SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5392)

สายน้ำ 03-01-2021 03:47

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม 2564
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนที่แผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ดังกล่าวมีอุณภูมิสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศหนาวเย็นกับมีลมแรง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นนี้ไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 4-8 มกราคม 2563 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศเย็น กับมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 2 - 3 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

ส่วนในช่วงวันที่ 4 - 8 ม.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวโดยทั่วไป สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยยังคงมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 2 - 3 ม.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย ส่วนประชาชนบริเวณภาคใต้ ควรระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากได้ และระมัดระวังคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งตลอดช่วง



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักบริเวณภาคใต้และคลื่นลมแรงบริเวณอ่าวไทย (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 4 - 8 มกราคม 2564)" ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 03 มกราคม 2564

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมประเทศไทยและอ่าวไทยมีกำลังแรง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าปกคลุมประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

ฝนตกหนักถึงหนักมาก : บริเวณจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

ฝนตกหนัก : บริเวณจังหวัดพัทลุง และสงขลา

ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าว



https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

สายน้ำ 03-01-2021 04:21

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


โลกร้อน: 5 เหตุผลที่ปี 2021 อาจเป็นจุดเปลี่ยนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ................ โดย จัสติน โรว์ลัตต์ หัวหน้าผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อม

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds
โลกเราจะมีอุณหภูมิเกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในเวลา 12 ปี หรือน้อยกว่านั้น และจะร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียสในช่วงสิ้นศตวรรษนี้ ... ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ถ้าต้องการเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลายประเทศคงต้องลงมือทำอะไรสักอย่างภายในเวลาอันจำกัด นี่คือ 5 เหตุผลที่ว่า ทำไมปี 2021 อาจเป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งในการต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน

ไร้ข้อกังขาว่าโรคโควิด-19 เป็นปัญหาใหญ่แห่งปี 2020

แต่ผมหวังว่าภายในสิ้นปี 2021 วัคซีนจะใช้งานได้ผล แล้วผู้คนก็จะกลับมาพูดกันเรื่องสภาพภูมิอากาศโลกมากกว่าไวรัสโคโรนา

ปี 2021 จะเป็นปีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ บอกผมว่า เขาคิดว่าปีนี้อาจเป็นช่วงเวลา "ชี้เป็นชี้ตาย" ในการต่อสู้กับปัญหานี้

ดังนั้น ในช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองและคาดหวังว่าจะเกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นในปีใหม่ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมเชื่อว่าปี 2021 อาจเป็นปีที่ความพยายามแก้ปัญหาเรื่องสภาพภูมิอากาศโลกประสบผลสำเร็จ


1.การประชุมใหญ่ว่าด้วยเรื่องสภาพภูมิอากาศ

ในเดือน พ.ย. 2021 ผู้นำโลกจะมารวมตัวกันในเมืองกลาสโกว์ของสกอตแลนด์ เพื่อร่วมประชุมในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หลังจากที่เคยร่วมประชุมกันในกรุงปารีส ฝรั่งเศส เมื่อปี 2015

การประชุมในกรุงปารีสมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ทุกชาติในโลกตกลงหารือกันว่าทุกประเทศจำเป็นต้องช่วยกันจัดการกับปัญหานี้

ปัญหาก็คือ คำมั่นสัญญาที่ประเทศต่าง ๆ ให้ไว้ว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมครั้งนั้นมาก

ในการประชุมครั้งดังกล่าว ประชาคมโลกเห็นชอบร่วมกันว่าต้องหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยการพยายามควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส จากช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมให้ได้จนกว่าจะสิ้นศตวรรษนี้ เป้าหมายคือ 1.5 องศาเซลเซียส หากเป็นไปได้

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds
ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

แต่เรายังห่างไกลจากแผนนั้นอยู่มาก เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิโลกจะทะลุเพดาน 1.5 องศาเซลเซียสภายในเวลา 12 ปี หรือเร็วกว่านั้น และจะแตะ 3 องศาเซลเซียส ภายในศตวรรษนี้

ข้อตกลงของการประชุมที่กรุงปารีส ประเทศต่าง ๆ สัญญาว่าจะกลับมาหารือกันทุก ๆ 5 ปี และเพิ่มความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

เดิมการประชุมมีกำหนดจัดขึ้นในเมืองกลาสโกว์ เดือน พ.ย. 2020 แต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ทำให้ต้องเลื่อนจัดการประชุมมาเป็นปีนี้แทน

ดังนั้น การประชุมในเมืองกลาสโกว์ในปีนี้ จะเป็นเวทีที่มีการหารือกันถึงความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยิ่งกว่าเดิม


2. ประเทศต่าง ๆ ได้ลงนามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว

เกิดความคืบหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแถลงการณ์ที่สำคัญที่สุดเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกเมื่อปีที่แล้วเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด

ในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประกาศว่า จีนตั้งเป้าที่จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในปี 2060

บรรดานักสิ่งแวดล้อมต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เนื่องจากการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มักถูกมองว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องแลกมาด้วยราคาแพง แต่ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในโลกราว 28% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดอย่างจีน ได้ประกาศให้คำมั่นโดยไม่มีเงื่อนไขว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ไม่ว่าประเทศอื่นจะทำตามหรือไม่

นั่นเป็นท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากการเจรจากันในอดีต ที่ทุกคนต่างกลัวว่าต้นทุนของตนจะสูงขึ้นหากต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยไม่ต้องลงทุนทำอะไรเลย

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds
จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 28% ของทั้งโลก ... ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES

ไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น

สหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่แห่งแรกในโลกที่ให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนเป็นศูนย์ เมื่อเดือน มิ.ย. 2019 จากนั้นสหภาพยุโรปจึงประกาศตามมาในเดือน มี.ค. 2020

นับจากนั้น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ร่วมให้คำมั่นด้วย ซึ่งสหประชาชาติประเมินว่าปัจจุบันมีมากกว่า 110 ประเทศที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ โดยประเทศเหล่านี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกันมากกว่า 65% ของทั้งโลก และมีขนาดเศรษฐกิจสูงกว่า 70% ของทั้งโลก

นายโจ ไบเดน ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ได้ตัดสินใจกลับเข้ามาร่วมในเส้นทางการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกครั้ง

ขณะนี้ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการของตัวเองว่า จะบรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ได้อย่างไร นั่นคือส่วนสำคัญของวาระการประชุมที่จะเกิดขึ้นในเมืองกลาสโกว์ แต่การที่ประเทศต่าง ๆ ออกมาบอกว่า ต้องการจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างยิ่งแล้ว


3.ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกที่สุด

มีเหตุผลที่ดีประการหนึ่งที่ทำให้หลายประเทศกำลังวางแผนที่จะทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ นั่นก็คือ ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนที่ลดลงอย่างมากกำลังจะเปลี่ยนแปลงสมการของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปอย่างสิ้นเชิง

ในเดือน ต.ค. 2020 ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency) สรุปว่า ปัจจุบันโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ดีที่สุด "เป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่มีถูกที่สุดในประวัติศาสตร์"

พลังงานหมุนเวียนมักจะถูกกว่าพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่แล้วในประเทศส่วนใหญ่ เมื่อต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่หลายแห่ง

ถ้าประเทศต่าง ๆ ในโลกหันมาเพิ่มการลงทุนในพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และแบตเตอรีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ราคาอาจจะลดต่ำลงไปอีกจนถึงจุดที่ถูกมากถึงขั้นที่ทำให้มีการปิดโรงไฟฟ้าพลังงานแก๊สหรือถ่านหิน โดยนำพลังงานหมุนเวียนเหล่านั้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์แทนได้

นั่นเป็นเพราะว่า ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนเป็นไปตามการผลิต ยิ่งผลิตมากก็ยิ่งมีราคาถูกลง เป็นการผลักดันให้เกิดการผลิตมากขึ้น ราคาก็จะยิ่งถูกลงไปอีก แล้วเมื่อราคายิ่งถูกลง ก็ยิ่งมีการผลิตพลังงานหมุนเวียนเหล่านี้เพิ่มขึ้น

เรื่องนี้จะส่งผลให้นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมไม่ต้องบีบบังคับนักลงทุนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องอีกต่อไป เพราะนักลงทุนก็ทำตามผลตอบแทนที่ได้อยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลต่าง ๆ รู้ว่า การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของตัวเอง จะเป็นการเร่งให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานของทั่วโลก โดยการทำให้พลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกลงและสามารถแข่งขันได้ในทุกที่

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds
ที่มาของภาพ,EPA


4.โควิดเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

การระบาดของโควิด-19 สั่นคลอนความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยของเรา และย้ำเตือนเราว่าโลกของเราอาจจะเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิดที่เราไม่สามารถควบคุมได้

การระบาดของโควิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1930

รัฐบาลต่าง ๆ ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเองหลายอย่าง

ข่าวดีก็คือ การลงทุนเหล่านี้มีต้นทุนที่ต่ำลงอย่างมาก อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกเกินศูนย์เปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อย หรืออาจจะติดลบด้วยซ้ำ

ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมา

สหภาพยุโรปและรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน รับปากแล้วว่าจะลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเป็นตัวกระตุ้นกระบวนการให้เกิดการลดการปล่อยคาร์บอนลงจนกลายเป็นศูนย์

ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป หวังว่า ประเทศอื่น ๆ จะเข้าร่วมกับพวกเขาด้วย เพื่อช่วยผลักดันให้ต้นทุนของพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกลดต่ำลงไปอีก แต่พวกเขากำลังเตือนเช่นกันว่า นอกจากมาตรการนี้แล้ว ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปมีแผนที่จะเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศที่ปล่อยคาร์บอนมากเกินไปด้วย

การทำเช่นนี้อาจช่วยกระตุ้นให้ประเทศที่ล่าช้าในการตัดลดการปล่อยคาร์บอนอย่าง บราซิล, รัสเซีย, ออสเตรเลีย และซาอุดีอาระเบีย ให้กลับมาเร่งมือให้ทันประเทศอื่น

ข่าวร้ายก็คือ สหประชาชาติระบุว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศกำลังใช้จ่ายในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลมากกว่าพลังงานคาร์บอนต่ำราว 50%


(มีต่อ)


สายน้ำ 03-01-2021 04:36

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


โลกร้อน: 5 เหตุผลที่ปี 2021 อาจเป็นจุดเปลี่ยนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ...... ต่อ

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds


5.ธุรกิจต่าง ๆ ก็ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเช่นกัน

การลดต่ำลงของต้นทุนพลังงานหมุนเวียน และการกดดันจากประชาชนที่เพิ่มมากขึ้นให้มีการจัดการเรื่องสภาพภูมิอากาศ กำลังทำให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนแปลงทัศนคติในเรื่องนี้

มีเหตุผลทางการเงินสนุนการทำเช่นนี้หลายประการเช่น ทำไมต้องลงทุนในบ่อขุดน้ำมันใหม่หรือโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินใหม่ที่จะกำลังจะตกยุคไปก่อนที่จะสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาจากการใช้งานได้นาน 20-30 ปี

ทำไมต้องให้เรื่องคาร์บอนส่งผลเสียต่อการลงทุนของพวกเขา เรื่องนี้กำลังส่งผลให้เห็นในตลาดแล้ว เฉพาะปีนี้เพียงปีนี้ ราคาหุ้นที่พุ่งทะยานขึ้นของเทสลา (Tesla) ทำให้บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกไปแล้ว

ขณะที่ราคาหุ้นของเอ็กซอน (Exxon) ซึ่งเคยเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก ลดต่ำลงอย่างมากจนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ในดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์

ในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีการผลักดันเพิ่มขึ้นให้ธุรกิจต่าง ๆ ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงด้านสภาพอากาศเมื่อต้องมีการตัดสินใจทางการเงินด้วย

เป้าหมายก็คือการสร้างข้อบังคับให้ภาคธรุกิจและนักลงทุนต้องแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่พวกเขาทำและการลงทุนต่าง ๆ กำลังดำเนินไปในทิศทางสู่การทำให้โลกปลอดคาร์บอน

ธนาคารกลาง 70 ประเทศ กำลังร่วมมือกันในการทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น และการนำข้อกำหนดเหล่านี้ไปใช้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ ในระบบ จะเป็นอีกประเด็นสำคัญในการประชุมที่กลาสโกว์ด้วย

แม้จะมีความหวัง แต่ก็ยังห่างไกลจากการทำให้ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นส่วนโอกาสที่จะทำได้ตามเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change -- IPCC) ระบุว่า เราจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และแม้ว่าจะมีหลายประเทศแสดงความต้องการที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมาก แต่มีเพียงไม่กี่ประเทศที่มีออกกลยุทธ์ต่าง ๆ มาใช้เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมายนั้น

ความท้าทายในการประชุมที่กลาสโกว์ก็คือ การทำให้ชาติต่าง ๆ ทั่วโลกเข้าร่วมนโยบายต่าง ๆ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปัจจุบัน สหประชาชาติระบุว่า ต้องการให้ถ่านหินหายไปอย่างสิ้นเชิง และยุติการอุดหนุนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล และอยากจะเห็นความร่วมมือกันของทั่วโลกในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงจนเหลือศูนย์ในปี 2050

นั่นยังคงเป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก แม้ว่าทั่วโลกจะรู้สึกมากขึ้นแล้วว่าจำเป็นต้องร่วมกันรับมือกับปัญหาโลกร้อนก็ตาม


https://www.bbc.com/thai/international-55507110



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:27

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger