SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   เรื่องเล่าชาวทะเล (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=4)
-   -   อวนลาก - อวนรุน (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=2120)

สายน้ำ 04-08-2012 20:34

อวนลาก - อวนรุน
 

สายน้ำ 04-08-2012 20:36


สายน้ำ 04-08-2012 20:36


สายน้ำ 04-08-2012 20:37


GAF 05-08-2012 02:51

เหมือนที่กำลังจะทำงานทีซิสเลยครับ แต่อันนี้เป็น 3D ของผมจะเป็นงาน Motion

สายชล 05-08-2012 19:32

ประเทศอื่นเขาเริ่มยกเลิกการใช้อวนลาก ที่ทำลายระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างรุนแรงกันแล้ว...เมืองไทยยังไม่ยกเลิก แต่กลับจะทำให้เรืออวนลากถูกกฎหมายอีกด้วย

น่าอายจริงๆค่ะ...



http://www.finestkind.co.nz/Upload/C...m-trawling.jpg

Hong Kong bans Bottom Trawling in its waters from 2012




Hong Kong has banned trawl fishing in its waters, a decision welcomed by conservationists Friday as a crucial move to save fish stocks and revive the city's depleted marine environment.


The measure, which is expected to come into effect in late 2012, comes after a long campaign by environmental groups who say the method is extremely damaging to the seabed and fish stocks.

The territory's law-making body approved the ban on Wednesday, and proposed a HK$1.7 billion ($219 million) scheme to provide payments to some 400 affected trawler owners and deckhands.

"(The ban) can strengthen the sustainable development of the fishing industry, and to maintain a good oceanic environment," Hong Kong's health chief York Chow told the Legislative Council, according to a statement.

A spokeswoman from the Food and Health Bureau, which oversees trawl fishing activities, told AFP Friday that the proposed payments to the trawler owners and deckhands will need to be approved by the law-making body.

Conservation group WWF, which has been lobbying for a trawling ban since 2005, hailed the decision as a success for ocean conservation efforts, after a dramatic decline in catch volume since the 1970s.

"We welcome and support this ban very much, as trawling is a very destructive practice," WWF Hong Kong spokeswoman Samantha Lee told AFP, adding that trawling accounts for over 40 percent of local fisheries capture.

"This would help valuable fish stocks to recover. This is an important first step, but I hope the government can tackle illegal trawling," she said.

Lee said the local fish population could increase by 20-30 percent five years after the implementation of the ban.

Trawling is a fishing method which involves nets being pulled through the water behind one or more boats, gathering up fish but also damaging the ocean floor and capturing other unwanted species.

Apart from saving fish stocks, conservationists have also said a trawling ban will give soft corals, sponges and other bottom-dwelling creatures an opportunity to recover.

WWF said that countries such as Australia, Brazil, Canada and Malaysia have established no-trawl zones in inshore waters to protect marine resources while Indonesia has banned trawling across the entire country.


ขอบคุณข่าวจาก...FinestKind.co.nzNew Zealand Fishing Industry News (Mon 30th May 2011
Kiwis Back More Ocean Marine Reserves - Survey)


http://www.finestkind.co.nz/news.aspx?id=70

สายน้ำ 06-08-2012 08:34


เหมือนไกลตา แต่ใกล้ใจ : ปัญหาการนิรโทษกรรมเรืออวนลาก ...................... โดย ประสาท มีแต้ม


เมื่อพูดถึงการประมงรวมถึงการนิรโทษกรรมเรืออวนลากที่เป็นปัญหาของสังคมไทยอยู่ขณะนี้ หลายท่านอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวกับตนและซับซ้อนเกินกว่าจะรับรู้ได้ จึงปฏิเสธการรับรู้ไปเลย แต่ถ้าเราหยุดคิดสักนิด เราจะค้นพบด้วยตนเองว่า ความรู้สึกดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงเลย เรื่องเรืออวนลาก แค่ดูภาพประกอบก็สามารถเข้าใจปัญหาที่จะเกิดขึ้นแล้ว (กรุณาดูภาพเลยแล้วค่อยอ่านต่อครับ)

http://pics.manager.co.th/Images/555000010133601.JPEG

ผมเข้าใจว่า ประเด็นเรื่อง “เหมือนไกลตา” น่าจะเบาลงแล้ว คือไม่ซับซ้อน ไม่ไกลตัวและไม่ใช่ยาก คงเหลือแต่เรื่อง “ใกล้ใจ” ซึ่งผมเชื่อว่าหากเรามีหัวใจที่รักความเป็นธรรม คำนึงถึงความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นสาธารณะสมบัติทั้งของคนรุ่นนี้และอนาคตแล้ว เราก็จะสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้จนถึงขั้นที่ไม่อาจจะอยู่เฉยๆได้แล้ว

ผมตั้งชื่อบทความนี้ด้วยความรู้สึกที่เป็นด้านกลับของเพลงเพื่อชีวิต “ใกล้ตา ไกลตีน” ของสุรชัย จันทิมาธร ที่ว่าเป้าหมายของการปฏิวัตินั้นดูเหมือนอยู่ใกล้ๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับไปไม่ถึง ในเรื่องนี้ผมมองว่า การจัดการทรัพยากรทะเลให้ยั่งยืน ให้เป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องยากและซับซ้อน ขอแต่เพียงเราตอบคำถามในบรรทัดสุดท้ายของเพลงที่ว่า “ฝันและฝันให้ไกลที่สุด เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด”

เรื่องที่จะนำมาเล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจากการประชุมเพื่อตรวจสอบของอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่องปัญหาการนิรโทษกรรมเรืออวนลาก ตามคำร้องของกลุ่มประมงพื้นบ้าน อีกส่วนหนึ่งเป็นการค้นคว้าเพิ่มเติมและข้อสังเกตของผมเอง ไม่เกี่ยวกับองค์กร ลำดับเหตุการณ์ที่นำมาสู่การตรวจสอบครั้งนี้ เป็นข้อๆ คือ


หนึ่ง ..... สหภาพยุโรปหรืออียูได้ออกกฎระเบียบว่าด้วย “การป้องกัน ต่อต้านและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ระเบียบ IUU” (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เมื่อปลายกันยายน 2551 โดยมีผลบังคับตั้งแต่มกราคม 2553 มาตรการที่ทางอียูนำมาใช้ก็คือ จะไม่รับซื้อสินค้าประมงที่ไม่สอดคล้องกับระเบียบนี้ เขาให้เวลาในการปรับตัว 15 เดือน

วัตถุประสงค์ของอียูในการออกกฎหมายดังกล่าวก็เพื่อ “ส่งเสริมและสนับสนุนกับการทำประมงที่เหมาะสม สร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับทรัพยากรสัตว์น้ำที่เป็นแหล่งอาหารของคนทั้งโลก” (คำชี้แจงของหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจและการตลาดอียู-จากศูนย์ข้อมูล&ข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง)


สอง ..... กรมประมงซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ประกอบการประมงเรืออวนลากที่เกรงว่าจะขายสินค้าไม่ได้ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวตามคำชี้แจงของรองอธิบดี และนักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ ดังต่อไปนี้

ในปี 2546 เคยมีการศึกษาวิจัยโดยองค์กรด้านอาหารและการเกษตร สหประชาชาติ ร่วมกับกรมประมงพบว่า จำนวนเรืออวนลากของประเทศไทยเกินศักยภาพที่ทรัพยากรจะรองรับได้ไป 33% โดยที่ขณะนั้นมีเรือ 7,968 ลำ (อ่าวไทย 6,793 ลำ ทะเลอันดามัน 1,175 ลำ) จึงต้องลดจำนวนในอ่าวไทยให้เหลือ 4,551 ลำ

เมื่อรวมกับในทะเลอันดามันแล้ว ประเทศไทยควรจะมีเรืออวนลาก 5,693 ลำ แต่จากข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยเรามีเรืออวนลากที่ได้รับอาชญาบัตรไปแล้ว 3,619 ลำ จึงสามารถให้อาชญาบัตรได้อีก 2,074 ลำ (ตัวเลขที่ทางกรมฯ ชี้แจงคือ 2,107 ลำ ไม่ทราบว่าผมจดผิดตรงไหน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลักนะครับ)

ผมได้เรียนถามรองอธิบดีว่า “ในการนำเสนอเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นิรโทษกรรมนั้นมีเหตุผลทางวิชาการรองรับหรือไม่” อนุกรรมการท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตและถามว่า “งานวิจัยไม่ชัดเจน ขอช่วยส่งเอกสารงานวิจัยมาให้ด้วย การให้อาชญาบัตรใหม่ เป็นการทำเรื่องผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมาย กรมประมงตีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของอียูคือความยั่งยืนของทรัพยากรหรือไม่”

ท่านรองอธิบดีกล่าวว่า “ยืนยันว่าการนำเรืออวนลากจำนวน 2,107 ลำเข้าสู่ระบบครั้งนี้ จะเป็นการดำเนินการตามหลักวิชาการ โดยเฉพาะการศึกษาศักยภาพของทะเลไทยในการรองรับการทำประมง” และจากคำชี้แจงเพิ่มเติมสรุปได้ว่า ไม่ได้ออกอาชญาบัตรให้กับเรือใหม่ แต่เป็นการออกให้กับเรือที่ลากอยู่แล้ว แต่ต้องขาดใบอนุญาตไปจากเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 บ้าง ขาดทุนบ้าง น้ำมันแพง ขาดแรงงานบ้าง เป็นต้น

สิ่งที่วงการวิชาการอยากจะทราบก็คือว่า หลักการและวิธีการที่นำไปสู่คำตอบในงานวิจัยเมื่อปี 2546 ว่าจำนวนเรืออวนลากไทยเกินศักยภาพของทรัพยากรไป 33% นั้นเป็นอย่างไร และเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้วเกือบ 10 ปี สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างไร ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ทราบกันทั่วไปในหมู่นักวิชาการและชาวประมงพื้นบ้านก็คือ แย่ลงกว่าเดิม แต่ทำไมกรมประมงจึงยึดผล “วิจัย” เดิมโดยไม่มีการตรวจสอบกับงานวิจัยอื่นๆ เลย

ผลงานวิจัยที่ทำโดยกรมประมงเองเรื่อง “ทรัพยากรประมงบริเวณอ่าวไทยตอนบนจากเรือสำรวจปี 2549” (ตีพิมพ์ในวารสารเทคโนโลยีการประมง ก.ค.-ธ.ค.2552) พบว่า ผลการจับต่อการลงแรงประมงในปี 2549 ลดลงเหลือ 14 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่ในปี 2506 อยู่ที่ 256 กก./ชม. หรือลดลงเกือบ 20 เท่าในช่วงเวลา 43 ปี

ทุกครั้งที่มีการสำรวจก็พบว่ามีการลดลงตลอด เช่น 66 กก./ชม. (ปี 2514) 39 กก./ชม. (2524) และ 22 กก./ชม. (2547) งานวิจัยสำรวจแต่ละชิ้นได้ใช้งบประมาณของประชาชนและแรงกายของข้าราชการไปจำนวนมาก แต่ทำไมผู้บริหารระดับสูงของกรมจึงไม่นำไปใช้ประโยชน์ ที่น่าแปลกกว่านั้น ทำไมนักวิชาการของกรมประมงที่ทำวิจัยเรื่องนี้จึงวางเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้น


สาม ..... อีกประเด็นหนึ่งซึ่งกรมประมงไม่ได้ชี้แจงก็คือ องค์ประกอบของสัตว์น้ำที่ติดมากับอวน (ไม่นับรวมฟองน้ำทะเลและปะการัง) จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกับกรมประมงเอง (เอกสารการประชุมวิชาการครั้งที่ 39) พบว่าเรืออวนลาก (แผ่นตะเฆ่ ขนาดเรือยาวไม่เกิน 14 เมตร) ทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการนำสัตว์น้ำวัยอ่อนมาใช้ก่อนวัยอันควร (ดูภาพ-ที่เรียกว่าปลาเป็ด) ปีละ 2.06 ล้านบาทต่อลำ โดยมีต้นทุนที่ 1.97 ล้านบาท แต่ได้ผลตอบแทนเพียง 0.38 ล้านบาท เอกสารของกรีนพีชระบุว่าในปี 2004 เรืออวนลากจะฆ่าสัตว์น้ำอื่นๆ 16 กิโลกรัมเพื่อให้ได้สินค้าที่ตลาดต้องการเพียง 1 กิโลกรัม ส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการก็ทิ้งลงทะเลข้างเรือนั่นเอง


สี่ ..... กรมประมงย้ำว่า การออกใบอนุญาตครั้งนี้จะตามมาด้วยการออกมาตรการควบคุม เช่น ไม่ให้เข้ามาลากในเขต 3 พันเมตรจากชายฝั่ง แต่ชาวประมงพื้นบ้านซึ่งหากินตามชายฝั่งแย้งว่า ที่ผ่านมาเรืออวนลากเข้ามาแค่ประมาณหนึ่งพันเมตรเท่านั้น เรื่องนี้ถ้ากรมประมงมีความจริงใจก็ต้องบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายเสียก่อน เรืออวนลากนอกจากจะทำลายหน้าดินซึ่งเป็นที่อยู่ของปลาแล้ว ยังทำลายอวนของชาวประมงพื้นบ้านด้วย บางคนซื้ออวนใหม่มาเพียงคืนเดียวด้วยราคานับหมื่นบาทก็ถูกทำลายไปแล้ว เป็นการซ้ำเติมให้เกิดหนี้สินเพิ่ม


ห้า ..... กรมประมงอ้างว่า เจ้าหน้าที่มีน้อย ดูแลเรืออวนลากที่เกเรได้ไม่ทั่วถึง ชาวประมงพื้นบ้านแย้งว่า หลายครั้งพวกเขาลงมือจับกุมเอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้ความร่วมมือ บางครั้งชาวบ้านตกเป็นผู้ต้องหาเสียเอง ที่น่าเสียใจมากกว่านั้นก็คือ มีการยิงกันตายระหว่างชาวประมงอวนลากกับชาวประมงพื้นบ้านเมื่อสองคืนที่ผ่านมา อนุกรรมการสิทธิ์เสนอว่า กรมประมงควรจะมีการกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่นโดยใช้หลักการมีส่วนร่วม


หก ..... นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ เรียนว่า ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ข้อ 5.2 บอกว่าจะฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่ง จำกัดและยกเลิกเครื่องมือทำลายล้าง กรมประมงเองก็ได้ทำปะการังเทียมด้วยงบหลายหมื่นล้านบาท จึงไม่น่าที่จะออกใบอนุญาตเรืออวนลากซึ่งเป็นต้นเหตุของการทำลายปะการังเทียม ในขณะเดียวกัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็ออกวิดีโอเรื่อง “มหันตภัยเรืออวนลาก” น่าขันจริงประเทศไทยเรา!


เจ็ด ..... ผมเคยพยากรณ์เมื่อปี 2540 ว่า ถ้าการจัดการทะเลไทยยังคงเป็นเช่นเดิม ในอนาคตคนไทยจะได้กิน “ต้มยำแพลงก์ตอน” ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์เกือบ 1,500 คนจาก 69 ประเทศ กำลังเรียกร้องให้ปกป้องระบบนิเวศน์ทะเลจากเรืออวนลาก (bottom trawling) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีการทำลายล้างมากที่สุด

นักวิทยาศาสตร์คาดหมายว่า “ถ้าไม่มีการทำอะไรอย่างเร่งด่วน แหล่งประมงทั้งหมดของโลกในปัจจุบันอาจจะล่มสลายภายในปี 2048” ศาสตราจารย์ Daniel Pauly จากศูนย์ประมงของมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย เน้นว่า สิ่งเดียวที่เป็นอาหารทะเลที่จะเหลืออยู่ให้เรารับประทานน่าจะเป็น “สตูแพลงก์ตอน” (ด้วยความเคารพ ผมเขียนไว้โดยไม่ได้เลียนแบบใคร)


แปด ..... ศาสตราจารย์ Jeremy Jackson อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ กล่าวไว้ในการบรรยายเรื่อง “เราทำลายมหาสมุทรอย่างไร” ว่า “มันไม่ใช่เรื่องของปลา ไม่ใช่เรื่องของมลพิษ ไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่มันเป็นเรื่องเรา ความโลภของเราและความต้องการตอบสนองการเติบโต และเป็นเรื่องของการที่ไม่มีความสามารถที่จะจินตนาการถึงโลกที่แตกต่างไปจากโลกที่เห็นแก่ตัวที่เราเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้”


เก้า ..... กรมประมงได้ถามที่ประชุมว่า “ถ้าไม่ออกใบอนุญาตให้เรืออวนลาก แล้วจะให้ทำอย่างไร?” ผมเห็นว่า “เราจินตนาการถึงโลกที่มีความแตกต่าง…” ไม่ได้จริงๆ แต่ เอ๊ะ การนำปูไข่ที่จับได้ของชาวประมงพื้นบ้านมาเพาะฟักแล้วปล่อยไข่กลับลงทะเล ก่อนจะนำแม่ปูมาต้มกิน น่าจะเป็นความแตกต่างจากเรืออวนลากนะ


สิบ ..... สังคมโลกต้องร่วมกันตอบคำถามละครับว่า “ฝันและฝันให้ไกลที่สุด เจ้ามนุษย์ เจ้าหวังสิ่งใด”




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 สิงหาคม 2555



ดอกปีบ 06-08-2012 10:30

หลายๆอย่างในเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน .. นโยบายก็ดูเหมือนจะขัดๆกันอยู่ คงต้องรอผลสรุปกันต่อไป

แต่ที่ชัดเจนมากๆแล้วก็คือ ..ทะเลไทยของเรา ทรัพยากรของเรา ถ้าเราไม่คิดรักษา ไม่คิดจะอนุรักษ์ไว้ใช้อย่างยั่งยืน ก็ ..

..
..
..

สายชล 06-08-2012 10:44



สะท้อนสะท้านใจ...กับเหตุผลในการนิรโทษกรรม เรืออวนลากของกรมประมงจริงๆค่ะ


การคำนวณจำนวนเรือที่ควรให้อาชญาบัตรในปี 2546 กับเรือที่จะให้อาชญาบัตรเพิ่มในปัจจุบันนั่น เล่นเอานักบัญชีงงมากๆ ว่าตัวเลขได้มาอย่างนั้นได้อย่างไรกัน


ที่สงสัยมากๆก็คือ ในขณะที่จะดึงเรือ 2,107 ลำ ที่ว่าตกค้างจากการลงทะเบียน จับมาลงทะเบียนใหม่ แต่ทำไมไม่เห็นพูดถึงเรือส่วนเกินอีก 33 % (คำนวนจากยอดในปี 2546 ซึ่งมีเรือ 7,968 ลำ ก็จะได้ตัวเลข 2,630 ลำ หรือที่ทางกรมประมงคิดได้ 2,275 ลำ) นั้น ได้ดำเนินการขจัดออกไปจากทะเลไทยแล้วหรือไม่ อย่างไร หรือว่ายังคงปล่อยให้เรือเหล่านั้น ล้างผลาญทรัพยากรในทะเลไทยของเราต่อไป ได้อย่างอิสระเสรี...



ประเทศอื่นเขาพยายามจะยกเลิกการใช้อวนลาก ในน่านน้ำข องเขา แต่ประเทศไทยกลับส่งเสริมให้ทำอวนลากได้ต่อไปอย่างถู กกฎหมาย นับเป็นเวรกรรมของลูกหลานไทยในอนาคตจริงๆค่ะ..:(



สายน้ำ 07-08-2012 08:07


ทะเลไทยไม่สามารถรองรับอวนลาก อวนรุน ได้อีกแล้ว ............... โดย ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง

http://pics.manager.co.th/Images/555000010159801.JPEG

มีศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยาประมงที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ การหาขีดความสามารถในการรองรับการทำการประมงของสัตว์น้ำเป้าหมาย ซึ่งเป็นที่มาของตัวเลขต่างๆ ที่มักกล่าวว่า ทะเลไทยสามารถรองรับการทำประมงได้กี่ตันต่อปี

การใช้โมเดลต่างๆนั้น โดยหลักการพื้นฐานจะใช้กับการทำการประมงสัตว์น้ำชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเครื่องมือประมงที่ค่อนข้างจำเพาะกับสัตว์น้ำชนิดนั้น หรือกลุ่มนั้น เช่น การล้อมปลากระตักกลางวันที่จะได้ปลากระตักเป็นส่วนใหญ่ การประมงปลาหมึก ปลาทูน่า ปลาทู เป็นต้น

หลักการพื้นฐานของการคำนวณค่าขีดความสามารถในการรองรับ หรือความสามารถในการทำประมง คือ พื้นฐานที่ว่า สัตว์น้ำที่รอดจากการจับนั้น จะสามารถอยู่รอดไปสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนประชากรขึ้นมาทดแทนสัตว์น้ำที่ถูกจับไปได้อย่างสมดุลกับการถูกจับไป

อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมานักวิชาการด้านประมง มักนำเอาหลักการพื้นฐานนี้ไปใช้อย่างผิดหลักการ โดยเฉพาะการนำโมเดลเหล่านั้น ไปใช้คำนวณหาศักยภาพการรองรับการทำประมง ด้วยเรืออวนลาก อวนรุน

สาเหตุที่ผิดหลักการ ก็เพราะเครื่องมือประมงประเภทอื่นๆนั้น เน้นการจับสัตว์น้ำเป้าหมายเป็นหลัก และถ้าได้สัตว์น้ำชนิดรองที่ไม่ใช่เป้าหมาย ก็เป็นการทำลายเฉพาะตัวสัตว์น้ำ เช่น การทำประมงปลากระตักด้วยการปั่นไฟ ที่มีลูกสัตว์น้ำเศรษฐกิจปะปนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นวิธีการทำประมงที่ทำลายอีกประเภทหนึ่ง

อวนปั่นไฟปลากระตักที่ทราบกันว่า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกับสัตว์น้ำสำคัญ ที่ไม่มีโอกาสเติบโต แต่ประสิทธิภาพการทำลายล้างของอวนปั่นไฟปลากระตัก ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับอวนรุน อวนลาก

สาเหตุเพราะอวนรุน อวนลาก ไม่เพียงแต่จับสัตว์น้ำเป้าหมาย และทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อน สัตว์น้ำมีไข่ สัตว์น้ำหายากเท่านั้น แต่อวนลาก ทำลายถิ่นที่เกิด ที่วางไข่ หลบภัยของสัตว์น้ำ ดังนั้น โมเดลทางการประมง จึงไม่ควรนำมาใช้กับการทำการประมงอวนลาก เนื่องจากการทำประมงอวนลาก ส่งผลให้สัตว์น้ำที่หลุดรอดไป ไม่มีโอกาสแพร่ขยายพันธุ์ได้อีก


อาจกล่าวได้ว่าพื้นที่ทุกตารางนิ้วในอ่าวไทยผ่านการถูกอวนลากกวาดมาแล้วจนสัตว์น้ำไม่มีแหล่งที่เกิดที่อาศัย เพิ่มประชากรทดแทนประชากรสัตว์น้ำดั้งเดิมได้เลย

โขดหิน โขดหอย ฟองน้ำ กัลปังหา ปะการังน้ำลึก ถูกอวนลากกวาดล้างจนราบเรียบกลายเป็นพื้นโคลนโล่งๆ จนสัตว์น้ำไม่มีแหล่งวางไข่ หาอาหาร หลบภัย ดังนั้น หลักการพื้นฐานของความยั่งยืนจึงขาดหายไป เนื่องจากสัตว์น้ำที่เหลือรอด ไม่มีโอกาสแพร่ขยายพันธุ์ ซึ่งผิดหลักการของการประเมินค่าศักยภาพการรองรับการทำประมง

เมื่อจะต้องนิรโทษกรรมเรืออวนลากในปี 2555 คำถามที่สำคัญ คือ จะนิรโทษกรรมเรือกี่ลำ กรมประมงอ้างผลการศึกษาวิจัยดั้งเดิมว่า ในปี 2546 เคยมีการศึกษาวิจัยโดยองค์กรด้านอาหารและการเกษตร สหประชาชาติ ร่วมกับกรมประมงพบว่า “ปริมาณการจับสัตว์น้ำของไทยเกินศักยภาพที่รองรับได้ไป 33% แต่กรมประมงกลับตีความว่า “จำนวนเรืออวนลากของประเทศไทยเกินศักยภาพที่ทรัพยากรจะรองรับได้ไป 33%”

เมื่อได้ตัวเลขนี้ กรมประมง จึงนำตัวเลขเรือประมงที่มีอยู่ในขณะนั้น คือ ขณะนั้นมีเรือ 7,968 ลำ (อ่าวไทย 6,793 ลำ ทะเลอันดามัน 1,175 ลำ) มาเป็นตัวตั้ง และใช้บัญญัติไตรยางค์ง่ายๆ คำนวณออกมาว่า เรือประมงในอ่าวไทยควรมี 4,551 ลำ เมื่อรวมกับในทะเลอันดามันแล้ว ประเทศไทยควรจะมีเรืออวนลาก 5,693 ลำ และจากข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยเรามีเรืออวนลากที่ได้รับอาชญาบัตรไปแล้ว 3,619 ลำ จึงสามารถให้อาชญาบัตรได้อีก 2,107 ลำ

ประเด็นที่สำคัญ คือ ศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำตามธรรมชาติ ควรคิดจากปริมาณการจับสัตว์น้ำ (น้ำหนัก) หรือปริมาณการลงแรงเป็นชั่วโมง ต่อผลผลิตที่จับได้ (Catch per unit effort) หรือจำนวนรวมของเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการทำประมงอวนลาก ไม่ใช่คิดจากจำนวนเรือ ดังที่กรมประมงนำมาอ้าง เนื่องจากเรือแต่ละลำมีประสิทธิภาพการจับไม่เท่ากับ และจำนวนเรือไม่ได้สะท้อนปริมาณการลงแรง หรือระยะเวลาที่ใช้ในการลากอวน

เรือน้อยลำอาจจะลากนานขึ้น และที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้น ปริมาณการลงแรง หรือการใช้เวลาในการจับเพิ่มมากขึ้นมาตลอด เช่น FAO ประเมินศักย์การจับสัตว์น้ำหน้าดินอยู่ที่ประมาณ 750,000 ตัน ซึ่งต้องการการลงแรงประมงอวนลาก (fishing effort) อยู่ที่ 8.6 ล้านชั่วโมง ในขณะที่ปี พ.ศ. 2529 ผลผลิตของเรือประมงอวนลากลดลงเหลือ 648,560 ตัน แต่ต้องลงแรงทำการประมงถึง 11.9 ล้านชั่วโมง

ในขณะที่หลักการพื้นฐานของการคำนวณศักยภาพการรองรับการประมง และปริมาณการจับที่เหมาะสม จะเน้นการควบคุมปริมาณสัตว์น้ำไม่ให้เกินค่าศักยภาพการรองรับ หรือการควบคุมปริมาณการลงแรง (ระยะเวลาที่ลากอวน) หรือการควบคุมไม่ให้มีการทำลายแหล่งกำเนิดเพื่อให้สัตว์น้ำได้แพร่ขยายพันธุ์ แต่กรมประมงกลับคิดแต่เรื่องจำนวนเรือที่จะออกใบอนุญาต ทั้งๆที่ประเทศไทยมีเป้าหมายจะลดและเลิกเครื่องมือประมงอวนลากอวนรุนให้ได้ โดยออกเป็นมาตรการระยะยาวมาตั้งแต่ปี 2523 แต่วันนี้กลับจะมานิรโทษกรรมเรืออวนลากให้เพิ่มขึ้นไปอีก ท่านคิดอะไรกันอยู่ครับ.




จาก ........................ ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 6 สิงหาคม 2555

สายชล 07-08-2012 10:38





เอิ้กกกก....ตัวเลขที่ได้มาของเรือที่ควรมี ได้มาอย่างนี้เองหรือคะ เมื่อวานอ่านแล้วก็ยังงงๆอยู่ว่าท่านได้แต่ใดมา



ดูเหมือนเป้าหมายในการดูแลควบคุมการประมงในบ้านเรานั้น จะเน้นหนักเรื่องปริมาณการจับสัตว์น้ำ ที่จะได้ในแต่ละปีของเรือประมง ว่าจะได้มากน้อยเท่าไร กับเน้นเรื่องการวิจัยและพัฒนาเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เพื่อนำไปปล่อยในแหล่งน้ำตามธรรมชาติ หรือให้ชาวบ้านซื้อไปเลี้ยงเพื่อจำหน่ายและเก็บกิน รวมทั้งการพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค


ส่วนการดูแลสัตว์น้ำในแหล่งน้ำตามธรรมชาตินั้น ก็จะมีให้เห็นเพียงมาตรการห้ามจับสัตว์น้ำในระหว่างฤดูผสมพันธุ์ และการห้ามจับสัตว์น้ำคุ้มครองตามประกาศ หรือตามพระราชบัญญัติที่ออกมา



ส่วนเรื่องการดูแลแหล่งแพร่พันธุ์ และ ที่อยู่อาศัยหลบภัยของสัตว์น้ำทั้งหลายนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลใส่ใจนัก จะเห็นได้จากการปล่อยปละละเลยให้ทำการประมงที่ทำลายแนวปะการังและพื้นผิวใต้ท้องทะเล ซึ่งเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ และที่อยู่อาศัยหลบภัยของสัตว์น้ำที่วิเศษสุด ซึ่่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่กลับไม่ได้รับการดูแลและป้องกันเท่าที่ควรจะเป็น ถึงจะมีการทำปะการังเทียมมากแค่ไหน โอกาสที่จะถูกอวนลากทำลายให้เสียหายก็ยังมีอยู่ ทั้งในลักษณะถูกลากจนกระจัดกระจายเสียหาย และถูกอวนคลุม จนสัตว์น้ำเข้าไปอาศัยหลบภัยไม่ได้



นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมปริมาณสัตว์น้ำในทะเลลดปริมาณลงไปเรื่อยๆ เหตุสำคัญก็เป็นเพราะแหล่งแพร่พันธุ์ และที่อยู่อาศัยหลบภัยของสัตว์น้ำทั้งหลายนั้น หดหายถูกทำลายไปมาก ถึงจะมีการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ แล้วปล่อยลงไปในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือห้ามล่าสัตว์น้ำในฤดูผสมพันธุ์ ก็ไม่ได้ช่วยให้ปริมาณสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้นได้มากพอจะทดแทนจำนวนสัตว์น้ำในธรรมชาติ ที่ถูกการทำประมงล้างผลาญ ทำลายซ้ำๆซากๆอยู่ชั่วนาตาปี จนยากที่จะฟื้นฟูให้คืนดีดังเดิมได้...


ถึงเวลาหรือยังคะ...ที่ผู้รับผิดชอบเรื่องการประมงของไทย จะเปลี่ยนแนวความคิด นโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ รวมทั้งเป้าหมาย เสียใหม่ ให้มุ่งเน้นเรื่องการทำประมงแบบยั่งยืน ด้วยการเลิกการอนุญาตให้ทำประมงแบบล้างผลาญ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้....แล้วหันมาช่วยฟื้นฟูอนุรักษ์ถิ่นแพร่พันธุ์ ที่อยู่อาศัยและแหล่งหลบภัยของสัตว์น้ำอย่างจริงๆจังๆเสียที ก่อนที่จะไม่เหลืออะไรในทะเล ไว้ให้ลูกหลานของไทยได้เห็นและได้ชื่นชมในอนาคต....



ดอกปีบ 07-08-2012 11:00

ชอบมาก และเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของพี่น้อยครับ ..

นึกถึงสมัยเด็กๆที่เรียนในชั้นเรียนว่า ห้ามจับสัตว์ในฤดูวางไข่ ผมก็รู้และจำอยู่แค่นั้น แต่ไม่ได้คิดต่อเลยครับว่า จริงๆแล้ว การรักษาแหล่งเเพร่พันธุ์และที่หลบภัยของสัตว์น้ำนั้น เป็นประเด็นสำคัญที่จะช่วยรักษาทรัพยากรและทะเลของเราให้ยั่งยืนด้วย

วีดีโอคลิปที่โพสไว้ด้านบนน่าสนใจมากๆเลยนะครับ นำเสนอด้วยวิธีการที่เรียบง่ายและน่าจะช่วยสื่อกับสาธารณชนให้เข้าใจในประเด็นได้เป็นอย่างดี น่าจะมีการผลิตสื่อแบบนี้ออกมาและเผยแพร่กันให้มากๆด้วยนะครับ ..

สายน้ำ 07-08-2012 11:42


นิรโทษกรรมเรือประมงอวนลาก เมื่อคืนเขียนแบบไม่มีเวลา เลยนำมาเรียบเรียงใหม่ อ้างถึงรายละเอียดตามที่ปรากฏในลิงค์ข้างล่าง ผมเรียบเรียง สรุป และให้ความคิดเห็น ลองอ่านกันนะครับ


ความเป็นมา

สหภาพยุโรปหรืออียูได้ออกกฎระเบียบว่าด้วย “การป้องกัน ต่อต้านและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ไม่รายงานและไร้การควบคุม” หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ระเบียบ IUU” (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing) เมื่อปลายกันยายน 2551 โดยมีผลบังคับตั้งแต่มกราคม 2553 มาตรการที่ทางอียูนำมาใช้ก็คือ จะไม่รับซื้อสินค้าประมงที่ไม่สอดคล้องกับระเบียบนี้ เขาให้เวลาในการปรับตัว 15 เดือน


สิ่งที่เกิดขึ้น

กรมประมงซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ประกอบการประมงเรืออวนลากที่เกรงว่าจะขายสินค้าไม่ได้ ได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าวตามคำชี้แจงของรองอธิบดี และนักวิชาการประมงทรงคุณวุฒิ ดังต่อไปนี้

ในปี 2546 เคยมีการศึกษาวิจัยโดยองค์กรด้านอาหารและการเกษตร สหประชาชาติ ร่วมกับกรมประมงพบว่า จำนวนเรืออวนลากของประเทศไทยเกินศักยภาพที่ทรัพยากรจะรองรับได้ไป 33% โดยที่ขณะนั้นมีเรือ 7,968 ลำ (อ่าวไทย 6,793 ลำ ทะเลอันดามัน 1,175 ลำ) จึงต้องลดจำนวนในอ่าวไทยให้เหลือ 4,551 ลำ

เมื่อรวมกับในทะเลอันดามันแล้ว ประเทศไทยควรจะมีเรืออวนลาก 5,693 ลำ แต่จากข้อมูลในปี 2552 พบว่าประเทศไทยเรามีเรืออวนลากที่ได้รับอาชญาบัตรไปแล้ว 3,619 ลำ จึงสามารถให้อาชญาบัตรได้อีก 2,074 ลำ

...


ความคิดเห็นของผม

การอ้างถึงงานวิจัยที่ประเมินศักยภาพของทะเลไทยในการรองรับเรืออวนลาก เป็นงานที่ผมเกิดมาเพิ่งเคยได้ยิน เท่าที่เคยร่ำเรียนมาคือ ปลา 297 กิโลกรัมในพ.ศ.2504 เหลือแค่ 13 กิโลกรัมในพ.ศ.2540+

ผมรู้เพียงว่า ถ้าการลากอวนเป็นการประมงที่เหมาะสม เหตุใดปลาฉนากจึงสูญพันธุ์จากทะเลไทย ทำให้ปลาฉนากกลายเป็นปลาที่ติดอยู่ใน Red List ของไทยในฐานะสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งยวด ทั้งที่แต่ก่อนปลาฉนากมีอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ผมยังเคยเห็นตัวใหญ่ยาว 2-3 เมตรเมื่อ 30-40 ปีก่อน ปัจจุบันใครเคยเห็นปลาฉนากบ้าง หรือพวกปลาโรนิน โรนัน ฯลฯ เคยเห็นบ้างไหม

หากยืนยันจะใช้ตัวเลขนั้นจริง กรุณาหาแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน และเผยแพร่บทความนั้นให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ผมจะได้ขอเปลี่ยนข้อมูลที่ใช้สอนนิสิต ไม่ต้องไปสอนว่าปริมาณสัตว์น้ำที่อวนลากจับได้ลดลงขนาดไหน แต่ไปสอนว่าเราควรลากอวนในทะเลไทยมากแค่ไหน

.....


กรมประมงย้ำว่า การออกใบอนุญาตครั้งนี้จะตามมาด้วยการออกมาตรการควบคุม เช่น ไม่ให้เข้ามาลากในเขต 3 พันเมตรจากชายฝั่ง


ความคิดเห็นของผม

มาตรการที่จะออกติดตามมาเมื่อมีการนิรโทษกรรมเรืออวนลาก คือการกวดขันมากขึ้น แต่ด้วยวิธีใด งบประมาณใด และเหตุใดเราต้องรอให้ออกมาตรการถึงค่อยกวดขัน เพราะเป็นกฏหมายอยู่แล้วไม่ใช่เหรอที่อวนลากห้ามทำในพื้นที่นั้น และเป็นหน้าที่ของหน่วยงานมิใช่หรือที่ต้องพยายามทำให้คนปฏิบัติตามกฏหมาย ทำไมต้องออกมาตรการก่อนแล้วค่อยทำ ???

....


กรมประมงอ้างว่า เจ้าหน้าที่มีน้อย ดูแลเรืออวนลากที่เกเรได้ไม่ทั่วถึง


ความคิดเห็นของผม

ผมไม่ใช่นักวิชาการอิสระ ผมเป็นข้าราชการ ทำงานระดับดูแลภาควิชาเล็กๆให้อยู่รอด ผมเข้าใจความลำบากของหน่วยงาน ผมเข้าใจในการติดขัดเรื่องงบประมาณและบุคลากร เพราะผมเองก็เจอเช่นกัน และอาจมากกว่าด้วยซ้ำ งบประมาณที่ผมใช้สอนนิสิตเกือบ 400 คนในภาควิชาในแต่ละปี บางทีน้อยกว่าค่ารับรองผู้ใหญ่ในหนึ่งทริปด้วยซ้ำ

แต่ผมขอร้องว่า เรามาดูความจริงเถอะครับ นำภาพลวงตาออกไป เอาความจริงมาไว้ตรงหน้า เพราะสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่ทำให้แค่ปลาลดน้อยลง ฟองน้ำและกัลปังหาตายมากขึ้น ชาวประมงพื้นบ้านเดือดร้อนมากขึ้น มันไม่ใช่แค่นั้น...

มันมากกว่านั้น เพราะมันจะทำให้อาจารย์สงสัยในสิ่งที่เรากำลังจะสอนนิสิต มันทำให้เรางุนงงว่าตกลงจะสอนเรื่องหลักการและเหตุผลกันไปทำไม นิสิตจะต้องท่องตัวเลขนี้วิเคราะห์ข้อมูลนั้น ทำกันไปทำไม ??? ในเมื่อสุดท้ายทุกอย่างกลับไม่ขึ้นกับสิ่งที่เราสอน ???

เราไม่ได้กำลังจะฆ่าเพียงลูกปลา แต่เรากำลังจะฆ่าความมุ่งมั่นของอาจารย์ ความตั้งใจอยากเรียนของนิสิต มันคุ้มกันไหม

หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้สำเร็จ ผมจะนำมาเป็นกรณีศึกษา ปัจจุบันผมสอนนิสิตเทอมละ 600 เศษ (ทั้งนิสิตในคณะและในมหาวิทยาลัยในส่วนวิชาเลือกเสรี) ผมจะสอนทุกเทอม ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้ชักจูง ไม่ได้ให้ร้ายใคร เพียงนำความจริงขึ้นมาเสนอแล้วให้เด็กลองคิดเอง ตอบคำถาม ทำรายงาน ฯลฯ ผมยังเหลือเวลาสอนอีก 15 ปี หรือ 30 เทอม จะได้สอนอย่างน้อยก็อีก 18,000 คน

ทุกคนมีหน้าที่พึงกระทำ ผมเป็นอาจารย์ ผมจะทำหน้าที่ของผมครับ...




จาก ................... Facebook http://profile.ak.fbcdn.net/hprofile...05755016_n.jpg Thon Thamrongnawasawat


สายน้ำ 07-08-2015 08:06

1 Attachment(s)
เรือประมงถูกกฎหมาย

การผ่อนคลายมาตรการแก้ปัญหาไอยูยู ของภาครัฐ สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เรือประมงที่สามารถออกทำการประมงได้ตามมาตรการแก้ปัญหาไอยูยู ของภาครัฐ จะต้องมีเอกสารครบทั้ง 15 รายการ มีอะไรบ้าง ติดตามกับคุณพีระวัฒน์ อัฐนาค

ชมคลิป http://www.thairath.co.th/clip/23790


สายน้ำ 07-08-2015 08:07

greennewstv


"ประยุทธ์"ใช้ ม.44 เบรกจดทะเบียนเรือประมงทุกชนิด-เครื่องมือประมง 6 ชนิด แก้ปัญหาไอยูยู ฝ่าฝืนโทษคุก 5 ปีปรับ 5 แสน


http://www.greennewstv.com/wp-conten...1-1024x576.jpg
ภาพประกอบจาก Ody News

หัวหน้า คสช.ใช้ ม.44 สั่งเบรคจดทะเบียนเรือประมง-ประกาศห้ามเครื่องมือ 6 ชนิด แก้ปัญหาไอ.ยู.ยู. ฝ่าฝืนมีโทษปรับ-จำคุก-ยึดเรือ

ภายหลังจากเหตุการณ์ที่ประเทศไทยได้ใบเหลืองจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EU) อันเป็นการแจ้งเตือนต่อรัฐบาลไทยที่ปล่อยปะละเลยการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน และไร้การควบคุม หรือ IUU Fishing ตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยให้เวลา 6 เดือนในการแก้ไขปัญหาก่อนที่ทาง EU จะเข้ามาตรวจสอบและประเมินผลอีกครั้งในเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้

ล่าสุดวันนี้ (6 ส.ค.) ได้มีการเผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องการแก้ปัญหา IUU Fishing ผ่านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา โดยเนื้อหาระบุว่าภายหลังจากการจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้พบข้อมูลว่าจำนวนสัตว์น้ำไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง หากขาดมาตรการจัดการแล้วจะทำให้เกิดภาวะวิกฤติได้ จึงใช้อำนาจตามมาตรา 44 โดยมีคำสั่งให้งดการจดทะเบียนเรือประมงทุกชนิดจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงห้ามการใช้เครื่องมือประมง 6 ชนิดอันได้แก่ อวนรุน, โพงพาง, อวนล้อม, ไอ้โง่, อวนลาก และอื่นๆที่ศูนย์ฯกำหนด ซึ่งหากพบเห็นเรือที่ผิดเจ้าหน้าที่สามารถยึดรวมไปถึงทำลายเครื่องมือได้ โดยมีโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนขั้นสูงสุดอยู่ที่จำคุก 5 ปีหรือปรับ 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ



ภาพประกอบจาก Ody News

โดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 24/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม เพิ่มเติม ซึ่งได้ลงคำสั่ง ณ วันที่ 5 ส.ค. โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เนื้อหาดังนี้

ตามที่หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของ คสช.ได้ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 10/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ลงวันที่ 29 เมษายน 2558 เพื่อจัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายขึ้น โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการบัญชาการการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายในภาพรวม ตลอดจนเสนอแนะในการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งพัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการทำการประมงที่ผิดกฎหมายให้เป็นมาตรฐานสากลนั้น

บัดนี้ได้รับรายงานจากศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายว่า

ปัจจุบันทรัพยากรสัตว์น้ำในน่านน้ำไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการทำการประมงที่เกินศักย์การผลิตตามธรรมชาติที่จะทดแทนได้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปโดยไม่มีมาตรการในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำที่ดีพอ จะทำให้กิจการประมงของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้จำนวนเรือไทยสำหรับการประมงอยู่ในภาวะสมดุลกับทรัพยากรสัตว์น้ำ และมิให้มีการใช้เครื่องมือทำการประมงที่เป็นการทำลายพันธุ์สัตว์น้ำอย่างร้ายแรง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของ คสช.จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้นายทะเบียนเรือตามกฎหมายว่าด้วยเรือไทย งดการจดทะเบียนเรือไทยสำหรับการประมง หรือเรืออื่นตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายประกาศกำหนดที่จะขอจดทะเบียนเรือใหม่ทุกประเภทและทุกขนาด หรือเปลี่ยนประเภทการใช้เรือจากเรือประเภทอื่นมาเป็นเรือประมง ทั้งนี้จนกว่าจะมีการกำหนดให้มีการจดทะเบียนเรือไทยสำหรับการประมงหรือเรืออื่นเพิ่มเติมได้ตามหลักเกณฑ์ที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายประกาศกำหนด

ข้อ 2 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อใช้ซึ่งเครื่องมือทำการประมง ดังต่อไปนี้

(1) เครื่องมืออวนรุนที่ใช้ประกอบกับเรือยนต์ เว้นแต่การใช้เครื่องมืออวนรุนเคยที่ใช้ประกอบเรือยนต์ทำการประมงตามรูปแบบของเครื่องมือ ขนาดเรือ วิธีการทำการประมง พื้นที่ทำการประมงและเงื่อนไขที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายประกาศกำหนด

(2) เครื่องมือโพงพาง รั้วไซมานหรือกั้นซู่รั้วไซมาน เครื่องมือลี่ หรือเครื่องมืออื่นที่มีลักษณะและวิธีการคล้ายคลึงกัน

(3) เครื่องมืออวนล้อมจับที่มีขนาดช่องตาเล็กกว่า 2.5 เซนติเมตร ทำการประมงในเวลากลางคืน

(4) เครื่องมือลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์น้ำสลับซ้ายขวาอยู่ทางด้านข้างใช้สำหรับดักสัตว์น้ำ

(5) เครื่องมืออวนลากที่มีช่องตาอวนก้นถุงเล็กกว่า 5 เซนติเมตร

(6) เครื่องมือทำการประมงอื่นตามรูปแบบของเครื่องมือ วิธีการทำการประมง พื้นที่ทำการประมงขนาดของเรือที่ใช้ประกอบการทำการประมง และเงื่อนไขอื่นที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายประกาศกำหนด

ข้อ 3 เครื่องมือทำการประมง เรือที่ใช้ทำการประมง สัตว์น้ำ และสิ่งอื่นๆ ที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิด โดยฝ่าฝืนคำสั่งหรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการยึดและให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการรื้อถอนหรือทำลายเครื่องมือทำการประมง เรือที่ใช้ทำการประมง สัตว์น้ำ และสิ่งอื่นๆ ที่ตกเป็นของแผ่นดินตามวรรคหนึ่ง เว้นแต่เจ้าของหรือผู้ครอบครองสามารถแสดงหลักฐานได้ว่าทรัพย์สินนั้นมีไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ถูกยึด

ข้อ 4 ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งฉบับนี้ หรือประกาศที่ออกตามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ข้อ 5 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามประกาศที่ออกตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 10/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ลงวันที่ 29 เมษายน 2558 เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งฉบับนี้ด้วย

ข้อ 6 เพื่อประโยชน์ในการจับกุมผู้กระทำความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 10/2558 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ลงวันที่ 29 เมษายน 2558 และคำสั่งนี้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ข้อ 7 ประกาศของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายที่ออกตามคำสั่งนี้ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

ทั้งนี้ นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป



http://www.greennewstv.com/%E0%B8%9B...8%B0%E0%B9%80/

สายน้ำ 10-08-2015 08:03

GREENPEACE


ประมงแบบไหนคือวายร้าย"ทำลายท้องทะเล"

รู้ไหมว่าก่อนที่ปลาจะเดินทางมาถึงจานอาหารคุณอาจมีส่วน"ทำลายท้องทะเล"จากวิธีการจับปลาแบบทำลายล้างได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลที่เราควรถามไถ่ถึงแหล่งที่มาของปลาที่คุณกิน เพราะเราอาจกำลังส่งเสริมให้เกิดวิกฤตในท้องทะเลโดยไม่รู้ตัว

ทะเลไทยตลอดพื้นที่ชายฝั่งทะเล 23 จังหวัด มีความหลากหลายของสัตว์ทะเลสูงมากเมื่อเทียบกับน่านน้ำบริเวณอื่นของโลก แต่ขณะนี้ทะเลไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตและปลาของเรากำลังลดน้อยลงไปทุกที การประมงเกินขนาด การประมงผิดกฎหมาย และการใช้เครื่องมือประมงแบบทำลายล้างนั้นเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ อาทิ จำนวนปลาที่น้อยลงจนใกล้หมดไป ปัญหาแรงงานทาส รวมถึงทำลายระบบนิเวศทางทะเลที่สวยงามของเรา

เมื่อปี พ.ศ. 2504 เรืออวนลากสามารถจับสัตว์น้ำในอ่าวไทยได้ชั่วโมงละ 298 กิโลกรัม ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2555 ลดลงเหลือชั่วโมงละ 18.2 กิโลกรัมเท่านั้น
ซึ่งปริมาณปลาที่จับได้ยังเป็นลูกปลาที่ยังโตไม่เต็มวัยถึงร้อยละ 34.47 ทั้งนี้ การที่ปัจจุบันมีปริมาณการจับปลาสูง

นั้น ไม่ใช่เพราะปลาในทะเลไทยมีจำนวนมากขึ้น แต่เป็นเพราะใช้วิธีการประมงแบบทำลายล้างที่มุ่งกวาดล้างสัตว์ทุกชนิด ไม่ใช่เฉพาะในกลุ่มสัตว์น้ำเป้าหมาย และส่วนใหญ่ของผลพวงมาจากการประมงแบบทำลายล้างนั้นล้วนเป็นลูกปลาที่ยังโตไม่เต็มวัย ไม่เหมาะกับการนำมาบริโภค จึงถูกนำไปทำอาหารสัตว์เท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นการทำลายระบบนิเวศและความยั่งยืนอย่างรุนแรง

ปัญหาเหล่านี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจจะยังไม่ทราบ แต่ผู้บริโภคอย่างพวกเรานี่แหละ คือตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของท้องทะเล เพียงแค่ ปฏิเสธการซื้อและรับประทานอาหารทะเลที่มีที่มาจากการประมงที่เป็นปัญหาเหล่านี้ แล้วหันมาสนับสนุนอาหารทะเลที่มาจากการประมงที่รับผิดชอบ


http://i1198.photobucket.com/albums/...psfndervfe.jpg

อวนลาก

ตัวการทำลายระบบนิเวศทางทะเลมากที่สุด โดยเครื่องมือประมงจะมีลักษณะคล้ายถุง โดยจะใช้เรือลากอวนให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ลากตั้งแต่พื้นทะเลไปจนถึงผิวน้ำ ซึ่ง 2 ใน 3 ของสัตว์น้ำที่จับมาได้ไม่ใช่สัตว์น้ำเป้าหมาย ยังไม่โตเต็มวัย และเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ระบบนิเวศหน้าดินเสียหายเหมือนกับถูกรถไถกวาดหน้าดิน บ้างก็ใช้เรือลากคู่ เรียกว่าเรืออวนลากคู่


http://i1198.photobucket.com/albums/...psslu4eb3x.jpg

อวนรุน

คล้ายกับอวนลาก แตกต่างกันที่อวนรุนจะดันหน้าดินขณะเคลื่อนที่ไปข้างหน้า โดยใช้อวนประกบกับคันรุน เนื่องจากไม่สามารถทำการประมงในระดับน้ำลึกกว่า 15 เมตรได้จึงมักพบในน้ำตื้น ทำลายหน้าดินใกล้บริเวณชายฝั่งทะเล นิยมใช้เพื่อจับกุ้ง เคย ปลากะตัก หมึก แต่เนื่องจากปากอวนที่เปิดสูง จึงทำให้จับสัตว์น้ำที่ไม่ใช้เป้าหมายมาด้วย


http://i1198.photobucket.com/albums/...psf6tprx0i.jpg

เครื่องมือจับปลากะตักประกอบแสงไฟล่อในเวลากลางคืน

เรือจับปลากะตักประกอบแสงไฟล่อปลาในเวลากลางคืน โดยใช้ร่วมกับอวนที่มีขนาดตาถี่ทำให้ปลาเศรษฐกิจชนิดอื่นซึ่งไม่ใช่ปลาเป้าหมายและโดยส่วนใหญ่สัตว์น้ำวัยอ่อนถูกจับติดขึ้นไปด้วย เรือปั่นไฟปลากะตักแบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ เรือจับปลากะตักปั่นไฟแบบใช้อวนล้อม เรือจับปลากะตักปั่นไฟแบบอวนช้อน (หรืออวนยก) และเรือจับปลากะตักปั่นไฟแบบใช้อวนครอบ (หรืออวนมุ้ง)


http://i1198.photobucket.com/albums/...psooyqay0b.jpg

เครื่องมือคราดหอยลาย

ตัวร้ายที่สร้างบาดแผลให้กับชาวประมงพื้นบ้านมากที่สุด เกิดปัญหาความขัดแย้งบ่อยครั้ง เครื่องมือนี้ทำให้หน้าดินเสียหาย น้ำทะเลเน่าเสีย เนื่องจากทำให้ดินตะกอนมีการฟุ้งกระจายเป็นพื้นที่กว้างมาก เมื่อมีการทำประมงคราดหอยซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะทำให้ดินตะกอนบริเวณพื้นท้องน้ำเหลือเพียงตะกอนดินขนาดใหญ่ ทำให้หอยลายและสัตว์น้ำวัยอ่อนที่อาศัยอยู่ในชั้นดินตะกอนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

ยังไม่สายที่จะช่วยท้องทะเล ด้วยการเลือกทานอาหารทะเลอย่างรับผิดชอบ พลังจากผู้บริโภคสามารถกำหนดทิศทางและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการสนับสนุนการประมงอย่างยั่งยืน ที่ไม่ทำร้ายทั้งสุขภาพของคุณและท้องทะเล!


..... จาก เว็บไซท์ของ Greenpeace วันที่ 10 สิงหาคม 2558


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:30

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger