้รับเชื้อจากเลือดของมารดา ซึ่งปัจจุบันเด็กแรกเกิดจะได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันขึ้น ส่วนคนทั่วไปในปัจจุบันที่ไม่ได้รับวัคซีนตั้งแต่แรกเกิด ส่วนใหญ่จะไม่มีภูมิคุ้มกัน และจะได้รับเชื้อจากช่องทางการมีเพศสัมพันธ์

ที่น่าเป็นห่วง คือ ไวรัสตับอักเสบส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าถึงระยะรุนแรงแล้ว โดยผู้ที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบบีมีความ เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงถึงร้อยละ 80

การตรวจหาเชื้อ ถือเป็นมาตรการสำคัญ ที่จะทำให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้ จึงควรตรวจหาเชื้อว่า ติดเชื้อหรือไม่ แล้วรีบรักษา และควรตรวจเพื่อหาภูมิคุ้มกันไปพร้อมกัน หากทราบว่า ไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็ควรรับวัคซีนเพื่อป้องกันไปตลอดชีวิต

สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และมูลนิธิโรคตับ ได้จัดโครงการ "หยุดไวรัสตับอักเสบบี ต้านภัยมะเร็งตับ เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา" รณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนรู้วิธีการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีที่ถูกต้องเหมาะสม โดยในปี 2555 นี้จะจัดกิจกรรมตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีฟรี 8,400 ราย ทั่วประเทศ




จาก .................... ข่าวสด คอลัมน์ รายงานพิเศษ วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 28-12-2011 06:57


แพทย์แนะกินปลา เพิ่มโอเมก้า 3

http://www.komchadluek.net/media/img...b7i58kefbg.jpg

จากวิถีชีวิต ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ที่แสดงถึงความสงบสุขทั้งกายและใจ ที่สมัยนี้เริ่มเลือนหายไปตามนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เข้ามาแทนที่ จึงเป็นสาเหตุที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบลคมอร์ส จากประเทศออสเตรเลีย จัดงาน "แบลคมอร์ส ฟู้ด ฟอร์ ทรู" เพื่อหวังส่งเสริมให้คนไทยเห็นประโยชน์ของโอเมก้า-3 ที่มีอยู่ในปลามากที่สุด โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบความจำและการเรียนรู้เป็นอย่างมาก

ภายในงานได้รับเกียรติจาก พญ.อรพิชญา ไกรฤทธิ์ หน่วยเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ว่า โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมีสารอีพีเอ ที่ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองสะอาด เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองดี เซลล์สมองก็จะแข็งแรง และสารดีเอชเอ อันเป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์สมอง ถ้ารับประทานเข้าไปจะสามารถซ่อมแซมส่วนสึกหรอของร่างกายได้ด้วย ทั้งนี้ สมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกา แนะนำให้รับประทานปลา สัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะในปลาอุดมไปด้วยโอเมก้า-3 ซึ่งคนที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจควรได้รับโอเมก้า-3 ประมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดจะต้องการปริมาณโอเมก้า-3 ที่มากกว่านั้น และอาจสูงถึง 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง

"นอกจากปลาทะเลที่ให้โอเมก้า-3 แล้วยังสามารถหาแหล่งโอเมก้า-3 ได้จากธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง เมล็ดถั่วต่างๆ พืชตระกูลน้ำเต้าได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับโอเมก้า-3 เพียงพอจากแหล่งอาหารข้างต้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาอาจเป็นอีกตัวช่วยที่สะดวกขึ้น แต่ต้องเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ผ่านการตรวจสอบปริมาณสารปรอทและตะกั่วซึ่งมักปนเปื้อนได้ง่ายในน้ำมันปลาที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงควรระบุปริมาณอีพีเอและดีเอชเอที่ฉลากให้ชัดเจนด้วย" พญ.อรพิชญา ให้คำแนะนำ

คุณหมอยังเสริมอีกว่า ควรให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และมีความหลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณสารที่จำเป็น ใส่ใจกับการฝึกสมาธิ การคิดในแง่บวก และเมื่อเกิดความเครียดให้หันไปออกกำลังกาย เพียงแคนี้ก็จะมีสุขภาพที่ดีได้ง่ายๆ




จาก .................... คม ชัด ลึก วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 28-12-2011 07:06


เตือนทุกบ้านรู้เท่าทัน 5 โรคที่มากับสายลมหนาว

http://pics.manager.co.th/Images/554000017422101.JPEG
ภาพประกอบจาก hometestingblog.testcountry.com

หนาวๆแบบนี้ นอกจากอากาศจะน่านอน และทำให้หลับสบายภายใต้ผ้านวมอุ่นๆกันแล้ว หากละเลยไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดี โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายก็มีสิทธิ์จะมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว โดยเฉพาะโรคที่มากับฤดูหนาวซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพลูกน้อยได้

ในวันนี้ ทีมงาน Life & Family มีข้อมูลดีๆจากศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพมาเตือนให้ทุกบ้านที่มีลูกเล็ก และผู้สูงอายุได้รู้เท่าทันโรคที่มากับอากาศหนาว ๆ กัน ซึ่งมีอยู่ 5 โรคที่พ่อแม่ควรเฝ้าระวัง ดังรายละเอียดต่อไปนี้


ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ ชื่อนี้ฟังแล้วอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆแล้ว มีอาการรุนแรงและมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้มากกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์บี ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ซีนั้นมีความรุนแรงน้อยและเกิดการระบาดเฉพาะในวงจำกัด สามารถติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม หรือหายใจรดกันในที่ที่มีคนอยู่แออัด

เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่ระบาดได้ทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว โดยกลุ่มอายุที่พบการติดเชื้อมากที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 4 ปี และกลุ่มเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คือกลุ่มผู้สูงอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ดังนั้นบ้านที่มีเด็กเล็กในช่วงนี้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย รวมไปถึงผู้สูงอายุซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วอาจมีอาการรุนแรงจึงถึงขั้นเสียชีวิตได้

สำหรับอาการของโรคจะรุนแรงและป่วยนานกว่าโรคไข้หวัดทั่วไป หลังจากเชื้อเข้าสู่ร่างกายประมาณ 1 ถึง 4 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการ ที่พบบ่อยคือ ไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก และอาจมีอาการคัดจมูก เจ็บคอ ถ้าป่วยอยู่นานอาจมีอาการไอเนื่องจากหลอดลมอักเสบ แต่โดยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติได้ภายใน 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่รายที่มีโรคแทรกซ้อนเช่นโรคปอดอักเสบก็อาจมีอาการรุนแรงจนทำอันต่อสุขภาพได้

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ มีแนวทางช่วยลดความเสี่ยงง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนที่ป่วยเป็นไข้หวัด

- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ

- หลีกเลี่ยงให้เด็กใช้มือสัมผัสใบหน้าของตนเองโดยไม่จำเป็น

- ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักอนามัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

- โรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ ตลอดจนกลุ่มเสี่ยงที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น

หากบ้านไหนที่มีลูกเป็นไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ มีหลักการดูแลเบื้องต้นดังต่อไปนี้

- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามตรากตรำงานหนัก หรือออกกำลังมากเกินไป

- ดูแลร่างกายให้อบอุ่นเสมอด้วยการสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่น หลีกเลี่ยงการถูกฝนหรืออยู่ในที่อากาศเย็น และไม่ควรอาบน้ำเย็น

- อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทได้ดี

- ควรดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น ควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายและช่วยลดไข้ รวมถึงช่วยทดแทนน้ำที่สูญเสียไปจากไข้สูง

- ควรรับประทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้

- ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

- เช็ดตัวลดไข้บ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กเพราะไข้อาจกระตุ้นให้ชักได้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งเช็ดตัว

- สวมผ้าปิดปากและจมูก เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และหมั่นล้างมือให้สะอาด

- กลั้วคอบ่อยๆด้วยน้ำสะอาด

- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ภูมิต้านทานโรคน้อย เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่กินยากดภูมิคุ้มกันอยู่


http://pics.manager.co.th/Images/554000017422102.JPEG

ไข้หวัดหมูไอโอวา เชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่

ไม่เพียงแต่ไข้หวัดใหญ่ในข้างต้นแล้ว "ไข้หวัดหมูสายพันธุ์ S-OtrH3N2" เป็นอีกหนึ่งโรคที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ประเทศสหรัฐอเมริกา แจ้งเตือนทั่วโลกให้ระวัง เพราะสามารถติดต่อสู่คนได้ เนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อทั้งหมด 7 รายโดยพบที่มลรัฐเพนซิลวาเนีย 3 ราย มลรัฐเมน 2 ราย และมลรัฐอินเดียนา 2 ราย ผู้ป่วยทุกรายเคยสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดหมูก่อนที่จะป่วย และเมื่อเดือนพฤศจิกายนพบเด็กที่ติดเชื้อเพิ่มอีก 3 รายที่มลรัฐไอโอวา โดยเด็กทั้งสามไม่เคยสัมผัสกับหมูมาก่อน จึงเป็นไปได้ว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ นอกจากนี้มีแนวโน้มที่จะพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวาเพิ่มขึ้น

สำหรับเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวา หรือไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ เกิดจากการรวมตัวของไวรัสไข้หวัดสองสายพันธุ์ คือสายพันธุ์ Influenza H3N2 ที่ทำให้เกิดโรคหวัดในหมู กับสายพันธุ์ Influenza H1N1 ที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ในคนและเคยแพร่ระบาดมาแล้วทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา จากการรวมตัวของไวรัสสองสายพันธุ์นี้ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่คือสายพันธุ์ S-OtrH3N2 ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่เคยมีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคนี้มาก่อน ทำให้เสี่ยงที่จะป่วยจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้

โดยรายละเอียดอาการของเด็กทั้งสามคนที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูไอโอวา มีดังนี้

รายที่ 1 เป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาตลอด ไม่เคยมีโรคประจำตัว เริ่มมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่

รายที่ 2 เป็นเด็กผู้ชาย เริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่หลังจากที่เด็กรายที่ 1 ป่วยได้สองวัน

รายที่ 3 เป็นพี่ชายของเด็กรายที่ 2 เริ่มมีอาการหลังจากน้องชายป่วยได้หนึ่งวัน

โดยผลการตรวจเสมหะทั้งสามรายพบเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ S-OtrH3N2 เหมือนกัน

ด้านปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กกลุ่มนี้ติดเชื้อ น่าจะเกิดจากการที่เด็กทั้งสามคนเคยไปร่วมงานเลี้ยงเดียวกัน และอยู่ใกล้ชิดกัน ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่เด็กรายที่ 1 เริ่มมีอาการนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กทั้งสามคนรวมถึงสมาชิกทุกคนในครอบครัวไม่เคยมีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับหมูมาก่อน จึงเป็นไปได้ว่าเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ชนิดนี้น่าจะแพร่ติดต่อจากคนสู่คนได้

อย่างไรก็ดี วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในเด็กได้ แต่สามารถป้องกันการติดเชื้อในผู้ใหญ่ได้บางส่วนเท่านั้น ขณะนี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดหมูไอโอวา และกำลังผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสสายพันธุ์ S-OtrH3N2 นี้โดยตรง

แต่ที่น่าห่วงคือ เชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ดื้อต่อยาต้านไวรัสที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน หากสงสัยการติดเชื้อไข้หวัดหมูหรือไข้หวัดหมูไอโอวา ให้ส่งเสมหะตรวจเพื่อยืนยันสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส และพิจารณารักษาด้วยยาโอเซลทามิเวียร์ตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษา และต้องรายงานจำนวนผู้ป่วยไปยังศูนย์ควบคุมโรคทุกราย นอกจากนี้ยังแนะนำให้ประชาชนที่สัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดหมู เมื่อมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยยืนยันการติดเชื้อทุกราย

สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้เฝ้าระวังการระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด รวมถึงเตรียมยาต้านไวรัสให้เพียงพอในกรณีที่เกิดการระบาด ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรตื่นตระหนก และลดความเสี่ยงด้วยการหลีกเลี่ยงให้ลูกเดินลุยน้ำหรือแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน และควรรักษาร่างกายให้อบอุ่น ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น รับประทานอาหารที่สุกสะอาด ล้างมือเป็นประจำก่อนที่จะรับประทานอาหาร ตามแนวทางป้องกันโรคด้วยวิธี “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อยู่เสมอ


โรคปอดบวม

หนาวๆแบบนี้ อีกหนึ่งโรคที่เด็กเป็นกันบ่อยคือ "ปอดบวม" หรือหรือโรคนิวโมเนีย เป็นโรคติดเชื้อที่ปอดซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังเกิดจากการติดเชื้อโรคชนิดอื่นๆได้อีกด้วย เช่น เชื้อไมโคพลาสมา และเชื้อรา เมื่อปอดติดเชื้อ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะส่งเม็ดเลือดขาวมาที่เซลล์ปอด และเกิดปฏิกิริยาจากการทำลายเชื้อโรค ทำให้เซลล์ปอดบวมใหญ่ขึ้น

เมื่อเชื้อโรคถูกทำลายแล้วจะทำให้เกิดหนองหรือของเหลวท่วมขังอยู่ภายในถุงลมปอด ทำให้เกิดอาการไอ หายใจลำบาก และหอบเหนื่อย โรคนี้พบบ่อยช่วงระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาว หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนมีนาคม และจากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ.2544 ถึง พ.ศ. 2553 พบว่ามีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 4 ปี รองลงมาคือกลุ่มผู้สูงอายุที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ดังนั้นเด็กเล็กและผู้สูงอายุควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

อาการของโรคปอดบวมนั้น จะพบอาการไข้ ไอ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หายใจแรงจนรูจมูกบาน หรือหายใจแรงมากจนหน้าอกบุ๋ม และถ้าเกิดหลอดลมภายในปอดตีบก็อาจได้เกิดเสียงหายใจวี๊ด ส่วนรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจทำให้ภาวะหัวใจล้มเหลว และถ้าหายใจลำบากอยู่นาน จะทำให้ขาดออกซิเจน ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการหงุดหงิดง่าย หรือซึมลง หรือหมดสติในที่สุด

ทางที่ดี พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงพาลูกไปยังสถานที่ที่มีคนมาก เช่น ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรนำเด็กเล็กไปในสถานที่ดังกล่าว หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ ควันไฟ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ หรืออากาศที่หนาวเย็น ไม่ควรให้เด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปีและผู้ที่สุขภาพไม่แข็งแรงไปอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย ที่สำคัญควรไปปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับตัววัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค

(มีต่อ)

สายน้ำ 28-12-2011 07:07


เตือนทุกบ้านรู้เท่าทัน 5 โรคที่มากับสายลมหนาว ....... (ต่อ)

http://pics.manager.co.th/Images/554000017422103.JPEG
ภาพประกอบจาก besteducationpossible.blogspot.com

โรคหัด

เป็นอีกโรคที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกันกับ "โรคหัด" เกิดจากเชื้อไวรัสรูบิโอลา ซึ่งพบมากในน้ำลายของผู้เป็นโรค ซึ่งติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วมากด้วยการไอ จาม หายใจรดกัน หรือใช้สิ่งของร่วมกัน โรคหัดเกิดได้กับทุกอายุและพบบ่อยในเด็กที่อายุระหว่าง 2 ถึง 14 ปี และพบได้ตลอดปี ส่วนมากเกิดในช่วงฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูร้อน

สำหรับอาการ เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคหัดเข้าไปประมาณ 7 วันจึงจะเริ่มมีอาการช่วงแรกคล้ายไข้หวัด และมีไข้สูงตลอดเวลา รับประทานยาลดไข้แล้วไข้ก็ไม่ลด อ่อนเพลีย ซึมลงหรือกระสับกระส่าย ร้องกวน เบื่ออาหาร น้ำมูกใส ไอแห้ง น้ำตาไหล ไม่สู้แสง หนังตาบวม บางรายอาจถ่ายเหลวบ่อยเหมือนท้องเดิน หรืออาจชักจากไข้ ต่อมาผื่นจะเริ่มขึ้น โดยลักษณะผื่นนั้น เป็นจุดแดงเล็กๆ ขนาดเท่าหัวเข็มหมุด และเริ่มเห็นผื่นขึ้นที่บริเวณตีนผมและซอกคอก่อนเป็นอันดับแรกแล้วลามไปตามใบหน้า ลำตัวและแขนขา ผิวหนังโดยรอบอาจเป็นสีแดงระเรื่อ บางครั้งอาจมีอาการคันเล็กน้อย ผื่นจะไม่จางหายไปทันทีแต่จะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 3 วันนับจากวันแรกที่ผื่นเริ่มขึ้น หลังจากผื่นจางลง มักเปลี่ยนเป็นสีคล้ำในช่วงแรก โรคหัดส่วนใหญ่หายได้เองและเกิดโรคแทรกซ้อนน้อย

แต่เมื่อเป็นแล้ว ควรรักษาและปฏิบัติตัวเหมือนโรคไข้หวัดทั่วไป คือ พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ ไม่อาบน้ำเย็น ควรกินยารักษาตามอาการ เช่นยาลดไข้ ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะในช่วงแรก เพราะถ้าแพ้ยาจะทำให้บอกความแตกต่างระหว่างผื่นแพ้ยากับผื่นโรคหัดได้ยาก ถ้ามีอาการไอ เสมหะเริ่มข้นหรือเขียว หรือหายใจมีเสียงวี๊ด (Wheeze) เนื่องจากหลอดลมตีบ ควรพบแพทย์


โรคไข้สุกใส

ปิดท้ายกันที่ "โรคอีสุกอีใส" หรือไข้สุกใส ส่วนใหญ่เกิดกับเด็กเล็ก วัยรุ่น ไปจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยการระบาดมักพบในช่วงต้นปีตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ วาริเซลลา หรือฮิวแมนเฮอร์ปี่ไวรัส ชนิดที่ 3 ซึ่งเป็นเชื้อเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด ไวรัสชนิดนี้ติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หรือการสัมผัสถูกตุ่มแผลสุกใสหรืองูสวัดโดยตรง หรือสัมผัสถูกของใช้ เช่น ที่นอน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่เปื้อนตุ่มแผลของผู้ป่วย

สำหรับอาการในเบื้องต้น เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายแล้วจะใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 20 วันจึงจะเริ่มมีอาการ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่นำมาก่อน ต่อมาจึงเริ่มมีผื่นแดงที่อาจเกิดขึ้นพร้อมกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังจากมีไข้ จะเป็นผื่นแดงราบก่อนแล้วจึงเปลี่ยนกลายเป็นตุ่มนูนมีน้ำใสอยู่ภายในและมีอาการคัน

โดยตุ่มน้ำใสนี้ มักเริ่มขึ้นที่หนังศีรษะตามไรผมก่อนแล้วจึงลามไปที่ใบหน้า แผ่นหลัง ลำตัว แขนและขา ทยอยขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน บางคนอาจมีตุ่มแผลขึ้นในช่องปาก ทำให้เจ็บคอ ลิ้นเปื่อย ปากเปื่อย อีกลักษณะที่สำคัญคือตุ่มนูนใสนี้มักจะไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย ดั้งนั้นจึงพบว่าบางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ ในขณะที่อวัยวะส่วนอื่นขึ้นเป็นตุ่มนูนใส หรือบางที่เป็นตุ่มหนอง หรือบางที่ผื่นสุกที่เริ่มตกสะเก็ด

เด็กที่เป็นโรคไข้สุกใสส่วนมากจะหายเองได้ แต่ต้องระวังอย่าให้เกิดโรคแทรกซ้อน และที่สำคัญ ไม่มียาต้านไวรัส ดังนั้นการดูแลรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอกินยาลดไข้เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามกินยาลดไข้ชนิดแอสไพริน เนื่องจากทำให้ตับอักเสบรุนแรงได้

นอกจากนั้นควรตัดเล็บให้สั้น หลีกเลี่ยงการแกะเกาตุ่มคันสุกใส เพราะนอกจากจะกลายเป็นแผลเป็นที่รักษายากแล้ว ยังทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในเล็บและผิวหนังจนเกิดโรคผิวหนังแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียดังกล่าวอาจแพร่เข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะต่างๆ เช่นที่ปอดจนเกิดฝีในปอดได้

อย่างไรก็ดี อาการไข้สุกใสจะค่อยๆทุเลาได้เองภายใน 1 ถึง 3 อาทิตย์ ในระยะนี้ให้ระวังโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น แก้วหูอักเสบ ปอดอักเสบ ตับอักเสบ หรือ ติดเชื้อในสมอง ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดหู หรือไอ หายใจเหนื่อย เจ็บหน้าอก หรือ ตาเหลืองตัวเหลือง (ดีซ่าน) หรือ ปวดศีรษะมาก ซึมลง ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาเพิ่มเติม

ในด้านของการป้องกัน คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงให้ลูกสัมผัสกับผู้ป่วยโรคสุกใสโดยตรง ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ ควรทำร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ที่สำคัญควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคสุกใส โดยสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 4 ถึง 6 ขวบ ปัจจุบันมีวัคซีนรวมของสุกใสและหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) ทำให้ถูกฉีดวัคซีนน้อยครั้งลง

รู้แบบนี้แล้ว เรามาป้องกันตัวเองและลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคภัยที่มากับสายลมหนาวกันดีกว่าครับ




จาก .................... ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ Life & Family วันที่ 28 ธันวาคม 2554

สายน้ำ 02-01-2012 08:23


12 วลีฮิต ติดปากหมอ ที่ต้องขอแปล

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/5512.jpg
คุณหมอพร้อมขยายความ วลียอดฮิตหมอใช้พูดกับคนไข้ ฟังแล้วอาจสับสน ขนหัวลุกกันเป็นแถว


สวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน กลับมาพบกับ ‘มุมสุขภาพ’ ครั้งแรกของปี พ.ศ.2555 นี้ พร้อมเรื่องราวสุขภาพน่ารู้ที่หลากหลายขึ้นกว่าเดิม ประเดิมตะลุยโรงหมอ กับ ‘นพ.กฤษดา ศิรามพุช’ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ร่วมไขความกระจ่างวลีฮิตๆที่คุณหมออาจทำให้คนไข้สับสน

นพ.กฤษดา เล่าว่า บุคคลแต่ละวิชาชีพมักจะมีลีลาการใช้ภาษาไทยที่เฉพาะตัว อย่างคำพูดของคุณหมอกับคนไข้มักมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ “สั้นๆ” แต่บางทีชวนให้คนไข้คิดไปไกล ดังที่เคยมีคนไข้ท่านหนึ่งไปตรวจมะเร็งปากมดลูกมาแล้วคุณหมอบอกว่าผลเป็น “เซลล์ผิดปกติ”…แค่นี้คนไข้ก็ขนหัวลุกแล้ว

เพราะคำอย่างนี้ในภาษาไทยเขาเรียกว่า “คำเปิด” ครับ คือความหมายกว้างมาก อย่างน้อยก็ 2 แง่ ผิดปกติแต่ไม่ใช่มะเร็ง กับผิดปกติแบบมะเร็ง หรืออย่างคนไข้ถูกบอกว่าพบ “เนื้องอก” พอบอกแล้วคุณหมอก็ไป ทิ้งหน้าที่กังวลไปทั้งวันให้กับคนไข้ที่ไม่ได้ความกระจ่าง จนบางครั้งร่ำๆจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ

คนไข้บางท่านอาจคิดว่า เซลล์ผิดปกติหรือเนื้องอกก็เท่ากับ “มะเร็ง” แล้ว น้อยคนที่จะคิดว่า เซลล์ผิดปกติ คือ เซลล์ที่มันเปลี่ยนแปลงไปจากการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งรักษาได้พอหายก็จะกลับมาเป็น “เซลล์ปกติ” ได้ในสามวันเจ็ดวัน

เพื่อป้องกันปรากฏการณ์ช็อค!!! เมื่อรับฟังคำพูดจากคุณหมอนั้น นพ.กฤษดา อยากขอนำคำพูดติดปากแบบ “หมอๆ” มาแปลให้ฟังกัน ซึ่งก็อาจไม่เป็นดังนั้นเสมอไป

เริ่มที่วลีว่า "ต้องผ่าตัด" เมื่อใดที่พูดถึงผ่าๆ เฉือนๆ ขอเตือนไว้ว่าให้ขอ “ความเห็นอื่น” จากผู้เชี่ยวชาญด้วยจะช่วยได้มาก หากไม่จำเป็นท่านก็ไม่ต้องเอาตัวไปรองเขียงให้เขาสับไม่ดีหรือ ความลับก็คือถ้าไปโรงพยาบาลเอกชนแล้วถูกพิพากษาให้ผ่า ขอให้ถนอมตัวไว้มาหาความเห็นกับหมอที่โรงพยาบาลรัฐอีกทีก็ดี

ต่อมา "เจ็บนิดเดียว" คำนี้สร้างความเสียวได้มาก เพราะถ้าหมอบอกว่าเจ็บนิดเดียวส่วนใหญ่จะเจ็บเยอะ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางท่านที่มีขีดความอดทนสูงก็อาจบอกว่าจริงแล้วไม่เจ็บเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าให้ดี ท่านก็ถามไปตรงๆเลยว่าถ้าเจ็บมากคุณหมอจะฉีดยาชาหรือดมยาสลบให้ไหม?

"โรคนี้ไม่หาย" คนป่วยไม่อยากได้ยินคำนี้จากปากหมอเป็นที่สุด ทั้งที่จริงคำนี้หมายความว่า ไม่หายแต่ดีเป็นปกติได้ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเองที่ไม่มีวันหายแต่ก็มีช่วง “อาการสงบ (Remission)” ที่คนไข้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ หรืออย่าง เบาหวาน, ความดันสูง และมะเร็ง ที่ไม่หายแต่ก็ต้องรักษาและคุมอาหาร อย่าไปคิดว่าอย่างไรก็ไม่หาย จะกินอะไรก็ได้ตามใจปาก มันจะทำให้ทั้งไม่หายและเพิ่มความทรมานขึ้นมาได้

"รอแป๊บเดียว" ตะเภาเดียวกับเจ็บนิดเดียวแหละครับให้รอแป๊บแต่นานเหมือนชั่วกัลป์ อย่าไปคิดเสมอว่าถ้าแป๊บเดียวของหมอจะสั้นเท่ากับเวลาเราทานข้าวกับแฟน ไม่เลย แป๊บเดียวในเคสผ่าตัดบางรายนานนับชั่วโมงหรือเป็นวัน ถ้าเป็นหมอที่นั่งตรวจก็ขึ้นกับชนิดโรคคนไข้ บอกไม่ได้ว่าจะใช้เวลา 15 นาทีเท่ากันหมดเหมือนสั่งไก่ทอด

"ต้องใช้เวลา" ถ้าโดนคำนี้ก็ให้บวกเผื่อ(ใจ)ไว้ด้วย จะได้ไม่เครียดจนจิตตก เพราะบางโรคต้องรักษากันเป็นมหากาพย์ อย่างภูมิแพ้ที่เป็นโรครักษาไม่หาย แต่จะมีช่วงที่สบายดีเป็นปกติด้วย หรือว่าโรคผิวหนังบางอย่างก็กินเวลานานในการรักษา ถ้ากังวลใจจริงอาจถามให้คุณหมอช่วยประมาณเวลาให้ด้วยก็จะช่วยลดแรงกดดันได้

"เซลล์ผิดปกติ" ท่านที่ไปตรวจชิ้นเนื้อตามองคาพยพต่างๆ ทั้งเต้านม, เนื้องอก, ปากมดลูก ถ้าคุณหมอบอกผลมาว่า เซลล์ผิดปกติอย่าเพิ่งตกตื่นใจไปครับ แม้บางครั้ง worst case จะมีโอกาสเป็นเนื้อร้ายได้ แต่คำว่าเซลล์ผิดปกติก็แค่จำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมให้มั่นใจขึ้นเท่านั้นเอง

"โรคยังหาสาเหตุไม่ได้" มาจากภาษาฝรั่งว่า “Idiopathic” วลีนี้พบบ่อยเป็นข้อพิสูจน์ว่าใครว่าการแพทย์ฝรั่งเจริญที่สุด ท้าพิสูจน์ให้ไปเปิดตำราแพทย์หาสมุฏฐานแต่ละโรคเลยครับท่าน จะพบคำว่ายังหาสาเหตุไม่พบนี้จนลายตาเลย คุณหมอไทยเลยเคยชินนำมาใช้บ้างเผยแพร่ความไม่กระจ่างออกไปให้ฝรั่งบ้างไทยบ้างงงกัน ถ้าท่านได้ยินคำนี้ ก็ยังไม่ต้องหัวเสีย บางทีตัวท่านเองจะมีคำอธิบายได้ดีกว่า

"นอนโรงพยาบาล" ได้ยินคำนี้จากโรงพยาบาลเอกชนอย่าเพิ่งยิ้มกริ่มเตรียมนอนเสมอไป ถ้าท่านยังไม่อยากนอนหรือยังสงสัยก็ยังไม่ต้องนอน เพราะยุคนี้เป็นนิดหน่อยก็ “เชียร์” ให้นอนกันจัง คนไข้ที่น่าสงสารก็ไม่รู้เลยว่าเป็นการรับเชื้อแบบเน้นๆในการนอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง เพราะโรงพยาบาลเขาฉลาด แต่งให้เหมือนโรงแรมแต่เรื่องเชื้อโรคภัยไข้เจ็บน่ามีมากกว่าอยู่แล้ว

"ไม่ร้อยเปอร์เซนต์" คุณหมอส่วนใหญ่ไม่ฟันธงครับเพราะไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซนต์ทางการแพทย์อยู่แล้ว ปาฏิหาริย์บางครั้งก็เกิดได้ คนที่นอนนิ่งเป็นอัมพาตยังกลับลุกขึ้นมาใหม่ได้เฉย ในทางตรงข้ามคนดีๆก็อาจฟุบไปได้เหมือนกัน ฉะนั้นการได้ยินคุณหมอบอกว่า “คุณปกติ” ไม่ได้แปลว่า “สุขภาพดี”

"เป็นพันธุกรรม" คำที่ถูกใช้กับบางโรค เช่น ความผิดปกติแต่แรกเกิด, เบาหวาน, แพ้ภูมิตัวเอง, มะเร็ง คำนี้ถ้าท่านได้ยินเข้าอย่าเข้าใจผิดว่าพันธุ์เราไม่ดีหรือต้องมีพ่อแม่ปู่ย่าป่วยด้วยโรคเดียวกัน เพราะมันอาจหมายถึงได้ว่า อณูที่ผลิตเซลล์ในตัวเราไม่ดีเลยสร้างความผิดปกติขึ้นมาเวลาเรายิ่งโตขึ้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

"ทานยาให้ครบ" คำนี้มักใช้พูดกับยาประเภทฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะครับ คุณหมอพูดทีคุณเภสัชพูดอีกทีย้ำจนเข้าไปก้านสมอง เป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้วครับแต่ถ้าท่านทานแล้วเกิดอาการแพ้และไม่แน่ใจให้หยุดทานได้ แล้วรีบกลับมาถามหมอ อย่ารอทานจนครบ หรือแค่อาการไม่ดีขึ้นท่านก็กลับมาให้คุณหมอดูใหม่

และวลีสุดท้าย "อดอาหารก่อนเจาะเลือด" คำนี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่มักพูดก่อนถูกนัดเจาะเลือด หัวใจสำคัญคือไม่อยากให้น้ำตาล, ไขมันและสารในอาหารอื่นๆเข้าไปกวนเลือด แต่ไม่จำเป็นต้อง “งดน้ำเปล่า” ดื่มได้ถ้าเป็นการเจาะเลือดตรวจสุขภาพธรรมดา อย่าเป็นน้ำหวานก็แล้วกัน

ปัญหาสำคัญสุดที่น่าเห็นใจคนไข้คือ “ไม่กล้าถาม” ครับเพราะอาจเคยมีประสบการณ์โดนดุมา เมื่อความสงสัยมากเข้าก็ไปเปิดฉากถามเอากับคุณพยาบาล, คุณเภสัชกรและคนอื่นที่ไม่ใช่หมอ ดังนั้นสิ่งที่ผมคุยกับนิสิตเสมอก็คือคุณหมอต้องเป็น “นักสื่อสารมวลชน” กลายๆไปด้วย พูดยังไงไม่ให้คนไข้ป๊อด หรือคุยกับญาติอย่างไรด้วยภาษาง่ายๆ.




จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 2 มกราคม 2555

สายน้ำ 07-01-2012 08:13


บำรุงให้ถูกหลักห่างไกล “สมองเสื่อม”

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/6356.jpg

คิดๆเท่าไรคิดไม่ออกสักที เชื่อว่าหลายคนเคยประสบกับปัญหาเหล่านี้ ยามสมองมึนๆตื้อ คิดไม่ออก นั่นก็เพราะสมองขาดการบำรุงดูแลเอาใส่ใจนั่นเอง ทั้งที่ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าส่วนไหนๆ ด้วยเหตุนี้ ซาน โบเวอร์แมน นักโภชนาการที่ปรึกษาเฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด จึงแนะเคล็ด (ไม่) ลับ บำรุงให้สมองแล่น แบบง่ายๆใกล้ตัวให้คงสมรรถภาพดีเยี่ยมแข็งแรงตลอดชั่วอายุ เอาฤกษ์เอาชัยรับปีใหม่กัน

“ผัก ผลไม้ ออกกำลังกาย ดีต่อความทรงจำ” สิ่งที่ดีต่อร่างกายคือ สิ่งที่ดีต่อสมองเช่นเดียวกัน อาหารที่ทำให้สมองแข็งแรง จึงเป็นอาหารชนิดเดียวกับกลุ่มอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและโรคเบาหวาน อาหารจำพวกนี้ได้แก่ ผักและผลไม้, “โฮลเกรน” ธัญพืชเต็มเมล็ดไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด, ไขมันดี และอาหารที่ให้โปรตีนแต่ไขมันต่ำ นอกจากนี้การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะส่งเสริมให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

เติมพลังงานให้สมอง ด้วย “กลูโคส” ซึ่งมีแหล่งกำเนิดจากการย่อยของอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง การมีกลูโคสในเลือดปริมาณเหมาะสม มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างพลังงานแก่สมอง สังเกตได้จากการที่เรารู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือเวียนศีรษะ หากต้องทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดตกฮวบลงอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบทำให้สมองไม่สามารถคิดอย่างมีประสิทธิภาพได้ ด้าน คาร์โบไฮเดรต ควรเลือกรับประทานชนิดดี พบในผัก, ผลไม้, ธัญพืชโฮลเกรน ถั่ว และน้ำตาลธรรมชาติในผลิตภัณฑ์นม ส่วนขนมหวานและลูกกวาด ไม่ใช่อาหารที่เสริมสร้างร่างกายและจิตใจให้มีสุขภาพดี เพราะไม่มีวิตามิน, เกลือแร่ และสารอื่นๆ จากพืช

“ไขมันและกรดไขมัน” น้ำหนักของสมองประกอบด้วยไขมันร้อยละ 70 ล้วนถูกหุ้มด้วยปลอกที่เป็นไขมัน ดังนั้นร่างกายจึงต้องการไขมันดี เพื่อทำให้โครงสร้างของสมองแข็งแรง การบริโภคเนื้อปลาและอาหารเสริมพวกน้ำมันปลา ซึ่งเป็นแหล่งให้ “ดีเอชเอ” ดีที่สุดแหล่งหนึ่งอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ยังพบในถั่วล้วนอุดมด้วยไขมันไม่อิ่มตัวและมีวิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ด้าน โปรตีน ก็เป็นอีกปัจจัย เนื่องจากกรดอะมิโนจากโปรตีน ถูกนำไปใช้สร้าง “สารสื่อประสาท” สารเคมีพิเศษที่เซลล์สมอง ใช้ในการรับและส่งสัญญาณต่างๆ พบได้ใน ถั่วชนิดต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา และถั่วเมล็ดแบน โปรตีนจากสัตว์ เช่น อาหารทะเล, เป็ด, ไก่, เนื้อไร้มัน และผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ

การบริโภค ผักและผลไม้หลากสี ช่วยลดผลกระทบอันไม่พึงประสงค์จากอนุมูลอิสระต่อสมอง พร้อมยังเป็นแหล่งอุดมด้วยวิตามิน เกลือแร่ เช่น กรดโฟลิก ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ต้องมีปริมาณมากเพียงพอ เพื่อช่วยให้การทำงานของสมองมีประสิทธิภาพ พบมากในผักใบเขียว อาทิ ผักขม ในสมุนไพรและเครื่องเทศ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สอดคล้องกับการบริโภคอาหารแบบ “เมดิเตอร์เรเนียน” เน้นการกินผัก ผลไม้ อาหารทะเล ธัญพืชแบบโฮเกรน ถั่ว ไขมันดีหรือไขมันเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพสมองเป็นเพราะอาหารรูปแบบนี้ ช่วยควบคุมน้ำหนักตัว ความดันโลหิต และปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ การมีน้ำหนักเกินมาตรฐานและโรคอ้วนที่พบในประชากรวัยกลางคน จะก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเป็นโรคสมองเสื่อม ความเสี่ยงดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามค่าของความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้น และระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดที่สูงขึ้น.





จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 7 มกราคม 2555

สายน้ำ 10-01-2012 07:28


“เวียนศีรษะ” (Vertigo) (ตอน 1)


การเวียนศีรษะเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมาก ส่วนใหญ่สาเหตุมักไม่ร้ายแรงแต่บางรายอาจจะเกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก บางรายอาจจะเป็นอาการของเนื้องอกในสมอง แพทย์ที่มีความชำนาญร่วมกับการตรวจด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยสามารถหาสาเหตุของการเวียนศีรษะได้

การเวียนศีรษะเป็นอาการที่ผู้ป่วยเห็นภาพรอบตัวเองหมุนไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางครั้งผู้ป่วยอาจจะรู้สึกว่าของรอบตัวเองหมุนเมื่อหลับตา ผู้ป่วยบางรายอาจจะใช้คำว่า “บ้านหมุน” “เป็นลม” “หน้ามืด” “วิงเวียน” “มึนศีรษะ” หรือ “ตาลาย”


ทำไมจึงเวียนศีรษะและอาการที่พบร่วม

หูซึ่งมี 3 ชั้น ชั้นในสุดมีอวัยวะสำหรับการทรงตัวเป็นท่อครึ่งวงกลม 3 ท่อ มีน้ำไหลเวียนภายใน เวลาน้ำเคลื่อนไหว จะมีการส่งสัญญาณประสาทไปที่ก้านสมอง สมองน้อย และลูกตา ถ้าการส่งสัญญาณไปสมองไม่เท่ากันด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม จะทำให้เกิดการเวียนศีรษะ บ้านหมุน ผู้ป่วยมักจะมีการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำมูก น้ำตาไหล ความดันขึ้นสูง ใจสั่นและหน้าซีดร่วมด้วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักหลับตาช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เห็นสิ่งแวดล้อมหมุน สามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้


สาเหตุของการเวียนศีรษะที่พบบ่อย

1.โรคน้ำในหูหมุนไม่เท่ากัน หรือโรคบ้านหมุนเวลาเปลี่ยนท่าทาง (Benign paroxysmal position vertigo หรือ BPPV) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเวียนศีรษะ เกิดจากการที่ฝุ่นหินปูนขนาดเล็กมากๆ หลุดเข้าในท่อครึ่งวงกลม ทำให้เวลาหันศีรษะไปมาหรือล้มตัวนอนน้ำในท่อ 2 ข้างหมุนไม่เท่ากัน เกิดการเวียนศีรษะครั้งละไม่ถึงนาทีเป็นพักๆ เวลาเปลี่ยนท่าทาง

การรักษาที่ได้ผลดีที่สุด คือ การหมุนศีรษะ 4 ทิศทางให้ฝุ่นหินปูนหลุดออกจากท่อวงกลม โดยวิธีของหมอเอปเลย์ (Epley’s maneuver) ได้ผลประมาณ 70% ในการรักษาครั้งแรก และเพิ่มเป็น 90% ในการรักษาครั้งที่สอง โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา

2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เกิดได้จากโรคหลอดเลือดสมองทั้งชนิดสมองขาดเลือดไปเลี้ยง หรือมีเลือดออกในเนื้อสมองมักพบในผู้สูงอายุเกิน 50 ปี ถ้าร่วมกับการมีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง (ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ ไขมันในเลือดสูง และหัวใจเต้นพลิ้ว) มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงขึ้น

อาการเวียนศีรษะเป็นอยู่นานหลายนาทีหรือหลายชั่วโมง อาจจะนานเป็นวันก็ได้ ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนท่าทาง และไม่เป็นพักๆ วินิจฉัยได้จากการถ่ายภาพสมองด้วยเครื่อง CT หรือ MRI การรักษาขึ้นกับสาเหตุว่าเป็นจากสมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง

ข้อมูลจากศูนย์สมองและไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 9 มกราคม 2555

สายน้ำ 11-01-2012 08:33


“เวียนศีรษะ” (Vertigo) (ตอน 2)


3.เส้นประสาททรงตัวอักเสบ (Vestibular neuritis) เกิดจากเส้นประสาทสมองการทรงตัวอักเสบ ทำให้สัญญาณประมาณการทรงตัวจากท่อครึ่งวงกลมส่งไปสู่สมองสองข้างไม่เท่ากัน

การเวียนศีรษะมักเกิดขึ้นนานเป็นชั่วโมง หรือเป็นวันๆ บางรายอาจจะมีไข้ และอาจมีปัญหาการได้ยินหรือเสียงในหู พบในทุกอายุ ส่วนใหญ่มักเป็นวัยรุ่นถึงวัยกลางคน เชื่อว่าเป็นจากการติดเชื้อไวรัสโดยตรงต่อเส้นประสาท หรือเป็นจากการที่แพ้ภูมิตัวเอง ส่วนใหญ่มักหายเอง โดยอาการค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ การใช้ยาสเตียรอยด์ระยะสั้นๆ อาจจะช่วยให้อาการดีขึ้นเร็ว

4.โรคน้ำคั่งในหู หรือ โรคมีเนียร์ (Menier’s disease) เกิดจากการที่มีน้ำในอวัยวะก้นหอย (cochlea) มากเกินไป มีอาการเวียนศีรษะเป็นพักๆ นานหลายนาทีหรืออาจจะเป็นชั่วโมงๆ แต่ไม่ควรเกิน 1 วัน ผู้ป่วยอาจจะมีอาการเวียนศีรษะทุก 2-3 วัน หรือทุกสัปดาห์ บางรายอาจจะห่างเป็นเดือน มีเสียงดังในหูข้างใดข้างหนึ่ง นานเข้าหูข้างที่มีปัญหาจะได้ยินน้อยลง มักเป็นเสียงต่ำและในที่สุดอาจไม่ได้ยินเลย สาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด บางรายพบร่วมกับการติดเชื้อในหูส่วนกลางหรืออุบัติเหตุที่ศีรษะ เป็นหวัด คออักเสบ การใช้ยาแอสไพริน สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์มาก พบว่าการรับประทานเค็มมากอาจจะกระตุ้นให้อาการเป็นมากขึ้นได้ การรักษาโรคนี้จะรักษาให้หายขาดไม่ได้ ผู้ป่วยที่เวียนศีรษะมาก อาจจะต้องทำลายเซลล์รับความรู้สึกทรงตัวให้เสียไปโดยการฉีดยาเข้าหูหรือการผ่าตัด และการรักษาโดยกายภาพบำบัดเพื่อฝึกสมองให้เคยชินกับสภาพของหูชั้นในที่เสียไป


สาเหตุอื่นๆ ของการเวียนศีรษะที่พบได้ไม่บ่อย

โรคไมเกรน

โรคหลอดเลือดที่เลี้ยงเส้นประสาทการทรงตัวอุดตัน (Vestibular nerve ischemia)

โรคผนังระหว่างหูชั้นกลางและชั้นในบางกว่าปกติ (Superior canal dehiscence
syndrome)

โรคปลอกประสาทอักเสบของระบบประสาทส่วนกลาง (Multiple Sclerosis)

โรคสมองน้อยผื่นลงในช่องกระดูกต้นคอ (Arnold-Chiari malformation)

การเวียนศีรษะบ้านหมุนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิต จำเป็นต้องมีการหาสาเหตุที่ถูกต้องโดยแพทย์ผู้ชำนาญเพื่อการรักษาให้ถูกจุด ป้องกันการเป็นซ้ำหรือเกิดภาวะเรื้อรังซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก

ข้อมูลจากศูนย์สมองและไขสันหลัง โรงพยาบาลพญาไท 1 http://www.phyathai.com




จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 10 มกราคม 2555

สายชล 11-01-2012 09:43



โอโฮ ! โรค Vertigo มีสาเหตุมากมายกว่าที่ได้เรียนรู้มา เป็นมากๆ ก็จะดำน้ำไม่ได้นะคะ ระวังๆกันหน่อย...:rolleyes:


สายน้ำ 12-01-2012 08:05


“น้ำเลี้ยงข้อเข่า” สำคัญอย่างไร


ข้อเข่าของเรา มีลักษณะคล้ายกับข้อต่อ (Joint) ของเครื่องยนต์ ประกอบด้วย กระดูกผิวข้อ ซึ่งมีลักษณะเรียบลื่น เป็นมันวาว มีสี และลักษณะคล้ายกับผิวของงาช้าง ภายในมีส่วนสำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ “น้ำเลี้ยงข้อ” มีลักษณะเป็นของเหลวใสอยู่ภายในช่องว่างของข้อเข่า มีลักษณะพิเศษ คือมีความเหนียว และยืดหยุ่นได้ เหมือนไข่ขาว ทำหน้าที่ช่วยลดหรือดูดซับแรงกระแทกต่อเข่า จะว่าไปแล้วทำหน้าที่คล้ายๆโช้กอัพ และช่วยหล่อลื่น ลดแรงเสียดทานของผิวข้อเหมือนกับน้ำมันหล่อลื่น หรือน้ำมันจาระบี

ลองคิดเล่นๆดูว่า เราใช้เครื่องยนต์ (ข้อเข่า) ของเราคู่นี้มาครึ่งชีวิตย่อมมีการสึกหรอ จากการศึกษาพบว่าเมื่อเราอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป น้ำเลี้ยงข้อเข่าจะมีปริมาณลดลง และเริ่มสูญเสียคุณสมบัติในการทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทก และการหล่อลื่น อันเนื่องมาจากสารตัวหนึ่งชื่อ ไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic) ซึ่งเป็นสารสำคัญในน้ำเลี้ยงข้อมีปริมาณลดลง.....ก่อให้เกิดการสัมผัส เสียดสีกันโดยตรงของกระดูกผิวข้อ เกิดเสียงดังเวลาขยับข้อเข่า โดยเฉพาะเวลาลุกขึ้นจากที่นั่ง หากปล่อยทิ้งไว้ กระดูกผิวข้อก็จะสึกกร่อนไปเรื่อยๆ จนผิวข้อบางลง มีอาการอักเสบ เจ็บบริเวณหัวเข่า โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสะบ้า (กระดูกรูปสามเหลี่ยมส่วนหน้าหัวเข่า) นานวันเข้าเกิดเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมตามมาในที่สุด

นอกจากนี้ยังพบอีกว่า หากปล่อยให้ข้อเข่าเสื่อม จะมีการเปลี่ยนแปลงความสมดุลของน้ำเลี้ยงข้อ จากภาวะความเป็นกลางไปเป็นภาวะความเป็นกรด (pH 7.4 – pH 6.85) ถ้าค่า pH ยิ่งต่ำจะแสดงถึงภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะเป็นตัวเร่งการทำลายความสมบูรณ์ของผิวข้อมากขึ้นเรื่อยๆ ภาวะข้อเสื่อมก็จะเป็นมาก และเป็นเร็วยิ่งขึ้น

ทุกคนคงไม่อยากให้ข้อเข่าเสื่อม ดังนั้นการหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของข้อเข่าให้ถูกต้องแต่แรก จะช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าให้ทำหน้าที่รับใช้เราได้ยาวนานขึ้น คนที่มีน้ำหนักมากและมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 25 ถ้าควบคุมหรือลดน้ำหนักได้ ก็จะช่วยลดแรงกระแทกต่อผิวข้อ ทำให้อาการปวดเข่าหายไปได้ คนที่นั่งงอเข่าเป็นระยะเวลาต่อเนื่องนานๆ ต้องฝึกเหยียดเข่าบ่อยๆ เพื่อลดแรงกดของกระดูกสะบ้ากับกระดูกปลายเข่า ร่วมกับการฝึกออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อรอบๆเข่าและต้นขา เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อให้ทำงานแบ่งเบาภาระการทำงานของข้อต่อ

แต่ถ้าหากอยากป้องกันภาวะข้อเข่าเสื่อม หรือเริ่มเสื่อมไปบ้างแล้ว จะทำอย่างไร ในปัจจุบันมีวิธีเติมน้ำเลี้ยงข้อเข่า เพื่อทดแทนน้ำเลี้ยงข้อที่มีการลดลง โดยการนำน้ำเลี้ยงข้อสังเคราะห์ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำเลี้ยงข้อปกติ มาช่วยในการป้องกันและรักษา โดยการฉีดเข้าไปในข้อเข่าที่มีอาการ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ซึ่งมีผลการรักษาอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับสภาวะข้อที่เสื่อม จุดประสงค์เพื่อช่วยหล่อลื่นและกระตุ้นเซลล์เยื่อบุข้อให้ทำการสร้างน้ำเลี้ยงเข่าที่ปกติขึ้นมาทดแทน เป็นวิธีที่ปลอดภัย โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกให้น้ำเลี้ยงข้อเข่านี้กับผู้ที่ได้รับการรักษาโดยการรับประทานยา ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี แพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2 / http://www.phyathai.com





จาก ...................... บ้านเมือง คอลัมน์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 11 มกราคม 2555

สายน้ำ 20-01-2012 08:46


'กล้ามเนื้ออักเสบ' เกิดง่ายกว่าที่คิด!!!

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/8167.jpg
พบคนสองกลุ่มมักปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการอักเสบ แพทย์เผยสาเหตุใกล้ตัวทำให้เกิดอาการ พร้อมแนะเคล็ดลับสำคัญใช้รักษาเบื้องต้น

เกือบทุกคนต้องเคยเผชิญกับอาการปวด บวม เคล็ดขัดยอกของกล้ามเนื้อ ข้อและเส้นเอ็น ซึ่งพบเห็นได้ไม่ยาก โดยคนที่เป็นมักต้องอุทาน "โอ้ย..โอ้ย.." เพราะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขณะเปลี่ยนอิริยาบถ

ในกิจกรรมเสวนาปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยนูโรเฟนเจลนั้น ‘นายแพทย์พันธศักดิ์ ตันสกุล’ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ เผยสาเหตุของอาการกล้ามเนื้อและเอ็นอักเสบว่า เกิดจากออกแรงกล้ามเนื้อเกินกำลังหรือออกแรงกล้ามเนื้อบริเวณเดิมติดต่อกันนานเกินไป หรือบาดเจ็บจากการยืดกล้ามเนื้อหรือเอ็นไปในทิศทางหรือระยะทางที่มากเกินไป

เช่น การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน, การเล่นกีฬาขณะร่างกายไม่ฟิตหรือเล่นอย่างหักโหมเกินไป, อิริยาบถในการเคลื่อนไหวไม่เหมาะสม, และการก้มหยิบหรือยกของผิดท่า

ทว่ามีอาการปวดหรืออักเสบกล้ามเนื้อย่างเฉียบพลัน คุณหมอพันธศักดิ์ แนะให้หยุดการออกแรงกล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆไปก่อน และใช้น้ำแข็งหรือน้ำเย็นประคบตรงตำแหน่งที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบภายใน 24 ชั่วโมงหลังมีการบาดเจ็บ รวมถึงอาจจะใช้ยาทาชนิดที่มีส่วนประกอบของยาลดการอักเสบ (NSAIDs) เพื่อบรรเทาอาการปวดและอักเสบกล้ามเนื้ออย่างเฉียบพลัน โดยไม่แนะนำให้ใช้ยาทาสูตรร้อน เนื่องจากจะยิ่งกระตุ้นอาการอักเสบให้รุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการอักเสบเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มคน 2 กลุ่ม ซึ่งคุณหมอพันธศักดิ์บอกไว้ในคลิปเสริมบทความ รวมถึงลักษณะอาการปวดและการลุกลาม พร้อมแนะเคล็ดลับบรรเทาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อด้วยตนเอง.




จาก ........................ เดลินิวส์ วันที่ 20 มกราคม 2555

สายน้ำ 21-01-2012 06:48

2 Attachment(s)

ทำอย่างไร คนสายตาสั้น ยาว เอียง จะมองได้ชัดเจน


จาก ........................ ไทยรัฐ วันที่ 21 มกราคม 2555

สายน้ำ 21-01-2012 06:52


ข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ “มะรุม” ลดน้ำตาล-คอเลสเตอรอลในเลือด

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943301.JPEG
ใบมะรุม

อาจารย์จุฬาฯ ทดสอบสารออกฤทธิ์ “มะรุม” เพื่อหาข้อมูลวิทยาศาสตร์หนุนสรรพคุณไพรไทย พบสารสกัดจากพืชชนิดนี้ช่วยยับยั้งการย่อยน้ำตาลเป็นแป้งในลำไส้เล็ก และยังขัดขวางการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย แต่ข้อมูลยังไม่แน่ชัดพอที่จะยืนยัน พร้อมหากใช้ยาแผนปัจจุบันควบคุมน้ำตาลให้ระวังในการใช้มะรุมเพราะระดับน้ำตาลในเลือดอาจต่ำเฉียบพลัน

ผศ.ดร.สิริชัย อดิศักดิ์วัฒนา อาจารย์ภาควิชาโภชนาการและการกำหนดอาหาร คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาและวิจัยเรื่องฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์อัลฟา-กลุโคซิเดสและกลไกการลดไขมันของสารสกัดใบมะรุม ด้วยเหตุผลว่าใบมะรุมเป้นสมุนไพรที่คนนิยมใช้มานาน และมีร้านค้านิยมนำใบมะรุมแห้งมาบรรจุเป็นแคปซูล และเชื่อกันว่ามีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต รักษามะเร็งและอีกหลายสรรพคุณ แต่ยังขาดข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยัน จึงต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้ประชาชนทราบถึงข้อดี ข้อเสีย และข้อควรระวังในการใช้

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943302.JPEG
ใบมะรุมแห้ง

อาจารย์จากคณะสหเวชศาสตร์ จุฬาฯ ได้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของมะรุมในการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด โดยได้รับการสนับสนุนวิจัยจากมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งในเบื้องต้นพบข้อมุลงานวิจัยของต่างชาติ โดยเฉพาะอินเดียที่เป็นแหล่งเพาะปลูกมะรุมมากที่สุด พบว่ามีงานวิจัยที่กล่าวถึงการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากมะรุมในการลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวาน ซึ่งหนูเบาหวานที่ได้รับสารสกัดจากใบมะรุม 1-2 เดือน มีระดับไขมันและน้ำตาลในเลือดลดลง แต่ยังไม่มีผู้ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของใบมะรุมมากนัก

ทาง ผศ.ดร.สิริชัยจึงได้ศึกษาในเรื่องกลไกการออกฤทธิ์ของสารสกัดจากใบมะรุมเพิ่ม ซึ่งการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่าสารสกัดจากใบมะรุมมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ใช้ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลในลำไลส้เล็ก ทำให้การย่อยแป้งเป็นน้ำตาลช้าลง จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องควบคุมระดับน้ำตาลภายหลังรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังพบด้วยว่าสารสกัดจากใบมะรุมมีฤทธิ์ในการขัดขวางการดูดซึมไขมันกลุ่มคอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกาย ทำให้คอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือดน้อยลง

“งานวิจัยนี้นับเป็นก้าวแรกที่จะตอบได้ว่ากลไกในการออกฤทธิ์ของใมะรุมเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลที่มีนั้นยังไม่มากพอที่จะยืนยันได้แน่ชัดว่าสารสกัดจากใบมะรุมสามารถลดระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดในคนได้ รวมทั้งต้องศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องพิษหรืออาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งหากใช้ไปนานๆ บางคนอาจจะเกิดอาการแพ้หรือมีพิษเรื้อรังได้” ข้อมูลจากศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ ระบุ

ขณะนี้งานวิจัยของ ผศ.ดร.สิริชัยอยู่ระหว่างการศึกษาในคนปกติ โดยใชสารสกัดจากใบมะรุมรูปแบบผงแห้งในรูปชาใบมะรุม และให้กลุ่มตัวอย่างดื่มประมาณ 1-2 แก้ว หลังรับประทานอาหาร เพื่อศึกษาว่าสามารถชะลอการย่อยแป้งและไขมันจากอาหารได้หรือไม่ และส่งผลต่อระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดอย่างไร ซึ่งในอนาคตจะได้ปรับปรุงสารสกัดใบมะรุมให้เหมาะแก่การรับประทาน ทั้งในด้านรสชาติ และรูปแบบโดยอาจจะมีการพัฒนาให้เป็นผงในการประกอบอาหาร เช่น เครื่องแกง ผงปรุงรส เป็นต้น หรือประยุกต์เป็นอาห่ารควบคุมน้ำหนักและอาหารควบคุมแคลอรีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

http://pics.manager.co.th/Images/555000000943303.JPEG
ผงสกัดจากมะรุม (ภาพทั้งหมดจากศูนย์สื่อสารองค์กร จุฬาฯ)

สำหรับข้อควรระวังในการรับปรัทานใบมะรุมแห้งนั้น ผศ.ดร.สิริชัย กล่าวว่า ควรพิจารณาตัวเองว่าเป็นผู้มีสุขภาพดีอยู่แล้วหรือไม่ หากใช่ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานใบมะรุมแห้งในปริมาณสูงเพื่อป้องกันโรค เพราะการรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้เป็นประจำก็ทำให้มีสุขภาพที่ดีเช่นกัน แต่หากต้องการใช้เป็นทางเลือกในการรักษาก็ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับใบมะรุมเพิ่มเติมหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ เภสัชกร บคุลากรทางการแพทย์ ก่อนตัดสินใจใช้

“หากรับประทานในรูปแคปซูลแล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังรับประทาน คันตามผิวหนัง ร่างกายอ่อนเพลีย หรือพบน้ำหนักตัวลดลงในกรณีที่ใช้ต่อเนื่องยาวนาน มีอาการต่อเหลืองซึ่งอาจมาจากภาวะตับอักเสบ ต้องหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้มีไขมันในเลือดสูงที่รับประทานยาแผนปัจจุบันอยู่แล้ว ควรระมัดระวังในการใช้ใบมะรุม และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานใบมะรุมในปริมาณมากพร้อมกับยาแผนปัจจุบัน เพราะสารสกัดจากใบมะรุมอาจรบกวนการดูดซึมยาแผนปัจจุบัน หรืออาจเสริมฤทธิ์กับยาลดระดับน้ำตาลในเลือดจนระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเฉียบพลัน” คำแนะนำจาก ผศ.ดร.สิริชัย




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 20 มกราคม 2555

สายชล 22-01-2012 10:23

"นอนไม่หลับ" เป็นเรื่องธรรมดา และผลดีต่อ "สุขภาพจิต" เมื่อคุณ "อดนอน"


เดลิเมล์เปิดเผยผลวิจัยความจำเป็นในการนอนไม่หลับ ของทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ว่า อาการนอนไม่หลับอาจเป็นสิ่งที่เราต้องการก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการนอนจะทำให้เราเก็บความทรงจำที่เจ็บปวดที่ทำให้เรารู้สึกผิด


จากการทดลองของนักวิจัยพบว่า คนที่ว้าวุ้นใจหรือบอบช้ำทางใจความรู้สึกเหล่านี้จะน้อยลง หากพวกเขายังคงตื่นอยู่หลังจากพบเหตุการณ์สะเทือนใจ


คำอธิบายจากนักประสาทวิทยากล่าวว่านี้เป็นวิวัฒนาการด้านความรู้สึกเพื่อให้บรรพบุรุษของเราดำรงอยู่ได้ โดยการจดจำสถานการณ์อันตรายได้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต


จากการทดลองชายและหญิงจำนวน 106 คน ของนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ โดยให้ทั้งหมดดูภาพสะเทือนอารมณ์ เช่นภาพเหตุการณ์ความรุนแรงอุบัติเหตุรถยนต์ และอื่นๆ และถามถึงความรู้สึกหลังจากดูภาพเหตุการเหล่านั้นภายในเวลา 1-9 นาที


หลังจากนั้นอีก 12 ชั่วโมง ได้ให้ผู้ถูกทดลองดูภาพชุดใหม่โดยมีภาพเก่าที่พวกเขาได้ดูก่อนหน้านี้ปะปนอยู่ และถามความรู้สึกหลังจากดูภาพทั้งหมดแล้ว


โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มในจำนวนคนเท่าๆกัน ซึ่งกลุ่มหนึ่งให้นอนตามปกติ อีกกลุ่มให้อดนอน แล้วจึงให้ทั้งสองกลุ่มดูภาพเดิมในตอนเช้าและตอนเย็น


พบว่าผู้ที่ได้นอนหลับจะมีความรู้สึกโศกเศร้าไม่ต่างจากครั้งแรกที่เห็น แต่ผู้ที่ไม่ได้นอนกลับมีความรู้สึกหม่นหมองใจน้อยกว่า


แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้นอนหลับหลังจากพบเรื่องเจ็บปวดหรือเรื่องทำลายจิตใจ จะจดจำความรู้สึกเจ็บปวดได้แม่นยำกว่าผู้ที่อดนอน


ดร.รีเบคก้า สเปนเซอร์ กล่าวว่า การนอนหลับไม่เพียงจะปกป้องความทรงจำเราเท่านั้น มันยังรักษาอารมณ์ที่เรามีระหว่างช่วงเวลาต่างๆไว้อีกด้วย


เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าการนอนไม่หลับเป็นสิ่งธรรมดาเมื่อเราต้องพบเจอกับความไม่สบายใจ เพราะสมองไม่ต้องการและอาจเป็นอาการสนองตอบทางชีวภาพที่ดี


ผลการวิจัยตีพิมพ์ในวารสารประสาทวิทยา ว่าการจดจำเรื่องพวกนี้มีความสำคัญแก่ผู้ที่เป็นพยานเห็นเหตุการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุหรืออาชญากรรม


แต่อย่างไรก็ตามทีมวิจัยเห็นว่าการนอนไม่หลับเป็นสิ่งจำเป็นที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความเจ็บปวดที่ได้เผชิญมา


ข้อมูลจาก...ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

สายน้ำ 27-01-2012 08:14


แปรงฟันก่อนนอน ตื่นเช้าปากยังเหม็นเพราะอะไร

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/9463.jpg

ทันตแพทย์เผยสาเหตุมีกลิ่นปากหลังตื่นนอน ทั้งๆที่ก่อนเข้านอนไม่ลืมสีฟัน พร้อมเคล็ดลับ '3F' ดูแลช่องปาก

แม้ก่อนเข้านอนจะทำความสะอาดฟันและช่องปากอย่างเรียบร้อย แต่ทุกเช้าหลังตื่นกลับถูกทักท้วงจากคนที่นอนข้างกายว่า "คุณมีกลิ่นปากไม่พึงประสงค์ อย่าพูดอะไรจนกว่าจะไปแปรงฟัน"!!!

ปัญหาข้างต้น นอกจากจะสร้างความคับข้องใจ ยังทำให้ขาดความมั่นใจด้วย กรณีนี้ ทันตแพทย์หญิง นิราภร ชุติวงศ์ ไขความกระจ่างระหว่างร่วมงานแถลงข่าวแคมเปญ "เดนทิสเต้ แฮปปี้ คัปเปิ้ล สไมล์ ชวนคู่รักส่งยิ้มให้กัน" ว่า กลิ่นปากในตอนเช้า เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรคในช่องปากระหว่างที่เรากำลังหลับ ประกอบกับช่องปากที่หยุดนิ่ง และน้ำลายน้อยลง หรืออาจมีฟันผุ ปัญหาเหงือกอักเสบ ส่วนวิธีแก้ไขทำได้ด้วยการดื่มน้ำเปล่าก่อนเข้านอน และหลังตื่นนอน รวมทั้งแปรงฟันและขัดฟันให้สะอาด

นอกจากนี้ ทพญ.นิราภร ยังแนะนำเคล็ดลับรักษาสุขภาพช่องปากด้วยหลัก 3F ประกอบด้วย Floss- ขัดฟัน Food-อาหารที่ควรเลี่ยง และ Frequence-ความถี่ในการพบทันตแพทย์ ซึ่ง ทพญ.นิราภร ได้ขยายความให้กระจ่าง ทั้งปัญหากลิ่นปากหลังตื่นนอนและหลัก 3F ต้องทำอย่างไรไว้ในคลิปวิดีโอประกอบบทความสุขภาพชิ้นนี้.






จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 27 มกราคม 2555

สายน้ำ 28-01-2012 08:44


ข้อเท้าแพลง บทความที่นักกีฬาทุกคนต้องอ่าน (1)

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/9582.jpg

สัปดาห์นี้ คอลัมน์ “คุยกันวันเสาร์กับหมอไพศาล” ขอนำเสนอเรื่องราวที่ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องพื้นๆ ที่ทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกีฬา ถือเป็นเรื่องปกติที่ได้พบเห็นบ่อย รวมทั้งมีประสบการณ์ข้อเท้าแพลงด้วยตนเองมาแล้วในอดีต แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่นักกีฬาในระดับสุดยอดของประเทศ เช่น นักกีฬาทีมชาติในบางประเภทกีฬา ยังไม่มีความเข้าใจที่ถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันไม่ได้เกิดข้อเท้าแพลง ก็ไม่ได้มีการทำการป้องกันตามมาตรฐานที่ควรจะทำ ดังนั้นจึงนำมาซึ่งการบาดเจ็บ ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ขึ้นไป ต้องเสียโอกาสของตนเอง หากเป็นตัวจริงของทีมที่จะลงสนามแสดงความสามารถ หรือเลวร้ายที่สุด ต้องผ่าตัดเย็บซ่อมเอ็นยึดข้อเท้า อาจต้องใช้เวลามากกว่า 4-5 เดือนขึ้นไปกว่าจะเริ่มลงมือซ่อมได้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นอีกกับนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บนั้น ท่านลองนึกเอาเองดูก็แล้วกัน

สำหรับบทความใดที่นักกีฬาต้องอ่านเพราะเป็นประโยชน์ ผมจะขอใส่หมายเหตุต่อท้ายชื่อเรื่องไปเรื่อย ๆและกำกับด้วยเลขเอาไว้ เพราะผมทราบว่ามีนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย สนใจที่หาความรู้จากบทความของเดลินิวส์เป็นจำนวนมาก


ส่วนประกอบของข้อเท้า

ข้อเท้ามีกระดูก 3 ชิ้นหลักมาประกอบกันเป็นข้อเท้า จากส่วนล่างของกระดูกขาและหน้าแข้งลงมา คือกระดูกทิเบีย (TIBIA) ลงมาเป็นตาตุ่มด้านในและกระดูกฟิบูล่า (FIBULA) ลงมาเป็นตาตุ่มด้านนอก มาประกอบกันเป็นข้อต่อกับกระดูกทาลัส (TALUS) เป็นข้อเท้า (ANKLE JOINT) ดูภาพเอกซเรย์ประกอบและรอบ ๆ ข้อต่อทั้งด้านตาตุ่มในและตาตุ่มนอก จะมีเอ็น (LIGAMENT) ยึดกระดูกเหล่านี้ให้แข็งแรง ไม่หลุดออกจากกัน แต่ถ้าหากเกิดการพลิกเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เอ็นที่ยึดกระดูกเหล่านี้ จะมีการฉีกขาด (TEAR OF LIGAMENT) มีเลือดไหลออกมา เกิดอาการบวม ฟกช้ำ เจ็บปวดจนเดินไม่ปกติ ฉีกขาดมากบวมมาก ฉีกขาดน้อยบวมน้อย ใช้เวลารักษามากน้อยแตกต่างกันออกไป บางรายต้องเข้าเฝือก บางรายใช้เทปยึด บางรายต้องผ่าตัดเย็บซ่อมเอ็น


การรักษาเบื้องต้น ใช้หลักการของ R.I.C.E. ดังนี้

1. R = REST หยุดเล่นกีฬานั้น อย่าฝืนเล่นต่อไปถ้าหากมีอาการเจ็บปวด

2. I = ICE ใช้ความเย็นประคบตำแหน่งที่ปวด เพื่อให้เลือดออก หรือบวมน้อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังบาดเจ็บ

3. C = COMPRESSION ใช้ผ้ายึดพันข้อเท้า เพื่อลดการออกของเลือด ลดความเจ็บปวดเวลาขยับข้อเท้า ทำให้เท้าบวมน้อยลง หายได้ไวขึ้น

4. E = Elevation ยกปลายเท้าให้สูงขึ้น วางบนหมอน เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดของเท้าดีขึ้น จะทำให้การบวมของเท้าลดน้อยลง

หากมีอาการรุนแรง ปวดมาก บวมมาก ฟกช้ำจนผิวหนังเขียวคล้ำมาก ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไป


การป้องกัน (สำคัญมากๆ)

ตามที่ผมเกริ่นเอาไว้ว่า ข้อเท้าแพลงนั้นท่านสามารถป้องกันได้ แม้นว่าจะไม่ 100% แต่ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา วิธีการป้องกันก็คือการล็อกข้อเท้าด้วยเทป (ANKLE TAPING) ซึ่งต้องทำให้ถูกต้องตามหลักการ มีนักกีฬาชั้นนำระดับทีมชาติหลายท่าน ที่ทำการล็อกข้อเท้าด้วยวิธีของตนเอง ซึ่งเมื่อดูแล้วไม่เพียงพอที่จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้

ตามรูปที่แสดงไว้ เป็นเพียง 1 วิธีเท่านั้นที่ท่านอาจเลือกใช้ได้ โดยพันเทปรอบ ๆ ขา เหนือข้อเท้าประมาณ 3-4 นิ้วก่อน แล้วให้ข้อเท้าอยู่ในแนวตั้งฉาก พันเทปล็อกข้อเท้าให้อยู่ในตำแหน่งนี้ 1 ครั้ง ตามรูป แล้วทำตามรูป 1-5 ต่อไปใช้เทปล็อกข้อเท้าให้เหลื่อมกับเทปชุดแรกด้านหน้าครึ่งหนึ่งจนครบรอบ แล้วเหลื่อมเทปชุดแรกไปทางด้านหลังครึ่งหนึ่ง ก็จะได้การล็อกครบถ้วนรอบข้อเท้าพอดี

ผมไม่หวังว่าท่านผู้อ่านจะทำได้คล่องจากการอ่านและดูรูปจากบทความนี้เท่านั้น ผมต้องการเพียง 2 ประการ จากการที่ท่านได้อ่านบทความมาจนถึงตรงนี้ คือ

1.ท่านเห็นความสำคัญของการป้องกันข้อเท้าแพลง เพราะการบาดเจ็บจากข้อเท้าแพลง ส่งผลเสียอย่างมากแก่ชีวิตการเล่นกีฬา

2. ท่านสนใจที่จะเริ่มล็อกข้อเท้าของท่านอย่างถูกวิธี โดยท่านสามารถสอบถามจากผู้รู้ที่อยู่ใกล้ตัวท่าน และฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัยก่อนการฝึกซ้อมและเล่นกีฬาที่ท่านชื่นชอบ.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 28 มกราคม 2555

สายน้ำ 29-01-2012 08:47


"แมงมุม" กัดคนตายจริงหรือ? - คุณหมอขอบอก

http://www.dailynews.co.th/sites/def...cover/9561.jpg

จากกรณีข่าวหนุ่มวัย 30 ปี เจ้าของร้านชำ ที่ จ.ภูเก็ต เสียชีวิต โดยภรรยาให้ข้อมูลว่าเห็นแมงมุมสีดำขนาดเท่าหัวแม่มือเกาะอยู่ที่ตัวสามี หลังจากได้ยินเสียงร้องของสามีขณะกำลังอาบน้ำ แล้วบังเอิญที่ไหล่ขวาของผู้เสียชีวิตมีรูขนาดเล็ก 1 รูเหมือนถูกสัตว์บางอย่างกัด ทำให้ชาวภูเก็ตเกิดความกังวลกลัวว่าจะเป็นแมงมุมซึ่งมีพิษร้ายแรงกัดนั้น ข่าวดังกล่าวทำเอาหลายคนหวาดผวาแมงมุมไปตามๆกัน แต่ข้อเท็จจริงแล้วแมงมุมที่มีอยู่ในบ้านเรากัดคนแล้วทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่มาฟังคำตอบกัน

นายประสิทธิ์ วงษ์พรหม ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติศึกษาไทย ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับแมงมุม ให้ข้อมูลว่า ทั่วโลกมีแมงมุมไม่น้อยกว่า 4 หมื่นชนิด สำหรับประเทศไทยมีแมงมุมไม่น้อยกว่า 600 ชนิด ส่วนใหญ่มีพิษน้อยถึงปานกลาง คือ ถ้ากัดก็แค่เจ็บปวด ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต ทั้งนี้มีแมงมุมมีพิษที่รวบรวมได้มีประมาณ 17 ชนิดที่กัดคนแล้วทำให้อาการเจ็บปวด อาทิ แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล กลุ่มบึ้ง 9 ชนิด แมงมุมใยกลม แมงมุมใยทอง แมงมุมสวนท้องสามเหลี่ยม แมงมุมถุง เป็นต้น

ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีรายงานผู้เสียชีวิตจากการถูกแมงมุมกัด แต่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บจากการถูกบึ้งกัดประมาณ 7-8 รายเท่านั้น

โดยธรรมชาติของบึ้งจะอาศัยอยู่ในป่าธรรมชาติ คนที่โดนมันกัดส่วนใหญ่จะขุดจับมันมากินเป็นอาหารพอจับพลาดเลยทำให้ถูกกัด

บึ้งพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ตามป่าธรรมชาติ แต่ภาคที่นิยมนำมารับประทานคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกบางจังหวัด และภาคเหนือบางจังหวัด ส่วนภาคใต้นิยมกินไข่ของบึ้ง

เหตุผลที่คนนิยมกินบึ้ง คงเป็นเพราะมีโปรตีนสูง พอย่างกับไฟจะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ทำให้ชาวบ้านนิยมนำมารับประทานกัน

สำหรับคนที่โดนบึ้งกัดจะมีอาการชาที่ปลายประสาท เสียวแปลบๆ แผลจะมีลักษณะคล้ำดำ ในบางรายแม้แผลจะหายแล้วแต่สีเนื้อบริเวณที่โดนกัดอาจมีสีคล้ำดำไม่จางหายไป

ข้อแนะนำสำหรับคนที่โดนบึ้งกัด คือ ควรไปพบแพทย์เพื่อเอาเขี้ยวมันออก เพราะเวลาบึ้งกัดจะปล่อยเขี้ยวไว้ เมื่อเอาเขี้ยวออกแล้ว จะทำความสะอาดแผลให้สะอาด บางรายอาจต้องฉีดยาแก้ปวด หรือฉีดยากันบาดทะยักร่วมด้วยแล้วแต่กรณี

สำหรับกรณีที่เป็นข่าว เมื่อยังไม่แน่ใจว่าโดนแมงมุมกัดจริงหรือไม่ ดังนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อว่าการเสียชีวิตเกิดจากแมงมุมกัด และไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแมงมุมทุกชนิดเพราะเราไม่รู้ว่าแมงมุมที่เราเจอนั้นมีพิษหรือไม่

เมื่อถามว่า คนที่โดนแมงมุมกัดจะแพ้จนหายใจไม่ออกเหมือนโดนต่อ ผึ้ง หรือ แตนต่อยหรือไม่? นายประสิทธิ์ กล่าวว่า คนที่เสียชีวิตจากการโดนต่อ ผึ้ง ต่อย เพราะมีอาการบวมรุนแรงและเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ แต่กรณีของแมงมุมกัดอาการจะไม่เหมือนกัน

สรุปว่า แมงมุมในบ้านเราพิษน้อยถึงปานกลาง กัดคนแล้วไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิต ดังนั้นไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินเหตุ.




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 29 มกราคม 2555

สายน้ำ 01-02-2012 08:30


ผ่อนคลายสายตา แก้ปัญหาตาแห้ง ....................... โดย ผศ.พญ.สุมาลี หวังวีรวงศ์ ภาควิชาจักษุวิทยา

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484904.JPEG

การผ่อนคลายสายตา เป็นการป้องกันโรคตาแห้งที่ได้ผลดี เพื่อให้ดวงตาสดใสอยู่เสมอ เรามีวิธีป้องกันตาแห้งและถนอมดวงตามาฝากค่ะ

น้ำตาของคนเรานั้น มีประโยชน์ในการช่วยเคลือบและคลุมผิวตาไม่ให้แห้ง หล่อลื่นดวงตาให้เกิดความสบายตา ลดการระคายเคืองทุกครั้งที่เรากะพริบตา และที่สำคัญคือ มีสารซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค หากน้ำตาน้อยจะทำให้เกิดภาวะตาแห้ง ส่งผลให้เกิดความไม่สบายตาและตามัว

อาการตาแห้งมีหลายสาเหตุ แต่ที่พบบ่อย คือ มีการสร้างน้ำตาลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากขึ้น การรับประทานยาบางอย่าง เช่น ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด การใส่คอนแทกต์เลนส์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่ถูกวิธี ภูมิแพ้ที่ตาหนังตาหรือเยื่อตาอักเสบเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่เคยทำเลสิก ผ่าตัดตา ผู้มีปัญหาหลับตาไม่สนิท ตลอดจนช่วงหน้าหนาวที่อากาศแห้ง ลมแรง ดื่มน้ำน้อย การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็สามารถทำให้น้ำตาระเหยไปได้เช่นกัน

ดังนั้น การดูแลและป้องกันตาแห้ง ควรดูตามสาเหตุค่ะ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484901.JPEG
- หากต้องใช้สายตาหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ควรพักสายตาทุก 30-60 นาที ด้วยการหลับตา 1-2 นาที กะพริบตาบ่อยๆ

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484902.JPEG
- ผู้ที่ใส่คอนแทกต์เลนส์ก็ไม่ควรใส่นานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน

http://pics.manager.co.th/Images/555000001484903.JPEG
- ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่แก้แพ้เป็นประจำ อาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมช่วย ดื่มน้ำมากๆ

- หลีกเลี่ยงที่ที่มีลมแรง แต่ถ้าต้องอยู่ในที่ที่อากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมพัด ควรสวมแว่นเพื่อกันแดดและลมที่เป็นสาเหตุทำให้ตาแห้งได้

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา พวกผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารทะเลที่มีกรดไขมันที่จำเป็น หรือโอเมก้า-3 จะช่วยให้น้ำตาระเหยช้าลง

อย่างไรก็ตาม เราควรทะนุถนอมดวงตาด้วยการพักสายตาเป็นระยะๆ ไม่ใช้สายตาติดต่อกันนานๆหลายชั่วโมง และกะพริบตาบ่อยๆ ให้มีน้ำตาเคลือบตาตลอดเวลา เพราะถ้าเราปล่อยให้ตาแห้งมากๆ จะทำให้กระจกตาไม่เรียบใส ผิวกระจกตาอักเสบ จะทำให้มีอาการระคายเคืองและตาพร่ามัวได้ค่ะ




จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555

สายน้ำ 05-02-2012 07:16


"เตรียมรับมือ....โรคกระดูกพรุนด้วยตัวท่านเอง"

http://www.dailynews.co.th/sites/def...os/10788/1.jpg

โรคกระดูกพรุนหรือ โรคกระดูกผุ, โปร่งบาง จัดเป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องเผชิญในอนาคตข้างหน้าไม่ว่าตัวเราเอง คนใกล้ตัว รวมถึง คุณพ่อ คุณแม่ พี่ป้าน้าอา อันเนื่องมาจากสังคมอนาคตจะเป็นสังคมของผู้สูงอายุหรือผู้มีอายุยืน โดยผู้ชายและผู้หญิงอายุเฉลี่ยประมาณ 70 และ 75 ปี ตามลำดับ ความสำคัญของโรคนี้ คือเป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดงที่เด่นชัด คนเป็นโรคไม่มีอาการปวด จึงทำให้ละเลย เพิกเฉยในการไปพบแพทย์เกิดอุปสรรคต่อการวินิจฉัยและทำการรักษา นานวันเข้ากระดูกที่พรุนนั้นมีความผุกร่อนรุนแรงมากขึ้น จนในที่สุดเกิดผลที่ทุกคนไม่อยากเจอ นั่นคือ “กระดูกหัก” ที่พบบ่อยได้แก่ การหักที่กระดูกสันหลัง ตะโพก และข้อมือ การหักที่ตะโพกค่อนข้างวิกฤติ เนื่องจาก

• ผู้ป่วยตะโพกหักไม่สามารถเดินหรือช่วยเหลือตนเองได้ การดูแลสุขอนามัยกระทำได้เฉพาะแต่บนเตียงนอนเท่านั้น ซึ่งยากลำบากมากแก่ผู้ดูแล

• ตัวเลขทางสถิติที่น่าตกใจพบว่าผู้ที่ตะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตถึง 1 ใน 5 นั่นคือ ผู้สูงอายุตะโพกหัก 5 คน 1 คนจะเสียชีวิต ภายในระยะ 1 ปี ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากโรคแทรกซ้อน อันได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดบวม แผลกดทับ เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น และมักมีโรคเดิมอยู่ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อมแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเสียชีวิต

• 1 ใน 2 ของผู้ป่วยจะไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนปกติ และจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ในการช่วยเดิน เช่น ไม้ค้ำยัน ไม้เท้า เป็นต้น

http://www.dailynews.co.th/sites/def...over/10788.jpg

นอกจากนั้นยังต้องมีค่าใช้จ่ายจากการผ่าตัดและต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวมา ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความสูญเสียจึงจำเป็นต้องมีการตรวจหาความเสี่ยงของการหัก นับเป็นข่าวดีที่การตรวจหาความเสี่ยงสามารถกระทำได้ง่ายดายเหมือนกับการเอกซเรย์ทรวงอก ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องตรวจเลือด เรียกการตรวจความหนาแน่นของกระดูกหรือการตรวจมวลกระดูก เพื่อเป็นการเอกซเรย์หาความแข็งแรงของกระดูก ภาษาแพทย์เรียก B.M.D. หรือ Bone Mineral Density เรียกสั้น ๆ ว่า Bone Density โดยค่าที่ตรวจพบสามารถบอกได้เลยว่ามีความสูญเสียของเนื้อกระดูกไปมากน้อยเพียงใดเป็นค่าร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ โดยที่ค่ามวลกระดูกน้อยกว่า หรือติดลบตั้งแต่ 2.5 จากค่ามาตรฐานลงไป บ่งบอกว่าเนื้อกระดูกหรือมวลกระดูกหายไปประมาณร้อยละ 30 อีกนัยหนึ่งเนื้อกระดูกจากเดิม 100 ส่วนเหลือเนื้อกระดูกเพียง 70 ส่วน จัดว่ามีภาวะกระดูกพรุนต้องให้การรักษา และการรักษาเพื่อให้กระดูกแข็งแรงไม่สามารถทำได้แบบทันทีทันใด ต้องอาศัยระยะเวลาในการรักษาเพิ่มการสะสมของแร่ธาตุ แคลเซียม ฟอสเฟต ในเนื้อกระดูก และลดการทำลายหรือสูญสลายของกระดูกที่มากขึ้นตามอายุสูงวัย และกิจกรรมที่ถดถอยน้อยลง ดังนั้นหากพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุนแล้วอย่าเพิ่งตกใจ สามารถทำการรักษาให้มีภาวะกระดูกหนาแน่นสมบูรณ์ได้อีกอย่างแน่นอน แต่ทว่า การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย แร่ธาตุ แคลเซียม หรือการรับประทานยาแคลเซียมเสริมในผู้สูงอายุที่มีกระดูกพรุนมักไม่เพียงพอ ต้องให้ยาเสริมการดูดซึมแคลเซียม เช่นวิตามินดี และยาช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก โดยให้ลดการสูญสลายเนื้อกระดูกร่วมกับการทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยขึ้น

ส่วนยารักษาโรคกระดูกพรุนนั้นมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ฮอร์โมน เอสโตรเจน พาราไทรอยด์ แคลซิโตนิน วิตามินเค บิสฟอสโฟเนต เป็นต้น แต่กลุ่มหลักที่ใช้รักษา คือ บิสฟอสโฟเนต มีทั้งแบบรับประทานสัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง และปัจจุบันมีแบบฉีดปีละครั้งด้วย

- ยาชนิดรับประทาน เหมาะกับผู้ป่วยที่กินยาสม่ำเสมอ มีวินัย เพราะหากลืมกินยาจะทำให้ได้รับประสิทธิภาพไม่เต็มที่ ผู้ป่วยบางรายกินบ้างลืมบ้างเพราะต้องทานยาหลายขนานรักษาหลายโรค อีกทั้งผู้ป่วยต้องสามารถนั่งหรือยืนตัวตรงได้อย่างน้อย - 1 ชม. เพื่อป้องกันผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร โดยมีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีระดับแคลเซียมในกระแสเลือดต่ำ

- ยาฉีดปีละครั้ง เหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถนั่งหรือยืนตัวตรงได้นาน ๆ ผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านความจำ หรือต้องรับประทานยาหลาย ๆชนิด เนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องปฏิกิริยาของยาต่างชนิดกัน ผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งยาฉีดปีละครั้งยังเป็นตัวยาเดียวในกลุ่มบิสฟอสโฟเนต ที่มีการศึกษาถึงการลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยกระดูกตะโพกหักได้ถึง 28% ด้วย แต่มีข้อห้ามใช้ในผู้ป่วยเด็ก สตรีมีครรภ์และผู้ให้นมบุตร รวมถึงผู้แพ้ยากลุ่มนี้กล่าวโดยสรุป โรคกระดูกพรุนนับเป็นภยันตรายที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่สามารถป้องกันและรักษาได้ โดยการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก ๆ

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พันเอก นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี ศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2 http://www.phyathai.com




จาก ...................... เดลินิวส์ ชีวิตและสุขภาพ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:40

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger