![]() |
1 Attachment(s)
เตือนอย่าเกาแผล เสี่ยงติดเชื้อง่าย จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 31 ตุลาคม 2554 |
วิตกจริตทำจิตใจร้าย 'ไทยตื่นน้ำ' ธรรมดาแต่อย่าฝังลึก http://www.dailynews.co.th/content/i...er/p3thurl.jpg กลางกระแสวิกฤติน้ำท่วม ในเมืองไทยก็เกิดภาพดีๆมากมาย อย่างภาพแห่งจิตอาสาของคนไทยเพื่อคนไทย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาพความแตกตื่นโกลาหล รวมไปจนถึงภาพไม่ดีอันไม่น่าพึงประสงค์ ก็ไม่น้อย!! อาจกล่าวได้ว่า...ไทยกำลังอยู่ในยุค ’ตื่นน้ำ“ ก็เป็นธรรมดา...ทว่า ’บางอย่างก็ไม่น่าเลย...“ ’ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เรามองได้ว่าสังคมมีภาพใหญ่ 2 ภาพซ้อนกัน ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ“...ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ระบุถึงภาพปรากฏการณ์ต่างๆในวิกฤติน้ำท่วม พร้อมทั้งบอกอีกว่า...มุมดีๆเรื่อง จิตอาสา-จิตสาธารณะ เป็นเรื่องดีมาก ขณะที่การแตกตื่นข่าว กักตุนอาหาร เอารถไปจอดบนทางด่วนซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากเหตุที่ไม่คาดคิด ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น “แง่ลบ เรื่องความขัดแย้ง การทำลายคันดินคันทราย สะท้อนให้เห็นถึงการดูแลแก้ไขน้ำในระดับจังหวัดและระดับเขตที่ต่างคนต่างทำ ไม่มีความเป็นเอกภาพ การจัดการทำได้ไม่ดี ไม่ปรึกษาหารือ ไม่ช่วยเหลือกันและกัน ที่สุดก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นธรรมดา” ...ศ.ดร.อดิศร์ ระบุ และยังบอกด้วยว่า...ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งดีและไม่ดี สะท้อนชัดว่าเราไม่ได้มีการเตรียมตัว วางแผน ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป ให้ความสำคัญเรื่องอุทกศาสตร์ต่ำมาก และมีปัญหาเรื่องการจัดการน้ำโดยรวม ที่สำคัญสภาพภูมิประเทศของไทยในปัจจุบันไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่มากได้ สะท้อนถึงป่าต้นน้ำของเราที่ถูกทำลายจนไม่มีที่ชะลอความแรงและความเร็วของน้ำฝน ที่ปีนี้มีมากกว่าเดิม 3 เท่าตัว ด้าน รศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์ รองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการ และวิจัย และอาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า...ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำท่วม โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ทั้งการแตกตื่นข่าว ทะเลาะเบาะแว้ง ห่วงรถ ก็เป็นปรากฏการณ์ที่สมกับเหตุ คนเห็นภาพน้ำท่วมหลายจังหวัดไล่มาเรื่อยๆ จึงกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตนบ้าง เรื่องต่างๆก็จึงเกิดขึ้น อย่างเรื่องรถก็เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะต้องห่วง เพราะรถมิดทั้งคันไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งต้องเสียค่าซ่อมหลายแสน คงไม่มีใครอยากจ่าย การแตกตื่นข่าวสารที่เกิดขึ้น ก็เพราะข่าวจริงของรัฐบาลเชื่อไม่ค่อยได้ เพราะบอกว่าควบคุมได้ ป้องกันได้ แต่ไม่จริง ขณะที่ข่าวลือที่บอกว่ามาแน่ ท่วมแน่ กลับจริง คนจึงเชื่อข่าวลือมากกว่า และเพราะความรุนแรงของน้ำครั้งนี้มีมาก จึงไม่แปลกที่คนจะปริวิตกเดือดเนื้อร้อนใจถึงขนาดทะเลาะกัน พึ่งรัฐไม่ได้ ก็ต้องพึ่งตัวเอง เมื่อพึ่งตัวเอง ก็ต่างคนต่างทำ ความโกลาหลอลหม่านต่างๆก็เกิดให้เห็น “การรื้อกระสอบทราย พังคันดิน ในระดับชาวบ้าน ถือว่าไม่แปลก เพราะเครียด ฝั่งเราเปียก อีกฝั่งแห้ง ที่ทำเพราะอยากบรรเทาความเดือดร้อนของชีวิตตัวเองมากกว่าที่จะคำนึงถึงภาพรวม ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ภาพนักการเมืองท้องถิ่นพาชาวบ้านไปพังกระสอบทรายอีกด้าน เป็นเรื่องที่ไม่น่าดู ไม่ควรทำ”…รศ.พรชัย ระบุ พร้อมทั้งกล่าวถึงเรื่องจิตอาสาว่า...เป็นเรื่องดี เป็นอีกมุมดีของพลังโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ได้เห็นว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้ถูกใช้แค่ประท้วงรัฐบาล คราวนี้เราได้เห็นเด็กวัยรุ่นอายุไม่มาก ที่บ้านก็ยังไม่ปลอดภัย แต่ก็ออกมาช่วยคนอื่น เพราะการบอกข่าวกันในโซเชียลเน็ตเวิร์ก นี่เป็นพลังด้านดีอีกด้านที่ควรขยายความต่อ นอกจากมุมมองของนักวิชาการ 2 ราย ดังที่ว่ามาแล้ว ทาง ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานโครงการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ก็วิเคราะห์และแบ่ง คนไทยกลางวิกฤติน้ำท่วม ได้น่าพิจารณา โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ซึ่งโดยสังเขปคือ... กลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ตั้งสติ เตรียมพร้อมรับมือ แต่ไม่ได้ตื่นกลัวหรือทำให้แตกตื่น, กลุ่มที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ผวา วิตกกังวล แตกตื่นหรือตื่นตูม จิตเตลิดตลอดเวลา, กลุ่มที่ต้องทำตามหน้าที่ เก็บเรื่องราวของตัวเองไว้ก่อน ยึดภาระรับผิดชอบเป็นหลัก กลุ่มที่เข้าช่วยเหลือเผื่อแผ่ แบ่งปัน แม้บุคคลที่ช่วยจะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือเป็นคนที่ไม่ชอบหน้า, กลุ่มที่ร่วมด้วยช่วยกัน แม้จะทุกข์ก็ช่วยประคับประคองกันและกัน ช่วยอะไรได้ก็จะช่วย ทำอะไรได้ก็จะทำ, กลุ่มที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ หาเรื่องตำหนิได้เสมอ สนุกกับการทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก ไม่ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นมีแต่จะนั่งดูและพูดถึงคนอื่นในด้านลบ, กลุ่มที่เอาตัวเองให้รอด คนอื่นเป็นอย่างไรไม่สนใจ ถ้ามีใครเข้ามาช่วยก็จะขอบคุณ แต่ถ้าใครรุกล้ำก็จะเดือดดาล หากตัวเองเป็นอะไรไปหรือต้องประสบชะตากรรม จะไม่ยอมและจะพยายามให้คนอื่นเป็นอย่างตนเองด้วย ทั้งนี้ จาก 7 กลุ่มที่ว่ามา กลุ่มใดถือว่าดี-ถือว่าไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใดมองก็ย่อมมองออก แต่ ’ประเด็นสำคัญจริงๆ“ อยู่ตรงที่ ดร.จิตรา ทิ้งท้าย คือ... ’สำคัญมากในช่วงนี้สำหรับทุกคนทุกกลุ่มคือ กายต้องรอดต้องไม่เจ็บป่วย ใจต้องแกร่งคือจิตไม่ตก รู้จักตื่นตัวแทนการตื่นกลัว ตั้งสติให้ได้แทนสติแตก มองปัญหาว่าสามารถคลี่คลายได้เสมอ เพื่อให้สามารถมองไกลไปถึงวันข้างหน้าได้“. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 |
เปิดคู่มือ เอาตัวรอดจากสัตว์มีพิษที่มากับน้ำ แนะต้องมีสติตลอดเวลา นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า ในช่วงที่มีน้ำท่วมในหลายพื้นที่ พบสถิติการเข้ารักษาฉุกเฉินที่พบบ่อย คือ การถูกสัตว์มีพิษที่มากับน้ำกัด ทั้ง ปลิง ตะขาบ แมงป่อง และงู ซึ่งเฉพาะ งู มีทั้งงูเหลือม งูเขียว งูเห่า โดยงูมีพิษแบ่งได้เป็นเป็น 3 ชนิด คือ - ชนิดเป็นพิษต่อระบบประสาท พบใน งูเห่า งูจงอาง ผลคือเกิดอัมพาต ลืมตาไม่ได้ และอาจหยุดหายใจจนเสียชีวิตได้ - ชนิดที่ 2 คือเป็นพิษต่อเลือด ได้จากงูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ ผู้รับพิษจะมีเลือดออกตามที่ต่างๆ อาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด เพราะพิษจะส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัว และ - ชนิดเป็นพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้จาก งูทะเล เป็นอัตรายต่อกล้ามเนื้อ วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากถูกสัตว์มีพิษ โดยเฉพาะงูกัด ก่อนที่ทีมแพทย์ฉุกเฉินจะเข้าไปถึงพื้นที่ คือประชาชน ต้องตั้งสติก่อนเป็นอันดับแรก ดูให้แน่ว่าเป็นงูที่มีพิษหรือไม่ หากแน่ใจเป็นงูมีพิษผู้บาดเจ็บมีเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าพิษจะเริ่มแสดงอาการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือรีบล้างแผลให้สะอาดด้วยน้ำหรือแอลกอฮอล์ แต่ห้ามกรีดแผล ดูดแผล ใช้ไฟจี้ ดื่มสุรา หรือกินยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของแอสไพรินโดยเด็ดขาด เพราะจะเพิ่มการติดเชื้อที่แผลมากขึ้นจนเนื้อรอบบริเวณตาย หรือไปเสริมฤทธิกับพิษงูให้รุนแรงมากขึ้น จากนั้นให้ผู้บาดเจ็บนอนนิ่งๆ จัดส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ระดับต่ำกว่าหัวใจ ห้ามเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น เพื่อชะลอการดูดซึมพิษงูเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองและเส้นเลือดดำไหลเวียนเข้าหัวใจ หาไม้ดามบริเวณที่ถูกงูกัดแล้วใช้ผ้าพันให้แน่นพอประมาณเหนือแผลงูกัดประมาณ 5-15 เซนติเมตร รีบนำผู้ถูกงูกัดส่งสถานบริการสาธารณสุขที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว หากระหว่างนำส่งผู้บาดเจ็บหยุดหายใจให้กดนวดหัวใจ จนกว่าจะถึงโรงพยาบาล หากผู้บาดเจ็บอยู่คนเดียว ควรโทรหาสายด่วน 1669 ตั้งแต่ถูกงูกัดแล้วปฐมพยาบาลตัวเองระหว่างรอเจ้าหน้าที่เข้าถึงพื้นที่ จาก ....................... มติชน วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 |
ทำอย่างไรเมื่อถูกคราบสารเคมีในน้ำ http://www.dailynews.co.th/content/i...kt01112011.jpg ผู้ประสบอุทกภัยบางพื้นที่บ่นว่าน้ำที่เอ่อท่วมนั้นสกปรก มีสีและกลิ่นไม่พึงประสงค์ บางคนบอกมีคราบมันๆลอยรวมอยู่ด้วย ทำให้ไม่สบายใจเมื่อต้องลงไปลุยน้ำ 'เกร็ดความรู้' วันนี้เตรียมวิธีเบื้องต้นในการกำจัดสารพิษสารเคมีที่ปะปนมากับน้ำ หากสัมผัสถูกทางผิวหนัง ให้ถอดเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ออก รีบล้างตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำสะอาดทุกซอกทุกมุมของร่างกาย โดยให้ล้างด้วยวิธีรดหรือราด อย่าเข้าไปแช่ตัวในอ่างเพราะสารเคมีจะเจือปนและกลับมาเกาะผิวหนังอีก กรณีที่รู้แน่ชัดว่าคราบมันๆ เป็นน้ำมันหรือไฮโดรคาร์บอน ควรล้างตัวพร้อมถูสบู่อ่อนๆ ด้วย โดยให้ชำระล้างร่ายกาย 10 นาที หรือจนกว่าผิวหนังจะหายลื่นมัน ขณะที่เสื้อผ้าชุดที่เปื้อนคราบมันๆ ไม่ควรนำมาใช้ใหม่ หากจำเป็นต้องใช้ จะต้องซักทำความสะอาดหลายครั้ง ทว่าน้ำต้องสงสัยพวกนั้นกระเด็นเข้าตา ควรล้างตาทันทีโดยใช้ได้ทั้งน้ำอุ่น น้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ เทไหลผ่านตาเบาๆ ในขณะที่นอนตะแคงข้าง ล้างนาน 15-20 นาที อย่างไรก็ตาม หากมีอาการแสบร้อนที่ผิวหนัง ตาลืมไม่ขึ้น ควรรีบพบแพทย์ให้เร็วที่สุด. จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 |
1 Attachment(s)
หลอดดูดน้ำยังชีพ จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 |
น้ำประปา หลายคนเกรงว่า เหตุการณ์น้ำท่วมจะทำให้คุณภาพน้ำประปาต่ำลงจนไม่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ เนื่องจากน้ำทุ่งไหลลงคลองน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปา จนการประปานครหลวง (กปน.) ต้องออกมาชี้แจงว่า คุณภาพน้ำดิบต่ำลงจริง แต่ได้เร่งแก้ปัญหา โดยเพิ่มสารเคมีปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มากขึ้น ยืนยันว่า น้ำประปาที่จ่ายปราศจากสารพิษที่เป็นอันตราย ยกเว้นมีกลิ่นและสีบางส่วนที่ยังกำจัดไม่ได้ การประปานครหลวง รับผิดชอบผลิตและให้บริการน้ำประปาแก่ประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ มีอัตราการสูบจ่ายน้ำประมาณ 5 ล้านลบ.ม. สำหรับคน 10 ล้านคน ด้วยปริมาณที่มากมายเช่นนี้ การควบคุมคุณภาพน้ำจึงมีความสำคัญ สิ่งที่ท้าทายมากที่สุด คือการควบคุมให้น้ำมีคุณภาพเดียวกันทั้งเส้นท่อ หรือตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ซึ่งตามปกติ กปน. จะใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรคในน้ำประปา โดยจะควบคุมให้มีปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือตามเกณฑ์แนะนำขององค์การอนามัยโลก คือ 0.5 ม.ก./ล. ณ สถานีสูบจ่ายน้ำ และ 0.5 ม.ก./ล. ณ ปลายทางบ้าน ผู้ใช้น้ำ แต่เนื่องจากต้องส่งน้ำผ่านท่อระยะไกลกว่าจะถึงมือผู้ใช้น้ำ การเติมคลอรีน ณ โรงงานผลิตน้ำประปาเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ กปน. จึงนำ "ระบบจ่ายคลอรีนอัตโนมัติปลายสาย" (automatic chlorination booster system) ซึ่งเป็นระบบเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพน้ำที่มีประสิทธิภาพกว่ามาใช้ การจ่ายคลอรีนปลายสาย หมายถึง การจ่ายคลอรีนกลางทางลงในเส้นท่อระบบสูบส่งหรือระบบจ่ายน้ำ ซึ่งโดยปกติจะดำเนินการเติมคลอรีน ณ สถานีเพิ่มแรงดันหรือสถานีสูบจ่าย ในกรณีนี้ กปน. เลือกติดตั้งระบบนำร่องจ่ายคลอรีนอัตโนมัติปลายสาย ณ สถานีสูบจ่ายน้ำที่อยู่ห่างไกลจากต้นทาง (โรงงานผลิตน้ำบางเขน) มากที่สุด นั่นคือ สถานี สูบจ่ายน้ำบางพลี โดยเปิดเดินระบบมาแล้วตั้งแต่ ม.ค. 2553 ผลดำเนินการพบว่า ปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำประปาระบบสูบส่งมีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ลดความผันผวน และยังช่วยให้สารไม่พึงประสงค์อันสืบเนื่องจากการใช้คลอรีนเกิดน้อยลงด้วย นอกจากนี้ ยังมีการรายงานผลเป็นระบบบันทึกข้อมูลแบบปัจจุบัน (Real-time) ระบบประมวลข้อมูลเป็นรายชั่วโมง สำหรับรายงานเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้รับผิดชอบสามารถเปิดดูข้อมูลและควบคุมระบบได้ทันท่วงทีเมื่อคุณภาพน้ำเกิดความผิดปกติ อีกหนึ่งระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาเป็นไปอย่างทั่วถึงและเต็มประสิทธิภาพ คือ ระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำประปาแบบรายงานผลเป็นปัจจุบัน" (Real-time tapwater quality monitoring system) เป็นการดึงข้อมูลจากตู้วัดคุณภาพน้ำที่ประจำอยู่ตามสถานีสูบส่งและสูบจ่าย 20 แห่ง เข้ามาสู่ระบบประมวลผล จากนั้นนำข้อมูลรายงานขึ้นสู่อินเตอร์เน็ตให้ประชาชนทราบทางเว็บไซต์ของ กปน. ที่ www.mwa.co.th โดยแสดงเป็นค่าต่อเนื่อง และเปลี่ยนไปทุกๆ 10 วินาที ส่วนผู้ที่กลัวว่า ดื่มน้ำประปาที่มีคลอรีน จะทำให้เป็นมะเร็งนั้น กปน.ชี้แจงว่า คลอรีนในน้ำประปาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน หากไม่ชอบกลิ่นคลอรีน รองน้ำตั้งทิ้งไว้ในภาชนะเปิด 1 ช.ม. กลิ่นคลอรีนจะระเหยไปเอง และใช้ดื่มได้อย่างปลอดภัยแน่นอน จาก ...................... ข่าวสด คอลัมน์ คอลัมน์ที่ 13 วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 |
ระวังสวมบู๊ตนาน เกิดผื่นคันจนได้ ผอ.สถาบันโรคผิวหนังเผย มีผู้ป่วยด้วยอาการผื่นคันเข้ารับการรักษาที่สถาบันแล้วกว่า 100 ราย แต่สถานการณ์ยังไม่น่าวิตก เตือนผู้สวมบู๊ตตลอดเวลาก็อาจเกิดผื่นคันได้ง่ายเช่นกัน เพราะเท้าอับชื้น นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ระหว่างเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ สถาบันโรคผิวหนังได้เปิดให้บริการประชาชนตามปกติ ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งพบว่าขณะนี้มีประชาชนป่วยด้วยอาการผื่นแพ้ ผื่นคัน ตามง่ามมือ ง่ามเท้ากันมากขึ้น เข้ารักษาที่สถาบันวันละกว่า 20 ราย ส่วนมากเกิดจากการแพ้สิ่งปฏิกูลและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร กรณีที่หนักสุดเป็นผิวหนังอักเสบ ซึ่งเกิดจากดูดซับความชื้นเป็นเวลานานทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการทายา แต่บางรายมีบาดแผลเป็นแผลเปิดวงกว้าง ก็ต้องกินยาแก้อักเสบด้วย ซึ่งจากจำนวนผู้ป่วยกว่า 100 รายที่มารักษา พบแค่ 1 รายมีอาการติดเชื้อรา จึงไม่ถือว่ามีการระบาดเกี่ยวกับโรคติดเชื้อทางผิวหนังที่รุนแรง ซึ่งแพทย์จะสั่งยาแก้ผื่นคันให้ และอาการผิวหนังติดเชื้อราจะหายไปในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ นพ.จิโรจกล่าวว่า ในสภาวะเช่นนี้ การสวมใส่รองเท้าบู๊ตเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรสวมใส่ตลอดเวลา เนื่องจากรองเท้าบู๊ตจะเก็บความอับชื้นทำให้เท้าแฉะ เสี่ยงต่อการเกิดผื่นคันได้ง่ายเช่นกัน ไม่ต่างจากการเดินลุยน้ำสกปรกหรือแช่เท้าในน้ำนานๆ ดังนั้นถ้าน้ำไม่สกปรกมาก และมีสถานการณ์การท่วมแค่บางช่วง แนะนำให้ถอดรองเท้าบู๊ตออกเพื่อให้เท้าไม่อับชื้นจนเกินไป “หากมีการดูแลร่างกายที่ดีและหลีกเลี่ยงสิ่งปฏิกูลในน้ำ ก็สามารถป้องกันอาการผื่นคันได้แล้ว ดังนั้นขอให้ประชาชนเฝ้าระวังตัวเองให้มาก และพยายามแยกภาชนะหรือเครื่องใช้ไว้ในที่ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการละลายรวมกับน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน แต่กรณีมีน้ำระบายตลอดเวลาก็ไม่ถือว่าอันตราย” นพ.จิโรจกล่าว. จาก ..................... ไทยโพสต์ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 |
'จุลินทรีย์' บำบัดน้ำเสีย ฟื้นคืนคุณภาพแหล่งน้ำ http://www.dailynews.co.th/content/i...er/p4thurl.jpg พิบัติภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน อีกด้านหนึ่งหลังจากน้ำท่วมขังนิ่งเป็นเวลานานยังทำให้เกิดการเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็น การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาน้ำเน่าเสียในช่วงเวลานี้ รวมทั้งยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังจากน้ำลดและจากที่หลายหน่วยงานได้ร่วมกันให้ความช่วยเหลือ กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาประสานความร่วมมือกับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. นำดาสต้าบอลจุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง อ.ดำรงศักดิ์ แก้ววงษ์ไหม ที่ปรึกษาองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ให้ความรู้ว่า ในสถานการณ์น้ำท่วมขังการใช้จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียเป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขซึ่งวิธีการดังกล่าวเป็นกระบวนการทางชีวภาพ แต่อย่างไรก็ตามคงต้องทราบก่อนว่าทำไมจึงต้องใช้จุลินทรีย์ทั้งนี้อาจเป็นเพราะจุลินทรีย์ในพื้นที่บริเวณนั้นมีไม่พอที่จะสามารถกำจัดของเสียได้ ขณะเดียวกันพื้นที่บริเวณนั้นมีสภาวะไม่เหมาะสมทำให้จุลินทรีย์ตายไป อีกทั้งอาจมีจุลินทรีย์ที่ไม่เหมาะสมอยู่ในพื้นที่จึงมีความจำเป็นต้องใช้จุลินทรีย์เติมลงไปในการกำจัดของเสีย ดังนั้นหากน้ำท่วมขังนานเกินกว่าสัปดาห์ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะเริ่มส่งผลเกิดการหมักตัวของของเสียไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ขยะ ฯลฯ สารอินทรีย์จำนวนมากเหล่านี้จะไปดึงออกซิเจนในน้ำต่ำลงเกิดการหมักตัวของของเสีย กลุ่มจุลินทรีย์ก็จะทำให้เกิดก๊าซมีเทน จุลินทรีย์บางสายพันธุ์ทำให้เกิดซัลเฟอร์ ฯลฯ ซึ่งเมื่อน้ำท่วมขังเน่าเสียก็จะส่งผลกระทบในหลายด้านทั้งเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค แพร่ระบาดของเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นฉี่หนู เชื้อรา ฯลฯ อีกทั้งน้ำที่เน่าเสียไม่สามารถนำน้ำมาใช้อุปโภคบริโภคได้ “การฟื้นฟูคุณภาพน้ำหากเป็นช่วงที่สถานการณ์ปกติอาจมีหลายแนวทางแก้ไข อย่างการเติมอากาศเพิ่มออกซิเจนซึ่งก็เป็นทางหนึ่ง แต่ช่วงน้ำท่วมขังการควบคุมพื้นที่เป็นไปได้ยากลำบากจึงมีความพยายามในการเพิ่มจุลชีพหรือจุลินทรีย์ลงไป ซึ่งจุลินทรีย์นั้นมีด้วยกันหลายชนิด โดยทั่วไปจะใช้เชื้อที่เหมาะสมเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงไม่กลายพันธุ์ง่ายและเป็นเชื้อที่มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมได้ดี” จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียจากที่มีใช้กันและมีการจัดทำขึ้นในลักษณะทรงกลมทำเป็นจุลินทรีย์บอลจะมีการเติมเชื้อจุลินทรีย์ลงไปผสมกับส่วนผสมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแกลบ ขี้เถ้า ฯลฯ นำมาปั้นเป็นก้อนซึ่งที่รู้จักคุ้นเคยกันในลักษณะของ อีเอ็มบอล ซึ่งก็เป็นจุลินทรีย์อย่างหนึ่งที่นำมาปรับปรุงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ ส่วนความร่วมมือฟื้นฟูคุณภาพน้ำ อพท. ได้ผลิต ดาสต้าบอล (DASTA Ball) จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียที่ผู้ศึกษาวิจัยมอบชื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานโดยจุลินทรีย์บอลดังกล่าวเกิดจากสายพันธุ์ที่คัดเลือก อีกทั้งมีปริมาณส่วนผสมที่เหมาะสมสามารถปรับสภาพให้ดำรงชีพในน้ำที่เน่าเสียหรือมีระดับความเค็มตามสภาพพื้นที่จริงได้ดี จากการปั้นส่วนผสมทั้งหมดเป็นลูกกลมขนาดเท่าลูกปิงปองเพื่อให้จุลินทรีย์มีพื้นที่เกาะและสามารถได้รับออกซิเจนในการหายใจ ทั้งยังมีน้ำหนักพอเหมาะจมลงในน้ำได้ดีจึงทนกับสภาพแวดล้อม ส่วนประกอบสำคัญของจุลลินทรีย์บอลได้แก่ จุลินทรีย์ เพอร์ไลท์ ขี้ไก่ น้ำหมักปลา รำละเอียด อาหารกุ้งและกากน้ำตาล ซึ่ง อพท. ได้จดสิทธิบัตรส่วนผสมของดาสต้าบอลไว้ พร้อมกันนั้นที่ผ่านมาได้เผยแพร่ความรู้ต่อเนื่องแก่ผู้ที่สนใจ “ดาสต้าบอลเป็นจุลินทรีย์บอลที่มีการคัดสายพันธุ์ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นมากว่าสองปี จากส่วนประกอบมีเพอร์ไลท์แร่ธรรมชาติที่มีคุณสมบัติดี จุลินทรีย์หลายสายพันธุ์ที่คัดเลือกนำมาทำหน้าที่ฟื้นฟูสภาพน้ำอย่างมีประสิทธิผล ฯลฯ การใช้จะโยนดาสต้าบอลลงในบริเวณที่มีน้ำเน่าเสียในอัตราส่วน 1 ลูกต่อ 1-4 ลูกบาศก์เมตร โดยหลังจากใช้ภายใน 48 ชั่วโมงมีการรายงานถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพน้ำทั้งในเรื่องของกลิ่น สีน้ำที่เปลี่ยนไป” จุลินทรีย์บอลดังกล่าวสามารถ กำจัดน้ำเสีย ได้เนื่องจากภายในดาสต้าบอลเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ที่กินสิ่งเน่าเสียเป็นอาหาร มีเพอร์ไลท์ที่มีลักษณะทางกายภาพเป็นรูพรุนทำให้แบคทีเรียสามารถยึดเกาะและช่วยปรับค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำให้อยู่ที่ pH 5-8 เหมาะกับการทำงานของจุลินทรีย์ ขณะที่การ กำจัดกลิ่น สามารถกำจัดไนโตรเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ เนื่องจากมีส่วนประกอบของขี้ไก่ซึ่งมีไนโตรเจนอยู่เพื่อปรับสภาพของจุลินทรีย์ให้คุ้นเคยกับสภาพจริงและเป็นอาหารของจุลินทรีย์ เมื่อจุลินทรีย์ในดาสต้าบอลลงไปอยู่ในน้ำเสียก็จะกินไนโตรเจนที่อยู่ในน้ำเสียนั้นทำให้ไนโตรเจนหมดไป กลิ่นเหม็นจึงหายไปด้วย การสังเกตคุณภาพน้ำนอกเหนือจากการตรวจวัดด้วยเครื่องมือ คุณภาพน้ำที่ดีขึ้นยังสังเกตได้จากกลิ่นเหม็นที่ห่างหายไป ขณะที่สีของน้ำจะดีขึ้นและนอกเหนือจากจุลินทรีย์ซึ่งมีส่วนช่วยบำบัดน้ำเสีย อาจารย์ท่านเดิมยังฝากถึงการมีส่วนร่วมช่วยกันดูแลธรรมชาติ รักษาน้ำไม่ให้เน่าเสียทั้งในภาวะปกติและน้ำท่วมเวลานี้อีกว่า สิ่งที่ไม่ควรละเลยมองข้ามคือการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า ไม่ทิ้งสิ่งสกปรกต่างๆลงในแม่น้ำลำคลอง รวมทั้งการมีจิตสำนึกรักษ์โลก ห่วงใยธรรมชาติสิ่งแวดล้อมซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นแนวทางการรักษาคุณภาพน้ำให้คงความสมบูรณ์ไว้ได้อย่างยั่งยืน. จาก ....................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 |
ปริศนา”น้ำท่วม” อะไรที่ไม่หนัก แต่ย้ายยากกว่า”ตู้เย็น-เครื่องซักผ้า-เปียโน” อะไรเอ่ย??? http://i835.photobucket.com/albums/z...omChudLuek.jpg ก่อนที่น้ำจะเริ่มไหลบ่าเข้ามาตีโอบบ้าน และทะลุทะลวงฝ่าแนวป้องกันเข้ามาท่วมบ้าน ทุกบ้านจะมีการเตรียมพร้อม เริ่มจากใช้กระสอบทรายหรือก่ออิฐบล๊อครอบบ้าน หรือค้นคิดวิธีการที่จะทำให้บ้านเราปลอดภัยจาก ”น้องน้ำ” จากนั้นก็เริ่มยกของสำคัญขึ้นที่สูง สำคัญมากก็สูงมาก เอกสารหรือของสำคัญส่วนใหญ่จะไว้บนชั้นสองของบ้าน ส่วนของหนักหรือสำคัญรองมาก็จะยกขึ้นที่สูง อาจจะเป็นบนโต๊ะหรือบนตู้ ในช่วงของการเตรียมพร้อม ถ้าถามว่าอะไรคือ คือสิ่งที่หนักที่สุดและขยับย้ายยากที่สุดของบ้าน บ้านทั่วไปจะตอบว่า ”ตู้เย็น” หรือ ”เครื่องซักผ้า” แต่บ้านที่ฐานะดีจะบอกว่า ”เปียโน” ยากที่สุด ยิ่งใครที่คิดจะอพยพหนีไปที่อื่น ของ 3 สิ่งนี้ถือว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของการขนย้าย แต่เมื่อน้ำมาจริงๆ แทบทุกบ้านได้ค้นพบว่าสิ่งที่คิดไว้ไม่ใช่ ”ความจริง” เพราะสิ่งที่ย้ายออกจากบ้านยากที่สุด ไม่ใช่”ตู้เย็น” ไม่ใช่”เครื่องซักผ้า” แต่เป็น”พ่อ”หรือ”แม่”ของเราเอง คุยเท่าไรก็ไม่ยอมออกจากบ้าน จะขอร้อง อ้อนวอน ร้องไห้ โวยวาย ฯลฯ ทั้ง”ขู่”ทั้ง”ปลอบ” แต่ก็ไม่ได้ผล ”ผู้อาวุโส” ส่วนใหญ่มักจะติดบ้าน เป็นห่วงบ้าน ไม่อยากย้ายไปไหนที่เราไม่คุ้นเคย และส่วนใหญ่จะเคยลำบากมาก่อน จึงไม่กลัวความลำบาก โดยลืมไปว่าตอนที่ฝ่าฟันความลำบากนั้น ทั้งคู่ยังเป็นคนหนุ่มสาวที่พร้อมด้วยความแข็งแรงของร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่อายุ 70 เหมือนกับวันนี้ แม้ว่าลูกจะอธิบายถึงความห่วงใย ฉายภาพความลำบากในการย้ายหากน้ำขึ้นสูง ยกตัวอย่างที่บางบัวทอง ทวีวัฒนนา หรือจุดต่างๆที่น้ำท่วมสูงว่าน่ากลัวเพียงใด อธิบายแค่ไหน “พ่อ-แม่”ก็ไม่ยอม ลูกหลายคนเป็นระดับผู้บริหารในองค์กร มีลูกน้องใต้บังคับบัญชาจำนวนมาก แต่ไม่ว่าตำแหน่งจะใหญ่โตมาจากไหน เมื่อเข้าบ้านทุกคนก็เป็น ”ลูก” ไม่มีใครสั่งการให้ ”พ่อ-แม่” ย้ายออกจากบ้านเหมือนกับสั่งลูกน้องในบริษัทได้ ยิ่งลูกโวยวายมากเท่าไร พ่อ-แม่ก็จะน้อยใจมากเท่านั้น เพราะ”ผู้ใหญ่”ยิ่งอายุมาก ยิ่งใจน้อยง่าย ในเฟซบุ๊คของแต่ละคนมีการสนทนาถึงเรื่องนี้เยอะมาก ทั้งบ่น ทั้งขอคำปรึกษา บางคนถึงขั้นถามเพื่อนว่าใช้ ”ทนาย” ฟ้องขับไล่ได้ไหม ยอมให้ ”พ่อ-แม่” โกรธ แต่ขอชีวิต ”พ่อ-แม่” ให้รอดไว้ก่อน เรื่องอื่นค่อยเคลียร์ทีหลัง มีบางคนบ่นกับเพื่อนว่าถ้าเจรจาครั้งสุดท้ายไม่ได้ผล “สงสัยข้าต้องวางยานอนหลับ แล้วอุ้มเลย” แม้เรื่องการขอให้พ่อ-แม่ย้ายออกจากบ้านในช่วงน้ำท่วมจะเป็น ”ปัญหา” ที่ใหญ่ยิ่งของลูกๆหลายคน แต่ทั้ง 2 ฝ่ายก็รู้ว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดจาก ”ความเกลียดชัง” หากเป็น ”ปัญหา” ที่เกิดจาก ”ความรัก” ในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ นี่คือ ”ปัญหา” ที่ ”น่ารัก” แต่ ”หนัก” เหลือเกิน จาก ..................... มติชน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 |
FloodDuck "เจ้าเป็ดน้อย" แสนดี เตือนภัยก่อนไฟมาดูด http://www.prachachat.net/gallery/fu...1320159614.jpg สถานการณ์การเสียชีวิตจากไฟฟ้าดูดในพื้นที่น้ำท่วมนับวันมีตัวเลขเพิ่มขึ้น เป็นภัยแฝงที่น่ากลัวที่มากับน้ำท่วม มีการรายงานขั้นต่ำแล้วว่ามีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 36 ราย ใน 15 จังหวัด โดยมากเป็นการเสียชีวิตจากถูกไฟฟ้าดูดในวันแรกที่น้ำท่วม และมักจะเสียชีวิตในบ้าน จากการสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น ปั๊มน้ำ สายชาร์จโทรศัพท์มือถือ หรือ อุปกรณ์ที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ความจริงแล้วตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไฟฟ้าดูดอาจมากกว่าที่ได้รับรายงาน เนื่องจากการลงพื้นที่พบปะจากชาวบ้านที่ประสบภัยยืนยันว่ามีการเสียชีวิตจากไฟดูดมากกว่าตัวเลขจริงถึง 2 เท่า หรือประมาณ 50 ราย เช่นในพื้นที่บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เพราะบางคนถูกไฟดูดจมอยู่ในน้ำ เวลาไปชันสูตรศพก็จะรายงานว่าจมน้ำ แต่ก่อนจมน้ำคือถูกไฟฟ้าดูดก่อน วิธีป้องกันด้วยการเช็คว่ามีกระแสไฟฟ้ารั่วในบริเวณที่เราจะต้องผ่านหรือไม่แน่ใจที่แนะนำกันคือใช้ไขควงแบบเช็คไฟฟ้าแต่วิธีนี้ทำได้ไม่สะดวก และติดจะรู้สึกไม่สบายใจนักเมื่อน้ำมีระดับความสูงเพิ่มขึ้น http://www.prachachat.net/online/201...320159593l.jpg นั่นทำให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อเสียงของ "เป็ดน้อยเตือนภัย" จึงเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เจ้าเป็ดน้อยเตือนภัยนี้สามารถนำไปลอยน้ำเพื่อตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่วก่อนเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งเป็ดน้อยเตือนภัยจะส่งเสียงและมีไฟแดงขึ้นในตัว เมื่อพบกระแสไฟฟ้ารั่ว และสามารถรับกระแสไฟฟ้าได้ในรัศมี 1 ตารางเมตร และความลึก 50 เซนติเมตร ที่มาที่ไปของ เป็ดน้อยเตือนภัย หรือ FloodDuck มีที่มาจากแรงบันดาลใจของ อ.ดุสิต สุขสวัสดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่คิดว่านอกจากไขควงเช็คกระแสไฟฟ้าแล้วอะไรจะเป็นตัวแจ้งเตือนให้คนรู้ว่ามีไฟรั่วในน้ำได้อีก อ.ดุสิตเล่าผ่านเฟซบุคเพจที่ชื่อ FloodDuck ว่า ในเชิงช่างอุปกรณ์ที่เราใช้ตรวจสอบว่าสายเส้นใดมีไฟก็คือไขควงวัดไฟ แต่จะให้ถือไขควงวัดไฟก็จะดูไม่เข้าท่า มันน่าจะมีอะไรดีกว่านั้นไหม เมื่อมองไปในอ่างก็มีเป็ดตัวหนึ่งซึ่งมันลอยอยู่จึงเป็นที่มาของเป็ดเตือนภัยตัวแรกของโลกและนำมาสู่โครงการเป็ดน้อยเตือนภัยในที่สุด http://www.prachachat.net/gallery/fu...1320159963.jpg ทีมงานและอาสาสมัครผลิตเจ้าเป็ด หลักการทำงานของเจ้า "เป็ดน้อย" FloodDuck หัวใจการทำงานจริงจะอยู่ที่บริเวณด้านล่างของตัวเป็ดน้อย ที่บริเวณด้านล่างประกอบด้วยแท่งตัวนำจำนวน 2 แท่งวางตัวอยู่ห่างกัน ( กรณีนี้ใช้สายไฟหุ้มปลายทองแดง ) ลักษณะเหมือนตะเกียบ ประจุไฟฟ้าจะเดินทางจากปลายข้างหนึ่งไปสู่ปลายอีกข้างหนึ่ง ตะเกียบต้องมีระยะห่างสักประมาณหนึ่ง ทั้งนี้ อ.ดุสิตได้ออกแบบวงจรตรวจจับกระแสไฟฟ้าใส่ลงไป โดยรุ่นแรกที่ออกแบบมาจะมีแต่ไฟเตือน ทีนี้โจทย์ข้อต่อไปคือไฟจะต้องสว่างเมื่อกำลังจะเข้าสู่ย่านที่แรงดันเริ่มจะมีผลต่อร่างกายมนุษย์ ก็เริ่มต้องใช้เครื่องมือวัดซึ่งปริมาณกระแสที่ตรวจสอบได้ในระดับ 1 ใน 1000 แอมป์ ที่แรงดันประมาณ 40 โวลท์ ก็จะเริ่มมีแสงสว่างพอท่ีจะสังเกตได้เมื่อเพิ่มแรงดันตกคร่อมเข้าไปแสงก็จะสว่างขึ้นและดังขึ้น โดยคุณสมบัติข้อนี้นี่เองเจ้าเป็ดน้อยจึงมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งคือสามารถตรวจหาตำแหน่งของแหล่งจ่ายไฟที่อยู่ใต้น้ำได้อีกด้วย ต้นทุนเป็ดหนึ่งตัวอยู่ที่ประมาณ 150-160 บาท โดยขณะนี้มีบรรดานักศึกษา และอาสาสมัครเข้าไปร่วมผลิตเจ้าเป็ดน้อยที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง http://www.prachachat.net/gallery/fu...1320159620.jpg ส่วนวิธีใช้-วิธีดูแลเจ้าเป็ด..ควรทำคันแขวนเอาไว้ถือคล้ายตะเกียงส่องนำทางไปยังจุดหมายที่จะลุยน้ำไป เมื่อใช้เสร็จก็ควรเช็ดให้แห้งและตรวจสอบว่ามีน้ำรั่วเข้าไปบ้างหรือไม่ และสุดท้ายหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าแบตเตอรี่หมดหรือไม่ ขณะนี้เจ้าเป็ดน้อยลอยน้ำได้ถูกส่งมอบให้หน่วยงานต่างๆนำไปใช้ประโยชน์ทั้ง กทม. พนักงานการไฟฟ้าที่ต้องเสี่ยงเข้าไปลุยน้ำตัดไฟให้ประชาชน รวมไปถึงนำไปมอบให้โรงพยาบาลศิริราชด้วย มีเจ้าเป็ดน้อยเตือนภัยก็อุ่นใจได้ระดับหนึ่งในยามน้ำท่วมทุลักทุเลเวลานี้ จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 |
"ชุดกันน้ำ" อีกทางเลือกเมื่อต้องลุยน้ำออกมาทำงาน http://www.prachachat.net/online/201...320122807l.jpg หลังจากรัฐบาลเป็นห่วงสถานการณ์น้ำทะเลในวันที่ 29 ตุลาคม จะหนุนสูงมากจึงมีมติให้ประกาศวันหยุดราชการในวันที่ 27, 28 และ 31 ตุลาคม ให้ 21 จังหวัดพื้นที่ประสบภัยเป็นวันหยุดราชการพิเศษ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมการรับสถานการณ์ พร้อมด้วยถ้อยแถลงที่ให้ประชาชนที่พอจะ "หนีกรุง" ได้ ให้พาครอบครัวญาติพี่น้องอพยพ "หนีน้ำ" ออกจากกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามประชาชนอีกจำนวนมากไม่ได้อพยพ ทั้งยังต้องปักหลักเฝ้าน้ำอยู่บ้าน หรือโกลาหลรับน้ำบ้าง อพยพบ้างในช่วงสัปดาหวันหยุดพิเศษ แต่คำถามที่ตามมาคือ สถานการณ์น้ำยังไม่จบ หมดน้ำทะเลหนุน ยังคงมีน้ำเหนือที่ถูกกักตามคันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำทยอยเข้าหลายพื้นที่ บางพื้นที่น้ำค่อยๆหลากเข้ามา ส่วนที่ท่วมแล้วยังเป็นน้ำขังระดับเอวระดับเข่า การอยู่อาศัยอาจทนได้ แต่การ "เดินทาง" เข้าออกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หมด "วันหยุดพิเศษ" แต่ผู้คนต้องกลับมาทำงาน และต้องเผชิญน้ำอย่างหนีไม่พ้น ซึ่งระยะเวลากว่าน้ำจะลดก็ยังร่วมเดือน ยิ่งสภาพน้ำท่วมในกทม.มีลักษณะน้ำผุดตามท่อ บ้านไหนไม่มีเรือ ก็ต้องเดิน หรืออย่างน้อยก็หนีไม่พ้นการเดินลุยน้ำออกมาทำงาน จึงต้องเผชิญทั้งกลิ่น และความเสี่ยงต่อเชื้อโรคต่างๆ http://www.prachachat.net/online/201...320122770l.jpg บางครอบครัวจะหาคอนโดฯ อพาร์ทเมนท์ ห้องเช่าอยู่ก็ใช่ง่าย วางมัดจำกันล่วงหน้า 3 เดือน ทำให้สภาพบางคนคือกลับไปอยู่บ้าน ที่อยู่อาศัย แต่ยังยากต่อการเดินทางออกมาทำงาน ผลคือคนจำนวนไม่น้อยยังคงหยุดงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่บ้านอยู่รอบนอกของกทม.ฝั่งตะวันตก และตะวันออก บางคนเป็นแรงงานรับจ้างลูกจ้าง ถ้าไม่ออกมาก็ถูกหักเงินเดือนรายวัน ข้าราชการที่จะไปศูนย์ราชการก็เข้าออกลำบากไม่แพ้กัน ขณะที่ปัญหาคือรถรับส่งเป็นจุดๆก็ยังไม่ทั่วถึง ทำให้การเดินทางลุยน้ำออกมาขึ้นเรือหารถเป็นเรื่องลำบาก แต่เมื่อชีวิตยังต้องทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนจึงยังต้องดิ้นกันไป วิธีการที่หลายคนพยายามหาทางออกพาตัวเองออกมาทำงานโดยให้ถูกน้ำท่วมน้อยที่สุด จำนวนไม่น้อยที่พอมีทุนทรัพย์เลือกจะใส่ "ชุดกันน้ำ" แบบมีสายคาดไหล่ (ชุดเอี๊ยม) หรือพูดกันง่ายๆคือ "ชุดมาริโอ้" แบบเจ้ามาริโอ้ในเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งเท่าที่เห็นมีเจ้าหน้าที่กู้ภัย ทีมข่าว และเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) จำนวนหนึ่งใส่เจ้าชุดกันน้ำแบบเอี๊ยมกันไม่น้อย ชุดกันน้ำที่เห็นใส่กันบ้างช่วงนี้ เป็นชุดที่เห็นบ่อยในหมู่นักตกปลา เมื่อนำมาประยุกต์ก็สามารถใช้ได้ไม่แพ้กัน เพราะชุดกันน้ำพวกนี้ใช้วัสดุเป็นยางพีวีซีค่อนข้างหนา ทนทาน ทำให้ป้องกันของมีคม เศษแก้ว กิ่งไม้ ที่ลอยมาตามน้ำได้ แม้กระทั่งป้องกันปลิงมาเกาะได้ อย่างไรก็ตามชุดอาจจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่ก็ปลอดภัยกันน้ำได้มากเมื่อยามต้องลุยน้ำออกมาทำงาน จาก ..................... กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 |
เลือกเครื่องกรองน้ำกลางวิกฤติน้ำท่วม http://www.komchadluek.net/media/img...8fjijgik9b.jpg “น้ำดื่ม” เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการดำรงชีวิต เพราะหากร่างกายขาดน้ำติดต่อกันเกิน 3 วัน ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ แต่วันนี้ “น้ำดื่ม” กลายเป็นของหายากเพราะผู้คนพากันตื่นตระหนกกักตุน เนื่องจากวิตกว่า ภาวะอุทกภัยที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนทำให้น้ำดื่มหายไปจากชั้นวางขายในห้างสรรพสินค้าจนเกลี้ยง ดังนั้น การ “กรองน้ำ” สำหรับดื่มเอง จึงกลายเป็นทางเลือกในการเตรียมรับมือกับภาวะขาดแคลนน้ำดื่มของผู้บริโภค แต่ด้วยคุณภาพของน้ำที่หลายคนเริ่มไม่ไว้ใจ แม้การประปานครหลวงจะออกมายืนยันว่า คุณภาพของน้ำประปายังอยู่ในระดับมาตรฐาน ทำให้การเลือกเครื่องกรองน้ำกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่อาจละเลย ญาตา โล่ห์สวัสดิกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะซิกเนเจอร์ แบรนด์ จำกัด ผู้ทำตลาดเครื่องกรองน้ำคามาร์ซิโอ แนะว่า การเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม ควรเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจมาตามท่อน้ำประปา รวมถึงโลหะหนัก คลอรีนและสารอินทรีย์อื่นๆ ซึ่งเกิดจากการเจือจางของคลอรีนและสารปนเปื้อนในน้ำประปาซึ่งมีมากกว่า 2,000 ชนิด “ขณะนี้ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่องของเครื่องกรองน้ำเป็นอย่างมาก เพราะน้ำดื่มและน้ำใช้เริ่มมีปัญหา ทำให้ทุกบ้านต่างก็ต้องเตรียมน้ำสะอาดสำหรับใช้อุปโภคบริโภค การเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำจึงต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งบริษัทฯ เองตระหนักถึงความสำคัญในจุดนี้ และได้ผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค อย่างเครื่องกรองน้ำบางรุ่นมีการเติมแร่ธาตุที่จำเป็นลงไปในน้ำด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคสบายใจว่าจะมีน้ำสะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกายไว้ดื่มต่อไป” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเผย http://www.komchadluek.net/media/img...gaiabdefje.jpg ส่วนบ้านที่มีเครื่องกรองน้ำอยู่แล้ว จะต้องหมั่นตรวจดูการทำงานของสารกรองและไส้กรองว่ายังมีประสิทธิภาพดีอยู่หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่สารกรองและไส้กรองแต่ละชนิด มีอายุการใช้งานอยู่ที่ 1 ปี จึงต้องหมั่นเปลี่ยนเพื่อให้ระบบกรองมีประสิทธิภาพสูงสุดในการดักเศษสนิมและผงฝุ่นจากท่อน้ำ สารเคมี คลอรีน กลิ่น สี และดูดซับสารโลหะหนักต่างๆ รวมถึงกรองแบคทีเรีย เพื่อให้ได้น้ำสะอาดเหมาะแก่การใช้มากที่สุด สำหรับผู้ที่อยู่ในภาวะคับขัน ศ.นพ.ดร.วีระศักดิ์ จงสู่วิวัฒน์วงศ์ หัวหน้าหน่วยระบาดวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันและพัฒนาสุขภาพภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แนะว่า การเตรียมน้ำดื่มในช่วงวิกฤติสามารถทำได้ด้วยการนำขวดพลาสติกใสที่ไม่เก่าและไม่มีรอยขีดข่วน แกะพลาสติกออกจนหมดแล้วนำมาวางแนวนอน เพื่อให้รับแสงอาทิตย์ฆ่าเชื้อโรคสิ่งสกปรกภายในขวด หลังจากนั้นนำน้ำสะอาดมาใส่ขวด 3-4 ขวด เขย่าแรงๆ 20 ครั้ง เพื่อให้อากาศ (ออกซิเจน) ผสมกับน้ำให้ทั่ว เติมน้ำให้เต็มปิดฝาขวดนำไปวางในแนวนอนนำไปไว้บริเวณที่มีแดดจัด ให้ความร้อนจากแสงแดดและออกซิเจนจะทำปฏิกิริยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสและพยาธิ ซึ่งระยะเวลาการนำขวดน้ำไปตากแดด ขึ้นอยู่กับพื้นผิวที่เรานำขวดไปวาง หากเป็นพื้นโลหะใช้เวลาตากแดด 2 ชั่วโมง หากเป็นพื้นกระเบื้องหรือซีเมนต์ ใช้เวลา 6 ชั่วโมง แต่หากเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก ก็ควรปล่อยทิ้งไว้ 2 วัน จาก ..................... คม ชัด ลึก วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 |
สารพัดโรคภัยที่มากับ "น้องน้ำ" เรื่องที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม http://pics.manager.co.th/Images/554000014851102.JPEG สถานการณ์น้ำท่วม ณ เวลานี้ ยังคงสร้างความเดือดร้อนอยู่มากในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบ้านที่ถูก "น้องน้ำ" เข้าท่วมจนข้าวของเครื่องใช้เสียหาย ส่วนบ้านไหนที่ขนของขึ้นที่สูงได้ทัน ก็ถือว่าโชคดีไป แต่นอกจากจะมุ่งความสนใจไปที่การรับมือกับน้ำเพียงอย่างเดียวแล้ว การดูแลสุขภาพให้ปลอดโรคที่มากับน้องน้ำก็เป็นอีกเรื่องสำคัญที่ทุกๆบ้านไม่ควรมองข้ามเช่้นกัน รอ.นพ. พันเลิศ ปิยะลาศ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรคภัยที่มากับน้ำมีหลากหลาย โดยเฉพาะโรคติดต่อและอันตรายที่มากับภาวะน้ำท่วม และหลังน้ำลด เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม โรคระบบทางเดินอาหาร อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ โรคน้ำกัดเท้า และโรคฉี่หนูที่ทำให้มีไข้สูงฉับพลัน และเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก นอกจากนั้นแล้ว ภาวะน้ำท่วมขังเป็นเวลานานๆ ก่อให้เกิดโรคที่มาจากแมลงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย เป็นต้น ความน่าเป็นห่วงข้างต้น ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ มีวิธีรับมือกับสารพัดโรคภัยที่แฝงมากับ "น้องน้ำ" มาฝากทุกๆบ้านตามแนวทางที่สามารถทำได้ง่ายๆด้วยตัวเองดังต่อไปนี้ - บ้านที่มีน้ำท่วมขัง ควรหาหามุ้ง หรือยาทากันยุงติดบ้านไว้บ้าง โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็ก โดยกางนอนทั้งกลางวัน และกลางคืน โดยเฉพาะตอนกลางวัน เป็นช่วงที่ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก ออกหากิน - ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น เช็ดตัวให้แห้ง หลีกเลี่ยงการแช่น้ำเป็นเวลานาน เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม - เลือกทานอาหารที่ปรุงสุก และสะอาด อาหารกระป๋องที่ยังไม่หมดอายุ กระป๋องไม่บวมหรือเป็นสนิม ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำจากขวดที่ฝาปิดสนิท น้ำต้มสุก หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระลงในน้ำ ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดของโรค - หากไม่แน่ใจว่าน้ำที่เราใช้ดื่มมีความสะอาดเพียงพอหรือไม่ ควรต้มน้ำดื่มให้เดือดเพื่อทำลายเชื้อโรคในน้ำก่อนหรือในส่วนของน้ำใช้ หากไม่แน่ใจให้ใช้ผงปูนคลอรีนทำลายเชื้อโรคในน้ำ โดยคลอรีนสามารถทำลายเชื้อโรคได้มากกว่า 99% รวมทั้ง อี.โคไล (E.coli) และเชื้อไวรัส นอกจากนี้ผงปูนคลอรีนสามารถเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนในน้ำได้ ซึ่งการใช้คลอรีนอย่างระมัดระวังจะไม่เกิดอันตราย - หลีกเลี่ยงการลุยน้ำลุยโคลน และป้องกันไม่ให้บาดแผลสัมผัสถูกน้ำโดยการสวมร้องเท้าบู๊ทยาง หากไม่สามารถเลี่ยงได้ควรรีบล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่แล้วเช็ดให้แห้งโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิสซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรคที่มากับน้ำ - หากพบอาการระคายเคืองบริเวณตา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคตาแดง ให้ล้างด้วยน้ำสะอาดทันที หรือถ้ามีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตาไม่ควรขยี้ตาด้วยมือที่สกปรก อย่าให้แมลงตอมตา และหลีกเลี่ยงที่จะใช้ของร่วมกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันการระบาดของโรค - บ้านใครที่มีผู้ป่วยเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง ลมชัก จำเป็นต้องใช้ยาต่อเนื่อง ควรจัดเตรียมยาประจำตัวของตนเองให้พร้อมอยู่เสมอในภาชนะที่ปิดกันน้ำได้ นอกจากนั้นแล้ว อุบัติเหตุที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วมที่ต้องระมัดระวังด้วยเช่นกัน ได้แก่ ไฟดูด จมน้ำ เหยียบของมีคม สามารถป้องกันได้โดย - ถอดปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้า สับคัทเอาท์ตัดไฟฟ้าในบ้านก่อนที่น้ำจะท่วมถึง - เก็บกวาดขยะ วัตถุแหลมคม ในบริเวณอาคารบ้านเรือน และตามทางเดินอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากของมีคมได้แล้ว ยังช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็น งู ตะขาบ แมงป่อง ซึ่งหนีน้ำมาหลบอาศัยในบริเวณบ้านเรือนได้ด้วย "เมื่อต้องเป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม อย่างแรกที่ต้องมีก็คือ สติ อย่าตกใจหรือกลัวจนขาดสติ ควรเตรียมตัว เตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ติดตามรายงานของทางราชการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนศึกษาขั้นตอนการอพยพ ระบบการเตือนภัย เส้นทางการเคลื่อนย้ายในกรณีเร่งด่วนครับ" ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพทิ้งท้าย จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 |
'น้ำดื่ม' ปนเปื้อนเชื้อโรค!! ภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม http://www.dailynews.co.th/content/i...er/p4thurl.jpg จากวิกฤติปัญหาน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประชาชนจำต้องระมัดระวังตนเองในการบริโภค “น้ำดื่ม” เพราะการบริโภคน้ำที่ไม่สะอาด อาจทำให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมาได้ นพ.วิโรจน์ เมืองศิลป ศาสตร์ แพทย์หัวหน้าแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลเวชธานี ให้ความรู้เกี่ยวกับน้ำสะอาดว่า ลักษณะของน้ำดื่มที่ดีมีคุณประโยชน์กับร่างกายมนุษย์ ควรปราศจากสารปนเปื้อนทางเคมีและสารอินทรีย์ต่าง ๆ เช่น มีเชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก สารเคมี โดยจะต้อง ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปแตสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม เพราะ การที่น้ำมีแร่ธาตุละลายอยู่มากจะช่วยลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว นอนหลับ สดใส กระปรี้กระเปร่า ลดคอเลสเตอรอลและจิตใจสงบผ่อนคลาย รวมทั้ง จะต้องมีโครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กเพื่อทำให้แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสารอาหาร และออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างทั่วถึง และนำพาของเสียออกมาจากเซลล์ไปทิ้งได้ “น้ำดื่มที่ดีควรมี ความกระด้างของน้ำปานกลาง โดยมีความเป็นด่างอ่อนๆ มีค่าความเป็นกรดและด่างระหว่าง พีเอช 7.25-8.50 เพื่อช่วยกำจัดความเป็นกรดและของเสียในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีภาวะที่สมดุล สุดท้าย มีปริมาณออกซิเจนที่เจือปนอยู่ด้วย โดยจะต้องวัดค่าได้ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลิตรหรือมากกว่า” สิ่งที่จะปนเปื้อนมากับน้ำดื่มได้ นพ.วิโรจน์ กล่าวว่า จะเป็นเชื้อจุลินทรีย์ ได้แก่ โปรโตซัว เป็นเชื้อจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ไกอาร์เดีย แลมเบลีย และคริปโตสปอรีเดียม สำหรับแบคทีเรีย ที่เป็นเชื้อจุลินทรีย์ขนาดกลาง ได้แก่ อีโคไล, วิบริโอ คอเลอเร, แคมไพโลแบคเตอร์ และซัลโมเนลล่า ส่วนไวรัส เป็นชนิดของเชื้อจุลินทรีย์ที่เล็กที่สุด เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ ตลอดจน มลพิษ ได้แก่ สารเคมี น้ำเสีย น้ำมันเชื้อเพลิงที่รั่วไหล สารมลพิษโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ สารที่มนุษย์สร้างขึ้นและสารที่เป็นธรรมชาติ สารมลพิษที่มนุษย์สร้างขึ้นจะถูกนำเข้าสู่แหล่งน้ำโดยโรงงานผลิตของเสียและการจัดการกำจัดมลพิษทางอากาศและอื่นๆ ส่วนใหญ่มักเป็นสารเคมี เชื้อเพลิง หรือสิ่งปฏิกูลจากผลิตภัณฑ์ มลพิษเหล่านี้สามารถทำให้น้ำมีกลิ่นเหม็นและสามารถทำให้เกิดโรคทางร่างกายหรือเสียชีวิตได้ หากบริโภคน้ำดื่มที่ไม่สะอาดมีเชื้อจุลินทรีย์เหล่านี้ปนเปื้อนจะก่อให้เกิดโรค และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ ในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็น โรคอหิวาตกโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ คอเลอเร ที่แพร่กระจายอยู่ในน้ำดื่มและอาหาร โดยมีแมลงวันเป็นพาหะนำโรค และแน่นอนว่าโรคนี้แพร่ระบาดได้โดยการกินและดื่มอาหารและน้ำที่มีแมลงวันตอมและมีเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ รวมทั้งอาหารสุกๆดิบๆ โดยผู้ป่วยจะมีอาการอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง แต่ไม่เกินวันละ 1 ลิตร อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนร่วมด้วย สามารถรักษาให้หายได้ภายใน 1-5 วัน แต่ถ้าติดเชื้อรุนแรงจะมีอาการท้องเดิน อุจจาระมากและมีลักษณะอุจจาระเป็นน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นคาว และอุจจาระได้โดยไม่ปวดท้องและไม่รู้สึกตัว สามารถหายได้ภายใน 2-6 วัน หากได้รับเกลือแร่และชดเชยน้ำที่เสียไป แต่หากได้รับไม่พอดีกับที่เสียไปแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการหมดแรง หน้ามืด อาจช็อกได้ การป้องกันทำได้โดยการรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก รวมถึง รักษาสุขภาพอนามัยด้วยการล้างมือและภาชนะให้สะอาดทุกครั้ง และ ไม่ควรนำน้ำท่วมมาล้างภาชนะ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค หรือหากติดเชื้อแล้ว ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ต่อมา คือ ไข้ไทฟอยด์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซาลโมเนลลา ไทฟี ที่อยู่ในน้ำและอาหารเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค สามารถแพร่ระบาดโดยการดื่มน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไปจะไม่แสดงอาการทันที แต่จะแสดงอาการหลังจากรับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว เบื่ออาหาร มีไข้สูงมาก ท้องร่วง บางรายมีผื่นขึ้นตามตัว แน่นท้อง สามารถหายได้เองภายใน 1 เดือน แต่ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์หลังจากมีอาการแล้ว เพราะอาจจะเสียชีวิตจากภาวะปอดบวมได้ การป้องกันไข้ไทฟอยด์ ทำได้โดยรับประทานอาหารที่สะอาด อยู่ในภาชนะที่สะอาด รวมถึง ล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหารทุกครั้ง และควรจะหลีกเลี่ยงอาหารจากร้านค้าข้างถนนที่อยู่ในบริเวณที่ไม่สะอาด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออีกทางหนึ่ง คือ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์ อีกโรคหนึ่ง คือ โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ โดยไวรัสตับอักเสบที่มาจากภาวะน้ำท่วม คือ ไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ที่มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ทำให้สุก “ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดตัวแถวชายโครงขวา และมีปัสสาวะเป็นสีชาแก่ เริ่มมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองในสัปดาห์แรก และจะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์ การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบรับประทานอาหารที่สุกและสะอาด ไม่ใช้แก้วน้ำและช้อนร่วมกับผู้อื่น” ในเรื่องของการดื่มน้ำ นพ.วิโรจน์ ทิ้งท้ายว่า เชื้อโรคนั้นมักปนเปื้อนสู่ร่างกายโดยการบริโภคน้ำดื่มที่ไม่สะอาด การป้องกัน คือ ควรดื่มน้ำที่ผ่านการกรองแล้วนำมาต้มสุก ควรดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะขาดน้ำ ในกรณีที่มีอาการท้องร่วงจากเชื้อโรคในน้ำที่ดื่ม ควรดื่มน้ำทดแทนอย่างเพียงพอ หรือ ดื่มน้ำเกลือแร่เสริม ในกรณีที่มีอาการท้องเสียรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที. *************************************** เคล็ดลับสุขภาพดี แนะวิธีรักษาอาการ 'ตาแดง' ภัยแฝงที่มากับน้ำท่วม โรคที่มักมากับน้ำท่วมคือ “ตาแดง”ซึ่งพบบ่อยและมีการแพร่ระบาดสู่ผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และเด็กๆที่ชอบกระโดดเล่นน้ำในบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง หากเราไม่สามารถป้องกันตัวเองจากโรคตาแดงได้ก็ควรทราบวิธีรักษาอาการเบื้องต้นเพื่อบรรเทาอาการและเพื่อความปลอดภัยของดวงตา วันนี้เคล็ดลับสุขภาพมีวิธีดูแลตัวเองหลังจากเป็นโรคตาแดงมาฝากกันค่ะ โดย รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ด้านความเสี่ยง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้ความรู้ว่า โรคตาแดงหรือเยื่อบุตาขาวอักเสบ เป็นโรคที่มีการแพร่ระบาดเมื่อเกิดน้ำท่วมมาสักระยะหนึ่ง มักเกิดจากเชื้อไวรัสหรือสิ่งระคายเคืองปะปนอยู่กับน้ำท่วมขังซึ่งเป็นน้ำที่ไม่สะอาด โดยอาการของผู้ป่วยจะมีอาการปวด คัน และบวมบริเวณเยื่อบุตาขาว มีอาการกลัวแสง น้ำตาไหล มีขี้ตา อาจมีอาการที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนที่จะลุกลามไปยังตาอีกข้างหนึ่ง ผู้ป่วยบางคนอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กระจกตาดำอักเสบ เป็นต้น การดูแลตัวเองในเบื้องต้นหากเราติดเชื้อโรคตาแดงแล้ว โดยเราสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการทำความสะอาดบริเวณดวงตา โดยการเช็ด ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดเช็ดขี้ตาออก หลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตา หรืออาจใช้ยาหยดตากลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น ยาหยดตาคลอแรมเฟนนิคอล แต่หากผู้ป่วยมีอาการคันอย่างมากอาจต้องพบแพทย์เพื่อรับยามารับประทานแก้คัน อย่างไรก็ตามการล้างตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำสะอาดมักจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น หากเราดูแลตัวเองอย่างดีตามขั้นตอนแรกที่เอ่ยไปแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน โดยมีอาการ เช่น ขี้ตาเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง มีอาการตามัว ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที สำหรับการป้องกันโรคตาแดงที่เราสามารถป้องกันได้ด้วยวิธีง่าย คือ หลีกเลี่ยงไม่ให้ฝุ่นละอองหรือน้ำท่วมขังที่สกปรกเข้าตา โดยเฉพาะเด็กๆ ไม่ควรเล่นน้ำในที่น้ำท่วมขัง ถ้าหากฝุ่นละอองหรือน้ำกระเด็นเข้าตาควรรีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด หมั่นล้างมือเป็นประจำเพราะมือเราอาจจะเปียกน้ำสกปรกหรือเปื้อนขี้ฝุ่นโดยไม่ตั้งใจแล้วเผลอไปแคะขี้ตาหรือขยี้ตาทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ทั้งนี้หากเป็นไปได้ควรแยกผู้ป่วยจากสมาชิกอื่นในครอบครัวนาน 2-3 วัน หรือไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่นเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค เมื่อทราบแบบนี้แล้วอย่าลืมป้องกันหรือหากติดเชื้อตาแดงแล้วควรดูแลตัวเองด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนที่แนะนำไป โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เราควรดูแลมากเป็นพิเศษเพื่อป้องกันตัวเองและลดการแพร่ระบาดของโรคตาแดงอย่างเคร่งครัด เพราะหากเป็นโรคตาแดงแล้วอาจมีโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ต่อดวงตาของเราได้ซึ่งจะเป็นอันตรายในภายหลังค่ะ. สรรหามาบอก - ศูนย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานเสวนาเรื่อง ’ปวดข้อ ปวดกระดูก“ ใน วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 เวลา 09.30–12.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 4 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ บางนา-ตราด กม.3.5 สำหรับ 60 ท่านแรกที่ลงทะเบียนรับบริการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกที่ข้อมือโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สนใจสำรองที่นั่งได้ที่ แผนกลูกค้าสัมพันธ์ โรงพยาบาลไทยนครินทร์ โทรศัพท์ 0-2361-2727 ต่อ 3042 และ 3056 - แผนกไต โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ยังคงเปิดให้บริการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในช่วงภาวะวิกฤติอุทกภัยตามปกติตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายเรื้อรังหรือไตวายเฉียบพลันจำเป็นต้องได้รับการฟอกเลือดทุกสัปดาห์ โดยทางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ น้ำยาฟอกเลือดอย่างเพียงพอ เพื่อรองรับการให้บริการรักษาอย่างทั่วถึง พร้อมทีมแพทย์และพยาบาลวิชาชีพผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2711-8272-3 หรือ Call Center โทร. 0-2711-8181 - มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยสามารถบริจาคได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาโรงพยาบาลราชวิถี เลขที่บัญชี 051 -265547-2 ชื่อบัญชี ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม โดยมูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี สอบถามโทร. 0-2354-8108-9 -โรงพยาบาลมนารมย์ เปิดสายด่วนให้คำปรึกษาทางใจแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2725-9555 ตั้งแต่เวลา 08.00–18.00 น. ภายใต้ ’โครงการมนารมย์ร่วมใจ…ช่วยภัยน้ำท่วม“ โดยได้จัดทีมนักจิตวิทยา และทีมจิตแพทย์อาสาของโรงพยาบาล ไว้พร้อมบริการให้คำปรึกษาทางใจกับผู้ประสบภัย หรือผู้ดูแลผู้ประสบภัยทางโทรศัพท์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย. จาก ....................... เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 |
อาการทางจิตจาก 'เหล้า' ช่วงน้ำท่วม http://www.dailynews.co.th/content/i...r/p7thurl2.jpg ผลกระทบทางสุขภาพจากภาวะน้ำท่วม นอกจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายแล้ว สุขภาพจิต ก็เป็นเรื่องสำคัญที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสนใจในการดูแลผู้ประสบภัย โดยปัญหาหนึ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงก็คือ อาการทางจิตที่เกิดจากการหยุดเหล้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผอ.สำนักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า อาการทางจิตอันเป็นผลแทรกซ้อนจากการหยุดเหล้าช่วงน้ำท่วมเป็นปัญหาที่พบอยู่ในขณะนี้ มักเกิดขึ้นกับคนที่ติดเหล้า ดื่มเหล้าจนมึนเมาแทบทุกวัน หรือดื่มต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย พอน้ำท่วมไม่สามารถหาเหล้าดื่มได้ ทำให้ต้องหยุดดื่ม อีกทั้งไม่มีเวลาพักผ่อน ต้องขนของหนีน้ำ อดนอน เครียด ดื่มน้ำน้อย รับประทานอาหารไม่ถูกส่วน ขาดเกลือแร่บางตัว อยู่ในที่แออัด ป่วยเป็นไข้หวัด หรือติดเชื้อโรค ประมาณ 3 วันหลังจากหยุดเหล้า จะเริ่มมีไข้ต่ำๆ เพลียมาก สับสนมึนงง คล้ายกับคนที่มีอาการทางจิต จำเวลาสถานที่ไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง มีพฤติกรรมก้าวร้าว ควบคุมสติไม่ได้ เพ้อ เห็นภาพหลอน โวยวาย ได้ยินเสียงแว่ว ถึงขั้นคลุ้มคลั่งทำร้ายตัวเอง และทำร้ายคนอื่น หรืออาละวาดชกต่อยคนอื่น ที่สำคัญคือ อาจมีอาการชักเกร็ง หมดสติ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ กรณีเช่นนี้สามารถป้องกันได้ โดยหลักการ คือ ต้องให้คนที่ติดเหล้ารู้ปัญหาของตัวเอง ว่าเขามีความเสี่ยงอย่างไร โดยเขาควรจะนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ ถ้ามีอาการข้างต้นควรขอความช่วยเหลือจากคนอื่น เช่น ถ้าอยู่ศูนย์พักพิงควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ได้รับรู้เพื่อที่จะได้หาทางช่วยเหลือต่อไป ทั้งนี้หากแพทย์ทราบว่ามีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นก็อาจจะให้ยากับคนไข้เพื่อให้สามารถนอนหลับได้ดี ป้องกันปัญหาแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ที่ผ่านมาตัวหมอเองเคยเจอคนไข้ชายรายหนึ่ง มีอาการอาละวาดในศูนย์พักพิง แต่ในขณะนั้นการคมนาคมยังสะดวกอยู่ทำให้คนไข้รายนี้เข้าถึงการรักษาได้เร็ว แต่ถ้าติดเกาะ หรือติดอยู่ในบ้านหากมีอาการขึ้นมาการช่วยเหลือจะยุ่งยากมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีก 1 รายเป็นผู้หญิง ทำงานบริษัท และเคยเสพยาบ้า ช่วงน้ำท่วมปรากฏว่ามีความขัดแย้งกับสามี อีกทั้งติดต่อลูกไม่ได้ ทำให้เสียใจมาก ก็เลยเสพยาบ้า ทั้งหัวเราะ และร้องไห้ เดินไปเดินมา กรณีข้างต้นเป็นอุทาหรณ์ย้ำเตือนว่า การดื่มเหล้าและใช้สารเสพติด ทั้งที่เกิดจากความเครียดหรือจากสาเหตุใดก็ตามล้วนแต่นำไปสู่ปัญหาทั้งในช่วงเวลาที่เสพและช่วงเวลาที่ขาดสารเหล่านั้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมึนเมา และสารเสพติดทั้งหลาย เลิกได้ขอให้เลิกเลย อย่างไรก็ตามจากปัญหาข้างต้น นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้ให้นโยบายบุคลากรของกรมสุขภาพจิตและเครือข่ายเร่งค้นหาผู้มีความเสี่ยงเหล่านี้เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น. จาก ....................... เดลินิวส์ x-ray สุขภาพ วันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 |
เปิดตัวครั้งแรก"น้องน้ำ" เธอเป็นใคร นิสัยอย่างไร ทำไมทะเลาะกับ "พี่กรุง" ถามว่าวันนี้มีใครไม่รู้จัก "น้องน้ำ" บ้าง ผู้หญิงคนนี้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตทุกคนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว อยู่ดีๆก็โดดเข้ามา และใช้เวลาเพียง1เดือนเศษก็ทำให้คนไทยทุกคนรู้จักเธอ และเรียกเธอว่า "น้อง" แต่ถ้าถามว่า "น้องน้ำ" เป็นใคร มีนิสัยใจคออย่างไร ไม่มีใครตอบได้ ความลึกลับของเธอทำให้ "ดีเอสไอ" ต้องปวดหัว "หมอพรทิพย์" ต้องกลุ้มใจ แต่จากร่องรอยของ "น้องน้ำ" ที่มีอยู่ตั้งแต่ "จดหมาย" ถึง "พี่กรุง". จนถึงการคืบคลานไปตามที่ต่างๆ เราพอสรุปได้ว่า "น้องน้ำ" เป็นใคร และมีนิสัยใจคออย่างไร และนี่คือการเปิดตัวครั้งแรกของ "น้องน้ำ" 1. "น้องน้ำ" เป็นเด็กผู้หญิงที่ถูกชายหนุ่มชื่อ "กรุง" สลัดทิ้งอย่างไม่ไยดี และไปหลงสาวคนใหม่ชื่อ "ทราย" แต่เธอก็ยังมุ่งมั่นตามหารักแท้ ไม่ว่า "พี่กรุง" จะเขียนจดหมายขอร้องไม่ให้มา แต่เธอก็ไม่นำพา และเมื่อรักมาก ก็ย่อมแค้นมาก ปรากฏการณ์ "รักจัดหนัก" จึงเกิดขึ้น 2. "น้องน้ำ" เป็นคนชอบการท่องเที่ยว แม้จะแค้นพี่กรุงมากขนาดไหน. แต่นิสัยรักการท่องเที่ยวของเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลง เธอแวะเที่ยวตามจังหวัดต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนครสวรรค์ ลพบุรี นนทบุรี ปทุมธานี ฯลฯ แม้จะแวะเที่ยวไปทั่วแต่ "น้ำ" ก็ยังคงมุ่งมั่นเช่นเดิม นั่นคือ จะมาหา "พี่กรุง" ...ไม่เปลี่ยนแปลง 3. "น้องน้ำ"เป็นคนรักความสะอาด แม้มีจังหวัดต่างๆให้เที่ยวมากมาย แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะไป "อยุธยา" เพื่อให้ได้ชื่อว่า "ผ่าน อย." แล้ว 4. "น้ำ" เป็นเด็กลูกครึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่ของเธอเป็นใคร แต่ดูจากพฤติกรรมแล้ว ในฐานะคนคุ้นเคย "พระร่วง" ยืนยันว่า "น้ำ" ต้องมีเชื้อสาย "ขอม" อย่างแน่นอน "ขอม"ยุคก่อนชอบ"ดำดิน" แต่ "ขอม" พ.ศ.นี้ ชอบ "ดำท่อระบายน้ำ" 5. "น้ำ" ชอบช็อปปิ้ง และพัฒนารสนิยมตลอด จากที่เคยเดินเล่นที่ "ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต" . เธอก็ขยับมาที่ "เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน" และ "เซ็นทรัลลาดพร้าว" ไม่มีใครรู้ว่าเธอจะยกระดับไป "พารากอน" และ "เซ็นทรัลเวิล์ด" เมื่อไร แถวนั้นรู้สึกว่า "แบรนด์เนม" เยอะจัด "น้ำ" ชอบบบ... 6. "น้องน้ำ" เป็นเด็กฉลาด รักการเรียน ชอบใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ผ่านทั้งธรรมศาสตร์ ม.กรุงเทพ ม.รังสิต เกษตรศาสตร์ ธุรกิจบัณฑิตย์ ฯลฯ แม้แต่ "เอไอที" ก็ยังผ่านมาแล้วเลย 7."น้องน้ำ" อายุเพิ่มขึ้นเร็วมาก ตอนที่ "น้องน้ำ" วิ่งไล่ล่ามหาวิทยาลัย คนส่วนใหญ่คิดว่าเธอต้องอายุประมาณ.18-22ปี แต่พอผ่าน "เอไอที" ก็ชักไม่แน่ใจ เพราะระดับปริญญาโทและเอกอายุอาจจะประมาณ 20 ปลายๆ แต่เมื่อ 2 วันก่อน ทุกคนจึงรู้ได้ว่า"น้องน้ำ"อายุมากแล้ว จาก "ดอนเมือง". เธอเคลื่อนตัวเรื่อยมา จนกระทั่งเข้า "หลักสี่" เราจึงสรุปได้ว่าแท้จริงแล้ว"น้องน้ำ"อายุประมาณ 40 กว่า และบางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความรักระหว่าง "พี่กรุง" และ "น้องน้ำ" เกิดปัญหาขึ้นมา "น้องน้ำ" อาจหลอก "พี่กรุง" มาตลอดว่าอายุแค่ 20 แต่เมื่อพี่กรุงรู้ว่าแท้จริงแล้วน้องน้ำเลยหลัก 4 พี่กรุงก็เลยพยายามชิ่ง การไล่ล่าหา "รัก" จึงเกิดขึ้น 8. "น้องน้ำ" เป็นคนรัก "แม่" ไม่ว่าจะตะลอนไปเที่ยวที่ไหน. จะตามหารักแท้อย่างไร แต่สุดท้าย "น้ำ" ก็จะกลับไปหา "แม่" "แม่น้ำ" ชื่อ "เจ้าพระยา" จาก ....................... มติชน วันที่ 6 พฤศจิกายน 2554 |
ทำผ้าอนามัยฉุกเฉิน-วันนั้นของเดือนอย่าลุยน้ำ http://www.dailynews.co.th/content/i...et08112011.jpg น้ำท่วม ส่งผลกระทบกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในแง่สุขอนามัย เนื่องจากธรรมชาติของผู้หญิงต้องมีประจำเดือน ดังนั้นหากจะลุยน้ำที่ท่วมสูงจนเปียกชื้นถึงอวัยวะเพศ ควรรู้ไว้ว้า ในช่วงนั้นของเดือน ปากมดลูกจะเปิดให้เลือดไหลออกมา จึงเสี่ยงที่น้ำสกปรกซึ่งอาจมีแบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิตปะปนเล็ดลอดเข้าช่องคลอดได้ หากเป็นเช่นนั้นก็จะมีโอกาสป่วยเป็นมดลูกอักเสบติดเชื้อ สามารถลุกลามไปถึงช่องท้อง หากรุนแรงอาจเป็นหนอง เป็นฝีในช่องทาง ทว่าไม่ได้รับการรักษา ก็เสียชีวิตได้ ทั้งนี้ยังรวมถึงผู้หญิงใกล้คลอดและเพิ่งคลอดบุตรมาใหม่ๆด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าช่องคลอด ผู้หญิงมีประจำเดือนไม่ควรลุยน้ำ หากเลี่ยงไม่ได้แนะให้สวมเครื่องป้องกัน เช่น กางเกงกันน้ำ หรือชุดกันน้ำ หรือหลังจากลุยน้ำแล้วต้องรีบชำระล้างด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อนๆ เสร็จแล้วเช็ดให้แห้ง อย่าให้อับชื้น หลังจากนั้นจำเป็นต้องคอนสังเกตความผิดปกติของช่องคลอดด้วย เช่น กลิ่นและสีของสิ่งคัดหลั่ง เป็นต้น สำหรับผู้หญิงที่เป็นผู้ประสบภัยน้ำท่วม บางรายอาจมีอาหารและน้ำเพียงพอต่อการดำรงชีพ ทว่าขาดผ้าอนามัยที่ต้องใช้ กรณีไม่สามารถซื้อหาได้ เฟซบุค แฟนเพจ ‘Design for Disasters’ เผยวิธีทำผ้าอนามัยฉุกเฉินให้ลองทำด้วยตนเองจากวัสดุอุปกรณ์ใกล้ตัวประกอบด้วย เสื้อแขนยาวที่พร้อมสละแขนเสื้อออก ผ้าสะอาดหรือทิชชู กรรไกร และเทปกาว วิธีทำ เริ่มจากใช้กรรไกรตัดแขนเสื้อให้ได้ความยาว 15-20 เซนติเมตร จากนั้นวางทบผ้าสะอาดหรือทิชชูให้หนาพอสมควรแล้วสอดเข้าไปในแขนเสื้อที่ตัดออกมา ส่วนปลายของแขนเสื้อสองด้านให้ติดเทปกาวโดยให้เหลือปลายด้านกาวยื่นออกมาจากขอบผ้าเพื่อใช้ติดกับกางเกงชั้นในด้วย โดยหลังจากใช้งานแล้วยังสามารถดึงเศษผ้าหรือทิชชูเปื้อนประจำเดือนทิ้งไป ขณะที่ชิ้นส่วนของแขนเสื้อนำไปซักทำความสะอาดแล้วนำกลับมาประกอบและใช้ใหม่ได้. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์ เกร็ดความรู้ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 |
ขอบคุณมากๆสำหรับข้อมูลครับผม ..
|
ประชันไอเดียเก๋ กลางวิกฤตน้ำท่วม นวัตกรรมใหม่ ชีวิตชาวน้ำ http://www.matichon.co.th/news-photo...01081154p1.jpg ตั้งแต่มวลน้ำซึ่งท่วมพื้นที่ทางภาคเหนือเมื่อเกือบ 2 เดือนที่แล้ว ค่อยๆไหลลงสู่พื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อออกทะเลอ่าวไทย ไหลผ่านพื้นที่ภาคกลางซึ่งเป็นแหล่งกระจุกตัวของชุมชนขนาดใหญ่ของประเทศ ทั้งบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา และนิคมอุตสาหกรรม ล้วนได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้เห็นว่า "เงิน ซื้อไม่ได้ทุกอย่าง" บางคนลงทุนเป็นเงินหลักร้อย-หลักหมื่น ป้องกันบ้านเรือนอย่างดี แต่เมื่อน้ำมาเงินที่ลงทุนก็ละลายหายไปกับสายน้ำ บางคนหนีน้ำไปเที่ยวต่างจังหวัดนานแรมสัปดาห์ กลับมาพบว่าบ้านยังแห้งสนิท ยิ่งรอน้ำนานเท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการกักตุนอาหารและการกินอยู่ก็ยิ่งบานปลาย บางคนอาจคิดในใจ ทำไมไม่ท่วมให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ภาวะเช่นนี้ หน่วยงานทั้งราชการและเอกชนต่างระดมไอเดียกันอุตลุด ประดิษฐ์สิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพื่อให้การดำเนินชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น กลายเป็นโอกาสอันดีในการใช้ชีวิตแบบชาวน้ำ สร้างรอยยิ้มแก่ผู้พบเห็น สิ่งแรกที่คนนึกถึงเมื่อน้ำท่วมคือ เรือ รวมถึงสิ่งของต่างๆที่ลอยน้ำสามารถบังคับไปตามทิศทางที่ต้องการได้ ไม่เสี่ยงกับอันตรายที่มากับน้ำ ทั้งสัตว์ร้ายนานาชนิด วัสดุแหลมคม รวมทั้งไฟฟ้าที่รั่วอยู่ http://www.matichon.co.th/news-photo...01081154p2.jpg (ซ้าย) ชุดลุยน้ำ (บน) รถคันนี้ไปได้ทุกที่ที่น้ำท่วมน้อย (กลาง) ใช้ท่อพีวีซีกันน้ำ (ล่าง) การห่อรถด้วยถุงซิปพลาสติก บางคนหาซื้อเรือ มีขายทั้งเรือไฟเบอร์ เรือยาง เรือเหล็ก เรืออะลูมิเนียม แต่คุณภาพอาจไม่สูงตามราคา บางคนคิดว่าเรือยางรั่วง่าย ชนอะไรแข็งๆหน่อยก็เหี่ยว ส่วนเรือที่ทำจากวัสดุนำไฟฟ้าแม้จะพายไปในน้ำที่มีกระแสไฟวิ่งอยู่ ก็ยังปลอดภัยจากการถูกดูดแน่นอน หากร่างกายไม่สัมผัสกับน้ำที่มีไฟรั่วอยู่ หรือคนอีกกลุ่มอาจประยุกต์สิ่งของรอบตัวใช้เป็นเรือ ทั้งกะละมัง ถังน้ำ ยางในรถขนาดใหญ่ กระทะใบบัว แพไม้ไผ่ แพต้นกล้วย แพท่อพีวีซี เรือขวดพลาสติกหรือถังน้ำขนาดใหญ่ หรือสิ่งของอื่นๆ แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน ในยามที่พาหนะซดน้ำมันใช้การไม่ได้ การหันมาใช้พาหนะแบบกินหญ้าก็ไม่เลวเหมือนกัน ทั้งช้าง ม้า วัว ควาย แค่ไม่ขโมยคนอื่นมาก็พอ ส่วนรถยนต์ซดน้ำมัน ทั้งรถเล็กรถใหญ่ต่างจอดสนิทเมื่อน้ำมา บ้างก็ขับไปจอดยังลานจอดรถที่อยู่สูง บ้างก็จอดรอน้ำอยู่ที่บ้านซึ่งมีวิธีป้องกันน้ำสุดเหลือเชื่อ แผ่นโฟมอย่างหนาขนาดใหญ่ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับถอยรถคันงามขึ้นไปจอด แล้วมัดโฟมให้ติดกับตัวรถ ผูกไว้กับที่มั่น เมื่อน้ำมาแล้วรถไม่ลอยไปไหนไกล http://www.matichon.co.th/news-photo...01081154p3.jpg ที่พบเห็นบ่อยครั้ง คือ ถุงใส่รถ เท่าที่เห็นมีสองสี คือ สีขาวขุ่นแบบถุงซิปใส่ยา และสีดำดูคล้ายถุงขยะ นอกจากขนาดใหญ่พอที่จะถอยรถคันงามเข้าไปได้ ยังมีขนาดย่อมลงมา สำหรับเครื่องเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ ก่อนนำสิ่งของขนาดใหญ่ใส่ถุง อย่าลืมรองด้วยตาข่ายแข็งๆ เพื่อกระจายน้ำหนักไม่ให้อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เพราะแม้ว่าถุงของคุณจะหนาเพียงใดก็ตาม มันอาจรั่วได้ง่ายๆ เมื่อบรรจุลงถุงแล้วปิดปากถุงให้สนิท ผูกไว้กับที่มั่น เพราะแม้ว่าสิ่งของที่อยู่ในถุงจะมีน้ำหนักเป็นตันๆ แต่มันก็สามารถลอยตุ๊บป่องๆไปกับน้ำ ออกทะเลอ่าวไทยไปได้ บางคนอาจหาถุงพลาสติกใส่รถไม่ได้ เพราะเป็นที่ต้องการเหลือเกินแม้ราคาจะสูงเพียงใด จึงใช้ผ้าใบที่ปกติคลุมบนตัวถังรถ เปลี่ยนเป็นการห่อจากด้านล่างตัวถัง ส่วนวิธีการกันน้ำเข้าท่อไอเสีย มีทั้งต่อท่อไอเสียกับสายยางบ้าง ท่อพีวีซีบ้าง เห็นแล้วทึ่งกับไอเดียจริงๆ อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องสำรวจก่อนลงน้ำ คือ การตรวจว่าในน้ำมีไฟฟ้ารั่วหรือไม่ ด้วยสิ่งที่เรียกว่าไม้ตรวจไฟที่มีความยาวอย่างน้อย 2 เมตร สำหรับวัดว่าน้ำที่ท่วมขังนั้นมีกระแสไฟฟ้ารั่วอยู่หรือไม่ แม้จะมีหลายหน่วยงานแนะนำวิธีทำไม้ตรวจไฟ หรือขายเป็ดน้อยตรวจไฟ แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องวงจรไฟฟ้าก็ไม่ควรเสี่ยงประดิษฐ์เองตามคำแนะนำเป็นอันขาด ทางที่ดีคือเลี่ยงจากการอยู่ในที่ที่มีน้ำท่วมขัง หากใครเลี่ยงไม่ได้ ก็แนะนำให้หารองเท้าบูตยางและกางเกงกันน้ำมาใส่ นอกจากจะป้องกันไฟฟ้าดูด ยังป้องกันอันตรายจากเชื้อราและเชื้อโรคต่างๆ ที่มากับกระแสน้ำ รวมถึงสัตว์มีพิษต่างๆ ด้วย สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้อีกอย่างคือ สุขา ที่มีหลากหลายไอเดียที่พบเห็นได้ทั่วไปช่วงก่อนหน้านี้คือสุขาลอยน้ำ ทว่า ยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงมีการคิดค้นสุขาชั่วคราว ที่ทำจากกระดาษบ้าง เก้าอี้พลาสติกบ้าง โดยขับถ่ายใส่ถุงดำ เมื่อเสร็จกิจก็เทผงอีเอ็ม 1 ช้อนชา ตามด้วยน้ำ 1 ถ้วยต่อการถ่าย 1 ครั้ง ถุงหนึ่งใช้ได้หลายครั้ง ก่อนจะนำถุงไปทิ้งต้องไล่อากาศออกให้หมด อย่ารังเกียจผลงานตัวเองเป็นอันขาด แล้วใส่ถังไว้ ไม่ทิ้งลงน้ำ นวัตกรรมที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่คนไทยช่างคิด รังสรรค์ขึ้นเท่านั้น หากไม่เกิดมหาอุทกภัยเช่นนี้ ไอเดียแปลกๆ ก็คงไม่เกิด จาก .................. มติชน วันที่ 8 พฤศจิกายน 2554 |
รู้ไว้ใช่ว่ารอเวลาน้ำลด 'ซ่อมแซมบ้าน' เรื่องใหญ่ที่ 'เอาอยู่?' http://www.dailynews.co.th/content/i...er/p3thurl.jpg หนักหนาสาหัส วิกฤติการณ์ครั้งเลวร้ายสุดๆ และอีกสารพัดคำจำกัดความทางร้ายๆ ถูกนำมาใช้กับภัย ’น้ำท่วมใหญ่“ ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางกระแสมากมายหลายหลากที่เกี่ยวกับน้ำท่วม อย่างไรก็ดี ที่ดีที่สุดนาทีนี้สำหรับผู้ประสบภัยน้ำท่วม คือต้องพยายามทำใจ ปรับจิตปรับใจ เพื่อให้ปรับตัวเพื่อผ่านทุกข์ภัยที่ประสบได้ จากนั้นก็จะได้ก้าวสู่การ ’ฟื้นฟูซ่อมแซม“ ต่อไป... น้ำท่วมใหญ่ปีนี้ มีทั้งร่างกาย จิตใจ ทรัพย์สิน และอื่น ๆ อีกมาก ที่ต้องซ่อมแซมกันหลังน้ำลด รวมถึง ’บ้านเรือนที่อยู่อาศัย“ ที่เสียหายมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งว่ากันถึงเรื่องการซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เรื่องนี้ข้อมูลของ home care ในเชิงเกร็ดความรู้ ในเว็บไซต์ http://www.hm.co.th/data.asp?pg=knowledge ของ บริษัท โฮม เมนเทนแนนซ์ จำกัด ซึ่งทำเกี่ยวกับด้านการปรับปรุง ซ่อมแซม ก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย ก็น่าสนใจ ลองดู ๆ กันไว้ระหว่างที่น้ำยังท่วม-รอน้ำลด เมื่อถึงเวลาที่น้ำลดแล้วก็อาจช่วยให้ดำเนินการได้ถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น ทั้งนี้ ข้อมูลในเชิงเกร็ดความรู้ที่ว่านี้ มีการแบ่งย่อยเกี่ยวกับการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมในหลายส่วน กล่าวคือ...การซ่อมแซมพื้นบ้าน พื้นบ้านที่เป็น พื้นไม้ปาร์เกต์ จะหลุดล่อนหลังจากเกิดน้ำท่วม วิธีแก้ไขคือนำแผ่นไม้ปาร์เกต์ไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วจึงค่อยทาด้วยกาวลาเท็กซ์ กดลงให้แน่น หลังจากนั้นทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 15 วัน จึงสามารถใช้งานได้ ถ้าเป็นพื้นบ้านที่เป็น พื้นพรม วิธีแก้ไขซ่อมแซมหลังถูกน้ำท่วมคือ ต้องลอกออก แล้วนำไปซักและตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นจึงค่อยนำกลับมาปูใหม่ โดยต้องให้พื้นคอนกรีตแห้งสนิทก่อน การซ่อมแซมผนังบ้าน ถ้าเป็น ผนังยิปซัมบอร์ด ให้เลาะเอาแผ่นที่เสียออก ถ้าโครงเคร่าเป็นโลหะก็สามารถติดแผ่นใหม่ได้เลย แต่ถ้าโครงเคร่าเป็นไม้ต้องทิ้งให้ความชื้นในไม้ระเหยหมดก่อนจึงติดแผ่นใหม่ได้ ถ้าเป็น ผนังไม้ ต้องเช็ดทำความสะอาด เพื่อให้ผิวสามารถระเหยความชื้นได้ เมื่อแห้งดีแล้วใช้น้ำยารักษาเนื้อไม้ชโลมที่ผิว หรือทาสีด้านในบ้านก่อนทิ้งไว้ 5-6 เดือน แล้วค่อยทาสีด้านนอก ถ้าเป็น ผนังก่ออิฐฉาบปูน ให้ใช้วิธีเดียวกับผนังไม้ แต่ต้องทิ้งไว้เพื่อให้มีการระเหยความชื้นนานกว่าผนังไม้ เพราะจะมีความหนามากกว่า การซ่อมแซมวอลเปเปอร์ ผนังวอลเปเปอร์ของบ้านที่ถูกน้ำท่วมนั้น วิธีแก้ไขคือให้ลอกแผ่นวอลเปเปอร์ออกให้หมด เพื่อให้ผนังที่ชื้นสามารถระเหยความชื้นออกมาได้ โดยต้องรอให้ผนังแห้งก่อน ลอกทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยปิดวอลเปเปอร์ทับลงไป ถ้าส่วนไหนขึ้นราหรือเช็ดไม่ออก ก็เปลี่ยนแผ่นใหม่ การซ่อมแซมฝ้าเพดานบ้าน ซึ่งหลายบ้านน้ำท่วมถึงฝ้ากันเลย กรณีเป็น ฝ้ายิปซัมบอร์ดหรือกระดาษอัด ถ้าเปื่อยยุ่ยมากเพราะอมน้ำ ก็ควรเลาะออกแล้วเปลี่ยนแผ่นใหม่ ทิ้งไว้ให้ทั้งหมดแห้งสนิทก่อนแล้วจึงค่อยทาสีทับ ถ้าเป็น ฝ้าโลหะ ให้เช็ดทำความสะอาดให้แห้ง ถ้าเป็นสนิมให้ใช้กระดาษทรายขัดออกให้เรียบร้อยแล้วจึงทาสีทับ ส่วน ฝ้าไม้ เกิด การแอ่นตัว ก็ต้องแก้ไขให้ได้ระดับก่อนแล้วจึงทำการติดตั้งแผ่นฝ้าใหม่ การซ่อมแซมประตู ถ้าเป็น ประตูไม้ เมื่อต้องแช่น้ำท่วมจะบวมและผุพัง วิธีแก้ไขคือ ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วซ่อมแซมส่วนที่ผุให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยทาสีใหม่ แต่ถ้าผุมากก็ควรเปลี่ยนใหม่ ถ้าเป็น ประตูเหล็ก ที่ขึ้นสนิม วิธีแก้ไขคือ ใช้กระดาษทรายขัดสนิมออกให้หมด เช็ดให้แห้ง แล้วทาสีกันสนิมก่อน จากนั้นจึงทาสีใหม่ การซ่อมแซมบานพับ ลูกบิด รูกุญแจ อุปกรณ์ต่างๆที่ทำด้วยโลหะ เมื่อโดนน้ำท่วมมักจะมีปัญหาตามมา ซึ่งวิธีแก้ไขคือ เช็ดให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมด แล้วให้ใช้น้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อให้ทั่ว และมีคำเตือนคือ อย่าใช้จาระบี หรือใช้ขี้ผึ้งทา เพราะจะทำให้ความชื้นระเหยออกไม่ได้ ต่อด้วย การทาสีบ้าน หลังผ่านพ้นน้ำท่วมบ้าน คำแนะนำคือ ก่อนจะทำการทาสีบ้านใหม่ ควรจะซ่อมแซมส่วนอื่นๆภายในและภายนอกบ้านให้เรียบร้อยก่อน ส่วนเรื่องสีวิธีการคือ ต้องขูดสีเก่าออกก่อน ทำความสะอาดผนังและทิ้งไว้ให้แห้งสนิท เมื่อแห้งดีแล้วจึงทาสีรองพื้นชนิดกันเชื้อราก่อน แล้วทาทับด้วยสีจริง ปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้ ข้อมูลจาก home care ในเว็บไซต์ของ บริษัท โฮม เมนเทนแนนซ์ จำกัด เกี่ยวกับเรื่อง ’บ้าน“ กับ ’น้ำท่วม“ ซึ่งสำหรับผู้ที่พอจะมีกำลังทรัพย์ และจากการที่น้ำท่วมบ้านครั้งนี้ทำให้คิด ๆ อยู่ว่าจะปรับปรุงบ้านแบบไหนให้หนีน้ำท่วม คิดว่าจากระดับน้ำที่ท่วมที่เห็นๆ น่าจะพอทำได้ กับการยกบ้านเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม นั้น ถ้าโครงสร้างบ้านเป็นไม้ทั้งหมด ก็คงไม่ยากเกิน เพราะไม้มีน้ำหนักค่อนข้างเบา แต่ถ้าโครงสร้างบ้านเป็นปูน จำเป็นต้องเสริมฐานรากใหม่ ซึ่งก็ทำได้ยากและมีน้ำหนักที่มากด้วย อีกทั้งยังมีงานระบบต่างๆที่ติดอยู่กับพื้นดิน เช่น ท่อประปา ท่อไฟฟ้า ต้องตัดออกแล้วเชื่อมใหม่ ก็ค่อนข้างยุ่งยาก และทำให้เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่งจากข้อมูลนี้ ควรจะทำหรือไม่ควรจะทำ ก็คงต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ ทั้งนี้ ถึงตอนนี้หลายๆบ้านที่ถูกน้ำท่วม น้ำอาจจะลดแล้ว “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ยินดีด้วย ขณะที่อีกหลายๆบ้านที่ยังท่วมอยู่หรือมีแนวโน้มว่าจะท่วม ก็ขอเป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านวิบากจากภัยน้ำครั้งนี้ไปได้ ส่วนเรื่อง ’ซ่อมบ้าน“ ก็ลองพิจารณาข้อมูลที่ว่ามาข้างต้น เผื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจได้บ้างไม่มากก็น้อย. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์ สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 |
สัญญาณเตือน "ไทย" แผนแก้ท่วมระยะยาว "จำเป็น" ต้องทำ http://www.matichon.co.th/news-photo...01091154p1.jpg นับจากวันนี้ รัฐบาลจะต้องมองถึง "แผนระระยาว" ในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร (กทม.) ขณะนี้ ถือเป็น "สัญญาณ" เบื้องต้นของอนาคตที่น่ากลัวสำหรับเมืองหลวงของไทย เพราะตั้งอยู่บนที่ลุ่มต่ำและจมลงช้าๆอย่างต่อเนื่อง กทม.เป็นเมืองที่ตั้งอยู่เหนืออ่าวไทยเพียง 30 กิโลเมตร มีผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศ อย่างธนาคารโลก คาดการณ์กันว่า อีกประมาณ 39 ปี หรือปี พ.ศ.2593 ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยจะสูงขึ้น 19-29 เซนติเมตร กทม.เป็น 1 ใน 10 เมืองที่เสี่ยงต่อการจมน้ำ เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำที่สูงขึ้นจะทำให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักผ่ากลาง กทม.สูงขึ้นตามไปด้วย ธนาคารโลกระบุถึงขนาดว่า กทม.จะเสี่ยงน้ำท่วมเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า เหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ตรงกันคือ การขยายตัวของความเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำท่วมสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ กทม. เพราะเหลือทางให้น้ำไหลน้อยมาก มีการเสนอทางออกว่า ทางการไทยจะต้องแก้ปัญหาการใช้ที่ดินใน กทม. ปัญหาการวางผังเมือง และอาจต้องพิจารณาเรื่องย้ายโรงงานและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม รุนแรงที่สุดอาจถึงขึ้นต้องพิจารณาย้ายเมืองหลวง เหล่านี้คือการคาดการณ์ เมื่อบวกเข้ากับ "สัญญาณ" ที่คนกรุงประสบอยู่เวลานี้ ทำให้รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ต้องเตรียมวางแผนระยะยาวในการแก้ไขปัญหา เพราะครั้งนี้จะเป็นโอกาสดี ที่จะต้องร่วมกันในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ทั้งการพัฒนาพื้นที่ตลอดสองฝั่งเจ้าพระยา ด้วยการทำคันกั้นแม่น้ำเจ้าพระยา ด้วยระบบที่ทันสมัยคล้ายประตูเปิด-ปิดประตูน้ำ พร้อมๆกับถือโอกาสในการจัดระเบียบริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งหมด เช่นเดียวกับคลองสำคัญต่างๆใน กทม.ทุกคลอง จะต้องทำการขุดลอก บูรณาการใหม่หมด ทำให้ชุมชนริมคลองหมดไป ด้วยการจัดระเบียบการพักอาศัยให้กับประชาชนใหม่ทั้งหมด พร้อมบูรณะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ นี่เป็นโอกาส รัฐบาลควรนำแนวคิด "โครงการแก้มลิง" ซึ่งเป็นโครงการพระราชดำริมาดำเนินการผันน้ำเหนือลงสู่ทะเล ด้วยการเสริมเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้าไป เพราะลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง คือ 1.ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบนให้ไหลไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ลงคลอง พักน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล เช่น คลองชายทะเลของฝั่งตะวันออก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ แก้มลิง ต่อไป 2.เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตูระบายน้ำ โดยใช้หลักการทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ 3.สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่แก้มลิง ให้ระบายออกในระดับต่ำที่สุดออกสู่ทะเล เพื่อจะได้ทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเองตลอดเวลาส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง 4.เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลองให้ปิดประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันมิให้น้ำย้อนกลับ โดยยึดหลักน้ำไหลทางเดียว (One Way Flow) นอกจากนั้น ก็วางแผนในการชะลอน้ำอย่างถูกต้องตามหลักสากล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเขื่อน สร้างฝาย ตั้งแต่ด้านบนของประเทศ เรื่อยลงมาถึงพื้นที่ภาคกลาง เพื่อการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ จริงอยู่ เวลานี้รัฐบาลกำลังวุ่นวายอยู่กับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เยียวยาผู้ประสบภัย แต่จะต้องมองการแก้ไขปัญหาในอนาคตควบคู่กันไปด้วย รัฐบาลจะต้อง "กล้า" กู้เงินเป็นแสนๆล้าน เพื่อทำระบบป้องกันภัยจากอุทกภัยที่ทันสมัย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและทันสมัยของต่างประเทศมาปรับใช้ ซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง คงไม่มีอะไรที่ "สมองมนุษย์" ทำไม่ได้ เว้นแต่คิดจะทำหรือไม่ หากรัฐบาลคิดทัน ก็ควรจะต้องเร่งตั้งคณะกรรมการการแก้ไขปัญหาระยะยาวขึ้นมาศึกษาโครงการระดับอภิมหาโปรเจ็กต์ โดยมีระยะเวลาที่ชัดเจน เพราะมีบทเรียนมให้เห็นแล้วว่า น้ำจะท่วมจะมิดหัวอยู่แล้ว ศปภ.เพิ่งจะสั่งซื้อเครื่องสูบน้ำ ขยะ ผักตบขวางทางระบายน้ำ กทม.เพิ่งจะเร่งเก็บขยะ ลอกผักตบ เข้าลักษณะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะไม่เช่นนั้น อุทกภัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สังคมไทยจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเจ็บปวด สูญเสีย จาก .................. มติชน วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 |
Food For Flood "สำรับ" ยามยาก http://www.bangkokbiznews.com/home/m...g_418212_1.jpg วันที่มวลน้ำมหาศาลยังไม่ระบายออกจากแผนที่ประเทศไทย นอกจาก "ที่หลับที่นอน" แล้ว "อาหารการกิน" ถือเป็นอีกเรื่องที่ต้องคิด ระหว่างทาง "ลงทะเล" ของมวลน้ำก้อนโต หรือปลาวาฬฝูงใหญ่ (แล้วแต่ใครจะเรียก) มหากาพย์การเดินทางครั้งนี้ สร้างผลกระทบมากมายไม่ว่าจะ "ทางตรง" หรือ "ทางอ้อม" กว่า 60 จังหวัดทั่วประเทศ เรือกสวนไร่นา อาคารบ้านเรือน ตลอดจนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ต่างถูกน้ำ "กวาดเรียบ" น้ำ จึงกลาย "โจทย์สำคัญ" ให้คิด และปรับชีวิตไปโดยปริยาย หลายบ้านต้องเทครัวอพยพไปยังศูนย์พักพิง ขณะที่อีกหลายบ้านยัง "ใจดีสู้น้ำ" รอเวลาอยู่กับที่ไม่ยอมไปไหน จนวันนี้ ถึงคิว กรุงเทพมหานคร ที่ค่อยๆ "จม" ไปทีละเขต แม้จะมีเสียงจากฟากบริหารออกมาพูดถึงความพยายามในการ "เอา" อุทกภัยให้ "อยู่" หมัด แต่กลับถูกน้ำไล่กระเจิงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะงัดกระสอบทราย ก่ออิฐ ยาแนว หรือคลุมพลาสติก เท่าที่ "คัมภีร์กันน้ำ" เล่มไหนจะการันตี ที่สำคัญกว่านั้น หนึ่งในปัจจัยสี่ อย่าง "อาหาร" คงเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ หวั่นน้ำท่วม สินค้าขาดตลาด แห่กักตุนข้าว มาม่าหมดสต็อกหลังเกิดน้ำท่วม วิตกคนกรุง กักตุนน้ำดื่ม มาม่า ปลากระป๋อง ขาดตลาด พาดหัวข่าวต่างๆ สะท้อนถึงความกังวลเรื่องปากท้องของคนเมือง ตั้งแต่ "น้องน้ำ" ยังเดินทางมาไม่ถึง คำถามคือ เราจะดูแล "ปากท้อง" ตัวเองได้อย่างไร เมื่อน้ำกำลังทั้ง "รุก-รุม-ล้อม" อยู่ตอนนี้ เตรียม-ตุนให้ท้องอิ่ม "เป็นคนกินยากค่ะ เลยยังไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่" เป็นคำสารภาพจาก อ้อม-เพ็ญสิริ เกษมสุข ถึงการเตรียมตัวรับสถานการณ์น้ำที่กำลัง "งวด" เข้ามาทุกขณะ ปกติชีวิตสาวออฟฟิศที่ต้องเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง ทำให้หอพักของเธอแถวๆโรงเรียนบางชัน (ปลื้มวิทยานุสรณ์) ซอยรามอินทรา 109 ถนนพระยาสุเรนทร์ มักมีอาหารสำเร็จรูปติดห้องเอาไว้อยู่บ้าง หรือไม่ก็เป็นของขบเคี้ยวเล็กๆน้อยๆ เอาไว้แก้เหงาปาก ข่าวน้ำท่วมบนหน้าจอทีวี ทำให้อ้อมเป็นกังวลอยู่พอสมควร เพราะห้องที่เธอพักอยู่ทุกวันนี้นั้น อยู่ชั้น 1 และตัวอาคารก็สูงจากถนนไม่มากเท่าไหร่ ก่อนจะออกมาทำงานเท่าที่รู้ เมื่อคืนน้ำก็ล้นท่อระบายน้ำขึ้นมาแล้ว "ซอยข้างๆ ก็มีน้ำท่วมขังตั้งแต่สองวันก่อนแล้วค่ะ" นอกจากเก็บของบางอย่างขึ้นที่สูง น้ำดื่ม นม และอะไรที่คิดว่าน่าจะ "กินง่าย" สำหรับตัวเองคือเสบียงที่เธอเตรียมเอาไว้รับน้ำเหนือตอนนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคนที่กินอะไรยากมาเป็นทุนเดิม ที่สำคัญ หากท่วมขึ้นมาจริงๆ อ้อมเองก็ไม่คิดแช่น้ำอยู่เป็นสัปดาห์อยู่แล้ว "กาแฟ นม บิสกิต เลย์ โจ๊ก แอปเปิ้ล ฝรั่งค่ะ" ที่นี่คือลิสต์เมนูในดวงใจ แน่นอน ตอนนี้ เธอย้ายตัวเองไปพักบ้านญาติที่ต่างจังหวัดเรียบร้อย ส่วน แจน - วรรณวิสา ฤทธิ์สกุลวงษ์ ตั้งหลักรับน้ำอยู่กับครอบครัวที่บ้าน ย่านลาดพร้าว 101 ตอนนี้อยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมรับมือด้วยการ ก่อปูนกั้นประตูทางเข้าบ้าน และขนของขึ้นข้างบนเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้ว "ทำตั้งแต่ท่วมบางบัวทองแล้วค่ะ" เธอยืนยัน ไม่ได้โอเวอร์เกินเหตุ แต่ด้วยประสบการณ์จากตาและยายที่เคยผ่านน้ำท่วมมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526 ทำให้ที่บ้านค่อนข้างพร้อมพอสมควร "แค่เดือนเดียวค่ะ" คือระยะเวลาที่ให้โอกาสตัวเองเดือดร้อนกับน้ำท่วม พอๆ กับบริมาณเสบียงที่มี "ส่วนใหญ่เป็นพวกปลากระป๋อง หรือ อาหารกระป๋องน่ะค่ะ เพราะที่บ้านก็เป็นร้านขายของชำด้วย" เธอบอก ขณะที่ แตง - พิริยา ยงเพชร กับพ่อ และแม่ของเธอเตรียมตัวเพียงทำรั้วกันน้ำเท่านั้น แต่ไม่ได้ย้ายของขึ้นที่สูง เพราะที่บริเวณบ้านค่อนข้างสูงพอสมควร "เตรียมเสบียงไว้บ้าง แต่ไม่เยอะ เอาแค่พอสมควร ซื้อน้ำเป็นส่วนใหญ่ แล้วก็เป็นพวกอาหารแห้งเป็นบางส่วน ปลากระป๋อง, ข้าวสาร, มาม่า, น้ำพริกแบบแห้ง" เธออธิบาย เหตุผลหลักที่ทั้ง 3 คนเลือกใช้อาหารแห้ง เครื่องกระป๋องก็เพราะ ความสะดวก และที่สำคัญยังสามารถเก็บได้นานด้วย "ไม่มีไฟฟ้าใช้ อย่างน้อยปลากระป๋องก็ยังเปิดกินได้แหละค่ะ เพราะกว่าจะรอความช่วยเหลือจะเข้ามาถึงเรา เราก็คงเกือบตายก่อน" อ้อมออกความเห็น แต่ถ้าถามถึงเรื่องสารอาหาร "ชั่วโมงนี้ขอแค่พออิ่มก่อนดีกว่าคะ ยังไม่ต้องคิดว่าจะได้สารอาหารครบหรือไม่ครบหรอก" ทั้ง 3 สาวต่างยืนยันเป็นเสียงเดียว น้ำนอง ท้องอิ่ม (+ครบ 5 หมู่) เปรียบเทียบสภาพน้ำล้อมบ้าน อย่กว่าแต่จะหาซื้ออะไรกินเลย แค่คิดจะฝ่าระดับน้ำเหนือเข่าขึ้นไปก็ลำบากแล้ว หากย้อนมองสภาพความเป็นอยู่ท่ามกลางมวลน้ำที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะลดง่ายๆ เช่นนี้ ถ้าไม่หาพื้นที่ลี้ภัยชั่วคราวรอน้ำลด การทำใจยอมรับสภาพ และปรับตัวดูจะเป็นทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหุงหาอาหารในสถานการณ์ดังกล่าว คำตอบของทั้ง แตง อ้อม และแจน ดูเหมือนจะเป็นคำตอบที่อยู่ในใจของหลายๆ คน แต่สำหรับนักโภชนาการชำนาญการพิเศษ อย่าง ณัฏฐิรา ทองบัวศิริไล จากสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เธอกังวลถึงสุขภาพในระยะยาว หากต้องพึงพาของกินเฉพาะอย่างเป็นเวลานานเกินไป "คนเราต้องการสารอาหารต่างกันนะคะ" เธอตั้งข้อสังเกต เพราะในจำนวนผู้ประสบภัยมีผู้คนหลากหลาย ทั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ คนท้อง หรือคนป่วย ซึ่งต้องการสารอาหารเพื่อบำรุงร่างกายแตกต่างกัน การเอาใจใส่กับอาหารการกินโดยเฉพาะช่วงน้ำท่วมอย่างนี้ แม้จะดูเป็นการเรียกร้องที่ "เกินไป" แต่ก็ไม่ควร "ละเลย" "คุณอาจจะทานผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปได้ แต่ก็น่าจะดูด้วยว่ามีอะไรสามารถแทนแป้ง หรือแทนโปรตีนได้บ้าง" เธอยกตัวอย่างกรณีที่ของกินยอดนิยมอย่าง "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" หรือ "ปลากระป๋อง" ขาดตลาด ผู้บริโภคก็ยังมี ขนมปังกรอบ ขนมเปี๊ยะ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ แทนได้อยู่ แต่ข้อควรระวังเป็นพิเศษในช่วงนี้ คือเชื้อโรคที่อาจ "แถม" มากับน้ำ "ช่วงน้ำท่วม หมู หรือไก่ อาจติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ เหมือนกับของกินที่มีส่วนประกอบของกะทิ หรือยำที่นำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็อาจเสียได้ง่าย อาหารที่ต้องใช้มือสัมผัสโดยตรงก็อาจจะติดเชื้อโรคได้ง่าย" "กล้วยน้ำว้า" และ "ส้ม" เป็นผลไม้ 2 ชนิดที่เธอคิดว่าน่าจะเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้ เพราะผักใบเขียวดูจะเป็นอะไรที่ถือว่ายากพอควร ที่สำคัญ วิตามินพวกนี้ล้วนแต่ต้อง "ปรุงเพิ่ม" แต่หากเป็นของขบเคี้ยว หรืออาหารแห้ง คุกกี้ แคร็กเกอร์ อาหารเช้าจำพวกซีเรียล กินคู่กับนมยูเอชที (นมที่ผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิเกิน 135 องศาเซลเซียส) ก็เป็นตัวเลือกที่ทดแทนสารอาหารได้ค่อนข้างครอบคลุมเหมือนกัน แต่ถ้าเด็กเล็กที่ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษ "โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด - 3 เดือนแรก แนะนำให้กินนมแม่อย่างเดียว เพราะนมผงจะทำให้ท้องร่วงได้ง่าย" เธอยืนยัน แม้เด็กจะหย่านม หรือตัวแม่ไม่มีน้ำนมแล้วก็ตาม ณัฏฐิรา อธิบายว่าสามารถกระตุ้นน้ำนมได้ ด้วยการให้ลูกดูดบ่อยๆ แต่ตัวแม่เองก็ต้องดื่มน้ำให้มากกว่าปกติด้วยเหมือนกัน สำหรับคนทั่วไป อาหารกระป๋องจำพวกข้าวกระป๋องที่สามารถกินได้เลย หรืออาหารปรุงสำเร็จบรรจุกระป๋องต่างๆ อาจมีราคาสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเลือกสำหรับสารอาหารยามยากจะขีดวงจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น ถั่วตัด กระยาสารท หมูหยอง ไก่หยอง เนื้อสวรรค์ ไข่เค็ม เนื้อแดดเดียว ปลาแห้ง หรือปลาเล็กปลาน้อย ก็ล้วนแต่เป็นตัวเลือกที่ไม่น่ายากเกินความสามารถ เพื่อให้ท้องอิ่ม และไม่ต้องพึ่งโรงหมอ หลังน้ำลดนั่นเอง. จัดชุด (อาหาร) ลุยน้ำ "เพราะนิสัยคนไทยยังไงก็ต้องกินข้าว" บางสุ้มเสียงจากฟากนักวิชาการเปรียบเทียบถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารช่วงน้ำท่วมที่แม้จะอัดแน่นไปด้วยสารอาหาร และการคำนวณแคลอรี่มาให้ตรงเป๊ะสักเพียงใด ถ้าลอง "สวยแต่รูป จูบไม่หอม" แม้จะถูกส่งให้ถึงมือผู้ประสบภัย แต่ก็มักจะได้รับการหยิบเป็นลำดับท้ายๆอยู่ดี เมนูน้ำท่วม จึงค่อนข้างมีรายละเอียดมากกว่าแค่ตาเห็น ทางศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรมอนามัย จึงได้ เซตเมนู "ชุดอาหารอิ่มท้อง" ขึ้นมาสำหรับเป็นทางเลือก ทั้งผู้ช่วยเหลือ และผู้รับการช่วยเหลือจะสามารถนำไปประยุตก์ใช้เพื่อให้มากกว่าอิ่มท้องรอน้ำลดได้ แน่นอนว่า นอกจากจะถูกหลักโภชนาการ ยังสามารถเก็บเอาไว้ได้นานเกินกว่า 3 วัน โดยอาหารภายในชุดประกอบไปด้วย กลุ่มข้าว-แป้ง ได้แก่ ขนมปังกรอบคุ กกี้ แคร็กเกอร์ ขนมเปี๊ยะไส ถั่ว ขนมปังไส้ สับปะรด ข้าวแต๋น ซีเรียล ข้าวตังหน้าธัญพืช ข้าวตู มันฉาบ เผือกฉาบ กลุ่มถั่วและธัญพืช ได้แก่ ถั่วลิสงคั่ว ถั่วกรอบแกว ถั่วทองทอด ถั่วปากอ้า กระยาสารท ถั่วตัด งาตัด กลุ่มผลไม้แห้ง ได้ แก่ กล้วยตาก กล้วยอบ กล้วยฉาบ เป็นต้น กลุ่มน้ำพริก ได้แก่ น้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกปลาปน น้ำพริกปลาสลิด น้ำพริกปลาย่าง กลุ่มปลาและเนื้อสัตว์ ได้แก่ ปลานิลแดดเดียว ทอดหมูแดดเดียวทอด ไข่เค็ม ปลาหวาน หมู/เนื้อทุบ ปลาฉิ้งฉ้างอบกรอบ ไก่/หมู/ปลาหยองหมูแผ่น หมูยอ หมู/เนื้อสวรรค์ อาหารกระป๋องสำเร็จรูปต่างๆ ได้แก่ ปลากระป๋อง หัวไชโป๊ว ผักกาดกระป๋อง เป็นต้น อื่นๆ ได้แก่ น้ำดื่ม นมถั่วเหลือง นมสด UHT น้ำผลไม้ ตัวอย่างชุดอาหารอิ่มท้อง แบบที่ 1 ประกอบด้วย ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว คุ๊กกี้ ข้าวตู กล้วยตาก มันฉาบ น้ำพริกตาแดง หมูแดดเดียว ปลากระป๋อง ไก่หยอง ผักกาดกระป๋อง น้ำดื่ม นมถั่วเหลือง/นมสดUHT แบบที่ 2 ประกอบด้วย ขนมปังกรอบ ข้าวแต๋น กล้วยฉาบ ถั่วทองทอด น้ำพริกปลาย่าง ปลาแดดเดียว ปลากระป๋อง ไข่ เค็มหมูยอ ซีเรียล น้ำดื่ม นมถั่วเหลือง/นมสดUHT แบบที่ 3 (สำหรับชาวมุสลิม) ประกอบ ด้วยขนมปังกรอบ กล้วยตาก น้ำพริกเผา ปลานิลแดดเดียวทอด ไข่เค็ม ปลาหวาน ปลากระป๋อง ซีเรียล หัวไชโป้ว น้ำดื่ม น้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง/นมสดUHT จาก .................. กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ Life Style วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 |
แปลงเรือหางยาวเป็นเครื่องดันน้ำ ภูมิปัญญาชาวบ้านระบายน้ำฝั่งธนฯ ..................... โดย สุรัตน์ อัตตะ http://www.komchadluek.net/media/img...5fafakffad.jpg จากความพยายามร่วมกันของเครือข่ายชุมชนย่านฝั่งธนบุรี ที่จะไม่ยอมนั่งรอเป็นผู้ประสบภัยจากวิกฤติอุทกภัย มูลนิธิซิเมนต์ไทยและกรมอู่ทหารเรือ จึงได้สนับสนุนให้ชุมชนเอาภูมิปัญญาริมคลองฝั่งธนฯ มาใช้ คือเครื่องผลักดันน้ำ ด้วยเป็นแนวคิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่เรียกว่าการเป่าฟอง โดยใช้ถังขนาด 200 ลิตรมาเชื่อมต่อกัน 2-3 ถัง เพื่อสร้างอุโมงค์หรือท่อส่งน้ำ แล้วนำไปติดตั้งบนแพไม้ไผ่ ซึ่งมีใบพัดและเครื่องยนต์ของเรือหางยาวติดตั้งอยู่ โดยใบพัดจะทำหน้าที่ดึงน้ำเข้าไปในอุโมงค์ ทำให้มีแรงดันใต้น้ำที่จะช่วยผลักน้ำออกไปเร็วขึ้น "ที่จริงมันเป็นเครื่องที่ชาวบ้านที่เขาใช้กันมานานแล้ว แต่ใช้ในนากุ้งคือใช้เครื่องนี้ดันน้ำเข้านากุ้งหรือเรือสวนไร่นา เพียงแต่เรานำมาดัดแปลงให้เครื่องมีกำลังส่งเพิ่มขึ้น อุปกรณ์การประดิษฐ์ก็มีเครื่องยนต์เรือหางยาว ถังน้ำมัน 200 ลิตร ไม้ไผ่มาผูกติดกัน ถ้ามีเครื่องยนต์เรือหางหางยาวแล้วก็ซื้อวัสดุอื่นๆเพิ่มเติมก็ไม่เกิน 5,000 บาท ข้อดีไม่ใช่ดันน้ำแค่ผิวน้ำ แต่สามารถดันน้ำข้างล่างด้วย" สุพจน์ ภูมิใจกุลวัฒน์ ประธานสภาพัฒนาสังคมกรุงเทพมหานคร แกนนำเครือข่ายชาวบ้านย่านฝั่งธนบุรี ผู้จุดประกายให้ชาวบ้านนำเครื่องผลักดันน้ำเผยถึงจุดเด่นเครื่องผลักดันน้ำ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำมาใช้ในการระบายน้ำท่วมบริเวณย่านฝั่งธนบุรีในขณะนี้ โดยเครื่องดังกล่าวนั้นไม่ใช่ของใหม่ แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งใช้ในการผลักดันน้ำในนากุ้ง ตลอดจนเรือกสวนไร่นาอยู่แล้ว เพียงแต่มาดัดแปลง โดยการเพิ่มกำลังเข้าไปเพื่อให้สามารถผลักดันน้ำได้มากขึ้นเพื่อระบายน้ำท่วมขังลงสู่ทะเลอ่าวไทยโดยเร็ว สำหรับเครื่องผลักดันน้ำจากแนวคิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ผลิตจากถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรมาเชื่อมต่อกันประมาณ 2-3 ถัง เพื่อสร้างอุโมงค์หรือท่อส่งน้ำ แล้วนำไปติดตั้งบนแพไม้ไผ่ ซึ่งมีใบพัดและเครื่องยนต์ของเรือหางยาวติดตั้งอยู่ โดยใบพัดจะทำหน้าที่ดึงน้ำเข้าไปในอุโมงค์ ทำให้มีแรงดันใต้น้ำที่จะช่วยผลักน้ำออกไปเร็วขึ้น ขณะเดียวกันแรงผลักดังกล่าวจะช่วยให้ขี้เลนที่ตกตะกอนฟุ้งกระจาย ผลคือคลองจะลึกขึ้น และน้ำเคลื่อนได้เร็วขึ้น ช่วยดันน้ำให้ออกอ่าวไทยในระยะทางที่สั้นที่สุด แบ่งเบาภาระของเจ้าพระยาได้อีกทางหนึ่ง http://www.komchadluek.net/media/img...7keaa8b886.jpg สุรนุช ธงศิลา ผู้จัดการมูลนิธิซิเมนต์ไทย (SCG) กล่าวเสริมว่าเครื่องแรกลองวางที่คลองราชมนตรีตรง ถ.เอกชัยบางบอน เครื่องผลักดันน้ำภูมิปัญญาชาวบ้านตัวแรก วางที่คลองราชมนตรีที่ ถ.เอกชัย-บางบอน ซึ่งขณะนี้ทำงานได้ดีมาก โดยชาวบ้านนำเครื่องเรือหางยาวที่ปรับจากเครื่องยนต์ 4 สูบ และใช้ถังน้ำมัน 200 เปล่ามาเชื่อมต่อกันเป็นท่อเพื่อใช้เป็นอุโมงค์น้ำ นำหางเรือที่มีใบพัดแหย่ที่ปากท่อที่วางไว้ใต้น้ำ ชาวบ้านผลักดันน้ำจากข้างใต้ ในขณะที่รัฐบาลใช้เรือผลักน้ำบนผิวน้ำ ผู้จัดการมูลนิธิซิเมนต์ไทย (SCG) ระบุอีกว่า คลองราชมนตรีเป็นอีกคลองหนึ่งที่จะสามารถช่วยชาวฝั่งธนฯ ให้ผ่อนหนักเป็นเบา เนื่องจากเป็นคลองที่รับน้ำจากคลองเล็กคลองน้อยรวมทั้งคลองทวีวัฒนาและคลองภาษีเจริญให้ไหลลงอ่าวไทยได้อย่างรวดเร็ว แทนที่จะดึงน้ำไปที่แม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียว ซึ่งไกลกว่าในขณะที่คลองราชมนตรียังแห้งขอดและยังความสามารถรองรับน้ำได้อีกมาก รวมทั้งยังเดินทางไปสู่อ่าวไทยในระยะทางที่สั้นกว่าด้วย "วิธีนี้อาจจะไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ แต่อย่างน้อยก็จะทำให้ปริมาณน้ำและระยะเวลาที่น้ำท่วมขังน้อยลงและเรายังได้รับความร่วมมือจากกรมอู่ทหารเรือเข้ามาช่วยผลิตเครื่องผลักดันน้ำดังกล่าว ทำให้ขณะนี้มีเครื่องผลักดันน้ำภูมิปัญญาชาวบ้าน 4 ชุด และเครื่องผลักดันน้ำจากกรมอู่ทหารเรืออีก 2 เครื่อง วางตามจุดต่างๆในคลองราชมนตรี เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยผลักดันน้ำที่ท่วมขังทางด้านฝั่งธนฯ ให้ลงอ่าวไทยได้เร็วขึ้น" สุรนุชกล่าวทิ้งท้าย นับเป็นนวัตกรรมที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน แม้จะผลักดันน้ำได้ปริมาณไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นแรงเสริมหน่วยงานภาครัฐในการระบายน้ำออกสู่ทะเลได้เร็วขึ้น จาก .................. คม ชัด ลึก วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554 |
มองดูให้รู้ทันน้ำ สีไหนปลอดภัย สีไหน "เน่า"!?! http://www.dailynews.co.th/content/i...wt14112011.jpg เพราะผู้คนในหลายพื้นที่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่กับมวลน้ำที่เคลื่อนตัวเอ่อล้นคู คลอง ผุดจากท่อเข้าท่วมบ้าน ท่วมถนน วิถีชีวิตคนเมืองจากที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าต่อรถยนต์ จำต้องเปลี่ยนเป็นขึ้นรถลงเรือ บ้างต้องเดินลุยน้ำเป็นบางช่วง จึงไม่แปลกที่ความกังวลเกี่ยวกับน้ำซึ่งต้องสัมผัสจะผุดขึ้นในหัวเหมือนกับน้ำผุดท่อ ต่อข้อสงสัยดังกล่าว ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ได้รับคำตอบจาก นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ รักษาการอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ยืนยันว่า มวลน้ำมหาศาลถึงเพียงนี้ไม่ทำให้สารพิษไหลเวียนไปยังบริเวณต่างๆได้ อีกทั้งสารเคมีอันตรายของโรงงงานอุตสาหกรรมก็มีหลักเกณฑ์การจัดการเป็นอย่างดีไม่ให้มีการปล่อยทิ้งออกภายนอก ประกอบกับกรมควบคุมมลพิษส่งทีมตรวจสอบคุณภาพน้ำบริเวณรอบๆโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ไม่พบการปนเปื้อนแต่อย่างใด ขณะที่ลักษณะของน้ำ การจะรู้ได้ว่าสกปรกหรือไม่? นายวรศาสน์ ชี้แจงว่า ประชาชนทั่วไปสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า หากเป็นน้ำที่มีสภาพดีตามธรรมชาติต้องไม่ขุ่นจนเกินไป มีสีออกน้ำตาล ในทางตรงกันข้าม น้ำที่สกปรกจะขุ่นมาก มีตะกอน น้ำดำ มีกลิ่้นไม่พึงประสงค์ คล้ายกลิ่นแก๊สไขเน่า กลิ่นเปรี้ยว สัตว์น้ำอาศัยอยู่ไม่ได้ ดังนั้น หลังจากสัมผัสกับน้ำสกปรกตามลักษณะข้างต้น ควรล้างผิวหนังให้สะอาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากเชื้อโรคในน้ำ ที่อาจทำให้เป็นโรคผิวหนัง โรคอหิวาตกโรค ท้องร่วง ไทฟอยด์ โรคฉี่หนู ส่วนผู้ที่วิตกกลัวจะได้รับอันตรายจากสารพิษและโลหะหนัก เช่น แคดเมียม สารหนู ยาฆ่าแมลง สารปรอท แล้วจะป่วยเป็นอิไต อิไต มะเร็ง มินามาตะ และท้องร่วงนั้น นายวรศาสน์ ระบุว่า หากไม่ดื่มลงท้องไป ของแถมที่แฝงในน้ำเหล่านี้จะไม่มีกับสุขภาพ เพราะเพียงแค่สัมผัสถูกผิวหนังไม่ก่อให้เกิดโรค ทั้งนี้กรมควบคุมมลพิษ มีข้อคำเตือนฝากถึงประชาชนที่มีบุตรหลาน โดยนายวรศาสน์ ขอให้หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำที่มีความสกปรกมากหรือเน่าเสีย เพราะเด็กอาจสำลักน้ำ กลืนเอาเชื้อราที่ปะปนอยู่ในน้ำเข้าไปสู่ร่างกาย หากเคราะห์ร้าย เชื้อราอาจเข้าไปเจริญเติบโตในสมอง ดังเช่นกรณีของอดีตนักร้องหนุ่ม ‘บิ๊ก วงดีทูบี’ ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตกคูน้ำและสำลักเอาน้ำสกปรกเข้าไป เป็นผลให้ติดเชื้อราซูดาเลสชีเรียบอยดิไอ เชื้อราเข้าไปกัดกินเส้นเลือดแดงในสมอง แพทย์พบเลือดออกในสมอง และสมองบวม เป็นอันตรายต่อสมองอย่างมาก อีกทั้งเชื้อราเจริญเติบโตเร็ว และยาฆ่าเชื้อรามีราคาแพง ทว่าเด็กบังเอิญลงเล่นน้ำแล้วเกิดสำลักน้ำที่มีสภาพไม่น่าไว้วางใจ ให้พยายามบ้วนทิ้งหรืออาเจียนออกมาให้ได้ หลังจากนั้นหากมีอาการผิดปกติ มีไข้สูงไม่ลด ต้องรีบพาตัวส่งโรงพยาบาลให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติ และเพื่อลดมลภาวะทางน้ำในช่วงที่มวลน้ำสกัดการคมนาคมทางบกตามวิถีปกติ เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาดบ้านเมืองไม่สามารถออกเก็บกวาดขยะไปกำจัดได้อย่างที่ควรเป็น นายวรศาสน์ ในฐานะที่เป็นคนทำงานด้านการควบคุมมลพิษ แนะให้ประชาชนจัดการกับขยะมูลฝอยบริเวณที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยอย่าทิ้งลงน้ำ ให้รวบรวมและบรรจุขยะใส่ถุงมัดปากให้มิดชิดเก็บใส่ถังขยะให้พ้นน้ำ เพื่อลดปัญหาน้ำเน่าเสีย มีกลิ่นเหม็น ซึ่งหากมีสภาพเช่นนั้นแล้ว สามาถใช้น้ำชีวภาพหรืออีเอ็มบอล แก้ปัญหาได้ในเบื้องต้น ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ หากลงพื้นที่ตรวจสอบคุณภาพน้ำแล้วพบว่าบริเวณใดมีค่าออกซิเจนละลายในน้ำต่ำกว่า 2 มิลลิกรัมต่อลิตร จะใช้น้ำจุลินทรีย์ราดเพื่อบรรเทาน้ำเน่าเสีย อย่างไรก็ตาม กรมควบคุมมลพิษ ยังจัดกิจกรรมขยะโฟมแลกไข่ เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเก็บโฟมเหลือใช้ ขยะที่ก่อมลพิษและใช้เวลาย่อยสลายยาวนานกว่าขยะชนิดอื่นๆ โดยขยะโฟมจำนวน 20 ชิ้น สามารถแลกไข่ไก่ได้ 1 ฟอง สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่กรมควบคุมมลพิษ 0 2298-2000 หรือ www.pcd.go.th จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 |
'เครื่องกรองน้ำฉุกเฉิน' เน้นวัสดุท้องถิ่น ต้นทุนต่ำ ใช้งานง่ายทำได้จริง !? http://www.dailynews.co.th/content/i...er/p4thurl.jpg ในสถานการณ์น้ำท่วมที่ขยายวงกว้างอย่างนี้ นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนในเรื่องของที่อยู่อาศัยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อระบบาธารณูปโภคพื้นฐานอย่าง “น้ำ” ที่ใช้สำหรับดื่มกิน และชำระล้างร่างกายอีกด้วย!! หลายฝ่าย หลายหน่วยงาน ต่างร่วมแรงร่วมใจระดมความคิด ความสามารถในด้านต่างๆ สร้างสำนึกจิตอาสาขึ้นมาช่วยเหลือสังคม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประสบภัยน้ำท่วมในยามคับขัน ขณะที่หลายพื้นที่กำลังประสบปัญหามีแต่น้ำท่วมขัง...และน้ำที่มีอยู่ก็เริ่มใช้ไม่ได้ บ้างมีสี มีกลิ่น จากน้ำที่เคยใสเปลี่ยนเป็นสีขุ่น ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคได้ ด้วยเหตุนี้ บุคลากรที่มีจิตอาสาภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร จึงได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า “เครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉิน” ขึ้น เครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉิน เป็นผลงานของ นายวาสนิธิ์ พญาปุโรหิต นายธีรภัทร์ ฉัตรทอง นายวรนล กิติสาธร นายอภิชัจ เจียรวิริยะนาถ 4 หัวเรือใหญ่ของทีมวิจัย และกลุ่มเพื่อนนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก ศูนย์วิจัยส่วนนวัตกรรมเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ (Applied Innovation Division : AID) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร โดยมี ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม และ รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ เป็นที่ปรึกษาของโครงการ “จริง ๆ แล้วการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์นี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการช่วยเหลือผู้ที่ประสบภาวะน้ำท่วมที่ขาดแคลนน้ำใช้ น้ำเพื่อชำระล้างสิ่งต่าง ๆ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้น้ำไม่มีกลิ่น ไม่มีสี มีความสะอาดเพียงพอและสกปรกน้อยที่สุด เพราะหากผู้ประสบภัยน้ำท่วมใช้น้ำที่มีเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนบ่อยครั้ง อาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้” ทีมวิจัย เกริ่นนำ ก่อนช่วยกันอธิบายถึงขั้นตอนการทำงานของเครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉินให้ฟังว่า เครื่องกรองน้ำฉุกเฉินนี้ถูกออกแบบไว้ให้มีความสะดวกในการทำใช้ได้เอง ไม่ต้องมีเครื่องมือพิเศษอะไร ขนาดเล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมานั้นเป็นขนาดเล็กน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม เพื่อความสะดวกแก่การเคลื่อนย้าย ติดตั้งและซ่อมบำรุง สามารถกรองน้ำได้ครั้งละ 5 ลิตร ภายในครึ่งนาที หลักการทำงานไม่สลับซับซ้อน อุปกรณ์แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ เครื่องทรงกระบอก ความสูง 45 เซนติเมตร ขนาดบรรจุน้ำได้ 5 ลิตร อีกส่วนหนึ่งคือ กระบอก ความสูง 70 เซนติเมตร เพื่อบรรจุชุดกรองที่ได้ประยุกต์โดยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านมาพัฒนาไว้ในตัวกระบอก ซึ่งชั้นกรองแต่ละชั้นทำจากวัสดุที่สามารถหาได้ในพื้นที่ ประกอบด้วย หิน กรวด ชั้นทรายละเอียด และทรายหยาบ เพื่อทำการกรองสารแขวนลอยที่มีอยู่ในน้ำ และก่อนที่อินทรีย์สารจะทำให้เกิดสีจะถูกดูดซับโดยถ่านกัมมันต์ “ถ่านกัมมันต์จริงๆแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากถ่านที่เรารู้จักกันมากนัก เพียงแต่ถูกกระตุ้นหรือปรับเปลี่ยนคุณสมบัติให้มีศักยภาพในการดูดซับสารเจือปนต่างๆที่อยู่ในน้ำได้ ซึ่งชั้นกรองทั้งหลายเหล่านี้จะทำหน้าที่กรอง ดูดซับกลิ่น และปรับสภาพน้ำขุ่นให้กลายเป็นน้ำใสได้” อุปกรณ์ชุดนี้ ถูกออกแบบให้สามารถถอดทำความสะอาดล้างเองได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ เนื่องจากน้ำที่ใช้มีความขุ่นไม่เท่ากัน โดยผู้ใช้ต้องสังเกต หากปริมาณน้ำไหลออกมาช้ากว่าปกติ ก็สามารถถอดอุปกรณ์ล้างทำความสะอาดได้ทันที ดร.ภานวีย์ โภไคยอุดม กล่าวเสริมว่า เครื่องกรองน้ำประเภทนี้ น้ำจะไหลผ่านชั้นกรองด้วยการอาศัยแรงโน้มถ่วงของโลก ส่งผลให้อัตราการผลิตน้ำได้ไม่สูงนัก ดังนั้น ปั๊มน้ำ จึงมีความจำเป็นในการเสริมเข้ามาในระบบ เพื่อใช้เป็นตัวส่งน้ำเข้าสู่ระบบและทำให้อัตราการผลิตน้ำด้วยเครื่องกรองน้ำนั้นสูงขึ้น โดยจะเห็นได้ชัดว่า ถ้ายังมีกระแสไฟฟ้าใช้อยู่ในพื้นที่คงไม่ใช่เรื่องลำบากที่จะติดตั้งระบบเครื่องกรองน้ำเดิมที่มีอยู่ แต่ในเวลานี้พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ประสบอุทกภัยจะไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้ ดังนั้น จำเป็นต้องหากลไกอื่นในการปั๊มน้ำส่งเข้าสู่ระบบเครื่องกรองน้ำที่จะต้องไม่อาศัยกระแสไฟฟ้า เครื่องกรองน้ำที่ถูกจัดทำขึ้นนั้น จึงใช้ แรงลมที่มีอยู่ในกระบอกสูบลม ไปดันน้ำให้เข้าสู่เครื่องกรองน้ำด้วยอัตราการไหลที่เหมาะสมสำหรับการกรอง “หลักการทำงานจะอาศัยหลักการแทนที่น้ำของอากาศ ซึ่งเป็นหลักวิทยาศาสตร์พื้นฐานไม่ได้มีความสลับซับซ้อน เพียงแต่ต้องนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยตัวเครื่องกรองน้ำจะประกอบไปด้วยชั้นกรองต่างๆ เช่น ทรายหยาบ ทรายละเอียด และถ่านกัมมันต์ รวมถึงใยกรองต่างๆ ส่วนที่สอง เป็นส่วนของอุปกรณ์ส่งน้ำซึ่งประกอบไปด้วยปั๊มลมที่ต่อเข้ากับภาชนะบรรจุน้ำขนาด 5 ลิตร โดยการใช้งานนั้นสามารถทำได้โดยการปั๊มลมเข้าสู่ภาชนะที่บรรจุน้ำอยู่ โดยการปั๊มลมนี้ไม่ต่างอะไรจากการสูบลมเข้าจักรยานนั่นเอง” น้ำที่ถูกแทนที่ด้วยอากาศจะไหลผ่านถังกรองน้ำด้วยอัตราการไหลที่เหมาะสม น้ำที่ผ่านเครื่องกรองนี้จะไม่มีสีและสามารถนำไปใช้อาบและชำระล้างได้ แต่ยังไม่เหมาะสำหรับการนำไปบริโภค ทางทีมงานวิจัยจึงได้พัฒนาอุปกรณ์เสริมขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง สำหรับในกรณีจำเป็นที่ต้องนำน้ำนั้นไปดื่ม โดยชุดกรองชุดนี้จะประกอบขึ้นแบบง่ายๆ โดยเพิ่มไส้กรองเซรามิกส์ ฟิลเตอร์ ขนาดรูพรุน 0.3 ไมครอน ที่ใช้ในเครื่องกรองน้ำทั่ว ๆ ไป และมีจำหน่ายในร้านค้าและซุูเปอร์มาร์เกต ราคาตั้งแต่ 150-500 บาท แล้วแต่คุณภาพ ทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับเชื้อโรคในน้ำ เพื่อให้น้ำมีสภาพที่ดียิ่งขึ้นต่อการนำมาใช้อุปโภคบริโภค ซึ่งสามารถกรองจุลินทรีย์บางชนิดออกได้ อย่างไรก็ตาม การจะนำน้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำฉุกเฉินไปบริโภคนั้นควรมีการฆ่าเชื้อ ด้วยการเติมคลอรีนหรือนำไปต้มเสียก่อน ทั้งนี้ ทีมงานวิจัยภายใต้การนำ รศ.ดร.วิษณุ มีอยู่ กำลังทำการพัฒนาถ่านกัมมันต์ชนิดพิเศษที่สามารถใช้กำจัดเชื้อแบคทีเรียได้อยู่ “ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ นักศึกษา คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร พร้อมจิตอาสาบริเวณพื้นที่ใกล้เคียง จะเริ่มผลิตเครื่องกรองน้ำแบบฉุกเฉินนี้ คาดว่าจะผลิตได้วันละ 35 เครื่อง และจะมอบเครื่องกรองน้ำให้แก่ ชุมชน หรือในศูนย์พักพิงที่ประสบปัญหาในพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งนี้ หากชุมชนใดสนใจนำไปพัฒนาใช้ต่อสามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0-2988-3655 ต่อ 1105-7 สายตรง 0-2988-4023 สำนักประชาสัมพันธ์และบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร” สำหรับผู้ที่ต้องการร่วมสมทบทุนสามารถร่วมบริจาคเงินได้ที่ บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองจอก ชื่อบัญชี ม.มหานครผลิตเครื่องกรองน้ำเพื่อช่วยผู้ประสบอุทกภัย เลขที่ 217-4-11111-8 นับเป็นอีกหนึ่งหนทางของการอยู่รอดในสภาวะที่น้ำท่วมหนักเช่นนี้. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์วาไรตี้ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 |
ทำน้ำใช้จากน้ำท่วม http://www.khaosod.co.th/view_resizi...360&height=360 ทางศปภ.เตือนชาวกรุงเทพฯ ว่าอาจต้องทนกับสภาพน้ำท่วมขังนานนับเดือน ดังนั้น ความรู้ในการเตรียมน้ำใช้ช่วงน้ำท่วมจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเรียนรู้ไว้ โดยเริ่มต้นจากการเตรียมอุปกรณ์ ได้แก่ 1.โอ่ง ถังพลาสติก หรือภาชนะรองรับน้ำ จำนวน 2 ใบ 2.สารส้มก้อน 3.สารฆ่าเชื้อโรค คลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์) ด้านขั้นตอนการผลิตน้ำสะอาด ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1.เตรียมน้ำลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 1 โดยเลือกใช้น้ำจากแหล่งน้ำในบริเวณที่สะอาด ห่างจากแหล่งสุขาหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ 2.แกว่งสารส้มในน้ำจนกระทั่งสังเกตเห็นตะกอนเริ่มจับตัว ซึ่งอาจใช้เวลามากน้อยต่างกันไปตามปริมาตรและลักษณะของน้ำ โดยแกว่งที่ความลึกประมาณ 2/3 ส่วนของความลึกน้ำจากผิวน้ำ 3.หลังจากแกว่งสารส้ม จะต้องทิ้งน้ำไว้จนกระทั่งตะกอนตกลงสู่ก้นถัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรืออาจตั้งทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นจึงตักหรือถ่ายน้ำส่วนใสเข้าสู่ภาชนะบรรจุใบที่ 2 น้ำที่ผ่านขั้นตอนนี้จะมีลักษณะใสแต่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค 4.การเติมสารเพื่อฆ่าเชื้อโรคลงในภาชนะรองรับน้ำใบที่ 2 โดยเติมสารฆ่าเชื้อโรคคลอรีนชนิดน้ำ 2% (หยดทิพย์) ในปริมาณ 1 หยด ต่อน้ำ 1 ลิตร กวนผสมและปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้สารฆ่าเชื้อโรคออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม น้ำใสที่ได้อาจยังไม่เหมาะสมต่อการบริโภคเนื่อง จากน้ำที่ผ่านการผลิตขึ้นเองอาจไม่มีการควบคุมคุณภาพที่ดีเพียงพอ ส่วนคำเตือนสำหรับน้ำยาหยดทิพย์คือ เก็บให้พ้นมือเด็ก อย่าให้เข้าตาและสัมผัสผิวหนัง ห้ามรับประทานโดยตรง หากสารละลายหยดทิพย์ถูกมือให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด ถ้าสารละลายหยดทิพย์เข้าตาต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดหลายๆครั้งแล้วรีบไปพบแพทย์ และเก็บรักษาสารละลายหยดทิพย์ในที่มืด ขอขอบคุณข้อมูลจากกลุ่มอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จาก ....................... ข่าวสด คอลัมน์หมุนก่อนโลก วันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 |
ทำกิจกรรมอะไรดีกับลูกในช่วงน้ำท่วม ....................... โดย ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ http://pics.manager.co.th/Images/554000015354901.JPEG ช่วงนี้ไม่เพียงแต่คุณแม่คุณพ่อต้องเครียดกับภาวะน้ำท่วม เด็กๆก็เกิดความเครียดด้วยเช่นเดียวกัน การให้โอกาสเด็กๆได้แสดงออกและระบายความรู้สึกออกมาจะช่วยบรรเทาอาการเครียดของเด็กได้ ด้วยเหตุผลดังนี้ • การให้เด็กได้เล่าเรื่องหรือพูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลายๆครั้ง จะช่วยให้เด็กได้เรียงลำดับเหตุการณ์ ได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น หรือคิดหาทางควบคุมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ในภาวะที่สับสน และหาทางออกไม่ได้ • การได้ระบายความกลัว หรือความเครียดออกมาบางครั้งจะช่วยลดความวิตกกังวลและลดความไม่สบายใจได้ • การได้ยินเรื่องราวจากเพื่อนคนอื่นๆ จะช่วยให้เด็กๆรู้ว่ามีเพื่อนคนอื่นตกอยู่ในสภาพเดียวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความวิตกกังวล • การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กๆกับเพื่อนๆกับคุณพ่อคุณแม่ หรือกับคุณครู เด็กๆจะเป็นการได้แบ่งปันเรื่องราว และความรู้สึก กิจกรรมที่จะช่วยลดความเครียดให้เด็กๆได้มีดังนี้ เด็กอนุบาลและเด็กประถม 1. หาอุปกรณ์หรือของเล่นที่ให้เด็กได้มีโอกาสได้เล่นบทบาทสมมติในสภาวะน้ำท่วมจะช่วยให้เด็กๆมีประสบการณ์และมีความรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์น้ำท่วมมากขึ้น อุปกรณ์ดังกล่าวคือ ไม้บล็อก ถุงจำลองทราย รถตักทราย รถพยาบาล รถทหาร เรือ ถุงยังชีพ ยา อาหารแห้ง เป็นต้น การให้เด็กๆได้เล่นหุ่นมือ ตุ๊กตา หรือเล่นบทบาทสมมติจะช่วยให้เด็กได้มีโอกาสพูดและระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นอีกด้วย 2. กิจกรรมการให้เด็กได้ออกกำลังทางด้านร่างกายถือว่าเป็นวิธีช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ 3. ทำงานศิลปะ ให้เด็กๆวาดภาพน้ำท่วม งานศิลปะถือเป็นงานสร้างสรรค์ที่ให้เด็กๆได้แสดงออก ให้เด็กๆวาดภาพอะไรก็ได้ที่อยู่ในใจและอยากวาด อาจตั้งหัวข้อ หรือตั้งคำถามให้เด็กๆเป็นแนวทางให้เด็กๆมีโอกาสพูดคุยถึงรูปที่วาด จัดเด็กเป็นกลุ่มเล็กๆ เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน การได้พูดคุยถึงความรู้สึกกลัวที่เกิดขึ้นจะช่วยให้เด็กๆได้ระบายออกถึงความเครียดและความกลัว 4. เล่านิทานหรือเรื่องสั้นเกี่ยวกับภาวะน้ำท่วมให้เด็กๆฟัง 5. จัดทำโครงงานในหัวข้อ มีอะไรเกิดขึ้นในบ้านของเรา ที่โรงเรียน ในชุมชนของเรา หรือเราจะทำอย่างไรเมื่อมวลน้ำใหญ่ไหลมา ภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปส่งผลอย่างไรต่อโลก เป็นต้น 6. เด็กๆสามารถวาดรูป เขียน หรือเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พวกเขาจำได้ดี และตอบคำถาม เช่น มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อฝนตกหนัก มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขื่อนมีน้ำมากเกินกำหนด เราจะช่วยครอบครัว คนเฒ่า คนแก่ เด็กและคนเจ็บได้อย่างไร เมื่อน้ำท่วมบ้าน การจัดเตรียมอาหารและเครื่องใช้ในระหว่างเกิดอุทกภัย โรคและอันตรายต่างๆเมื่อเกิดเมื่อน้ำท่วม พร้อมทั้งการระวังตัวและการป้องกัน เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ มีอะไรที่เป็นข้อดีที่เราได้เรียนรู้ในการเกิดน้ำท่วมคราวนี้บ้าง การพูดคุยสนทนา การฟังคำตอบและคำถามของเด็กๆ จะช่วยในการประเมินความเข้าใจและความรู้สึกของเด็กๆได้ สิ่งที่สำคัญคือจบบทสนทนาด้วยความคิดทางบวก เสริมแรงให้กำลังใจ และให้สัมผัสแห่งความปลอดภัย และการเตรียมตัวในครั้งต่อไป ให้เด็กๆสรุปเองโดยมีผู้ใหญ่เป็นผู้เสริมแรง และตะล่อมให้ตรงประเด็น ตัวอย่างความคิดทางบวก เช่น • ความรู้สึกที่ได้มีความใกล้ชิดกับครอบครัว • ได้พบเพื่อนใหม่ และผู้ที่ตกสถานการณ์เดียวกัน • เรียนรู้ทักษะใหม่ สัมผัสแห่งความรับผิดชอบ การแก้ปัญหาอย่างฉลาด • การผนึกกำลังของชุมชนในการช่วยกันแก้ปัญหา • การให้ความช่วยเหลือดูแลแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ชั้นประถมปลาย 1. ทำสมุดภาพโครงงาน ให้เด็กๆได้มีโอกาสได้รวบรวมความคิดและข้อมูลต่างๆ จัดหาวิธีแก้ไขอย่างเป็นระเบียบ 2. ให้เด็กๆได้เล่นเกมอุทกภัย โดยคิดกฎกติกาเอง คิดวิธีการจบเกมเอง เพื่อพัฒนาสัมผัสในการแก้ปัญหาและความรู้สึกปลอดภัย 3. ใช้หนังสือภาพระบายสี หรือหนังสืออื่นๆ ที่เกี่ยวกับอุทกภัย เสริมแรงให้เด็กวาดรูป เขียน หรือพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กิจกรรมสำหรับชั้นมัธยม เราอาจใช้หลักการพื้นฐานเดียวกันและต่อยอดความคิดสำหรับใช้กับเด็กโต เช่น 1. ใช้ศิลปะ ดนตรี คำกลอน ในการบรรยายความรู้สึกและประสบการณ์ เด็กอาจจะทำเป็น Power Point สมุดภาพ สมุกบันทึกความทรงจำ เล่นเป็นละคร หรืออัดวีดีทัศน์ไว้ สะสมผลงานต่างๆของเด็ก อาจจัดพิมพ์ หรือจัดแสดงกันในชั้นเรียน ที่งานโรงเรียน หรือที่ชุมชน เป็นต้น 2. จัดกลุ่มสนทนา อภิปรายความคิด โต้วาที ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นได้แสดงออกถึงความรู้สึก ให้เด็กรู้ว่าความรู้สึกกลัวหรือวิตกกังวลเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ คำว่าอุทกภัยและ วาทภัยมีความหมายว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญคือให้เราได้รับบทเรียนอะไรบ้างโดยที่ไม่ว่าเรื่องจะจบลงด้วยความคิดทางบวกหรือเป็นความคิดทางลบก็ตาม กิจกรรมต่างๆเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูสามารถทำร่วมกับเด็กๆได้ จะช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวลรวมทั้งความกลัวของลูกได้ สิ่งที่สำคัญคือการให้ความรักและความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อช่วยให้ทุกคนผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 |
ธรรมชาติของไฟฟ้า รู้ไว้ไม่ตาย http://www.bangkokbiznews.com/home/m...g_418918_1.jpg ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ ในภาวะน้ำท่วมอันตรายหนึ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตคือ อันตรายจากไฟฟ้าโดยเฉพาะไฟฟ้าที่รั่วไหลอยู่ใต้ผิวน้ำ รายงานการเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพจากน้ำท่วมของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่าสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในภาวะน้ำท่วมของคนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาจากไฟฟ้าดูด ซึ่งต่างจากต่างจังหวัดที่เสียชีวิตจากการจมน้ำ ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า แต่ละคนมีการตอบสนองต่อกระแสไฟฟ้าต่างกัน ขึ้นกับสาเหตุหลายอย่าง เช่น เพศ วัยการฝึกฝน และประสบการณ์ที่เคยได้รับ อย่างไรก็ตาม เราอาจกำหนดเป็นช่วงของความรู้สึกได้โดยประมาณดังนี้ 1 มิลลิแอมป์ (1 ใน 1000 แอมแปร์) เริ่มรู้สึก อาจรู้สึกจั๊กจี้ หรือรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล็กๆ สะกิด โดยทั่วไปไม่เป็นอันตราย ยกเว้นคนที่มีภาวะหัวใจผิดปกติอยู่แล้ว 5 มิลลิแอมป์ เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นกระแสที่ยังปลอดภัยอยู่ หากสูงกว่านี้จะเริ่มอันตราย แทบทุกคนจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่ามีกระแสไฟ อาจรู้สึกชาๆ แต่ยังคงควบคุมอวัยวะได้ 10-20 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน จะเกิดการหดตัวแบบควบคุมไม่ได้ นั่นคือถ้ากำมือจับวัตถุที่ไฟรั่ว ก็จะไม่สามารถปล่อยมือได้นั่นเอง 100-300 มิลลิแอมป์ กล้ามเนื้อจะหดตัวอย่างแรงถึงฉีกขาดได้ ถ้าอยู่ในภาวะนี้นานจะเป็นอันตรายถึงชีวิต 6 แอมแปร์ กล้ามเนื้อจะหดตัวสุด หากสัมผัสชั่วขณะจะกลับสู่สภาพเดิม เหมือนถูก reset จึงใช้ในการกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นอีกครั้งในคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้น "หากใช้กระแสไฟฟ้าขนาดนี้กับคนใกล้ตายหัวใจหยุดเต้น ก็อาจปลุกให้ฟื้นได้ หรือในทางกลับกัน หากใช้กับคนที่ปกติ ก็อาจจะทำให้ตายได้นั่นเอง" ผศ.พงษ์ อธิบายเพิ่ม สิ่งที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับไฟฟ้าคือตัวกระแสไฟฟ้า จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดกระแสไฟฟ้าผ่านร่างกาย ดังนี้ 1. สังเกตบริเวณที่จะเข้าไป ว่ามีสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำอยู่หรือไม่ ถ้ามีหรือไม่แน่ใจให้ตัดกระแสไฟบริเวณนั้น แต่มีข้อสังเกตว่า ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่รั่วในน้ำ หรือที่ทำอันตรายต่อร่างกายได้นั้นเป็นปริมาณที่ไม่มากเลย ดังนั้น เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าทั่วไปที่ไม่ใช่เครื่องตัดไฟรั่วจะไม่ตัดกระแสโดยอัตโนมัติ จึงอย่าหวังว่าเครื่องตัดไฟจะทำงาน ให้ตัดด้วยมือเพื่อความแน่ใจเสมอ 2. ถ้าไม่แน่ใจ ให้ทดสอบด้วยเครื่องตรวจวัดไฟรั่ว ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือตรวจวัดแบบทุ่นลอยน้ำ และตรวจโดยใช้ไม้แหย่ เครื่องตรวจที่เป็นแบบทุ่นลอยน้ำจะสามารถตรวจไฟรั่วจากสายไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แช่อยู่ในน้ำได้ แต่ถ้าขั้วไฟฟ้าที่รั่วจมอยู่ลึกๆ เช่น ปลั๊กตัวเมียที่จมอยู่ในน้ำ อาจไม่สามารถตรวจได้ เพราะกระแสไฟฟ้าที่รั่วจะวนอยู่รอบๆขั้วเท่านั้น ต้องใช้แบบไม้แหย่ ถ้าเป็นไม้ที่สร้างจากไขควงวัดไฟ ต้องระวังว่าไฟอาจไม่สว่างเพราะบริเวณที่เป็นอันตรายจะอยู่ใกล้ๆขั้วไฟฟ้าเท่านั้น ประกอบกับมีน้ำล้อมรอบ อาจจะทำให้ไขควงสว่างได้ยาก 3. กรณีที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจมน้ำ และต้องการทดสอบว่าไฟรั่วหรือไม่ ไขควงวัดไฟเป็นตัวเลือกที่ดี และถ้าพบว่ามีไฟรั่ว ควรติดป้ายเตือนและหลีกเลี่ยงบริเวณรอบๆ 4. ถ้าน้ำไม่ลึกมาก รองเท้าบูตยางจะช่วยได้มาก เพราะยางเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ดี ไฟฟ้าผ่านได้ยาก การนั่งเรือที่เป็นฉนวน เช่น เรือไฟเบอร์หรือเรือไม้ก็ช่วยได้มากเช่นกัน ตรงข้ามกับเรือที่เป็นโลหะก็ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่บนเรือ แต่ไม่ปลอดภัยสำหรับคนที่อยู่ในน้ำและจับหรือเข็นเรืออยู่ 5. ถ้าต้องการสัมผัสโลหะที่แช่น้ำอยู่ แต่กลัวว่าจะมีไฟรั่วโดยที่มองไม่เห็นหรือตรวจไม่พบ เช่น ลูกบิดประตูที่เป็นโลหะ หรือกรอบประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ให้ใช้หลังมือสัมผัสก่อน เพราะตามธรรมชาติเมื่อกล้ามเนื้อได้รับกระแสไฟฟ้า จะเกิดการหดตัว เมื่อเราใช้หลังมือสัมผัสและเกิดไฟฟ้ารั่วผ่าน ก็จะเป็นการชักมือหนีออกจากแหล่งที่ไฟรั่วนั้น แต่หากใช้ด้านหน้ามือไปสัมผัส เมื่อกล้ามเนื้อมือหดตัวก็จะกำแน่นขึ้น และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องตรวจวัดไฟรั่วหลายแบบที่นำมาแจกจ่าย แต่เครื่องวัดทุกแบบก็มีข้อจำกัด ควรทำความเข้าใจการใช้งานก่อน และใช้ด้วยความระมัดระวัง ขอให้ทุกท่านโชคดี และขอเป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นภัยจากไฟฟ้าและน้ำท่วมไปโดยเร็ว จาก ....................... กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์สุขภาพ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 |
กปน.จัดทำคู่มือ "ข้อแนะนำการใช้น้ำประปาในภาวะน้ำท่วม" ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประปานครหลวง (กปน.) ห่วงใยผู้ใช้น้ำที่ประสบปัญหาน้ำท่วมในขณะนี้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้น้ำประสบปัญหาในการใช้น้ำประปา กปน. จึงมีข้อแนะนำ ดังนี้ 1. กรณีที่พักอาศัยของท่าน มีถังพักน้ำใต้ดินและถูกน้ำท่วม ควรหยุดใช้น้ำจากถังพักน้ำชั่วคราว แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำประปาจากท่อภายในที่ต่อตรงจากหลังมาตรวัดน้ำแทน เนื่องจากน้ำที่ท่วมขังอาจไหลลงไปปะปน หรือซึมเข้าไปในถังพักน้ำ ทำให้น้ำมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการใช้ หากน้ำยังท่วมไม่ถึงถังพักน้ำของท่าน ควรเตรียมป้องกันถังพักน้ำไว้ล่วงหน้า 2. ควรระมัดระวังไม่ใช้เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จากระบบท่อที่จมอยู่ใต้น้ำเพราะหากมีท่อแตกรั่วซึ่งมองไม่เห็น เครื่องสูบน้ำ (ปั๊มน้ำ) จะดูดสิ่งสกปรกเข้าสู่ระบบท่อได้ 3. กรณีก๊อกจมอยู่ในน้ำ สามารถใช้สายยางที่สะอาดต่อจากก๊อกแล้วยกแขวนให้สูงขึ้น จะสามารถใช้น้ำได้ตามปกติ 4. น้ำประปาที่ กปน.ผลิตและสูบจ่ายเข้าสู่ระบบท่อประปา ได้ผ่านการตรวจสอบจากนักวิทยาศาสตร์ของ กปน. และสถาบันที่เชื่อถือได้ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตน้ำท่วม หน่วยงานด้านสาธารณสุข อาทิ กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบและน้ำประปา และยืนยันว่าน้ำประปาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มขององค์การอนามัยโลก ไม่เป็นอันตรายเพราะไม่มีสารพิษและเชื้อโรค 5. ขณะนี้ กปน. ได้เพิ่มปริมาณคลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค จึงอาจมีกลิ่นคลอรีนในน้ำประปาที่บ้าน ท่านสามารถลดกลิ่นคลอรีนได้โดยรองน้ำประปาใส่ภาชนะเปิดฝาและตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที กลิ่นคลอรีนจะระเหยไป หรืออาจนำไปต้มก่อนดื่ม 6. กรณีจำเป็นต้องอพยพออกจากที่พักอาศัย โปรดปิดประตูน้ำ (วาล์ว) ที่มาตรวัดน้ำเพื่อป้องกันกรณีท่อรั่วภายในบ้าน ทำให้สูญเสียน้ำประปาโดยไม่จำเป็น 7. ท่านสามารถแจ้งและขอรับคำแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ "ศูนย์บริการประชาชน" โทร.1125 ตลอด 24 ชั่วโมง จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2554 |
น้ำท่วมนาน อาหาร เรื่องสำคัญสำหรับเด็ก วิกฤติมหาอุทกภัยครั้งนี้กินเวลากลับเรามานานเกือบ 3 เดือน ปัญหาที่ตามมานอกจากชาวบ้านจะต้องอพยพไม่มีที่อยู่อาศัย การเดินทางต่างๆก็ถูกตัดขาด โชคดีหน่อยที่ในช่วงนี้ตามโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ขยายวันเปิดเรียน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน อีกปัญหาที่ตามมาระหว่างน้ำท่วมคือในเรื่องของโรคที่มากับน้ำและอาหาร โดยเริ่มต้นไปที่เรื่องโรคซึ่งคนทุกเพศทุกวัยต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเด็ก ที่ไม่มีความรู้ในการป้องกันและดูแลรักษาตัวเอง เป็นหน้าที่ผู้ปกครองจะต้องใส่ใจดูแล คือเรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกิน โดยข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคที่มีความเสี่ยงการเกิดโรคสูงที่สุดขณะน้ำท่วมรวมไปถึงหลังน้ำลดด้วย คือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และปัญหาด้านสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมจากของเสียต่างๆ ดังนั้นชุมชนและประชาชนควรมีความรู้ในการป้องกันโรคอย่างถูกวิธี มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการเกิดโรคระบาดต่างๆตามมาได้ง่าย ทั้งนี้ จากรายงานเฝ้าระวังพิเศษโรคจากโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศในสถานการณ์อุทกภัย พบอัตราป่วยของประชาชนอันดับแรก คือ โรคอุจจาระร่วงถึง 3,146 ราย สาเหตุสำคัญมาจากโรคอาหารเป็นพิษที่เป็นโรคติดต่อทางอาหาร น้ำ ที่พบได้บ่อย เพราะประชาชนไปรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ในอาหารที่ปรุงสุกๆดิบๆจากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว และไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ หรือไม่ได้อุ่นให้ร้อนเพียงพอก่อนรับประทาน สาเหตุของอาหารเป็นพิษมีมากมาย และอาการของอาหารเป็นพิษก็มีหลากหลายตามไปด้วย อาจแบ่งชนิดของอาหารเป็นพิษได้หลายแบบ เช่น ตามชนิดของเชื้อ ตามสารพิษ หรือพิษในอาหาร หรือตามอาการเจ็บป่วย ภาวะอาหารเป็นพิษมักจะไม่มีอาการรุนแรง และอาการจะเป็นไม่นาน ผู้ป่วยอาจมีเพียงอาการท้องเสียแค่สอง-สามวัน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือบางคนไม่มีไข้เลยก็ได้ อาจเพียงรู้สึกปวดมวนท้องบ้างเล็กน้อย หากติดเชื้อบางชนิดทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ซึ่งถ้าถ่ายมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อหัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการถ่ายเหลวเป็นเนื้อปนน้ำไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อทันที แต่หากมีอาการถ่ายเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือมีถ่ายเป็นน้ำ 1 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ โออาร์เอส จะช่วยป้องกันและรักษาภาวะขาดน้ำ แต่เมื่อถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดจะต้องรีบไปพบแพทย์ทันที โรคอาหารเป็นพิษเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง จึงขอแนะนำง่ายๆ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ คือ เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น นมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆให้สะอาดทั่วถึง ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ รวมทั้งล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงสำหรับกรณีเด็กว่าจะขาดอาหารช่วงน้ำท่วมที่กินระยะเวลานานหรือไม่ โดยอาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ยังออกมาเตือนพ่อแม่ในภาวะน้ำท่วมให้ดูแลเด็กด้านอาหารและโภชนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หากประสบภัยน้ำท่วมในระยะยาวนานจะมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญาและอารมณ์ในระยะยาว และยากที่จะฟื้นกลับคืนปกติได้ นายสง่ากล่าวว่า ในภาวะน้ำท่วมติดต่อกันยาวนาน กลุ่มเด็กอายุแรกเกิด-5 ขวบ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและภาวะโภชนาการมากที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ร่างกายและสมองมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งจำเป็นต้องได้รับสารอาหารจากอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วน เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทุกมื้อ และการเจริญเติบโตของเซลล์ทุกเซลล์ เม็ดเลือด กระดูกและกล้ามเนื้อของเด็กไม่สามารถจะหยุดยั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นภาวะน้ำท่วมหรือภาวะวิกฤติใดๆ การที่เด็กเล็กได้รับอาหารไม่เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพติดต่อกันเพียง 2-4 สัปดาห์ ก็จะมีผลทำให้ร่างกายเด็กพร่องสารอาหารที่สำคัญหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ จะนำไปสู่การขาดสารอาหาร อาการที่แสดงออกมาให้เห็นในระยะสั้นคือ การเจริญเติบโตของร่างกายไม่เต็มตามศักยภาพ น้ำหนัก ส่วนสูง ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน รูปร่างผอมใน ที่สุดภูมิต้านทานก็จะต่ำ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทั้งหลาย หากไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการฟื้นฟูแก้ไข จะเพิ่มความรุนแรงและเกิดผลเสียต่อการเจริญเติบโตทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญาเด็กในอนาคต กล่าวคือเด็กจะตัวเตี้ย ผอม และไอคิวต่ำ นายสง่าแนะต่อไปอีกว่า แม่ที่มีลูกอายุต่ำกว่า 6 เดือน และกำลังให้ลูกกินนมแม่อยู่ นับว่าลูกโชคดีมากในภาวะวิกฤติเช่นนี้ จงให้ลูกกินนมแม่ต่อไปเป็นปกติ แต่แม่ต้องพยายามหลีกเลี่ยงความกังวล ความเครียด เพราะหากแม่เครียดอย่างต่อเนื่องจะทำให้ฮอร์โมนที่สร้างน้ำนมหลั่งออกมาน้อย จะมีผลทำให้น้ำนมไหลน้อยหรือหยุดไหลได้ ส่วนแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมตนเองต้องพึ่งนมผสมนั้น ต้องรีบเคลื่อนย้ายทั้งแม่และลูกให้มาอยู่ในสถานที่ที่สามารถเข้าถึงนมผสมสำหรับทารกให้ได้ ไม่แนะนำให้นั่งรอขอความช่วยเหลือจากภายนอก ถ้าชุมชนใดมีแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองหลายๆ คนอาจรวมกลุ่มกัน แบ่งปันนมตนเองให้ลูกเพื่อนบ้านในลักษณะเป็นแม่นม แต่ต้องมั่นใจว่าแม่นมเหล่านั้นต้องไม่ติดเชื้อเอชไอวี สำหรับเด็กเล็กถึง 1 ขวบ เป็นวัยที่ต้องได้รับอาหารอื่นนอกจากนมแม่เสริมอีกทางหนึ่ง เพราะลำพังนมแม่แม้ว่าคุณค่าทางโภชนาการจะยังพร้อมมูลอยู่ แต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายเด็กที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงต้องเริ่มให้ข้าวบดผสมน้ำแกงจืด ไข่แดงต้มสุกสลับกับเนื้อปลา หมู ไก่และตับสัตว์ และผสมผักใบเขียว ฟักทอง แครอต มะเขือเทศต้มสุกผสมลงไป โดยเด็กอายุ 6-8 เดือน กินอาหารเหล่านี้ทดแทนนมแม่ได้ 1 มื้อ ส่วนเด็ก 8-10 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 2 มื้อ พอครบ 11-12 เดือน กินทดแทนนมแม่ได้ 3 มื้อ หากแม่มีความจำเป็นต้องใช้อาหารทารกกึ่งสำเร็จรูปต้องมั่นใจว่าเด็กได้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ จากผักและเนื้อสัตว์พอ ควรบดผสมลงไปด้วย แต่อย่าลืมให้ลูกกินนมแม่ควบคู่กันไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น ส่วนเด็กอายุ 1-5 ขวบ นับเป็นกลุ่มที่น่าห่วงเช่นกัน เพราะอย่าลืมว่าเด็กวัยนี้ร่างกายและสติปัญญายังต้องการสารอาหารที่มีคุณค่าไปหล่อเลี้ยงให้เติบโตสมวัย แต่เด็กเหล่านี้มักจะถูกละเลย เพราะพ่อแม่คิดว่าเขาโตแล้ว และช่วยเหลือตนเองได้ ประกอบกับพ่อแม่ไม่มีเวลา มัวแต่ไปแก้ปัญหาน้ำท่วมและสาระวนอยู่กับลูกคนเล็ก จึงปล่อยให้ลูกกินตามมีตามเกิด ดังนั้นพ่อแม่ต้องใส่ใจดูแลอาหารลูกเป็นพิเศษ ต้องแบ่งปันอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เด็กเล็กกินก่อน อาหารที่มีคุณค่าในภาวะน้ำท่วมคงหนีไม่พ้นไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่เจียว ไข่น้ำ หมูทอด ไก่ทอด ปลาทูนึ่งและปลากระป๋อง สามารถดัดแปลงปรุงได้สารพัดเมนู เมนูเหล่านี้ควรปรุงด้วยเกลือและน้ำปลาเสริมไอโอดีน แต่อย่าลืมต้องให้เด็กดื่มนมรสจืดวันละ 2-3 กล่อง เป็นอาหารเสริม ต้องดูแลอาหารว่างของเด็ก ไม่ควรปล่อยให้ลูกกินแต่น้ำอัดลมและขนมกรุบกรอบทั้งวัน ในภาวะน้ำท่วม พ่อแม่เครียดจัด ไม่มีเวลาเล่นกับลูก จึงพลอยทำให้ลูกเครียดไปด้วย จงตั้งสติและหาเวลาโอบกอดลูก นั่งเล่านิทานให้ลูกฟัง พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำท่วม การเล่นกับลูก เสียงหัวเราะของลูก เป็นการผ่อนคลายความเครียดในบ้านได้ในระดับหนึ่ง และช่วยพัฒนาการของลูกได้ด้วย "น้ำท่วมบ้าน แต่อย่าให้น้ำท่วมสติ ถ้ามีสติจะเกิดปัญญาที่จะดูแลบุตรหลานด้านอาหารและโภชนาการ อย่าให้น้ำท่วมไปสร้างตราบาปโดยปล่อยให้ลูกหลานขาดสารอาหารซึ่งยากที่จะฟื้นกลับคืนสู่ภาวะปกติได้" นายสง่ากล่าวทิ้งท้าย. จาก ....................... ไทยโพสต์ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 |
คู่มือคำนวณ "ค่าใช้จ่าย" วัสดุ-ค่าแรงฟื้นฟูบ้าน เป็นความเสียหายครั้งใหญ่จากมหาอุทกภัยที่ว่ากันว่าหนักที่สุดในรอบ 50 ปี เชื่อว่าภาพที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องอยู่ในสภาพ จมบาดาล จะยังคงเป็นภาพติดตาคนไทยไปอีกพักใหญ่ แต่วิกฤตก็ย่อมมีวันจบ หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย กรุงเทพฯ ปริมณฑล และอีกหลายจังหวัด จะต้องเข้าสู่โหมด "ซ่อมแซม" ขนานใหญ่ โดยก่อนหน้านี้ "อิสระ บุญยัง" นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรประเมินว่า น่าจะมีบ้านจัดสรรถูก น้ำท่วมกว่า 100,000 หลัง และถ้านับรวมถึงบ้านปลูกสร้างเอง (นอกหมู่บ้านจัดสรร) และตึกแถว น่าจะมีบ้านทั่วประเทศถูกน้ำท่วมสูงถึง 500,000 หลัง "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจราคาวัสดุหลัก-ค่าแรงที่จะต้องใช้ซ่อมแซมบ้าน หลังน้ำลด และนำมาประมาณการค่าใช้จ่ายซ่อมบ้าน โดยพบว่าในกรุงเทพฯ ปริมณฑลส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมสูงตั้งแต่ "หน้าแข้ง" จนถึง "หน้าอก" หรือตั้งแต่ระดับกว่า 0.30-2.00 เมตร ซึ่งกรณีที่ท่วมขังตั้งแต่ 2-4 สัปดาห์ขึ้นไปก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนต่าง ๆ อาทิ พื้น ผนัง ประตู หน้าต่าง สวิตช์ไฟ ฯลฯ หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าจึงควรสำรวจและเร่งซ่อมแซมทันที "พื้นไม้-สี-วอลเปเปอร์" ไม่สู้น้ำ "พื้น" ถือเป็นพื้นที่ส่วนแรกที่จะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ไม่ว่าน้ำจะท่วมแค่ไม่กี่เซนติเมตรก็ตาม วัสดุมักหนีไม่พ้น 1) กระเบื้อง 2) ไม้ลามิเนตหรือไม้ปาร์เกต์ และ 3) หินอ่อนหรือหินแกรนิต ในจำนวนวัสดุ 3 ตัวนี้ "กระเบื้อง" สามารถทนการแช่น้ำได้นาน แต่อาจเกิดความเสียหายได้กรณีที่มีน้ำท่วมขังใต้พื้นดินเป็นจำนวนมาก และเกิดแรงดันตามร่องจนทำให้แผ่นกระเบื้องล่อนเสียหายก็จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ "ไม้ลามิเนต-ไม้ปาร์เกต์" ไม่สามารถ ทนน้ำได้ หากถูกน้ำท่วมไม่กี่ชั่วโมงมีโอกาสหลุดล่อนหรือเกิดเชื้อราภายใน เนื้อไม้ได้ จึงควรรื้อออกและปูใหม่ ส่วน "หินอ่อน-หินแกรนิต" สามารถทนน้ำได้ แต่หากแช่น้ำเป็นเวลานาน จะเกิดรอยด่าง สามารถแก้ไขโดยใช้เครื่องขัดซึ่งมีค่าแรงค่อนข้างสูง เฉลี่ยตารางเมตรละ 400-500 บาท ถัดมาคือ "ผนัง" วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่มี 2 แบบ 1) ทาสี และ 2) ติดวอลเปเปอร์ กรณีทาสีปัญหาที่ตามมาหลังน้ำท่วมประมาณ 2 สัปดาห์คือ คราบตะไคร่-เชื้อรา และสีหลุดล่อน การซ่อมแซมต้องใช้แปรงขัดตะไคร่และเชื้อราออก ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง 3-4 สัปดาห์จึงทาสีใหม่ และควรจะต้องทาสีผนังภายในและเพดานทุกด้านเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างระหว่างสีเก่าและใหม่ ส่วนผนังภายนอกหากน้ำไม่ได้ท่วมสูงอาจขัดตะไคร่และเชื้อราออกก็เพียงพอ ซึ่งกรณีที่จะซื้อสีมาทาเองในตลาดมีตั้งแต่ราคาถังละ 900-3,500 บาท (ขนาดถัง 5 แกลลอน) มีหลักการคำนวณคือ สีถังใหญ่ขนาด 5 แกลลอน จะทาได้พื้นที่ 30 ตารางเมตร และจะต้องทาทั้งหมด 2 ครั้ง ส่วนบ้านหลังไหนที่ติด "วอลเปเปอร์" ก็ต้องบอกว่า...งานเข้า เพราะนอกจากจะเป็นรอยด่างยังมีความเสี่ยงเกิดเชื้อราสูง จึงควรรื้อทิ้งทำความสะอาดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์จึงค่อยทาน้ำยาฆ่าเชื้อราและปิดวอลเปเปอร์ใหม่ "ประตู-หน้าต่างไม้" เสี่ยงบวม นอกจากพื้นแล้ว รายการต่อมาคือ "ประตูไม้" เป็นวัสดุอีกตัวที่มีโอกาส เสียหายจากการบวมทำให้เปิด-ปิดลำบาก ถึงแม้มีน้ำท่วมขังภายในบ้านเพียงเล็กน้อย นอกจากการเปลี่ยนบานประตูใหม่ซึ่งมีราคาหลากหลาย ตั้งแต่ประตูไม้อัดเริ่มต้นบานละ 1,000 บาท ประตูไม้เต็งราคาประมาณบานละ 4,000 บาท ไปจนถึงประตูไม้สักราคาบานละ 10,000-15,000 บาท หากไม่เน้นเรื่องความสวยงามมากนักอาจใช้วิธีไสหรือเลื่อยไม้ส่วนที่บวมออกก็ได้ ส่วนถ้าระดับท่วมสูงเกินกว่า 0.80 เมตร "หน้าต่างไม้" ก็มีโอกาสถูกน้ำและบวมได้ การซ่อมแซมคือเปลี่ยนหรือไส-เลื่อยส่วนที่บวมออกเช่นเดียวกัน "สวิตช์ไฟ-สนามหญ้า" อย่าละเลย จากพื้นและผนัง หากบ้านถูกน้ำท่วมตั้งแต่ 0.80-1.00 เมตร สวิตช์ไฟมักเป็นจุดที่เสียหายถูกน้ำเข้า การแก้ไขเบื้องต้นให้สับคัตเอาต์ เปิดฝาครอบสวิตช์ออก และทำความสะอาดแผงสวิตช์ให้แห้งและทิ้งไว้ 3-5 วัน หากที่บ้านมีคัตเอาต์หรือเซฟ-ที-คัทให้ทดลองเปิด-ปิดสวิตช์ดู หากไม่สามารถใช้งานได้ก็ต้องเปลี่ยนแผงสวิตช์ใหม่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ชุดละ 100-500 บาทแล้วแต่ยี่ห้อ และค่าแรงอีกจุดละประมาณ 100 บาท ส่วนถ้าเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่สนามหญ้าในรั้วบ้าน หญ้าที่ถูกแช่น้ำนาน 2-4 สัปดาห์มีโอกาสจะตายได้ หากไม่สามารถระบายน้ำออกได้ทันก็จำเป็นต้องปูหญ้ากันใหม่ โดยเฉลี่ยการปูหญ้าจะเป็นการเหมาพร้อมค่าแรงเริ่มต้นตารางเมตรละ 100 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ ยังมีงาน "รั้วไม้" ที่อาจจะเกิดสีลอกล่อนหรือเป็นตะไคร่สามารถ ขัดออกและซื้อสีทาไม้มาทาเองได้ มีราคาเริ่มต้นกระป๋องละ 300-1,000 บาท เบ็ดเสร็จหากน้ำท่วมบ้านในระดับ 0.30-0.50 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายซ่อมแซมเริ่มต้น 30,000-110,000 บาท (ขึ้นกับวัสดุที่เปลี่ยนใหม่) ส่วนถ้าท่วมระดับ 1.00-2.00 เมตร ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 65,000-145,000 บาท จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 |
เตือนรื้อหลังคา-ฝ้า ระวังรับแร่ใยหินแนะลดฝุ่นทำให้เปียกก่อนซ่อมบ้าน http://pics.manager.co.th/Images/554000015664101.JPEG สสส.-คคส.เตือน รื้อกระเบื้องมุงหลังคาบ้าน ฝ้า เพดาน กระเบื้องปูพื้นหลังน้ำลด ระวังได้รับแร่ใยหิน เสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมออกคู่มือให้ความรู้ แนะวิธีป้องกันลดฝุ่นด้วยการทำให้เปียก ใส่หน้ากากที่เหมาะสม แนะเลือกวัสดุใหม่ อย่าลืมดูคำเตือนบนสินค้า รศ.ดร วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบ 60 ปีที่ผ่านมา มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเกือบ 60 จังหวัดทั่วประเทศไทย น้ำท่วมใหญ่ในปีนี้ ทำให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายอย่างมาก ซึ่งหลังจากน้ำลดจะต้องมีการซ่อมแซม สิ่งที่ควรระวังนอกจากเรื่องโรคที่มากับน้ำ ยังต้องให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ ที่ต้องซ่อมแซม โดยพบว่า กระเบื้องมุงหลังคา ฝ้า และกระเบื้องปูพื้นจำนวนมาก มีส่วนผสมของแร่ใยหิน หรือ แอสเบสตอส เป็นส่วนประกอบ การรื้อถอนทุบทำลาย และขนย้าย ทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นแตกกระจาย ทำให้อนุภาคของแร่ใยหินที่อยู่ในวัสดุก่อสร้างฟุ้งกระจายเข้าสู่ปอดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุเกิดโรคอันตรายร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด หรือ เมโสเทลิโอมา รวมทั้งสามารถทำให้เกิดโรคผังผืดปอดอักเสบที่เรียกว่า แอสเบสโตซีสได้ “การรื้อถอน ซ่อมแซมบ้านเรือน อาคารสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีวัสดุที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ จำเป็นต้องมีวิธีการป้องกัน เพื่อไม่ให้ผู้รื้อถอนได้รับอันตรายจากแร่ใยหิน หรือ แอสเบสตอส โดยมีมาตรการสำคัญ คือ 1.ผู้รื้อถอนต้องสวมใส่หน้ากากป้องกันที่เหมาะสม เพราะละอองจากแร่ใยหินมีขนาดอนุภาคที่เล็กมาก หน้ากากโดยทั่วไปไม่สามาถป้องกันได้เพียงพอ 2.ป้องกันไม่ให้เกิดอนุภาคหรือฝุ่นละอองในระหว่างที่มีการรื้อถอน การทุบทำลาย หรือ การขนย้าย โดยอาจทำให้วัสดุที่ต้องรื้อถอนเปียกก่อนเพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นละออง และ 3.คัดแยกเศษวัสดุที่มีแร่ใยหินโดยใส่ถุงเฉพาะ ป้องกันไม่ให้เกิดการแตกหักที่จะทำให้ฟุ้งกระจายเป็นอันตรายและป้องกันไม่ ให้มีการนำมาใช้อีก” รศ.ดร.วิทยา กล่าว รศ.ดร.วิทยา กล่าวว่า สำหรับการเลือกซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้านเรือน ควรเลือกซื้อวัสดุที่ไม่มีแร่ใยหิน เช่น กระเบื้องหลังคา ฝ้า กระเบื้องปูพื้น ผู้ซื้อดูได้จากการที่กระเบื้องหลังคา ฝ้า กระเบื้องปูพื้น ที่มีแร่ใยหิน โดยจะต้องแสดงคำเตือนบนสินค้าว่า “ระวังอันตราย ผลิตภัณฑ์นี้มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ การได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกาย อาจก่อให้เกิดมะเร็งและโรคปอด” ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. กำหนดไว้ หากผู้ขาย ไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ ทั้งจำทั้งปรับ สำหรับผู้ผลิต หรือ ผู้นำเข้า หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ดร.วันทนี พันธุ์ประสิทธิ์ ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดทำคู่มือให้ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการรื้อถอนกระเบื้องซีเมนต์มุงหลังคา ฝ้าเพดาน ฝากั้นห้อง กระเบื้องยางปูพื้น ที่มีวัสดุแร่ใยหินเป็นองค์ประกอบ ผู้ที่สนใจและประชาชนที่ต้องการรื้อถอนอาคาร หรือซ่อมแซมบ้านเรือน สามารถดูข้อมูลได้ที่ www.thaihealthconsumer.org/ และ www.noasbestos.org จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 |
เมื่อมือถือเปียกน้ำ คำเตือนเกี่ยวกับสุขภาพในช่วงน้ำท่วมมีเยอะแยะเลย วันนี้ขอแทรกบรรยากาศว่าด้วยกรณีมือถือตกน้ำป๋อมแป๋ม คุณก็ต้องรู้วิธีบริหารจัดการ เริ่มจากต้องปิดเครื่อง (ซึ่งในกรณีที่เปียกรุนแรงมาก มักจะเครื่องดับเองโดยอัตโนมัติ) จากนั้นให้แกะเครื่องออกเท่าที่จะสามารถใส่กลับเองได้ เช่น หน้ากาก แบตเตอรี่ ซึ่งจุดนี้ช่างระบุว่า หากไม่ถอดถ่านออก โอกาสเครื่องชอร์ตจะมีสูง เมื่อแกะเครื่องออกแล้วให้ใช้ผ้าเช็ด หรือใช้พัดลมเป่า ห้ามใช้ไดร์ร้อนเพราะอาจทำให้เป็นสนิมได้เร็ว และอุณหภูมิที่แปรปรวนมากๆ จะทำให้วงจรมีโอกาสเสียหาย หากเช็ดแห้งแล้วอย่าเพิ่งชาร์จแบตเตอรี่ทันที เนื่องจากวงจรภายในอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับกระแสไฟฟ้า กรณีที่เครื่องเปียกมาก เมื่อเป่าแห้งแล้วให้ส่งช่างซ่อมโดยทันที เพราะส่งซ่อมเร็วเท่าใด ความเสียหายก็จะน้อยลงเท่านั้น. จาก ....................... ไทยโพสต์ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554 |
'ยังมีอยู่' แม้น้ำจะลด 'ภัยในบ้าน' ต้องระวัง 'ยังร้ายแรง' http://www.dailynews.co.th/content/i.../p3thurl23.jpg สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น ตอนนี้พื้นที่ใดยังท่วมกันอยู่ ทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ขอเอาใจช่วย ซึ่งเดลินิวส์เองเราก็ยังอยู่กับน้ำเช่นเดียวกัน ส่วนในพื้นที่ใดที่ท่วม แล้วตอนนี้น้ำเริ่มลดหรือน้ำแห้งแล้ว ก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่ผ่านช่วงทุกข์ไปได้เปลาะหนึ่ง แต่แม้น้ำจะแห้งแล้ว “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็ต้องเตือนภัยกันต่อ ’น้ำลด-น้ำแห้ง“ ก็ ’ยังต้องระวัง“ เหมือนน้ำท่วม เพราะอาจจะ ’ยังมีภัย“ ไม่เว้น ’แม้แต่ในบ้าน“ ทั้งนี้ พูดถึงเรื่องอาคารบ้านเรือน กับสถานการณ์น้ำท่วม แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ภัยน้ำเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องระวัง ต้องตรวจสอบเพื่อความปลอดภัย ทั้งกับภัยจากตัวอาคารบ้านเรือน และภัยที่อาจยังแฝงอยู่ กับ ’ภัยที่อาจยังแฝงอยู่“ ก็ได้แก่... สัตว์อันตราย สัตว์พิษต่างๆ เชื้อโรคต่างๆ อย่างเช่น... จระเข้ แม้ว่าน้ำลดแล้วก็อาจยังนอนแอ้งแม้งซุ่มอยู่บริเวณอาคารบ้านเรือนก็ได้ มิใช่เป็นไปไม่ได้, สัตว์กัดต่อยที่มีพิษแรงอย่าง ตะขาบ แมงป่อง ก็อาจซุกซ่อนอยู่ตามซอกตามหลืบต่างๆ เช่นเดียวกับ งู ที่ถ้าเป็นงูพิษร้ายแรงอย่าง งูเห่า งูจงอาง หรือ งูพิษนำเข้าจากต่างประเทศ อย่างที่เคยมีข่าว เหล่านี้เราระวังไว้ก่อนดีกว่า ส่วนเชื้อโรคต่างๆนั้น บางชนิดช่วงน้ำท่วมว่าต้องระวังแล้ว ช่วงน้ำลดเหลือแค่เฉอะแฉะซึ่งอาจทำให้เราเริ่มวางใจกับสารพัดภัย จริงๆแล้ว ยิ่งต้องระวัง ยิ่งอาจจะสร้างอันตรายให้ได้ง่ายๆ เช่นเชื้อที่ทำให้เกิด ’โรคฉี่หนู-โรคเลปโตสไปโรซิส“ เชื้อมักจะมากับน้ำ และยิ่งเมื่อน้ำลดแล้วยิ่งต้องระวังเพราะเชื้อร้ายนี้มักจะระบาดง่ายจากโคลนตมหรือดินที่ชื้นแฉะ ซึ่งหากใครมีอาการ... เป็นไข้เฉียบพลัน ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง ปวดที่น่องและโคนขา ปวดกล้ามเนื้อหลังและท้อง ตาแดง คอแข็ง เป็นไข้ติดต่อกันหลายวันสลับกับระยะไข้ลด มีผื่นที่เพดานปาก มีจุดเลือดออกตามผิวหนังและเยื่อบุ รู้สึกสับสน ซึม ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะพิษสงของมันนั้นถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้!! และแหล่งอันตรายก็อาจอยู่บริเวณบ้าน-ในบ้าน สำหรับกรณี “ภัยจากตัวอาคารบ้านเรือน” จากชุดข้อมูล “7 ประเด็นความปลอดภัยโครงสร้างอาคารหลังน้ำท่วม” โดย รศ.ดร.อมร พิมานมาศ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมโครงสร้างและสะพาน ก็น่าสนใจ น่าคิดน่าพิจารณามากทีเดียว ซึ่งเนื้อหาเต็ม ๆ นั้นสามารถจะเสิร์ชดูจากในอินเทอร์เน็ตได้ตามหัวข้อที่ว่ามา ส่วน ณ ที่นี้ก็มาดูกันโดยสังเขป เช่น... อาคารบ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม น้ำนั้นมีแรงดัน แรงดันน้ำในระดับความสูงไม่เกิน 2 เมตร หากอาคารก่อสร้างไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม เช่น เสามีขนาดเล็กหรือเสริมเหล็กน้อยเกินไป ก็อาจเสียหายได้, ระดับน้ำท่วมที่สูง 1–2 เมตร อาจทำให้ผนังกำแพงแตกพังทลายได้, คาน เสา ที่มีขนาดเล็กเกินไป เช่น เล็กกว่า 20 ซม. อาจมีปัญหาที่รอยต่อระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่นำมาประกอบกันเป็นโครงสร้าง, โครงสร้างที่แช่น้ำอยู่เป็นเวลานาน เหล็กเสริมอาจเกิดสนิมขึ้นได้ ต้องรีบซ่อมแซม มิฉะนั้นสนิมอาจลามจนแก้ไขไม่ทัน จนเกิดอันตราย ฐานรากอาคารบ้านเรือนที่จมน้ำท่วมอยู่ใต้น้ำ 1-2 เมตร จะเกิดแรงดันน้ำยกบ้านให้ลอยขึ้น โดยเฉพาะหากเป็นบ้านชั้นเดียวที่มีน้ำหนักไม่มาก และไม่ได้ใส่เหล็กเดือยยึดเสาเข็มกับฐานรากเข้าไว้ด้วยกัน อาจทำให้ตัวบ้านลอยเคลื่อนออกจากฐานราก ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก!! ในกรณีที่ตัวบ้านหลุดหรือเคลื่อนจากฐานราก จะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างมากเพราะเท่ากับว่าบ้านไม่ได้รองรับด้วยฐานรากอีกต่อไป จะต้องยกอาคารและทำฐานรากใหม่ ซึ่งทำเองไม่ได้ ต้องปรึกษาวิศวกรที่ชำนาญทางด้านนี้โดยตรง, หาก เสาหักหรือขาด ต้องรีบให้ช่างหาเสาเหล็กหรือเสาไม้มาตู๊โครงสร้างโดยด่วน เนื่องจากเสาที่หักจะรับน้ำหนักไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้น โครงสร้างอาจจะถล่มได้ทุกเมื่อ!! จะต้องรีบปรึกษาวิศวกร การแก้ไขต้องทุบเสาทิ้งและหล่อเสาขึ้นใหม่ ...นี่ก็เป็นโดยสังเขปจากที่ รศ.ดร.อมร แนะนำไว้ ทั้งนี้ นอกจากที่ว่ามาแล้ว ’ภัยหลังน้ำท่วม“ อีกรูปแบบที่ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ต้องเตือน จากที่เคยเตือนช่วงก่อนน้ำท่วมหนักไปแล้วเป็นสื่อแรก ๆ และก็เตือนซ้ำอีกหลายครั้ง นั่นก็คือ ’ไฟดูด-ไฟช็อต“ ซึ่งใครจะเข้าไปดูบ้านเมื่อน้ำลด ก็ต้องระวังไฟฟ้าที่อาจรั่วอยู่ ทั้งในบ้านเราเอง บ้านใกล้เคียง และระหว่างทางเข้าไป ต้องระวังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ตั้งอยู่บริเวณที่ชื้นแฉะ ต้องงดใช้งดสัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าขณะที่ตัวเปียกชื้นหรือยืนอยู่บนพื้นที่ชื้นแฉะ อย่าใช้เครื่องไฟฟ้าที่เสียหายจากน้ำท่วมโดยที่ยังไม่ได้ผ่านการซ่อมแซมจากช่างผู้ชำนาญ ถ้าเปิดใช้งานเครื่องไฟฟ้าแล้วพบว่าเหม็นไหม้ มีเสียงดัง ฯลฯ ให้หยุดใช้ทันที พึงตระหนักกันไว้ว่า น้ำท่วมปีนี้มีคนไทยเสียชีวิตเพราะไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก!! หากไม่ระวังกันให้ดี แม้น้ำจะลดแล้วแต่ตัวเลขก็อาจเพิ่มขึ้นอีก สรุปก็คือ ’น้ำลดแล้ว...แต่ก็ยังต้องระวังภัย“ ’แม้แต่ในบ้าน...ก็อาจจะยังมีภัย“ ต้องระวัง แค่ลื่นตะไคร่หัวฟาดพื้น..ก็อาจตายได้นะ!!!. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์สกู๊ปหน้า1 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 |
บทเรียนดี ๆ ที่สอนลูกจากเหตุการณ์น้ำท่วม .................... ดร.แพง ชินพงศ์ http://pics.manager.co.th/Images/554000015690101.JPEG จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เราคนไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทำให้คนไทยได้รับความเดือดร้อนนับหลายแสนครอบครัว บางครอบครัวต้องประสบกับปัญหาบ้านเรือนเสียหาย หลายคนหมดเนื้อหมดตัวสูญเสียทรัพย์สิน หลายครอบครัวต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัย และกลายเป็นผู้อพยพในแผ่นดินบ้านเกิดของตนเอง และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าไปยิ่งกว่านั้นคือมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้กว่า 600 คน แต่ในวิกฤตการณ์เช่นนี้ ถ้าเราวิเคราะห์กันดีๆ แล้ว เราจะพบว่าในทุกวิกฤติปัญหานั้นมีหลายสิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนสอนใจในเรื่องหลักการดำเนินชีวิตของตัวเราเองและลูกๆ อยู่หลายประการ ดังนี้ 1.การแสดงความเมตตาและความเสียสละต่อเพื่อนร่วมชาติ ท่ามกลางภาวะวิกฤติปัญหาที่มีผู้คนที่ต้องประสบกับความทุกข์ลำบากทั้งไร้ที่อยู่อาศัย ไม่มีอาหารประทังชีวิต สูญเสียทรัพย์สินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้เขียนรู้สึกประทับใจที่ได้เห็นการแสดงความเมตตาของคนไทยด้วยกันในการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละต่อเพื่อนร่วมชาติ เช่น มีการบริจาคเงินช่วยเหลือ มีการนำของใช้และทำอาหารไปแจกแก่ผู้ประสบภัย มีบางกลุ่มออกไปช่วยคนและสัตว์ที่ติดอยู่ในบ้านให้สามารถออกมาได้ หรือตัวอย่างของมหาวิทยาลัยรังสิตร่วมกับชุมชนหมู่บ้านเมืองเอก และชุมชนหลักหกที่เสียสละช่วยปกป้องพื้นที่โดยรอบไม่ให้เกิดน้ำท่วม ซึ่งถือเป็นแนวป้องกันน้ำด่านสุดท้ายก่อนถึงตัวเมืองกรุงเทพมหานคร และมีหลายหน่วยงานและหลายสถานที่ได้เปิดเป็นศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีกด้วย ตัวอย่างดี ๆ เหล่านี้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาสอนลูกในเรื่องของการแสดงความเมตตาและเสียสละต่อผู้อื่น โดยทำให้เห็นเป็นแบบอย่างหรือพาลูกไปลงมือทำเองเลยได้ยิ่งดี 2.การดูแลรักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลอง ผู้เขียนจำได้ว่าคุณครูเคยให้ท่องจำในวิชาสุขศึกษาเมื่อสมัยเด็ก ๆ ว่าห้ามทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะจะทำให้น้ำเน่าและเกิดมลพิษต่างๆต่อคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้มีบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมที่ผู้ใหญ่ทุกคนควรสอน และย้ำเตือนกับเด็กๆทุกคนว่า อย่าทิ้งขยะลงในแม่น้ำลำคลอง เพราะนอกจากจะทำให้น้ำสกปรกแล้ว หากเกิดภัยน้ำท่วมอย่างเช่นคราวนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในการระบายน้ำได้ช้ากว่าปกติเพราะมีขยะไปอุดดันตามท่อระบายน้ำต่างๆ น้ำก็จะท่วมขังเป็นเวลานาน ซึ่งมีแต่ผลเสียทั้งต่อความเป็นอยู่ ต่อสุขภาพร่างกายที่พอน้ำขังนานๆ ก็เน่าเสียเป็นแหล่งเชื้อโรค ทั้งเป็นผลเสียต่อความเป็นอยู่ของสัตว์น้ำต่างๆด้วย ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดของแม่น้ำลำคลองกันให้มากยิ่งขึ้น http://pics.manager.co.th/Images/554000015690102.JPEG ภาพจากเอเอฟพี 3.การนำสิ่งเหลือใช้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในภาวะวิกฤติน้ำท่วม เช่น เสื้อชูชีพ รองเท้ากันน้ำและเรือ ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นมากสำหรับผู้ประสบภัย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะผู้ประสบภัยต้องการ เข้าตำราว่ามีเอาไว้ให้อุ่นใจ ดังนั้นเมื่อมีความต้องการมากจึงทำให้หาซื้อได้ยากและที่สำคัญราคาสูงจนน่าตกใจ หลายคนเกิดความคิดสร้างสรรค์นำวัสดุเหลือใช้ต่างๆรอบตัวมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เช่น ทำเสื้อชูชีพจากขวดพลาสติกเปล่า การเอายางรถยนต์เก่ามาทำเป็นเรือ ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกๆให้เห็นประโยชน์ของสิ่งของเหลือใช้รอบตัว และหัดให้ลูกลองประดิษฐ์สิ่งของต่างๆที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จากวัสดุเหลือใช้ต่างๆดูและนำมาทดลองใช้จริง ก็จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับลูกได้ด้วย 4.การใช้ชีวิตที่ไม่ตั้งอยู่บนความประมาท คุณพ่อคุณแม่ควรจะสอนให้ลูกได้เรียนรู้และยอมรับว่าชีวิตของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอีก 1 วินาทีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้นเราควรสอนลูกๆให้ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ ทั้งสอนให้รู้จักการเตรียมพร้อมกับทุกๆเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย เช่น เมื่อทางการมีการประกาศว่าจะเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติขึ้นเป็นต้นว่าจะมีน้ำท่วมมาก สิ่งสำคัญที่เราต้องทำก็คือการจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยารักษาโรค ไฟฉาย อุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆในการดำรงชีวิตให้พร้อมจะได้ดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยไม่ลำบากแก่ตนเองและไม่ต้องเป็นภาระแก่ผู้อื่น 5.การเรียนรู้ถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ จากเหตุการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยมากขึ้น ทั้งความช่วยเหลือที่มีให้แก่กัน และจากเหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนได้หันหน้ามาพูดคุยกันมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วละแวกบ้านของผู้เขียนจะเป็นลักษณะต่างคนต่างอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมทำให้ผู้เขียนต้องออกไปสังเกตดูปริมาณน้ำที่คลองใกล้บ้าน และไปในบริเวณพื้นที่น้ำท่วมทุกวัน วันละ2-3 ครั้งเป็นอย่างน้อย จึงทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนใหม่อีกหลายคน ซึ่งมีทั้งวัยเดียวกัน ต่างวัย ต่างอาชีพการงาน มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดรวมไปถึงการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกันใน สถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งสำหรับผู้เขียนแล้ว นี่นับเป็นสิ่งดีที่ทำให้คิดถึงวัฒนธรรมรากเหง้าดั้งเดิมของคนไทยที่มีความเป็นมิตร โอบอ้อมอารีต่อกันและกัน ซึ่งมิตรภาพที่ดีเหล่านี้เป็นสิ่งที่ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปสอนลูกได้ เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทยครั้งนี้แม้จะไม่รุนแรงเท่าเหตุการณ์สึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นที่มีผู้เสียชีวิตและสูญหายนับหมื่นคน แต่ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ยืดเยื้อและสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติและคนไทยเป็นอย่างมาก ผู้เขียนจึงขอส่งกำลังใจให้กับพี่น้องเพื่อนผองชาวไทยทุกคนให้ผ่านพ้นภัย พิบัติในครั้งนี้ไปได้ด้วยความอดทนและอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะเป็นเช่นไรเพราะแต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว... คนไทยสู้ๆ !!! จาก ....................... ผู้จัดการออนไลน์ คอลัมน์ Life & Family วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 |
น้ำท่วมก็สวยได้แฟชั่นใหม่ "ถุงน่องลุยน้ำ"...ลืมไปเลย"ชุดหมี" http://i835.photobucket.com/albums/z...s/CheriLon.jpg แฟชั่นน้ำท่วมที่หลายคนคิดค้นประดิษฐ์ประดอยกันขึ้นมาเองบ้าง ซื้อหามาบ้าง ก็สุดแต่ใครจะไขว่คว้า หาชุดกันน้ำมาลุยน้ำท่วม หากสูงเกินเข่ารองเท้าบูท อาจจะกันได้ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงมีชุดกันน้ำที่คิดค้นกันขึ้นมาส่วมใส่ก่อนเดินลุยน้ำท่วมเสมอเอวหรือโค่นขา ฉะนั้นการลุยน้ำแต่ละครั้งก็ต้องเตรียมตัวกันให้พร้อมเสียก่อน เนื่องจากน้ำที่ขังเป็นเวลานานอาจจะเน่าและเหม็นการไปสัมผัสโดยตรงคงไม่ดีแน่ แต่ถ้ามีอะไรมากั้นมากันไว้บ้างก็คงจะดีไม่น้อย แต่ชุดกันน้ำที่มีอยู่ในท้องตลาดส่วนใหญ่จะเป็นชุดหมี...ที่ฟูพองใส่แล้วดูอึดอัดเคลื่อนไหวลำบากน่าดู ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นประดิษฐ์ดัดแปลงชุดลุยน้ำขึ้นมาใหม่ โดยฝ่ายผลิตภัณฑ์เชอรีล่อน บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน) แนะนำไอเดียสู้วิกฤติน้ำท่วมจากเชอรีล่อน เพื่อคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย นอกจากสวยงามแล้วยังสามารถป้องกันเชื้อโรคและความสกปรกต่างๆที่มากับน้ำ อีกทั้งยังคล่องตัวอีกด้วย เริ่มจากการนำถุงพลาสติกยาวมาสวมเรียวขา จากนั้นเพิ่มความกระชับด้วยการสวมถุงน่องเต็มตัวทับอีกชั้น ซึ่งอาจจะเป็นถุงน่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว เนื้อถุงน่องทุกประเภทสามารถนำมาใช้งานได้หมด แต่ขอแนะนำให้ใช้เป็นแบบเนื้อซัพพอร์ทจะให้ผลดีที่สุด เพราะเป็นประเภทที่มีแรงกระชับสูงกว่าประเภทเนื้อเนียนธรรมดา เนื้อถุงน่องจะทำหน้าที่เก็บถุงพลาสติกที่สวมให้แนบเข้ารูปกับเรียวขา ช่วยให้เกิดความคล่องตัว ไม่เกิดแรงต้านขณะเดินลุยน้ำ ซึ่งจะต่างจากกางเกงพลาสติกกันน้ำ ที่จะดูเทอะทะขณะเดินฝ่าน้ำ และต้องออกแรงมากขึ้น ส่วนการลุยฝ่าน้ำในระดับความสูงได้เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับถุงพลาสติกที่นำมาใช้สวม หากน้ำท่วมในระดับที่ไม่เกิน 30 – 40 เซนติเมตร การใช้ถุงพลาสติกหรือถุงก๊อบแก๊บทั่วๆไปที่หาได้ง่าย แล้วสวมทับด้วยถุงน่อง ก็สามารถใช้งานได้ดีเช่นกัน โดยถุงน่องที่ผ่านการใช้งานแล้ว มีการรันหรือขาดบ้าง ก็ไม่มีผลต่อการใช้งานแต่อย่างใด ไอเดียการใช้ถุงน่องลุยน้ำ ยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับช่วงน้ำลด และอยู่ในช่วงที่ต้องทำความสะอาดบ้านเรือน อาคาร ร้านค้า เนื่องจากยังมีสิ่งปฏิกูล หรือเชื้อโรคต่างๆ เช่น ฉี่หนู รวมถึงคราบน้ำมันที่ปนเปื้อนมากับน้ำ ช่วยให้ผิวขาไม่ต้องสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ควรสวมรองเท้าไว้ภายนอก ไม่ควรสวมรองเท้าก่อนสวมถุงพลาสติก เพราะอาจทำให้ถุงพลาสติกขาด และน้ำสกปรกเข้าไปสัมผัสเท้าได้ ฝ่ายผลิตภัณฑ์เชอรีล่อน บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำถุงน่องลุยน้ำ พร้อมถุงพลาสติกจัดเป็นชุดๆ เพื่อมอบให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับได้ที่เคาน์เตอร์เชอรีล่อนเฉพาะ 5 จุด ดังนี้ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลพระราม 2, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน และเดอะมอลล์บางกะปิ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร. 02-294-6999 ต่อ 128, 119 จาก ....................... ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 |
น้ำลดแล้ว...ก็ 'สำคัญ' ฟื้นฟูสังคมไทย 'น้ำใจไทย' จำเป็น!! http://www.dailynews.co.th/content/i.../p3thurl24.jpg ประเทศไทยกำลังจะ ’ก้าวผ่านสถานการณ์มหาอุทกภัย“ ซึ่งหลายพื้นที่น้ำแห้งแล้ว หลายพื้นที่น้ำเริ่มลดแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่น้ำยังท่วมอยู่ และก็อาจจะมีบาง พื้นที่ในภาคใต้ที่น้ำเพิ่งจะท่วม ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใด สถานการณ์น้ำท่วมจะเป็นเช่นไร กับการจะก้าวผ่านสถานการณ์มหาอุทกภัยไปให้ได้จริง ๆ นั้น... มวลน้ำลด-ระดับน้ำลด...อาจมิใช่กุญแจก้าวผ่าน เข้าใจกัน-มีน้ำใจ...สำคัญเฉกเช่นตอนน้ำยังท่วม ทั้งนี้ กับการ “ฟื้นสังคมไทยจากภัยน้ำท่วม” การจะทำให้ “คนไทยหายป่วยจากวิกฤติอุทกภัย” ได้จริงๆนั้น ทางศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) โดย ดร.จิตรา ดุษฎีเมธา ประธานศูนย์ฯ ก็มีข้อเสนอแนะไว้ให้ลองพิจารณา ซึ่งก็น่าสนใจ โดยสรุปคือ... จากภาวะวิกฤติอุทกภัยที่เกิดขึ้นในประเทศไทย การใช้ชีวิตของประชาชนคนไทยต้องอาศัย ’ความเข้าใจซึ่งกันและกัน“ ต้องอาศัยการ ’เอาใจเขามาใส่ใจเรา“ ให้มาก โดยขณะนี้บรรยากาศของภาวะอุทกภัยมีการเปลี่ยนแปลงไป คนที่ตอนนี้รู้สึกโล่งใจได้แล้วว่ายังไงก็ไม่ถูกน้ำท่วม คนกลุ่มนี้น่าจะแสดงน้ำใจต่อคนที่ยังต้องทำใจกันอยู่ ต่อคนที่ยังได้รับความเดือดร้อน ตอนที่ตนเองก็ยังต้องลุ้น...ตอนนั้นจะช่วยใครก็คงไม่ถนัด เมื่อชัวร์ว่าน้ำไม่ท่วมแน่แล้ว...ตอนนี้น่าจะช่วยๆกันได้... สำหรับการช่วย การแสดงน้ำใจนั้น ก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปลุยน้ำเสมอไป ซึ่งทางประธานศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มศว ระบุไว้ว่า... ในช่วงจังหวะวิกฤติอุทกภัยนั้น อาจสร้างโอกาสการทำมาหากินให้ใครหลายๆคน แต่ถ้าโอกาสนั้นเป็นการ “ฉกฉวย” เช่น ขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรม นั่นเป็นการ “ทำลายบรรยากาศการเกื้อหนุนและการแบ่งปัน” ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่เรื่องดีต่อการฟื้นสังคมไทย หากมีการเกื้อหนุนกันแต่แรก...นี่ย่อมจะเป็นเรื่องดี ดีทั้งตอนน้ำท่วม...และตอนฟื้นสังคมหลังน้ำท่วม... ย้อนเวลาไปก่อนหน้านี้ ดร.จิตราระบุไว้ว่า... ในหลายพื้นที่เราจะเห็นเรื่องการกักตุนสิ่งต่างๆ เช่น ทราย ถุงทราย อาหาร ของแห้งต่าง ๆ ซึ่งการที่คนขายของได้กักตุนสิ่งของไว้ โดยใช้หลักอุปสงค์-อุปทาน เพื่อหวังจะหาทรัพย์ให้ได้มากๆจากโอกาสในช่วงวิกฤติน้ำท่วม แสดงว่าไม่ได้คิดให้ยาวๆ เพราะคนที่ต้องฝืนทนจ่ายแพงโดยไม่เป็นธรรม จะจดจำไปในระยะยาว ต่อไปก็จะไม่ซื้อสิ่งของจากคนขายที่เคยฉวยโอกาส เพราะ “เสียความรู้สึก” ไปแล้ว!! ต่อไปคนฉกฉวยขึ้นราคาก็จะขายสินค้าไม่ค่อยได้ ’การขายของให้ได้ใจคน ต้องช่วยกันยามตกทุกข์ได้ยาก และขายโดยมีกำไรตามสมควร เพื่อจะได้คบหา ซื้อขายกันได้อย่างยาวนาน ด้วยความรู้สึกดีต่อกัน“ ...ประธานศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ระบุ พร้อมทั้งยังบอกอีกว่า... การขายสินค้าในภาวะวิกฤติ คนขายควรต้องขายแบบได้กระจายสินค้าให้ลูกค้าหลายๆคน ไม่ใช่เห็นแก่ประโยชน์ ได้เงินเร็ว-ได้เงินมาก ยอมให้ลูกค้าบางคนซื้อตุนเยอะๆ จนลูกค้าคนอื่นๆไม่มีโอกาส ในด้านของคนซื้อสินค้า ถึงตอนนี้หลายๆคนก็คงได้ “บทเรียน” จากการ “ซื้อตุนอย่างตื่นตระหนก” แล้วก็เสียเปล่า ไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่าคุ้มราคา ซึ่งที่เหมาะที่ควรนั้น แม้จะมีกำลังเงิน แต่การใช้เงินก็เป็นเรื่องที่ต้องรอบคอบ ใช้จ่ายให้คุ้มค่า ควรดู-ควรสำรวจก่อนว่าจำเป็นต้องซื้ออะไร จำเป็นต้องจัดการอะไร เครื่องมือเครื่องใช้ชิ้นใดที่จำเป็นต้องซื้อเข้าบ้าน หรือซื้อหาร่วมกัน แบ่งปันกันใช้ในชุมชนเดียวกันได้ หยิบยืมกันได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแบบต่างคนต่างซื้อต่างคนต่างจ่าย ซึ่งจะช่วยให้แต่ละคนในชุมชนไม่ต้องเสียเงินโดยใช่เหตุ ควรมีการแบ่งปันข้อมูล-แบ่งปันสิ่งของกันในชุมชน การจะซื้อข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้น ไม่ว่าจะก่อนน้ำท่วม ขณะน้ำกำลังท่วม หรือในยามที่น้ำเริ่มแห้ง ก็ต้องมีสติ ’อย่าใจร้อนหรือโหมไปตามกระแส“ ซึ่งจะ ’ช่วยลดการกักตุน-การขึ้นราคาสินค้าโดยไม่มีเหตุผล“ ของร้านค้าได้ระดับหนึ่ง ถ้าตื่นตระหนก รีบกักตุน ก็ยิ่งเป็นเหยื่อผู้ฉวยโอกาส ประธานศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มศว ระบุไว้อีกว่า... ตอนนี้การลดราคาสินค้า เช่น อุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน อุปกรณ์ซ่อมแซมเครื่องมือการเกษตร ฯลฯ เป็นสิ่งที่ควรจะทำเพื่อช่วยผู้เดือดร้อนจากวิกฤติน้ำท่วม และในช่วงเวลาที่ประชาชนเดือดร้อนกันมาก องค์กร-หน่วยงานใหญ่ๆ ควรจะมีการทำกิจกรรมซีเอสอาร์ กิจกรรมร่วมรับผิดชอบต่อสังคม โดยช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากวิกฤติน้ำท่วมกันให้มากๆ หรือมีการแข่งขันกันทำ ’การจะช่วยฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้ดีขึ้น สังคมที่บอบช้ำ ผู้คนที่อ่อนล้าหมดสิ้นกำลังใจ จะฟื้นตัวขึ้นได้เร็ว ก็เพราะน้ำใจจากทุกส่วนช่วยกัน“ …เป็นทิ้งท้ายของข้อเสนอแนะ ซึ่งสรุปไว้ที่คำว่า ’น้ำใจ“ ’ฟื้นฟูสังคมจากภัยน้ำท่วม“ เมืองไทยจำเป็นต้องเร่งทำ และ ’น้ำใจไทย“ คือ ’กุญแจสำคัญ“ ที่ ’จำเป็นต้องมี!!“. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์สกู๊ปหน้า1 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 |
ตรวจสอบบ้านหลัง 'น้ำ' ลด ทำความสะอาดหรือต้อง รื้อ! http://www.dailynews.co.th/content/i...111/24/sv4.jpg หลังเกิดมหาอุทกภัย เป็นเหตุให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต้องอพยพออกจากบ้าน เนื่องด้วยมวลน้ำครั้งนี้ ไม่ได้ท่วมเพียงระดับพื้นชั้นล่างเท่านั้น หากยังเข้าสู่ตัวบ้าน ซึ่งบางพื้นที่อ่วมตั้งแต่ชั้นหนึ่งกระทั่งเกือบถึงชั้นสอง คำถามที่ตามมาคือ บ้านที่ทิ้งไปในขณะน้ำท่วมเป็นเวลานานนั้น จะกลับเข้าไปอยู่ได้หรือไม่ และต้องถึงกับรื้อหรือเปล่า? วันนี้ Special Report จะพาไปไขคำตอบกับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเรียนรู้ “วิธีตรวจสอบความผิดปกติของโครงสร้างหลักในบ้าน” รวมถึง “สิ่งที่ควรทำ และต้องห้าม! หลังน้ำลด” อาจารย์ธเนศ วีระศิริ เลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ หรือ วสท. และ อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีชนบท คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยกับเดลินิวส์ออนไลน์ว่า จากประสบการณ์การลงพื้นที่ตรวจสอบน้ำท่วมขังอาคารต่าง ๆ พบว่าอาคารไม้ หรือ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนใหญ่ ไม่ได้รับความเสียหายถึงขนาดรื้อทิ้ง แต่ถามว่ามีหรือไม่ที่พบความเสียหายก็คือมี ดังนั้นวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ หรือ วสท. จึงมีนโยบายที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และระดมวิศวกรอาสา ซึ่งปัจจุบันได้ 173 ท่านแล้ว เตรียมจะเข้าไปช่วยประชาชนตรวจบ้าน ทางด้านวิศวกรรม ไฟฟ้า สุขาภิบาล รวมทั้งโครงสร้าง ฐานราก เพื่อให้ประชาชนมีความสบายใจ หมดความกังวลใจ โดยจะบริการฟรี ตรวจฟรี ภายใต้ “ศูนย์ตรวจสอบอาคารด้านวิศวกรรมหลังอุทกภัย” ทั้งนี้ ขั้นตอนดังกล่าวอยู่ระหว่างรอเวลา ให้เป็นไปตามลำดับ ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ ที่ 080-812-3733 หรือ 080-812-3743 และจะมีการเพิ่มหมายเลขในภายหลัง “สำหรับกรณีน้ำลดแล้ว มีคำแนะนำคือ ก่อนเข้าบ้านควรเตรียมถุงเท้า บู๊ทยาง ถุงมือยาง รวมทั้งหน้ากากป้องกันมลภาวะ เพราะน้ำท่วมขังจะมีการปนเปื้อน เตรียมแว่นตาในลักษณะป้องกันไว้ด้วย รวมทั้งอุปกรณ์ตรวจวัดไฟ เช่น ไขควงวัดไฟ จากนั้น ทำความสะอาดรอบนอกบ้าน กำจัดตะไคร่ ส่วนน้ำที่ยังขังต้องหาทางระบายออก แม้จะเป็นลักษณะท่วมติดพื้น นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือ เมื่อเข้าไปในตัวบ้านแล้ว อย่าแตะสวิทซ์ไฟโดยเด็ดขาด ยังไม่ควรสับคัทเอาท์เชื่อมต่อแม้จะเห็นว่าแห้ง หรือ พยายามทำความสะอาดผิวภายนอกแล้วก็ตาม อย่ามั่นใจว่าข้างในไม่มีน้ำอยู่ ควรตามช่างมาถอดดู เช็ดทำความสะอาดเต้าปลั๊กไฟต่างๆ เพราะหากสับคัทเอาท์จะเกิดการลัดวงจร ทำให้ระบบไฟฟ้าเสียทั้งบ้าน” อาจารย์ธเนศ กล่าว อาจารย์ธเนศ กล่าวต่อถึง หลักทำความสะอาดห้องน้ำ โดยต้องตรวจดูการอุดตัน ล้างท่อระบายน้ำ กำจัดถุงขยะ เศษพลาสติก รวมถึงถุงทรายที่เคยอัดไว้ก่อนออกจากบ้าน จากนั้น กดชักโครกดูว่าน้ำไหลดีหรือไม่ ถัดมา เช็คมิเตอร์น้ำ หากปิดวาล์วแล้วมิเตอร์ยังหมุนแสดงว่าท่อรั่ว อาจมีอะไรกดทับทำให้แตกร้าว หรือ หากเปิดวาวว์แล้วมิเตอร์ไม่ทำงานก็ผิดปกติเช่นกัน พรม ผ้า หรือ โซฟาที่วางอยู่ชั้นล่างถูกน้ำท่วมถึง จะอุ้มน้ำ ต้องนำออกนอกบ้านผึ่งแดด แต่การทำความสะอาดพรมค่อนข้างลำบาก หากไม่มั่นใจควรทิ้ง อย่าปล่อยเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อโรค ต่อมา สังเกตการบวมตัวของฝ้าเพดาน หากบวมให้ตามช่างมาถอดออก ป้องกันเหตุร่วงหล่น จากนั้น ทำความสะอาดพื้น ผนัง เสา แล้วเช็ดให้แห้ง “อย่าลืมตรวจคาน พื้น และผนัง แอ่นหรือไม่ มีรอยร้าวที่ผิดปกติไปจากเดิมก่อนจะออกจากบ้านหรือเปล่า เสาโย้ไหม หากเป็นไม้อาจเกิดลักษณะบวม ปล่อยทิ้งไว้นานเสี่ยงแตกได้ ส่วนกรณีบ้านอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง ให้สังเกตแนวรั้วด้านที่อยู่ชิดแม่น้ำลำคลองว่าโน้มเอียงเข้าหาบ้าน หรือ เอียงออกฝั่งลำคลองหรือไม่ เพราะรั้วมีแนวโน้มจะล้ม จากนั้น สังเกตว่ามีรอยแยกของดินขนานคลองหรือเปล่า เป็นข้อบ่งชี้ว่าดินอาจจะสไลด์ แต่ไม่เสมอไป สำหรับ กรณีบ้านวางอยู่บนเสาเข็ม ให้ตรวจว่าดินฐานรากยุบตัวลง หรือ มีรอยแตกไหม ถ้าไม่มีแสดงว่าเสาเข็มยังรับแรงได้ ดังนั้น หากพบสิ่งผิดปกติข้างต้น ควรติดต่อวิศวกรเข้าตรวจสอบ เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน” อาจารย์ธเนศ ให้คำแนะนำ การตรวจสอบความผิดปกติหลังจากทิ้งบ้านไปนานช่วงน้ำท่วม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นอันดับต้นๆที่ทุกคนควรทำ เพราะโครงสร้างของบ้านอาจได้รับผลกระทบร้ายแรงกว่าที่เราคิดจากปัญหาน้ำท่วม การตรวจสอบอย่างจริงจังและไม่ประมาทจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้บ้านของทุกครอบครัวกลับมาอยู่ได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง จาก ....................... เดลินิวส์ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 |
ยาแนวบ้านด้วยตนเอง หลังน้ำท่วม http://www.dailynews.co.th/content/i...1111/24/h1.jpg หลังจากปัญหาน้ำท่วมค่อยๆลดลง เชื่อว่าหลายครอบครัวคงกำลังตรวจสอบความเสียหายที่บ้านของตนเองได้รับ ซึ่งบ้านหลายหลังที่พังยับเยินอาจต้องเสียเงินซ่อมมากมาย แต่สำหรับใครที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการซ่อมบ้านเอง วันนี้ เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธียาแนวพื้นบ้านด้วยตนเองมาฝาก เริ่มต้นพยายามสำรวจยาแนวทั่วบริเวณบ้านว่ามีส่วนไหนชำรุดบ้าง จากนั้นพยายามขูดยาแนวเก่าหมดสภาพออกให้มากที่สุด ถ้าจะให้ดีต้องขูดลงลึกเท่ากับความหนากระเบื้อง หลังจากขูดแล้ว ล้างทำความสะอาด แล้วปล่อยให้แห้ง เตรียมตัวสู่ขั้นตอนต่อไป หลังจากทำความสะอาดของเก่าจนแห้งแล้ว ก็ไปซื้อยาแนวสำเร็จรูปมาใช้ซึ่งปัจจุบันจะเป็นรูปแบบกันเชื้อราเกือบทั้งหมด ขั้นตอนสำคัญอยู่ที่การผสม ต้องเคร่งครัดกับสัดส่วน และขั้นตอนตามรายละเอียดข้างถุง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามสรรพคุณของยาแนว วิธีการทำ ก็เริ่มจาก หาแผ่นยางขนาดเหมาะมือไว้ปาดยาแนวลงร่อง ลองนึกถึงรองเท้าแตะฟองน้ำ ตัดแต่งให้ใช้งานได้ ถ้าพื้นที่ไม่มากใช้มือปาดเอาก็ได้ แต่อย่าลืมใส่ถุงมือยางเพราะอาจดดนกัดจนมือแตกรอกได้ การปาดไล่ให้เต็มร่องเป็นแนวๆไป ยาแนวอย่างพิถีพิถันลงไปไล่อากาศแล้วล้นขึ้นมา จะได้เต็มร่องไม่โปร่งแล้วจะยุบทีหลัง จากนั้นปล่อยให้เซ็ทตัวรอบแรกประมาณหนึ่งชั่วโมง พอเริ่มแห้งหมาด เตรียมฟองน้ำหยาบชุบน้ำหมาดๆ เช็ดล้างอย่างรวดเร็วบริเวณที่เลอะล้นร่อง ลูบให้เรียบเนียน สม่ำเสมอกัน ทิ้งไว้ให้แห้งโดยใช้เวลาประมาณ2 ชั่วโมง ใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดอีกที สุดท้ายทิ้งไว้ให้เซ็ทตัวเต็มที่ 24 ชั่วโมง ก็จะสามารถใช้งานได้ จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 |
กำจัดยุงตัวร้ายด้วย “ถุงดักยุง” http://www.dailynews.co.th/content/i...11/27/kred.jpg น้ำท่วมขังแบบนี้ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงชั้นเยี่ยม วันนี้แนะนำอีกหนึ่งวิธีในการกำจัดยุงตัวจิ๊ดแต่ฤทธิ์เยอะ ช่วงนี้หลายพื้นที่น้ำท่วม ปัญหาหนึ่งที่แม้ว่าจะดูไม่ใหญ่โต แต่ก็ก่อให้เกิดความรำคาญอย่างใหญ่หลวง นั่นก็คือ ถูกยุงกัด เพราะแหล่งน้ำขังทั้งหลาย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำ ที่จะเจริญเติบโตต่อไปกลายเป็นยุงได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งยุงบางชนิดไม่เพียงแค่ทำให้เราแสบๆคันๆเท่านั้น แต่สามารถเป็นพาหะก่อให้เกิดโรคร้ายแล้วแต่ชนิดของยุง เช่น โรคไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย ไข้สมองอักเสบ โรคเท้าช้าง ฯลฯ เพื่อป้องกันตัวเองและคนที่คุณรักไว้แต่เนิ่นๆ “กรมควบคุมโรค” ได้แนะนำวิธีในการทำ “ถุงดักยุง” มาฝาก โดยอุปกรณ์ที่ใช้ทำ “ถุงดักยุง” นั้น มีไม่มากและหาได้ง่าย คือ ถุงดำ ขวดน้ำพลาสติก และเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ขั้นตอนแรกเป็นวิธีล่อยุง ให้นำเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ใส่ลงไปในถุงดำ แล้วยุงจะได้กลิ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ระเหยออกมาจากผิวหนังมนุษย์แล้วติดอยู่กับเสื้อผ้าเหล่านั้น เสร็จแล้วทำปากถุงให้เป็นลักษณะท่อ โดยใช้ขวดพลาสติกที่เตรียมไว้ หรืออาจจะใช้แกนทิชชู่ก็ได้ เนื่องจากพฤติกรรมโดยทั่วไปของยุงจะชอบบินเข้าที่แคบๆ ขั้นตอนต่อมา เป็นขั้นตอนสำคัญ นั่นก็คือ “การดักยุง” ให้นำถุงที่เตรียมไว้แล้วไปวางไว้ในบริเวณที่มืดๆ ไม่พลุกพล่าน เพียงเท่านี้ เจ้ายุงทั้งหลายก็จะบินเข้ามายังกับดักที่จัดไว้เอง วิธีสุดท้าย “การกำจัดยุง” เมื่อยุงเข้ามาสู่ “ถุงดักยุง” แล้ว ให้ปิดปากถุง แล้วนำไปวางกลางแดดสัก 1-2 ชั่วโมง แสงแดดจะช่วยแผดเผาจนยุงตาย เพียงแค่นี้ก็กำจัดยุงได้แล้ว แถมยังนำอุปกรณ์ทั้งหมดกลับมาใช้ใหม่ได้อีกต่างหาก เป็นวิธีที่สุดแสนประหยัดจริงๆ. จาก ....................... เดลินิวส์ คอลัมน์เกร็ดความรู้ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2554 |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:59 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger