SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2563 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5333)

สายน้ำ 04-11-2020 03:08

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2563
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นและอุณหภูมิลดลง โดยมีฝนบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย สำหรับร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักในระยะนี้

อนึ่ง พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลาง ในวันที่ 5 พ.ย. 2563 แล้วจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 4 ? 6 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้น และมีอากาศเย็น สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้มีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 7 ? 9 พ.ย. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงอีกระลอกจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนในระยะแรกหลังจากนั้นจะมีอุณภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส กับมีอากาศเย็นและมีลมแรง สำหรับร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

อนึ่ง พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางมีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง และจะอ่อนกำลังลงในวันที่ 6 พ.ย. 63 ทำให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเกิดขึ้น

สำหรับพายุโซนร้อน "อัสนี" (พายุระดับ 3) บริเวณตอนบนของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะอ่อนกำลังลงในช่วงวันที่ 5-6 พ.ย. 63


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวนไว้ด้วย และประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุโซนร้อน "โคนี" (พายุระดับ 3) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 5 ? 7 พ.ย. 2563)" ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 04 พฤศจิกายน 2563

เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (4 พฤศจิกายน 2563) พายุโซนร้อน "โคนี" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีศูนย์กลางที่ละติจูด 14.7 องศาเหนือ ลองจิจูด 113.7 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วประมาณ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ ส่งผลให้ด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางกับมีลมแรง



https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

สายน้ำ 04-11-2020 03:49

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ดู "เต่าทะเล" น่ารัก ที่ "เกาะมันใน" เกาะอนุรักษ์เต่าแห่งเดียวในไทย

"ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก" บนเกาะมันใน จ.ระยอง เป็นสถานที่อนุบาลลูกเต่าทะเลก่อนจะปล่อยลงสู่ทะเล ซึ่งมีทั้งส่วนของอาคารพิพิธภัณฑ์เต่าทะเลไว้ให้ความรู้เรื่องเต่า และมีบ่อเลี้ยงเต่าช่วงวัยต่างๆ ให้ได้ชม




https://mgronline.com/news-clips/3dJUEhYN2ag


*********************************************************************************************************************************************************


ตะลึง! ความมหัศจรรย์แหล่ง "กัลปังหา" ที่หัวเกาะกระดาน ความสวยงามแห่งท้องทะเลตรัง

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

ตรัง ? นักดำน้ำตะลึงในความมหัศจรรย์ของแหล่ง "กัลปังหา" ที่บริเวณ "หัวเกาะกระดาน" หนึ่งในสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทรอันโด่งดัง เนื่องจากมีปริมาณหนาแน่น และสวยงามแห่งหนึ่งของท้องทะเลตรัง

หลังจากสถานการณ์ฟ้าฝนใน จ.ตรัง เริ่มลดลง และเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเลตรัง โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนท้ายสุดของปี 2563 ทำให้นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังท้องทะเลตรังในยุค New Normal ซึ่งช่วงนี้ค่อนข้างจะมีสภาพธรรมชาติที่สวยสดงดงาม และเหมาะสำหรับการดำน้ำลงไปชมความมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเล โดยเฉพาะหนึ่งในแหล่ง "กัลปังหา" ที่นักท่องเที่ยวนิยมดำน้ำลงไปสัมผัส อย่างที่บริเวณ "หัวเกาะกระดาน" หรือ "เกาะแห่งความรัก" เนื่องจากเป็นหนึ่งในสถานที่จัดงานวิวาห์ใต้สมุทรอันโด่งดัง

"จารโบ" แห่ง Ezy Free Dive Thailand ครูสอนดำน้ำชื่อดังระบุว่า "กัลปังหา" ที่บริเวณหัวเกาะกระดาน อาทิ กัลปังหาพุ่มไม้ กัลปังหาพิณ กัลปังหาพัด ถือเป็นจุดที่มีปริมาณหนาแน่นมากแห่งหนึ่งของทะเลตรัง จนบรรดานักดำน้ำต้องตะลึงในความมหัศจรรย์ ถึงแม้ในเดือนหนึ่งๆ จะสามารถดำน้ำลงไปชมได้แค่ 6-8 วัน และในแต่ละวันจะดำน้ำลงไปชมได้แค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเป็นจุดที่มีกระแสน้ำแรง จึงต้องคำนึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมดำน้ำลงไปชมความสวยงามของธรรมชาติกัน


https://mgronline.com/south/detail/9630000113923


*********************************************************************************************************************************************************


ทช.เดินหน้าผุดถนนเลียบทะเลกว่า 1,500 กม. วางแนวผ่านจุดไฮไลต์ หนุนท่องเที่ยวไทย

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

ทช.เร่งพัฒนาถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (ไทยแลนด์ริเวียร่า) 1,500 กม. ถนนเลียบแม่น้ำโขง 750 กม. และถนนเลียบชายเขาด้านทิศใต้ของเขาใหญ่ "บูรพาคีรี" 175 กม. ขึงแนวผ่านแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิวไฮไลต์ ช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ

นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงการพัฒนาให้เป็นถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ (Scenic Route) ว่า ทช.มีนโยบายที่จะเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายสายทาง ถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) โดยมีการปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทให้มีความสะดวกสบายและความปลอดภัยในการเดินทางเข้าถึงและเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เป็นจุดชมทิวทัศน์หรือแหล่งเรียนรู้ในชุมชน ซึ่งในปัจจุบัน ทช.อยู่ระหว่างดำเนินการ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

1. ถนนเลียบชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Thailand Riviera) เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย จากจังหวัดสมุทรปราการถึงจังหวัดนราธิวาส แบ่งการดำเนินการเป็น 4 ระยะคือ

ระยะที่ 1 จากจังหวัดสมุทรสงครามถึงจังหวัดชุมพร ระยะทางประมาณ 659 กม. ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างไปแล้วมากกว่า 80% จำนวน 35 โครงการ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ และในปี 2565 ได้เสนอของบประมาณดำเนินการอีกจำนวน 2 โครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2566

ระยะที่ 2 จากจังหวัดชุมพรถึงจังหวัดสงขลา ระยะทางประมาณ 555 กม. เริ่มต้นก่อสร้างบางช่วงแล้วตั้งแต่ปี 2563 โดยมีแผนก่อสร้างขยายไหล่ทาง 25 โครงการ ปรับปรุงผิวจราจร 41 โครงการ คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2569

ระยะที่ 3 จากจังหวัดสมุทรปราการถึงจังหวัดสมุทรสงคราม ระยะทางประมาณ 144.59 กม. ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการสำรวจออกแบบและศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะเริ่มต้นก่อสร้างได้ในปี 2566 แนวเส้นทางประกอบด้วย แนวเส้นทางสายหลัก ความยาวรวม 88.64 กม., แนวเส้นทางที่แยกออกไปยังแหล่งท่องเที่ยว ความยาวรวม 48.75 กม. และแนวเชื่อมต่อกับถนนเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทยช่วงจังหวัดสมุทรสาครถึงจังหวัดชุมพร ความยาวรวม 7.20 กม.

ระยะที่ 4 จากจังหวัดสงขลาถึงจังหวัดนราธิวาส ระยะทางประมาณ 190 กม. คาดว่าจะสำรวจออกแบบในปี 2566

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจออกแบบถนนเพิ่มเติมแนวเลียบเทือกเขาตะนาวศรีในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางประมาณ 250 กม. แนวเส้นทางประกอบด้วย แนวเส้นทางสายหลัก ความยาวรวม 186 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเพชรบุรี และ 2 อำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, แนวเส้นทางที่แยกออกไปยังแหล่งท่องเที่ยว ความยาวรวม 71.30 กม. และแนวเส้นทางที่เชื่อมกับโครงข่ายทางหลวงสายหลัก ความยาวรวม 87.70 กม.


2. ถนนเลียบแม่น้ำโขง "นาคาวิถี" สนับสนุนเขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำโขง จากจังหวัดเลยถึงจังหวัดอุบลราชธานี ระยะทางรวมประมาณ 750 กม. โดยปัจจุบันได้ดำเนินการสำรวจออกแบบระยะที่ 1 แล้ว จากจังหวัดมุกดาหารถึงจังหวัดนครพนม ระยะทางประมาณ 42 กม. และจะดำเนินการสำรวจออกแบบส่วนที่เหลือในระยะถัดไป ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2565


3. ถนนเลียบชายเขาด้านทิศใต้ของเขาใหญ่ "บูรพาคีรี" มีระยะทางประมาณ 175 กม. ผ่านแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่งในจังหวัดนครนายก นครราชสีมา ปราจีนบุรี และสระแก้ว เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และอุทยานแห่งชาติปางสีดา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างสำรวจออกแบบ


https://mgronline.com/business/detail/9630000113883


สายน้ำ 04-11-2020 03:56

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


มิติใหม่ ?หาดจอมเทียน? เดินหน้าเสริมชายหาด แก้ปัญหากัดเซาะ-ส่งเสริมการท่องเที่ยว

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

กรมเจ้าท่าเปิดตัวโครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน แก้ปัญหาการกัดเซาะชายหาด พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยโครงการจะเริ่มงานในระยะที่ 1 ก่อน เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 3.5 กิโลเมตร

จากความสำเร็จของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา ที่ได้ปรับโฉมชายหาดพัทยา ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องที่ช่วยฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวชายหาดพัทยา ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จึงได้เดินหน้า โครงการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน เป็นแห่งที่ 2 เพื่อรองรับธุรกิจการท่องเที่ยวของจังหวัดชลบุรี

นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า จากรายงานการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยฝั่งตะวันออก โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี พ.ศ. 2552 พบว่าปัจจุบันชายหาดจอมเทียน (จ.ชลบุรี) ประสบปัญหาการกัดเซาะอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเช่นเดียวกับชายหาดพัทยา ส่งผลให้ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี จนเหลือพื้นที่ทรายชายหาดจอมเทียนไม่เพียงพอ ที่จะรองรับกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนบนชายหาดได้

ในบางช่วงของชายหาดเมื่อน้ำขึ้น ชายหาดจะจมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทั้งหมดไม่หลงเหลือชายหาดเลย ซึ่งอาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวให้มีแนวโน้มลดลงไปในอนาคต หากปล่อยทิ้งไว้ ภายในไม่ถึง 10 ปี ชายหาดจอมเทียนจะไม่มีทรายเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงได้มีนโยบายเร่งด่วน เพื่อทำการเสริมทรายเพื่อป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายหาดเช่นเดียวกับที่ชายหาดพัทยา โดยจะเริ่มงานในระยะที่ 1 ก่อน เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 3.5 กิโลเมตร

"จากความสำเร็จของโครงการเสริมทรายชายหาดพัทยา ระยะทาง 2.8 กิโลเมตร ทำให้ กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ได้จัดหางบประมาณเพื่อทำการเสริมทรายในพื้นที่ ชายหาดจอมเทียน เป็นโครงการที่ 2 เพื่อเป็นการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตบนคุณภาพ ให้มีการเจริญเติบโตของคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถสร้างมาตรการควบคุมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด เป็นไปตามมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป" นายวิทยา กล่าว

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

โครงการนี้ได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 586,047,000 บาท กรมเจ้าท่า ได้ว่าจ้างให้ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบทำการเสริมทรายชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี ระยะที่ 1 ในครั้งนี้ โดยเริ่มการทำงานตั้งแต่ 29 พฤษภาคม 2563 จนถึง 15 พฤศจิกายน 2565 เป็นระยะเวลา 900 วัน

โดยแหล่งทรายที่จะใช้เสริมชายหาดจอมเทียน นำมาจากบริเวณทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ซึ่งอยู่ห่างจากชายหาดจอมเทียนออกไปประมาณ 15 กิโลเมตร และเป็นแหล่งเดียวกับที่ใช้เสริมทรายชายหาดพัทยามาแล้ว โดยคาดว่าในครั้งนี้จะใช้ทรายรวมทั้งสิ้นราว 6.4 แสนลบ.ม.


สำหรับขอบเขตของงานแบ่งเป็น 8 ประเภทด้วยกัน คือ

1. งานเสริมทรายชายหาด ความยาว 3,575 เมตร
2. งานก่อสร้างแหล่งสำรองทรายชายหาด ความยาว 225 เมตร
3. งานติดตั้งระบบป้องกันชายหาดแห้งด้วยวิธีระบายน้ำลงสู่ชั้นนำใต้ดิน 2,105 เมตร
4. งานติดตั้งท่อระบายน้ำเชื่อมต่อท่อระบายน้ำเดิม ความยาว 51 เมตร
5. งานก่อสร้างบันไดคอนกรีต ขึ้น-ลง ชายหาด 67 จุด
6. งานติดตั้งป้ายประติมากรรมและป้ายมาตรฐานรวม 2 จุด

7. งานมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
8. งานประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชน

หลังจากการฟื้นฟูบูรณะชายหาดจอมเทียนเสร็จสิ้นแล้ว ชายหาดจะมีขนาดความกว้างเฉลี่ยประมาณ 50 เมตร มีความสวยงาม และใช้เป็นพื้นที่สันทนาการได้มากกว่าเดิม ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า การดำเนินโครงการดังกล่าวมีความคุ้มค่า เงิน 1 บาทที่ลงทุนไปในการเสริมชายหาดจอมเทียนในครั้งนี้ จะสร้างเม็ดเงินกลับคืนมาในระบบประมาณ 3.20 บาท

ทั้งนี้หากผู้สนใจต้องการข่าวสารโครงการ มีข้อสงสัย ปัญหา หรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการ สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์โครงการฯ บริเวณหน้าชายหาดจอมเทียน 14 โทรศัพท์ 062-490-9099 หรือติดต่อผ่านสายด่วนกรมเจ้าท่า 1199


https://mgronline.com/travel/detail/9630000113926


*********************************************************************************************************************************************************


ศรีลังกาช่วยชีวิต 'วาฬนำร่อง' เกยตื้นกว่า 100 ตัว มากสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

กองทัพเรือศรีลังกา และอาสาสมัครกู้ภัย เร่งช่วยเหลือฝูงวาฬนำร่องกว่า 120 ตัว ซึ่งว่ายมาเกยตื้นบริเวณชายหาดของเมืองปานาดูรา (Panadura) ตั้งแต่บ่ายวานนี้ (2 พ.ย.) นับเป็นเหตุวาฬเกยตื้นที่มีจำนวนวาฬฝูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

อินดิกา เดอ ซิลวา โฆษกกองทัพเรือ ระบุว่า เจ้าหน้าที่กองทัพเรือ, ยามฝั่ง และอาสาสมัครในท้องถิ่นช่วยกันผลักดันวาฬกลับลงทะเลไปได้แล้วประมาณ 120 ตัว เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา หลังจากพยายามช่วยชีวิตพวกมันตลอดทั้งคืน

"เราใช้เรือตรวจการณ์ขนาดเล็กค่อยๆ ลากฝูงวาฬออกไปยังที่น้ำลึกทีละตัวๆ แต่น่าเสียดายที่วาฬ 2 ตัวตายลง เนื่องจากได้รับบาดเจ็บรุนแรงระหว่างเข้ามาเกยตื้น" เดอ ซิลวา ระบุ

หน่วยงานท้องถิ่นเตรียมรับมือกับเหตุฝูงวาฬเกยตื้นคล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นบนเกาะแทสเมเนียเมื่อเดือน ก.ย. ซึ่งตอนนั้นมีฝูงวาฬนำร่องว่ายหลงทางมาเข้าฝั่งมากถึง 470 ตัว และรอดชีวิตเพียง 110 ตัวเท่านั้น

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลของศรีลังกา (MEPA) ยืนยันว่า ฝูงวาฬที่เกยตื้นบนชายหาดปานาดูรานั้นมีจำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศ

"การที่วาฬฝูงใหญ่ขนาดนี้มาเกยตื้นบนชายหาดของเราเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง" ธาร์ชานี ลาฮันดาปูรา ผู้อำนวยการ MEPA ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี พร้อมระบุว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้ฝูงวาฬหลงทิศทาง

"เราคิดว่ามันน่าจะคล้ายกับกรณีวาฬเกยตื้นที่แทสเมเนียเมื่อเดือน ก.ย."

วาฬนำร่องเป็นสัตว์สังคมที่มีความสัมพันธ์เหนียวแน่นกับฝูงของมัน ตัวที่โตเต็มวัยอาจมีความยาวถึง 6 เมตร และหนักประมาณ 1 ตัน

นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์วาฬเกยตื้นมานานหลายสิบปี แต่ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้

ที่มา: เอเอฟพี


https://mgronline.com/around/detail/9630000113942


สายน้ำ 04-11-2020 04:03

ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์


ศรีลังกาเร่งช่วยวาฬ120ตัวแห่เกยตื้น

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

อาสาสมัครและทหารเรือศรีลังกาช่วยวาฬนำร่องประมาณ 120 ตัวที่เกยตื้นเมื่อวันอังคาร เป็นการเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศเอเชียใต้แห่งนี้

วาฬนำร่องโตซึ่งสามารถเต็มที่ได้ถึง 6 เมตร และหนักราว 1 ตัน พากันมาเกยตื้นที่ชายหาดในเมืองพนาดูราเมื่อวันจันทร์ ชายหาดแห่งนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของศรีลังกา ห่างจากกรุงโคลัมโบทางใต้ราว 25 กิโลเมตร วาฬนำร่องตายไป 3 ตัว และโลมาตาย 1 ตัว

ปทุม ฮิรุชัน ชาวบ้านบริเวณที่วาฬขึ้นมาเกยตื้น เผยว่า ช่วงบ่ายวันจันทร์มีวาฬมาเกยตื้นไม่กี่ตัว แต่หลังจากนั้นมีวาฬมาเกยตื้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงโพล้เพล้มีวาฬมากกว่า 100 ตัว ชาวประมงบริเวณนั้นช่วยกันดันตัววาฬให้กลับสู่ทะเล แต่คลื่นลมค่อนข้างแรง พัดวาฬกลับมาชายฝั่งอีก หลังจากนั้นทหารเรือนำเรือมาช่วยวาฬที่เกยตื้นโดยทำงานกันทั้งคืน

อินดิกา เด ซิลวา โฆษกกองทัพเรือศรีลังกา เผยกับเอเอฟพีว่า ทหารเรือ, หน่วยยามชายฝั่งและอาสาสมัครหลายสิบคน ช่วยนำวาฬที่มาเกยตื้นกลับสู่น้ำลึก ด้วยความช่วยเหลือของเรือลาดตระเวนขนาดเล็กในช่วงรุ่งอรุณวันอังคาร

สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลของศรีลังกากล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์วาฬเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ.


https://www.thaipost.net/main/detail/82725


สายน้ำ 04-11-2020 04:06

ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ


ครม.สัญจรภูเก็ต ไฟเขียว อนุรักษ์-ฟื้นฟูชายฝั่งอันดามัน 12 โครงการ 2,298 ล้าน

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 3/2563 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนองและสตูล) ที่โรงแรมสแปลช บีช รีสอร์ท ไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตนรี แถลงว่า ที่ประชุมเห็นชอบโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วงเงิน 2,298 ล้านบาท ได้แก่

1.โครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยเฉลิมพระเกียรติ พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต 786 ล้านบาท

2. โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ป่าชายเลนระนองสู่มรดกโลกเพื่อการท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการจังหวัดระนอง 385 ล้านบาท

3. โครงการป้องกันและเฝ้าระวังภัยจากแมงกะพรุนพิษในพื้นที่ชายหาดท่องเที่ยว พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล 54 ล้านบาท

4.โครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังมลพิษและติดตามมลพิษทางทะเลเพื่อการท่องเที่ยวปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต พังงาและกระบี่ 106 ล้านบาท

5.โครงการติดตั้งทุ่นผูกเรื่อเพื่อการอนุรักษ์ปะการังในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล 66 ล้านบาท

6. โครงการติดตั้งทุ่นแพลอยน้ำเพื่อเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเลฝั่งอันดามัน พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง 54 ล้านบาท

7.โครงการจัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ พังงา และระนอง 44 ล้านบาท

8. โครงการเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พื้นที่ดำเนินการจังหวัดภูเก็ต กระบี่ และระนอง 59.450 ล้านบาท

9. โครงการฟื้นฟูแนวปะการังด้วยการปลูกเสริมในพื้นที่ท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต และพังงา230 ล้านบาท

10. โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง 200 ล้านบาท

11. โครงการฟื้นฟูชายหาดคึกคักแบบบูรณาการ พื้นที่ดำเนินการ จังหวัดพังงา งบประมาณ 199 ล้าบาท และ

12.โครงการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการการศึกษาออกแบบแนวกันคลื่นปากร่องน้ำเค็มเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า พื้นที่ดำเนินการจังหวัดพังงา 10 ล้านบาท


https://www.prachachat.net/politics/news-549467


สายน้ำ 04-11-2020 04:46

ขอบคุณข่าวจาก PPTV


อ่าวมาหยา เตรียมเปิดให้เที่ยวอีกครั้งต้นปี 2564

"อ่าวมาหยา" หมู่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ เตรียมเปิดให้เที่ยวอีกครั้ง ต้นปี 2564 หลังการสร้างท่าเทียบเรือลอยน้ำใกล้แล้วเสร็จ แต่ต้องผ่านคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสม การควบคุม นักท่องเที่ยว

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อ่าวมาหยา หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ เตรียมเปิดให้ท่องเที่ยวประมาณต้นปี 2564 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวหลังผ่านช่วงวิกฤตโควิด 19 โดยกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ประกาศปิด ตั้งแต่กลางปี 2561 ที่ผ่านมา เนื่องจาก ธรรมชาติ ระบบนิเวศน์ ทั้ง บนบกและใต้ทะเล ปะการังมีสภาพเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นผลมาจากการท่องเที่ยว ล่าสุดพบว่าขณะนี้ระบบนิเวศเริ่มมีการฟื้นตัวบ้างแล้ว ธรรมชาติบนบก บริเวณชายหาดมีการผักบุ้งทะเลงอกขึ้นบนชายหาด มีปูลม ปูไก่ กลับเข้ามาหากิน และพืชพันธุ์ไม้ประจำถิ่นบนฝั่ง เจริญเติบโตดี และการสร้างท่าเทียบเรือลอยน้ำ บริเวณอ่าวโล๊ะซามะ ด้านหลังอ่าวมาหยา ใกล้แล้วเสร็จ มีการย้ายปะการังบางส่วน ออกจากพื้นที่

แต่อย่างไรก็ตามต้องผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาความเหมาะสม ว่า เปิดให้มีการท่องเที่ยวได้หรือไม่ จะมีการควบคุมนักท่องเที่ยว ไม่เกินวันละ 350 คน และห้ามเรือเข้าออกบริเวณหน้าอ่าวมาหยา


https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/136028


สายน้ำ 04-11-2020 04:49

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


ปริศนาหายนะระบบนิเวศทางทะเลของรัสเซียที่คาบสมุทรคัมชัตคา

https://hosting.photobucket.com/imag...370&fit=bounds

ชายหาดบริเวณคาบสมุทรคัมชัตคา ทางภาคตะวันออกไกลของรัสเซียถูกเปรียบให้เป็นดั่งแดนสวรรค์ของนักเล่นกระดานโต้คลื่น เพราะมีธรรมชาติที่บริสุทธิ์และงดงาม ทว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ คนในพื้นที่เริ่มสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติในท้องทะเลแถบนี้

ช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีรายงานว่านักเล่นกระดานโต้คลื่นหลายคนเริ่มมีอาการป่วยประหลาดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เช่น ตาพร่า อาเจียน หายใจลำบาก และมีอาการระคายเคืองที่ผิวหนัง

นายอันตอน โมโรซอฟ นักเล่นกระดานโต้คลื่น เล่าให้บีบีซีฟังว่า "ผมประสบเหตุมากับตัวเอง ดวงตาผมแห้ง และรู้สึกว่ามีรสชาติสารเคมีแปลก ๆ อยู่ในลำคอตลอดเวลา"

แต่สิ่งที่สร้างความตกตะลึงให้คนในพื้นที่คือการพบซากสัตว์ทะเลจำนวนมากตายเกลื่อนชายหาด ส่งผลให้หลายฝ่าย ซึ่งรวมถึงองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมพยายามค้นหาสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

ในช่วงแรกมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับฐานทัพและหลุมฝังกลบขยะที่ถูกทิ้งร้างในพื้นที่ โดยนายวลาดิเมียร์ โซโลดอฟ ผู้ว่าการภูมิภาคคัมชัตคา ระบุว่า ในช่วงทศวรรษที่ 1970 มีการขุดหลุมฝังกลบย่าฆ่าแมลงและสารเคมีอื่น ๆ ไว้ที่นั่น อย่างไรก็ตาม ผลตรวจเบื้องต้นบ่งชี้ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจเกิดจาก "สาเหตุตามธรรมชาติ"เช่น สาหร่ายพิษอาจเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยของบรรดานักโต้คลื่น

ส่วนปรากฏการณ์ที่สัตว์ทะเลตายเป็นจำนวนมากนั้น คาดว่าน่าจะมีสาเหตุจาก "ปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ" (Red tide) ซึ่งเกิดจากการที่มีสาหร่ายปริมาณมหาศาลเติบโตในเขตน้ำตื้น แล้วดึงออกซิเจนส่วนใหญ่ไปใช้ ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นในทะเลขาดอากาศหายใจ แต่ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ทฤษฎีที่ว่านี้ว่าคือสาเหตุที่แท้จริงของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นหรือไม่

ดังนั้นจึงทำให้ต้องเร่งค้นหาสาเหตุของภัยพิบัติทางระบบนิเวศครั้งนี้ แต่กว่าจะพบคำตอบ น่านน้ำบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้จึงยังไม่ปลอดภัยสำหรับสัตว์หรือมนุษย์ที่อยู่อาศัยในแถบนี้


https://www.bbc.com/thai/features-54726843



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:01

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger