![]() |
พอเห็นข้าวเกรียบว่าวร้อยเป็นพวง ได้แต่ดู ไม่กล้าซื้อทานอีก เพราะเกรงจะไม่อร่อยเหมือนข้าวหลามจิ๋ว http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4382fe55.jpg ส่วนมะพร้าวอ่อนนี่ ก็คงจะเปรี้ยวเหมือนที่เคยลองมาแล้วที่วัดเจดีย์พันองค์...ขอผ่านไปเฉยๆดีกว่าค่ะ.... http://i1198.photobucket.com/albums/...psda5981ef.jpg |
เราจากวัดบัวเข็มมา ด้วยความอิ่มเอิบใจ... โดยได้มีดเหล็กตีด้วยมือคมกริบ พร้อมปลอกไม้สวยงาม เป้นของที่ระลึกเพียงชิ้นเดียวจากทะเลสาบอินเล... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps59dbeeaa.jpg |
กว่าจะได้กลับมาอ่านอีกที เนื้อหาเพิ่มมาเยอะมาก 17 หน้าแล้ว พี่สองสายต้องสลับกันมาลงรูปพร้อมคำบรรยาย ขอบคุณครับ
|
แห่ะๆ...เราแบ่งหน้าที่กันค่ะ น้องเด็กน้อย....พี่จ๋อมทำภาพ พี่น้อยเขียนและลงภาพ แต่ช่วงไหนที่พี่น้อยไม่ได้ไปด้วย อย่างตอนปีนขึ้นเขา พี่จ๋อมก็มานั่งเล่าเรื่องและลงภาพแทน ถ้าเป็นสมาชิกและ log in...สามารถจะเข้าไปเปลี่ยนจำนวนโพสในแต่ละหน้าได้ เช่น พี่น้อยตั้ง 30 โพส ต่อหนึ่งหน้า จำนวนหน้าก็จะลดลงเหลือ 8 หน้า จาก 16-17 หน้า เป็นต้นค่ะ... |
วัดแมวกระโดด หรือแมวลอดบ่วง (Nga Phe Chaung) จากวัดบัวขวัญ....เรือพาเราย้อนกลับไปทางเหนือ ไม่นานนักก็เลี้ยวขวาผ่านดงผักตบชวาและไม้น้ำต่างๆ เข้าสู่ทางน้ำเล็กๆ ที่ด้านหนึ่งบ้านไม้หลังใหญ่ๆหลายหลัง ไม่แน่ใจว่าเป็นโฮมสเตย์หรือไม่ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps1eca4996.jpg ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นสวนมะเขือเทศลอยน้ำ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps9ecb3dd8.jpg บ้านเก่าๆหลังนี้ มีสะพานข้ามคลองอยู่หน้าบ้าน หลังบ้านเป็นสวนมะเขือเทศกว้างใหญ่ มีคนนั่งคุยกันอยู่บนสะพาน ดูมีความสุขมากค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...pscf389a1d.jpg |
เลยจากบ้านหลังใหญ่ๆที่ปลูกอยู่เป็นแถว เป็นลานน้ำกว้างขวาง เรือนไม้เก่าๆหมู่ใหญ่ปลูกคร่อมอยู่ในน้ำ มีเรือจอดอยู่หลายลำ คนมากมายเดินขึ้นลงจากเรืออยู่ขวั่กไขว่ คนขับเรือของเรามารยาทดีมาก จอดเรือลอยลำอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เรือลำแล้วลำเล่าเข้าไปจอดเรือรับและส่งคน น้องอาร์ตบอกว่า นี่คือ วัดแมวกระโดด/แมวลอดบ่วง หรือ วัดง๊ะเพจวง (Nga Phe Chaung) |
พอมีที่ว่างให้เรือจอดแล้ว...พ่อคนขับเรือของเราจึงค่อยๆขยับเรือเข้าไปจอดเที่ยบท่าวัดแมวกระโดด...ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือไหนๆ เรามักเป็นเรือลำสุดท้ายที่เข้าเทียบท่า และเป็นลำสุดท้ายที่ออกจากท่าเสมอ... |
วัดแห่งนีมีศาลาไม้เก่าแก่อายุร้อยกว่าปีเพียงหลังเดียว ไม้ที่ใช้สร้างวัด เป็นไม้แผ่นใหญ่ๆ ที่หาได้ยากแล้วในปัจจุบัน ส่วนที่วัดนี้ได้ชื่อว่า "วัดแมวกระโดด หรือ แมวลอดบ่สง" นั้น เป็นเพราะในอดีตวัดนี้มีแมวมาอาศัยอยู่มากมาย และเจ้าอาวาสที่วัดนี้ ก็สอนให้แมวกระโดดลอดห่วงให้นักท่องเที่ยวชม ปัจจุบันนี้ เหลือแมวไม่กี่ตัว (สายชลเห็นอยู่สามตัว) และไม่มีแมวมากระโดดให้เราชมแล้ว แต่ที่นี่กลับมีคุณค่ามาก ในแง่เป็นที่เก็บบุษบกไม้ที่ใช้ประดิษฐานพระพุทธรูป ที่มีอายุเก่าแก่ไว้เป็นจำนวนมาก และมีองค์พระพุทธรูปเก่าแก่ที่ล้วนงดงามทรงคุณค่าอย่างยิ่ง |
จากข้อมูลที่ค้นได้ พบว่า.... "บนศาลาของวัดแห่งนี้ มีพระพุทธรูปหลายขนาดเรียงรายอยู่รอบๆศาลา พุทธลักษณะสง่างาม ผอมบาง คิ้วโค้งเรียว อันเป็นลักษณะของพระพุทธรูปตามความเชื่อของคนในรัฐฉาน เรียกพุทธลักษณะอย่างนี้ว่า Jumpudirit Style ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ มีมงกุฎและสายคาดเอวที่อลังการด้านหน้าของพระพุทธรูป อันมีเรื่องเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้แสดงให้กษัตริย์ Jumpudirit ตระหนักว่าเครื่องนุ่งหามที่อลังการเป็นเพียงสิ่งลวงตาเท่านั้น ชนชาวฉาน มีชื่อเสียงในการทำเครื่องเขินด้วยไม้ รวมถึงการสร้างพระพุทธรูปด้วย พระพุทธรูปของรัฐนี้ไม่ว่าจะใหญ่โตแค่ไหนจึงมีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่าพระพุทธรูปสำริดแบบที่เราเห็นทั่วไป" หมายเหต: ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php...oup=71&gblog=9 |
เสียดายที่ในตัววัดแมวกระโดดมืดมาก เพราะเปิดไฟไว้ไม่กี่ดวง จึงเป็นการยากที่จะถ่ายภาพมาก เราเดินชมอยู่ได้ไม่นานนัก ก็ออกมายืนพูดคุยกันอยู่ที่ระเบียงหน้าวัด http://i1198.photobucket.com/albums/...ps11f2ce9c.jpg คุณผู้หญิงท่านนี้ คงเหนื่อยและเพลียอย่างหนัก เลยนอนหลับสบายอยู่ในเรือ ไม่สนใจจะขึ้นไปชมวัด หรือผู้คนที่ยืนกันอยู่ดูบนระเบียงวัด และกำลังมองเธอด้วยความอิจฉา http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7390890a.jpg |
ที่ระเบียงวัดแมวกระโดด เราเห็นสวนมะเขือเทศลอยน้ำ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก เพราะมีไม้ลักษณะเหมือนรั้วกั้นอยู่ เราอยากจะเข้าไปเดินดูใกล้ๆ แต่ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้า....เวลาหมด หมดเวลา เราจะต้องกลับเข้าฝั่งกันแล้วค่ะ |
หลังออกจากวัดแมวกระโดด.... เรือพาเราแล่นกลับไปที่ท่าเรือ ระหว่างทาง เราผ่านกลุ่มเรือของชาวประมงของแท้ ที่เมื่อเช้าช่วยกันวางตาข่ายจับปลาขวางทางน้ำอยู่อย่างขมักเขม้น เมื่อเราผ่านมาอีกครั้งในยามเย็น ชาวประมงเหล่านั้น ก็ยังลอยเรืออยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้ พวกเขาง่วนอยู่กับการใช้ไม้พายฟาดน้ำโครมๆจนน้ำกระจาย อยู่บนเรือที่กระจายเป็นหน้ากระดานสับหว่างกันสองแถว โดยหันหัวเรือไปทางตาข่ายที่เขาขึงขวางทางน้ำอยู่ น้องอาร์ตเล่าว่า...พวกชาวประมงกำลังใช้พายฟาดน้ำ เพื่อให้เกิดเสียงดัง ปลาตกใจก็จะพากันว่ายไปติดตาข่ายที่เขาขึงขวางไว้ เป็นการหาปลาที่ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาลจริงๆ |
ตีน้ำจนกระจายอย่างนี้ จนไปถึงตาข่าย...จากนั้นก็หยุดตีน้ำ หันมาดึงตาข่ายขึ้นจากน้ำ ทีนี้จะได้ปลามากน้อยเพียงใด ก็คงขึ้นอยู่กับดชคชะตา ทั้งของปลาและของชาวประมงเองแล้วล่ะค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps0e7ff247.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps95254f7b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psbf42c482.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps3e640030.jpg |
ในระหว่างที่นั่งดูชาวประมงหาปลาอยู่นั้น... สายตาของสายชลก็เหลือบไปเห็นที่เชิงเขาริมทะเลสาบ ที่ต้นไม้ถูกถากถางจนราบเรียบ และดินก็ถูกขุดปรับเป็นที่ราบเป็นชั้นๆ น้องอาร์ตบอกว่า ที่นี่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า จะกลายเป็นที่ตั้งโรงแรมขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ทางการพม่าได้ให้สัมปทานกับบริษัทต่างชาติไปเรียบร้อยแล้ว ฮวงจุ้ย “หัวมังกรภูเขา...หน้าน้ำหลังภูเขา” อย่างนี้นี่เอง ที่คนที่เชื่อถือเรื่องฮวงจุ้ยถวิลหา คาดว่าจะเป็นโรงแรมที่ยิ่งหใญ่สง่างาม อากาศดี ทิวทัศน์สวยงามที่สุดของพม่าในอนาคต |
มีเรือโดยสารหลายลำ บรรทุกนักท่องเที่ยวฝรั่ง พร้อมกระเป๋าสัมภาระ วิ่งสวนเราไป เข้าใจว่าคงเข้าไปพักที่รีสอร์ตหรูกลางน้ำในทะเลเสาบอินเล http://i1198.photobucket.com/albums/...psf44be052.jpg เรือบรรทุกกล่องบรรจุมะเขีอเทศ...ผลผลิตของอินเล แล่นแซงเราไป มะเขือเทศของอินเลส่งไปขายทั่วพม่า ทั้งหมดเป็นมะเขือเทศเขียว เพื่อไม่ให้สุกจนเน่าเสียก่อนจะถึงมือลูกค้า http://i1198.photobucket.com/albums/...psf15e64bc.jpg กลางลำน้ำ มีเรือเก็บผักตบชวา วัชพืชที่รบกวนการเดินเรือ เป็นปัญหาที่ยากที่กำจัดให้หมดไปจาทะเลสาบ ลืมถามน้องอาร์ตไปว่า คนที่นี่ได้ใช้ประโยชน์จากฝักตบชวาที่มีอยู่มากยบ้างหรือไม่ http://i1198.photobucket.com/albums/...pseabe3bf2.jpg ต้นอ้อริมฝั่งน้ำยังขึ้นเต็มขอบของทะเลสสาบ http://i1198.photobucket.com/albums/...psa3f9a949.jpg |
ฉันอดสงสารไม่ได้ ที่เห็นชาวประมง(ปลอม) รีบขมีขมันพายเรือด้วยเท้า ทันทีที่เรือของเราโฉบไปใกล้ๆ พอเรือของเราผ่านไป ก็ลงนั่ง...เขาคงจะเหนื่อย เพราะต้องยืนพายเรือตั้งแต่เช้าจนเย็น....ทนอีกนิดนะคะ เดี๋ยวก็เลิกงานพายเรือโชว์ ได้กลับบ้านแล้ว |
สี่โมงเย็น...เราก็กลับเข้าท่าเรือยองชเว ต้องรีบกลับ เพราะดูเหมือนฝนใกล้จะตก และตลาดขายสินค้าพื้นเมืองของยองชเวจะปิดตอนห้าโมงเย็นค่ะ...โชคดีที่เราไปทัน ก่อนที่ตลาดจะปิด เลยได้ซื้อผ้าซิ่นสวยๆราคาไม่แพงนักมาหลายผืน หลังจากช้อปปิ้งเสร็จ เราได้ไปทานอาหารพื้นเมืองที่อร่อยมาก เสร็จแล้วก็กลับไปนอนสลบไสลที่ห้องพักในโรงแรม Goldstar ระดับ 3 ดาว ที่เล็กๆแต่สะอาดสะอ้าน http://i1198.photobucket.com/albums/...psd363f984.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps92bc47c8.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psc63fec64.jpg |
วันที่ 5...Nyaungshwe - Pindaya - Mandalay เช้าวันใหม่ ที่อากาศเย็นสบาย แม้ท้องฟ้ายามเช้าจะไม่สดใสนัก แต่เราก็รู้สึกสบายใจสบายกาย อาจจะเป็นเพราะได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่นั่นเอง วันนี้เรามีโปรแกรมจะออกจากเมืองยองชเว เพี่อมุ่งหน้าไปเมืองพินดายะ (Pindaya) ที่มีวัดถ้ำที่มีวัดชื่อเดียวกับเมือง ซึ่งมีชื่อเสียงว่ามีพระพูทธรูปมากมายในถ้ำ จากนั้นก็จะทานข้าวเที่ยงแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองมัณฑะเลย์ วัดชเวยันเป (SHWE YAN PHE) หลังอาหารเช้าที่โรงแรมในเมืองยองชเวแล้ว... 7 โมงเช้า ล้อรถบัสของเราก็เริ่มเคลื่อนออกจากโรงแรม เมื่อพ้นเมืองยองชเวไปได้นิดเดียว รถบัสก็เข้าจอดที่หน้า วัดชเวยันเป (SHWE YAN PHE) ซึ่งแปลว่า "สมปรารถนา" ซึ่งเป็นวัดที่มีศาลาที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง โดยผู้สร้างเป็นเจ้าฟ้าไทยใหญ่ เมื่อกว่า 115 ปีที่แล้ว ศาลาไม้ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน ยังมีสภาพที่ดีและสวยงาม.... |
จุดเด่นของ วัดชเวยองเป ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวก็คือ ที่หน้าต่างทรงไข่ของศาลาวัด จะมีสามเณรน้อยที่มารอศึกษาพระธรรม นั่งโผล่หน้าออกมาดูนักท่องเที่ยวที่เดินมาเที่ยวชมวัด... น่ารักน่าเอ็นดูมากค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...ps8a61594c.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps1ac1d157.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psdb3f4fd6.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7f5e3e78.jpg |
อริยาบถของเณรที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มีเสน่ห์ชวนมองอย่างยิ่งค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps8a579138.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pseac006bf.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps703ec0cf.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps033bfe6a.jpg |
เณรรูปนี้ ท่าทางจะอายุน้อยสุดค่ะ...ท่าทางเศร้าสร้อย คงคิดถึงโยมพ่อโยมแม่ http://i1198.photobucket.com/albums/...pse1d7d002.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps6117da47.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps4ff0c2fa.jpg |
|
ภายในศาลา เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปแบบไทยใหญ่ที่งดงามมาก ทั้งเพดานและฝาผนังทำด้วยไม้สลักเสลาด้วยฝีมือประณีตสวยงาม... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps3efc1d9a.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps42f26c9e.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps38d27c40.jpg |
ความงดงามของศาลาวัดแห่งนี้ ทำให้เราอดใจไม่ได้ ต้องขอถ่ายภาพทั้งด้านในด้านนอกไว้เป็นที่ระลึก http://i1198.photobucket.com/albums/...ps6647c37c.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps65d243c5.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps27fd6955.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psfb392d2b.jpg |
ข้างศาลาไม้สักที่เก่าแก่ทรงคุณค่า...มีเจดีย์สีทองสูงตระหง่าน ที่ฐานด้านล่างเป็นอาคารจตุรมุข http://i1198.photobucket.com/albums/...ps17f347f0.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps5ccf8b4c.jpg เมื่อผ่านประตูที่อยู่ใต้ฐานเจดีย์เข้าไป จะพบกำแพงปูนสีชมพูสดใส มีภาพสลักพระพุทธเจ้าประดับแก้วแวววาว มีช่องบรรจุพระพุทธรูปเล็กๆหลายองค์ และประดับประดาด้วยกระจกสี ลวดลายต่างๆสวยงาม http://i1198.photobucket.com/albums/...ps3948144d.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psb1bd09de.jpg |
ฐานขององค์เจดีย์ที่เป็นจตุรมุข ทำทางเดินเชื่อมต่อกันโดยรอบทั้งสี่ด้าน เพดานโค้งเหมือนอุโมงค์ แต่ละมุขมีพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่นักวางอยู่เป็นชั้นๆ http://i1198.photobucket.com/albums/...psdfabbf5d.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps5aae84db.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps2a2a100c.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps07d45f26.jpg |
ตามผนังทำเป็นช่องๆเรียงรายเป็นชั้นๆ สีสันสวยงามสดใส ในแต่ละช่องบรรจุพระพุทธรูปเล็กๆไว้ทุกช่อง ในแต่ละมุข จะมีสีสันและลวดลายของปูนปั้นที่ต่างกันออกไป http://i1198.photobucket.com/albums/...ps345d287d.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps7a145b3a.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psc0bd0344.jpg |
ทั้งผนังและพื้นระเบียง สีสันและลวดลายงดงามจนน่าทึ่งมากค่ะ....แต่ ขัดหูขัดตาท่อพีวีซีสีฟ้าอ๋อยที่ใช้ร้อยสายไฟบนเพดานอุโมงค์จริงๆเลยค่ะ... http://i1198.photobucket.com/albums/...psb2736495.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psdfe5ca1e.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps31ec75e5.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps534b4a92.jpg |
เมื่อเราเดินออกมาจากวัด ก็เดินสวนกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดูทุกคนสนใจจ้องจะถ่ายภาพเณรในช่องหน้าต่างที่เป็นไฮไลท์...น่าเสียดาย เณรหายไปเรียนพระธรรมหมดแล้วค่ะ http://i1198.photobucket.com/albums/...psb283381c.jpg |
ที่หน้าวัดมีร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆมากมาย....เสียดายที่คนขายบอกราคาสูงเสียจนเราหมดอารมณ์ ที่จะต่อรองราคา... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps37cc6061.jpg |
ระหว่างทางจากเมืองยองชเวไปยังเมืองพินดายะ จากวัดชเวยันเป เมืองยองชเว รถบัสวิ่งขึ้นเหนือ แล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นทางหลวงสายที่ 4 ที่เมืองชเวยอง จากนั้น มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ไม่นานนักก็ถึง เมืองเฮโฮ (Heho) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งสนามบินภายในประเทศเล็กๆ หากใครจะบินมาเที่ยวเมืองยองชเวและทะเลสาบอินเล ก็จะบินมาลงที่สนามบินเฮโฮ แล้วต่อรถยนต์มาที่เมืองยองชเวและทะเลสาบอินเลได้... http://i1198.photobucket.com/albums/...psaa01c82a.jpg จากเมืองเฮโฮ เราใช้ถนนสายเล็กๆ ที่ดูเหมือนทางหลวงชนบท เพื่อลัดเลาะไปยัง เมืองพินดายะ (Pindaya)....ระหว่างทางเราผ่านไร่นาและสวนไม้ดอกที่สวยงาม ไปตลอดทาง http://i1198.photobucket.com/albums/...psfa7030e6.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps296e560b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...pse91dc204.jpg |
ในท้องถิ่นนี้...ไกด์บอกว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อย ที่มีมากหน่อยก็เป็นชนเผ่าดานุ (Danu) นอกจากนี้ยังมีชนเป่าปะโอ ปะหล่อง และต่องโย พืชไร่ที่ปลูกส่วนมากจะเป็นกะหล่ำปลี ข้าวโพด ผลไม้เมืองหนาว และที่เห็นมากคือทุ่งไม้ดอกสีเหลือง ซึ่งไกด์ของเราบอกว่าเป็น ดอกมัสตาด แต่ดูๆไป นอกจากดอกมัสตาดแล้ว สายชลลองหาข้อมูลดูแล้วน่าจะมีทุ่ง ดอกเมเมียว หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Black-eyed susan หรือ Prairie Sun (Rudbeckia hirta) ที่มีลักษณะคล้ายดอกเบญจมาศ แต่ดอกจะเล็กกว่าและกลีบดอกมีชั้นเดียว (ดูเผินๆก็คล้ายกับดอกบัวตอง แต่ต้นเล็กกว่า และใบไม่เหมือนกัน) หมายเหตุ: ดูรายละเอียดเกี่ยวกับดอกไม่ชนิดนี้ ได้จาก ....https://www.google.co.th/search?q=ru...cQ_AUoAA&dpr=1 |
พวกเรากรี๊ดกร๊าดกับความงามของทุ่งดอกไม้สีเหลือง ที่อยู่สองข้างทาง จนน้องอาร์ตทนไม่ได้ บอกให้คนขับจอดรถ และให้เราลงไปถ่ายภาพทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่ามได้อย่างใกล้ชิด.... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps5a3e49a2.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps2477fa40.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps81e65202.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psde5cebaa.jpg |
ขอภาพตัวเองกับทุ่งดอกไม้หน่อยนะคะ.... ทั้งให้บัดดี้ถ่ายภาพ รวมทั้งถ่ายภาพบัดดี้และตัวเอง... http://i1198.photobucket.com/albums/...ps8433333b.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...psdc408173.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps13160efd.jpg |
สายชลสังเกตเห็นกล่องที่ใช้ใส่รังผึ้งวางเรียงรายอยู่ใกล้ๆทุ่งดอกไม้หลายแห่ง เมื่อถามน้องอาร์ตจึงได้ความว่า กล่องใส่ผึ้งพวกนี้ ถูกคนเลี้ยงผึ้งนำมาวางไว้ เพื่อให้ผึ้งดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้มาสร้างรังผึ้ง เมื่อได้น้ำผึ้งมากพอแล้ว ก็จะนำรังผึ้งในกล่องมาบีบน้ำผึ้ง เมื่อดอกไม้ที่นี่แห้งเหี่ยวหรือถูกตัดไปแล้ว ก็จะย้ายกล่องใส่ผึ้งไปอยู่ที่ทุ่งดอกไม้อื่นต่อไป... |
ทางที่ไปเริ่มแคบลงแคบลง ซ้ำยังเป็นหลุมเป็นบ่อ มีการซ่อมแซมถนนและสะพานเป็นระยะๆ และมีวัวและเกวียนมาใช้ถนนร่วมกับรถของเรา....นี่มันถนนวัวเดินหรือเปล่าคะ...??? |
น้องอาร์ตและน้องอุ๋ยอนุญาตให้เราลงไปถ่ายภาพงามๆได้อีกครั้งสองครั้ง...นอกนั้น เราต้องใช้วิธีถ่ายภาพผ่านกระจกรถเอาเอง ซึ่งภาพออกมาดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะรถกระเด้งกระดอนโยกไปโยกมาตลอดเวลา ตามสภาพถนนสายนี้ ที่ค่อนข้างจะขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ และฝุ่นฟุ้งตลบอบอวล...แต่ทุกคนก็ดูจะมีความสุขสนุกสนานและเพลิดเพลินเจริญใจ กับการเดินทางบนถนนสายนี้ ที่สองข้างทางช่างมีสีสันสวยงาม และมีวิถีชีวิตผู้คนที่น่าสนใจให้ได้ชมไปตลอดทาง... |
พินดายา (Pindaya) ราว 11 โมงเช้า...รถบัสของเราก็วิ่งถึง เมืองพินดายา หรือพินดายะ (Pindaya) ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1183m รถวิ่งผ่านทะเลสาบเล็กๆ ที่ชื่อ โพน ทา โลเก (Pone Ta Lote Lake) ซึ่งน่าจะเรียกว่าหนองน้ำหรือบึงน้ำน่าจะเหมาะกว่า ด้านหลังทะเลสาบเป็นทิวเขาเตี้ยๆ เห็นมีวัดอยู่ข้างบน น้องอาร์ตบอกว่านั่นคือ วัดพินดายะ ที่เรากำลังจะไปไหว้พระพุทธรูปในถ้ำ ที่มีอยู่ถึง 8094 องค์ พินดายาเป็นเมืองหนึ่ง ในเขตตองยี รัฐฉาน จริงๆแล้วเมืองพินดายะอยู่ห่างจากเมืองเฮโฮเพียง 60 กม. แต่ความที่ถนนไม่ดี เราจึงเสียเวลาไปถึงสองชั่วโมง รถค่อยแล่นราบเรียบผ่านถนนแคบๆกลางเมืองพินดายะ ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน มีทั้งที่วุ่นอยู่กับการขายของและซื้อของ รถวิ่งผ่านเมืองไปบนถนนที่ฝูงชนเบาบางลงเรื่อยๆ ไม่นานก็วิ่งขนานไปกับทะเลสาบที่อยู่ทางด้านซ้ายของถนน และมีต้นไทรอินเดียที่ต้นสูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปกว้างไกลจากต้น ที่ถูกปลูกมานานหลายปีสองข้างเส้นทาง วิ่งไปได้ราวกิโลเมตรเศษๆ รถเริ่มไต่ขึ้นไปบนทางลาดชัน จนเกือบถึงยอดเขา อันเป็นที่ตั้งของวัดถ้าพินดายะ รถก็วิ่งไปต่อไมได้ เหตุเพราะมีรถมากมายจอดกันแน่นลานจอด คนก็เดินกันเต็มไปหมด เราต้องลงจากรถเพื่อปีนขึ้นไปที่วัดต่อ เมื่อมองขึ้นไปจากที่รถจอด มันสูงไม่ใช่เล่น เราจะปีนขึ้นไปไหวหรือนี่ น้องอาร์ตและน้องอุ๋ยรีบบอกเราว่า มีลิฟท์ขึ้นไป ไม่ต้องเดินขึ้นเอง http://i1198.photobucket.com/albums/...ps9ffc2c55.jpg แต่จากจุดจอดรถไปจนถึงลิฟท์ เราก็ต้องเดินขึ้นเนินไปไกลทีเดียวค่ะ จะเลือกเดินตามทางลาด หรือบันไดก้าวกว้างๆเตี้ยๆ มีหลังคากันฝนกันแดด ก็เลือกได้ตามสบาย... http://i1198.photobucket.com/albums/...psba36495e.jpg สองสายเลือกเดินทางลาดที่ไม่ค่อยมีคนเดินยัดเยียดเบียดเสียด แต่กว่าจะไปถึงตรงจุดที่เรานัดพบกันก่อนจะไปขึ้นลิฟท์ได้...สองสายก็ถึงกับหอบแฮ่กๆ... http://i1198.photobucket.com/albums/...psd44c4361.jpg |
กว่าจะเดินไปถึงที่จุดนัดพบ... เพื่อนๆร่วมคณะได้ถ่ายภาพหมู่กันไปเรียบร้อยแล้ว เราเลยได้แต่ถ่ายภาพรูปปั้น แมงมุมยักษ์ เจ้าชาย เจ้าหญิง อันเป็นตำนานต้นกำเนิดที่มาของชื่อเมืองพินดายะ ที่เล่าขานต่อๆกันมาว่า "เจ้าหญิง(บางตำราก็บอกว่าเป็นนางฟ้า)ที่มีพระสิริโฉมงดงาม 7 องค์ ได้เสด็จประพาสเที่ยวเล่นอยู่แถวทะเลสาบ จากนั้นทรงปีนเขาขึ้นไปจนถึงถ้ำ ที่อยู่บนเขาไม่ไกลจากทะเลสาบนัก จึงถูกแมงมุมยักษ์ที่อาศับอยู่ในถ้ำจับไว้เพื่อจะกินเป็นภักษาหาร เจ้าหญิงองค์อื่นๆถูกแมงมุมจับกินหมด เหลือองค์สุดท้ายที่กำลังจะถูกจับกิน แต่เผอิญมีเจ้าชายองค์หนึ่งได้เสด็จผ่านมาช่วยเจ้าหญิงไว้ได้ โดยได้ทรงยิงธนูฆ่าแมงมุมยักษ์จนตาย ต่อมาเจ้าชายได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง และครองเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบคู่กันเรื่อยมา จนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ต่อมาเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่า เมืองพินดายา (Pindaya) ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า “Pinguya” ซึ่งแปลว่า “Taken the Spider” หรือ “ฆ่าแมงมุม” นั่นเอง ส่วนถ้ำที่แมงมุมอาศัยอยู่ ถูกเรียกว่า "ถ้ำพินดายา” สืบมาจนถึงทุกวันนี้" ข็อมูลจาก.... http://sg.ask.com/web?q=pindaya&site...semA&an=yahoo_http://....http://www.inspirationmya...p?page=pindaya และ http://inlelake-myanmar.com/pindaya.html แต่สมัยนี้...ทั้งพระ ทั้งหนุ่มสาว เฒ่าชรา ไม่มีใครกลัวแมงมุมยักษ์เลยสักคนเดียว ที่เห็นแล้วมึนก็คือ มีคณะสงฆ์พม่าขึ้นไปยืนถ่ายภาพหมู่กับแมงมุมยักษ์ แล้วก็มีสาวเจ้าตามขึ้นไปยืนถ่ายภาพแนบชิดติดกับแมงมุมยักษ์ สูงกว่าที่พระสงฆ์องค์เจ้ายืนกันอยู่ก่อนหน้า... |
ก่อนจะเดินขึ้นไปยังถ้ำ...เราต้องถอดรองเท้าใส่ถุงผ้าแล้วสะพายเดินไปด้วย หากทิ้งไว้อาจจะหายได้ จากนั้น เราก็เตรียมตัวไปไหว้พระกันเต็มที่ แต่น่าขำ เพราะแทนที่เราจะเดินไปขึ้นลิฟท์ เรากลับพากันปีนบันไดที่สูงชันขึ้นไปแทน เดินไปพักไป จนถูกเจ้าถิ่นทั้งเด็กเล็กและเฒ่าชะแรแก่ชราเดินแซงขึ้นไปหมด เราลืมนับไปค่ะว่าบันไดมีกี่ขั้น แต่กว่าจะถึงหน้าปากถ้ำ คิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยขั้นแน่ๆค่ะ...เหนื่อยแทบขาดใจ http://i1198.photobucket.com/albums/...psa281ae9c.jpg แต่พอถึงปากถ้ำแล้วก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เพราะที่นั่นอากาศเย็นสบายเหมือนติดแอร์ มีพระพุทธรูปงามๆมากมายประดิษฐานซ้อนๆกันหลายชั้น สูงขึ้นไปตั้งแต่พื้นถ้ำจนจรดเพดานถ้ำ...ช่างงามเหลือเกิน http://i1198.photobucket.com/albums/...ps0af1ce74.jpg http://i1198.photobucket.com/albums/...ps84f77752.jpg |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:14 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger