ขับรถท่องเที่ยวเทียวไป ทั่วแคว้นแดนไกล...หนองคาย...ลาว...เลย...ภาคที่ 1
ขับรถท่องเที่ยวเทียวไป ทั่วแคว้นแดนไกล หนองคาย...ลาว...เลย http://i835.photobucket.com/albums/z.../3600-km_E.jpg |
รถขับเคลื่อนสี่ล้อฟอร์จูนเนอร์ นาม "เจ้ากระต่ายขาว" วิ่งราบเรียบออกจากบ้านของสองสายในเมืองกรุง มุ่งหน้าสู่ถนนหลวงสายมิตรภาพ... จุดหมายปลายทางสำหรับวันนี้คือ "หนองคาย"...จังหวัดชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง ประตูสู่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่เรามีเป้าหมายจะร่วมกับกองคาราวานของ ฟอร์จูนเนอร์คลับ ขับรถลุยเข้าไปท่องเที่ยวกัน... เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯราวแปดโมงเช้า..มุ่งหน้าขึ้นเหนือ โดยใช้ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) เมือถึงสระบุรี เราเลี้ยวขวาเข้าเส้นทางมิตรภาพ (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2) ผ่านเมืองนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เมืองชายแดนไทยที่ติดกับประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ที่มีแม่น้ำโขงเป็นพรมแดนธรรมชาติ เราจะแวะพักผ่อนท่องเที่ยวอยู่ที่หนองคายสักสองวันสามคืน จากนั้น จะลุยเข้าลาว โดยขับรถข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผ่านเวียงจันทน์ มุ่งหน้าไปเมืองเชียงขวาง หลวงพระบาง วังเวียน และกลับเข้าไทยที่หนองคายโดยผ่านทางเวียงจันทน์...... |
ภาคที่ 1....หนองคาย ถนนมิตรภาพยุคใหม่ แบ่งเป็นช่องทางไปกลับ ข้างละสองเลนบ้าง สามเลนบ้าง การเดินทางจึงค่อนข้างจะคล่องตัว เมื่อผ่านเขื่อนลำตะคอง เขตเมืองโคราช เราถูกตำรวจเรียกปรับไป 200 บาท ข้อหาใช้ความเร็ว 123 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถามว่าจะต้องวิ่งด้วยความเร็วเท่าไร จึงจะไม่ถูกจับ ตำรวจบอกว่าอะลุ่มอล่วยความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง....!!! อืมมมม...ขับเกินไป 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างที่บอก เท่านั้นเองนะคะ คุณตำรวจ...ที่ขับ 140-150 กลับไม่จับ |
ใช้ความเร็วไม่เกินที่ตำรวจบอกไว้...ใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงเศษๆ รถก็เริ่มแล่นเข้าเขตเมืองหนองคาย เราโทรศัพท์หา น้องดื้อ Blue Day...เจ้าถิ่นเมืองหนองคาย เพื่อให้พาไปที่พัก ที่น้องดื้อกรุณาจองไว้ให้ล่วงหน้า โชคดี ที่เราจอดรถคอยอยู่ไม่ไกล จากที่ทำงานของน้องดื้อนัก คอยอยู่ครู่เดียว น้องดื้อก็ขับรถออกมาพบ http://i835.photobucket.com/albums/z...ang-Nam_13.jpg น้องดื้อพาเราเข้าที่พัก “หนองคายโฮเต็ลแอนด์ รีสอร์ท” ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว นัก http://i835.photobucket.com/albums/z..._Resort_01.jpg ที่นี่มีห้องพักแบบบังกาโลว์เล็กๆ ปลูกเรียงรายอยู่ข้างอาคารใหญ่ ที่เคยเป็นที่ทำการของเอเยนต์ขายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ที่ขายกิจการให้นายทุน นำมาดัดแปลงเป็นรีสอร์ตเล็กๆ ซึ่งเงียบสงบ สะอาดสะอ้าน และสะดวกสบาย http://i835.photobucket.com/albums/z..._Resort_02.jpg เราจะพักอยู่ที่นี่สามคืน เพื่อท่องเที่ยวไปกับน้องดื้อแบบสบายๆ ก่อนที่จะต้องขับรถลุยเข้าลาว ซึ่งคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย.... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Resort_03.jpg |
วันรุ่งขึ้น...น้องดื้อมาพบเราช่วงใกล้เที่ยง เพื่อพาเราไปทานอาหารเวียตนามเจ้าดัง ของเเมืองหนองคาย.... "ร้านแดงแหนมเนือง" http://i835.photobucket.com/albums/z...amnuang_01.jpg บรรยกากาศสบายๆริมน้ำโขง และอร่อยสมคำร่ำลือ...โดยเฉพาะ แหนมเนือง กระดูกหมูทอด ยำหมูยอ หูหมูตั้ง.... |
น้องดื้อ Blue Day...เจ้าถิ่น ยืนยันหนักแน่นว่า ของเขาอร่อยจริงๆนะ...จะบอกห้ายยยย... เสียดายที่ไม่ได้ตบท้ายด้วย "เต้าส่วนใส่ปาท่องโป๋" ของหวานดังของร้านนี้ แต่น้องดื้อบอกว่าจะพาไปทานคืนนี้ อร่อยไม่แพ้กันค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...amnuang_06.jpg ไปไม่ถูก...ดูที่แผนทีนี้ได้ค่ะ... |
ว้าวววววววววววววววววว
หิววววววววววววววววววววว |
ไหนๆร้านแดงก็อยู่ใกล้ "ท่าเสด็จ" ท่าเรือที่ข้ามไปฝั่งแม่น้ำโขง และแหล่งช๊อปปิ้ง "ตลาดอินโดจีน" นิดเดียว แวะไปเที่ยวกันก่อนนะคะ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันสักหน่อย... http://i835.photobucket.com/albums/z...a-Sadej_01.jpg มีมุมน่ารักให้ถ่ายภาพด้วยค่ะ.. |
|
ตึกที่ทำการศุลกากร ที่ตั้งอยู่ที่ท่าเสด็จ ดูเก่าแก่และคลาสสิคมาก หน้าตึกมีป้ายเขียนชื่อตัวอาคารไว้ แบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...a-Sadej_05.jpg ตลาดท่าเสด็จ ที่นิยมเรียกกันว่า "ตลาดอินโดจีน" เพราะเป็นแหล่งรวมสินค้า ที่ได้มาจากประเทศแถบอินโดจีนเป็นส่วนมาก แถมมีสินค้าจากยุโรปตะวันออกมาเสริม ให้ดูน่าซื้อมากขึ้น http://i835.photobucket.com/albums/z...a-Sadej_06.jpg ที่นี่...มีทั้งผลิตภัณฑ์อาหารแห้ง อาหารแปรรูป และข้าวของเครื่องใช้ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า นาฬิกา เครื่องครัว ฯลฯ ให้เลือกหาซื้อ ถ้าเป็นวันหยุดราชการที่นี่คงจะคึกคัก แต่ในวันที่เราไปเป็นวันธรรมดา จึงดูเงียบเหงามาก http://i835.photobucket.com/albums/z...a-Sadej_08.jpg สามล้อเครื่องที่จอดรอผู้โดยสารมาใช้บริการ... |
จากท่าเสด็จ...เราจะเริ่มเที่ยวในตัวเมืองหนองคายกัน โดยมีน้องดื้อโดดงาน มาเป็นไกด์กิติมศักดิ์ให้เราค่ะ...
ที่เที่ยวในเมือง ไม่มีที่เที่ยวมากนัก นอกจากวัด...วัด...และวัด..ซึ่งน้องดื้อบอกว่า "ผมไม่ค่อยจะรู้จักวัด เพราะไม่ค่อยได้เที่ยววัดคร้าบบบ..!!!" สองสายมองหน้ากันแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะคราวนี้ น้องดื้อจะต้องได้เที่ยววัดกับเราแล้ว... วัดแรกที่เราไปคือ "วัดโพธิ์ชัย" ซึ่งเป็นพระอารามหลวง...เดิมชื่อ วัดผีผิว วัดนี้ใช้เป็นที่เผาผีหรือเผาศพ และมีผีดุ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ เป็นวัดโพธิ์ชัย ใน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันเป็นสถานที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส หลวงพ่อพระใส เป็นพระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน ชั้นหลัง หล่อด้วยทองสุก (ทองคำ ที่มีเนื้อทองคำบริสุทธิ์ ประมาณ 92 เปอร์เซนต์ สีทองคำจะมีสีเหลืองเข้ม เรียกว่า สีทองสุก) มีพระพุทธลักษณะงดงามมาก ขนาดหน้าตักกว้าง 2 คืบ 8 นิ้ว สูงจากเบื้องล่างพระชงฆ์ ถึงยอดพระเกศ 4 คืบ 1 นิ้ว มีห่วงกลมขนาด หัวแม่มือจำนวน 3 ห่วง ติดกับพระแท่นซึ่งหล่อติดกับองค์พระใส สำหรับผูกเชือกติดกับยานเวลาที่อัญเชิญลงมาแห่รอบเมืองให้ประชาชน ได้สรงน้ำในช่วงวันสงกรานต์ หลวงพ่อพระใส จัดสร้างขึ้นโดย พระราชธิดาพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์แห่งล้านช้าง ทั้ง 3 พระองค์ คือ พระสุก พระเสริม และพระใส ซึ่งได้ทรงขอพรจากพระราชบิดา โดยให้ช่างหล่อ พระพุทธรูปประจำพระองค์ และตั้งชื่อตามพระนามของพระธิดาทั้ง 3 พระองค์ ตามลำดับ คือ พระสุก พระเสริม และพระใส ประดิษฐานไว้ที่ วัดโพนชัย แขวงเมือง เวียงจันทน์ พระรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระ บวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ ยกกองทัพไปปราบกบฎ เจ้าอนุวงศ์ ณ นครเวียงจันทน์ จนสงบแล้วจึงได้อัญเชิญ พระสุก พระเสริม พระใส มาจากถ้ำที่ภูเขาควาย เนื่องจาก ชาวเมืองได้นำเอาไปซ่อนไว้ขณะที่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบภายในเมืองหลวง โดยอัญเชิญ ลงในแพไม้ไผ่ผูกติดกันอย่างมั่งคง ทั้ง 3 ลำ ล่องลอยมาตามน้ำงึม แล้วมาขึ้นฝั่งแม่น้ำโขงที่ เมืองหนองคาย ที่ วัดหอก่อง หรือ วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ จังหวัดหนองคาย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งจอมเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานี และเจ้าเหม็น (ข้าหลวง)อัญเชิญพระใส ขึ้นเกวียนไปไว้ที่กรุงเทพ ฯ แต่เกวียนที่ใช้อัญเชิญพระใสมาถึงวัดโพธิ์ชัย เกวียนก็หักลง ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ จึงได้อัญเชิญหลวงพ่อพระใส ประดิษฐานไว้ที่วัดโพธิ์ชัยจนถึงบัดนี้ เมื่อปี พุทธศักราช 2481 พระเศียรของหลวงพ่อพระใส ถูกขโมยตัดเอาไปขาย จึงต้องประกอบพิธีหล่อพระเศียรขึ้นมาใหม่ และกล่าวกันว่าผู้ที่มาขโมยนั้น เกิดวิบัติฉิบหายทั้งครอบครัว พระสุก นั้น ได้จมลงที่แม่น้ำโขงขณะอัญเชิญลงมายังกรุงเทพ บริเวณที่พระสุกจมลงชาวบ้านจึงเรียกว่า เวินพระสุก ยังปรากฏมาจนปัจจุบันนี้ พระเสริม นั้น ได้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม ขอบคุณข้อมูลจาก...http://th.wikipedia.org และ http://www.intaram.org/index.php?lay...8983&Ntype=777 |
ไม่อยากจะพูดคำว่าอิจฉา เพราะมันบาป 555
|
มาปูเสื่อดูภาพแจ่มๆและเก็บข้อมูล อยากไปมานานแล้วครับ
|
เข้ามาชม แต่ภาพขึ้นเฉพาะความเห็นแรกครับ ..
ไม่ทราบพี่ๆเพื่อนๆมีอาการแบบเดียวกันหรือเปล่า อยากชมรูปงามๆของพี่สองสายมากๆเลยครับ |
น้องโป๋จ๋า...อย่าอิจฉาพี่เล้ย วันหน้าพี่จะพาไปด้วยกันนะจ๊ะ...:) น้องก้อยจ๋า....ทริปนี้ยาววววว...นะจ๊ะ หาเบาะรองนั่งดีๆ เดี๋ยวเจ็บก้น...ฮี่ๆๆ...:p น้องปี๊บจ๋า...คุณสายน้ำนำภาพไปเก็บที่ Photobucket จ้ะ จะได้จัดภาพหร้อมคำบรรยายได้ง่ายจ้ะ เอ..คนอื่นมีปัญหาไหมจ๊ะ :confused:... ถ้าภาพมีปัญหา พี่จะได้ใส่ภาพให้ใหม่จ้ะ.. |
ยังไม่ลงเรื่องต่อนะคะ..รอว่า นอกจากน้องปี๊บแล้ว มีใครดูภาพไม่ได้อีกบ้างค่ะ
ช่วยตอบกันด้วยนะคะ...ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อยตอนแก้ไขภาพ และเนื้อเรื่องค่ะ.. |
ของน้องไม่มีปัญหาค่ะ ดูได้สบายค่ะ
ปูเสื่อ รอกินขนุน (ด้วยความตะกระ (ตะกละ) ดูด้วยค่ะ) |
แอบมาดู ก็เห็นภาพได้สวยงามชัดเจนครับ
:d |
เกาะขอบโต๊ะ เฝ้าหน้าจอ เรื่องราวสนุก+สาระ ภาพสีสัน สวยงามค่ะ :d
|
สวัสดีครับพี่สองสาย .. อาการนี้สงสัยจะเป็นผมคนเดียว
อาจจะเป็นคอมที่ออฟฟิศ ยังไงจะลองหาทางแก้ไขดูครับ ขอบคุณครับผม |
อ้างอิง:
และมีน้องๆหลายคนมายืนยันว่า เปิดภาพได้เป็นปกติ ก็แสดงว่า อาจจะเป็นที่เครื่องของน้องดอกปีบ หรือสัญญาณที่ใช้มันอาจจะอ่อนจนโหลดภาพไม่ขึ้นหรือเปล่าครับ ช่วงหลังๆนี่ ภาพที่สองสายโพสต์ จะใช้ลิ๊งค์จาก Photobucket ตลอด เพราะไม่อยากโพสต์รูปตรงๆซึ่งจะไปทำให้พื้นที่ในโฮสต์มันเพิ่มมากขึ้นน่ะครับ อย่างตารางน้ำที่เพิ่งโพสต์เมื่อเช้า ก็ลิ๊งค์ไปจากที่เดียวกันครับ |
เป็นเพราะ ทางบริษัท ควบคุมการใช้งานงาน
มาเปิดที่ทำงานก็ไม่เห็นภาพ หากต้องแชร์จากที่อื่น ดังนั้น ต้องเปิดดูที่บ้าน ที่เค้าไม่ได้ควบคุม ขอรับ พี่น้องงงง |
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบค่ะ... ถ้าเป็นอย่างนี้...น้องดอกปีบลองแก้ไขคอมฯ ที่ที่ทำงานก่อนนะจ๊ะ พี่จะลงเรื่องและภาพไปพลางๆก่อนจ้ะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ไปอ่านที่บ้านพี่สองสายก็ได้นะจ๊ะ.. ;) |
คงจะเป็นเพราะวัดโพธิ์ชัยเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในเมืองหนองคาย จังหวัดใกล้เคียง และแม้แต่คนในเมืองลาว...เราจึงเห็นผู้คนมากมาย นั่งรถบัสใหญ่ๆ แล่นเข้ามาจอดในลานวัดแน่นขนัด ผู้คนโดยเฉพาะเด็กๆในเครื่องแบบนักเรียน เดินกันขวักไขว่วุ่นวาย จนยากที่จะหามุมถ่ายภาพ ทั้งภายนอกและภายในโบสถ์ได้... เรื่องของศรัทธาที่มนุษย์มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น...เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ และน่าทึ่งเสมอค่ะ แต่นักเรียนมากมายที่มาวัดโพธิ์ชัยในวันนี้ จะมาด้วยศรัทธา หรือโรงเรียนส่งมาทำกิจกรรมสัญจรกันแน่นะ... |
ออกจากวัดโพธิ์ชัย...น้องดื้อบอกว่า "ต้องไปศาลาแก้วกู่ครับ"....สองสายสงสัยว่า "ศาลาแก้วกู่" คืออะไร น้องดื้อก็บอกว่า "ที่นั่นไม่ใช่วัด แต่มีรูปปั้นพระและเทวรูปสูงใหญ่อยู่มากมาย แปลกดีครับ" อย่างนี้ต้องไปดูให้รู้ว่าแปลกอย่างไร แล้วล่ะค่ะ เราขับรถออกจากตัวเมืองหนองคาย ไปทางอำเภอโพนพิสัยไม่ถึงสามกิโลเมตร ก็เห็นยอดแหลมๆ รูปทรงประหลาดๆ สูงชลูด โผล่สลอนขึ้นมาต่อหน้าต่อตา จนเราถึงกับอึ้ง..ทึ่ง... จอดรถที่ลานจอด ซึ่งมีสแลนบังแดดไว้ให้อย่างดี ก่อนเข้าประตู ผ่านร้านค้าขายของพื้นเมือง ที่เน้นหนักหมวกและร่ม ก็รู้ว่าเราคิดถูก ที่เห็นแดดแผดจ้า ก็คว้าหมวกและร่มติดมือไปด้วย เสียเงินค่าผ่านประตูคนละ 20 บาท ก็เดินผ่านประตูปร๋อเข้าไปข้างในได้... |
ผ่านประตูเข้าไป...อุแม่เจ้า...ช่างอลังการงานสร้างอะไรเช่นนี้... http://i835.photobucket.com/albums/z...aew-Koo_06.jpg งานปูนปั้นแต่ละชิ้นล้วนใหญ่โตมโหฬาร รูปทรงแปลกตา ล้วนเกี่ยวพันกับปรัชญา ศาสนา และความเชื่อ ที่ผู้สร้าง คือ “ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” มีศรัทธา |
“ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์” หรือ “ปู่เหลือ” (พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๕๓๙) มีประวัติชีวิตและผลงานอัศจรรย์ มีเรื่องที่เล่าขานกันว่า “ นางคำปลิว สุรีรัตน์ ชาวหนองคาย เป็นบุตรสาวคนโตของครอบครัว เมื่อแต่งงานได้ระยะหนึ่งก็ฝันว่ามีชีปะขาวนำนาคมรกตมามอบให้ แต่บอกว่าอีก ๗ เดือนค่อยไปรับมาเป็นของตน ต่อมาแม่ของนางคำปลิว ได้ตั้งท้องลูกคนที่เจ็ด ในวัยที่สูงอายุและหมดประจำเดือนแล้ว เมื่อคลอดบุตรชายออกมา เมื่ออายุครรภ์ได้เพียง ๗ เดือน ทุกคนจึงเชื่อว่าเป็นไปตามนิมิตในฝัน นางคำปลิวและสามีจึงได้รับน้องชาย คือ ดช.บุญเหลือ สุรีรัตน์ มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่แรกเกิด ด.ช.บุญเหลือชอบเข้าวัดมาแต่เด็ก พออายุได้หกขวบนางคำปลิวเสียชีวิตลง สามีนางคำปลิวมีภรรยาใหม่ ด.ช.บุญเหลือจึงกลับไปอยู่กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่มักขัดขวางห้ามปรามผู้ใหญ่ในทางบาปต่างๆ จึงไม่เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง ครั้นอายุ ๑๒ ปี ทนความกดดันรอบข้างไม่ไหว จึงหนีออกจากบ้านรอนแรมไปจนพบ สำนักอาศรมแก้วกู่ ในเขตแดนลาว และได้ฝากตัวศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติธรรม อยู่กับพระมุนีที่นั่น จนอายุครบ ๒๐ ปี พระมุนีจึงให้ออกจากสำนัก ไปจาริกแสวงบุญโปรดญาติโยมทั้งใกล้และไกล เมื่ออายุ ๓๐ ปี จึงได้กลับมาปรนนิบัติตอบแทนคุณในวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่ ก่อนแม่สิ้นบุญในปี ๒๕๐๗ ได้มอบที่ดิน ๘ ไร่ ณ บ้านเชียงควาน เมืองท่าเดื่อ เวียงจันท์ ไว้เป็นมรดก ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ปู่เหลือได้พัฒนาที่ดินดังกล่าวสร้างเป็น “ปูชนียสถานเทวาลัยอย่างมหึมา” พุทธศาสนิกชนทั้งในภาคพื้นยุโรปและเอเชียเลื่อมใสมาก แต่เมื่อเกิดเหตุวิกฤตในราชอาณาจักรลาวเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ หลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ข้ามโขงมา และรวมกันจัดตั้งเป็น “พุทธมามกสมาคมจังหวัดหนองคาย” โดยกรมการศาสนารับรองให้ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ สานุศิษย์ได้จัดซื้อที่ดินราว ๔๑ ไร่ ในเขตบ้านสามัคคี ต.หาดคำ ถวายให้เป็นที่ตั้งสำนักจวบจนปัจจุบัน ต้นปี พ.ศ.๒๕๒๗ ปู่เหลือถูกใส่ความและมีผู้ไปแจ้งตำรวจตั้งข้อหาฉกรรจ์ (ซึ่งทางสำนักขอสงวนไว้) ต้องอยู่ในเรือนจำจนถึงปลายปี ๒๕๒๙ เมื่อออกมาแล้ว ก็สร้างเทวรูปอีกมากมาย ทั้งเล็กและใหญ่ และทั้งขนาดที่สูงถึง ๓๓ เมตร เมื่อสร้างทั้งพุทธรูปและเทวรูปถึง ๒๐๙ ปางแล้ว ก็สร้างศาลาแก้วกู่หลังใหม่โดยรื้อหลังเก่า ( พ.ศ.๒๕๒๓ – ๒๕๓๘) ที่ทรุดโทรมลง ขณะก่อสร้างศาลาหลังใหม่ ปู่เหลือก็ล้มป่วย และต่อมาได้เสียชีวิตลง ในเดือนสิงหาคม ๒๕๓๙ สานุศิษย์ได้นำผอบแก้วใส่ร่างของท่านไว้ ตามความประสงค์ก่อนสิ้นชีวิต” ขอบคุณข้อมูลจาก...http://sala-saeoku.blogspot.com/ และ http://www.muangboranjournal.com |
บริเวณที่ตั้งของศาลาแก้วกู่ จัดเป็น “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง” มีสิ่งที่เรียกว่า “ปูชนียวัตถุ และพุทธปูชนียสถานเทวาลัย” คือรูปปั้นพิสดารพิลึกพิลั่นมากมาย อาทิ รูปปั้นปางพระอิศวร – พระอุมาเสวยสุข ปางพระพุทธเจ้าเสด็จหนีออกบรรพชา ปางทรงศึกษาที่ธรรมะกับพระฤาษี ปางกามเทพ (คิวปิต) ปางฤาษีแก้วกู่อะธามา ปางพระขันทกุมาร ฯลฯ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยก็จะทำพิธีอัญเชิญเทพเทวามาสถิต มาชื่นชมผลงานของปู่บุญเหลือกันนะคะ... เข้าไปก็พบกับเทวาลัยพระราหูครึ่งตัว นอนหนุนแขนจ้องมองอยู่ พระราหูเหลืออยู่ครึ่งตัว เพราะพระนารายณ์ทรงขว้างจักรตัด ถูกกลางตัวพระราหูขาด กลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยน้ำอำมฤตที่พระราหูได้ขโมยดื่ม ตอนทำพิธีกวนเกษียรสมุทร ได้ไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งล่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่ 9 แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ ขอบคุณข้อมูลจาก...http://th.wikipedia.org |
พระพุทธรูป ในลักษณะต่างๆ... http://i835.photobucket.com/albums/z...aew-Koo_04.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...aew-Koo_07.jpg |
|
|
ปริศนาธรรม มีข้อคิดดีๆค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...aew-Koo_14.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...aew-Koo_15.jpg |
เราเดินออกจากศาลาแก้วกู่ ด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าตอนก่อนเดินเข้าไปมาก เราได้ประจักษ์แก่ใจตัวเองว่า ความอลังการทั้งหลายที่เราได้เห็นนั้น เกิดจากความศรัทธาในศาสนาของคนๆหนึ่ง ที่หวังจะให้ศาสนาคงอยู่ และเป็นเครื่องเตือนจิตใจ สอนสั่งให้คนหมั่นสร้างสมความดีตลอดชั่วชีวิตแห่งตน... |
บ่ายคล้อย...ถึงเวลาที่น้องดื้อจะต้องไปดำน้ำทำงาน ในถังน้ำใหญ่ท่ามกลางฝูงปลาของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหนองคาย เราย้อนกลับไปส่งน้องดื้อขึ้นรถที่จอดไว้ที่รีสอร์ต และนัดหมายทานข้าวเย็นกันให้อร่อย ก่อนที่น้องดื้อจะขับรถไปทำงานที่แสนสนุก...ร้อนๆอย่างนี้น่าอิจฉาน้องดื้อจริงๆนะคะ... ยังพอมีเวลาเหลือก่อนจะมืด...สองสายบึ่งรถ ออกไปทางเมืองอุดรธานี แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนสายเล็กๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่ "วัดพระธาตุบังพวน" |
พระธาตุบังพวน เป็นพระธาตุเจดีย์ที่เก่าแก่และสำคัญยิ่งของจังหวัดหนองคาย และเป็นพระธาตุที่สำคัญองค์หนึ่งของภาคอีสาน ประดิษฐานอยู่ ณ บ้านพระธาตุบังพวน ตำบลพระธาตุบังพวน อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ตามตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่า พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมืองหนองหาน สกลนคร พระยาคำแดง เจ้าเมืองหนองหารน้อย อุดรธานี พระยาจุลณี พรหมทัต เจ้าเมืองจุลณี (ลาวเหนือ) พระยาอินทปัตนคร เจ้าเมืองอินทปัตนนนคร (เขมร) และ พระยานันทเสน เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์หลวง (ตรงข้ามนครพนม) ได้ร่วมกันอุปถัมภ์ พระมหากัสสเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์ อีก 500 องค์ ทำการก่อสร้างพระธาตุพนม แล้วเสร็จ และได้บรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด ต่อมาได้เดินทางไปสู่แดนพุทธภูมิ เพื่อไปอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า 45 พระองค์ นำมาประดิษฐานไว้ ณ สถานที่ 4 แห่งคือ บริเวณเมืองหนองคาย และเมืองเวียงจันทน์ หนึ่งในสี่แห่งนั้น คือพระธาตุบังพวน ซึ่งได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ มาพักที่ร่มไม้ปาแป้ง (ไม้โพธิ) ณ ภูเขาหลวง อันเป็นที่ตั้งพระเจดีย์ พระธาตุบังพวนปัจจุบัน จากการสำรวจทางโบราณคดีพบว่า พระธาตุบังพวนได้มีการก่อสร้างสืบเนื่องกันมาสามสมัย คือ ฐานเดิมสร้างด้วยศิลาแลง ชั้นที่สองสร้างด้วยอิฐครอบชั้นแรก และต่อมาได้มีการก่อสร้างให้มีขนาดสูงใหญ่ขึ้น จากจารึกที่ฐานพระพุทธรูปที่ขุดได้ 4 องค์ ในจำนวนทั้งหมด 6 องค์ ระบุศักราชที่สร้างไว้ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2118 พ.ศ. 2150 พ.ศ. 2158 และ พ.ศ. 2167 และข้อความในจารึกเมื่อ พ.ศ. 2167 มีประวัติในการสร้าง โดยได้กล่าวถึงพระเจ้าโพธิสาลราช ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้าง มีราชธานีอยู่ที่นครเชียงทอง ซึ่งก็ตรงกับรูปแบบการก่อสร้างโบราณสถาน ในบริเวณวัดพระธาตุบังพวน ที่แสดงถึงอิทธิพลของอาณาจักรล้านช้าง พระธาตุบังพวน ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านช้าง และ ได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยต่อมา แต่ไม่ต่อเนื่องนัก ในระยะหลังจึงทรุดโทรมมาก และได้พังทะลายลงมา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2513 กรมศิลปากรจึงได้ดำเนินการบูรณขึ้นใหม่ โดยก่อคอนกรีตเสริมฐานเดิม ซึ่งที่ฐานล่างเป็นศิลาแลง ต่อมาเป็นฐานทักษิณ 3 ชั้น บัวคว่ำ 2 ชั้น ต่อด้วยปรางค์สี่เหลี่ยมบัวปากระฆัง บัวสายรัด 3 ชั้น รับดวงปลีบัวตูม แล้วตั้งฉัตร 5 ชั้น ฐานล่างรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้างด้านละประมาณสิบเจ็ดเมตร สูงถึงยอดฉัตรประมาณสามสิบสี่เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมทั้ง สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธาน และร่วมยกฉัตรสู่ยอดพระธาตุบังพวน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www1.mod.go.th/heritage/religion/pratat/bung.htm |
ซากโบราณสถานที่อยู่ภายในบริเวณวัด ซึ่งกล่าวกันว่า เป็นซาก "สัตตสถาน" ที่ยังมีครบถ้วนทั้งเจ็ดองค์ และมีแผนที่ตั้งเหมือนกันกับที่พุทธคยา.... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_19.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_11.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_20.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_21.jpg |
http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_15.jpg โบสถ์ใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ...พระพุทธรูป จึงอยู่บริเวณซากโบสถ์เดิม มีหลังคามุงกันแดดกันฝนไว้..มีศาสนิกชนครอบครัวหนึ่ง นั่งสนทนาธรรมกับพระสงฆ์อยู่นาน ไม่มีท่าทีจะลากลับ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_14.jpg พระพุทธรูป..รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม และเทพเจ้าจีน ที่แตกหักเสียหาย ถูกนำมาวางไว้... |
เราจากวัดพระธาตุบังพวนมา เมื่อใกล้ยามย่ำสนธยาเต็มทีแล้ว...วันนี้ นับเป็นวันที่สุขใจวันหนึ่งของเราค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ng-Puan_09.jpg |
ออกจากวัดพระธาตุบังพวน..น้องดื้อก็โทรมาบอกว่า จองเรือล่องแม่น้ำโขงให้แล้ว แต่ไม่ทานข้าวเย็นบนเรือ เพราะอาหารไม่อร่อยเลย เรารีบบึงรถไปที่ท่าเรือ แต่กว่าจะถึงก็ช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง..โชคดีที่เรือยังจอดคอยที่เรือนแพซึ่งเป็นร้านอาหาร อย่างไรก็ตาม พอลงเรือได้ พนักงานเรือก็พยายามคะยั้นคะยอ ให้เรารับประทานอาหารเย็นในเรือนแพ หลังจากเรือที่พาล่องแม่น้ำโขงเข้าเทียบท่า ซึ่งเราก็ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน แต่เมฆฝนที่มืดครึ้มทะมึนเต็มท้องฟ้านั้น ทำให้สลัวมัวซัว เห็นเพียงแสงจางๆ ทางฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเวียงจันทร์ หรือเวียนเทียน ของลาว... http://i835.photobucket.com/albums/z...NK_View_01.jpg เมฆท้องแก่ซะขนาดนี้ แถมยังมีลมพัดมาฉิวๆ....แล้วนี่ฝนจะตกไหมหนอ...:confused: http://i835.photobucket.com/albums/z...NK_View_02.jpg |
ท้องฟ้าครึ้มๆ...ไม่ทำให้เราสะทกสะท้าน เรานั่งเรือชมวิวเมืองหนองคายและเมืองเวียงจันทน์กันต่อไป อย่างไม่สะทกสะท้าน.. http://i835.photobucket.com/albums/z...NK_View_05.jpg จู่ๆเมฆฝนก็ถูกลมพัดไปทางเหนือซะไกล เรือแล่นต้านน้ำล่องใต้ไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว...แล้วก็วนกลับมา ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงแพริมน้ำใหม่ http://i835.photobucket.com/albums/z...NK_View_09.jpg น้องดื้อบอกว่า จริงๆเรือควรจะวิ่งเลยไปถึงพระธาตุกลางน้ำ แล้วค่อยวนกลับมาที่แพ เข้าใจว่าเป็นเพราะเราทำให้เรือออกช้า ก็เลยทำให้กัปตันแก้เผ็ด ด้วยการไม่ยอมล่องเรือต่อ เราก็เลยแก้เผ็ดบ้าง...โดยเดินลงจากเรือได้ ก็เดินดิ่งขึ้นฝั่ง ไปหาอาหารอร่อยๆบนฝั่งทานแทน เสียดายค่ะ อาหารอร่อยมาก และเราก็หิวมาก จึงทานอาหารเพลินซะจนลืมถ่ายภาพ... :p |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:59 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger