SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5354)

สายน้ำ 24-11-2020 02:53

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2563
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีอากาศเย็นลง และอุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย ในขณะที่มีลมตะวันออกยังคงพัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ขอให้เกษตรกร บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เตรียมการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย0

ในช่วงวันที่ 24 ? 25 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้น สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 26 ? 29 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนผ่านประเทศมาเลเซียในช่วงวันที่ 25-27 พ.ย. 63 ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากเกิดขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 27 ? 29 พ.ย. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง และควรหลีกเลี่ยงการเดืนเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองในช่วงวันที่ 25-29 พ.ย. 63



https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

สายน้ำ 24-11-2020 03:59

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


พบโครงกระดูกวาฬพันปี สมัยเมืองสมุทรอยู่ใต้บาดาล



พบโครงกระดูกวาฬพันปี - การค้นพบโครงกระดูกขนาดใหญ่ในพื้นที่บ่อดินของบริษัทไบรท์ บลู เวอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่ที่ ม.5 ต.อำแพง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2563 กลายเป็นเรื่องน่าฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 ศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก กลุ่มวาฬไทย สำรวจเบื้องต้นแล้วได้ข้อสรุป ว่าน่าจะเป็นกระดูก "วาฬโบราณ" แต่ยังไม่ทราบสายพันธุ์

ต่อมาวันที่ 9 พ.ย. 2563 สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 3 กรมทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกรมศิลปากรและหน่วยงานอื่นๆ ลงพื้นที่อีกครั้ง เพื่อเตรียมกู้ซากขึ้นมา และจะสำรวจหาสายพันธุ์ ขนาด อายุ ที่แท้จริง

นายทินกร ทาทอง ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 3 กล่าวว่า ตอนนี้เท่าที่สันนิษฐานจากชิ้นส่วนที่พบก็คาดว่าน่าจะเป็นวาฬที่มีขนาดใหญ่ เพราะส่วนที่เห็นนั้นเป็นกระดูกที่ค่อนมาทางหาง ส่วนตัวน่าจะอยู่ใต้ดินที่เป็นถนน

หลังจากนี้ต้องรีบขุดกู้ซากให้เร็วที่สุด เพราะถ้าปล่อยไว้จะเสียหายมากกว่านี้ เนื่องจากกระดูกหากอยู่ในดินจะถูกรักษาตามธรรมชาติ แต่ถ้าเมื่อใดถูกขุดขึ้นมา สภาพอากาศและปัจจัยต่างๆ จะทำให้ชำรุด ซึ่งเวลาที่จะใช้กู้ซากนั้นก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง อีกทั้งหากสังเกตคร่าวๆ วาฬตัวนี้น่าจะยาวประมาณ 15 เมตรขึ้นไป และเมื่อขุดแล้วก็ต้องเข้าเฝือกกระดูกเป็นส่วนๆ วันหนึ่งจึงน่าจะขุดและเข้าเฝือกโครงกระดูกได้วันละประมาณ 1 เมตรเท่านั้น ต้องค่อยๆ ทำ ป้องกันการเสียหาย และเมื่อ ขุดแล้ว ก็จะต้องนำไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ในห้องที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นจะเสียหาย

สำหรับการวิเคราะห์คร่าวๆ นั้น วาฬตัวนี้น่าจะมีอายุมากกว่า 1,000 ปีแน่นอน เพราะดูจากหลักฐานทางธรณีวิทยาควบคู่แล้ว พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นทะเลเมื่อหลายพันปีที่ผ่านมา จุดนี้อยู่ห่างจากทะเลเข้ามาประมาณ 15.3 กิโลเมตร และอยู่ลึกจาก ผิวดินลงไป 6 เมตร

การพบกระดูกวาฬในพื้นที่ตรงนี้และขนาดลำตัวใหญ่เท่านี้ เพิ่งจะพบเป็นครั้งแรกของไทย ที่ผ่านมาที่เคยพบก็เป็นวาฬในยุคปัจจุบันที่พบในพื้นที่ที่ไม่ห่างจากทะเลมากนัก ซึ่งการพบซากกระดูกในพื้นที่ต่างกัน ก็บ่งบอกถึงสภาพทางธรณีวิทยา ได้ต่างกันด้วยและตอนนี้สิ่งที่นักสำรวจต้องการพบมากที่สุดก็คือส่วนหัว เพราะจะบอกได้ว่า เป็นวาฬสายพันธุ์ไหน และอายุเก่าแก่มากเท่าใด

เพจเฟซบุ๊ก ThaiWhales วาฬไทย ให้รายละเอียดว่า การค้นพบโครงกระดูกวาฬก่อนหน้านี้ในประเทศไทย ชิ้นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดในไทยที่เคยพบคือโครงกระดูกวาฬฟิน (Fin whale) ที่หมู่บ้านวิจิตราธานี ถนนบางนา-ตราด ค้นพบขณะมีการก่อสร้างหมู่บ้าน อยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร และบางชิ้นกลายเป็นฟอสซิลแล้ว ส่วนกระดูกที่พบล่าสุดนี้ดูจะใหญ่กว่ามาก

โครงกระดูกวาฬที่พบมีส่วนกระดูก สันหลัง (Vertebrate) 5 ชิ้นที่มีขนาดใหญ่ ดูจะใหญ่กว่าซากวาฬบรูด้าที่เคยพบมา ที่ตั้งของกระดูกอยู่บริเวณหมู่ 8 ตำบลโคกขาม จ.สมุทรสาคร ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 2 กิโลเมตร

จากการสังเกตพื้นที่ใกล้กับแม่น้ำท่าจีน มีซากเปลือกหอยเล็กๆ ทับถม อันเป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาว่า พื้นที่แถบนี้เคยเป็นท้องทะเลลึกมาก่อน ไม่ว่า กรุงเทพฯ อยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม

ในอดีตโลกอยู่ในช่วงอบอุ่นมากช่วงหนึ่ง เรียกว่าช่วง Medieval Warm Period ตรงกับสมัยทวารวดี หรือก่อนการก่อตั้งกรุงสุโขทัย น้ำแข็งจำนวนมากละลายออกจากขั้วโลกทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูง ทะเลอ่าวไทยในยุคนั้น มีขอบเขตกว้างขวางกว่าปัจจุบันมาก ส่วนพื้นที่หลายจังหวัดในภาคกลางตอนล่างของไทยจึงจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล

ต่อมาโลกเริ่มเย็นลงจนเข้าสู่ยุคน้ำแข็งย่อย น้ำทะเลเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งตามขั้วโลก ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเริ่มลดลง ประกอบกับการทับถมของตะกอนแม่น้ำหลายร้อยปี ทำให้จังหวัดต่างๆ ในภาคกลางตอนล่างปัจจุบัน เริ่มโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล ตรงกับยุคกรุงสุโขทัย

การค้นพบกระดูกวาฬครั้งนี้จึงมีคุณค่ามากสำหรับการศึกษาประวัติศาสตร์และธรรมชาติวิทยา


https://www.khaosod.co.th/newspaper/...s/news_5300503


สายน้ำ 24-11-2020 04:04

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


ข่าวดี! 'เต่ามะเฟือง'วางไข่รังที่5 ในรอบ20ปี ที่หาดบ้านบางสัก

ข่าวดี! เต่ามะเฟืองวางไข่รังที่5 ในรอบ20ปี ที่หาดบ้านบางสัก ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิเฝ้าดูแล

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

23 พ.ย. 63 นายสมศักดิ์ สุมาลี สมาชิก อบต.บางม่วง ได้รับแจ้งจาก นายเริญ หาญทะเล อยู่บ้านเลขที่ 45 ม.7 ต.บางม่วง ว่าพบรอยเต่าขนาดใหญ่ขึ้นวางไข่ที่บริเวณหน้าชายหาดบ้านบางสัก หมู่ที่ 8 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมแจ้งทาง ว่าที่ร้อยเอกพงศ์ศักดิ์ เวทยาวงศ์ นายอำเภอตะกั่วป่า นายจักรพันธ์ ม่วงยิ้ม ผอ.ส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายสุริยะ สอนเสริม ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา)นายหิรัญ กังแฮ หัวหน้างานสัตว์ทะเลหายาก นายธงชัย หันช่อง นายก อบต.บางม่วง นายประชาชม ทันงาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลบางม่วง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 โดยส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา) ได้เดินทางไปตรวจสอบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ฯได้ตรวจวัดขนาดของพายซ้ายไปพายขวา 160 ซม. ขนาดอก 61 ซม.โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดหาตำแหน่งของไข่เต่าหลังจากที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่เป็นหลังที่ 5 ของฤดูกาลวางไข่ ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ได้พบตำแหน่งของไข่เต่าแล้ว จากการตรวจสอบ บริเวณตำแหน่งของไข่เต่าอยู่พ้นระดับน้ำทะเลท่วมถึงแต่ติดกับรากไม้ จึงมีการขุดไข่เต่าขึ้นจากหลุมเดิม จำนวน 58 ฟอง เป็นไข่สมบูรณ์ จำนวน 36 ฟอง ไข่ลมไม่สมบูรณ์จำนวน 22 ฟอง เคลื่อนย้ายไข่เต่าออกห่างจากที่มีรากไม้ โดยทางเจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องติดตั้งวัดอุณหภูมิบริเวณไข่เต่าและทำการฝังกลบเหมือนเดิม เพื่อให้ให้ไข่เต่าฝักตัวตามธรรมชาติ หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้ทำคอกและแนวกันคลื่นต่อไป พร้อมกับจัดเวรยามลาดตระเวนบริเวณดังกล่าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง

นายเริญ หาญทะเล กล่าวว่า เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ตนเองได้เดินทางเพื่อมาหาปลาและรุนกุ้งบริเวณชายหาดบางสัก หมู่ที่ 8 จึงได้เห็นร่องรอยบนพื้นที่มีลักษณะเต่าขึ้นมาวางไข่จึงได้รีบแจ้งให้ทางนายสมศักดิ์ สุมาลี สมาชิก อบต.บางม่วง เพื่อให้แจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมาตรวจสอบรอยดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็พบว่าเป็นร่องรอยของเต่ามะเฟืองจริง จึงได้ว่างแผนในการขุดเพื่อหาไข่เต่า ตนเองทราบว่าเมื่อก่อนหน้านี้ประมาณ 20 ? 30 ปี บริเวณชายหาดบางสัก เคยพบเต่าขึ้นมาว่างไข่แต่ก็ได้เงียบงายไปนานจนได้มาพบใหม่ในตอนนี้ ตนเองและชาวบ้านเมื่อทราบข่าวก็รู้สึกดีใจที่เต่ามะเฟืองขึ้นมาว่างไข่ที่ชายหาดบางสัก ซึ่งถือว่าธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก


https://www.naewna.com/likesara/533816


สายน้ำ 24-11-2020 04:04

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


ข่าวดี! 'เต่ามะเฟือง'วางไข่รังที่5 ในรอบ20ปี ที่หาดบ้านบางสัก

ข่าวดี! เต่ามะเฟืองวางไข่รังที่5 ในรอบ20ปี ที่หาดบ้านบางสัก ติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิเฝ้าดูแล

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

23 พ.ย. 63 นายสมศักดิ์ สุมาลี สมาชิก อบต.บางม่วง ได้รับแจ้งจาก นายเริญ หาญทะเล อยู่บ้านเลขที่ 45 ม.7 ต.บางม่วง ว่าพบรอยเต่าขนาดใหญ่ขึ้นวางไข่ที่บริเวณหน้าชายหาดบ้านบางสัก หมู่ที่ 8 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมแจ้งทาง ว่าที่ร้อยเอกพงศ์ศักดิ์ เวทยาวงศ์ นายอำเภอตะกั่วป่า นายจักรพันธ์ ม่วงยิ้ม ผอ.ส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายสุริยะ สอนเสริม ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา)นายหิรัญ กังแฮ หัวหน้างานสัตว์ทะเลหายาก นายธงชัย หันช่อง นายก อบต.บางม่วง นายประชาชม ทันงาน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลบางม่วง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 โดยส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา) ได้เดินทางไปตรวจสอบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ฯได้ตรวจวัดขนาดของพายซ้ายไปพายขวา 160 ซม. ขนาดอก 61 ซม.โดยทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการขุดหาตำแหน่งของไข่เต่าหลังจากที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่เป็นหลังที่ 5 ของฤดูกาลวางไข่ ในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา

ล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ได้พบตำแหน่งของไข่เต่าแล้ว จากการตรวจสอบ บริเวณตำแหน่งของไข่เต่าอยู่พ้นระดับน้ำทะเลท่วมถึงแต่ติดกับรากไม้ จึงมีการขุดไข่เต่าขึ้นจากหลุมเดิม จำนวน 58 ฟอง เป็นไข่สมบูรณ์ จำนวน 36 ฟอง ไข่ลมไม่สมบูรณ์จำนวน 22 ฟอง เคลื่อนย้ายไข่เต่าออกห่างจากที่มีรากไม้ โดยทางเจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องติดตั้งวัดอุณหภูมิบริเวณไข่เต่าและทำการฝังกลบเหมือนเดิม เพื่อให้ให้ไข่เต่าฝักตัวตามธรรมชาติ หลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้ทำคอกและแนวกันคลื่นต่อไป พร้อมกับจัดเวรยามลาดตระเวนบริเวณดังกล่าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง

นายเริญ หาญทะเล กล่าวว่า เมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ตนเองได้เดินทางเพื่อมาหาปลาและรุนกุ้งบริเวณชายหาดบางสัก หมู่ที่ 8 จึงได้เห็นร่องรอยบนพื้นที่มีลักษณะเต่าขึ้นมาวางไข่จึงได้รีบแจ้งให้ทางนายสมศักดิ์ สุมาลี สมาชิก อบต.บางม่วง เพื่อให้แจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมาตรวจสอบรอยดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงก็พบว่าเป็นร่องรอยของเต่ามะเฟืองจริง จึงได้ว่างแผนในการขุดเพื่อหาไข่เต่า ตนเองทราบว่าเมื่อก่อนหน้านี้ประมาณ 20 ? 30 ปี บริเวณชายหาดบางสัก เคยพบเต่าขึ้นมาว่างไข่แต่ก็ได้เงียบงายไปนานจนได้มาพบใหม่ในตอนนี้ ตนเองและชาวบ้านเมื่อทราบข่าวก็รู้สึกดีใจที่เต่ามะเฟืองขึ้นมาว่างไข่ที่ชายหาดบางสัก ซึ่งถือว่าธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก


https://www.naewna.com/likesara/533816


สายน้ำ 24-11-2020 04:06

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


อันซีนถ้ำใต้ทะเล เกาะเชือก

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

ตรัง 23 พ.ย.-อัศจรรย์อันซีนไทยแลนด์ พบถ้ำใต้ทะเลที่เกาะเชือก จ.ตรัง เต็มไปด้วยสัตว์ทะเลสวยงามหลากชนิด

เปิดภาพถ้ำใต้ทะเลที่ถูกค้นพบด้วยนักท่องเที่ยวและไกด์นำเที่ยว ที่พากันไปดำน้ำชมปะการังบริเวณเกาะเชือก อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เมื่อวันหยุดยาว 4 วันที่ผ่านมา ปรากฏว่าไกด์นำเที่ยว และนักท่องเที่ยวว่ายไปว่ายมา ได้ค้นพบถ้ำใต้ทะเลที่สวยงามและบันทึกภาพไว้ได้

ภายในถ้ำดังกล่าวเต็มไปด้วยปลาสวยงามหลากชนิด ที่จะเข้ามาทักทายนักท่องเที่ยวที่อย่างใกล้ชิด สำหรับทริปนี้ บริษัทนำเที่ยวนำนักท่องเที่ยวไป 4 เกาะสำคัญของทะเลตรัง ทั้งถ้ำมรกต เกาะกระดาน เกาะม้า และเกาะเชือก และเมื่อเดินทางไปถึงเกาะเชือก จุดสุดท้ายของทริป จึงลงไปดำน้ำชมปะการังน้ำตื้น และปลาสวยงาม จนพบถ้ำดังกล่าวโดยบังเอิญ

ทั้งนี้ทางไกด์นำเที่ยวได้แจ้งว่า หากมีกลุ่มใดจะเข้าไปชมความสวยงามของถ้ำใต้ทะเลที่เกาะเชือก ต้องแจ้งไกด์ก่อนการเข้าถ้ำทุกครั้ง ไม่อนุญาตให้เข้าโดยลำพัง เพื่อความปลอดภัย.


https://tna.mcot.net/region-588800


สายน้ำ 24-11-2020 04:09

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


มลภาวะ "ไมโครพลาสติก" แพร่ไปถึงส่วนยอดของเขาเอเวอเรสต์แล้ว

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

ปัญหาการปนเปื้อนของอนุภาคพลาสติกขนาดจิ๋วที่เล็กกว่า 5 มิลลิเมตร หรือ "ไมโครพลาสติก" ในสิ่งแวดล้อม ได้ลุกลามไปทั่วทุกมุมโลก โดยล่าสุดครอบคลุมถึงจุดลึกที่สุดของมหาสมุทร และจุดสูงสุดบนหลังคาโลกเรียบร้อยแล้ว

ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพลีมัทของสหราชอาณาจักร ตีพิมพ์รายงานวิจัยในวารสาร One Earth โดยระบุว่าตรวจพบมลภาวะของไมโครพลาสติกบนเขาเอเวอเรสต์เป็นครั้งแรก ซึ่งอนุภาคพลาสติกเหล่านี้ถูกพบอยู่ในหิมะที่ระดับความสูงมากที่สุด 8,440 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ห่างจากยอดเขาเพียง 408 เมตรเท่านั้น

ก่อนหน้านี้มีการค้นพบชิ้นส่วนพลาสติกขนาดจิ๋ว ที่ด้านล่างสุดของร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (Mariana Trench) มาแล้ว โดยพบตรงจุดที่ลึกถึง 11 กิโลเมตรจากผิวน้ำ คาดว่าเป็นเศษพลาสติกที่ย่อยสลายและแยกตัวออกจากแพของขยะชิ้นใหญ่ ก่อนจะจมลงสู่ก้นทะเล

ดร. อิโมเจน แนปเปอร์ ผู้นำทีมวิจัยบอกว่า ได้เก็บตัวอย่างน้ำ 900 มิลลิลิตรจากลำธารสายต่าง ๆ บนเขาเอเวอเรสต์มาทั้งหมด 8 ตัวอย่าง และได้เก็บหิมะปริมาณ 300 มิลลิลิตรจากจุดต่าง ๆ บนเขามาทั้งสิ้น 11 ตัวอย่างด้วยกัน ซึ่งผลวิเคราะห์พบว่ามีไมโครพลาสติกปนเปื้อนในตัวอย่างหิมะทั้งหมดที่เก็บมา และยังพบการปนเปื้อนในลำธาร 3 สาย

ตำแหน่งที่พบมลภาวะจากไมโครพลาสติกปนเปื้อนอยู่หนาแน่นที่สุด ได้แก่บริเวณเอเวอเรสต์เบสแคมป์ (EBC) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่บรรดานักปีนเขาใช้เตรียมตัวก่อนขึ้นพิชิตยอดเอเวอเรสต์ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีกิจกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นมากที่สุดไปด้วย

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=boundsภาพเมื่อปี 1993 ก่อนการรณรงค์เก็บกวาดบนเขาเอเวอเรสต์ครั้งใหญ่ เผยให้เห็นขยะพลาสติกถูกทิ้งไว้จำนวนมาก

ทีมผู้วิจัยพบไมโครพลาสติกที่ EBC ในปริมาณโดยเฉลี่ย 79 อนุภาคต่อหิมะ 1 ลิตร ส่วนไมโครพลาสติกที่พบใกล้กับจุดสูงสุดของเอเวอเรสต์นั้น อยู่ในปริมาณโดยเฉลี่ย 12 อนุภาคต่อหิมะ 1 ลิตร

ชิ้นส่วนไมโครพลาสติกที่พบบนเขาเอเวอเรสต์ส่วนใหญ่ มาจากเส้นใยสังเคราะห์จำพวกโพลีเอสเทอร์และอะครีลิก ซึ่งใช้ทำเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นสำหรับการปีนเขา

นอกจากนี้ การเดินไปมารอบ ๆ เพียง 20 นาที การซักผ้า หรือเปิดขวดพลาสติกเพียงชั่วขณะ ก็สามารถปลดปล่อยอนุภาคไมโครพลาสติกให้ออกมาปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้แล้ว

แม้นักวิทยาศาสตร์จะยังไม่ทราบชัดว่า ไมโครพลาสติกเป็นอันตรายต่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศหรือไม่ แต่ก็เป็นการดีที่เราจะระมัดระวังป้องกันไว้ก่อน โดยหยุดยั้งมลภาวะของไมโครพลาสติกไม่ให้แพร่กระจายออกไปมากกว่านี้

"ปัญหาของเราในขณะนี้เหมือนกับน้ำที่ไหลล้นออกมาจากในอ่าง ทำให้ต้องคอยเช็ดพื้นที่มีน้ำเจิ่งนองอยู่ร่ำไป อันที่จริงเราควรจะปิดก๊อกน้ำเสียในทันที ซึ่งก็คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยไม่ปล่อยให้ไมโครพลาสติกออกไปปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมเสียแต่แรกนั่นเอง" ดร. แนปเปอร์กล่าว


https://www.bbc.com/thai/features-55034731



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:43

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger