SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   รวมเรื่อง .... ภัยพิบัติของโลก (3) (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=493)

สายน้ำ 04-10-2009 07:23

รวมเรื่อง .... ภัยพิบัติของโลก (3)
 

ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ภัยรุมกระหน่ำเอเชีย

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...25041052p1.jpg

มหันตภัยจากธรรมชาติซัดเอเชีย "เป็นชุด" ตลอดสัปดาห์นี้ ทำให้ประชาคมโลกรับ มือไม่ทัน

พายุกิสนา ถล่มฟิลิปปินส์จมบาดาลในพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงกรุงมะนิลา ตั้งแต่ 26 ก.ย. ก่อน กระหน่ำต่อในเวียดนาม กัมพูชา ลาว และไทย

แผ่นดินไหวระดับ 8.0 ริกเตอร์ก่อคลื่นยักษ์ สึนามิ กวาดสิ่งปลูกสร้างริมหาดเกาะซามัวพังราบ ในวันที่ 30 ก.ย. ช่วงเช้ามืด

ตกเย็น วันเดียวกัน แผ่นดินไหวขนาด 7.6 ริกเตอร์ พังถล่มเมืองปาดัง ในสุมาตราตะวันตก

ยอดผู้เสียชีวิตทุกเหตุการณ์นี้รวมกันเกิน 1,500 ชีวิต แต่ภัยพิบัติยังไม่หมด

พายุลูกใหม่ "ป้าหม่า" ที่ทวีกำลังความแรงเป็น "โคตรไต้ฝุ่น" ความเร็ว 230 กิโลเมตร จ่อเข้าซ้ำเติมฟิลิปปินส์อีก

ส่วนศพใต้ซากอาคารที่เกลื่อนเมืองปาดังของอินโดนีเซีย เริ่มเน่าเปื่อยและส่งกลิ่นออกมามากขึ้น

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...25041052p2.jpg

รัฐบาลอินโดนีเซีย เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากนานาประเทศ ในการกู้ภัยช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมถึงกู้ศพที่อยู่ใต้ซากอาคาร

หลังเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ แจ้งตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ 1,100 ราย

แรง สั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวทำให้เมืองปาดังกลายเป็นเขตหายนะ ไม่มีไฟฟ้า ประปา ซากอาคารถล่มทับขวางถนน ล้วนขัดขวางปฏิบัติการกู้ภัยที่ต้องเร่งแข่งกับเวลา

ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐ ซึ่งเคยมาใช้ชีวิตในอินโดนีเซีย กล่าวแสดงความเสีย ใจด้วยอย่างสุดซึ้ง พร้อมประกาศมอบเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 แสนดอลลาร์ และตั้งงบช่วยเหลือเหยื่อประสบภัยอีก 3 ล้านดอลลาร์

ส่วนไทยส่งยาและทีมแพทย์เข้าไปช่วยเหลือ พร้อมกับอีกหลายๆ ชาติ

เหตุการณ์ แผ่นดินไหวที่เมืองปาดัง ไม่ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวแปลกใจ เนื่อง จากเมืองตั้งอยู่บนแนว "วงแหวนไฟ" หรือรอยเลื่อนของเปลือกโลก ตรงจุดที่เรียกว่า ร่องซุนดา

แผ่นเปลือกโลกตรงผืนดินหลักในสุมาตราเคลื่อนไปทางตะวันออก ขณะที่ร่องซุนดาใต้มหาสมุทรเคลื่อนไปทางตะวันตก

นัก วิทยาศาสตร์อธิบายว่า แผ่นดินไหวครั้งรุนแรง มักเกิดจากแผ่นเปลือกโลกอินโดฯ -ออสเตรเลีย ปะทะกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนที่เคลื่อนทางสวนกัน

เมื่อปลายปี 2547 ที่เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 8.2 ริกเตอร์ที่เกาะสุมาตรา ใกล้จังหวัดอาเจะห์ ก่อคลื่นยักษ์สึนามิ เข้าซัดแผ่นดินรอบมหาสมุทรอินเดีย มีผู้เสียชีวิตกว่า 220,000 รายนั้น ผู้เชี่ยวชาญคำนวณแล้วว่า จะเกิดแผ่นดินไหวที่เขย่าเมืองปาดัง ซึ่งมีประชากร 9 แสนคนในอนาคต เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลลงทุนสร้างอาคารที่ทนแรงแผ่นดินไหวและขยายถนนเพื่อลดความเสียหายเมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้น

แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งธรณีพิโรธในวันที่ 30 ก.ย.นี้

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...25041052p3.jpg

ช่วง เวลาของเหตุแผ่นดินไหวที่เมืองปาดัง ของอินโดนีเซีย เกิดหลังจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะซามัว และอเมริกัน ซามัว ในทะเลแปซิฟิกใต้ ไม่ทันข้ามวัน

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ในเบื้องต้น ว่า สองเหตุการณ์นี้ไม่น่าเชื่อมโยงกัน เพราะอยู่ไกลกันถึง 10,000 กิโลเมตร

สิ่ง ที่เหมือนกันคือความรุนแรงของแผ่นดินไหว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญห่วงว่า กรณีของอินโดนีเซียน่าห่วงกว่า ตรงที่เกาะสุมาตราเป็นที่ตั้งของ "ภูเขาไฟ" ลูกใหญ่ 3 ลูก

แรงสั่นสะเทือนของดินอาจเขย่าให้ภูเขาไฟระเบิดได้

ส่วน กรณีเกาะซามัวและอเมริกัน ซามัว ระดับความรุนแรงสูงถึง 8.0 ริกเตอร์ ร้ายแรงที่สุดในรอบ 90 ปี คลื่นสึนามิซัดอาคารบ้านเรือน รวมถึงรีสอร์ตที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ พังราบไปทั้งหาด

มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 155 ราย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

หน่วยกู้ภัยสลดใจที่พบศพเด็กอย่างน้อย 5 รายในหมู่บ้าน โดยศพหนึ่งห้อยอยู่กับต้นไม้ หลังถูกคลื่นยักษ์ซัดกระเด็นขึ้นไป

ด้าน ฟิลิปปินส์ ประชาชนหลายล้านคนที่รอดตายจากพายุกิสนา ต้องหวาดผวากับการเคลื่อนตัวเข้ามาของไต้ฝุ่นนาม "ป้าหม่า" ซึ่งเป็นชื่ออาหารของมาเก๊า ที่ก่อตัวด้วยกระแสลมแรง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ประธานาธิบดีกลอเรีย อาร์โรโย ประกาศภาวะภัยพิบัติทั่วประเทศ เพื่อให้พร้อมสำหรับการรับมือพายุ ไม่ว่า เบิกจ่ายงบช่วยเหลือฉุกเฉิน ควบคุมราคาสินค้า และอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเมืองในเส้นทางพายุ

โดยเฉพาะจังหวัดออ โรร่า ที่มีคำเตือนว่า พายุอาจถล่มบ้านเรือนพังราบ ส่วนกรุงมะนิลา อาจเกิดฝนกระหน่ำอย่างหนักอีก ทั้งที่ไม่ฟื้นจากฤทธิ์พายุกิสนา ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 293 ราย

ผู้ประสบภัยอีกราว 400,000 คนยังคงพักอยู่ตามที่หลบภัย ไม่ว่า โรงเรียน โรงยิม และที่พักพิงชั่วคราวของรัฐบาล

ทุก ปี ฟิลิปปินส์เผชิญพายุไต้ฝุ่นราว 20 ลูก แต่การรับมือเริ่มปรับเปลี่ยนไปในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เนื่องจากพายุก่อความเสียหายร้ายแรงยิ่งขึ้น

และไม่มีใครรู้ว่า ความแรงจากภัยธรรมชาติจะลดลงเมื่อใด



จาก : ข่าวสด วันที่ 4 ตุลาคม 2552

สายน้ำ 23-11-2009 07:46


วิกฤตโลก? วันที่ขั้วโลกเหนือ..ไม่เหลือน้ำแข็ง

http://www.matichon.co.th/news-photo...01231152p1.jpg

อาคารสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ถนนโยธี บรรดาผู้สนใจเรื่องของ "วิกฤตโลก" ไปรวมตัวกันอย่างคับคั่ง เพราะเป็นงานเสวนาเรื่อง "วิกฤตโลก เมื่อขั้วโลกเหนือไม่เหลือน้ำแข็ง" โดยมี ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นวิทยากร

พิธีกรในการเสวนาเริ่มต้นบรรยากาศด้วยเหตุการณ์ข่าว "ทากทะเล" ที่ขึ้นมาตายจำนวนมาก ที่จังหวัดชุมพร และสันนิษฐานว่าเป็นเพราะการเปลี่ยน แปลงกระแสน้ำวนของน้ำทะเล จากนั้นโยนคำถามให้อาจารย์อานนท์ ร่ายยาว

ปัจจุบัน ดร.อานนท์เป็นผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านภัยพิบัติและการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวอธิบาย ว่าเคยไปเห็นหนอนทะเลที่หาดบางแสน เกิดขึ้นบริเวณชายฝั่ง ซึ่งมันอยู่ดีๆ ก็มาก็เกิดขึ้น แล้วมีคนพูดเกี่ยวกับกระแสน้ำ หรือสัตว์พวกนี้ว่าเป็นสัตว์หน้าดิน เดินได้เอง ไม่ต้องให้กระแสน้ำพามา เพราะไม่ใช่เป็นแพลงตอน ฉะนั้น การที่มันมารวมกันที่ใดที่หนึ่ง ความคิดเห็นส่วนตัวแล้วน่าจะเป็นอยู่ในส่วนของการสืบพันธุ์

"เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เพราะผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ความรู้ทางด้านชีววิทยาก็มีไม่ค่อยมาก" เสียงอาจารย์ออกตัวก่อนบรรยายต่อ ว่ามีสัตว์ทะเลหลายชนิดเวลาสืบพันธุ์จะต้องมาอยู่ด้วยกัน เราอาจจะไม่ได้สังเกตว่าสัตว์ขึ้นมาสืบพันธุ์เสร็จ มันก็จะตาย พอตายมันเดินไม่ได้ถูกคลื่นซัดขึ้นมา เป็นเรื่องปกติ

โดยปกติสัตว์ทะเลจะสืบพันธุ์ตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง

" ผมเคยเห็นพวกปลาหมึกหรือหนอนทะเลหลายชนิด มีวงรอบการสืบพันธุ์ของมันตรงกับภาพของพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่น่าใช่เรื่องกระแสน้ำที่ปกติในช่วงเวลาวันใดวันหนึ่ง" อาจารย์อานนท์กล่าว

เมื่อถามถึงเรื่องของ "วิกฤตโลก ในวันที่ขั้วโลกเหนือไม่เหลือน้ำแข็ง"

ดร. อานนท์กล่าวว่า ประเด็นนี้มีที่มาที่ไป โดย มีองค์กรเอกชนทางด้านวิชาการ ได้แถลงเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่าได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ ได้ข้อมูลนี้มา อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจาก "กองทุนสัตว์ป่าโลก" ด้วย

http://www.matichon.co.th/news-photo...01231152p2.jpg
(ขวาบน) "ทากทะเล"

" ที่จริงแล้วเขาบอกว่าอีก 20 ปีถึงจะไม่มีน้ำแข็ง และฤดูร้อนก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ผมว่าจะเริ่มเห็น ได้เป็นบางปี ในระยะเวลาประมาณ 10 ปีข้างหน้า แต่พอข่าวส่งบอกกันปากต่อปากมาเรื่อยๆ 10 ปี จะไม่มีน้ำแข็งแล้ว แต่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มันเป็นข้อมูลทางวิชาการ เป็นเรื่องที่ว่ากันแล้วมีการติดตามมาเป็นระยะยาว หลายประเทศค่อนข้างเป็นห่วง"

จากนั้น ดร.อานนท์ให้ดูภาพของน้ำแข็ง เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 เป็นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต มองจากขั้วโลกเหนือลงมาเป็นจุดอยู่ตรงกลางเล็กๆ ขั้วโลกเหนือไม่มีแผ่นดิน อยู่กลางมหาสมุทรอาร์กติกถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน พร้อมอธิบายว่า จะเห็นว่าตอนนี้น้ำแข็งโตขึ้นมาเต็มเหลือส่วนอีกเล็กน้อยที่ยังไม่เต็ม ในขณะที่น้อยที่สุดในปีนี้อยู่ที่วันที่ 16 กันยายน 2552 จะเห็นว่ามีน้ำแข็งอยู่เฉพาะส่วนเหนือของเกาะกรีนแลนด์ด้านบน

" ปกติฤดูร้อนในอดีตน้ำแข็งจะหดลงมาเล็กน้อย เพราะฉะนั้นน้ำแข็งฤดูร้อนมันหายไปจริง ตอนนี้เหลือประมาณ เมื่อเทียบกับของมหาสมุทรอาร์กติกทั้งหมดอยู่ที่ประมาณแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่มหาสมุทรอาร์กติกเท่านั้นเอง เมื่อก่อนมันร้อนจะลงมาอยู่ที่ประมาณ 50-60% ของมหาสมุทรอาร์กติก ตอนนี้ลงมาที่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ มันหายไปมาก"

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งทำให้มันยิ่งร้อนได้นานขึ้นกว่าเดิม เสียงบอกถึงสาเหตุจาก ดร.อานนท์

" ปลายฤดูตั้งแต่เดือนมิถุนายนไปถึงธันวาคม 2551 น้ำแข็งจะอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านตารางกิโล เมตร ในอดีตฤดูร้อนจะหดลงมาเหลืออยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ในปัจจุบันปี 2552 หดลงมาเหลือ 5 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ยังไม่ใช่น้อยที่สุด เพราะในปี พ.ศ.2550 เป็นปีที่น้ำแข็งหายไปมากที่สุด หดลงเหลือแค่ประมาณ 4 ล้านตารางกิโลเมตร"

เสียง ดร.อานนท์กล่าวต่อไปอีก ว่า ณ วันนี้แค่ประมาณเดือนเศษๆ น้ำแข็งเพิ่มขึ้น 5-8 ล้านตารางกิโลเมตร เพราะน้ำแข็งพอเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวมันเกิดเร็ว เพราะว่ามันเย็นมาก และน้ำแข็งมันเกิดจากการเย็นตัวของน้ำทะเลโดยตรง เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับเอาน้ำใส่แก้วไปใส่ในตู้ฟรีซเซอร์ มันก็จะเริ่มแข็ง แต่ไม่มีผลอะไรกับระดับน้ำทะเลมาก เพราะไม่ได้เติมน้ำจากด้านนอกเข้ามา

http://www.matichon.co.th/news-photo...01231152p3.jpg
ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา

" แต่ที่น่าสนใจ คือเราดูจากแนวโน้ม ปี 2552 ปีเดียวคงไม่ได้บอกอะไร และสิ่งที่อยากดูตอนนี้คืออายุเฉลี่ยของน้ำแข็ง ในอดีตอายุของน้ำแข็งจะนาน พวกที่มีอายุเก่ากว่า 2 ปี เป็นน้ำแข็งที่อยู่ถาวร แต่ในปัจจุบันส่วนที่เป็นสีเขียวเหลือน้อยมาก แสดงว่าน้ำแข็งเดี๋ยวนี้มันวูบวาบมาก หน้าร้อนก็หายไปมาก หน้าหนาวคืนกลับขึ้นมา เพราะฉะนั้นมันทำให้การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล แกว่งมาก ระบบนิเวศอะไรต่างๆที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องมีการปรับให้รับกับสภาพแบบ ใหม่ๆ นี้ให้ดีขึ้น"

เพราะฉะนั้น ปี 2552 นี้ น้ำแข็งไม่ได้ละลายมากเหมือนปี 2550

แต่ที่น่ากังวล คือเรื่องของชั้นน้ำแข็งถาวรในเขตทุนดรา หรือทุ่งหิมะแถบขั้วโลก ชายฝั่งบริเวณนี้ปัจจุบันเป็นเขตทุนดรา คือเขตที่มีต้นมอสมีหญ้าขึ้นบ้างนิดหน่อย ไม่มีต้นไม้ใหญ่ บริเวณชั้นตรงนี้ในฤดูร้อนจะไม่มีน้ำแข็งปกคลุม แต่พอฤดูหนาวจะมีน้ำแข็งคลุม พอฤดูร้อนชั้นที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปมันมีชั้นน้ำแข็งถาวร แต่ระยะหลังบริเวณนี้ขุดลงไปประมาณ 1 เมตรจะเป็นน้ำแข็ง ส่วนด้านบนจะเป็นดิน ชั้นน้ำแข็งสิ่งที่สำคัญคือมันทำหน้าที่เหมือนกับเป็นตัวล็อคก๊าซมีเทนที่ อยู่ใต้ดิน ก๊าซมีเทนอยู่มานานเป็นร้อยเป็นพันปี การเกิดมีเทนมันมีน้ำแข็งคลุมเอาไว้ไม่แพร่ ขึ้นมาด้านบน พอไม่แพร่ก็สะสมอยู่ด้านล่างเรื่อยๆ หากมหาสมุทรอาร์กติกร้อนขึ้นๆ โดยเฉพาะฤดูร้อน ชั้นน้ำแข็งถาวรตรงนี้อาจจะละลายหายไป ฉะนั้น ความสามารถในการเก็บมีเทนไว้จะน้อยลง

...มันอาจจะถึงจุดหนึ่งมีเทน จำนวนมหาศาล จำนวนเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยประมาณ 20 ปี แต่ถ้ามันพรวดออกมาในปีเดียวจะทำเหมือนกับว่าเราต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ถึงเรือนกระจกถึง 20 ปี ก๊าซมีเทนจำนวนเท่าๆ กันกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มันทำให้โลกร้อนมากกว่า ประมาณ 21 เท่า เพราะว่าการเก็บความร้อนของก๊าซมีเทนดีกว่าก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์

ฉะนั้น มีเทนถึงแม้จะปล่อยออกมาปริมาณน้อยก็สามารถทำให้โลกร้อนได้รุนแรงมากกว่า และถ้าเกิดมาจริงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลัน ซึ่งค่อนข้างน่าวิตก

ปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเปลี่ยน แปลงอย่างต่อเนื่อง ปีประมาณ 1% โดยประมาณ ดังนั้น เราจะบอกว่ารอได้อีก 20-30 ปีถึงจะวิกฤต

ดร.อานนท์ระบุว่า นี่คือการคาดการณ์ในอนาคต

" ในเขตพื้นราบของทั้งโลก ซึ่งเคยมีพื้นที่น้ำแข็งอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านตารางกิโลเมตร ในปัจจุบันนี้มันหายไปแล้วจริงๆ เหลือแค่ประมาณ 10 ล้านตารางกิโลเมตร คือหายไปแล้ว 20% ตั้งแต่หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า ถ้ามนุษย์ไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังปล่อยไปเรื่อยๆ โลกก็ร้อนขึ้นมาก"

ดร.อานนท์กล่าวแบบฟันธงว่าโลกอนาคตอย่างไรมัน เปลี่ยนแน่ๆ ไม่มีใครมองว่าจะกลับไปเหมือนเดิม อยู่ที่ว่าเปลี่ยนมากเปลี่ยนน้อยแล้วเราปรับตัวกับมันได้ทันหรือไม่

การเสวนาขยายความต่อไป ว่ามีคนสนใจมาก ถ้าแถบมหาสมุทรอาร์กติก ซึ่งอยู่ใกล้กับแคนาดา อลาสกา รัสเซีย หากแถบนั้นอุ่นขึ้นต้นไม้ต่างๆ จะเปลี่ยนไป เขตทุนดราที่มีอยู่โดยรอบจะหายไป ในอนาคตอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า ชั้นน้ำแข็งถาวร (permafrost) จะเหลืออยู่แค่นิดหน่อยเท่านั้น

ส่วนในเรื่องของระบบนิเวศ มีคนพูดถึง "หมีขาว" เพราะหมีขาวอาศัยอยู่บนน้ำแข็ง ถ้าน้ำแข็งเล็กลงไป หมีขาวคงจะเดือดร้อน โอกาสที่หมีขาวจะสูญพันธุ์อย่างสิ้นเชิง ยังไม่ใช่ แต่จำนวนประชากรคงลดลง ไปมาก

อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่าบริเวณตรงนั้นเป็นป่ามากขึ้น ทำให้มนุษย์รุกตามขึ้นไป อาจไปรบกวนระบบนิเวศของมัน

" การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศไม่ใช่ด้วยลำพังของตัวมันเอง แต่มีเรื่องอื่นเชื่อมโยงกันมากมาย ฉะนั้น ต้องมองในภาพรวม ไม่ใช่มองเฉพาะเรื่องกายภาพอย่างเดียวเท่านั้น"

บทสรุปจาก ดร.อานนท์ ที่เป็นการตอบคำถาม "วิกฤตโลก"



จาก : มติชน วันที่ 23 พฤศจิกายน 2552

สายน้ำ 28-11-2009 07:08


10 คำทำนาย “วันสิ้นโลก” (ที่ไม่เห็นจะเกิดขึ้นจริง)

http://pics.manager.co.th/Images/552000015545301.JPEG
น้ำท่วมที่อังกฤษเนื่องจากเขื่อนทะลักเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (ภาพประกอบทั้งหมดจากเอเอฟพี)

อิทธิพลของภาพยนตร์ที่ว่าด้วยวันสิ้นโลกในปี 2012 ชวนให้หลายคนพูดถึงหายนะของมนุษยชาติที่จะจบสิ้นในอีก 3 ปีข้างหน้าอย่างออกรสออกชาติ แต่นอกจากคำทำนายถึงวันสุดท้ายของโลกจากชนเผ่ามายาแล้ว ยังมีอีกหลายคำพยากรณ์ก่อนหน้านี้ซึ่งไม่เกิดขึ้นจริง


- ปี 1806 สัญญาณสิ้นโลกจากแม่ไก่

ในประวัติศาสตร์มีผู้คนจำนวนมากที่อ้างว่า พระเยซูคริสต์กำลังจะกลับคืนสู่โลกอีกครั้ง และเหตุการณ์ที่ถือเป็นการส่งสัญญาณของการกลับคืนคือ ที่เมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษมีแม่ไก่ออกไข่ที่เรียงเป็นประโยคว่า “พระคริสต์กำลังจะปรากฏ” และเมื่อข่าวเกี่ยวกับความน่าอัศจรรย์นี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มเชื่อว่า วาระสุดท้ายของโลกกำลังใกล้เข้ามา จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งเกิดกังขาได้สังเกตดูการวางไข่ จนพบว่ามีบางคนที่พยายามสร้างเรื่องหลอกลวงนี้ขึ้น


- 23 เม.ย.1843 กำหนดวันพระเจ้าทำลายโลก

ชาวนาผู้หนึ่งที่นิวอิงแลนด์นามว่า วิลเลียม มิลเลอร์ (William Miller) ได้ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และได้สรุปว่าพระเจ้าทรงเลือกวันที่จะทำลายล้างโลกว่า อยู่ระหว่างวันที่ 21 มี.ค.1843 - 31 มี.ค.1844

เขาสั่งสอนผู้คนมากมายพร้อมๆกับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาสอนเพื่อเผยแพร่ จนมีสาวกที่รู้จักกันในนาม “มิลเลอไรต์ส” (Millerites) อยู่หลายพันคน และเหล่าสาวกนี้ก็ตัดสินให้วันที่ 23 เม.ย.1843 เป็นวันสิ้นโลก หลายคนขายและมอบสิ่งของที่พวกเขาครอบครองด้วยคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เมื่อวันที่กำหนดมาถึงแล้วพระเยซูก็ไม่ได้กลับมา คนเหล่านี้ก็สลายกลุ่มกันไป แต่บางคนก็ออกไปตั้งกลุ่มใหม่ “เซเวนท์ เดย์ แอดเวนทิสต์” (Seventh Day Adventists) ที่ยังคงรอคอยการกลับมาของพระเยซูอีกครั้ง


- ปี 1891 วันสิ้นโลกของชาวมอร์มอน

โจเซฟ สมิธ (Joseph Smith) ผู้ก่อตั้งนิกายมอร์มอน (Mormon church) ได้เรียกประชุมผู้นำนิกายของเขาในปี 1835 เพื่อบอกว่า เขาเพิ่งสนทนากับพระผู้เป็นเจ้า และระหว่างการสนทนานั้นเขาได้รับรู้ว่า พระคริสต์จะกลับมาในอีก 56 ปีนับจากนั้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจาก “วันสุดท้าย”


- ปี 1910 ดาวหางฮัลเลย์พาหายนะสู่โลก

ในปี 1881 นักดาราศาสตร์คนหนึ่งวิเคราะห์สเปกตรัมแล้วพบว่า หางของดาวหางนั้นมีก๊าซพิษนำความตายที่เรียกว่า “ไซยาโนเจน” (cyanogen) สิ่งที่เขาค้นพบนั้นไม่ได้รับความสนใจนัก จนกระทั่งบางคนตระหนักขึ้นได้ว่า โลกกำลังจะผ่านหางของดาวหางฮัลเลย์ในปี 1910 จึงเกิดคำถามว่าทุกๆคนบนโลกจะถูกอาบด้วยก๊าซพิษดังกล่าวหรือไม่? จากนั้นมีการใคร่ครวญถึงเรื่องดังกล่าวซ้ำๆบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ “เดอะ นิวยอร์กไทม์” และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว สุดท้ายนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำได้ออกมาอธิบายว่า “ไม่มีอะไรต้องกลัว”

http://pics.manager.co.th/Images/552000015545302.JPEG
เหตุเหมืองถล่มในจีน


- ปี 1982 วันพิพากษา

ในเดือน พ.ค.ของปี 1980 แพต โรเบิร์ตสัน (Pat Robertson) ผู้สอนศาสนาคริสต์ที่ให้บริการทางสถานีโทรทัศน์และเป็นผู้ก่อตั้งพันธมิตรคริสเตียน (Christian Coalition) ได้ทำให้ผู้คนตื่นตกใจเมื่อเขาให้ข้อมูลแก่ผู้ชมรายการทีวี “700 คลับ” (700 Club) ทั่วโลกว่า เขารู้ว่าเมื่อใดที่โลกจะสิ้นสุด โดยประกาศก้องว่า “ผมรับรองได้ว่าพวกคุณจะจากไปก่อนสิ้นปี 1982 ซึ่งจะมีการพิพากษาโลก” แต่คำประกาศดังกล่าวก็ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์ที่ระบุว่าไม่มีใครรู้ถึงวันเวลาที่โลกจะสิ้นสุด แม้แต่เหล่าเทวดาบนสวรรค์


- ปี 1997 ประตูสวรรค์เปิด

เมื่อดาวหางเฮล์-บอปป์ (Hale-Bopp) ปรากฏในปี 1997 ก็มีข่าวลือว่ายานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวจะติดตามดาวหางมาด้วย แต่ข้อมูลดังกล่าวถูกปิดบังไว้ แน่นอนว่าองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และเหล่านักดาราศาสตร์ตกเป็นจำเลยของข้อกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลนี้

แม้ข่าวลือดังกล่าวจะถูกปฏิเสธจากนักดาราศาสตร์และใครก็ตามที่มีกล้องโทรทรรศน์ที่มีความละเอียดพอ แต่ข่าวลือนั้นก็ยังถูกเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุอยู่ดี และยังทำให้เกิดลัทธิ “ซานดิเอโกยูเอฟโอ” (San Diego UFO) ซึ่งระบุว่าประตูสวรรค์จะเปิดออก และกำหนดวันสิ้นโลกที่จะกำลังใกล้เข้ามา และสมาชิกของลัทธิ 39 คนก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในวันที่ 26 มี.ค.1997


- เดือน 7 ปี 1999 คำทำนายแห่งนอสตราดามุส

ข้อความที่เขียนขึ้นด้วยภาษายากๆ และใช้การเปรียบเทียบของ มิเชล เดอ นอสตราดาม (Michel de Nostrdame) หรือนอสตราดามุส ก่อให้เกิดความสนใจจากผู้คนเป็นเวลากว่า 400 ปี โดยงานเขียนของเขาที่ตีความได้หลากหลายนั้น ถูกนำไปแปลแล้วแปลอีกในรูปแบบที่แตกต่างกันหลายสิบรูปแบบ และหนึ่งในการตีความที่โด่งดังที่สุดคือ “ปี 1999 เดือนที่ 7 เจ้าแห่งความสยองขวัญจะมาจากฟ้า” และผู้ที่ศรัทธาในนอสตราดามุสได้ขยายความตื่นตระหนกนี้ออกไปว่าเป็นวันสิ้นสุดของโลก


- “วายทูเค” โลกป่วน-คอมพ์รวนรับสหัสวรรษใหม่

ในช่วงที่ปลายศตวรรษก่อนใกล้จะสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนมากเริ่มวิตกกังวลว่า คอมพิวเตอร์อาจนำหายนะมาสู่โลก เป็นหายนะที่ทุกคนเรียกกันว่า “วายทูเค” (Y2K) ซึ่ง Y เป็นคำย่อมาจาก “Year” และ 2K เป็นสัญลักษณ์ของปี 2000 ที่ K หมายถึง “กิโล” (Kilo) ในภาษากรีกที่มีค่าเท่ากับ 1,000

ปัญหาของวายทูเค ถูกตั้งข้อสังเกตครั้งแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1970 ว่า คอมพิวเตอร์จำนวนมากอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างปี 2000 และ 1900 ได้ ไม่มีใครแน่ใจเลยว่านั่นจะเกิดอะไรขึ้น แต่หลายคนก็ชี้ให้เห็นหายนะใหญ่หลวงที่อาจจะเป็นได้ทั้งไฟดับครั้งใหญ่ ไปจนถึงหายนะทำลายโลกจากนิวเคลียร์ แต่สหัสวรรษใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยความขลุกขลักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


- 5 พ.ค.2000 น้ำแข็งแอนตาร์กติกถล่มโลก

แม้กรณี “วายทูเค” ไม่ได้แผลงฤทธิ์มากนัก แต่หนังสือ “น้ำแข็ง 5/5/2000 : ภัยพิบัติขั้นสูงสุด” (5/5/2000 Ice: the Ultimate Disaster) ที่เขียนขึ้นโดย ริชาร์ด นูน (Richard Noone) เมื่อปี 1997 ก็สร้างความตื่นตระหนกได้อีกครั้ง ซึ่งเขาระบุว่าน้ำแข็งจากทวีปแอนตาร์กติกปริมาณมหาศาลที่มีความหนาถึง 5 กิโลเมตรนั้นจะทำให้โลกถึงหายนะไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามก่อนวันที่ 5 พ.ค.2000


- ปี 2008 ผู้หยั่งรู้ทำนายโลกสิ้นสุดก่อนฤดูใบไม้ร่วง

จากหนังสือ “2008: พยานรู้เห็นคนสุดท้ายของพระเจ้า” (2008: God's Final Witness) ของ โรนัลด์ ไวน์แลนด์ (Ronald Weinland) ผู้นำนิกายคริสตจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า (God's Church) ที่เขียนเมื่อปี 2006 ว่า วันสุดท้ายของโลกมาถึงเราอีกครั้ง โดยหนังสือดังกล่าวประกาศว่า ผู้คนหลายร้อยล้านคนจะต้องเสียชีวิตก่อนสิ้นปี 2006 ทั้งนี้ผู้คนมีเวลามากสุดเพียง 2 ปีที่เหลืออยู่ ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนไปสู่ช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์มนุษย์

“ก่อนฤดูใบไม้ร่วงในปี 2008 สหรัฐฯ จะพังทลายด้วยอำนาจทำลายล้างของโลก และจะไม่มีชนชาติใดเหลือรอด” ข้อความในหนังสือระบุ โดยที่โรนัลด์ ไวน์แลนด์ ยกตัวเองให้เป็นผู้หยั่งรู้ของพระเจ้า

http://pics.manager.co.th/Images/552000015545304.JPEG

คำทำนายทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่ง livescience.com ได้ รวบรวมและนำเสนอไว้ ก็หาได้เป็นจริงขึ้นมา ซึ่งยังคงเหลือคำทำนายเบื้องหน้าอันใกล้คือในปี 2012 ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงร้ายกาจกว่าครั้งใดๆ และถ้าหากปี 2012 ผ่านไป โดยไม่เกิดอะไรร้ายแรง คงจะมีคำทำนายใหม่ๆ เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความเชื่อใน “วันสิ้นโลก”

ทว่าวัฏจักรของดวงอาทิตย์และโลกที่แท้จริงอาจจะยังอีกยาวนานกว่านี้หรือสั้นกว่าที่คิดนัก ทั้งหมดเกินกว่าที่เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแม่นยำ



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2552

สายน้ำ 07-12-2009 07:49


อุณหภูมิโลกสูงขึ้นน้ำแข็งขั้วใต้ละลาย น้ำทะเลสูงขึ้น 1.4 ม.

http://www.thairath.co.th/media/cont.../630/51381.jpg

วิจัยแอนตาร์กติกเตือนปี 2643 โลกอาจเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ จากน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกใต้ละลาย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญ ระบุสิ้นศตวรรษนี้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะสูงขึ้นหลายสิบซม....

คณะกรรมการวิจัยแอนตาร์กติกกล่าวเตือนว่า โลกจะเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ เพราะน้ำแข็งปกคลุมขั้วโลกใต้ละลาย จะเป็นเหตุให้ระดับน้ำทะเลในราวปี พ.ศ. 2643 นี้ สูงขึ้นอีก 1.4 เมตร

คำเตือนเป็นการสรุปรายงาน เรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศและสิ่งแวดล้อมของแอนตาร์กติก" ซึ่งจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในสาขาต่างๆ 100 นาย

ผู้อำนวยการของคณะกรรมการ ดร.โคลิน ซัมเมอร์เฮย์ส ได้ออกปากว่า "เป็นการวาดภาพให้เห็นกลียุคที่โลกจะต้องเผชิญ ซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาสู่" และเสริมว่า "อุณหภูมิของอากาศก็เพิ่มขึ้น อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรก็มากขึ้น ระดับน้ำทะเลก็จะสูงขึ้น"

ผู้เชี่ยวชาญของคณะสำรวจแอนตาร์กติกแห่งอังกฤษ ก็รายงานว่า น้ำภายใต้ริมขอบชั้นแผ่นน้ำแข็งของแอนตาร์กติกตะวันตกก็อุ่นขึ้น เร่งให้น้ำแข็งละลายออกมาในมหาสมุทรเร็วขึ้น ในราวสิ้นศตวรรษนี้ชั้นน้ำแข็งอาจจะสูญเสียน้ำแข็งไปมาก จนทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นอีกหลายสิบเซนติเมตร(ซม.).



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 7 ธันวาคม 2552

สายน้ำ 05-01-2010 08:01


ผวารอบใหม่รับปีใหม่ ดาวเคราะห์น้อย 'อะโพฟิส' ชนโลก??

http://www.dailynews.co.th/content/i...ge3/scp260.jpg

เข้าสู่ปีใหม่ 2553 นอกจากคำทำนายทายทักดวงดาวในทางโหราศาสตร์ที่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีแล้ว กับเรื่องดวงดาวในทางดาราศาสตร์-วิทยาศาสตร์ก็มีรายงานในทางไม่ดีอีกครั้ง เช่นกัน โดยเป็นเรื่องของ “ดาวเคราะห์น้อย” ที่ชื่อว่า “อะโพฟิส (99942 Apophis)” เกี่ยวกับการจะ “เฉี่ยวโลก-ชนโลก ??”

เดิมมีรายงานว่าอะโพฟิสจะแค่เฉี่ยวใกล้โลกมาก

แต่ล่าสุดมีรายงานชิ้นใหม่ว่ามีโอกาสชนโลก ???

ทั้งนี้เรื่องของดาวเคราะห์น้อยหรือแอสเตอรอยด์ที่ชื่อ “อะโพฟิส” นั้นมิใช่เรื่องใหม่ มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่มันอาจคุกคามโลกมานานแล้ว และย้อนไปเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็เคยนำเสนอเกี่ยวกับมัน โดยข้อมูลจาก สมาคมดาราศาสตร์ไทย ในบทความของ วรเชษฐ์ บุญปลอด ระบุว่าอะโพฟิสถูกพบครั้งแรกเมื่อเดือน มิ.ย. ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งขณะนั้นถูกเรียกว่า 2004 เอ็มเอ็น 4 (2004 MN4) และก็มีการคำนวณเรื่อยมา

ประเด็นโดยสรุปที่เคยมีรายงานข่าวจากต่างประเทศโดยผู้เชี่ยวชาญด้านที่ เกี่ยวข้อง ก็เช่น... มีการคำนวณเกี่ยวกับดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ว่าในวันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2572 หรือ ค.ศ. 2029 ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้จะโคจรผ่านเฉียดใกล้โลกด้วยระยะห่างประมาณ 64,400 กิโลเมตร แต่ต่อมามีการสรุปใหม่ว่าอะโพฟิสจะเฉียดโลกด้วยระยะห่าง เพียง 36,350 กิโลเมตร หรือคิดเป็น 5.7 เท่าของรัศมีโลก ใกล้กว่าดวงจันทร์เกือบ 11 เท่า ใกล้กว่าดาวเทียมค้างฟ้า

และก็มีการพูดถึงประเด็น “อะโพฟิสอาจชนโลก ??”

นอกจากนี้ ยังมีการระบุอีกว่า...แม้อะโพฟิสจะไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 แต่เมื่อมันเข้าใกล้โลกมาก ๆ แล้ว แรงโน้มถ่วงของโลกจะเบนวงโคจร ซึ่งจะส่งผลให้การคาดหมายวงโคจรในอนาคตแม่นยำน้อยลง จากนั้นก็มีผลการคำนวณออกมาอีกว่า... วันที่ 13 เม.ย. ปี พ.ศ. 2579 ซึ่งก็ตรงกับวันสงกรานต์ของไทยเช่นเดียวกับครั้งแรก อะโพฟิสที่หากไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 จะโคจรย้อนมาทางโลกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2579 นี้ และ “อะโพฟิสมีโอกาสชนโลก ??” ในรอบนี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดต้นปีนี้มีรายงานที่ไม่มีการยืนยัน ว่าถ้าไม่ชนโลกในปี พ.ศ. 2572 ก็อาจชนในปี พ.ศ. 2575 ไม่ถึงปี พ.ศ. 2579

แม้เรื่องการชนโลกของดาวเคราะห์น้อย “อะโพฟิส” จะยังไม่เคยมีการยืนยันชัดเจน 100% จากนักดาราศาสตร์-นักวิทยาศาสตร์สาขาที่เกี่ยวข้องมาก่อน เช่นเดียวกับกรณีจะโคจรวนกลับมาชนในปี พ.ศ. 2575 อย่างไรก็ตามพลันที่ทางรัสเซียมีการเคลื่อนไหวดำเนินการเกี่ยวกับอะโพฟิส ก็ทำให้อะโพฟิสเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง

“อะโพฟิสอาจชนโลก ??” เขย่าขวัญชาวโลกอีกครั้ง

ช่วงส่งท้ายสิ้นปี พ.ศ. 2552 ต่อเนื่องถึงต้นปี พ.ศ. 2553 มีรายงานข่าวว่า ในขณะที่ทาง องค์กรการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือนาซา ยังแค่เฝ้าติดตามจับตาอะโพฟิส ทาง สำนักงานอวกาศรัสเซีย ได้ตัดสินใจจะพิจารณา “ส่งยานอวกาศไปยังดาวเคราะห์น้อยอะโพฟิส” ซึ่งอยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 350 เมตร (ข้อมูลบางแหล่งก็ว่า 250-270 เมตร บางแหล่งก็ว่า 300 เมตร) ซึ่งคาดว่าจะโคจรผ่านใกล้โลก หรืออาจชนปะทะทำความเสียหายร้ายแรงให้โลก โดยการจะส่งยานอวกาศของรัสเซียครั้งนี้ภารกิจคือ “ชนปะทะให้อะโพฟิสหลุดจากเส้นทางโคจร ป้องกันความเป็นไปได้ที่อาจพุ่งชนโลก !!”

ฟังดูเหมือนหนังอวกาศ...แต่อะโพฟิสมันมีอยู่จริง !!!

ทั้งนี้แม้จะมีรายงานข่าวว่าทางองค์การนาซาระบุว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่อะโพ ฟิสจะชนโลกในปี พ.ศ. 2572 และการโคจรกลับมาในรอบต่อ ๆ ไป ทั้งในปี พ.ศ. 2579 และรวมถึงปี พ.ศ. 2611 ทางนาซาก็แสดงท่าทีปฏิเสธที่จะระบุเรื่องโอกาสชนโลกอีก แต่กระนั้นเรื่องการชนโลกของอะโพฟิสก็ยังอยู่ในความสนใจอย่างหวาด ๆ ในทุกมุมโลก

เพราะขนาดของดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ ไม่ว่าจะเส้นผ่าศูนย์กลาง 270 จะ 300 หรือ 350 เมตร ยังไงก็ถือว่าไม่ใช่เล็ก ๆ “ไม่ใช่อุกกาบาตจิ๊บจ๊อย” ซึ่งหากจะว่ากันที่ตัวเลขกลาง ๆ คือเส้นผ่าศูนย์กลางราว 300 เมตร ถ้าเป็นตัวเลขนี้ทาง สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษ เคยคำนวณน้ำหนักของอะโพฟิสไว้ว่า...อยู่ที่ประมาณ 45 ล้านตัน !!

“จะสร้างหายนะกับโลกขนาดไหนขึ้นอยู่กับบริเวณที่พุ่งชน ถ้าชนพื้นโลกจะเกิดแอ่งกว้างราว 6 กิโลเมตร ถ้าชนในทะเลก็อาจทำให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 3-22 เมตร และจะทำลายชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมด” ...เป็นการระบุของนักวิทยาศาสตร์ในการประชุมขององค์การนาซาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนหน้านี้

เป็นการระบุถึง “อะโพฟิส” ที่นักวิทยาศาสตร์บางคนก็บอกว่า...ถ้าคิดจะใช้ “ระเบิดนิวเคลียร์” ผลักให้มันหลุดออกจากวงโคจรเหมือนในหนังเรื่อง “อาร์มาเก็ดดอน” ถึงเอานิวเคลียร์ไประเบิดได้ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยต่อโลก เพราะจะทำให้อะโพฟิสแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นสะเก็ดดาวใหญ่ที่อาจมีถึง 5 สะเก็ด และมีโอกาสพุ่งสู่โลก

และถ้าใครไม่อยากเชื่อฝรั่ง อยากฟังนักวิทยาศาสตร์ไทย อยากถามว่า “ทำไมต้องกลัวดาวเคราะห์น้อยชนโลก ??” ทาง รศ.ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล ก็เคยบอกผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เอา ไว้ว่า.....

“ถ้าพุ่งชนโลก ความรุนแรงก็จะไม่ต่างกับระเบิดนิวเคลียร์ที่มีแรงทำลายล้างมหาศาล ยิ่งถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10 กิโล เมตรขึ้นไป จะถึงกับล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติได้ !!!”.



จาก : เดลินิวส์ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 5 มกราคม 2553

angel frog 05-01-2010 08:48

ตอนนี้ไปที่ไหนๆ ชาวบ้านชาวป่าเขา ก็พูดเหมือนกันว่า ปีนี้อากาศเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม แปลกมากๆ

สายน้ำ 07-01-2010 07:48


อากาศวิปริต ป่วนทั้งโลก ไทยฝนหลงฤดู


อากาศทั่วโลกวิปริตหนักฤดูกาลผิดเพี้ยน อังกฤษติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยเดือนมกราคม เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่ว...

อากาศทั่วโลกวิปริตหนัก ฤดูกาลผิดเพี้ยนจากเดิมชนิ ไม่เคยเกิดมาก่อน อังกฤษวิกฤติหนัก อุณหภูมิหนาวจัด ติดลบต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หิมะหนาเตอะบนถนน 40 ซม. สนามบินทั่วประเทศปิดตาย เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกกะทันหัน ระดมทหารเร่งช่วยเหลือเจ้าของรถกว่า 1 พัน ที่ติดหิมะอยู่บนท้องถนน ขณะที่ฟุตบอลคาร์ลิงคัพ ระหว่างปิศาจแดงกับเรือใบต้องเลื่อนออกไปเพราะหิมะเป็นเหตุ ด้านนอร์เวย์เลวร้ายสุดใน ทวีปยุโรป ต้องเผชิญความหนาวเย็นติดลบถึง 41 องศาเซลเซียส ส่วนจีนประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินอย่างหนัก ปักกิ่งอุณหภูมิติดลบ 16 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพฯ ฝนหลงฤดูถล่มกรุง น้ำท่วมขังถนนหลายสาย การจราจรเป็นอัมพาตโกลาหลทั้งเมืองโลกวิปริตหนัก เกิดสภาพอากาศแปรปรวน ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิม ชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั่วทั้งโลก ทั้งอากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบ หิมะตกหนักเป็นแผ่นหนาในทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาประเทศจีน กับอีกหลายแห่งของทวีปเอเชีย ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศไทยในเดือนมกราคมซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก็เกิดฝนหลงฤดูถล่มลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่วในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาต รถราติดขัด น้ำท่วมขังจนโกลาหลกันทั้งเมือง

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค.ว่า หลายภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย เผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นผิดปกติต้อนรับปีใหม่ โดยที่อังกฤษ ทั่วทั้งประเทศไล่ตั้งแต่กรุงลอนดอนไปตลอดภาคกลาง เหนือ ใต้ จนถึงสกอตแลนด์ อากาศหนาวเย็นและหิมะตกหนักที่สุดในรอบ 30 ปี หลายเมืองเผชิญพายุหิมะหรือหิมะตกหนาถึง 40 ซม. ส่งผลให้การขนส่งคมนาคมเป็นอัมพาต ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และการจราจรทางอากาศ สนามบินหลายแห่งต้องปิดชั่วคราว รวมทั้งสนามบินเกตวิคในลอนดอน ซึ่งถูกปิดเมื่อคืนวันที่ 5 ม.ค. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เคลียร์หิมะจากรันเวย์ นอกจากนี้ ผู้โดยสารที่จะจับเที่ยวบินจากสนามบินฮีทโธรว์ ยังได้รับคำเตือนให้เช็กกับสายการบินก่อนเดินทางไปที่สนามบินและเผื่อเวลาสำหรับความล่าช้า ส่วนสนามบินลูตัน เบอร์มิงแฮม แมนเชสเตอร์ เซาแธมป์ตัน และสนามบินจอห์น เลนนอน ในเมืองลิเวอร์พูล ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เที่ยวบินหลายร้อยเที่ยวถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป

ส่วนผู้ให้บริการ รถไฟทั่วอังกฤษก็ประกาศลด ยกเลิก หรือเลื่อนการเดินรถไฟหลายขบวน รวมทั้งขบวนเข้าออกกรุงลอนดอน ไปจนถึงรถไฟสายอีสต์ โคสต์ อีสต์ มิดแลนด์ ชิลเทิร์น เรลเวย์ส เฟิร์ส เกรต เวสเทิร์น ฯลฯ ขณะที่โรงเรียนหลายร้อยแห่งทั่วประเทศถูกสั่งปิด โดยเฉพาะในเขตแลงคาสเชียร์ เวสต์ ยอร์คเชียร์ เวสต์ มิดแลนด์ กลอสเตอร์เชียร์ ฮาตฟอร์ดเชียร์ และเซอร์เรย์ ได้รับผลกระทบหนักที่สุด กองทัพอังกฤษยังระดมทหารออกมาช่วยบรรเทาทุกข์ รวมทั้งไปช่วยอพยพผู้ขับรถยนต์กว่า 1,000 คัน ที่ติดค้างอยู่บนถนน ซึ่งหิมะสุมหนาจนรถติดยาวเหยียดในเมืองแฮมเชียร์

สภาพอากาศอันเลว ร้ายยังส่งผลให้การแข่งขันฟุตบอล กีฬาสุดฮิตของอังกฤษต้องยกเลิก รวมทั้งฟุตบอล "คาร์ลิงคัพ" นัดดาร์บี้ แมตช์ ระหว่างทีม "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อคืนวันอังคารที่ 5 ม.ค. ส่วนการแข่งขันพรีเมียร์ลีก คืนวันพุธที่ 6 ม.ค. ระหว่างทีม "ปืนใหญ่" อาร์เซนอล กับทีมโบลตัน ก็เผชิญอุปสรรคเช่นกัน นอกจากนี้ การแข่งขันรักบี้และม้าแข่งหลายนัดก็ถูกยกเลิกด้วย

ทางการอังกฤษยังแถลงเตือนว่า อาจเกิดภาวะไฟฟ้า ก๊าซ และเกลือขาดแคลน เพราะอุปสงค์ความต้องการใช้มีสูงมากผิดปกติในช่วงหนาวจัด แต่อุปทานลดลงอย่างฮวบฮาบเนื่องจากการผลิตและการขนส่งแทบเป็นอัมพาต ฝ่ายค้านของอังกฤษเผยว่า อังกฤษมีก๊าซสำรองพอใช้แค่ 8 วันเท่านั้น ขณะที่บริษัทวินส์ฟอร์ด ผู้ผลิตเกลือรายใหญ่ที่สุดของประเทศในเมืองเชสเชียร์ เตือนว่าเกลืออาจขาดตลาดถ้าสภาพอากาศยังเป็นเช่นนี้อยู่

สำนักงาน อุตุนิยมวิทยาอังกฤษทำนายว่า อังกฤษจะเผชิญสภาพอากาศหนาวเย็นจัดต่อไปอีก 2 สัปดาห์ และนอกจากอังกฤษ หลายประเทศทั่วยุโรปก็เผชิญสภาพอากาศเย็นจัดจากแนวอากาศหนาวจากภูมิภาค ไซบีเรีย โดยเฉพาะนอร์เวย์ อุณหภูมิลดต่ำถึงติดลบ 41 องศาเซลเซียส ส่วนเนเธอร์แลนด์ เกิดน้ำแข็งหนาจนสามารถจัดการแข่งขันสเกตน้ำแข็งธรรมชาติครั้งแรกในปีนี้ ได้ที่ทะเลสาบเฮนสโคเตอร์ ที่ฝรั่งเศส หิมะและน้ำแข็งหนา ทำให้การจราจรทางภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งที่เมืองบอร์กโดซ์ ติดขัดอย่างหนัก ส่วนฮังการีก็ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทางการต้องเตือนไม่ให้ประชาชนในกรุงบูดาเปสต์ใช้รถยนต์ ขณะที่บางพื้นที่ของอิตาลีกลับเผชิญฝนตกหนัก จนเจ้าหน้าที่หวั่นกลัวว่าแม่น้ำไทเบอร์จะเอ่อล้นท่วมกรุงโรมในไม่กี่วันข้างหน้า

ขณะที่ในเอเชียเกิดอากาศหนาวจัดและหิมะตกหนักทางภาคเหนือ ตะวันออก และกลางของจีน ทำให้เกิดภาวะไฟฟ้าและถ่านหินขาดแคลนอย่างหนัก เนื่องจากการขนส่งถ่านหินจากแหล่งผลิตต่างๆทำได้ยากลำบาก อีกทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าและถ่านหิน ตกลงเรื่องราคาจำหน่ายไม่ได้ ทำให้ไฟฟ้าและถ่านหินไม่เพียงพอกับความต้องการอยู่ก่อนแล้ว จนทางการจีนต้องปันส่วนไฟฟ้า เพื่อการอุตสาหกรรม และใช้ในครัวเรือนในบางพื้นที่ รวมทั้งที่มหานครเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงสู ชานตง และเหอเป่ย ส่วนภูมิภาคอื่นๆอาจขาดแคลนไฟฟ้าและถ่านหินเช่นเดียวกัน ถ้าสภาพอากาศยังหนาวเย็นจัดต่อไป ซึ่งทางการจีนได้ร้องขอให้ประชาชนช่วยกันประหยัดพลังงานแม้กำลังต่อสู้กับความเหน็บหนาวก็ตาม

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของจีนพยากรณ์ว่า ภาวะอากาศหนาวเย็นจะต่อเนื่องไปตลอดสัปดาห์ โดยที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค. หิมะตกหนักและอุณหภูมิลดลงถึงติดลบ 16 องศาเซลเซียส ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2514 ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อากาศหนาวเย็นที่สุด อุณหภูมิติดลบ 32 องศาเซลเซียสเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ม.ค. ก่อนสูงขึ้นเป็นติดลบ 17 องศาเซลเซียสในวันพุธที่ 6 ม.ค.

ภูมิภาคอื่นๆที่เผชิญสภาพอากาศ หนาวเย็นผิดปกติในช่วงนี้ รวมทั้งเกาหลีใต้ ซึ่งหิมะตกหนักในกรุงโซล ขณะที่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกา สภาพอากาศหนาวเย็นจัด ทำให้เกษตรกรต้องรีบเก็บเกี่ยวพืชผล ส่วนนักท่องเที่ยวที่หวังไปอาบแดดอุ่นๆในภูมิภาคกัลฟ์ โคสต์ ในรัฐเท็กซัส หลุยเซียนา มิสซิสซิปปี อลาบามา และฟลอริดา กลับต้องเผชิญความหนาวเหน็บแทน

ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพมหานคร ก็ปรากฏว่ามีฝนตกลงมาอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงค่ำของวันที่ 6 ม.ค. หลังจากที่มีฟ้าครึ้มมืดมัวมาตั้งแต่เช้า ทั้งที่เป็นช่วงอยู่ในฤดูหนาว แต่กลับมีฝนหลงฤดูตกลงมา ส่งผลให้รถราติดขัดยาวเหยียด เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ การจราจรบนถนนสายหลัก อาทิ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง ถนนพหลโยธิน ถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นอัมพาต เกิดอุบัติเหตุรถชนในหลายพื้นที่

นายบุญธรรม ตั้งล้ำเลิศ หัวหน้าเวรพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า สาเหตุที่เกิดฝนตกหนักในกรุงเทพฯ และหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เกิดจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนอ่อนกำลังลง ประกอบกับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้ เข้ามาปกคลุมบริเวณภาคกลาง ทำให้บริเวณภาคกลาง กรุงเทพฯ ปริมณฑล มีฝนตกหนัก และภาคอื่นๆมีฝนฟ้าคะนองในช่วงนี้ คาดว่าคืนวันที่ 6 ม.ค. บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ทั่วประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองลดลง และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผอ.ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกช่วงฤดูหนาวว่า เกิดจากลมตะวันออกเฉียงใต้พัดมวลอากาศร้อนชื้นเข้ามาสู่ประเทศไทย ทำให้มวลอากาศเย็นหดตัวขึ้นไปทางเหนือ ส่งผลให้เกิดฝนตกกระจายในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้ และจะกลับเข้าสู่หน้าหนาวอีกครั้งตลอดเดือน ม.ค. ขณะเดียวกันปัญหาที่ไทยจะเจอแน่คือ ปรากฏการณ์เอลนินโญ่ระดับรุนแรงในรอบ 10 ปี โดยจะทำให้เกิดภาวะร้อนและแล้งมากกว่าปีที่ผ่านมา มีการคาดการณ์แล้วว่าจะส่งผลให้อุณหภูมิสูงขึ้น 40-42 องศาในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพฯ น่าจะเกิน 40 องศา โดยช่วงร้อนที่สุดอยู่ระหว่างเดือน มี.ค.ไปจนถึงเดือน เม.ย. ซึ่งวันที่ร้อนที่สุดคือ วันที่ 22 เม.ย.นี้

ทางด้านนายสัญญา ชีนิมิตร ผอ.สำนักระบายน้ำ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า สภาพฝนตกในพื้นที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. มีปริมาณสูงสุดบริเวณพื้นที่เขตห้วยขวาง 120 มิลลิเมตร/ชม. ส่วนพื้นที่อื่นๆ เช่น ลาดพร้าว รามคำแหง มีปริมาณ 97 มิลลิเมตร/ชม. ถนนหลายสายรถราติดขัด มีน้ำท่วมขังสูงถึง 10 ซม. เช่นที่ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัชดาภิเษก กทม.ได้เร่งระบายน้ำออกจากผิวจราจรแล้ว เหลือถนนบางสายที่ปริมาณน้ำท่วมขังยังสูง



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 7 มกราคม 2553

สายน้ำ 10-01-2010 10:22


สัญญาณหายนะ

http://www.dailynews.co.th/content/i...0/page20/h.jpg

มองไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว อยากตกใจ เพราะเห็นได้เลยว่าระดับน้ำในแม่น้ำอยู่สูงกว่าถนน

ปีต่อไปและต่อไปน้ำคงจะท่วมมากกว่านี้ ผมคิดด้วยความเป็นห่วง

เมื่อวันพุธที่แล้วนี้เอง เวลาบ่าย 4 โมงเย็น ผมมีธุระ จำเป็นต้องนั่งรถจากปากน้ำเข้ากรุงเทพฯ การจราจรติดขัดมาก สาเหตุเพราะฝนตกหนัก

รุ่งขึ้นอีกวัน อ่านหนังสือพิมพ์จึงรู้ว่าฝนตกหนักทั่วกรุงเทพฯ

ฝนที่ว่านี้ ไม่ได้เป็นฝนธรรมดาๆ แต่เป็นฝนหลงฤดู

ที่ว่าหลงฤดูก็เพราะว่า ช่วงนี้เป็นหน้าหนาว แต่ฝนดันทะลึ่งตกลงมา

หลายคนบ่นท่ามกลางสายฝนว่า ฝนน่าจะบอกให้รู้ล่วงหน้าจะได้เตรียมร่มหรือเสื้อฝนติดตัวมาด้วย

พักหลังๆมานี้ โลกที่รักของเราเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ออกอาการแปลกๆ ให้ผู้อยู่ในโลกต้องเดือดร้อนและตื่นเต้นทุกเดือนหรือเกือบทุกวันก็ว่าได้

อย่างกับตอนนี้หน้าหนาวของไทยอากาศควรจะหนาว แต่หนาวได้เพียงไม่กี่วัน แล้วก็ไม่ยอมหนาวอีกต่อไป

ความหนาวคงจะรอให้ถึงหน้าร้อนเสียก่อนแล้วค่อยหนาวก็ได้

ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ ก็คงจะได้เห็นเด็กๆพากันใส่เสื้อหนาวเล่นว่าวที่สนามหลวง

แต่ก็ไม่แน่ บางทีกำลังเล่นว่าวอยู่เพลินๆ ฝนอาจจะตกลงมา ทีนี้คงยุ่งไปใหญ่เพราะนอกจากทำให้ว่าวต้องเปียกน้ำแล้ว ยังทำให้เด็กต้องเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อหนาวเป็นเสื้อฝนแทน

แค่นึกก็ปวดหัว ปวดหัวกับดินฟ้าอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ถ้าเมืองไทยจะมีอากาศวิปริตเกิดขึ้น สิ่งที่ผมอยากให้เป็นมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคืออยากให้มีหิมะตก เพราะผมชอบสีขาวของหิมะ และชอบภูเขาที่มีหิมะปกคลุม

ถ้าภูเขาของไทย โดยเฉพาะทางภาคเหนือมีหิมะ รับรองว่าจะต้องมีความสวยงามน้องๆเทือกเขาแอลป์ของยุโรป

หิมะมีสีขาวสวยก็จริง แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ไม่น่าจะดี อย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายๆประเทศ

อย่างกับในอังกฤษถูกหิมะเล่นงานหนัก จนรถไฟที่วิ่งอยู่ใต้ทะเลช่องแคบอังกฤษมีปัญหา พาผู้โดยสารไปติดอยู่ใต้ทะเลถึงพันกว่าคน

การแข่งขันฟุตบอลที่อังกฤษต้องเลื่อนการแข่งขันหลายคู่ เพราะสนามฟุตบอลกลายสภาพเป็นสนามเล่นสเกตน้ำแข็ง

เครื่องบินขึ้นลงไม่ได้ไปหลายแห่ง สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว

ในสหรัฐอเมริกาก็เจอหนักหลายรัฐมาก หลายเมืองมีหิมะกองอยู่ที่พื้นถนนหนาเป็นฟุต เป็นเหตุให้คนไม่ออกจากบ้าน งานคริสต์มาสกร่อย

อย่าว่าแต่ประเทศทางยุโรปหรืออเมริกาที่ตั้งอยู่ในโซนหนาวเลย แม้ในเอเชีย ทั้งจีน ทั้งญี่ปุ่น ทั้งเกาหลีก็โดนหิมะเล่นงานหนักเช่นกัน

หนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา

นับว่ายังโชคดีที่มนุษย์ฉลาดสามารถสู้ความหนาวได้ เช่น คิดเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน เพื่อให้มีอากาศอบอุ่นแล้วยังรู้จักสะสมอาหารไว้กินในฤดูหนาวได้อีก

หากมนุษย์ทำอย่างที่ว่าไม่ได้ มีหวังตายกันหมด

สาเหตุการเปลี่ยนแปลงและเหตุร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกทั้งเรื่องความหนาวเย็น แผ่นดินไหว น้ำท่วม ลมแรง นับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้รู้บอกว่าเกิดจากโลกร้อน

ผู้ที่ทำให้โลกร้อนไม่ใช่ใครอื่น ตัวการสำคัญก็คือมนุษย์

ฉะนั้น ถ้าขืนปล่อยปละละเลย มนุษย์ก็จะพากันเดือดร้อนอย่างหนักไปทั่วโลก ผลที่สุด จะไม่มีมนุษย์คนใดเหลืออยู่ในโลกนี้เลยก็เป็นได้

สำหรับหายนะที่จะเกิดกับโลกนี้ ผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุดก็เห็นจะเป็นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเกือบทุกประเทศในยุโรป

ประเทศเหล่านี้จึงได้นัดประชุมหารือกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะให้โลกหายร้อน หรือร้อนน้อยลง ซึ่งทำได้ยากมาก เพราะมนุษย์ได้ผลิตอะไรออกมาใช้แต่ละอย่างล้วนทำให้โลกร้อนทั้งสิ้น เช่น โรงงานต่างๆ รถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องหุงต้ม ฯลฯ

แต่ดู ๆ แล้วไม่ง่ายเลยที่จะทำให้โลกหายร้อนได้

สำหรับเราซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็กๆเพียงหนึ่งตัวไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องใหญ่ๆให้เสียสมอง ขอเพียงให้ใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้รถยนต์ให้น้อยลง เป็นใช้ได้ และถ้าให้ดีช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้นสองต้นก็พอแล้ว

สิ่งเหล่านื้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อลูกหลานของเรา เพราะตัวเราเอง ถึงแม้โลกจะร้อนหรือไม่ร้อน อีกไม่นานก็ต้องตายกันหมดแล้ว.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 10 มกราคม 2553

สายน้ำ 19-01-2010 07:53


วิปโยคเฮติ...ต้องศึกษา 'ธรณีพิโรธใหญ่' ไทย...ต้องตื่นตัวรับมือ

http://www.dailynews.co.th/content/i...age3/sc260.jpg

ธรณีพิโรธ “แผ่นดินไหว” ระดับ 7 ริคเตอร์ ซึ่งเกิดที่ประเทศเฮติ โดยมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวง ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัย-อาหาร เป็นแสนๆ ซึ่งขนาดทำเนียบประธานาธิบดีก็ยังถล่มเป็นซากนั้น.....

นี่ไม่เพียงเป็นภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีของเฮติ

แต่ยังเป็นแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญผู้คนทั่วทุกมุมโลก

และสำหรับเมืองไทย-คนไทยก็อย่าได้คิดว่าไกลตัว !!

“เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับประเทศไทย ในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว” ...นี่เป็นเนื้อความตอนหนึ่งจากการระบุผ่านสื่อของ ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการองค์กรศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติ แห่งเอเชีย หรือเอดีพีซี โดย ดร.พิจิตตยังได้ระบุถึงเรื่อง “รอยเลื่อน” ซึ่งเกี่ยวโยงกับแผ่นดินไหว-กับเขื่อน ที่อาจสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในไทย รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตาม ณ ที่นี้ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” จะสะท้อนย้อนภาพรวมตามที่เคยมีผู้สันทัดกรณีด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องเคยชี้เตือนไว้ เช่น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยระบุไว้หลังการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงประมาณ 7.8 ริคเตอร์ เขย่ามณฑลเสฉวน และพื้นที่ใกล้เคียง ในประเทศจีน เมื่อบ่ายวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งเพียงถึงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ก็มีรายงานตัวเลขพบผู้เสียชีวิตกว่า 9,200 ศพ สูญหาย กว่า 60,000 คน อาคาร-ที่พักอาศัยพังถล่มกว่า 500,000 หลัง สรุปได้ว่า.....

เหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้จุดศูนย์กลางจะห่างจากไทย แต่การสั่นของรอยเปลือกโลกก็ส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นที่ตะแกรงรอยเลื่อนของเปลือกโลก หรือที่เรียกกันว่าแอ๊คทีฟ ฟอลท์ (Active Fault) ซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับภูมิศาสตร์ของหลายประเทศได้ด้วย ซึ่งสำหรับไทยพื้นที่ที่จะมีผลกระทบคือพื้นที่ที่มีลักษณะกายภาพเป็นดินอ่อน ซึ่งมีโอกาสยุบตัวง่าย และลักษณะทางกายภาพดังว่านี้...ก็รวมถึง “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของไทย

แผ่นดินไหวในประเทศอื่น ๆ ไทยจึงต้องให้ความสนใจ

เมืองหลวงประเทศไทยก็ใช่ว่าไม่เสี่ยงกับ “ธรณีพิโรธ”

และแม้จะอยู่บ้านชั้นเดียว-อาคารเตี้ย ๆ ก็อาจอันตราย !!

ทั้งนี้ อย่างที่ ชาติชาย สุภัควนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูพลัส ซอฟท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก่อสร้าง-การก่อสร้างยุคใหม่ สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ไว้ว่า... ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการคำนึงถึงกฎปฏิบัติในการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านแรงแผ่นดินไหวมากนัก เพราะในไทยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหวไม่มาก วิศวกรที่จบปริญญาตรีกว่า 95% ก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหวลึกซึ้ง ความรู้เรื่องนี้จะอยู่ระดับปริญญาโท

“การสร้างโครงสร้างอาคารในบ้านเราที่ผ่านๆมามักใช้ความรู้ความชำนาญที่เป็นการคำนวณด้วยมือ จากการดูแบบพิมพ์เขียว ซึ่งการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นจะใช้แต่ประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ของวิศวกรอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการคำนวณโครงสร้างอาคารด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพ” ...ชาติชายระบุ

พร้อมทั้งยังชี้ไว้ด้วยว่า... หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าที่ผ่านมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทยอาคาร ที่เป็นตึกสูงที่ออกแบบโดยวิศวกรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีปัญหา “ในเมืองไทยนั้น ที่มักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมาก มักจะเป็นอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกไม่สูง สรุปก็คือโครงสร้างอาคารบ้านเรือนคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับแรงสั่นสะเทือนการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพ”

ในเมืองไทย “บ้านยุคเก่า-ตึกยุคเก่า” อยู่ในข่ายต้องระวัง

และอาคารสูงยุคใหม่ถ้ามีคอร์รัปชั่นงบก่อสร้างก็น่าห่วง !!

อีกทั้งความน่าเป็นห่วงยังอาจรวมถึง “สึนามิจากแผ่นดินไหว” อย่างที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เคยเผยแพร่เป็นบทความเกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว-สึนามิ” ไว้ในเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ บางช่วงบางตอนว่า... “ได้ทำการวิเคราะห์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ใหญ่ (9 ริคเตอร์) ในทะเลอันดามัน (บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์) และอ่าวไทย (บริเวณทิศตะวันตกหมู่เกาะฟิลิปปินส์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีโอกาสเกิด ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ชายฝั่งอันดามันจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือควรจะมีการเตรียมการที่ดี มีแผนจัด การในภาวะฉุกเฉินรองรับภัยธรรมชาติ...” “สิ่งที่คนไทยควรจะทำคือต้องเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ควรเป็นไปในลักษณะการตื่นตัวแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป...” ...รศ.ดร.เสรี ระบุไว้

และ “แผ่นดินไหว” ที่เฮติ...ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษาของไทย

เพื่อรับมือ “ธรณีพิโรธ” ที่เกิดได้...แม้แต่ใต้บ้านนายกฯ !!.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553

สายน้ำ 20-01-2010 08:10


สุมาตราอันตราย

http://www.dailynews.co.th/content/i...01/20/sang.jpg

ปีนี้ทำท่าจะเป็นปีเสือดุจริงๆตามที่ใครต่อใครหวาดวิตก เพราะเพียงแค่เดือนแรก ภัยธรรมชาติก็เล่นงานมนุษย์ครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรงที่ประเทศเฮติ ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเหลือคณานับ

ว่ากันตามจริง ตามปฏิทินโหราศาสตร์โลกตะวันออก ช่วงนี้ยังเป็นปีฉลูหรือปีวัวอยู่ ของจีนแม้ว่าวันตรุษปีนี้จะตรงกับวันที่ 14 ก.พ. แต่จักรราศีจะเคลื่อน เข้าสู่ปีขาล ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. เวลา 06.49 น. ส่วนของไทยเราก็ต้องหลังวันมหาสงกรานต์ 13 เม.ย. ไปแล้ว

แผ่นดินไหวรุนแรง หรือที่ทางการอยากให้เรียกว่า “ธรณีพิบัติภัย” แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความร่วมมือสักเท่าไหร่ เป็นอีกหนึ่งภัยทางธรรมชาติที่มนุษย์ไม่อาจคาดการณ์ “วันเวลา” ที่มันจะเกิดล่วงหน้าได้อย่างแน่ชัด แม้เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ จะเจริญรุดหน้าไปถึงไหนแล้วก็ตาม

โศกนาฏกรรมที่กำลังถาโถมชาวเฮติอยู่ในขณะนี้ มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องภัยธรรมชาติโดยตรงได้ออกโรงเตือนคลื่นยักษ์สึนามิจากแผ่นดินไหวใต้ทะเล กำลังรอเวลาเล่นงานเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียอีกรอบ

ความรุนแรง และความสูญเสีย คาดว่าน่าจะไม่น้อยกว่า เหตุการณ์สึนามิรอบมหาสมุทรอินเดียเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 230,000 ราย สูญหายราว 40,000 ราย

สึนามิ 26 ธ.ค. 2547 จังหวัดอาเจะห์ ทางเหนือของเกาะสุมาตรา ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวขนาด 9.3 ริคเตอร์กว่าใครเพื่อน แต่สึนามิครั้งใหม่หากเกิดขึ้น จุดที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดคือจังหวัดปาดัง เมืองเอกของจังหวัดสุมาตราตะวันตก อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะทางใต้ของอาเจะห์

คณะนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้ นำโดยนายจอห์น แม็คคลอสกี อาจารย์สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยอัลส์เทอร์ ในไอร์แลนด์เหนือ ทำนายว่าแผ่นดินไหวครั้งใหม่ ความรุนแรงจะอยู่ที่ 8.5 ริคเตอร์เป็นอย่างต่ำ

ส่วนความเสียหายต่อเมืองปาดัง ซึ่งมีประชากร 850,000 คน ขึ้นอยู่กับระดับความลึก และระยะห่างชายฝั่งของจุดศูนย์กลาง แต่เชื่อว่าน่าจะสูสีกับความเสียหายต่ออาเจะห์

แม็คคลอสกียืนยันว่าเกิดแน่ แต่ระบุไม่ได้ว่าวันหรือเวลาไหน เนื่องจากมีแรงดันสะสมต่อเนื่องตลอด 200 ปีที่ผ่านมา ในร่องเปลือกโลกซุนดาที่ทอดเป็นแนวขนานกับชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา

แม็คคลอสกีและคณะ เคยทำนายแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกในวงการผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหว โดยในเดือน มี.ค. 2548 ได้เตือนรัฐบาลอินโดนีเซีย ผลพวงจากแผ่นดินไหว 9.3 ริคเตอร์นอกชายฝั่งอาเจะห์ ทำให้เกิดแรงกดดันมหาศาล ต่อรอยเลื่อนแผ่นเปลือกโลกที่อยู่ทางใต้ถัดลงไป และทำนายว่า จะเกิดแผ่นดินไหว ความรุนแรงอย่างต่อ 8.5 ริคเตอร์ในอีกไม่นาน และจะทำให้เกิดสึนามิด้วย

ปรากฏว่า แค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังคำเตือน คือวันที่ 28 มี.ค. 2548 เกิดแผ่นดินไหว 8.6 ริคเตอร์ในทะเล เขย่าเกาะซิมิวลิว นอกชายฝั่งตะวันตกของจังหวัดอาเจะห์ และเกิดคลื่นสึนามิความสูง 3 เมตรพัดกระหน่ำเกาะ

เท่าที่มีการบันทึก เมืองปาดังเคยเกิดแผ่นดินไหว และสึนามิถล่มบ้านเรือนหลายครั้งแล้ว เช่นในปี พ.ศ. 2340 แรงไหว 8.7 ริคเตอร์ เกิดสึนามิสูงถึง 10 เมตร น้ำท่วมทั้งเมือง แต่ไม่มีบันทึกความสูญเสียต่อชีวิต และล่าสุดวันที่ 30 ก.ย. ปีที่แล้ว แผ่นดินไหวในทะเลห่างชายฝั่งเมืองปาดัง 60 กม. ทำให้มีคนตายมากกว่า 1,100 ศพ

คำเตือนของแม็คคลอสกี คงทำให้ชาวเมืองปาดัง และหลายเมืองรอบด้านอยู่ไม่เป็นสุข แต่การเตรียมพร้อมรับมือ น่าจะเป็นหนทางเดียวในการบรรเทาความสูญเสีย โดยจำบทเรียนจากหลายเหตุการณ์ในอดีต.



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 19 มกราคม 2553

สายน้ำ 23-01-2010 07:54


สารพัดภัยพิบัติทุกมุมโลก : กรณีศึกษาที่คนไทยควรใส่ใจ ตอนที่ 1

http://thainews.prd.go.th/news/pictures/eartquake2.jpg

เหตุการณ์ธรณีพิโรธ “แผ่นดินไหว” ระดับ 7 ริคเตอร์ ซึ่งเกิดที่ประเทศเฮติ โดยมีศูนย์กลางการเกิดอยู่ห่างจากกรุงปอร์โตแปรงซ์เมืองหลวง ทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 16 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ดินราว 10 กิโลเมตร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนอาหาร เป็นแสนๆ คน .....นี่ไม่เพียงเป็นภัยรุนแรงที่สุดในรอบ 200 ปีของเฮติ แต่ยังเป็นแผ่นดินไหวที่เขย่าขวัญผู้คนทั่วทุกมุมโลกและสำหรับเมืองไทย-คน ไทยก็อย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว !!

ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการองค์กรศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย หรือเอดีพีซี ได้ออกมาเตือนสติคนไทยว่า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับประเทศไทย ในเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือปัญหาแผ่นดินไหว โดย ดร.พิจิตตยังได้ระบุถึงเรื่อง “รอยเลื่อน” ซึ่งเกี่ยวโยงกับแผ่นดินไหว-กับเขื่อน ที่อาจสร้างโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในไทย รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีศึกษาของผู้สันทัดกรณีด้านต่างๆที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้ชี้เตือนไว้ เช่น รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยระบุไว้หลังการเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงประมาณ 7.8 ริคเตอร์ เขย่ามณฑลเสฉวนและพื้นที่ใกล้เคียงในประเทศจีน เมื่อบ่ายวันที่ 12 พ.ค. 2551 ซึ่งเพียงถึงเช้าวันที่ 13 พ.ค. ก็มีรายงานตัวเลขพบร่างผู้เสียชีวิตกว่า 9,200 ศพ สูญหายกว่า 60,000 คน อาคาร-ที่พักอาศัยพังถล่มกว่า 500,000 หลังสะท้อนให้เห็นว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหว แม้จุดศูนย์กลางจะห่างจากไทย แต่การสั่นของรอยเปลือกโลกก็ส่งผลทำให้เกิดการกระตุ้นที่ตะแกรงรอยเลื่อนของเปลือกโลก หรือที่เรียกกันว่าแอ๊คทีฟ ฟอลท์ (Active Fault) ย่อมส่งผลกระทบกับภูมิศาสตร์กายภาพของหลายประเทศได้ด้วย ซึ่งสำหรับไทยพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ คือพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นดินอ่อน มีโอกาสยุบตัวง่าย และลักษณะทางกายภาพดังว่านี้...ก็รวมถึง “กรุงเทพฯ” เมืองหลวงของไทยด้วย ดังนั้น เหตุแผ่นดินไหวในประเทศอื่นๆ ไทยจึงต้องให้ความสนใจ!

ในด้านลักษณะของบ้านเรือน หรือตึกอาคารต่างๆ ก็มีส่วนสำคัญในการป้องกันอันตรายจากเหตุแผ่นดินไหว แต่ในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ค่อยมีการคำนึงถึงระเบียบปฏิบัติในการออกแบบก่อสร้างเพื่อต้านแรงแผ่นดินไหวมากนัก เพราะในไทยมีประวัติเกิดแผ่นดินไหวไม่มาก ดังนั้นในเมืองไทย “บ้านยุคเก่า-ตึกยุคเก่า” จึง อยู่ในข่ายที่ต้องระวัง รวมทั้งอาคารสูงยุคใหม่ถ้ามีการคอร์รัปชั่นงบก่อสร้างก็น่าห่วงเช่นกัน !! และปัจจุบัน วิศวกรที่จบปริญญาตรีกว่า 95% ก็ไม่ได้เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหวลึกซึ้ง ความรู้เรื่องนี้จะบรรจุอยู่ในหลักสูตรระดับปริญญาโทเท่านั้น

ซึ่งเรื่องนี้ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีก่อสร้าง-การก่อสร้างยุคใหม่ อย่างนายชาติชาย สุภัควนิช บอกว่า การก่อสร้างโครงสร้างอาคารในบ้านเราที่ผ่านๆมา มักใช้ความรู้ความชำนาญที่เป็นการคำนวณด้วยมือ จากการดูแบบพิมพ์เขียว ซึ่งการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวนั้นจะใช้แต่ประสบการณ์ ความรู้ความชำนาญที่มีอยู่ของวิศวกรอย่างเดียวไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีอย่างคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการคำนวณโครงสร้างอาคารด้วย จึงจะมีประสิทธิภาพ

นายชาติชายยัง ระบุด้วยว่า หากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าที่ผ่านมาเมื่อเกิดแผ่นดินไหวในเมืองไทย อาคารที่เป็นตึกสูงที่ออกแบบโดยวิศวกรด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ มักจะไม่ค่อยมีปัญหา

“ในเมืองไทยนั้น ที่มักได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวมาก มักจะเป็นอาคารหรือที่อยู่อาศัยที่เป็นตึกไม่สูง สรุปก็คือโครงสร้างอาคารบ้านเรือนคนไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมรับแรงสั่นสะเทือนการเกิดแผ่นดินไหวอย่างมีประสิทธิภาพ”

ความน่าเป็นห่วงนี้ ยังอาจรวมถึง “สึนามิจากแผ่นดินไหว” อย่างที่ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ เคยเผยแพร่เป็นบทความเกี่ยวกับ “แผ่นดินไหว-สึนามิ” ไว้ในเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติบางช่วงบางตอนว่า...

“ได้ทำการวิเคราะห์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด ใหญ่ (9 ริคเตอร์) ในทะเลอันดามัน (บริเวณหมู่เกาะนิโคบาร์) และอ่าวไทย (บริเวณทิศตะวันตกหมู่เกาะฟิลิปปินส์) ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีโอกาสเกิด ผลจากการวิเคราะห์พบว่า ชายฝั่งอันดามันจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเหตุการณ์สึนามิเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547”

แต่สิ่งที่ผู้สันทัดกรณีฝากเตือนกับคนไทยนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ควรจะมีการเตรียมการที่ดี มีแผนจัดการในภาวะฉุกเฉินรองรับภัยธรรมชาติ...และสิ่งที่คนไทยควรจะทำคือ ต้องเตรียมรับมือไว้ให้พร้อม โดยศึกษาจากสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เคยเกิดขึ้น แต่ก็ควรเป็นไปในลักษณะการตื่นตัวแต่ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป และ“แผ่นดินไหว”ที่เฮติ...ก็น่าจะเป็นกรณีศึกษาของไทยได้เป็นอย่างดี

ในตอนหน้าติดตามการพยากรณ์แผ่นดินไหวในภาวะปัจจุบัน และการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติก่อนเกิดแผ่นดินไหวที่ต้องพึงระวัง



จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 22 มกราคม 2553

สายน้ำ 24-01-2010 08:28


สารพัดภัยพิบัติทุกมุมโลก : กรณีศึกษาที่คนไทยควรใส่ใจตอนที่ 2

http://thainews.prd.go.th/news/pictures/eartquake3.jpg

ภัยแผ่นดินไหวยังคงเป็นภัยธรรมชาติที่ยังไม่สามารถพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ ทั้งเรื่องตำแหน่ง ขนาด และเวลาเกิด ด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์เครื่องมือตรวจวัดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ได้มีความพยายามอย่างยิ่งในการศึกษาวิเคราะห์ถึงคุณลักษณะต่างๆของบริเวณแหล่งกำเนิดแผ่นดินไหว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพยากรณ์แผ่นดินไหว โดยอาศัยทั้งที่เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับหลายปัจจัยดังต่อไปนี้

คุณลักษณะทางกายภาพของเปลือกโลกที่เปลี่ยนแปลงจากปกติก่อนเกิดแผ่นดินไหว
- แรงเครียดในเปลือกโลกเพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงสนามไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก สนามโน้มถ่วง
- การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก
- น้ำใต้ดิน (ชาวจีน สังเกต การเปลี่ยนแปลง ของน้ำในบ่อน้ำ 5 ประการ ก่อนเกิดแผ่นดินไหว ได้แก่ น้ำขุ่นขึ้น มีการหมุนวนของน้ำ ระดับน้ำเปลี่ยนแปลง มีฟองอากาศ และรสขม)
- ปริมาณก๊าซเรดอน เพิ่มขึ้น
- การส่งคลื่นวิทยุความยาวคลื่นสูงๆ

การสังเกตพฤติกรรมของสัตว์หลายชนิดที่มีการรับรู้ถึงภัยก่อนเกิดแผ่นดินไหว
- แมลงสาบจำนวนมากวิ่งเพ่นพ่าน
- สุนัข เป็ด ไก่ หมู หมี ตื่นตกใจ
- หนู งู วิ่งออกมาจากรู
- ปลา กระโดดขึ้นจากผิวน้ำ ฯลฯ

สัญญาณบ่งบอกเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่

เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กๆในบริเวณเดียวกันหลายสิบครั้งหรือหลายร้อยครั้งในระยะเวลาสั้นๆ เป็นวันหรือในสัปดาห์ อาจเป็นสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่กว่าตามมาได้ หรือในบางบริเวณที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในอดีต สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่มีขนาดเท่าเทียมกัน หากบริเวณนั้นว่างเว้นช่วงเวลาการเกิดแผ่นดินไหวเป็นระยะเวลายาวนานหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี ยิ่งมีการสะสมพลังงานที่เปลือกโลกในระยะเวลายาวนานเท่าใด การเคลื่อนตัวโดยฉับพลันเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้น

ถึงแม้การพยากรณ์แผ่นดินไหวในภาวะปัจจุบัน จะยังอยู่ในช่วงของการศึกษาวิจัยและพัฒนา เพื่อการคาดหมายที่แม่นยำและแน่นอนขึ้น แต่การมีมาตรการป้องกันและบรรเทาพิบัติภัยแผ่นดินไหว เช่นการก่อสร้างอาคารให้มีความมั่นคงแข็งแรงในพื้นที่เสี่ยงภัย รวมถึงการเตรียมพร้อมที่ดีของประชาชน เช่นให้คำแนะนำถึงวิธีการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนั้น น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญควบคู่กันไปด้วย

เมื่อหันมองถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สาธารณรัฐเฮติมีผู้แสดงความเห็นถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดมหันตภัยครั้งนี้กันอย่างหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลที่จะหยิบยกเหตุผลมาประกอบการอธิบาย นายสมิทธ ธรรมสโรช อดีตประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ อธิบายถึงสัญญาณผิดปกติจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้ ว่าเคยมีนักวิทยาศาสตร์ที่คิดแตกต่างกัน มองว่าการเกิดแผ่นดินไหวบนโลกทุกวันนี้เกิดจากการสะสมพลังงานจากใจกลางโลกและนอกโลก ซึ่งเป็นพลังงานที่ปลดปล่อยมาจากระบบสุริยะ คล้ายกับปรากฏการณ์ในภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากความผิดปกติของการเคลื่อนตัวของระบบสุริยะที่สร้างแรงกระตุ้นให้ดาวเคราะห์ต่างๆรวมถึงโลก โดยการปลดปล่อยพลังงานแสงพลังงานสนามแม่เหล็กมายังดาวเคราะห์หลายดวง กระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแสงสว่าง ทำให้โลกได้รับสนามแม่เหล็กจากการเกิด "พายุสุริยะ" หรือ "จุดดับ" ก็ส่งพลังงานจากภายนอกเข้ามามีผลต่อการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกได้

"ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ที่โลกได้รับพลังงานจากระบบสุริยะหรือจักรวาลอื่นๆ ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก อย่างกรณีที่เฮติก็เชื่อว่าเกิดจากการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาล ที่กระตุ้นให้ดวงอาทิตย์เกิดสันดาป ปลดปล่อยสนามแม่เหล็กมาสู่โลก"

ทั้งนี้ เฮติเป็นประเทศที่ยากจนในทวีปอเมริกาเหนือ แต่ต้องเผชิญกับหายนภัยครั้งรุนแรงหลายครั้งในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเมื่อปี 2551 เกิดเฮอริเคน 3 ลูก และพายุโซนร้อนลูกหนึ่งถล่ม มีคนตาย 793 คน สูญหายอีกกว่า 300 คน ในปีเดียวกันนั้นยังเกิดการจลาจลเพราะราคาอาหารแพงลิบอีกด้วย

และแผ่นดินไหวครั้งนี้ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 200 ปี ที่เกิดขึ้นในเฮติ แถมยังเกิดอาฟเตอร์ช็อกรุนแรงตามมาอีกถึง 24 ครั้ง ถือเป็นโศกนาฏกรรมกลางเมืองหลวง และเป็นปรากฏการณ์ที่รุนแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติอีกครั้งหนึ่งได้เลยทีเดียว



จาก : สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ วันที่ 24 มกราคม 2553

สายน้ำ 25-01-2010 08:35


สึนามิครั้งใหม่! คำพยากรณ์ที่ต้องรับฟัง

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107703.JPEG

พลันที่คำทำนายของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ พรั่งพรูสู่สาธารณะ บอกกล่าวให้คนทั้งประเทศรับรู้ว่า มหันตภัยคลื่นยักษ์สึนามิจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งในชายฝั่งอันดามันของไทย ด้วยระดับความรุนแรงที่เลวร้ายกว่าเมื่อครั้งที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2547 อย่างเทียบกันไม่ติดนั้น

ภาพความสูญเสียของชีวิตนับไม่ถ้วนที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพรากลมหายใจไปโดยไม่ทันตั้งตัว ก็กลับมาฉายชัดย้ำเตือนคนไทยทั้งประเทศอีกครั้ง พร้อมคำถามจากประชาชนที่มีต่อประสิทธิภาพของทุ่นเตือนภัย ซึ่งเกิดปัญหาแบตเตอรี่หมด กลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล ซึ่งนับเป็นภาพที่ชวนสลดสังเวชไม่น้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหม่กำลังก่อตัวขึ้นจริงตามคำทำนาย


พยากรณ์คลื่นยักษ์ถล่มไทย

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107701.JPEG

“สำหรับดวงเมืองของประเทศไทยในปี 2553 นี้ ถ้าดูจากการทำมุมตรึงกันของหมู่ดวงดาว ก็เป็นไปได้ที่เรื่องของอุบัติภัยนั้นย่อมเกิดขึ้นและเกิดอย่างรุนแรงด้วย”

ใช่เพียงการทำนายจากนักวิชาการในแวดวงวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยา ถึงการเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหม่ แต่คำทำนายทายทักจาก ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ที่บอกกล่าวให้ทราบถึงดวงชะตาเมืองก็นับว่าสอดคล้องกันอย่างน่าตระหนก ก่อนโหรคนเดิมอธิบายเพิ่มเติมว่า อุบัติภัยร้ายแรงนั้น เกิดจากอิทธิพลของอุปราคาหรือการที่ดาวพระเคราะห์เรียงบังกัน

“โดยเฉพาะดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ ซึ่งเป็นดาวแห่งการเปลี่ยนแปลง หากดาวคู่นี้เล็งกันก็จะเกิดความโกลาหล เพราะฉะนั้นเรื่องของแผ่นดินไหวหรืออะไรต่างๆ จึงมักจะเกิดในช่วงที่ดาวพฤหัสบดีกับเสาร์ทำมุมเล็งกัน

เพราะฉะนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ปี 2553 นี้ มันก็จะเกิดอุบัติภัยแรงๆหลายครั้ง ”

ภิญโญบอกว่า ส่วนใหญ่แล้วจะตรงกับวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับการเกิดอุปราคา

“อย่างในปีนี้ จะมีอุปราคาเกิดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายน ระวังไว้ ตอนช่วงนั้นเป็นช่วงที่อาจจะเกิดอุบัติภัยได้ ผมบอกเป็นวันเลย หรืออาจจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังก็ได้ และวันที่ 19-20-21 กรกฎาคม ตอนช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ต้องระวังให้มาก ด้วยเหตุที่ดาวอังคารไปกุมกับดาวเสาร์ ในช่วงกลางเดือน หรือมันอาจจะครอบคลุมไปถึงช่วงกลางสิงหาคมถึงต้นกันยายน”

หลังจากทราบถึงดวงชะตาเมืองที่สอดคล้องกับคำทำนายทายทักของ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ซึ่งออกมาเผยว่า เห็นด้วยกับคำทำนายของกลุ่มนักวิชาการแห่งสถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหา วิทยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ที่ส่งคำเตือนมาว่า อาจจะเกิดคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีระดับความรุนแรงที่มากกว่าเมื่อปี 2547

โดยสึนามิครั้งใหม่นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่บริเวณเกาะสุมาตรา ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

ครั้นสอบถามไปยัง ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เราก็ได้รับคำตอบว่า

“ผมแค่กล่าวว่า เห็นด้วยกับคำเตือนของศาสตราจารย์สถาบันวิจัยนิเวศวิทยาแห่งมหาวิยาลัยอัลส์เตอร์ ไอร์แลนด์เหนือ ที่ว่าจะเกิดสึนามิในประเทศไทยขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากว่าเปลือกโลกจุดเดิมยังมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนตัวได้อีก” ซึ่งหากเกิดการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนอีกครั้งหนึ่ง ประเทศไทยจะต้องเสียหายมากกว่าเดิม

ส่วนแนวทางการป้องกันนั้น อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวว่า

“ไม่มีใครสามารถหยุดธรรมชาติได้ สิ่งที่เราทำได้มีเพียงแต่การเตรียมพร้อมรับมือให้ดีที่สุด เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา กรมอุตุฯ เพิ่งโทร.มาหาผม ว่าไม่ควรพูดแบบนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนเกิดความตระหนก แต่ผมไม่ได้พูดอะไร ผมแค่บอกว่า ผมสนับสนุนงานวิจัยของไอร์แลนด์เหนือ และทางกรมอุตุฯ ก็ออกมาบอกกับผมว่า ทางกรมนั้นมีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าเกิดเหตุขึ้นอย่างไรก็สามารถเตรียมการรับมือได้ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ทันการหากว่าไม่ระวังตัว คราวที่แล้วกรมอุตุก็ออกมาบอกแบบนี้ แล้วเป็นไง”

หลังจากตั้งถามอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ดร.สมิทธก็ย้ำทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยต้องมีระบบเตือนภัยที่ดี ซึ่งจะช่วยยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ แต่ทว่า

“ผมได้ยินมาว่า คนในพื้นที่บอกว่าทุ่นเตือนภัยก็แบตฯหมด หอเตือนภัยก็ใช้การได้ไม่หมด ทั้งนี้ ผมคงพูดอะไรไม่ได้มาก เพราะโดนรัฐเขาฟ้องอยู่ ข้อหาหมิ่นประมาท”


รวมพลังต้านคลื่นลม

ไม่ว่าใครจะทำนายทายทักว่าคลื่นยักษ์กำลังจะมา หรือออกแรงคัดค้านว่าคลื่นยักษ์คงไม่เกิดขึ้นจริง แต่ความจริงประการหนึ่งก็คือ ในคราวที่สึนามิมาเยือนทะเลอันดามันของไทยเมื่อปลายปี 2547 พื้นที่ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ถือเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ได้รับความเสียหายไม่น้อย และนั่นเองเป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวบ้านที่นั่น เป็นกลุ่มคนที่ 'พร้อมที่สุด' ที่จะเผชิญกับสึนามิในครั้งต่อไป

ดังคำบอกกล่าวของ ชัยณรงค์ มหาแร่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ที่เอ่ยว่า

“สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียว ถ้าหากจะมีการเกิดสึนามิก็คือ เราต้องอพยพให้ทัน ซึ่งจากที่เตรียมการมา คือหลังจากได้รับข่าวแล้ว เราจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที นำเอาคนออกจากพื้นที่ให้ได้ทั้งหมด ในคราวที่แล้วที่เกิดสึนามิมีชาวบ้านหลายคนอพยพไม่ทัน เพราะหวังจะเก็บของมีค่าออกมากับตัวด้วย แต่จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เรามีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี”

ชัยณรงค์ยืนยันว่า ชาวบ้านในตำบลบางม่วงได้มีการเตรียมความพร้อมกันทุกปีอยู่แล้ว โดยตั้งงบประมาณไว้ส่วนหนึ่งเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ เช่น มีการซ้อมแผนอพยพปีละสองครั้ง ซึ่งชัยณรงค์บอกว่า อปพร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) ในพื้นที่ตำบลบางม่วงนั้นมีความเข้มแข็งมาก

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107708.JPEG

“ตอนนี้เราไม่สามารถหวังพึ่งเครื่องเตือนภัยได้ เพราะที่ผ่านมาเคยมีการทดลองใช้แล้วปรากฏว่า มันไม่ดัง แต่ตอนที่ไม่ได้ทดลองมันเกิดดังขึ้นมา จนชาวบ้านไม่ได้คาดหวังแล้ว ตอนนี้ก็ต้องพึ่งตัวเองโดยการสังเกตธรรมชาติ เช่น ถ้าน้ำทะเลแห้งเร็วกว่าปกติก็คิดได้ว่าจะมีสึนามิมา

“ถามว่าเรากลัวหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าทุกคนคงกลัวหมด แต่ขั้นแรกต้องเข้าใจก่อนว่า ภัยธรรมชาตินั้น เราไม่สามารถห้ามไม่ให้มันเกิดได้ แต่ถ้ามันเกิดแล้ว ก็ต้องมีแผนป้องกันตัวที่ดี ให้ได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินน้อยที่สุด และสิ่งที่จะบอกเราว่า จะมีสึนามิมา นอกจากการสังเกตโดยชาวบ้านแล้ว เครื่องเตือนภัยที่ใช้การได้ก็จะเป็นสิ่งที่บอกเราอีกทางหนึ่ง”

เป็นความเห็นที่คล้ายจะสวนทางกับสภาพความเป็นจริงของหอเตือนภัยที่ใช้การไม่ได้ รวมถึงเครื่องเตือนภัยที่แบตเตอรี่หมด ทำให้ลอยเท้งเต้งอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ความหมาย


สายน้ำ 25-01-2010 08:38


สึนามิครั้งใหม่! คำพยากรณ์ที่ต้องรับฟัง (ต่อ)

เสียงจากศูนย์ป้องกันภัยพิบัติ

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107707.JPEG

หลังจากรับฟังเสียงชาวบ้านในพื้นที่ที่ทุ่นเตือนภัยสึนามิแบตเตอรี่หมดและหอ เตือนภัยก็ใช้การไม่ได้รวมทั้งไม่มีผู้สนใจเข้ามาดูแลนั้น เมื่อสอบถามไปยัง วิริยะ มงคลวีระพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ก็ได้รับคำอธิบายว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด และตอนนี้ทางศูนย์ฯก็ได้มีการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากที่แบตเตอรี่หมด แต่เกิดจากการที่ชาวประมงไปแกะทำให้บางส่วนของทุ่นเตือนภัยส่งสัญญาณไม่ได้ ทำให้ระบบขัดข้อง

“ตอนนี้ทางศูนย์ก็ได้เอาทุ่นตัวใหม่ไปทดแทนตัวเก่าที่สหรัฐอเมริกาบริจาคให้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2552 ส่วนหอเตือนภัยที่อยู่ตาม 6 จังหวัดภาคใต้ได้มีการตรวจเช็คทุกวัน และตอนนี้ผมก็ได้ลงไปตรวจแล้ว สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยได้ตามปกติทุกหอทุกจังหวัด”

นอกจากนี้ เรื่องที่มีผู้คาดการณ์ว่าอีกไม่ช้าจะเกิดสึนามิรอบสองและจะส่งผลร้ายแรงกว่าสึนามิในปี 2547 นั้น วิริยะบอกว่า ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัด เพราะแม้แต่การเกิดแผ่นดินไหวก็ยังไม่สามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และสึนามิก็เกิดจากแผ่นดินไหว เกิดจากการยกตัวของเปลือกโลก รวมทั้งเทคโนโลยีในปัจจุบันก็ไม่สามารถตรวจล่วงหน้าได้เลย

“การเกิดสึนามิขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลและการยุบตัวหรือยกตัวมากน้อยขนาดไหนแค่นั้นเอง ทางศูนย์ฯได้เตรียมความพร้อม คือ เมื่อเกิดสึนามิแล้ว เราเตือนประชาชนให้อพยพก่อน และถ้าอยู่นอกน่านน้ำประเทศไทยอย่างช้าที่สุดที่เราสามารถเตือนให้ประชาชนรับรู้ล่วงหน้าก่อนที่คลื่นจะถึงฝั่ง ก็คือ ภายใน 1 ชั่วโมง”


คลื่นยักษ์ที่ไร้เหตุผล

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107704.JPEG

ด้วยความใคร่รู้ว่า การเกิดสึนามิ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลและการยุบตัวหรือยกตัวของเปลือกโลก เช่นที่ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติกล่าวไว้หรือไม่

เราจึงหยิบข้อสงสัยนี้ไปถามไถ่กับนักธรณีวิทยาอย่าง ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จ. สงขลา หนึ่งในทีมวิจัยที่กำลังเก็บข้อมูลตะกอนในท้องทะเลไทย เพื่อค้นหาว่า ในอดีตเคยเกิดสึนามิขึ้นในไทยแล้วกี่ครั้ง ซึ่งนำไปสู่การอนุมานหาระยะเวลา ความน่าจะเป็นที่สึนามิครั้งใหม่จะเกิดขึ้น นับเป็นองค์ความรู้จากภาพอุบัติซ้ำในอดีต ที่ในเมืองไทยยังไม่มีการศึกษาวิจัยแพร่หลายนัก

และคำตอบที่ได้รับจากนักธรณีวิทยาท่านนี้ ทำให้รู้ว่าการเกิดสึนามินั้น ช่างแปรปรวนและยากจะคาดเดา

“สึนามิไม่จำเป็นต้องเกิดจากแผ่นดินไหวเสมอไป เช่น เหตุการณ์สึนามิครั้งรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้นมาจากการเคลื่อนตัวหรือ 'แลนด์สไลด์' ซึ่งหมายถึงการที่ มวลภูเขาลูกหนึ่งเกิดสไลด์ลงไปในทะเลโดยฉับพลัน แบบนี้น่ากลัวมาก เพราะมันจะเกิดเป็นเมกกะสึนามิ คือ เป็นสึนามิคลื่นใหญ่มาก ซึ่งเท่าที่เคยมีในประวัติศาตร์ก็คือ การเกิดคลื่นเมกะสึนามิที่รัฐอะแลสกา ตอนนั้นมีคลื่นสึนามิสูงประมาณ 500 เมตร

"ประจักษ์พยานตอนนั้นคือชาวประมงที่กำลังตกปลาอยู่ แล้วถูกคลื่นพัดจากเขาลูกหนึ่งไปอยู่บนยอดเขาอีกลูกหนึ่งเลย สาเหตุของการเกิดสึนามิครั้งนั้น ก็เกิดจาการที่ภูเขาสไลด์ตัวลงไปในทะเล มันเป็นความเปราะบางทางชั้นธรณีของภูเขาที่ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกฉุดดึงลงไปในฉับพลัน”

นอกจากนี้ การเกิดขึ้นของสึนามิยังมีที่มาจากลักษณะการเคลื่อนตัวของตะกอนใต้ทะเล ในบริเวณที่เรียกว่าไหล่ทวีป เมื่อเกิดการทับถมตัวนานๆแล้วชั้นตะกอนต้านทานแรงโน้มถ่วงไม่ไหวก็จะจมลงไป ซึ่งมวลของมันมหาศาลมาก สามารถสร้างให้เกิดคลื่นสึนามิได้เช่นกัน ยังไม่นับถึงลูกอุกกาบาต ที่ถ้าหากวันดีคืนดีมีลูกอุกาบาตตกลงไปในท้องทะเล ก็ย่อมทำให้เกิดสึนามิได้เช่นเดียวกัน

สึนามิจึงเกิดได้จากหลากหลายปัจจัยทางธรรมชาติ แต่เมื่อแผ่นดินไหวก็ถือเป็นสาเหตุประการหนึ่ง การทุ่มเทเครื่องมือเพื่อตรวจหาแรงสั่นสะเทือนใต้พิภพจึงเป็นวิธีที่ใน ระเทศซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนำมาใช้สำหรับการเฝ้าระวัง ดังคำบอกเล่าจากศิวัช กระนั้นก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำ

“ทุกวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถทำนายการเกิดแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้ในต่างประเทศจะมีวิธีการทดสอบการเกิดคลื่นยักษ์โดยฝังท่อโลหะลงไปในพื้นดิน แล้วกระจายเครือข่ายและจับสัญญาณคลื่นแผ่นดินไหวจากใต้พิภพ เมื่อจับสัญญาณที่มีอยู่เพียงนิดเดียวได้แล้ว ก็จะใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์การเกิดสึนามิ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่

“เพราะฉะนั้น คำพยากรณ์ที่ว่าจะมีสึนามิรอบใหม่เกิดขึ้นนั้น ผมมองว่า มันย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คำถามที่ว่า เรามีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับมันอย่างไรต่างหาก”

ไม่ว่าสิ่งกำบังในการป้องกันสึนามิ หรือเครื่องมือในการเตือนภัย สิ่งเหล่านี้ในความเห็นของศิวัช คือ

“การรับมือด้วยวิธีที่ว่ามา ถ้าถามผม ผมว่าเรายังคงขาดหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ การฝึกให้คนทุกคนพร้อมที่จะรับมือกับสึนามิที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ให้คนรู้จักระวังภัย รู้จักสังเกตระบบเตือนภัย ให้คนหนีเข้าชายฝั่งให้เร็วที่สุด เหล่านี้จะสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงไปได้เยอะเลย

“นอกจากนี้ ผมอยากให้มีการบรรจุเรื่องการหนีภัย การเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติต่างๆลงไปในหลักสูตรการศึกษาของเมืองไทย เพราะทุกวันนี้เรายังไม่มีหลักสูตรว่าด้วยเรื่องของการศึกษาภัยพิบัติทางธรรมชาติสักเท่าไหร่ และไม่จำเป็นจะต้องเป็นสึนามิอย่างเดียว ควรจะมีเรื่องของแผ่นดินไหวและภาวะโลกร้อนด้วย เพราะเราจะต้องอยู่กับธรรมชาติไปตลอดชีวิต สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ”

………......

http://pics.manager.co.th/Images/553000001107706.JPEG

"หากดูจากวงโคจร การตรึงและดึงดูดกันของดวงดาว ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ในปี 2553 นี้จะมีอุบัติภัยครั้งร้ายแรงเกิดขึ้น ในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงสิงหาคม เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่รับผิดชอบก็ฟังๆไว้บ้าง คนเขาทัก จะได้มีการเตรียมการรับมือกันได้ทัน จากที่หนักจะได้เป็นเบา"

ว่าไปแล้ว เสียงทักท้วงจากโหรภิญโญก็น่ารับฟังไม่น้อยไปกว่าตรรกะทางธรณีวิทยาหรือศาสตร์แขนงใดๆ ถ้าการรับฟังนั้น มิได้หมายถึงงมงาย แต่คือการเตรียมพร้อมรับมือกับมหันตภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด




จาก : เดลินิวส์ วันที่ 25 มกราคม 2553

สายน้ำ 05-02-2010 08:02


ผ่าชะตาโลกปี "2012" สารพัดวิบัติภัยจะกระหน่ำจนสิ้นจริงหรือ?

http://pics.manager.co.th/Images/553000001554901.JPEG
ภาพหายนะวันสิ้นโลก ในภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก"

แม้จะลาโรงไปนานนับเดือนแล้ว แต่กระแสจากภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ยังไม่จางลง ด้วยเรื่องราวของมหันตภัยล้างโลกที่ดูสมจริง ผูกโยงด้วยดาราศาสตร์ และปริศนาคำทำนายตั้งแต่อดีตกาลที่คล้ายกับจะบอกเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้นี้ ประกอบกับภัยพิบัติรุนแรงในปัจจุบัน เรื่องนี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง จนหลายคนกังวลหรือสงสัยเหลือเกินว่าปี "2012" โลกจะสิ้นจริงหรือ?

เหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ระบุว่าโลกจะถึงกาลดับสิ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จากมหันตภัยนานาชนิดที่ถาโถม เกิดขึ้นในและทำลายล้างโลกในชั่วพริบตา ซึ่งตรงกับคำทำนายของชาวมายาเมื่อหลายพันปีก่อน และมีเหตุปัจจัยมาจากการที่ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเรียงตัวเป็นแนวเดียวกัน จนทำให้สนามแม่เหล็กโลกปั่นป่วน

จริงหรือ ปฏิทินมายา ทำนายชะตาโลก?

ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์ นักวิชาการจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) ไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ส่วนหนึ่งมีที่มาจากปฏิทินของชาวมายา ที่มีลักษณะเป็นวงรอบซ้อนกันหลายวง โดยมีวงรอบหนึ่งที่เรียกว่า บักตุง (Baktun) แต่ละรอบมีระยะเวลา 400 ปี และวงรอบใหญ่สุดประกอบด้วย 13 บักตุง รวมเป็นระยะเวลา 5,200 ปี และวันครบรอบ 13 บักตุง ครั้งถัดไปตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. 2012

"ในอดีตที่ผ่านมา มักมีเหตุการณ์สำคัญๆเกิดขึ้นกับชาวมายาเมื่อครบรอบ 13 บักตุง และคาดว่าในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน จึงมีการนำเอาไปผูกโยงเข้ากับภาพยนตร์ โดยเป็นการทำนายว่าในปี 2012 จะเป็นวันสิ้นโลก" ดร.นำชัย กล่าวในระหว่างการเสวนาเรื่อง "2012 โลกจะสิ้นจริงหรือ" ภายในงานมหกรรมหนังสือ มหิดล-พญาไทบุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 5 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 53 ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พญาไท

อย่างไรก็ดี ดร.นำชัย บอกอีกว่า ชาวมายาได้สร้างพีระมิดและเก็บรักษาพระศพของกษัตริย์พระองค์หนึ่งไว้ในนั้น ด้วย เพื่อว่าพระองค์จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในปี ค.ศ.4772 ซึ่งหากชาวมายามีการทำนายไว้ว่าปี 2012 เป็นปีสิ้นโลกจริงๆ ก็ไม่น่าจะมีการบันทึกไว้ว่าปี 4772 จะมีการฟื้นคืนชีพของกษัตริย์พระองค์ดังกล่าว เพราะถึงเวลานั้นโลกก็ไม่มีอะไรเหลือแล้ว

http://pics.manager.co.th/Images/553000001554902.JPEG
โปสเตอร์ภาพยนตร์ดัง "2012 วันสิ้นโลก" ที่ทำเอาหลายคนถึงกับสับสนว่านี่เป็นเรื่องสมมติหรือคำทำนายที่จะเกิดขึ้นจริงกันแน่

จริงหรือ ดาวเคราะห์เรียงกัน ถึงกาลสิ้นโลก?

ในภาพยนตร์ยังอ้างถึงว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจะเรียงตัวกันในแบบพิเศษ และส่งผลให้สนามแม่เหล็กโลกเกิดความปั่นป่วนและผิดปกติ จนเป็นเหตุให้เกิดมหันภัยรุนแรงและล้างโลกไปในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

"จากข้อมูลทางดาราศาสตร์บอกว่าในวันนั้นจะไม่เกิดปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัวกันเหมือนอย่างในภาพยนตร์แน่นอน แต่ในวันอื่นๆ ดาวเคราะห์อาจโคจรมาเรียงกันได้ แต่ก็เพียงแค่ 2-3 ดวงเท่านั้น และที่ผ่านมาไม่เคยมีหลักฐานบ่งบอกว่าโลกได้รับผลกระทบจากการที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน" ดร.นำชัย ชี้แจง

นักวิชาการจากไบโอเทคอธิบายต่อว่า ปกติแล้วโลกเราได้รับอิทธิพลจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นหลัก ไม่ใช่อิทธิพลจากดาวเคราะห์ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์ โดยจุดดำบนดวงอาทิตย์ หรือ ซันสปอต (Sunspot) ที่มีรอบการเกิดและดับเฉลี่ยทุกๆ 11 ปี ซึ่งทำให้เกิดพายุสุริยะ และเกิดการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กโลกได้ และอาจกระทบต่อดาวเทียมและอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนสิ่งมีชีวิตไม่น่าจะได้รับผลกระทบด้วย ยกเว้นนกอพยพที่อาศัยสนามแม่เหล็กโลกในการเดินทาง

จริงหรือ แม่เหล็กโลกสลับขั้วในชั่วพริบตา หายนะมาเยือน?

ส่วนกรณีที่ภาพยนตร์กล่าวถึงการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกที่เกิดขึ้นในวันเดียว จนแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่กลับตาลปัตรในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง และตามมาด้วยหายนะภัยพิบัติรุนแรงต่างๆ ดร.นำชัย ยืนยันว่านักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้ ทว่าโอกาสที่แม่เหล็กโลกจะสลับขั้วกันนั้นมีแน่นอน แต่จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลานานนับแสนนับล้านปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดขึ้นแล้วจากการที่นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานการเรียงตัวของสารแม่เหล็กอยู่ในฟอสซิลต่างๆ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ว่ามีผลต่อระบบทางชีววิทยาแต่อย่างใด

"สำหรับแผ่นเปลือกโลกนั้นมีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ใช้เวลานานพอๆกัน จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน ไม่ใช่เคลื่อนที่ไปได้นับหมื่นกิโลเมตรภายในไม่กี่ชั่วโมงเหมือนในภาพยนตร์" ดร.นำชัย เผย ซึ่งเขายืนยันชัดเจนหนักแน่นว่า ในความเป็นจริงในปี 2012 โลกจะไม่สูญสิ้นไปด้วยเหตุปัจจัยที่เหมือนในภาพยนตร์อย่างแน่นอน.



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2553

สายน้ำ 22-02-2010 08:05


ถึงเวลาที่โลกต้องตระหนัก!!

http://www.gotomanager.com/img/mgrm/...00218/home.jpg

26 ธันวาคม 2547 แผ่นดินไหววัดความรุนแรงได้ 9.6 ริกเตอร์ บริเวณเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ซัดถล่มชายฝั่งของหลายประเทศที่อยู่รายรอบ มหาสมุทรอินเดีย อาทิ อินโดนีเซีย ไทย อินเดีย ศรีลังกา ฯลฯ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 165,000 คน

2 พฤษภาคม 2551 พายุไซโคลนนาร์กิส พัดถล่มพื้นที่บริเวณปากน้ำอิระวดีของพม่า ส่งผลให้ เกิดภาวะน้ำท่วมและแผ่นดินถล่ม สร้างความเสียหายอย่างหนัก ตัวเลขอย่างเป็นทางการของพม่า มีผู้เสียชีวิต 22,000 คน และสูญหายอีก 41,000 คน แต่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการคาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1 แสนคน

12 พฤษภาคม 2551 เกิดแผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 7.8 ริกเตอร์ ในมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้อาคารบ้านเรือนถล่ม ตัวเลขอย่างเป็นทางการซึ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน

ล่าสุด วันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา เหตุแผ่นดินไหว วัดความรุนแรงได้ 7.0 ริกเตอร์ ในสาธารณรัฐเฮติ เกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ในทะเลแคริบเบียน สร้างความเสียหายให้กับประเทศนี้อย่างชนิดที่เรียกได้ว่า "ล่มสลายหมดทั้งประเทศ" ตัวเลขล่าสุดที่ได้รับก่อนการปิดต้นฉบับ พบผู้เสียชีวิตแล้ว 170,000 คน และมีการคาดกันว่ายังมีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก

เพียง 5 ปีที่ผ่านมา โลกได้ประสบกับหายนภัยอย่างรุนแรงมานับครั้งไม่ถ้วน

4 เหตุการณ์ที่กล่าวถึงข้างต้น เป็นเพียงต้วอย่างของหายนภัยที่เกิดในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งก่อความเสียหาย และทำให้มีผู้เสียชีวิตจากภัยธรรมชาติไปแล้วถึงเกือบครึ่งล้านคน

ไม่นับรวมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยากจะหาคำบรรยาย ซึ่งปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ อาทิ

- พายุหลงฤดูที่ซัดกระหน่ำเกาะออสเตรเลีย

- สภาพอากาศหนาวจัดในยุโรปและมณฑลทางตอนเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีน

- น้ำที่ท่วมอย่างหนักจนเกิดแผ่นดินถล่มในหลายประเทศในอเมริกาใต้

- ภูเขาไฟมายอน เกิดปะทุขึ้นที่เกาะทางภาคกลางของฟิลิปปินส์

ฯลฯ

ปรากฏการณ์เหล่านี้เหมือนกับนัดหมายให้เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับภาพยนตร์เรื่อง "2012 วันสิ้นโลก" ซึ่งเพิ่งออกฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์หรือเรื่องจริงสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องตระหนัก คือหายนภัยอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมในโลกใบนี้ มาถึงเร็วและรุนแรงกว่าที่หลายๆคนเคยปรามาสเอาไว้

แต่ความตระหนักดังกล่าวแผ่กระจายออกไปเป็นวงกว้างหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด?

ขณะที่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ซึ่งมีตัวแทนจาก 192 ชาติ มาร่วมประชุมกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก

เป็นการประชุมเพื่อหามาตรการรองรับ หลังจากพิธีสารเกียวโตกำลังจะหมดอายุลงในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่ผลการประชุมคราวนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ยังต้องมีการถกเถียงกันต่อ

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมได้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของแต่ละ ประเทศ ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลกได้พอสมควร

ประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกกันขึ้นมาตลอดเวลาที่มีการพูดกันถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก คือเรื่องของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยโดยตรงที่ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาในปริมาณที่มากเกินไป มีต้นเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าจากการขยายตัวของชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วเกินไป จนการปลูกป่าขึ้นมาเพื่อทดแทนป่าที่สูญเสียไป ทำได้ไม่ทัน

อีกทั้งการบริโภคพลังงานที่มากเกินไป ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสังคมเมืองและเศรษฐกิจ

พลังงานที่ถูกบริโภคมากที่สุด คือพลังงานจากฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน การแสวงหาแหล่งพลังงานเหล่านี้จำเป็นต้องขุดเจาะพื้นโลก ทำให้เกิดโพลงใต้ดินและการเผาผลาญพลังงานเหล่านี้ เพื่อนำมาใช้บริโภค ก็เป็นการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาโดยตรง

หลายปีมานี้แนวคิดที่จะสรรหาแหล่งพลังงานใหม่ๆเพื่อนำมาใช้ทดแทนแหล่งพลังงานเดิมที่มาจากซากฟอสซิล จึงมีการพูดถึงกันมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นการพูดเพื่อสร้างกระแสความตื่นตัวชั่วครั้งชั่วคราว อันเป็นผลเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

แต่น้อยครั้งนักที่จะเป็นการพูดเพื่อสร้างความตื่นตัวในระยะยาวคือ สร้างความตระหนักให้ผู้คนคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ อันเกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคพลังงานจากซากฟอสซิล

ดังจะเห็นได้จากทุกครั้งที่ราคาน้ำมันเริ่มลดลง ความตื่นตัวของผู้คนที่จะแสวงหาพลังงานใหม่ๆ ซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดมาใช้ก็ลดลงตามไปด้วย

คำถามที่นิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ตั้งอยู่ในใจมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ

ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายสมดุลทางธรรมชาติ และไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชน จึงไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระหลัก โดยไม่ต้องมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันในตลาดโลกมาเป็นตัวแปร?

ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆที่สะอาด จึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนทั่วโลกควรต้องตื่นตัว เพราะมองเห็นว่าการบริโภคพลังงานที่มาจากซากฟอสซิลเพียงอย่างเดียว กำลังบ่อนทำลายโลกใบนี้ไปทีละน้อยทีละน้อย?

ทำไม การแสวงหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ทั่วทั้งโลกต้องตระหนัก เพื่อป้องกัน หรือตั้งรับกับหายนภัยใหญ่ๆที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และนับวันจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น?

3 คำถามที่เกิดขึ้นข้างต้นยิ่งถูกเร่งเร้าให้รีบหาคำตอบให้ได้โดยเร็วขึ้น ทันทีที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ประเทศเฮติ จนเป็นที่มาให้เราต้องเร่งทำเป็นเรื่องจากปกในฉบับนี้

ดังนั้น เรื่องปกของนิตยสารผู้จัดการ 360 ํ ฉบับนี้จึงอาจดูเป็นเรื่องเชิงนามธรรมหรือเป็นวิชาการไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องที่เราตั้งใจจะนำเสนอ แม้ว่าจะมีเวลาในการแสวงหาข้อมูลอย่างจำกัด วัตถุประสงค์ของเราขอเป็นส่วนหนึ่งหรือแค่เสียงหนึ่งที่ออกมากระตุ้นให้ผู้คนต้องตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้และออกมาร่วมกันหาคำตอบ ให้กับ 3 คำถามที่เราได้ตั้งเอาไว้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว..!!!



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553

สายน้ำ 27-02-2010 08:04


ปะการังจะหมดโลกภายใน 100 ปี

http://www.komchadluek.net/media/img...9b85h5jhab.jpg

ผลศึกษาชิ้นใหม่พบว่าแนวปะการังที่งดงามที่สุดในโลกจะตายลงภายในระยะเวลาเพียงแค่ร้อยปีเท่านั้น

นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ปริมาณกรดในทะเลที่เพิ่มขึ้น และอุณหภูมิในมหาสมุทรที่สูงขึ้นเป็นตัวการทำลายแนวปะการังอันสวยงามซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเหล่านักดำน้ำ นักท่องเที่ยว และผู้รักธรรมชาติ

การตายของปะการังยังเป็นหายนะสำหรับพวกปลาและสัตว์ทะเลเขตร้อนอีกด้วย เพราะสัตว์เหล่านี้ใช้แนวปะการังเป็นที่เลี้ยงดูลูกอ่อนและแหล่งหาอาหาร

ดร.เจคอบ ซิลเวอร์แมน จาก สถาบันคาร์เนกี ในกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐ บอกว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นทำให้น้ำทะเลมีความเป็นกรดมากขึ้น

ผลการศึกษาของ ดร.ท่านนี้ชี้ให้เห็นว่า ปะการังจะหยุดเติบโตแล้วเริ่มแตกหักเมื่อปริมาณของก๊าซเรือนกระจกสูงแตะระดับ 2 เท่าของปริมาณที่เคยเป็นในยุคก่อนอุตสาหกรรม แล้วถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คาดว่าแนวปะการังต่างๆจะตายลงภายในสิ้นศตวรรษที่ 21 นี้เอง

ดร.ซิลเวอร์แมนยังบอกด้วยว่า ปะการังที่สร้างแนวปะการังใต้น้ำนั้นจะมีความอ่อนไหวต่อความเป็นกรดและอุณหภูมิของน้ำทะเลที่พวกมันเติบโตอยู่สูงมาก แล้วมหาสมุทรก็ดูดซับเอาก๊าซเรือนกระจกมาจากชั้นบรรยากาศเลยทำให้มีความเป็น กรดมากตามไปด้วย

เมื่อปริมาณของกรดสูงเกินไปก็จะไปขัดขวางปะการังไม่ให้สกัดเอาแร่ธาตุจากน้ำทะเลไปสร้างแนวปะการังที่แข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง



จาก : คม ชัด ลึก วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553

สายน้ำ 28-02-2010 09:38


รวม 10 เหตุการณ์ ภัยธรณีพิบัติล้างโลก

http://www.thairath.co.th/media/cont.../630/67738.jpg

หลังจากที่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวที่เฮติ เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงเดือนกว่าๆเท่านั้น เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา (ตามเวลาในไทย) เกิดแผ่นดินไหวที่นอกชายฝั่งเกาะโอกินาวา ทางภาคใต้ญี่ปุ่น วัดแรงสั่นทะเทือนได้ 6.9 - 7.0 ริกเตอร์

ไม่เพียงเท่านั้น ขณะที่อีกซีกโลกหนึ่งที่ประเทศชิลี ก็เกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องไม่ทันข้ามวัน คราวนี้วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8.8 ริกเตอร์ ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ธรณีพิบัติที่มีระดับความรุนแรงเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ปี 1900 เป็นต้นมา ขณะที่ยอดของผู้เสียชีวิตล่าสุดตอนนี้ เพิ่มขึ้นกว่า 150 รายแล้วและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หลังเกิดเหตุ หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้มีการระดมแจ้งเตือนภัยสึนามิไปยังประเทศต่างๆที่อาจได้รับผลกระทบทั้งทางซีกของทวีปอเมริกาเหนือและใต้, ทวีปเอเชีย รวมถึง ทวีปยุโรปบางส่วน กันจ้าละหวั่น เพื่อให้เตรียมพร้อมและรับมือกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ นับตั้งแต่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 1900 เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี เช่นกัน โดยคราวนั้น จุดศูนย์กลางอยู่ที่ทางตอนใต้ของชิลี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 9.5 ริกเตอร์ และคร่าชีวิตประชาชนไปมากกว่า 1,600 ราย และอีกกว่า 2 ล้านชีวิต ต้องไร้ที่อยู่อาศัย

10 อันดับ เหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่รุนแรงที่สุด ตั้งแต่ปี 1900 (จากซีเอ็นเอ็น)


อันดับ 1

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_3.jpg

สถานที่ : ทางชายฝั่งตอนใต้ของชิลี
วันที่ : 22 พฤษภาคม 1960
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 9.5 ริกเตอร์
ความเสียหาย : ผู้เสีย 1,655 ราย อีก 3,000 ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ จำนวนยอดผู้ไร้ที่อยู่อาศัย มีกว่า 2,000,000 คน


อันดับ 2

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_7.jpg

สถานที่ : ปรินซ์ วิลเลียม เซาวด์, อลาสกา
วันที่ : 28 มีนาคม 1964
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 9.2 ริกเตอร์
ความเสียหาย : มีผู้เสียชีวิต 113 ราย จากผลของสึนามิ ขณะที่อีก 15 ราย เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว

(มีต่อ)


สายน้ำ 28-02-2010 09:40


อันดับ 3

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_5.jpg

สถานที่ : บริเวณนอกชายฝั่งตะวันตก ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา
วันที่ : 29 ธันวาคม 2004
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 9.1 ริกเตอร์
ความ เสียหาย : มีผู้เสียชีวิตกว่า 227,898 ราย (รวมผู้สูญหายและคาดว่าน่าจะเสียชีวิต) ขณะที่ ประชาชนกว่า 1.7 ล้านคน ต้องอพยพออกจากพื้นที่ได้รับผลกระทบแผ่นดินไหว และสึนามิ จากทั้งหมด 14 ประเทศ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ แอฟริกาตะวันออก


อันดับ 4

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_9.jpg

สถานที่ : คัมชัตกา เพนินซูลา
วันที่ : 4 พฤศจิกายน 1952
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 9.0 ริกเตอร์
ความเสียหาย : ทรัพย์สินได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต


อันดับ 5

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_2.jpg

สถานที่ : นอกชายฝั่งของ เมาเล ชิลี
วันที่ : 27 มกราคม 2010
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.8
ความเสียหาย : ยังคงอยู่ในการประเมินสถานการณ์


(มีต่อ)



สายน้ำ 28-02-2010 09:43


อันดับ 6

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_4.jpg

สถานที่ : นอกชายฝั่งของ เอกวาดอร์
วันที่ : 31 มกราคม 1906
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.8 ริกเตอร์
ความเสียหาย : ไม่มีการบันทึก


อันดับ 7

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_6.jpg

สถานที่ : เกาะแรท, อลาสกา
วันที่ : 4 กุมภาพันธ์ 1965
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.7 ริกเตอร์
ความเสียหาย : ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตและ ผู้ได้รับบาดเจ็บ


อันดับ 8

http://www.thairath.co.th/media/cont...67738_20_8.jpg

สถานที่ : ตอนเหนือเกาะสุมาตรา
วันที่ : 28 มีนาคม 2005
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.6 ริกเตอร์
ความเสียหาย : มีผู้เสียชีวิต 1,400 ราย


อันดับ 9

สถานที่ : อัสซัม, อินเดีย และ ธิเบต
วันที่ : 15 สิงหาคม 1950
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.6 ริกเตอร์​
ความเสียหาย : มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 780 ราย แต่อาจยังไม่รวมข้อมูลภายในธิเบต


อันดับ 10

สถานที่ : เกาะ อันเดรียนอฟ, อลาสกา
วันที่ : 9 มีนาคม 1957
ระดับแรงสั่นสะเทือน : 8.6 ริกเตอร์
ความเสียหาย : ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่มีทรัพย์ได้รับความเสียหายจำนวนมาก



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553

สายน้ำ 02-03-2010 06:10


จากเฮติ ไปชิลี จากญี่ปุ่น ถึงประเทศไทย

http://www.thairath.co.th/media/cont.../630/68055.jpg

วันที่ 12 ม.ค. 2553 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7 ริกเตอร์ ที่ประเทศเฮติ ยังผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน และชีวิตผู้คนมากมายเหลือคณานับ...

เสียงกู่ร้องและคราบน้ำตายังไม่ทันเหือดหาย วันที่ 27 ก.พ. 2553 ธรณีพิโรธอีกครั้ง วัดระดับความรุนแรงได้ 8.8 ริกเตอร์ ที่ประเทศชิลี ทั้งยังเกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่องหรือ “อาฟเตอร์ช็อค” ตามมากว่า 50 ครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดวัดได้ 6.9 ริกเตอร์ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเกิดคลื่นยักษ์ซัดถล่มชายฝั่งชิลี สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและชีวิตผู้คนมากมายเป็นประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ปี 1900 เป็นต้นมา ขณะท่ี 53 ประเทศและดินแดนทั้งในและรอบๆมหาสมุทรแปซิฟิก ไล่ตั้งแต่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮาวาย จนถึงรัสเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ประกาศเตือนภัยจากคลื่นยักษ์ “สึนามิ” กันอย่างโกลาหล

จากเหตุการณ์ร้ายแรงข้างต้น ดร.สมิทธ ธรรมสโรช อดีตผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ บอกว่าหลายคนคิดว่าเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกับคนไทย เพราะดูเหมือนว่าห่างไกลเหลือเกิน ไทยรัฐออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษเพื่อให้รู้เท่าทันกับธรรมชาติพิโรธที่คนไทยและผู้เกี่ยวข้องทุกๆคนควรรู้

http://www.thairath.co.th/media/cont...68055_20_4.jpg

Q : เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เฮติ แผ่นดินไหว, อาฟเตอร์ช็อค และสึนามิ ที่ชิลี 8.8 ริกเตอร์ คำถามคือ พิบัติภัยร้ายแรงดังกล่าว สะท้อนอะไรกับเราที่อยู่ในประเทศไทยได้บ้าง?

A : มันก็ไม่ได้สะท้อนอะไร นี่เป็นการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกตามธรรมชาติของเขา ซึ่งมันเป็นคนละแผ่นกับเมื่อครั้งที่เกาะสุมาตรา วันที่ 26 ธ.ค. 2547 เป็นผลให้เกิดสึนามิและประเทศไทยมีคนตายมากมาย แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือมันไม่จำเป็นต้องแผ่นเดียวก็ได้ คราวที่แล้วเกิดที่เฮติมันก็เป็นคนละแผ่นกัน การเคลื่อนตัวของเปลือกโลกที่มีอยู่อีกประมาณ 20 แผ่น แบ่งเป็นแผ่นเล็กแผ่นใหญ่อยู่ทั่วโลก คือเหมือนกับเวลาเราปอกเปลือกส้ม มันก็มีแผ่นๆที่คลุมโลกอยู่ ซึ่งพอมันชนกันแต่ละที แต่ละแผ่น แน่นอนว่ามันก็จะกระทบกระเทือนไปถึงแผ่นอื่นๆด้วย แต่ความกระทบกระเทือนมันจะมีมาก-น้อยไม่หมือนกัน ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 ที่เกาะสุมาตรามันมีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกแถวนั้น ทำให้รอยเลื่อนที่อยู่ในประเทศไทยที่ภาคเหนือ เชียงราย-เชียงใหม่ ซึ่งมีอยู่หลายจุดเกิดอาการมีการเคลื่อนตัวผิดปกติด้วย


Q : เหล่านักวิชาการจากจุฬาฯ การันตีว่าเหตุการณ์สึนามิจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน เมื่อพลังงานของโลกที่สะสมจนเกิดแผ่นดินไหวได้ถูกปลดปล่อยไปหมดแล้ว จะไม่เกิดแผ่นดินไหวซ้ำรอยเดิม?

A : เขาก็พูดได้ เพราะว่าเขาตายไปแล้วน่ะ อีก 600 ปี ซึ่งข้อเท็จจริง ผมมีสถิติที่เกิดขึ้นมาตั้ง 8 ครั้งแล้ว ผมส่งสถิติไปให้ท่านอาจารย์ทั้งหลายท่านดู นี่ไงมันเกิดขึ้นแล้ว ประเด็นก็คือพวกนี้ไม่มีการศึกษากันมากแล้วก็พูดๆไปอย่างนั้น แต่ข้อมูลไม่มี ทำให้คนเชื่อว่าไม่มี ก็เลยไม่มีการระวังตัว หรืออย่างเรื่องแผ่นดินไหวที่ประเทศไทย ผมทำสถิติไว้หมด จากเมื่อก่อนภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่-เชียงรายเกิดแผ่นดินไหว 1-2 ครั้ง แต่ระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ภาคเหนือเกิดแผ่นดินไหวเป็นสิบครั้ง แต่ละครั้งก็มีความแรง 5-6-7 ริกเตอร์เลย เพราะฉะนั้น ขณะนี้การเกิดรอยเลื่อนในมหาสมุทรอินเดียเริ่มมีมากขึ้น แม้จะไม่มากพอที่จะทำให้เกิดสึนามิเท่านั้นเอง

ทั้งนี้ เราก็ต้องระวังเอาไว้ เพราะการเคลื่อนของเปลือกโลกใหญ่ๆ เช่นอย่างที่เกิดที่ประเทศชิลี ก่อนหน้านั้นมันก็เกิดแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ฉะนั้น ธรรมชาติเรายังไม่มีเทคโนโลยีใดๆที่สามารถรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ หากเกิดขึ้นจะรุนแรงมาก-น้อยแค่ไหนก็ไม่มีทางรู้


Q : รอยเลื่อนในประเทศไทยที่อันตรายมากๆ ที่จะทำให้แผ่นดินไหววันนี้มีอยู่ทั้งหมดกี่รอย?

A : เรามีรอยเลื่อนที่ยังมีพลังอยู่ในประเทศไทยทั้งหมด 13 รอย ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคเหนือและภาคตะวันตก ที่ จ.กาญจนบุรี มีอยู่ 2 รอย ซึ่งอันตรายพอสมควร แล้วก็ภาคใต้ 2 รอย เหล่านี้ก็ต้องระวัง แต่ที่ผมว่าน่าระวังมากที่สุดก็คือ รอยเลื่อนในมหาสมุทรอินเดีย แถวหมู่เกาะนิโคบา และหมู่เกาะอันดามัน เลื่อนลงไปทางใต้ไปจนถึงเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นรอยเลื่อนใหญ่ ที่มันเคยเกิดแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 น่าเป็นห่วง


Q : แสดงว่ามีความเป็นไปได้มากที่จะเกิด เหมือนกับที่นักวิชาการจากสถาบันนิเวศวิทยาจากไอร์แลนด์เหนือ ที่ขึ้นชื่อว่าทำนายเหตุการณ์สึนามิได้แม่นยำมากที่สุด ส่งจดหมายเตือนภัยว่าอาจจะเกิดคลื่นยักษ์ที่เป็นผลมาจากแผ่นดินไหวถล่ม ชายฝั่งเกาะสุมาตราในอนาคตอันใกล้?

A : ใช่ครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับเขา แต่ก็มีคนมาต่อว่าผมว่าพูดอะไรทำให้คนตกใจ เจตนาของผมก็คือต้องการให้พวกคุณระวังเอาไว้ เพราะรอยเลื่อนนี้มันมี เขามีการวิเคราะห์โดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ญี่ปุ่นเขาก็มีการวิจัยว่าในอนาคตมันจะเกิด แต่เกิดเมื่อไหร่ไม่ทราบเท่านั้นเอง พอพูดไปคนก็ต่อว่าว่าผมทำลายเศรษฐกิจ จริงๆ ญี่ปุ่นก็เห็นด้วยว่ารอยเลื่อนนี้ มันมีโอกาสจะเกิดแผ่นดินไหว เพราะคราวที่แล้วมันเกิดเฉพาะที่อยู่ทางใต้เท่านั้นเอง ระหว่างหัวเกาะสุมาตราไปทางใต้ เพราะฉะนั้นผลกระทบมันจะไปตกอยู่ที่อินโดนีเชียมาก แต่ถ้ามันเกิดระหว่างหัวเกาะสุมาตราขึ้นมาถึงหัวเกาะอันดามัน มันอยู่ตรงข้ามชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทยเลย แบบที่ผมบอก จ.ระนอง ภูเก็ต พังงา กระบี่ สตูล อันตราย

http://www.thairath.co.th/media/cont...68055_20_3.jpg

Q : ถ้ามันเกิดขึ้นแบบที่ว่าจริงๆ จินตนาการความเสียหายเอาไว้ไหมว่าจะมหาศาลแค่ไหน?

A: คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้น ไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน


Q : ตอนนี้เห็นข่าวว่า ศูนย์พิบัติภัยแห่งชาติ ซื้อทุ่นเตือนภัยเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว?

A : ซื้อแล้วก็จริง แต่ที่สำคัญแถวนี้เรายังไม่ได้วางทุ่นเอาไว้เลย ซึ่งจะวางทุ่นเตือนภัยได้ก็ต้องรอเดือนธันวาคมโน่นเลย ในปีหนึ่งเราจะสามารถวางทุ่นได้ครั้งเดียว คือในเดือนธันวาคมเพราะว่าเป็นเดือนที่มีคลื่นลมมันสงบ ก่อนหน้าเดือนธันวาคมนั้นก็ลำบากหน่อยเพราะว่าไม่มีใครเดาใจแผ่นดินไหวได้ ดังนั้นถ้าเกิดวันนี้พรุ่งนี้เกิดแผ่นดินไหวความเสียหายจะมากกว่าสึนามิครั้งที่แล้วมหาศาลมาก ใช่ครับ พูดไปแล้วผมก็โดนด่าอีก


Q : วันนี้เราพร้อมแค่ไหนที่จะเผชิญกับแผ่นดินไหวและสึนามิที่จะเกิดขึ้น?

A : วิจารณ์พวกเขาเดี๋ยวผมโดนฟ้องอีก นี่อาทิตย์หน้าผมก็ต้องไปขึ้นศาลคดีหมิ่นประมาทที่เขาหาว่าผมให้ไปทำลายชื่อเสียงเขา แต่ถามว่า วันนี้ถ้าติดตั้งทุ่นได้ในเดือนธันวาคมให้เรียบร้อยแล้วอย่างน้อยๆก็ 45 นาทีเราก็รู้ว่ามันจะเกิดสึนามิขึ้นหรือไม่ ประเทศต่างๆอย่าง พม่า อินโดนีเซีย บังกลาเทศ สิงคโปร์ ก็จะได้ประโยชน์ ถึงจะช้าแต่ก็ขอให้ติดเถอะ


Q : ก่อนหน้าเดือนธันวาคมที่เราจะไปติดตั้งทุ่นเตือนภัยที่จุดนั้น ถ้าวันนี้พรุ่งนี้เกิดสึนามิขึ้นเราจะมีวิธีการสังเกตและเอาตัวรอดจากสึนามิได้อย่างไร?

A : ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้ทำอะไรเท่าที่ควร มีมูลนิธิโดยผมก่อตั้งได้ 6 เดือนแล้ว ซึ่งเราก็อปปี้ระบบของศูนย์พิบัติภัยแห่งชาติ ทำงานคู่ขนานออกไปให้ความรู้กับประชาชนเรื่องสึนามิ ซึ่งเราสามารถออกไปไหนก็ได้ไม่ต้องรอคำสั่งรัฐบาล แต่ตอนนี้ศูนย์ภัยพิบัติแห่งชาติมันไม่มีคนทำแล้ว ไม่มีข่าวหรือคำเตือนออกมาเลย ซึ่งอันตรายมากๆ

ทุกๆครั้งที่ผมไปบรรยาย ผมจะบอกว่าให้คุณใช้วิธีสังเกตเหมือนชาวมอร์แกนเมื่อเกิดสึนามิ คือ ถ้ายืนอยู่บนชายฝั่งทะเลหรืออยู่ใกล้ชายฝั่ง รู้สึกถึงการเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง หลังจากนั้น 5-10 นาที ให้สังเกตดู ถ้าน้ำลดลงลึกจากชายฝั่ง 50 เมตรก็ให้รีบหาที่สูงเพราะหลังจากนั้นไม่กี่นาที มันจะมีคลื่นลูกแรกมา แค่นี้ก็รอดตาย


Q : ในวัย 73 ปี เหนื่อยและลำบากกับการทำเพื่อคนอื่นไหม?

A : เหนื่อยและก็ลำบากครับ นอกจากจะต้องสู้รบกับพวกนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วย ว่าเราอยากดังบ้าง แต่ถามว่าจะหยุดเมื่อไหร่ ไม่หยุดครับ ครั้งที่แล้วผมหยุดคนตายเยอะ ซึ่งพอมีคนมาค้าน ผมก็ไม่ไปภูเก็ต แต่ตอนนี้ถ้ามีคนมาค้านผมจะไม่หยุด ด่าก็ด่าไปให้คนเขารู้กันบ้างว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมจะทำเพื่อคนส่วนใหญ่ แต่คนที่เขาเสียผลประโยชน์ก็ด่าผม ซึ่งผมก็ไม่แคร์


Q : เมื่อเหนื่อย ลำบาก คิดบ้างไหมว่าจะปลดระวางหน้าที่นี้เมื่อไร?

A : ผมทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะไม่มีแรง สุขภาพมันก็เริ่มแย่ลงไปทุกทีๆ เดินไปไหนมาไหนก็เริ่มเหนื่อย ถามว่าอายุ 80 ปีผมจะหยุดไหม (หัวเราะ) ก็ทำไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะไม่มีแรงไม่มีงบประมาณ.

(มีต่อ)


สายน้ำ 02-03-2010 06:10



http://www.thairath.co.th/media/cont...68055_20_2.jpg


รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโลก

- ภูเขาไฟพีนาตูโบ ( Pinatubo ) อยู่ทางใต้ของเกาะลูซอน อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงมะนิลา เกิดระเบิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) หลังการระเบิดครั้งล่าสุดเป็นร้อยปี

- แผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในโลก คือ แผ่นดินไหวที่ประเทศชิลี (The Great Chile Earthquake) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) มีความรุนแรง 9.5 ริคเตอร์ ประชาชนเสียชีวิต 5,700 คน สูญหาย 717 คน และทำให้เกิดคลื่นสึนามิไปถึงเกาะฮาวายและประเทศญี่ปุ่น ซึ่งไกลถึง 6,600 ไมล์ มีคนเสียชีวิตหลายร้อยคน มูลค่าความเสียหาย 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คลื่นสึนามิยังข้ามไปถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ชายฝั่งประเทศออสเตรเลีย

นอกจากนี้แผ่นดินไหวในประเทศชิลียังเกิดขึ้นต่อมาอีกในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2528 (ค.ศ. 1995) การเกิดแผ่นดินไหวทั้งสองครั้งเกิดมีคลื่นสึนามิตามมาด้วย ระยะห่างครั้งที่ 1 กับ 2 เป็นเวลา 25 ปี, ครั้งที่ 2 กับ 3 เป็นเวลา 10 ปี ครั้งต่อไปจะอยู่ในระหว่าง 2005 - 2015

- การเกิดระเบิดของภูเขาไฟเซนท์เฮเลนส์ ( Eruption of Mount Saint Helens ) เมื่อ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ( ค.ศ. 1980 ) หลังจากที่เคยระเบิดเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2374 และ 2400 (ค.ศ. 1831 และ 1875 ) การระเบิดครั้งล่าสุด ได้พ่นเถ้าถ่านถึง 550 ล้านตัน กระจายครอบคลุมถึง 22,000 ตารางไมล์ ระยะห่างจากการระเบิดครั้งที่ 1 กับ 2 เป็นเวลา 20 ปี และระหว่างครั้งที่ 2 กับ 3 เป็นเวลา 29 ปี 8 เดือน ครั้งต่อไปจะเกิดประมาณ ปี 2009


การเกิดคลื่นสึนามิครั้งสำคัญของโลก

- ปี ค.ศ. 1929 ที่แกรนแบงค์ ประเทศแคนาดา จากการเกิด แผ่นดินไหว 7.2 ริกเตอร์ ความเสียหาย 400,000 เหรียญสหรัฐฯ

- ปี ค.ศ. 1946 ที่อลาสกา จากการเกิดแผ่นดินไหว 7.8 ริกเตอร์ ความเสียหาย 24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

- ปี ค.ศ. 1952 ที่รัสเซีย ความเสียหาย เกิดขึ้นจากแผ่นดินไหว 8.2 ริกเตอร์ ความเสียหาย 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

- ปี ค.ศ. 1957 ที่อลาสกา จากการเกิดแผ่นดินไหว 8.3 ริกเตอร์ความเสียหาย 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

- ปี ค.ศ. 1960 ที่ประเทศชิลี จากการเกิดแผ่นดินไหว 9.6 ริกเตอร์ ความเสียหาย 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

- ปี ค.ศ. 1964 ที่อลาสกา จากการเกิดแผ่นดินไหว 8.4 ริกเตอร์ ความสียหาย 106 ล้านเหรียญสหรัฐฯ


การเกิดคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดียในอดีต

สึนามิ ได้เคยเกิดขึ้นแล้วในภูมิภาคนี้ ( เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ) หลายครั้งในอดีต จากบันทึกที่เก่าแก่ที่สุด หรือก่อน ค.ศ. 326 เกิดแผ่นดินไหวใกล้สามเหลี่ยมปากแม่น้ำสินธุ อินเดีย ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ ทำลายกองเรืออันเกรียงไกรของอาณาจักรมาซิโดเนีย ของกษัตริย์ อเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับประเทศกรีก หลังจากเสร็จสิ้นสงครามขยายอาณาจักร ( Lietzin 1974 )

ค.ศ. 1524 แผ่นดินไหวไม่ทราบจุดศูนย์กลางที่ชัดเจน ทำให้เกิดสึนามิที่ใกล้เมือง Dabhol รัฐ Maharashtra ประเทศอินเดีย เมษายน 1762 แผ่นดินไหวที่ชายฝั่งอารากัน ประเทศพม่า ส่งผลให้เกิดสึนามิทำความเสียหายกับชายฝั่งทะเลอ่าวเบงกอล

ค.ศ. 1797 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.4 บริเวณตอนกลางของเกาะสุมาตราทางทิศตะวันตก ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ท่วมเมือง Padang มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 คน

ค.ศ. 1883 แผ่นดินไหวขนาด 8.7 ตอนใต้ของเกาะสมาตราทางทิศตะวันตก ส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ ทำความเสียหายให้แก่พื้นที่ดังกล่าวและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ค.ศ. 1843 ไม่ปรากฏบันทึกการเกิดแผ่นดินไหว แต่มีคลื่นขนาดใหญ่ เคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งเกาะ Nias และมีรายงานการสูญเสียชีวิตจำนวนมาก

ค.ศ. 1861 แผ่นดินไหวขนาด 8.5 ส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนตลอดแนวชายฝั่งตะวันตกของเกาะสุมาตรา ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตหลายพันคน

ค.ศ. 1881 แผ่นดินไหวขนาด 7.9 ที่บริเวณหมู่เกาะอันดามัน ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สูง 1 เมตร กระแทกชายฝั่งด้านตะวันออกของคาบสมุทรอินเดีย

27 สิงหาคม ค.ศ. 1883 เวลาเช้าตรู่เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ Krakatoa ที่ประเทศอินโดนีเซีย การระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง เป็นผลให้ปากปล่องภูเขาไฟ Krakatoa ถูกทำลายยังผลให้เกิดคลื่นยักษ์ทั่วบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ความสูงของคลื่นที่เกาะชวาและสุมาตรา มีความสูงถึง 15-42 เมตร และมียอดผู้เสียชีวิตกว่า 36,000 คน.



จาก : ไทยรัฐ วันที่ 2 มีนาคม 2553


สายน้ำ 25-04-2010 08:31


รู้ได้อย่างไรเมื่อ “ภูเขาไฟ” จะระเบิด?

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834001.JPEG
นักท่องเที่ยวแห่ชมการประทุลาวาของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “ฟิมม์วอร์ดูฮอลส์” (Fimmvorduhals) ในไอซ์แลนด์เมื่อเดือน มี.ค. (เอเอฟพี)

แม้การประทุของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์จะไม่คร่าชีวิตผู้คนโดยตรง แต่ได้สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก โดยเฉพาะการสัญจรทางอากาศในยุโรปต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากเถ้าถ่านที่พวยพุ่งออกมาอาจสร้างความเสียหายต่อเครื่องบินได้ หากแต่ภัยพิบัติทางธรรมชาตินี้ยังส่งสัญญาณเตือนให้คนเราเตรียมรับมือได้ทัน

เราไม่อาจคาดการณ์แผ่นดินไหวได้ล่วงหน้า แต่สำหรับภูเขาไฟแล้ว ความคุกรุ่นที่ก่อตัวอยู่ภายในได้ส่งสัญญาณให้เรารู้ล่วงหน้า ว่าจะเกิดการระเบิดขึ้นหรือไม่ บางครั้งความเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นล่วงหน้านานเป็นปี ซึ่งเพียงพอที่จะอพยพผู้คนให้หลบออกมาอยู่ในสถานที่อันปลอดภัย โดยวิธีกว้างๆ ในการเฝ้าระวังการระทุของภูเขาไฟ คือการตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยารอบๆภูเขาไฟ

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834002.JPEG
ชายในภาพบันทึกเถ้าจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” - เอเอฟพี


แรงสั่นสะเทือนสัญญาณเตือน ภูเขาไฟระเบิด

การสั่นสะเทือนรอบภูเขาไฟนั้น มักเกิดขึ้นเมื่อภูเขาไฟตื่นจากความสงบและเตรียมที่จะปะทุ ภูเขาไฟบางลูกมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อยเป็นปกติ แต่การสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจเป็นสัญญาณของการระเบิดที่รุนแรง อีกทั้งประเภทของแผ่นดินไหว จุดกำเนิดกับจุดสุดท้ายของแผ่นดินไหวยังเป็นสัญญาณบ่งบอกการประทุของภูเขาไฟเช่นกัน

ทั้งนี้ การสั่นสะเทือนของภูเขาไฟนั้นมี 3 รูปแบบหลักๆ คือ

1. แผ่นดินไหวคาบสั้น (short-period earthquake) ซึ่งคล้ายกับแผ่นดินไหวทั่วไปที่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยการสั่นสะเทือนนี้เกิดจากการแตกหักของหินเปราะเนื่องจากการเคลื่อนตัวสู่ด้านบนของหินหนืดแมกมา (magma) และยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการขยายตัวของแมกมาใกล้ๆพื้นผิวโลก

2. แผ่นดินไหวคาบยาว (long-period earthquake) เชื่อว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงดันก๊าซที่เพิ่มขึ้นในปล่องภูเขาไฟ ซึ่งการสั่นนี้เทียบเท่ากับการสั่นไหวของเสียงในปล่องที่เต็มไปด้วยแมกมา และ

3.แผ่นดินไหวแบบสอดประสาน (harmonic tremor) ซึ่งมักเกิดจากแมกมาดันหินจำนวนมากที่อยู่ใต้พ้นผิวโลก และบางครั้งการสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงพอที่คนและสัตว์จะได้ยินเสียงฮัมหรือเสียงหึ่งๆ

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834003.JPEG
ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง “เอยาฟยาลาเยอคูล” ประทุพ่นเถ้าภูเขาไฟสู่บรรยากาศ (เอเอฟพี)

แม้รูปแบบของการสั่นสะเทือนจะซับซ้อนและบางครั้งอธิบายได้ยาก แต่การสั่นสะเทือนที่มากขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดีในการบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่ภูเขาไฟจะระเบิดมากขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดการสั่นสะเทือนแบบแผ่นไหวคาบยาว อย่างเด่นชัดและมีแผ่นดินไหวแบบสอดประสานร่วมด้วย

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834004.JPEG
นักวิทยาศาสตร์เก็บตัวอย่างเถ้าภูเขาไฟไปวิเคราะห์ (เอเอฟพี)

(มีต่อ)


สายน้ำ 25-04-2010 08:36


รู้ได้อย่างไรเมื่อ “ภูเขาไฟ” จะระเบิด? (ต่อ)


http://pics.manager.co.th/Images/553000005834005.JPEG
ฟ้าผ่าระหว่างการประทุของเถ้า ภูเขาไฟ “เอยาฟยาลาเยอคูล” (เอพี)


วัดการปลดปล่อย “ซัลเฟอร์ไดออกไซด์”

การปลดปล่อยของก๊าซบางชนิด ยังเป็นสัญญาณเตือนก่อนภูเขาไฟระเบิด เนื่องจากเมื่อแมกมาเข้าใกล้พื้นผิวโลกมากขึ้นจะมีก๊าซออกมา ซึ่งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulphur dioxide) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของก๊าซภูเขาไฟ และเป็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของแมกมาใกล้ๆพื้นผิว

ตัวอย่างเช่น ภูเขาไฟพินาตูโบ (Mount Pinatubo) ในฟิลิปปินส์ ได้เริ่มปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 พ.ค.1991 จากนั้นอีกเพียง 2 สัปดาห์ปริมาณก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาได้เพิ่มขึ้นเป็น 5,000 ตัน หรือ 10 เท่าของปริมาณที่ปลดปล่อยออกมาในช่วงแรก และในวันที่ 12 มิ.ย.ปีเดียวกันภูเขาไฟจริงระเบิดออกมา

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834006.JPEG
ภาพจากดาวเทียม MODIS เผยให้เห็นเถ้าภูเขาไฟสีน้ำตาลพวยพุ่งสู่บรรยากาศ (เอเอฟพี/นาซา)

อย่างไรก็ดี ยังมีหลักฐานหลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่า ปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ลดลงนั้นป็นสัญญาณก่อนที่ภูเขาไฟจะระเบิด เช่น กรณีการระเบิดของภูเขาไฟกาเลรัส (Galeras) ในโคลัมเบีย เมื่อปี 1993 โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าปริมาณก๊าซที่ลดลงนั้นมีสาเหตุจากแมกมาที่แข็งตัวกักเส้นทางออกของก๊าซไว้ และทำให้ความดันปล่องภูเขาไฟเพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การระเบิดที่รุนแรง

นอกจากการตรวจวัดแผ่นดินไหวและการเฝ้าสังเกตก๊าซที่ถูกพ่นออกมาแล้ว ยังมีการตรวจวัดอื่นๆที่นำไปสู่การพยากรณ์การระเบิดของภูเขาไฟ เช่น การศึกษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของภูเขาไฟ ทั้งการพองตัวขึ้นหรือการยุบตัวลง การศึกษาทางอุทกวิทยา โดยตรวจวัดการไหลของลาฮาร์ (lahar) ซึ่งเป็นของเหลวและโคลนที่ไหลมาตามความลาดชันของภูเขาไฟ เป็นต้น.

http://pics.manager.co.th/Images/553000005834007.JPEG
ภาพเรดาร์เผยให้เห็นปล่องภูเขาไฟ “เอยาฟยาลาเยอคูล” 3 ปล่อง (เอเอฟพี)



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 23 เมษายน 2553

สายน้ำ 25-04-2010 08:41


ทำไมเครื่องบินเฉียดใกล้เถ้าภูเขาไฟไม่ได้?


http://pics.manager.co.th/Images/553000005833701.JPEG
เครื่องบินจอดนิ่งอยู่ที่สนามบินในลอนดอน (เอเอฟพี)

จากเหตุประทุของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งในไอซ์แลนด์ ซึ่งมีเถ้าถ่านปริมาณมากพวยพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศด้วยความสูงหลายกิโลเมตร และพัดสู่น่านฟ้าของหลายประเทศในแถบยุโรป จนสายการบินต่างๆต้องหยุดให้บริการ กระทบต่อผู้โดยสารหลายหมื่นราย หลายคนอาจสงสัยว่าอนุภาคจิ๋วๆจากปล่องภูเขาไฟนั้นจะส่งผลกระทบต่อเครื่องบินลำใหญ่ได้จริงหรือ

แกรนท์ มาร์ติน (Grant Martin) บลอกเกอร์ชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการบินและการขนส่งและเป็นวิศวกรวัสดุด้วยนั้น ได้ไขข้อข้องใจดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ Gadling.com ที่เขาเป็นบรรณาธิการว่า เถ้าภูเขาไฟปริมาณมหาศาลนั้น ส่งผลอย่างชัดเจนต่อสมรรถนะการบินของเครื่องบิน หากอนุภาคขนาดเล็กจากภูเขาไฟนี้หลุดเข้าสู่รูระบายความร้อนแล้ว จะเป็นเหตุให้ความดันและอุณหภูมิของเครื่องยนต์สูงขึ้นและกลายเป็นปัญหาใหญ่ต่อเครื่องยนต์ภายในได้

ดังนั้น สายการบินต่างๆจึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์เริ่มต้นอันจะนำไปสู่กลไกการทำงานของเครื่องยนต์ที่ผิดพลาด ซึ่งจะส่งผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อเครื่องยนต์ในทันที และจะคุกคามความปลอดภัยของเครื่องบินด้วย ขณะที่เถ้าภูเขาไฟปริมาณน้อยๆจะส่งผลเสียระยะยาวต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์

http://pics.manager.co.th/Images/553000005833702.JPEG
ผู้โดยสารตกค้างจากการปิดน่านฟ้าในยุโรปเนื่องจากเถ้าภูเขาไฟเป็นอันตรายต่อการบิน (เอเอฟพี)

มาร์ตินยกตัวอย่างเครื่องยนต์เผาไหม้ ซึ่งถูกใช้ที่อุณหภูมิสูงมากพอที่จะละลายโลหะส่วนใหญ่ ดังนั้นวัสดุที่จะนำมาประกอบเครื่องยนต์นี้จึงได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อความร้อนได้เป็นพิเศษ และใบพัดเครื่องยนต์ซึ่งมักได้รับความร้อนเกินกว่า 1,400 องศาเซลเซียสนั้นจะถูกเคลือบด้วยสารพิเศษที่เรียกว่า TBC (Thermal Barrier Coating) เพื่อป้องกันความร้อนที่สูงเกิน กล่าวโดยย่อคือ TBC ป้องกันไม่ให้ใบพัดละลายนั่นเอง

TBC ปกป้องใบพัดไม่ให้ละลายได้เพราะโครงสร้างเล็กๆของสารเคลือบที่มีรูพรุนและมีความหนาแน่นน้อย เพื่อป้องกันการถ่ายเทความร้อนมากเกินไป แต่ด้วยลักษณะดังกล่าวทำให้สารเคลือบมีแนวโน้มที่จะถูกอนุภาคแปลกปลอม อย่างอนุภาคแคลเซียมแมกนีเชียมอะลูมิโนซิลิเกต (CMAS) ซึ่งมีคล้ายกับเม็ดทราย หรือเถ้าภูเขาไฟแทรกซึมสารเคลือบกันความร้อนนี้ได้

เมื่อเวลาล่วงไปอนุภาคเหล่านั้นจะฝังตัวอยู่ในรูพรุนของสารเคลือบ TBC และคงอยู่โดยที่เครื่องยนต์ได้รับความร้อนสลับกับความเย็นซ้ำไปซ้ำมา ทุกครั้งที่เครื่องยนต์ร้อนและเย็นสลับไปมาเป็นวัฏจักรนี้จะสร้างความเครียด (strain) ระหว่างวัสดุทั้งสอง คล้ายกับการแช่แข็งขวดที่ปิดผนึกแน่นซึ่งมีโอกาสระเบิดได้ และหากสารเคลือบเสียหาย ความร้อนจะไหลเข้าสู่ใบพัดได้อย่างอิสระ ซึ่งจะทำให้วัสดุละลายและเป็นสาเหตุหายนะได้

ด้วยปริมาณเถ้าภูเขาไฟมหาศาลทำให้เกิดความเสียหายได้เร็วขึ้น แต่สารเคลือบ TBC ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความเสียหายระยะยาวเท่านั้น อีกทั้งเรายังไม่ทราบว่าเถ้าภูเขาไฟจะส่งผลระยะยาวอะไรบ้าง มีเพียงการทดสอบผลกระทบทั้งหมดที่ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์เท่านั้นที่จะให้คำตอบได้



จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 23 เมษายน 2553

สายน้ำ 26-04-2010 07:29


ภูเขาไฟ


การระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟแต่ละครั้ง นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่อมวลมนุษยชาติ และธรณีวิทยาโลกที่จะดำรงอยู่ต่อไปอีกนานนับล้านล้านปี

ภูเขาไฟที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในโลก น่าจะเป็นภูเขาไฟวิสุเวียส (Mount Vesuvius) ในอิตาลี ซึ่งระเบิดอย่างรุนแรงเมื่อปี ค.ศ.79 กลืนเมืองปอมเปอีไปทั้งเมือง มีผู้เสียชีวิต 10,000 คน

การระเบิดของภูเขาไฟแทมโบรา (Tamboea) ที่อินโดนีเซีย เมื่อเดือน เม.ย.ปี 1816 ก็รุนแรงไม่แพ้กัน มีคนตายไปถึง 92,000 คน เสียงการระเบิดได้ยินไปไกลหลายพันไมล์ และที่ลืมไม่ได้ คือแทมโบรา ทำให้สภาพอากาศของยุโรปสมัยนั้นแปรปรวนอย่างหนัก ปี 1816 ของยุโรปกลายเป็นปีที่ไม่มีฤดูร้อน เพราะการระเบิดปล่อยเถ้าถ่านจำนวนมากลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังโลกได้น้อยลง นำมาซึ่งโรคระบาด ความอดอยาก และความยากจน แพร่กระจายไปทั่วยุโรปและอเมริกาเหนือ

เช่นเดียวกับการระเบิดของภูเขาไฟปินาตูโบ (Pinatubo) ในปี 1991 ที่ปล่อยเถ้าถ่านมหาศาลปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทำให้อุณหภูมิโลกเย็นลงอยู่นานหลายเดือน

ขณะที่การระเบิดของภูเขาไฟกรากาตัว (Mount Krakatoa) ในอินโดนีเซีย ปี 1883 รุนแรงขนาดได้ยินเสียงระเบิดไปไกลถึงออสเตรเลีย มีคนตายราว 36,000 คน คาดว่าส่วนใหญ่เสียชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิ

ส่วนภูเขาไฟปีลี (Mount Pelee) ของมาร์ตินีก ประเทศในหมู่เกาะเวสต์อินดีส์ ระเบิดเมื่อปี 1902 มีคนตายกว่า 29,000 คน

ย้อนไปช่วงปี 1783-1784 เกิดการระเบิดของภูเขาไฟลากี (Laki) ในไอซ์แลนด์ พ่นเถ้าควันพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศมหาศาลกว่า 120 ล้านตัน ทำให้มีคนตายหลายพันคนทั่วยุโรป

แต่การระเบิดของซูเปอร์ภูเขาไฟที่ว่ากันว่ารุนแรงสุดในประวัติศาสตร์โลก คือเมื่อประมาณ 71,000 ปีก่อน นักวิทยาศาสตร์ประเมินกันว่าการระเบิดของภูเขาไฟโทบา (Toba) บนเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย น่าจะปล่อยเถ้าถ่านออกมากว่า 2,800 ลูกบาศก์กิโลเมตร แรงดันมหาศาลจากการระเบิดทำให้ลาวาพุ่งไปไกลถึงภาคใต้ของอินเดีย ที่อยู่ห่างออกไป 3,000 กิโลเมตร และต้องใช้เวลานาน 6 ปี กว่าลาวาทั้งหมดที่พ่นออกมาจากปากปล่องจะมอดดับ

จากการศึกษาพบว่า การระเบิดของภูเขาไฟยักษ์ลูกนี้ ทำให้อุณหภูมิโลกลดลง 3-3.5 องศาเซลเซียส และสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง.



จาก : ไทยโพสต์ คอลัมน์ โลกน่ารู้ วันที่ 26 เมษายน 2553

สายน้ำ 27-04-2010 07:26

3 Attachment(s)

ภูเขาไฟฯ ปะทุ... ธารน้ำแข็งละลาย!! จับตาอุทกภัย...ไทยเสี่ยง?

http://www.dailynews.co.th/content/i.../27/4/v260.jpg

ช่วงนี้ภัยธรรมชาติบนโลกมนุษย์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหวที่ประเทศจีน หรือล่าสุดเกิดเหตุภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งไอย์ยาฟยัลลาโยกูล ทางตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ระเบิดปะทุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้เกิดกลุ่มควันและเถ้าละอองปลิวฟุ้งขึ้นเต็มท้องฟ้าก่อให้เกิดอันตรายกับเครื่องยนต์ไอพ่นของเครื่องบินโดยสารจนประเทศในแถบยุโรปประกาศปิดน่านฟ้า สร้างความเสียหายต่อธุรกิจการบินจำนวนมากจนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

การปะทุของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ครั้งนี้ เกิดห่างจากเมืองเรคยาวิกไปทางตะวันออกราว 120 กม. ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบไม่ถึงหนึ่งเดือนจากการปะทุเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา หลังเคยสงบเงียบมานานเกือบ 200 ปี โดยปรากฏการณ์ครั้งนี้นอกจากจะสร้างความเสียหายต่อการสัญจรทางอากาศครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่เหตุวินาศกรรมปี 2544 เป็นต้นมาแล้ว หลายคนยังกังวลว่าการเกิดเหตุดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงการเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรง อันเนื่องมาจากความร้อนของลาวาที่ปะทุจะส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลาย!!

สาเหตุหลักของการเกิดระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งที่ไอซ์แลนด์บ่อยครั้งมี 2 สาเหตุ โดย รศ.ดร.วีระชัย สิริพันธ์วราภรณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้าน ฟิสิกส์ ให้ความรู้ว่า สาเหตุที่หนึ่งเกิดจากการที่เกาะไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนจุดที่เรียก ว่า “จุดร้อน” (Hot Spot) ซึ่งเป็นบริเวณที่แมกมาจากที่ ลึกลงไปจากพื้นโลกมากกว่า 2,000 กิโลเมตร ผุดขึ้นมาที่พื้นผิวและผลักดันให้พื้นดินบริเวณนั้นสูงขึ้นเป็นภูเขาไฟ คล้ายคลึงกับการเกิดที่เกาะฮาวาย แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เกาะไอซ์แลนด์ไม่มีร่องรอยของเกาะภูเขาไฟโบราณปรากฏหลงเหลือให้เห็น ในขณะที่แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ไป

สาเหตุที่สองคือเกาะไอซ์แลนด์ตั้งอยู่บนขอบของแผ่นเปลือกโลกที่แยกออกจากกัน คือแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย และแผ่นเปลือกโลก อเมริกาเหนือ เมื่อทั้งสองแผ่นแยกออกจากกันจะทำให้แมกมาที่กักอยู่ใต้พื้นโลกลึกไม่เกิน 20 กิโลเมตร ผุดขึ้นมาปรากฏที่พื้นโลก ซึ่งโดยปกติแล้วการแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลกจะทำให้เกิดเป็นแนวเทือกเขา ภูเขาไฟใต้น้ำที่ไม่ค่อยโผล่พ้นผิวน้ำมากเท่าไหร่ การปะทุมักจะไม่รุนแรง

ความสลับซับซ้อนทางธรณีของพื้นผิวบริเวณนี้ทำให้พื้นที่บริเวณเกาะไอซ์แลนด์ มีภูเขาไฟมากถึง 130 ลูก และได้ปะทุไปแล้ว 18 ลูก การปะทุของภูเขาไฟบริเวณนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมีการประมาณกันว่าประมาณ 1 ใน 3 ของลาวาที่ออกมาที่ผิวโลกอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้

นอกจากบริเวณเกาะไอซ์แลนด์แล้วยังมีพื้นที่เสี่ยงที่มีความเป็นไปได้อีก เนื่องจากภูเขาไฟมีอยู่หลายแห่งทั่วโลก โดยที่บริเวณวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการปะทุของภูเขาไฟบ่อยครั้ง และอยู่ทางภาคใต้ไม่ห่างจากประเทศไทยมากเท่าใด ซึ่งในปี ค.ศ.1991 การระเบิดของภูเขาไฟพินาทุโบ (Pinatubo) ในประเทศฟิลิปปินส์ ก็เป็นการระเบิดที่รุนแรงและส่งผลต่อสภาพอากาศในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งประเทศอินโดนีเซียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีภูเขาไฟอยู่มาก

อย่างไรก็ตามภูเขาไฟที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็งมีความรุนแรงมากกว่าลักษณะอื่นหรือ ไม่ รศ.ดร.วีระชัย ให้ความเห็นว่า ความจริงแล้วการระเบิดของภูเขาไฟมีความรุนแรงด้วยกันทั้งนั้น การระเบิดของภูเขาไฟมีสองชนิดหลักด้วยกัน คือ การระเบิดที่รุนแรงที่พ่นเอาเถ้า ควัน ฝุ่นต่างๆ ขึ้นไปในอากาศ กับอีกประเภทหนึ่งคือปล่อยเอาเฉพาะลาวาออกมา พวกนี้จะไม่ส่งผลต่อชั้นบรรยากาศมากเท่ากับชนิดแรก อาจจะดูเป็นแสงไฟสวยงามในตอนกลางคืน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งไอย์ยาฟยัลลาโยกูลครั้งนี้ถือเป็นการระเบิดที่รุนแรงอยู่แล้วและรุนแรงมากขึ้น เพราะมีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ไปอุดช่องปะทุของมัน ทำให้ความดันที่สะสมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงในเรื่องน้ำท่วมจากธารน้ำแข็งละลายอีกด้วย

ดังนั้นจึงต้องรอลุ้นเหตุอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความสำคัญและศึกษาค้นคว้ากันอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศไทยเราจะมีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหนขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดต่อไป.


ผลกระทบจาก 'เถ้าภูเขาไฟ'

วเรศ วีระสัย อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการระเบิดของภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง และการฟุ้งกระจายของเถ้าภูเขาไฟว่า เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีฟิสิกส์ที่ซับซ้อนรุนแรง โดยเถ้าภูเขาไฟเกิดจากการที่ลาวาปลดปล่อยก๊าซออกมา เมื่อลาวาร้อนไปสัมผัสกับน้ำจึงทำให้น้ำกลายเป็นไอน้ำอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟปะทุพ่นฝุ่นควันภูเขาไฟออกมาเป็นจำนวนมาก ลาวาร้อนที่พ่นขึ้นมา เมื่อสัมผัสกับความเย็นจะกลายเป็นเศษหินและเศษแก้ว ส่วนฝุ่นควันที่พวยพุ่งขึ้นมาส่วนใหญ่จะเป็นขี้เถ้ากับไอน้ำ

ลักษณะการฟุ้งกระจายและการคงอยู่ในชั้นบรรยากาศของเถ้าภูเขาไฟ จะขึ้นอยู่กับลักษณะการประทุ ทิศทางลมที่ชั้นความสูงต่างๆ สภาพทางอุตุนิยมวิทยา แรงโน้มถ่วงของโลก และที่สำคัญคือ ขนาดของมวลสารและความหนาแน่น ซึ่งถ้าเป็นเถ้าภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ก็จะฟุ้งกระจายไม่นาน และจะตกลงสู่พื้นดินหรือมหาสมุทร แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เถ้าภูเขาไฟมีขนาดเล็กประกอบกับอิทธิพลของลมที่เคลื่อน ที่ไปทางทิศตะวันออกทำให้เถ้าภูเขาไฟถูกพัดฟุ้งกระจายไปทั่ว ส่งผลให้หลายประเทศในทวีปยุโรปได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

สำหรับสาเหตุที่เถ้าภูเขาไฟส่งผลกระทบต่อการบิน เนื่องมาจากเถ้าภูเขาไฟเหล่านี้สามารถลอยตัวสู่ชั้นบรรยากาศที่สูง ซึ่งเป็นชั้นที่การบินใช้เป็นเส้นทางจราจร เมื่อเครื่องบินบินผ่านเถ้าภูเขาไฟเหล่านี้ เครื่องบินจึงเปรียบเสมือนถูกทรายพ่นใส่ส่งผลให้ลำตัวเครื่องบินและเครื่องจักรเกิดความเสียหาย



จาก : เดลินิวส์ วันที่ 27 เมษายน 2553

สายน้ำ 27-04-2010 07:30


ภูเขาไฟระเบิดและภัย "โลกร้อน"

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...02270453p1.jpg

การระเบิดของภูเขาไฟ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การระเบิดของ "ภูเขาไฟ" ได้เพิ่ม "คาร์บอนไดออกไซด์" ในชั้นบรรยากาศ

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมของมนุษย์ ผลกระทบจากระเบิดของภูเขาไฟต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือว่าน้อยมาก

กล่าวคือ การระเบิดของภูเขาไฟปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศราว 110-250 ตันต่อปี

ในขณะที่กิจกรรมของมนุษย์นั้นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่านั้นเป็นร้อยเท่า

การระเบิดของภูเขาไฟจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลก เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะสั้น หรือจะมีส่วนต่อความแปรปรวนตามธรรมชาติของสภาพภูมิอากาศหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หากการระเบิดรุนแรงมากพอ ก็จะทำให้ฝุ่นละอองก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือก๊าซที่เป็นกรดชนิดต่างๆกระจายขึ้นสู่บรรยากาศชั้น "สตราโตสเฟียร์" และแผ่ปกคลุมโลกภายในไม่กี่สัปดาห์ และคงอยู่ในชั้นบรรยากาศนั้นเป็นเดือนหรือเป็นปี

"ละออง เถ้า" ขนาดเล็กที่อยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์จะสะท้อนพลังงานจากดวงอาทิตย์บางส่วนกลับออกสู่อวกาศแทนที่จะลงสู่พื้นผิวโลก ก๊าซที่เป็นกรดซัลเฟอร์เมื่อรวมตัวกับน้ำในชั้นบรรยากาศกลายเป็นละอองลอย (aerosols) ที่ดูดซับรังสีความร้อนของดวงอาทิตย์และสะท้อนรังสีเหล่านั้นกลับออกสู่อวกาศ การสะท้อนของรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่มายังพื้นผิวโลกนี้เป็นผลทำให้ อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกลดลง

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...02270453p2.jpg

ข้อมูลทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า การระเบิดของภูเขาไฟที่รุนแรงเพียงพอที่จะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกลดลงชั่วคราวนั้นได้เกิดขึ้นในหลายๆโอกาสด้วยกันในช่วง 600 ปีที่ผ่านมา

เหตุการณ์ที่รู้จักกันมากที่สุดและเกิดขึ้นในปี 2534 คือ การระเบิดอย่างรุนแรงของภูเขาไฟ "พินาตูโบ" ในฟิลิปปินส์ ที่ปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ราว 17 ล้านตัน และละอองเถ้าขนาดเล็กขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสูง 40 กิโลเมตรเหนือพื้นผิวโลกภายใน 3 สัปดาห์ กลุ่มควันภูเขาไฟก็ได้แผ่ปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกลดลง 0.4 องศาเซลเซียส การลดลงของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกดังกล่าวมีต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี

ล่าสุดกลุ่มควันที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ "Eyjafjallajokull" (เอยาฟยาลาโยกูล) ในประเทศไอซ์แลนด์ที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ยังลอยขึ้นไปไม่ถึงชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์

นอกจากนี้ การระเบิดที่เกิดขึ้นมิได้ปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในปริมาณมหาศาล ดังนั้น อาจมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับท้องถิ่นอยู่บ้าง แต่ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก ยกเว้นเสียแต่ว่าการระเบิดจะรุนแรงมากขึ้น หรือมีช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น ผลกระทบทางด้านสภาพภูมิอากาศอาจเกิดในวงที่กว้างขึ้นได้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการลดลงของอุณภูมิผิวโลกจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว และไม่อาจชดเชยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นที่การกระทำของมนุษย์ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์และการทำลายป่าไม้



จาก : ข่าวสด (ข้อมูล : ธารา บัวคำศรี "กรีนพีซ"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) วันที่ 27 เมษายน 2553

สายน้ำ 28-04-2010 07:53


"สมิทธ"เผยจุดจบโลกใกล้มาถึง หลังเผชิญสารพัดภัยพิบัติ โอกาสล่มสลายเร็วกว่าคาด เตือนไทยสึนามิเข้าอีก

http://www.matichon.co.th/online/201...272348538l.jpg
ดร.สมิทธ ธรรมสโรช

ที่โรงแรมดุสิต ปริ้นเซส อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 เม.ย. นายวิทยา กามนต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการ "เติมน้ำ ต้านแล้ง" ที่จัดขึ้นโดยหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา โดยมีนักธุรกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการและประชาชนในจังหวัดนครราชสีมา จำนวนกว่า 200 คน เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ โดยทางหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ได้เชิญ ดร.สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ , อาจารย์ปราโมทย์ ไม้กลัด กรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา และ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนอุทกวิทยากรมชลประทาน มาเป็นผู้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาและสาเหตุของการเกิดภัยแล้งในประเทศ รวมถึงแนวทางในการรับมือและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ดร.สมิทธ เปิดเผยว่า จากสภาพภมิอากาศขณะนี้ สถานการณ์น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะในบางจังหวัดโดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทย อย่างเช่นที่จังหวัดลำปาง อุณภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเชียส เมื่อ 2 - 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็อุณหภูมิที่สูงที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในอนาคตว่า สภาพอากาศต่อจากนี้ไปของประเทศจะมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะการที่อุณภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเกิน 3 วันขึ้นไปนั้น ตามหลักวิชาการจะทำให้เกิดคลื่นความร้อน หรือที่เรียกว่า ฮีทเวฟ ซึ่งคลื่นความร้อนดังกล่าวสามารถทำให้คนที่ได้รับคลื่นความร้อนนี้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่ามีผู้เสียชีวิตบ้างแล้ว

ประธานกรรมการมูลนิธิเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กล่าวต่อว่า หากสภาพอากาศยังมีลักษณะเช่นนี้ยาวไปถึงปีหน้า ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่พลเมืองโลกและการเจริญเติบโตทางด้านอุตสาหกรรมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นไปในชั้นบรรยาการศมากเกินไป ไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่เป็นอย่างนี้ทั่วโลกส่งผลให้อุณหภูมิที่ห่อหุ้มโลกสูงขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อันดับแรกทุกคนจะต้องช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงมาให้ได้มากที่สุด และช่วยกันปลูกต้นไม้ให้มากขึ้นเพื่อใช้เป็นตัวดูดทรัพย์ก๊าซเรือนกระจกเหล่านั้น หากทุกคนยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้แนวโน้มความรุนแรงของสภาพอากาศจะยิ่งสูงขึ้นอีกในปีต่อๆไป โดยเฉพาะในปี 2554 ที่กำลังจะมาถึงจะมีปรากฏการเอลนินโญ่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ก็ยิ่งจะทำให้สภาพอากาศเลวร้ายและประชาชนจะต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งและเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงมากขึ้นอีก นอกจากนี้ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในหลายประเทศที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ แม้จะไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาวะโลกร้อน แต่ก็มีแนวโน้มที่ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน เนื่องจากมีการพยากรณ์ว่าในระยะเวลาอันใกล้นี้จะเกิดการเคลื่อนตัวของเปลือก โลกในมหาสมุทรอินเดียและทะเลอันดามัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงก็อาจจะเกิดคลื่นสึนามิในบริเวณภาคใต้ฝั่งอันดามันของไทยขึ้นได้ ดังนั้นการจัดทำระบบเตือนภัยต่างๆจึงต้องมีการเตรียมพร้อมไว้อย่างดีและประชาชนเองก็ต้องมีความตื่นตัวที่จะเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจะเกิดขึ้น

ดร.สมิทธฯ กล่าวอีกว่า เหตุการที่เกิด ขึ้นทั้งแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดในหลายประเทศนั้น แสดงให้เห็นว่าจุดจบของโลกใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที ซึ่งมีสถาบันต่างๆจากหลายประเทศคาดการณ์ว่าโอกาสที่จะเกิดการล่มสลายของโลกจะเร็วขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งหากเกิดขึ้นใกล้กับประเทศไทยอาจจะทำให้รอยเลื่อนที่มีอยู่ในไทยจำนวน 13 แห่งโดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดรอยเลื่อนด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งเคยมีการเคลื่อนตัวจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นในอดีต ก็อาจจะได้รับผลกระทบและเกิดขึ้นซ้ำอีกได้



จาก : มติชน วันที่ 28 เมษายน 2553

สายน้ำ 18-05-2010 06:53

ที่มา"ภูเขาไฟระเบิด" ไทยรอดตัว-จับตาอินโดฯ


http://www.khaosod.co.th/news-photo/...02180553p1.jpg

จากเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดในประเทศไอซ์แลนด์และปะทุต่อเนื่อง ทำให้เกิดเถ้าภูเขาไฟฟุ้งกระจายเป็นบริเวณกว้างในแถบยุโรปตะวันตก สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจการบินอย่างมากช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น

รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ หัวหน้าหน่วยวิจัยธรณีวิทยาแผ่นดินไหวและธรณีแปรสัณฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงปรากฏ การณ์ภัยธรรมชาติดังกล่าวว่า ตามหลักทฤษฎีทางธรณีวิทยา โดยเฉพาะการแปรสัณฐานเปลือกโลกแล้วภูเขาไฟในบริเวณไอซ์แลนด์ไม่ควรระเบิดรุนแรงขนาดนี้ แต่ว่าในกรณีนี้เป็น "ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็ง" คือมีชั้นน้ำแข็งหนาปิดทับอยู่ด้านบน ทำให้เกิดการสะสมของพลังงานมาก จึงระเบิดอย่างรุนแรง

"ภูเขาไฟแบ่งได้ง่ายๆ 2 แบบ คือ

1.ภูเขาไฟที่ระเบิดรุนแรง เช่น ภูเขาไฟกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย ภูเขาไฟเซนต์เฮเลนในอเมริกา ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่เกิดจากแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่มาชนกันหรือมุดเข้าหากัน และ

2.ภูเขาไฟที่ระเบิดไม่รุนแรง เช่น ภูเขาไฟไอซ์แลนด์ เพราะเกิดในบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกแยกตัวออกจากกัน หรือเกิดจากการปะทุขึ้นมาของจุดร้อน (hot spot) ใต้โลก เช่น ภูเขาไฟฮาวาย

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...02180553p2.jpg

แต่สำหรับการระเบิดของภูเขาไฟในประเทศไอซ์แลนด์ครั้งนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ คือเป็นภูเขาไฟที่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง "ไอย์ยาฟยัลลาโยกูล" มีชั้นน้ำแข็งที่หนามากมาปิดทับปล่องด้านบนอยู่ จึงทำให้เกิดการสะสมพลังงานความร้อนและแรงดันจำนวนมหาศาลอยู่ภายใน กระทั่งวันหนึ่งเมื่อพลังงานที่สะสมใต้โลกมีมากจนเกินรับไหว จึงเกิดแรงดันจนน้ำแข็งที่ปิดทับอยู่ถูกดันให้แตกออกจนเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง เถ้าถ่านร้อนที่อยู่ในหินละลายลาวาก็ฟุ้งกระจายไปทั่ว

นอกจากนี้ แรงดันและพลังงานความร้อนที่ปะทุออกมายังมีผลทำให้น้ำแข็งบริเวณรอยแยกกลางเกาะไอซ์แลนด์ละลายอย่างรุนแรงและรวดเร็ว

เมื่อน้ำแข็งและน้ำเย็นไหลมาผสมกับหินละลายก่อให้เกิดเถ้าภูเขาไฟจำนวนมาก โดยเถ้าภูเขาไฟขนาดใหญ่จะฟุ้งกระจายไม่นานและตกลงในมหาสมุทร ขณะที่เถ้าภูเขาไฟขนาดเล็กจะฟุ้งและเคลื่อนตัวไปได้ไกลมาก

การระเบิดของภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ด้วยอิทธิพลของ "ลม" ที่เคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกทำให้เถ้าภูเขาไฟถูกพัดฟุ้งกระจายไปทางทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่ เป็นเหตุให้หลายประเทศในแถบยุโรปตะวันตกได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจการบิน เพราะเถ้าเหล่านี้ไม่เพียงทำลายทัศนวิสัย แต่ยังมีผลให้เครื่องจักรต่างๆในเครื่องบินเสียหายด้วย"

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...02180553p3.jpg

รศ.ดร.ปัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันนักธรณีวิทยาบอกได้เพียงว่ามีภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่บริเวณใดบ้าง แต่ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะสามารถทำนายถูกต้องแม่นยำว่าภูเขาไฟจะระเบิดเมื่อใด ส่วนภูเขาไฟในประเทศไทยเป็นชนิดที่ดับสนิทตั้งแต่เมื่อห้าแสนปีที่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลใจ

แต่สิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ คือภัยจากแผ่นดินไหวและฝุ่นควันฟุ้งกระจาย เช่น ภูเขาไฟละแวกใกล้เคียงที่ต้องจับตามอง อาทิ ภูเขาไฟกรากะตัวของอินโดนีเซีย ที่เคยระเบิดเมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2426 ซึ่งครั้งนั้นไทยได้รับผลกระทบจากเถ้าถ่านภูเขาไฟที่ปะทุออกมาด้วยเช่นกัน



จาก : ข่าวสด วันที่ 18 พฤษภาคม 2553

สายน้ำ 28-05-2010 07:49


กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ”

http://pics.manager.co.th/Images/553000007724901.JPEG
ภาพจำลองดวงอาทิตย์พ่นมวลมีประจุที่เกิดขึ้นบ่อยมายังโลก ซึ่งมีเส้นสนามแมเหล็ก (เส้นสีน้ำเงิน) เป็นเกราะกำบัง (ESA)

ข่าวลือเกี่ยวกับ “วันโลกหายนะ” เป็นอีกหนึ่งสีสันของจดหมายลูกโซ่ ที่วนเวียนอยู่บนโลกออนไลน์ วันดีคืนดีข่าวลือดังกล่าวมาปรากฏบนสื่อทีวีในช่วงเวลา “ไพรม์ไทม์” ย่อมสร้างความตื่นตระหนกได้ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนในวงการวิทยาศาสตร์เอง คือผู้อ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์อย่างเป็นตุเป็นตะ

ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับอีเมลลูกโซ่ เกี่ยวกับวันโลกหายนะเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง 2012 อย่างต่อเนื่อง และมีการอ้างถึงข้อมูลวิทยาศาสตร์ เดิมเขาเชื่อว่ากระแสนี้จะซาไปแต่กลายเป็นว่ากระแสยังคงมีอยู่ จึงตัดสินใจจัดเสวนาและแถลงข่าวชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวหลังเหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มคลี่คลาย ในเวที “ตอบทุกคำถามสังคมไทย ที่กังวลต่อการล่มสลายของโลก” เมื่อวันที่ 25 พ.ค.53 ที่ผ่านมา ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ


- สนามแม่เหล็กกลับขั้ว-โลกพลิก

หนึ่งในประเด็นการล่มสลายของโลกคือการกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกใน วันที่ 22 ธ.ค.55 จากเหนือไปใต้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ดวงอาทิตย์กลับขั้ว เกิดสนามแม่เหล็กและความร้อนบนโลก ทำให้น้ำแข็งละลาย น้ำท่วมโลก เกิดสึนามิ โลกจะเอียงจาก 23.5 องศาไปเป็น 26 องศา แล้วพลิกกลับจากเหนือไปใต้

http://pics.manager.co.th/Images/553000007724903.JPEG
ภาพจำลองสนามแม่เหล็กโลกซึ่งพุ่ง จากขั้วโลกใต้ไปขั้วโลกเหนือ (NASA)

คำถามคือจริงหรือไม่ที่แม่เหล็กโลกจะกลับ ขั้ว?

ดร.สธนกล่าวว่า ปรากฏการณ์แม่เหล็กโลกกลับขั้ว เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 700,000 ปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มมีมนุษย์กำเนิดขึ้นบนโลกแล้ว และระหว่างการกลับขั้วช่วง 1 ล้านปีนั้น อาจมีการกลับขั้วในช่วงสั้นประมาณ 4-5 พันปี

การกลับขั้วแม่เหล็กโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงโลกพลิกกลับจากเหนือไปใต้ แต่หมายถึงสนามแม่เหล็กอ่อนกำลังลง แล้วเกิดสนามแม่เหล็กที่ยุ่งเหยิงขึ้น ก่อนกลับสู่สภาพปกติ ซึ่งระหว่างที่แม่เหล็กอ่อนลงนั้น จะมีรังสีคอสมิคเข้ามาแต่ไม่มากมายนัก

“ส่งผลกระทบไหม มีผลกระทบบ้างถ้าเรายังใช้เข็มทิศอยู่ แต่เดี๋ยวนี้เราใช้จีพีเอส (GPS) กันเยอะ ผลกระทบอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ และช่วงเวลาระหว่างการพลิกขั้วเกิดขึ้นช้า เป็นระยะเวลาพันปี แสนปีขึ้นไป"

"ปัจจุบันความแรงสนามแม่เหล็กขึ้นๆลงๆ เมื่อ 700,000 ปีก่อน สนามแม่เหล็กโลกเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นการกลับขั้วแม่เหล็กโลกไม่ใช่ประเด็นที่ก่อให้เกิดปัญหา โดยหลักฐานการกลับขั้วคือหินแข็งที่มีสภาพแม่เหล็กตามแม่เหล็กโลก ซึ่งเกิดจากหินร้อนๆในโลกออกมาเจอสภาพแม่เหล็กภายนอกแล้วแข็งตัว” ดร.สธนกล่าว

ขั้วแม่เหล็กโลกนั้น เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กเหมือนไดนาโมที่ใช้ขดลวดพันรอบแกนแม่เหล็ก โดยสนามแม่เหล็กจะพุ่งจากขั้วใต้ไปขั้วเหนือ ดังนั้นขั้วโลกเหนือจึงเป็นขั้วแม่เหล็กใต้ และขั้วโลกใต้จึงเป็นขั้วแม่เหล็กเหนือ

แต่การไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวในแกนกลางโลกไม่สม่ำเสมอ ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กจึงไม่คงที่ และเป็นบริเวณกว้าง เช่น ปี 1904 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่เป็นบริเวณหนึ่ง และปี 1996 ขั้วแม่เหล็กเหนืออยู่อีกบริเวณ เป็นต้น


- ดาวเคราะห์เรียงตัวทำแผ่นดินไหวบนโลก

การเรียงตัวของดาวเคราะห์ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ถูกโยงว่าทำให้เกิดแผ่นดินไหวบนโลก เนื่องจากมีแรงไทด์ (tide) กระทำต่อโลก

หากแต่ ดร.สธนอธิบายว่าแรงไทด์คือ "แรงน้ำขึ้นน้ำลง" (tidal force) นั่นเอง เป็นแรงเสมือนว่าดึงโลกให้ยืดออก และดวงจันทร์มีบทบาทให้เกิดแรงนี้กระทำต่อโลกมากที่สุด และด้านที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดจะถูกดึงมากกว่า โดยแรงนี้มีอธิบายด้วยสมการที่มีตัวแปรเพียง 2 ตัวคือ ระยะห่างระหว่างวัตถุที่ดึง และมวลของวัตถุที่ดึง

“แรงน้ำขึ้นน้ำลง น้อยกว่าแรงดึงดูดของโลกถึง 10 ล้านเท่า แรงที่สุดของแรงนี้คือ ทำให้ของเหลวบนโลกเคลื่อนที่ หรือเกิดน้ำขึ้นน้ำลง แต่ยังน้อยเกินกว่าจะมีผลต่อโครงสร้างหรือแผ่นทวีป 10 ล้านเท่า"

"ดวงอาทิตย์ซึ่งใหญ่กว่าดวงจันทร์มากแต่อยู่ห่างโลกมากกว่า จึงมีแรงนี้น้อยกว่าดวงจันทร์ประมาณครึ่งหนึ่ง หากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์มาซ้อนกัน ผลคือทำให้เกิดน้ำขึ้นสูงในวันขึ้น 15 ค่ำและแรม 15 ค่ำเท่านั้นเอง” ดร.สธนกล่าว

นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบตำแหน่งการเรียงตัวของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกับการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 10 อันดับ ซึ่งเกิดที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 เป็นแผ่นดินไหวใหญ่อันดับ 3 และครั้งรุนแรงสุดเกิดขึ้นที่ชิลี เมื่อ 22 พ.ค.03 นั้น ไม่มีครั้งใดเลยที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน โดยพิจารณาเฉพาะดาวพุธ ดาวศุกร์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลก ส่วนดาวเคราะห์วงนอกนั้น ดร.สธนกล่าวว่าตัดออกได้ เพราะอยู่ไกลมาก

“เรียงหรือไม่เรียงไม่สำคัญ เพราะแรงไม่ถึงอยู่แล้ว คำอ้างในข่าวในฟอร์เวิร์ดเมล เป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐาน การอ้างงานวิจัยก็มีความเข้าใจที่ไม่ตรง บทความยังไม่มีชื่อผู้เขียนและเป็นการคาดเดาไว้ก่อน” ดร.สธนวิจารณ์คำทำนายเรื่องโลกล่มสลาย ที่อ้างถึงผลการศึกษาของทีมนักวิจัยอิตาลี

ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวมีอยู่จริง แต่รายละเอียดระบุว่า มีความแปรปรวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก่อนเกิดแผ่นดินไหวเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของโลกเอง ไม่ใช่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าขนาดใหญ่ จนสามารถจุดฉนวนแผ่นดินไหวอย่างที่กล่าวอ้าง

http://pics.manager.co.th/Images/553000007724904.JPEG
ภาพโพรมิเนนซ์ขนาดใหญ่หรือก๊าซที่ พวยพุ่งบนดวงอาทิตย์ตรงขวาบนของภาพ (ESA)


-Solar Maximum คำที่ถูกอ้างวันโลกสลาย

ความวิตกว่า โลกถึงคราวหายนะนั้น มักเชื่อมโยงการเข้าสู่ช่วง "โซลาร์ แม็กซิมัม" (Solar Maximum) ของดวงอาทิตย์ ซึ่ง ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งร่วมเวทีเสวนาอธิบายว่า ช่วงดังกล่าว ดวง อาทิตย์มีกิจกรรม*เกิดขึ้นมาก และมีการกลับขั้วสนามแม่เหล็ก เกิดขึ้นสลับกับ "โซลาร์ มินิมัม" (Solar Minimum) ที่ดวงอาทิตย์มีกิจกรรมน้อย โดยมีระยะเวลาสลับกันประมาณ 11 ปี

“กิจกรรมต่างๆบนดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากสนามแม่เหล็กเนื่องจากการไหลวนของก๊าซร้อนบนดวงอาทิตย์ ครั้งล่าสุดที่เกิด Solar Maximum คือเมื่อปี 2544 ส่วนตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วง Solar Minimum"

"ครั้งแรกที่เราเริ่มนับจุดมืดบนดวงอาทิตย์คือเมื่อปี 2323 ซึ่งพบว่าการเกิดจุดมืดมากสลับกับไม่มีเลยนั้นเป็นช่วงๆ ชัดเจน ตอนนี้เราอยู่วัฏจักรสุริยะรอบที่ 23 และกำลังสู่รอบที่ 24 ในปี 2555 (หรือ 2012) ซึ่งจะเริ่มช่วง Solar Maximum รอบใหม่ แต่เราก็ตรวจดูสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ทุกวันว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง” ผศ.พงษ์กล่าว

เมื่อเข้าสู่ Solar Maximum สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ มีกิจกรรมบนดวงอาทิตย์มากขึ้น สนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เพราะดวงอาทิตย์ส่งอนุภาคมีประจุมาเยอะขึ้น มีการพ่นมวลมีประจุมายังโลก ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เราสังเกตได้ เช่น ปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้ ซึ่งเห็นได้ที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ แต่ปี 2501 มีรายงานพบแสงเหนือ-แสงใต้ที่เม็กซิโก ซึ่งอยู่ต่ำจากขั้วโลกเหนือลงมาอยู่ที่ละติจูด 30 องศาเหนือ

เมื่อปี 2532 กิจกรรมบนดวงอาทิตย์ ได้ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในระบบส่งไฟฟ้าของแคนาดา จนหม้อแปลงไหม้และเกิดไฟดับ แต่ในปี 2544 ไม่เกิดเหตุไฟดับเนื่องจากทราบว่าจะเกิดขึ้นและได้เตรียมการรับมือไว้



สายน้ำ 28-05-2010 07:50


กระชับพื้นที่คืนความจริง “วันโลกหายนะ” (ต่อ)


http://pics.manager.co.th/Images/553000007724902.JPEG
ภาพแสงเหนือจากลมสุริยะที่อลาสกา (John Russell/NASA)


- ซากดาวส่องตรงรังสีแกมมาเผาโลกเป็นจุณ

การระเบิดของรังสีแกมมา (Gamma Ray Burst: GRB) เป็นปรากฏการณ์ส่งรังสีแกมมาจากซากของดวงดาวที่กำลังดับสูญ และเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับดวงดาว ซึ่งมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 10 เท่าขึ้นไป โดยปกติดาวฤกษ์มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชันเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งจะหลอมรวมธาตุเล็กให้กลายเป็นธาตุใหญ่ และให้พลังงานออกมา เสมือนมีแรงระเบิดนิวเคลียร์อยู่ภายในดวงดาว

ขณะเดียวกันดาวฤกษ์ยังมีแรงโน้มถ่วงดึงมวลกลับมาอยู่รวมกัน จึงเปรียบได้กับการชักเย่อระหว่างแรงระเบิดกับแรงโน้มถ่วง เมื่อธาตุตั้งต้นหมดลงการระเบิดก็น้อยลง ทำให้แรงโน้มถ่วงชนะและเริ่มดึงให้ดาวยุบลง

อย่างไรก็ดี การยุบตัวของดาวนั้น มีปลายทางที่แตกต่างกัน ดาวบางดวงยุบตัวอย่างเงียบสงบและหมดพลังงานไป บางดวงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ขึ้นอีกเนื่องจากแรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการหลอมรวมของธาตุครั้งใหม่

บางดวงเกิดระเบิดอย่างรุนแรงเรียกว่า “โนวา” (nova) หรือ “ซูเปอร์โนวา” (supernova) กลายเป็นเนบิวลาและเกิดการรวมตัวของก๊าซกลายเป็นดาวอีกรอบ บางดวงยุบตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ แต่บางครั้งเกิดการยุบตัวและเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่รุนแรงพร้อมๆกัน ทำให้เกิดรังสีแกมมาความเข้มสูงส่งออกมาในทิศทางที่แน่นอนและเป็นลำแคบๆหรือเรียกว่าการระเบิดของรังสีแกมมานั่นเอง

“ถ้าส่องมายังโลก ก็ตายหมดทั้งโลก การระเบิดของรังสีแกมมาการระเบิดของรังสีแกมมานี้ น่ากลัวมาก แต่ต้องกลัวไหม ไม่ต้องกลัว เพราะถ้าเกิดขึ้นก็รวดเร็วมากจนเราไม่ทันได้รู้สึก เนื่องจากรังสีเดินทางด้วยความเร็วแสง" ผศ.พงษ์กล่าว

อย่างไรก็ดี ผศ.พงษ์กล่าวเผยว่า โอกาสดังกล่าวเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะอย่างแรกต้องเกิดใกล้ๆเรา ประมาณกาแลกซีถัดไป และต้องหันมาทางเราพอดี ซึ่งดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เราที่สุดคือดาวพรอกซิมา (Proxima) อยู่ไกลออกไป 4.2 ปีแสง แต่มีขนาดเพียง 1 ใน 10 ของดวงอาทิตย์ เมื่อดาวดวงนี้ดับ จะไม่เกิดระเบิดรังสีแกมมาแน่นอน แต่ถ้าถึงวันหนึ่งเราจะต้องไป เราก็ต้องไป.


****************************************************


*กิจกรรมสุริยะ (solar activities) คือปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ได้แก่

- การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (solar flare) เป็นการปะทุของก๊าซร้อนภายในดวงอาทิตย์เมื่อมีช่องโหว่ที่ผิวดวงอาทิตย์ ทำให้ก๊าซร้อนกว่า 20,000 องศาเซลเซียสปะทุออกมาที่ดวงอาทิตย์ซึ่งปกติมีอุณหภูมิประมาณ 6,000 องศาเซลเซียส เห็นเป็นแสงเจิดจ้าที่ผิวดวงอาทิตย์

- โพรมิเนนซ์ (prominence) เป็นพวยก๊าซที่พุ่งออกมา แล้วพุ่งกลับเหมือนมีท่อเป็นทางเดิน ซึ่งท่อดังกล่าวจริงๆแล้ว คือสนามแม่เหล็กที่บังคับให้พวยก๊าซพุ่งกลับสู่ดวงอาทิตย์ ขนาดของพวยก๊าซใหญ่กว่าโลกและดวงจันทร์

- ลมสุริยะ (solar wind) เป็นอนุภาคมีประจุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์พร้อมสนามแม่เหล็กระยะสั้นหรือเรียกว่าพายุสุริยะเมื่อมีความรุนแรงกว่าและอนุภาคถูกส่งพุ่งออกไปทั่วๆ การพ่นมวลจากดวงอาทิตย์ (coronal mass ejection: CME) เป็นอนุภาคของดวงอาทิตย์ที่พุ่งออกมาเป็นลำ ด้วยความเร็วสูงและมีทิศทางค่อนข้างแคบ เมื่อพุ่งมาแต่ละครั้งสามารถกลบโลกได้มิด โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาโลกได้รับลำอนุภาคนี้ ส่งผลให้การสื่อสารขัดข้องและสำนักข่าวบีบีซีได้ออกประกาศเตือนถึงเรื่องนี้ด้วย

- จุดมืด (sunspots) เป็นจุดดำบนดวงอาทิตย์ ค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนโดย กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) หลังจากเขาประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์แล้วส่องขึ้นไปบนฟ้า โดยที่ยังไม่ทราบว่าการส่องดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่านั้นเป็นอันตราย ข้อดีของจุดมืดคือทำให้ทราบว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง และจุดมืดนี้มีหลายจุดเพิ่มขึ้น-ลดลงอยู่เสมอ




จาก : ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 พฤษภาคม 2553

สายน้ำ 02-06-2010 07:36


ไขปริศนา 'ภัยดวงดาว

http://www.dailynews.co.th/content/i.../02/03/260.jpg

'โลกล่มสลาย' 'แค่เล่าลือ' หรือมีมูล?

แม้วิทยาการทางด้านดาราศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์จะก้าวล้ำมากขึ้นกว่าในอดีต แต่จนทุกวันนี้เรื่องของ “ดวงดาว” ก็ยังคงมี “ปริศนา” อยู่อีกมากมาย และปริศนาเหล่านี้บ่อยครั้งที่ “สร้างความตื่นกลัว” ทั้งโดยผู้ที่ตั้งใจปล่อยข่าว และโดยการ “เล่าลือ” ต่อ ๆ กันไป ซึ่งกับช่วงเดือน มิ.ย. 2553 นี้ก็มีการเล่าลือ...

เล่าลือกันว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “ดาวเรียงตัว”

และจะสร้าง “หายนะรุนแรง” ต่อมนุษยชาติ ??

กับการเล่าลือล่าสุด ซึ่งมีการโพสต์ข้อความส่งต่อกันไปในอินเทอร์เน็ต ก็เช่น... วันที่ 8 มิ.ย. 2553 ดวงดาวในระบบสุริยะ คือ ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ ดาวพฤหัสบดี จะโคจร “เรียงตัวกัน” และประมาณวันที่ 12 มิ.ย. 2553 ดาวโลก ดาวพฤหัส ดาวยูเรนัส ก็จะเรียงตัวกัน ซึ่งก็เล่าลือกันต่อเนื่องว่าจะสร้างหายนะต่อโลก เช่น เป็นปรากฏการณ์ที่จะจุดชนวนปฏิกิริยาของดวงอาทิตย์ ส่งผลให้โลกเกิด น้ำท่วมครั้งใหญ่ แผ่นดินไหวรุนแรง อากาศแปรปรวนครั้งเลวร้าย ภูเขาไฟระเบิดไปทั่ว เลยเถิดถึงการระเบิดของรังสีแกมมา-การ “สิ้นโลก” อย่างที่เคยมีการเล่าลือว่าจะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012 หรือ พ.ศ. 2555

ทั้งนี้ กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ “ดวงดาว” นั้น ใน “เดลินิวส์” ฉบับวันนี้ ในหน้าวาไรตี้ก็มีข้อมูลมานำเสนอ ส่วนทาง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ก็มีข้อบ่งชี้ชัด ๆ กล่าวคือ... เดือน มิ.ย. 2553 นี้ไม่มีการเกิดปรากฏการณ์ดวงดาวเรียงตัว !! จะมีก็แต่ จันทรุปราคาบางส่วน ในวันที่ 26 มิ.ย. 2553

หรือต่อให้เกิดดาวเรียงตัว ดาวเคราะห์ระบบสุริยะเรียงตัว ถามว่าจะมีผลต่อโลกหรือไม่ ? ทางสมาคมดาราศาสตร์ไทยชี้ว่า... ตำแหน่งวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะปัจจุบัน แต่ละดวงอยู่ห่างกันมาก แรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ดวงอื่นที่กระทำต่อโลกมีค่าต่ำมากจนเกือบเป็นศูนย์ ดังนั้นไม่ว่าดาวเคราะห์จะเรียงอย่างไร เป็นเส้นตรง สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม กากบาท ฯลฯ ก็จะไม่ส่งผลเสียต่อโลก

นอกจากนี้ เมื่อเร็วๆนี้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีการจัดเสวนาเรื่อง “ตอบคำถามสังคมไทยต่อการล่มสลายของโลก” งานนี้ก็มีข้อบ่งชี้ที่เป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ โดย ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ภาควิชาฟิสิกส์ ระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องการเรียงตัวของดาวกับหายนะของโลก โดยยกตัวอย่างการเกิดแผ่นดินไหวว่า... จากการย้อนดูตำแหน่งดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล ในวันที่โลกเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ๆหลายครั้งที่ผ่านมา ไม่ปรากฏว่ามีการเรียงตัวของดวงดาวเลย และโดยมากมีตำแหน่งที่อยู่คนละทิศละทางกัน ดังนั้น “ข้อสันนิษฐานที่ว่าดาวเคราะห์เรียงตัวจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

ส่วนเรื่องแรงดึงดูดของดวงจันทร์ที่ก็มีการลือกันด้วยว่าจะสร้างหายนะให้โลก จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ดร.สธนบอกว่า... แรงน้ำขึ้น-น้ำลงเกิดจากผลต่างของแรงดึงดูดของดวงจันทร์ต่อมวลสารบนโลกบนตำแหน่งต่างๆ ซึ่งแรงของดวงจันทร์ต่อโลกจะไม่เท่ากันในแต่ละพื้นที่ ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้โลกก็จะมีแรงดึงมาก ถ้าอยู่ไกลก็จะมีแรงดึงน้อย แรงดึงของดวงจันทร์มีน้อยกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกถึง 10 ล้านเท่า และแรงของดวงจันทร์จะดึงได้เฉพาะที่เป็นของเหลว คือน้ำ ขณะที่โลกทั้งโลกโดยรวมถือเป็นของแข็ง “อิทธิพลของดวงจันทร์ถ้าจะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหวก็จะต้องดึงโลกทั้งโลกซึ่งเป็นของแข็ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

พร้อมกันนี้ ดร.สธนยังระบุถึงประเด็นเล่าลือเรื่องสนามแม่เหล็กโลกจะพลิกกลับขั้วจนทำให้สิ้นโลก โดยบอกว่า... การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ โดยมีสาเหตุมาจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวที่อยู่ตรงกลางโลก และครั้งล่าสุดเกิดเมื่อกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่ง “กว่าที่สนามแม่เหล็กโลกจะกลับขั้วแต่ละครั้งจะห่างกันหลักแสนหรือหลักล้านปี ดังนั้น จะไม่กลับขั้วอีกครั้งเร็วๆนี้แน่”

ด้าน ผศ.พงษ์ ทรงพงษ์ ภาควิชาฟิสิกส์เช่นกัน ก็บอกว่า.. ปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์กับการเกิดแผ่นดินไหวบนโลก การ “สิ้นโลก” นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์เป็นเรื่องที่มีการเกิดขึ้นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การระเบิดจ้าบนผิวดวงอาทิตย์, ลมสุริยะ, จุดดับบนดวงอาทิตย์ ฯลฯ จะมาก-จะน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณสนามแม่เหล็กบนดวงอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่เคยส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อโลก

สำหรับกรณีการระเบิดของรังสีแกมมากับการสิ้นโลกนั้น ผศ.พงษ์อธิบายว่า... การระเบิดของรังสีแกมมาเป็นปรากฏการณ์ดวงดาว เป็นอาการหนึ่งของดวงดาวที่กำลังดับสูญ โดยจะส่งรังสีแกมมาออกมาจากซากดวงดาว ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับดวงดาวที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ไม่น้อยกว่า 10 เท่า ซึ่งผลจากการระเบิดของรังสีแกมมาแม้จะรุนแรงมาก แต่โอกาสจะมีผลต่อโลกนั้นน้อยมาก เพราะถ้าจะมีผล ดวงดาวแหล่งกำเนิดต้องอยู่ไม่ไกล และมุมที่เกิดนั้นต้องส่องมายังโลกพอดี “โอกาสที่โลกจะสิ้นสูญจึงมีน้อยมาก โลกเกิดมาแล้ว 4,000 ล้านปี ยังไม่เคยโดนรังสีแกมมาแบบนี้แม้แต่ครั้งเดียว” ...ผศ.พงษ์ระบุ

สรุปคือระยะนี้ยังไม่มีภัยดวงดาวที่จะทำให้ “สิ้นโลก”

ภัยดวงดาวเป็นเพียง “ข่าวลือ” อย่าตื่นตระหนก !!!.



จาก : เดลินิวส์ คอลัมน์ สกู๊ปหน้า 1 วันที่ 2 มิถุนายน 2553

สายน้ำ 11-06-2010 06:40


ถอดรหัสหายนะโลก วัน "ดาวเรียงตัว" 12มิ.ย.53

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...01110653p1.jpg

จากกรณี เกิดกระแสข่าวลือสร้างความสับสน-ตื่นตระหนกในโลกอินเตอร์เน็ตผ่านอีเมล์ลูกโซ่ ว่า

ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 นี้ โลกมนุษย์ รวมถึงประเทศไทย อาจเกิดหายนะ เพราะผลจากปรากฏการณ์ดาวเคราะห์เรียงตัว เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิครั้งใหญ่ตามมาทำลายล้างโลก

ล่าสุด นักวิชาการจากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดเวทีสัมมนาเรื่อง "ตอบทุกคำถามสังคมไทยที่กังวลต่อการล่มสลายของโลก" ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อให้ข้อมูลตามหลักวิชาการแก่ประชาชน

ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า

ข้อมูลจากอีเมล์ลูกโซ่ดังกล่าวอ้างว่า ในวันที่ 12 มิถุนายน 2553 ประมาณ 11.30 UTC จะมีแผ่นดินไหว 7-8.5 ริกเตอร์ และอาจจะมีสึนามิตามมาในพื้นที่โซนแรกคือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ อาจจะเป็นหมู่เกาะสุมาตรา โซนที่สองในยุโรป แถบประเทศ อิตาลี สเปน และกรีก และโซนที่สาม ประเทศในอ่าวเม็กซิโก หรือทางฝั่งตะวันตกของประเทศอเมริกา โดยเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์และอ้างว่าทำไมปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์จึงเกี่ยวกับแผ่นดินไหว คือ ถ้าเกิดปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์แล้ว จะทำให้โลกเกิดแผ่นดินไหวตามมาในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง พร้อมกับนำแบบจำลองของตำแหน่งดาวเคราะห์ในช่วงที่มีเหตุการณ์สึนามิครั้งใหญ่ของโลก 10 ครั้งมาประกอบ

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ในการเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ทั้ง 10 ครั้งนั้น ดาวเคราะห์ไม่ได้เรียงตัวในแนวเดียวกันแต่อย่างใด

http://www.khaosod.co.th/news-photo/...01110653p2.jpg
ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์

ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าดาวเคราะห์เรียงตัวกันแล้วเกิดแผ่นดินไหว ดูจากการเรียงตัวกันของดาวเคราะห์ในวันที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ๆของโลก 10 ครั้ง ไม่มีครั้งใดที่ดาวเคราะห์เรียงตัวกัน ที่สำคัญขณะนี้เป็นการพูดถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2553 มองจากแบบจำลองคือดาวเคราะห์อยู่ในแนวดิ่งลง แต่โลกอยู่ในแนวตั้งฉาก ฉะนั้น โลกไม่ได้อยู่ในแนวเดียวกันกับดาวเคราะห์ในวันที่ 12 มิถุนายนอย่างแน่นอน ซึ่งในวันที่อ้างอื่นๆก็เช่นเดียวกัน ไม่มีวันใดที่โลกอยู่ในตำแหน่งเรียงตัวกันกับดาวเคราะห์และขนาดของแรงไม่สามารถทำให้เกิดอะไรได้

การกล่าวอ้างที่พูดถึงในเว็บไซต์และในจดหมายเรื่องหายนะดาวเรียงตัวเป็นคำอ้างที่ไม่มีหลักฐานและไม่มีการชี้แจงหรืออ้างบทความงานวิจัย ไม่ค่อยจะตรงกับงานวิจัยที่เขียนอยู่ และไม่มีผู้เขียน ไม่ระบุชื่อ เป็นลักษณะที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขียนในจดหมายลูกโซ่คืออะไรกันแน่ เป็นการคาดเดาไว้ก่อน

ดร.สธน อธิบายให้ความกระจ่างต่อไปว่า ข้อมูลในวันโลกาวินาศอีกเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ คือเรื่องของการกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลก

หลายคนคิดว่าหากเกิดการกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกจะมีการพลิกสลับขั้ว

แต่ที่จริงแล้ว โลกของเรามีสนามแม่เหล็กอยู่ ทิศทางของสนามแม่เหล็กเหมือนแท่งแม่เหล็ก แต่แท่งแม่เหล็กของโลกกลับกับแท่งแม่เหล็กที่เราอยู่ปกติ นั่นคือแท่งแม่เหล็กโลกขั้วใต้อยู่ที่ทิศเหนือ และแท่งแม่เหล็กโลกขั้วเหนืออยู่ที่ทิศใต้ ซึ่งสนามแม่เหล็กนี้เกิดจากการไหลของกระแสโลหะหลอมเหลวที่อยู่ในแกนกลางโลก เป็นเหมือนไดนาโมที่เราเอาขดลวดมาพันแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าและเกิดสนามแม่เหล็ก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทราบกันมานานเนื่องจากการไหลของกระแสนี้ไม่สม่ำเสมอ

ดังนั้น กระแสแม่เหล็กโลกจึงมีการเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งอยู่เรื่อยๆ ตามการไหลของมัน เช่น มีการพบว่าในปี ค.ศ. 1904 อยู่บริเวณหนึ่ง และในปี 1996 จะเคลื่อนที่ไปอยู่อีกบริเวณหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

หากถามว่าสนามแม่เหล็กโลกกลับขั้วได้หรือเปล่า คำตอบคือ "กลับได้"

จากการศึกษา "หิน" ที่ละลายแล้วแข็งตัวพบว่า โลกของเรากลับขั้วมาแล้วหลายครั้ง เวลาที่กลับและหินละลายออกมาใต้โลกยังที่ร้อนอยู่โลหะทั้งหลายที่อยู่ในหิน ยังหมุนไปมาได้ พอมาเจอสนามแม่เหล็ก มันจะปรับตัวเข้าตามสนามแม่เหล็ก เหมือนกับการที่เราเอาไขควงไปเผาให้ร้อน แล้วไปวางใกล้แม่เหล็ก พอไขควงนั้นเย็นลง จะเป็นแม่เหล็กไปด้วย กระบวนการที่ทำให้เกิดความร้อนสามารถทำให้เกิดแม่เหล็กได้

เพราะฉะนั้น หินจะมีสภาพความเป็นแม่เหล็กตามสภาพแม่เหล็กโลก ซึ่งพบว่ามีการเปลี่ยนมาแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งเว้นช่วงประมาณ 1 ล้านปี

ปัจจุบัน โลกของเราจากการกลับครั้งสุดท้าย ผ่านมาแล้วประ มาณ 7 แสนปี และในระหว่าง 1 ล้านปี อาจจะมีการกลับขั้วเป็นช่วงสั้นๆ 4-5 พันปี มีบ้าง ซึ่งช่วงเวลาการกลับขั้วไม่แน่นอน

ดังนั้น การกลับขั้วของสนามแม่เหล็กเกิดขึ้นได้ แต่ไม่ใช่โลกจะพลิกกลับ แต่สนามแม่เหล็กโลกจะอ่อนกำลังลง และมีความยุ่งเหยิงมากขึ้นมีผลกับสัตว์ที่ต้องอาศัยสนามแม่เหล็กในการเดินทาง นกพิราบ ปลาฉลามวาฬ การใช้เข็มทิศ ดาวเทียม GPS หรือการใช้อุปกรณ์ที่ต้องอาศัยคลื่นวิทยุ โทรศัพท์มือถือ แต่อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ก่อนจะกลับไปสู่สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอีกครั้ง

ข้อมูลที่ปรากฏจากอีเมล์ลูกโซ่ที่บอกว่า ขั้วโลกจะพลิกกลับข้างภาย ใน 49 วันนั้น เป็นเวลาในช่วงการพลิกใช้เวลาเป็นพันปี ระหว่างการพลิกการเปลี่ยนแปลงใช้เวลา ณ ปัจจุบัน 7 แสนปี แต่เรารู้ว่ามีการเปลี่ยนแน่ๆ เพราะมีการวัดจากสนามแม่เหล็กโลกและรู้ว่ามีการอ่อนตัวลงของสนามแม่เหล็กโลก แต่ในปัจจุบันสนามแม่เหล็กโลกขึ้นๆลงๆ 7 แสนปีที่ผ่านมาเคยอ่อนกว่านี้ด้วยซ้ำ ฉะนั้น ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะก่อให้เกิดปัญหามากมาย

การพลิกก็ไม่ใช่โลกพลิกกลับข้าง และการเปลี่ยนแปลงนั้นช้า เป็นพันหรือแสนปีขึ้นไป

ข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนได้รับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอะไรควรมีการกลั่นกรอง ค้นคว้า ถามจากผู้รู้ หรืออาจใช้ช่องทางของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ว่าจะเป็นการฝากข้อสงสัยต่างๆ พร้อมช่องทางในการติดต่อกลับที่สายด่วนคณะวิทยาศาสตร์ 0-2218-5555 หรืออีเมล์ scichula@gmail.com หรือ scicupr@gmail.com เพื่อให้นักวิชาการได้เข้าไปมีส่วนให้ข้อมูลที่ถูกต้อง อ้างอิงหลักฐานและหลักวิชาการ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนได้อีกทาง



จาก : ข่าวสด วันที่ 11 มิถุนายน 2553

สายชล 11-06-2010 07:18



พรุ่งนี้ก็รู้แล้วนะคะว่า.....Fact or Fiction.....จริงหรือเท็จ


Super_Srinuanray 11-06-2010 09:25

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆๆๆ หากเกิดขึ้นจริง ยานสะเทิ้นน้ำสะเทินบก คงจะขายได้ดี

แต่ยังไม่เห็นมีวางจำหน่าย เลย หรือมีแล้ว เป็นสัญญาซื้อ-ขายลับ เก็บที่ใดที่หนึ่งในโลก....

สายชล 10-08-2010 12:54

เหยื่อดินถล่มจีน ทะลุ337ศพ คนสูญหายนับพัน

http://www.thairath.co.th/media/cont...hr1667/630.jpg


ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุดินถล่มทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 337 รายแล้ว ขณะที่ยอดผู้สูญหายล่าสุดจากข้อมูลของทางการจีนอยู่ที่ 1,148 ราย พบแม่เฒ่า 74 ปี รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์หลังติดใต้โคลน...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุดินถล่มทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ได้เพิ่มจำนวนเป็นอย่างน้อย 337 รายแล้ว ขณะที่ยอดผู้สูญหายล่าสุดจากข้อมูลของทางการจีนอยู่ที่ 1,148 ราย

รายงานข่าวระบุว่า ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดเหตุดินถล่มขึ้นในหลายพื้นที่ของมณฑลกานซู ทำให้ถนน อาคาร บ้านเรือนต่างๆ ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ขณะที่ทางการจีนได้ระดมกำลังทหารมากกว่า 4,500 นาย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดับเพลิง หน่วยกู้ภัย และทีมแพทย์ฉุกเฉินเข้าไปในพื้นที่เพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยอื่นๆ แล้ว

http://www.thairath.co.th/media/cont...hr1667/630.jpg

ด้านสำนักข่าวซินหัวของจีนระบุว่า พบแม่เฒ่า วัย 74 ปีรายหนึ่ง รอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์หลังจากติดอยู่ใต้ซากอาคารแห่งหนึ่งที่มีโคลนถล่มทับ โดยหน่วยกู้ภัยได้นำตัวเธอส่งยังโรงพยาบาล และขณะนี้มีอาการปลอดภัยแล้ว

แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลกานซู ออกมาเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้สูญหายในพื้นที่ล่าสุดอยู่ที่ 1,348 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่ารายงานของรัฐบาลจีน พร้อมระบุอาจพบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกตลอดระยะหลายวันข้างหน้านี้.


โดย ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/oversea/102636


*************************************************************


กู้ภัยจีนเร่งค้นหาผู้สูญหายจากเหตุโคลนถล่มในมณฑลกันซู่


เจ้าหน้าที่กู้ภัยจีนยังคงช่วยกันค้นหาชาวบ้าน 1,148 คนที่สูญหายไปหลังจากเกิดเหตุโคลนถล่มในพื้นที่ห่างไกลของมณฑลกันซู่ เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักเมื่อวันเสาร์ โดยบ้านเรือนประชาชนในหมู่บ้าน 3 แห่ง ถูกกลืนหายไปกับกระแสโคลน อย่างไรก็ตาม ความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตเริ่มเลือนลาง ขณะที่คาดว่าจะมีฝนตกลงมาอีกในปลายสัปดาห์นี้


ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิต ล่าสุดอยู่ที่ 337 คน และมีผู้บาดเจ็บ 218 คน นอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ในจำนวนนี้ 41 คนอาการสาหัส


ด้านนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า เร่งให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยทำงานแข่งกับเวลาในการค้นหาผู้รอดชีวิต แต่ยอมรับว่าเป็นภารกิจที่ยากลำบาก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


สายชล 10-08-2010 19:50



วานูอาตูแผ่นดินไหว 7.5 เกิดสึนามิขนาดย่อม

http://www.thairath.co.th/media/cont...hr1667/630.jpg

เกิดแผ่นดินไหวระดับ 7.5 ที่วานูอาตู ทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็ก ด้านศูนย์เตือนภัยสึนามิแปซิฟิกเตือน อาจมี "สึนามิใหญ่ตามมา"...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ว่าเกิดเหตุแผ่นดินไหวระดับ 7.5 ที่หมู่เกาะวานูอาตูในมหาสมุทรแปซิฟิก แรงสั่นสะเทือนทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนนับพัน rากันวิ่งแตกตื่นขึ้นสู่พื้นที่สูงและเนินเขา

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (USGS) รายงานในเบื้องต้นว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ลึกลงไปใต้ทะเลราว 35 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากกรุงพอร์ท วิลา เมืองหลวงของวานูอาตูเพียง 40 กิโลเมตร โดย USGS ระบุว่าแรงสั่นสะเทือนได้เริ่มทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดเล็กก่อตัวนอกชายฝั่งวานูอาตูแล้ว

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่งเผยว่า อาคารหลายแห่งในกรุงพอร์ต วิลา ประสบแรงสั่นสะเทือนต่อเนื่องราว 15 นาที แต่ยังไม่พบความเสียหายแต่อย่างใด

ล่าสุด ศูนย์เตือนภัยสึนามิแห่งมหาสมุทรแปซิฟิกออกมาเตือนว่า คลื่นสึนามิขนาดเล็กที่มีความสูงราว 9.2 นิ้วได้เริ่มซัดเข้าโจมตีกรุงพอร์ต วิลาแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดคลื่นสึนามิที่มีขนาดใหญ่และมีความสูงมากขึ้นตามมา.


ขอบคุณข่าวและภาพจาก....ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/oversea/102698


Super_Srinuanray 10-08-2010 22:22

นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งของ หายนะบนโลกค่ะ

ขอ Share มาจาก FB ของน้องนุ ค่ะ

Flash floods kill more than hundred people and leave several tourists stranded around the main town of India's Himalayan region of Ladakh.

http://in.reuters.com/news/pictures/...INRTR2H3SX#a=3

สายน้ำ 06-09-2010 06:31


แผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์ที่นิวซีแลนด์ ตาย 0 ราย-ปาฏิหาริย์หรือเทคโนโลยี ?

http://pics.manager.co.th/Images/553000013194601.JPEG
สภาอาคารเมืองไครสต์เชิร์ช หลังผ่านเหตุแผ่นดินไหว 7.0 ริกเตอร์


“ตาย 220,000 ราย เหยื่อแผ่นดินไหวระดับ 7.0 ริกเตอร์ในเฮติ ณ มกราคม 2010”

“เหยื่อแผ่นดินพิโรธ 6.9 ริกเตอร์ พุ่งถึง 2,000 ศพ ที่ตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเดือนเมษายน 2010”

“กว่า 500 ชีวิตสังเวยแผ่นดินไหว 8.8 ริกเตอร์ ที่ชิลี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010”

และแล้วปาฏิหาริย์ได้อุบัติขึ้นให้ชาวโลกได้ประจักษ์ในเมืองแห่งพระเยซู หรือ ไครสต์เชิร์ช นครขนาดใหญ่อันดับสองของประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อชาวเมือง 340,000 คนภายในเมืองต้องประสบกับเหตุแผ่นดินไหวระดับดุเดือดถึง 7.0 ริกเตอร์ ในช่วงเช้ามืดของวันเสาร์ที่ 4 กันยายน

หายนะที่เกิดขึ้น ณ มูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแผ่นดินแยกเป็นแนวยาว รางรถไฟบิดเบี้ยวเสียหาย แต่ปรากฏว่าอาคารต่างๆส่วนใหญ่ไม่มีการพังทลายหรือยุบตัว และเหนืออื่นใด แม้จะมีรายงานถึงเหยื่อแผ่นดินไหวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย แต่ไม่มีรายงานการเสียชีวิตในเหตุรุนแรงครั้งนี้!!

นี่คือปาฏิหาริย์ หรือผลงานเชิงเทคโนโลยีกันแน่?

เจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งเมืองไครสต์เชิร์ชให้ข้อมูลว่า ในเบื้องต้นเลยโชคดีที่การสะเทือนเลื่อนลั่นของแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดในช่วงเช้ามืด ทำให้ลดความเสี่ยงไปได้อย่างมหาศาลในแง่ที่ว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจาก แผ่นดินแยก หรือกำแพงอาคารร่วงทับ และจึงกลายเป็นว่าเหยื่อที่โดนกำแพงอาคารร่วงทับกลับเป็นบรรดารถยนต์ที่จอดอยู่ข้างบ้าน

โชคดีประการสำคัญมีอยู่ว่า ผู้คนส่วนใหญ่ยังอยู่ในอาคารบ้านเรือนซึ่งค่อนข้างปลอดภัย

เป็นความปลอดภัยที่สวนทางอย่างยิ่งกับข้อเท็จจริงที่ว่า นิวซีแลนด์นั้นตั้งอยู่บนจุดเสี่ยงสูงของโลก โดยอยู่ในพื้นที่หัวแยกของแนวการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกสองแผ่น

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ที่แท้แล้วเป็นผลจากการ “ลงทุน” สร้างระบบโครงสร้างความปลอดภัยไว้เมื่อราวสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่มีการรณรงค์ให้ตื่นตัวกับการป้องกันภัย ผ่านการสรุปบทเรียนราคาแพงที่นิวซีแลนด์เคยได้รับในกรณีธรณีพิโรธเมืองนาเปียร์ ปี 1931 อันเป็นมหาวิบัติแผ่นดินไหวสะท้านสะเทือนระดับ 7.8 ริกเตอร์ และคร่าชีวิตผู้คนไป 256 ราย ที่ฮอว์กส์ เบย์

http://pics.manager.co.th/Images/553000013194602.JPEG
เด็กหนุ่มเมืองกีวีไต่ลงไปในรอยแยกของถนน

ปีเตอร์ เบิร์กเอาท์ ซีอีโอแห่งสถาบัน BRANZ ซึ่งเป็นองค์การด้านวิจัยความปลอดภัยในการก่อสร้าง ให้เฉลยว่า อาคารบ้านเรือนรุ่นใหม่ๆในนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยโครงไม้ซุงขนาดเบา ซึ่งเอื้อให้เกิดความยืดหยุ่นขณะที่ถูกเล่นงานโดยคลื่นสั่นไหวของผืนแผ่นดิน

ในการนี้ อาคารที่ได้รับความเสียหายหนักๆในไครสต์เชิร์ช เป็นอาคารรุ่นเก่าที่สร้างจากวัสดุที่เกาะตัวกันแน่นหนา จนทำให้ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในยามแผ่นดินไหว

เบิร์กเอาท์บอกว่านิวซีแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำของโลกที่ได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อภัยแผ่นดินไหว โดยที่สถาบัน BRANZ ได้จัดสร้างโรงงานวิจัยขนาดใหญ่ในเวลลิงตันไว้แสดงให้เห็นกันกับตาว่า บ้านหลังใหญ่ ไซส์จริงๆ นั้น สามารถรับแรงเขย่าแบบแผ่นดินไหวได้อย่างไร

แม้แต่อาคารสำนักงานก็ถูกสร้างบนรากฐานที่มีลักษณะที่เหมือนกับอยู่บนการรองรับที่ซับแรงกระเทือนได้ ดังนั้น หากต้องเผชิญกับแรงสะเทือนของแผ่นดินไหวใหญ่ๆ อาคารเหล่านี้สามารถสั่นสะท้านไปทั่ว แต่ไม่ทลายตัวลงมา

เท่ากับการลดโอกาสสร้างความเสียหายรุนแรงต่อร่างอันบอบบางของมนุษย์ที่อยู่ภายใน หรืออยู่ใกล้ๆกับอาคารได้อย่างมหาศาล

ต้องขอบคุณปาฏิหาริย์แห่งเทคโนโลยี และปาฏิหาริย์แห่งพลังใจผู้คนที่มองการณ์ไกลเพียงพอที่จะลงทุนเพื่อสร้างความปลอดภัยอย่างยั่งยืน อันเป็นคุณลักษณ์ที่หายากในประเทศต่างๆ ทั่วโลก



จาก .......... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 5 กันยายน 2553


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:07

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger