![]() |
ส่วนกลุ่มที่ไปเดินเที่ยวในตลาด เพลิดเพลินกันมากค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...psf5e40afa.jpg ที่นี่มีสินค้าขายหลายชนิด....ทั้งพืชผักผลไม้ ของสดและของแห้ง http://i1198.photobucket.com/albums/...psaf38122e.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pse4aa14fc.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psca1e8157.jpg |
ดอกไม้ที่เราได้เห็นในตลาดสดยามเช้า ก็มีให้เห็นที่ตลาดแห่งนี้ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps14f9fdec.jpg เณรน้อยมาบิณฑบาตในตลาด http://i1198.photobucket.com/albums/...ps5550506e.jpg ขายปลาแบบแบกะดิน http://i1198.photobucket.com/albums/...ps62127320.jpg |
เจ้าหนูน้อยปะแป้งทานาคา จนหน้าลายพร้อย นั่งเฝ้าของอยู่อย่างหงอยๆ....หน้าตาคมคายเชียวเจ้าหนู http://i1198.photobucket.com/albums/...ps155e415e.jpg ในบ้านของชาวพม่าจะต้องมีท่อนไม้ทานาคา (Thanakha)วางอยู่ทุกครัวเรือน ทานาคาเป็นเครื่องประทินผิวแบบโบราณที่ยังคงมีศักยภาพในสังคมปัจจุบันและได้พัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องสำอางขายทั้งในประเทศเมียนม่าร์และประเทศใกล้เคียง เมื่อจะนำมาใช้ ก็จะฝนเนื้อไม้ที่มีสีขาวนวลจนถึงเหลืองกับน้ำเล็กน้อยบนแผ่นหินกลมที่มีร่องใกล้ขอบให้น้ำส่วนเกินไหลออกมา จะมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ใช้ทาผิวหนัง ทำให้ผิวเนียนสวยลดความมันบนใบหน้า แต่ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้ง ลดรอยเหี่ยวย่น ป้องกันผิวหน้าจากแสงแดด ป้องกัน และรักษาสิว ฝ้าด้วย (ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th...8%A7%E0%B8%A2/) http://i1198.photobucket.com/albums/...psccd65f20.jpg ต้นทานาคาที่ถูกขนมาขายที่ตลาด ให้ผู้สนใจจะนำไปปลูก...อยากจะปลูก แต่ไม่ทราบจะขนกลับบ้านอย่างไรค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...pse9aebd85.jpg จะใช้รถคันนี้ขนต้นทานาคากลับบ้าน....แต่คงอีกนานกว่าจะถึงนะคะ http://i1198.photobucket.com/albums/...psfaa5e52e.jpg |
ในบริเวณสถานี ทั้งผู้โดยสาร คนมาส่ง และคนขายของ เข้านั่งๆเดินๆกันขวักไขว่...สาวพม่าเดินขายดอกไม้และพวงมาลัยไปทั่วสถานี http://i1198.photobucket.com/albums/...psaf522421.jpg มีหนูน้อยคนหนึ่งซบอยู่บนบ่าพ่อ หน้าตาน่ารักน่าเอ้นดู ประแป้งทานาคาขาวผ่อง http://i1198.photobucket.com/albums/...ps16ffb707.jpg ตรงข้ามสถานีเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีคนเดินข้ามทางรถไฟมาฝั่งสถานีอยู่ไปมา http://i1198.photobucket.com/albums/...psdc3299cb.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps864a3a64.jpg |
คุณสายน้ำและพวกเราที่ไปเดินในตลาด เริ่มทะยอยกลับมาในสถานี ก่อนรถไฟจะมา ขอเวลาสำหรับนางแบบและตากล้องกันหน่อย....น้องปอ ขอเป็นทั้งตากล้องและนายแบบ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps93834465.jpg ส่วนน้องเตย...ดอกเตอร์สาวแห่งศิลปากร ขอใส่ผ้าซิ่นเป็นนางแบบสาวพม่า http://i1198.photobucket.com/albums/...psbdade52f.jpg เกรงจะไม่รู้กันว่าเคยมาที่นี่ ขอสักภาพนะคะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4b19c781.jpg |
รถไฟมาถึงแล้วค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...psd2f60d00.jpg แต่ยังมีการเปลี่ยนเอาตู้สินค้าสองตู้ออก แล้วนำตู้โดยสารสองตู้มาแทนที่ เราต้องคอยต่อไปอีกหน่อย http://i1198.photobucket.com/albums/...ps45aa3d14.jpg โอกาสสุดท้าย สำหรับผู้โดยสารที่หิวโหย...ที่นี่ใช้กล่องโฟมและถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวและอาหารค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...psc5ca1197.jpg |
ดู้โดยสารสองตู้ถูกนำมาต่อเชื่อมเสร็จแล้ว ถึงเวลาปีนขึ้นไปนั่งแล้วค่ะ มีฝรั่งต่างชาติและชาวพม่าขึ้นไปนั่งบนตู้โดยสารร่วมกับพวกเราที่โชคดีได้ที่นั่งกลางขบวนรถ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps73440629.jpg ยกเว้นสองสายวัยชราที่ขึ้นไปบนรถช้าไปหน่อย เลยได้ที่นั่งท้ายตู้ที่เป็นม้านั่งเดี่ยว แต่ก็นับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องนั่งประจันหน้ากับใคร ไม่ต้องนั่งหันหลังให้หัวรถ ที่จะทำให้เมารถ(ไฟ)ได้ และที่นั่งที่เหมือนที่นั่งชั้น 3 ของไทย ก็นั่งได้สบายๆ และสะอาดทีเดียวค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...psaa5f3d55.jpg ถ้าสองสายต้องนั่งด้วยกันสองคนบนม้านั่งเดียวกัน คงจะต้องนั่งเบียดชิดติดกันเพราะบั้นท้ายดินระเบิดทั้งคู่ และเก้าอี้อาจจะหักได้ เพราะน้ำหนักสองคนขาดอีก 20 กว่ากิโลก็ร่วม 200.... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps11bfc107.jpg |
กว่ารถจะเคลื่อนออกจากสถานีได้ เราต้องขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถไฟได้พักใหญ่.. http://i1198.photobucket.com/albums/...ps5001138d.jpg เพียงรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวชึ่กชั่กออกจากสถานี ก็เริ่มออกอาการโยกซ้ายโยกขวา กระดกหน้ากระดกหลัง ขนาดนั่งอยู่ตัวยังโยกไปโยกมา ถ้ายืนละก็ โอกาสจะหกล้มมีสูงทีเดียวค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...pscb139f1c.jpg สองข้างทางเป็นทุ่งนา ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย แปลงผัก สลับกันไปมา แต่มีต้นบัวตองสูงใหญ่ที่เริ่มออกดอกตูมๆ สลับกับต้นหญ้าอื่นๆขึ้นสูงจนบังวิวข้างทางเป็นช่วงๆ แถมยังมีต้นที่ขึ้นประชิดติดรางรถไฟมากๆ ขนาดที่ตัวรถไฟแล่นไปตัดใบไม้ฉับๆ เศษใบไม้ปลิวว่อนเข้ามาในตัวรถไฟ ติดตามเสื้อผ้าหน้าผมของเราเกือบตลอดเวลา เป็นบรรยากาศที่เราคงไม่ได้พบเจอในเมืองไทย หรือที่ไหนๆอย่างแน่นอนค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps84961284.jpg ช่วงที่ใกล้สถานีก็จะดีหน่อย ที่ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางถูกถางออกไป จนดูโล่งสะอาดตา... http://i1198.photobucket.com/albums/...psfe88442c.jpg |
ถ้าช่วงไหนที่ไม่มีต้นบัวตองหรือต้นหญ้าบังวิว ก็นับเป็นโชคดีที่เราจะได้เห็นวิวสวยๆค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...pse64897a0.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps536242fb.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps6f0cc35a.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps3ccb6ecb.jpg |
เรือกสวนไร่นาที่รถไฟแแล่นผ่าน มีทั้งที่ยังขึ้นเขียวขจี ที่รอเก็บเกี่ยว และ เก็บเกี่ยวไปแล้ว http://i1198.photobucket.com/albums/...ps2bbd38ae.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psffb92577.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psc8b5bc57.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pscd34eb90.jpg |
สายชลนั่งรถไฟเมืองพม่าแล้ว เลยรู้ว่าทำไมเขาเรียกรถไฟว่า "ม้าเหล็ก" เพราะวิ่งเหมือนม้าวิ่งจริงๆ รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟหวานเย็น คือจอดทุกสถานี แต่แล่นเหมือนม้าพยศ คือผงกหน้าผงกหลัง แถมสะบัดซ้ายสะบัดขวาอีก... สถานีรถไฟระหว่างทาง เล็กๆแต่น่ารักดีค่ะ... |
วิถีชีวิตสองข้างทาง น่าสนใจและน่ารักดีค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps84b55108.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps6bae0965.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps24ba36f0.jpg |
ใกล้เที่ยง.... คุณสายน้ำและพวกเราหลายคนเริ่มจะหิว พอดีรถไฟจอดที่สถานีหนองเขียว ที่น้องอาร์ตและน้ออุ๋ยเคยเล่าว่า มีอาหารพื้นเมืองอร่อยๆห่อใบตองขาย ให้เรารีบลงไปซื้อ เพราะมีเวลาเพียง 5 นาที เท่านั้น พอรถไฟจอดสนิทแล้ว น้องอุ๋ยก็นำคุณสายน้ำและน้องๆกระโดดลงไปซื้ออาหารทันที แต่คนขายที่นี่ได้พัฒนาไปแล้ว แทนทีอาหารจะใส่ใบตองขาย กลายเป็นใส่กล่องโฟมและถุงก๊อบแก๊บไป ... พวกเราไปรุมซื้ออาหารกัน เมื่อแม่ค้าทำไม่ทัน น้องอุ๋ยก็ลงมือช่วยตักขายด้วย แต่เวลาผ่านไป 5 นาที การซื้ออาหารของพวกเราก็ยังไม่เสร็จ จนพนักงานขับรถไฟต้องต่อเวลาให้ แถมยอมให้แม่ค้าขายหมี่ผัด ขึ้นรถไฟตามมาขายต่ออีกด้วยค่ะ อาหารที่คุณสายน้ำได้มา เป็นข้าวราดน้ำพริกฉาน ผัดผักรวม และไก่ทอด ใส่รวมกันอยู่ในกล่องโฟม ส่วนที่อยู่ในถุงเป็นเส้นหมี่ผัด ค่าอาหารมื้อนี้มีราคา 1,000 จั๊ด หรือ 33 บาท เท่านั้นเองค่ะ คุณสายน้ำทานอาหารทั้งหมดด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย จะอร่อยจริงหรือเพราะความหิวก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่นานก็เหลือแต่เศษหมี่ผัดเพียงเล็กน้อย... |
สะพานรถไฟก๊กเต๊ก (Gokteik) รถไฟแล่นโขยกต่อไปอีกไม่นาน ก็เริ่มค่อยๆไต่ขึ้นยอดเขา เราเริ่มเห็นหุบเขาที่กว้างและลึกลงไป และอีกไม่นานก็เห็น สะพานรถไฟก๊กเต๊ก (Gokteik) อยู่ลิบๆ http://i1198.photobucket.com/albums/...pscc9f8d5b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7879622a.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pse57af17c.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psa21174dd.jpg |
รถไฟค่อยๆเลี้ยวลดระดับเป็นฟันปลาลงไปเรื่อยๆ... จนในที่สุดก็จอดนิ่งสนิทที่สถานีรถไฟก๊กเต๊ก สะพานรถไฟข้ามหุบเขา โกล์ทวิน Goal Twin ที่ยาวและสูงปรากฏอยู่ต่อหน้า เรากรูกันลงไปเพื่อถ่ายภาพสะพานรถไฟอย่างเร่งรีบ เพราะมีเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น รถไฟก็จะออก เราวิ่งไปที่บริเวณใกล้หัวรถจักร แล้วตั้งท่าถ่ายภาพได้เพียงคนละแชะสองแชะ...เสียงหวูดรถไฟก็ดังสนั่นขึ้น เราต้องรีบวิ่งหน้าตั้งกลับไปขึ้นตู้รถไฟ ที่อยู่เกือบตู้สุดท้าย กว่าจะปีนขึ้นไปนั่งบนตู้รถไฟได้ ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ แต่ก็ยังอดไม่ได้ ที่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพสะพานก๊กเตี๊ยกเอาไว้ เท่าที่ยังพอจะมีเวลาให้ถ่ายได้... |
สะพานก๊กเต็ก เป็นสะพานรถไฟที่มีความสูงประมาณ 102 เมตร มีความยาว ประมาณ 689 เมตร สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นชาวอเมริกัน ควบคุมการออกแบบโดยวิศวกรชาวอังกฤษชื่อ Sir A.M. Rendel ร่วมกับบริษัท Pennsylvania Steel Company of London วัตถุดิบในการก่อสร้างเกือบทั้งหมด ถูกส่งมาทางเรือจากอเมริกาถึงท่าเรือย่างกุ้ง และใช้เวลาในการประกอบชิ้นส่วนสร้างสะพานเพียงเก้าเดือน โดยค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสะพานอยู่ที่ 111,200 ปอนด์ |
รถไฟเริ่มหักหัวขึ้นไปบนสะพานเหล็กที่สูงชันและยาว โดยไม่มีเหล็กกั้นริม http://i1198.photobucket.com/albums/...psc1751ff3.jpg เมื่อนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง สายชลรู้สึกเหมือนตัวรถไฟกำลังลอยเลื่อนไปกลางอากาศ เพราะไม่มีอะไรมาบังท้องฟ้า http://i1198.photobucket.com/albums/...psbf9e6ceb.jpg แต่เมื่อโผล่หน้ามองไปมองเบื้องหน้าและเบื้องล่าง ใจสายชลก็เต็นตึ้กตั้กๆด้วยความตื่นเต้นและหวาดเสียว http://i1198.photobucket.com/albums/...ps03c279bb.jpg น้องเตยโผล่หน้ามายิ้มหวาน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4164f46b.jpg |
มองลึกลงไปด้านซ้าย...สายชลเห็นเหวลึกที่มีธารน้ำเชี่ยวกรากสีขุ่นข้น ไหลผ่านป่าไม้เขียวขจี หุบเขาแห่งนี้ คือ หุบเขาโกล์ทวิน Goal Twin ที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ระหว่างเขตมัณฑะเลย์และรัฐฉาน ออกจากกัน สายชลรู้สึกทึ่งกับความพยายามของมนุษย์ผู้สร้างสะพานรถไฟแห่งนี้ไว้ เมื่อ กว่า 110 ปีก่อน ที่บากบั่นขนวัสดุอุปกรณ์เข้ามาก่อสร้างสะพานรถไฟในหุบเขาและป่าดงดิบแห่งนี้ จนสำเร็จเสร็จสิ้น และคงทนถาวรใช้งานมาได้จนถึงทุกวันนี้.... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps6896c984.jpg เมื่อถึงกลางสะพาน เราก็เห็นน้ำตกขนาดใหญ่ ไหลโครมๆลับตาลงไปเบื้องล่าง http://i1198.photobucket.com/albums/...ps32ef8d00.jpg ส่วนทางด้านขวา เราได้เห็นสะพานรถไฟไม้เก่าๆ ที่ใช้มาก่อนที่จะสร้างสะพานนี้สำเร็จ...ถึงจะเตี้ยกว่าสะพานที่รถไฟกำลังแล่นอยู่ แต่ก็ดูน่าเสียวไส้พอๆกัน http://i1198.photobucket.com/albums/...psacf38d45.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps64c4282b.jpg |
สุดสายปลายสะพาน เป็นอุโมงต์ที่ขุดทะลุหินผาไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตของรัฐฉาน (Shan State) http://i1198.photobucket.com/albums/...ps596538cb.jpg พ้นจากอุโมงค์ไปแล้ว....เราหันกลับไปมองเบื้องหลัง ก็ได้เห็นภาพของสะพานรถไฟก๊กเต๊กที่สง่างามเป็นครั้งสุดท้าย....ลาก่อน สะพานรถไฟที่สูงที่สุดในอาเซียน และลำดับสองของโลก http://i1198.photobucket.com/albums/...ps957d4398.jpg |
ยังติดตามชมอยู่คร๊าบบบ
|
ขอบคุณจ้ะ น้องเด็กน้อย....วันนี้คงเขียนได้อีกสักหน้าสองหน้าค่ะ... |
จากสะพานรถไฟก๊กเต๊ก....รถไฟวิ่งต่อไปจนถึงเมืองสีป้อ (Hsipaw) ระหว่างทาง เราเห็นถนนสาย NH 3 ที่เริ่มต้นจากมัณฑะเลย์ ผ่าน พิน อูล วิน มุ่งสู่ปลายทางที่จีน ทอดขนานไปกับทางรถไฟ ที่มุ่งหน้าสู่ชายแดนประชิดติดจีนเช่นกัน เที่ยงเศษๆ..รถไฟก็ถึงสถานีสีป้อ รวมเวลาที่เรานั่งมาบนรถไฟราว 4 ชั่วโมงเศษ บอกได้เลยค่ะว่าไม่เบื่อเลย เพราะมีอะไรให้ดูตลอดทาง และไม่มีทางจะง่วง เพราะนั่งรถไฟขบวนนี้ เหมือนได้ขี่ม้าพยศอย่างไงอย่างงั้น ที่หลังสถานีรถไฟ รถบัสของเรามาจอดคอยอยู่แล้ว เสียดายที่ไม่ได้เที่ยวเมืองสีป้อ เพียงแต่แวะทานข้าวเที่ยงแบบชาวฉานเต็มรูปแบบ ของดีที่นี่เป็นน้ำพริกฉานหรือไทยใหญ่ ที่ทำด้วยถั่วเน่า ทานกับผักสด มีไข่เจียว ไก่ทอด หมูสามชั้นเหมือนหมูฮ้อง และแกงถ้วยเล็กๆ คล้ายๆกับแกงฮังเล อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ |
ร้านอาหารใหญ่ที่เราทานอาหารกลางวันกันนั้น ด้านข้างทำเป็นลานจอดพักรถบรรทุกใหญ่ๆจากเมืองจีน ที่มีทั้งที่ให้น้ำรถบรรทุก และห้องอาบน้ำคน คล้ายๆกับปั๊มน้ำมันที่เราได้เคยเห็นในจีน แสดงว่าจากนี้เรา เราจะได้เห็นรถบรรทุกจีนมากมายไปตลอดเส้นทาง จนถึง พินอูล วิน อย่างแน่นอน รถบัสแล่นย้อนกลับไปทางพินอูลวิน ช่วงที่รถลงเขาจากยอดเขาผ่านไปทางหุบเขาโกล์ทวิน Goal Twin เราเห็นทางที่พับไปพับมา ซึ่งทางรถไฟที่เรานั่งไปก็แล่นลงเขาเพื่อข้ามสะพานก๊กเตีกในลักษณะนี้เช่นกัน |
Peik Chin Myaung Grotto (Maha Nadamu) รถวิ่งลงเขามาได้ไม่นาน... ก็จอดให้เราได้ลงไปเที่ยวถ้ำที่มีสายน้ำไหลผ่าน ที่ชื่อ Peik Chin Myaung Grotto ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจให้คนไปเยี่ยมเยือนกันมาก โดยเฉพาะชาวพม่าที่มีศรัทธาในพุทธศาสนา เราต้องเดินลงจากรถแล้วข้ามสะพานแขวน ที่ทอดผ่านลำธารที่มีน้ำตกเล็กๆไหลผ่าน เห็นแล้วสบายตาสบายใจมากค่ะ.... |
เราเดินผ่านประตูพญานาคเข้าไปในบริเวณที่เป็นสวนป่า ไปตามทางที่ทอดยาวสูงขึ้นไปสู่ด้านใน ลำแสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านแมกไม้หนาทีบที่ขึ้นอยู่ในบริเวณนั้น ดูสวยงามและทำให้ขลังดีค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps2590c1a6.jpg ด้านขวาของเราเป็นธารน้ำใหญ่ ที่ทอดยาวมาจากด้านบน ลัดลั่นเป็นลานน้ำตกที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง มีการนำท่อพีวีซีสีฟ้าอ๋อยมาทำเป็นน้ำพุ ดูแล้วขัดตาชอบกล พอเลยขึ้นไปเป็นธารน้ำใสไหลรินลงเนินหินเป็นชั้นๆ ค่อยดูสวยงามเป็นธรรมชาติและน่าดูหน่อยค่ะ |
ก่อนจะเดินขึ้นไปในบริเวณถ้ำ Peik Chin Myaung เราต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ศาลา ที่ทำช่องใส่รองเท้าพร้อมฝาปิด (ไม่มีกุญแจ) ความที่พื้นเปียกชื้นและมีกรวดทรายเกลื่อนกลาดอยู่ พอถอดรองเท้าเดิน สายชลก็รู้สึกคันๆเท้าชอบกล กว่าจะชินได้ก็อีกนานพอควรทีเดียว ริมลำธารด้านซ้ายมือก่อนถึงบันไดขึ้นปากถ้ำ เราได้เห็นรูปปูนปั้นพระพุทธองค์ที่เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ มีพระสาวกเดินตามอีก 14 รูป ที่พื้นมีผู้หญิงนั่งไหว้อยู่ เป็นภาพปูนปั้นที่ดูงดงาม ให้อารมณ์ที่สงบสันติมากค่ะ... เราเริ่มเดินขึ้นบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ปากถ้ำที่ดูกว้างขวางโอ่โถง สิ่งแรกที่เห็นสะดุดตาเมื่อเข้าไปยืนในถ้ำก็คือ พระพุทธรูปงดงามมากมายที่ประทับเรียงรายอยู่ทั้งริมผนังถ้ำ และซอกหลืบที่มี กลางโถงถ้ำมีแอ่งน้ำที่น้ำตื้นๆแต่ใสแจ๋ว มองเห็นตัวปลา (และท่อน้ำที่วางอยู่ก้นสระ) น้ำจากอ่างนี้ไหลทอดตัวลงไปสู่ปากถ้ำและลานน้ำตกเบื้องล่าง ถ้ำแห่งนี้ยังเป็นถ้ำเป็น คือยังมีหินงอกหินย้อยเกิดขึ้นตลอดเวลา และมีน้ำหยดมาจากเพดานถ้ำ นอกเหนือจากธารน้ำที่ไหลผ่านถ้ำชั่วนาตาปี มีความเชื่อว่า น้ำที่ผุดขึ้นมาจากตาน้ำในถ้ำนี้ เป็นน้ำที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ จึงมีคนนำใส่ขวดไปไว้เพื่อบูชา และดื่มกินเพื่อรักษาโรค http://i1198.photobucket.com/albums/...ps48bcb832.jpg เมื่อเดินไปตามทางที่โบกปูนไว้ เราก็ยิ่งเห็นพระพุทธรูปมากมายเรียงรายยาวไปตามรายทาง http://i1198.photobucket.com/albums/...ps75c3f925.jpg |
ถ้ำ Peik Chin Myaung เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ อยู่ห่างจาก พิน อูล วิน ไปทางเหนือ ราว 23 กม. ผู้ที่เข้ามาพัฒนาถ้ำธารลอดแห่งนี้เป็นชาวเนปาล ในปี พ.ศ. 2533 รัฐบาลพม่าจึงเข้ามาร่วมพัฒนาต่อ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ชื่อถ้ำ Peik Chin (น้องอุ๋ยบอกว่าเป็น "ต้นชะพลู") มาจากต้นไม้ชื่อนี้ ที่ขึ้นอยู่ที่ปากถ้านั่นเอง
ปากถ้ำกว้างราว 6 เมตร มีเนื้อที่ราว 45 เอเคอร์ (114 ไร่) ลึกราว 600 เมตร มีอายุราว 230-310 ล้านปี มีธารน้ำไหลลัดเลาะอยู่ในถ้ำตลอดเวลา การไปสร้างพระ เจดีย์และสถูปในถ้ำ เป็นศรัทธาของผู้คนที่นับถือศาสนาพุทธ ที่ชอบมาบนบานขอให้สมปรารถนา แล้วก็แก้บนด้วยการสร้างพระมาประดิษฐานในถ้ำ หรือไม่ก็สร้างเจดีย์หรือสถูป จนแน่นไปทั้งถ้ำ ที่สำคัญมีเจดีย์ชเวดากองจำลอง และพระมหามัยมุนีแห่งมัณฑะเลย์จำลอง ประดิษฐานอยู่ในถ้ำด้วย รวมๆแล้วมีพระหลายร้อยองค์อยู่ในถ้ำนี้ จึงมีคนเรียกถ้ำแห่งนี้อีกชื่อหนึ่งว่า ถ้ำมหานาธมุ (Maha Nadamu) |
พระพุทธรูปที่ประดิษฐานที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้ ทั้งที่สร้างด้วยโลหะ หินอ่อน และปูนปั้น ล้วนมีพุทธลักษณะที่งดงามทั้งสิ้น http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4333b9f4.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps9f3a78f2.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pscbd6fb79.jpg |
บางช่วงเป็นระเบียงพระพุทธรูปเรียงรายเป็นกลุ่มๆ แบ่งตามลักษณะปางต่างๆ และบางช่วงจะเป็นการเล่าเรื่องราวบางช่วงบางตอนของพระพุทธประวัติ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4c85d426.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps93e25c24.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps54f8175e.jpg |
แต่ที่ไม่เข้าใจ...ทำไมต้องมีจระเข้ยักษ์มานอนเล่นน้ำ และโผล่หัวออกมาจากข้างทางให้เราตกใจ (ในความน่าเกลียด)ด้วย... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps82ae1cc4.jpg |
จากที่เดินไปเรียบๆ พื้นถ้ำเริ่มจะยกสูงขึ้น สายชลแหงนมองขึ้นไป บันไดยังไม่สูงมาก และพระพุทธรูปที่หันพระปฤษฎางค์(หลัง)ชนกันสี่องค์ ก็ทำให้มีแรงปีนขึ้นไปจนได้ องค์พระจตุรทิศงามมากค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps88e8b95b.jpg ถัดขึ้นไปเป็นลานกว้าง เจดีย์ที่เลียนแบบพระมหาเจดีย์ชเวดากอง องค์สีทองเหลืองอร่าม ตั้งตะหง่านอยู่... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps701ab6f0.jpg ด้านขวาของเจดีย์ เป็นที่ตั้งของพระมหามัยมุนีแห่งมัณฑะเลย์จำลอง ที่ทำได้เหมือนจริงมาก...มีผู้คนไปกราบไหว้บูชากันมากมาย http://i1198.photobucket.com/albums/...ps109befa2.jpg |
เราได้แต่ยืนไหว้พระมหามยมุนีจำลอง แล้วก็เดินต่อขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของถ้ำ ที่มีบันไดสูงชันให้ป้ายปีนขึ้นไป แต่พอเห็นทางแคบๆและผู้คนที่ยัดเยียดเบียนกันขึ้นไป และคำพูดของอาจารย์ปอที่เดินสวนลงมาที่ว่า ข้างบนแน่นมากและไม่ค่อยมีอากาศหายใจ เราก็เลยถอยลงมาข้างล่าง และเดินกลับออกไปปากถ้ำ....ไปได้แค่นี้ ก็มีความสุขอิ่มเอิบใจแล้วค่ะ |
ออกจากถ้ำพระแล้ว เราเดินไปรับรองเท้า แล้วก็เดินไปล้างเท้าที่เริ่มคันยิบๆที่ริมลำธาร มีคนทำเหมือนเราอีกหลายคน บางคนไม่ใช่แค่ล้างเท้า แต่ลงไปเดินเล่น หรือไม่ก็ลงเล่นน้ำกันเป็นที่สนุกสนาน...โชคดีที่หินแถวลำธารเป็นหินปูนที่สากและไม่ลื่น หนุ่มๆสาวๆจึงเดินเล่นในลำธารกันได้สบายๆ น้ำที่ใสสะอาดและเย็นสบาย ทำให้เราอยากจะนั่งแช่น้ำอยู่อย่างนั้นนานๆ... |
เมื่อเดินข้ามสะพานแขวนจะไปขึ้นรถ เราผ่านร้านค้ามากมายที่ขายพืชผัก ผลไม้ ท่อนไม้ทานาคา และของที่ระลึกต่างๆ http://i1198.photobucket.com/albums/...psbebe3616.jpg ที่ดูจะเป็นที่นิยมเห็นจะเป็นไวน์ที่ทำจากผลไม้ และผลไม้ดองต่างๆ แต่เห็นสีสันของผลไม้ดองแล้ว ชักจะแหยง... http://i1198.photobucket.com/albums/...psb8e17777.jpg |
มหาเจดีย์ อันทูกันธา (Maha Ant Htoo Kan Thar Pagoda)
ใกล้จะถึงพิน อูล วิน...สองข้างทางสวยงามมาก มีบ้านและร้านอาหารสวยๆปลูกเรียงรายอยู่ริมถนนด้านหน้าผา ที่มองไปเห็นไร่นาเขียนชอุ่มผืนใหญ่ ที่อยู่บนพื้นที่ราบเชิงเขา บนยอดเขาข้างหน้า เราเห็นองค์เจดีย์สีทองสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเย็น ดูงามจับตา น้องอาร์ตบอกว่า นั่นคือ เจดีย์อันทูกันธา (Maha Ant Htoo Kan Thar Pagoda) ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องเล่าว่า พระหินอ่อน 3 องค์ ที่ได้รับการแกะสลักอย่างสวยงามที่มัณฑะเลย์ ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจีน แต่เมื่อมาถึงยอดเขาแห่งนี้ พระองค์หนึ่งได้ตกลงมาที่พื้น แต่ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด คนขับรถและชาวบ้านแถวนั้นได้พยายามยกพระองค์นั้นกลับขึ้นรถ แต่ทำอย่างไรๆก็ไม่สามารถยกพระขึ้นรถได้ คนขับรถเลยทิ้งพระองค์นั้นไว้ข้างทาง ต่อมามีพระภิกษุสงฆ์ที่จำวัดอยู่ที่หมู่บ้านนั้น ทราบเรื่อง จึงได้สวดภาวนาอยู่ใกล้ๆองค์พระอยู่ 7 วัน เมื่อครบกำหนดก็ลองให้ชาวบ้านช่วยกันยกองค์พระพุทธรูปขึ้นมาจากข้างถนน ปรากฏว่าสามารถยกพระพุทธรูปขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นเช่นนั้น พระภิกษุจึงให้ตั้งองค์พระไว้ที่เดิม เพราะแน่ใจว่าพระพุทธรูปคงประสงค์จะอยู่ประจำที่นี่ ต่อมาชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างเจดีย์ครอบองค์พระไว้ |
มหาเจดีย์ อันทูกันธา ได้รับการบูรณพัฒนามาเรื่อยๆ จนสวยงามอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...psd62b9b80.jpg วันนั้น....กว่าเราจะเดินทางผ่าน พิน อูล วิน กลับไปถึงมัณฑะเลย์ ทานข้าวหมกเนื้อ และเข้านอนที่โรงแรม Gold Star ได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบเที่ยงคืน วันรุ่งขึ้น เราจะต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเมืองตองยีค่ะ |
วันที่ 3...มัณฑะเล - เจาท์เซ - อองปาน - ตองยี
เราตื่นกันตั้งแต่ตีสอง.... อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แล้วลงไปเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม เพื่อมุ่งหน้าไปเมืองตองยี (Taunggyi) เมืองหลวงของรัฐฉาน โดยเริ่มจากการใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ล่องไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของมัณฑะเลย์ ทานข้าวเช้าที่ เมืองเจาท์เซ (Kyaukse) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่อง "ระบำช้าง" ที่ใช้คนสองคนแต่งตัวเป็นช้างแล้วมาเต้นระบำให้คนชม ในช่วงเทศการในเดือนตุลาคมของทุกปี จากนั้น รถจะวิ่งแยกจากทางหลวงหมายเลข 1 เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 411 ซึ่งเป็นทางเล็กๆขึ้นไปบนเขาสูงๆต่ำ แต่วิวทิวทัศน์สวยงามมาก และไม่ค่อยมีรถวิ่งเลย จนเรารู้สึกเสียวๆว่า ถ้ารถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ จะมีใครผ่านมาช่วยเราไหม |
ช่วงแรกของเส้นทาง 411....เราได้เห็นมีการปลูกไม้ทานาคา ที่ยืนต้นตรงและสวยงาม กระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขาข้างถนน http://i1198.photobucket.com/albums/...ps1af6c490.jpg ที่นี่คงมีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี เห็นได้จากมีธารน้ำไหลรินไปตลอดทาง ช่วงที่เป็นที่ราบลุ่ม ถนนบางช่วงที่มีทางน้ำไหลผ่าน ก็ถึงกับขาด หรือไม่ก็สะพานพัง http://i1198.photobucket.com/albums/...ps07cfbe2b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psefcb97cc.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7394a6ad.jpg |
พอถึงที่ราบกลางหุบเขา เราก็ได้เห็นท้องไร่ ท้องนา ทุ่งดอกมัสตาด สีสันสลับกันสวยงาม http://i1198.photobucket.com/albums/...ps58df5df8.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7cdf8d81.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps77e2fd1b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps003d9476.jpg |
|
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:10 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger