สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 13 กรกฏาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 13 - 14 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 15 - 18 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 13 ? 14 ก.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักไว้ด้วย https://lh3.googleusercontent.com/SK...-no?authuser=0 https://lh3.googleusercontent.com/Hz...-no?authuser=0 https://lh3.googleusercontent.com/pS...-no?authuser=0 |
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เมืองจีนงัดหมัดเด็ด พาหอยเป๋าฮื้อกว่า 50 ล้านตัว "กลับบ้าน" https://lh3.googleusercontent.com/ms...-no?authuser=0 หอยเป๋าฮื้อที่เขตเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อในอำเภอหลี่ต่าว เมืองหรงเฉิง มณฑลซานตง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อแห่งหลักของประเทศจีน (เครดิตภาพ ซินหัว) ซินหัว?เขตเพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อในอำเภอหลี่ต่าว เมืองหรงเฉิง มณฑลซานตง นับเป็นหนึ่งในพื้นที่เพาะพันธุ์หอยเป๋าฮื้อแห่งหลักของประเทศจีน โดยมีพื้นที่มากกว่า 10,000 หมู่ หรือราว 4,166 ไร่ เมื่ออุณหภูมิน้ำลดลงในฤดูหนาว หอยเป๋าฮื้อจะเข้าสู่ช่วง "จำศีล" หรือนอนหลับไป ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ปี 2014 เมืองหรงเฉิงจึงได้ร่วมมือกับพื้นที่อื่นๆเช่นเมืองผูเถียน ในอำเภอเหลียนเจียง มณฑลฝูเจี้ยน ดำเนินโครงการผลัดเปลี่ยนที่เพาะเลี้ยงระหว่างเหนือ-ใต้ ในช่วงฤดูร้อน-หนาว https://lh3.googleusercontent.com/rU...-no?authuser=0 แหล่งเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อเมืองหรงเฉิง จับมือกับแหล่งเพาะเลี้ยงในภาคอื่นๆ ดำเนินโครงการผลัดเปลี่ยนที่เพาะเลี้ยงระหว่างเหนือ-ใต้ ในช่วงฤดูร้อน-หนาว เพื่อรักษาหอยเป๋าฮื้อ ไม่ให้ถูกน้ำเย็นจัดทำลายเสียหายในช่วงฤดูหนาว (เครดิตภาพ ซินหัว) ผู้เชี่ยวชาญได้คิดค้นวิธีการนี้ขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเลที่เย็นเกินไปในช่วงฤดูหนาวส่งผลต่อการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อ ในเดือนที่ผ่านมามีหอยเป๋าฮื้อกว่า 50 ล้านตัวที่ถูกส่งออกจากแหล่งเพาะเลี้ยงเมืองหรงเฉิงไปในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา กำลัง "หวนคืนบ้านเกิด" ที่หลี่ต่าว https://mgronline.com/china/detail/9630000071390 |
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
กลุ่มฮูตีเปิดทางยูเอ็น ตรวจเรือน้ำมันดิบล้านบาร์เรล จอดทิ้งที่เยเมน 45 ปี หวั่นหายนะสิ่งแวดล้อม กลุ่มฮูตีเปิดทางยูเอ็น - วันที่ 12 ก.ค. เอเอฟพี รายงานว่า คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี เตรียมประชุมด่วนในวันที่ 15 ก.ค. เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับ เรือบรรทุกน้ำมันดิบ 1.1 ล้านบาร์เรล อายุ 45 ปี ที่จอดทิ้งโดยปราศจากการบำรุงรักษามานานกว่า 5 ปีแล้ว ที่เมืองท่าฮุไดดะฮ์ เยเมน ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมของกลุ่มฮูตี กองกำลังติดอาวุธนิกายชีอะฮ์ https://lh3.googleusercontent.com/zE...-no?authuser=0 ขณะที่แหล่งข่าวยูเอ็น 2 แหล่ง เปิดเผยข้อมูลล่าสุดกับ รอยเตอร์ ว่า กลุ่มฮูตียินยอมให้สหประชาชาติเข้าถึงเรือบรรทุกน้ำมันดิบแล้ว ระบุว่า กลุ่มฮูตีที่มีความใกล้ชิดกับอิหร่านส่งจดหมายอนุมัติให้ช่างเฉพาะทางของยูเอ็นเข้ามาตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมันได้ สวนทางกับปฏิกิริยาก่อนหน้าที่ นายโมฮาเหม็ด อาลี อัล-ฮูตี ผู้นำกลุ่มฮูตี ทวีตข้อเรียกร้อง ต้องการหลักประกันว่า เรือลำนี้จะได้รับการซ่อมแซม และ ขายน้ำมันดิบราว 1.2 พันล้านบาทในเรือเพื่อนำเงินมาสนับสนุนกลุ่ม ขณะที่รัฐบาลเยเมนเรียกร้องให้นานาชาติจัดการกับกลุ่มฮูตี ระบุใช้หายนะสิ่งแวดล้อมเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่จากประชาคมโลก https://lh3.googleusercontent.com/Bv...-no?authuser=0 สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตัวเรือเริ่มผุพังจากแรงดันในถังน้ำมันและเกิดรอยแตกทำให้น้ำไหลเข้าท่วมห้องเครื่อง เสี่ยงต่อการที่เรืออาจระเบิด หรือน้ำมันรั่วไหล ขณะที่กลุ่มฮูตีส่งนักประดาน้ำลงไปพยายามแก้ไขได้เพียงบางส่วนเพื่อประวิงเวลา ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากน้ำมันทั้งหมดรั่วออกมาจะต้องใช้เวลาถึง 30 ปีกว่าระบบนิเวศจะฟื้นคืนทั้งในทะเลแดง ถึงอ่าวเอเดน และคาบสมุทรอาหรับ กลายเป็นหนึ่งในหายนะสิ่งแวดล้อมร้ายแรงสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_4490439 |
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
ก.อุตฯ จับมือ เอสซีจี แก้ปัญหาน้ำเสียคลองเปรมประชากรด้วยนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลัง เอสซีจี และกทม. ทำโครงการจิตอาสาฯ แก้ปัญหาน้ำเสียด้วยนวัตกรรมชุดบำบัดน้ำเสียชุมชนและทุ่นกักขยะ นำร่องครั้งแรกที่คลองเปรมประชากร พร้อมเตรียมเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง ที่คลองแสนแสบและแม่น้ำท่าจีน https://lh3.googleusercontent.com/0D...-no?authuser=0 กอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายจากศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.จอส.) ให้ร่วมบูรณาการพัฒนาคุณภาพน้ำในคลองเปรมประชากร เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) น้ำเสียเอสซีจีร่วมสนับสนุนโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำคลองเปรมประชากร ด้วยนวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ HDPE-Bone //ขอบคุณภาพจาก: เอสซีจี "จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำในคลองเปรมประชากรตลอดสายในกรุงเทพฯ พบว่า เขตดอนเมืองและหลักสี่ เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนอาศัยอย่างหนาแน่น และมีน้ำเน่าเสียมากที่สุด จึงเหมาะสมต่อการดำเนินโครงการฟื้นฟู จึงได้ประสานความร่วมมือกับเอสซีจี ซึ่งเป็นภาคเอกชนที่มีศักยภาพร่วมดำเนินการออกแบบและจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียก่อนระบายน้ำลงคลองเปรมประชากร" กอบชัย กล่าว "นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังจัดกิจกรรมจิตอาสากับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ จำนวน 200 คน เพื่อสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมกับในการรักษาสิ่งแวดล้อม ขยายผลร่วมมือในใจคนให้เกิดความยั่งยืนของการฟื้นฟูคลองเปรมประชากร" ยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี กล่าวเพิ่มเติมว่า เอสซีจีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมในโครงการ "จิตอาสาสำรวจ ออกแบบจัดหาและติดตั้งชุดกรองน้ำเสียในคลองเปรมประชากร เฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10" เพื่อพัฒนาคุณภาพน้ำในลำน้ำสาธารณะ และลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาเสียในคลองเปรมประชากร ยังเป็นโครงการต้นแบบในการทดลองแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในเขตชุมชนเมืองในบริเวณที่มีอาคารบ้านเรือนพักอาศัยติดกับลำน้ำสาธารณะ ทั้งนี้ ยุทธนา กล่าวว่า เอสซีจีได้สนับสนุน ชุดบำบัดน้ำเสียจากครัวเรือน ได้แก่ ถังดักไขมัน นวัตกรรมแบบดีไอวาย ที่เอสซีจีพัฒนาขึ้น จำนวน 185 ถัง เพื่อนำไปใช้กรองเศษอาหาร และช่วยแยกไขมันออกจากน้ำก่อนปล่อยน้ำทิ้งสู่ท่อระบายน้ำ และนวัตกรรมระบบบำบัดน้ำเสียไซโคลนิก (Zyclonic) จากเอสซีจี ซึ่งสามารถขจัดของเสียและฆ่าเชื้อโรคในน้ำเสียจากครัวเรือน และห้องน้ำ ด้วยกระบวนการทางชีวภาพและเคมีไฟฟ้า จนสามารถได้น้ำที่ปราศจากสีและกลิ่น จึงสามารถนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำได้ โดยถังบำบัดน้ำเสีย 1 ถัง จะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ถึง 600 ลิตรต่อวัน เอสซีจียังได้ติดตั้งนวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ HDPE-Bone ซึ่งสามารถรองรับขยะได้สูงสุดถึง 700 กิโลกรัม จำนวน 4 ชุด มอบให้เขตหลักสี่ และเขตดอนเมือง เพื่อจะช่วยให้การกักเก็บขยะในลำคลองสะดวกรวดเร็วขึ้น ทำให้การสัญจรทางน้ำสะดวกขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสาเพื่อพัฒนาคุณภาพน้ำในลำน้ำและลุ่มน้ำสายหลักของประเทศ ดำเนินการแล้วเสร็จ 2 โครงการ ได้แก่ คลองเปรมประชากร กรุงเทพมหานคร และคลองอู่ตะเภา/ทะเลสาบสงขลา จ.สงขลา โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเผยว่า สำหรับแผนดำเนินโครงการฟื้นฟูคุณภาพน้ำในลำดับถัดไป กระทรวงฯ จะดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำเสีย ณ แม่น้ำท่าจีน ซึ่งมีโรงงานหลายแห่งตั้งอยู่ และคลองแสนแสบ ที่อยู่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรมบางชัน https://greennews.agency/?p=21386 |
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
ฉลามกัด นักโต้คลื่นวัยรุ่นดับคาหาดออสเตรเลีย หนุ่มวัยรุ่นอายุ 15 ปี ถูกฉลามจู่โจมกัดเสียชีวิต ขณะเล่นกระดานโต้คลื่นในทะเลนอกชายฝั่งของรัฐนิว เซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย https://lh3.googleusercontent.com/Ae...-no?authuser=0 ตำรวจออสเตรเลีย เปิดเผยว่า เด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุ 15 ปีคนดังกล่าว ถูกฉลามเข้าจู่โจมและกัด ส่งผลทำให้ได้บาดเจ็บสาหัสรุนแรงที่บริเวณขา ระหว่างเล่นกระดานโต้คลื่นนอกชายหาดวูลี (Wooli Beach) ห่างออกไปทางตอนเหนือของนครซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประมาณ 630 กิโลเมตร ด้าน นักโต้คลื่นหลายคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เข้าให้การช่วยเหลือทันที และพยายามไล่ฉลามออกไปจากพื้นที่ ก่อนจะช่วยกันนำตัวผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมาบนชายหาดและทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มคนดังกล่าวเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ในตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการการสอบสวนเหตุการณ์ครั้งนี้ ที่ถือเป็นเหตุฉลามโจมตีมนุษย์ในออสเตรเลียเป็นครั้งที่ 5 ของปีนี้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อของวัยรุ่นรายนี้ออกมาแต่อย่างใด ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ฉลามตัวที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นฉลามขาว ที่มักจะป้วนเปี้ยนอยู่ในพื้นที่และพบเห็นได้เป็นปกติในช่วงเวลานี้ของทุกปี https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/129233 |
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ลีเมอร์ วาฬไรต์แอตแลนติกเหนือ หนูแฮมสเตอร์ยุโรป สัตว์ชนิดล่าสุดที่ถูกขึ้นบัญชีเสี่ยงสูญพันธุ์ขั้นวิกฤต https://lh3.googleusercontent.com/mv...-no?authuser=0 ที่มาของภาพ,BBC NHU/JULIAN RAD องค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (ไอยูซีเอ็น) เผยบัญชีสัตว์ที่มีความเสี่ยงสูญพันธุ์ในการจัดลำดับสถานะของสัตว์และพืชที่ถูกคุกคามครั้งล่าสุด โดยได้จัดสถานะให้ ลีเมอร์ วาฬไรต์แอตแลนติกเหนือ และหนูแฮมสเตอร์ยุโรป เป็นสัตวที่ "มีความเสี่ยงขั้นวิกฤตต่อการสูญพันธุ์" (critically endangered) หนูแฮมสเตอร์ยุโรป เป็นสายพันธุ์แฮมสเตอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าหนูแฮมสเตอร์ซีเรีย และแฮมสเตอร์แคระ ซึ่งนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง การปรับปรุงบัญชีแดง (Red list) ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกคุกคามครั้งล่าสุด ชี้ว่าประชากรหนูแฮมสเตอร์ยุโรปลดลงถึง 75% ในพื้นที่แคว้นอาลซัสทางตะวันออกของฝรั่งเศส เยอรมนี และยุโรปตะวันออก เนื่องจากแฮมสเตอร์ตัวเมียออกลูกน้อยลงกว่าในอดีต ในศตวรรษที่ 20 แฮมสเตอร์ยุโรปตัวเมีย สามารถออกลูกได้ปีละเฉลี่ย 20 ตัว แต่ขณะนี้พวกมันออกลูกได้เฉลี่ยปีละ 5-6 ตัวต่อปีเท่านั้น สาเหตุการลดลงของการขยายพันธุ์ยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ไอยูซีเอ็นระบุว่า การเพิ่มขึ้นของการปลูกพืชเชิงเดี่ยว การพัฒนาอุตสาหกรรม ภาวะโลกร้อน และปัญหามลพิษ อาจเป็นสาเหตุของการลดลงของการเจริญพันธุ์ของสัตว์ชนิดนี้ ผู้เชี่ยวชาญชี้ด้วยว่า หากไม่ดำเนินการอะไรเพื่ออนุรักษ์หนูแฮมสเตอร์ยุโรปอาจสูญพันธุ์ได้ในอีก 30 ปีข้างหน้า ในสารคดีสัตว์โลกของบีบีซีที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว นำเสนอชีวิตของหนูแฮมสเตอร์ยุโรปที่อยู่ในกรุงเวียนนาของประเทศออสเตรียว่าพวกมันต้องดำรงชีวิตอยู่ในสุสานแทนที่จะเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นถูกพัฒนาให้กลายเป็นเมือง ไอยูซีเอ็น ยังจัดให้ลีเมอร์อีก 33 สายพันธุ์ อยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ขั้นวิกฤตเช่นกัน ทำให้ขณะนี้ลีเมอร์ 103 ชนิด จากทั้งหมด 107 ชนิด ถูกคุกคามจนใกล้สูญพันธุ์แล้ว สาเหตุหลักของการภัยคุกคามมาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า บางสายพันธุ์ถูกคุกจากการล่าของมนุษย์ https://lh3.googleusercontent.com/7i...-no?authuser=0 GETTY IMAGES นอกจากนี้วาฬไรต์แอตแลนติกเหนือ ยังเป็นสัตว์ที่เข้าใกล้การสูญพันธุ์อีกขั้น ข้อมูลประชากรวาฬชนิดนี้จนถึงปลายปี 2018 เหลืออยู่ไม่ถึง 250 ตัว ลดลง 15% จากปี 2011 การตายที่เพิ่มขึ้นของวาฬชนิดนี้มาจากหลายสาเหตุตาข่ายที่ใช้ในการทำประมง การถูกชน จากเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ และอัตราการขยายพันธุ์ที่ลดลงเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา จากสถิติระหว่างปี 2012-2016 พบว่า วาฬไรต์แอตแลนติกเหนือ 30 ตัว ตายหรือบาดเจ็บสาหัสจากน้ำมือของมนุษย์ และอีก 26 ตัวตายเพราะตาข่ายการทำประมง https://www.bbc.com/thai/features-53379511 |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:54 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger