มองออกไปด้านล่างซ้ายมือ มองเห็นบึงน้ำใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยสวนยางพารา ถ้าไปอ่านบทความหรือสารคดีเก่าๆ มักจะบอกว่า ด้านนี้ของภูทอกน้อย จะเป็นป่าหนาทึบ มีสิงสาราสัตว์อาศัยอยู่มากมาย..แต่ขณะนี้..มองๆไป ไม่เห็นภาพเช่นนั้นอีกแล้วค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_24.jpg ที่ยังพอจะมองเห็นได้ เห็นจะเป็นภูทอกใหญ่ ซึ่งตั้งตะหง่านอยู่ไม่ไกลนัก หน้าผาที่ทอดยาวออกไป ทำให้เห็นภูทอกใหญ่ได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_25.jpg หน้าผาด้านตะวันออกของภูทอกใหญ่ มีลักษณะคล้ายๆหน้าผาของภูทอกน้อย...แต่สูงชัน และใหญ่กว่ามาก ภูเขาที่เห็นเป็นฉากหลังอยู่ไกลๆ เห็นว่าเป็นภูเขาในเขตลาว... เท็จจริงเป็นประการใด ไม่ยืนยันนะคะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ok-Noi_251.jpg |
พ้นจากหน้าผาที่ยื่นยาวออกไป เป็นทางเดินที่ราบเรียบ พอเลี้ยวผ่านมุมหินไป ก็มองเห็นสะพานไม้ขนาดกว้างราว 2 เมตร ยื่นยาวออกมาจากริมผา ลัดเลาะยาวเหยียดออกไป จนสุดเหลี่ยมผา... เบื้องล่าง..เป็นหุบเหวที่ลึกลงไปกว่าสามร้อยเมตร...อู้ววววว.....หวาดเสียว... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_39.jpg ด้วยน้ำหนักตัวขนาดน้องๆช้างของสองสายและน้องดื้อ เราก้าวเดินขึ้นสะพานห่างๆกัน ด้วยเกรงว่าสะพานจะถล่ม หากเราสามคนจะเดินไปพร้อมหน้าพร้อมตากัน... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_33.jpg เราเดินกันไปช้าๆ..เบาๆ...พยายามชิดหน้าผา..และไม่จับหรือพิงรั้วริมระเบียง ที่ดูแบบบาง เมื่อมองย้อนกลับไปทางที่เดินผ่านมา ก็เห็นภาพภูทอกใหญ่ดูสวยงาม และดูเหมือนจะอยู่ใกล้ชิด ติดกับภูทอกน้อยมากกว่าที่ควรจะเป็น.... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_31.jpg |
เดินต่อไปอีกหน่อย และมองลงไปอีกนิด...เราได้เห็นภาพ "พุทธวิหาร" ซึ่งเป็นสถานที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะที่แปลกและน่าอัศจรรย์ หินที่เทินซ้อนอยู่บนหน้าผา ดูคล้ายกับพระธาตุอินทร์แขวนที่ประเทศพม่า ความจริงหินก้อนนี้แยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่แล้ว แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่ได้ฉากกับพื้นโลกพอดี พุทธวิหารนี้ ตั้งอยู่บนชั้นที่ 5 ที่เราเดินไปไม่ถึง แต่การมองจากชั้น 6 ลงไป จะให้มุมมองที่สวยงามกว่า... มีเรื่องเล่าว่า...ในอดีต ก่อนที่จะมีการสร้างสะพานไม้เชื่อมต่อ บุคคลธรรมดาไม่อาจข้ามมาที่พุทธวิหารได้ เพราะมีหุบเหวขวางกั้น แต่มีบุคคลอยู่ประเภทหนึ่ง ที่สามารถปรากฎตัวที่พุทธวิหารได้ คือพระอรหันต์และท่านผู้ทรงอภิญญา ท่านเหล่านี้จะมาพักผ่อนที่พุทธวิหารเอง โดยการเดินบนอากาศหรือเหาะข้ามมา เพราะต้องการปลีกวิเวกและไม่ให้ใครมารบกวนได้ ดังนั้น หินประหลาดก้อนนี้จึงถูกเรียกว่า พุทธวิหาร ซึ่งแปลว่า สถานที่พักผ่อนของท่านผู้บรรลุแล้ว ในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหารแล้วก็ตาม แต่นักแสวงบุญทั่วไปก็ไม่อาจเข้าไปสัมผัสพุทธวิหารใกล้ชิดกว่านี้ได้ เพราะทางวัดปิดประตูไว้ เนื่องจากเทวดาที่รักษาพระบรมสารีริกธาตุทนเหม็นกลิ่นสาบมนุษย์ไม่ไหว ทางวัดจึงอนุญาตให้นักแสวงบุญมาได้แค่ปากประตูเท่านั้น... ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.intaram.org/index.php?lay...2&Id=538979488[/COLOR] |
เขาบอกว่า..ถ้ามาเดินบนสะพานนรก-สวรรค์ ไม่ควรจะมองลงไปข้างล่าง...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กลัวความสูง เพราะจะทำให้ขาสั่น ใจสั่น เดินต่อไปไม่ได้
แหมมม...คนไม่กลัวความสูงอย่างเรา อดใจไม่ไหวหรอกค่ะ แม้จะหาป่าธรรมชาติไม่ได้แล้ว ความเขียวขจีของสวนยางพารา และบึงน้ำข้างล่าง ดึงดูดสายตาให้สายชลต้องก้มลงไปมอง ด้วยความสุขใจ... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_39.jpg บางช่วงของสะพาน...มีหลังคาสังกะสีกันแดดกันฝน และม้านั่งไม้ให้ผู้มาเยือนได้นั่งกินลมชมวิว หรือให้พระภิกษุสงฆ์ได้นั่งวิปัสนากรรมฐาน http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_40.jpg ธรรมชาติที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ช่างสวยงามเหลือเกินค่ะ... จากการค้นข้อมูลเพิ่มเติม ภาพภูเขาเทือกยาวที่เห็นในภาพ คือ "ภูลังกา" ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ และ อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนม ภูลังกามีสภาพเป็นภูเขาเรียงซ้อนกันสามลูก ตามแนวเหนือใต้ ขนานกับแม่น้ำโขง สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าดิบเขา ป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และป่าแดงที่สมบูรณ์ มีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมีฝูงกามาอาศัยอยู่มาก จึงเรียกกันว่า "ภูรังกา" แล้วเพี้ยนมาเป็น "ภูลังกา" ในที่สุด http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_38.jpg ลมโชยพัดผ่านมา...น่านั่งเล่นนอนเล่นจริงๆนะคะ..ขอบอก http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_36.jpg |
เห็นข้อความ "แดนสวรรค์" ที่หน้าผาข้างหลังน้องดื้อไหมคะ ฝีมือใครนะ น่าตีมือจริงๆค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_37.jpg เราพักชมวิวอยู่ที่นี่กันครู่ใหญ่ที่เดียวค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_34.jpg ลมเย็นๆ....เงียบสงบ....อยากจะนั่งอยู่ที่นี่นานๆ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_42.jpg |
สะพานทางเดินด้านตะวันออกเฉียงใต้ของภูทอกน้อย ดูจะง่อนแง่นโงนเงน ไม่ค่อยน่าไว้วางใจเลยค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_43.jpg เห็นแล้วต้องค่อยๆเดิน แล้วก็ไม่พยายามไปจับรั้วไม้ริมสะพาน... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_45.jpg มองลงไปข้างล่าง...เห็นเจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ เล็กนิดเดียว... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_47.jpg โล่งใจค่ะ...สะพานหมดไป กลายเป็นทางเดินเลาะริมผาไปเรื่อยๆ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_46.jpg |
ถึงเวลาลงจากภูทอกแล้วค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_48.jpg การจราจรติดขัดที่ทางลงหน้าปากถ้ำจากชั้น 5 ลงชั้น 4... http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_49.jpg |
ลงมาถึงชั้นที่หนึ่ง และเดินผ่านประตูออกมาแล้ว เราแวะไปกราบคารวะพระพุทธรูป ที่ตั้งเป็นสง่าอยู่บนลานหน้าประตูทางเข้าภูทอก http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_53.jpg เมื่อจะออกจากบริเวณวัด..เราได้แวะชม เจดีย์พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2529 ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วยหินอ่อนขนาดกว้าง 16 เมตร สูง 31 เมตร....สูงตระหง่าน และสวยงาม อยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่ร่มรื่น http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_54.jpg ใต้ฐานเจดีย์ ใช้เป็นที่แสดงประวัติ ที่บรรจุอัฐบริขารในสมัยบำเพ็ญสมณธรรม รวมทั้งอัฐิธาตุ และรูปปั้นขนาดเท่าองค์จริงของท่านผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้.. http://i835.photobucket.com/albums/z...hok-Noi_56.jpg สำหรับประวัติของท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ มีโดยสังเขปดังนี้.. วัดเจติยาศีรีวิหาร (ภูทอก) สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2483 โดยการนำพาของ พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ซึ่งได้มาบำเพ็ญเพียรสมณธรรมอยู่ที่ภูวัว อ.เซกา จ.หนองคาย คืนหนึ่งได้เกิดนิมิตขึ้นเห็นปราสาท 2 หลัง ลักษณะสวยงามมากอยู่ทางด้านภูทอกน้อย ดังนั้น พระอาจารย์จวน จึงได้เดินทางมาพิสูจน์ตามที่เกิดนิมิต และได้พบลักษณะภูมิประเทศที่สวยงานร่มรื่น เหมาะที่จะปฏิบัติธรรม จึงได้สำรวจและปักกรดอยู่ที่ถ้ำบนภูทอก กับ พระครูศริธรรมวัฒน์ ต่อมาศรัทธาญาติโยมชาวบ้านคำแคน เห็นว่าพระอาจารย์จวนธุดงค์มาอยู่ที่ภูทอก จึงพร้อมใจกันอาราธนาให้สร้างวัดขึ้นที่ภูทอกแห่งนี้ ในปีพุทธศักราช 2512 ชาวบ้านนาคำแคนได้มาช่วยกันสร้างบันไดขึ้นภูทอก จนถึงชั้นที่ 5-6 และได้ปลูกสร้างเสนาสนะสำหรับพระสงฆ์อยู่ถึง 2 เดือน 10 วัน จึงแล้วเสร็จ ภายในสองปีถัดมา ท่านได้ชักชวนชาวบ้านสร้างทำนบกั้นน้ำขึ้น 2 แห่ง เพื่อใช้เก็บกักน้ำและจัดระบบน้ำประปาขึ้นภายในวัดภูทอก การก่อสร้างทางเดินรอบภูทอก เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะเป็นการเจาะหินทำนั่งร้านด้วยไม้เนื้อแข็ง 2 ท่อน ผูกติดกับเสาที่ปักไม้เท้าแขนลงไปแล้วจึงพาดไม้กระดานเป็นสะพานที่ละช่วงๆ ละประมาณ 1 เมตรเศษ ระหว่างคานจะมีคานรองรับอีกชั้นหนึ่ง จึงทำให้สะพานแข็งแรงมาก นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง และเมื่อวันที่ 27 เมษายน พุทธศักราช 2523 พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ได้รับนิมนต์ไปกรุงเทพฯ และได้ประสพอุบัติเหตุเครื่องบินตก ถึงแก่มรณภาพ สิริรวมอายุได้ 59 ปี 9 เดือน 18 วัน พรรษา 38 ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.dhammajak.net/forums/view...p?f=24&t=19892 |
การท่องเที่ยวที่ภูทอกน้อย จบลงด้วยความสุขใจของพวกเราทั้งสามคน และเป็นการสิ้นสุดการท่องเที่ยวในหนองคายและบึงกาฬ ของสองสายในครั้งนี้ด้วย... ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจในหนองคายและบึงกาฬ อีกมากมายหลายที่ สองสายจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะได้กลับมาเยือนดินแดนแถบถิ่นนี้อีกหลายๆครั้ง จนจุใจ ขอขอบคุณน้องดื้อผู้น่ารัก ที่ยอมโดดงานมาพาสองสายเที่ยว และพาเราไปทานของอร่อยๆมากมายในครั้งนี้ และครั้งต่อๆไปในอนาคตนะคะ.. |
เชิญอ่านเรื่องตะลุยเข้าเมืองลาวของสองสายต่อ ได้ที่.....
http://www.saveoursea.net/forums/sho...1073#post31073 |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:25 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger