SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5158)

สายน้ำ 05-06-2020 03:52

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนกลาง ส่งผลให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 6-10 มิ.ย. 63 โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น กับมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้นโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 6 - 10 มิ.ย. 63

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6 - 10 มิ.ย. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณอ่าวเบงกอลตอนบนมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้ สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง



https://i1198.photobucket.com/albums...psxenblnq1.jpg


https://i1198.photobucket.com/albums...ps2av9d8jm.jpg

สายน้ำ 05-06-2020 04:51

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ทุนมาเฟีย vs ประมงถิ่น "ศึกชิงลูกหอยแครง" อ่าวบ้านดอน สุราษฎร์ฯ




https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000058208


*********************************************************************************************************************************************************


เต่าตนุกลับมาวางไข่ที่ "หาดม่วงงาม" ในรอบ 50 ปีก่อนการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งได้ไม่นาน

https://i1198.photobucket.com/albums...pszb7m3eij.jpg

ศูนย์ข่าวภาคใต้ ? พบเต่าตนุ สัตว์ป่าคุ้มครอง กลับมาวางไข่ที่หาดม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา ในรอบ 50 ปี เผยคลิปลูกเต่า 68 ตัวคืนกลับทะเลไทย ติดแฮชแท็ก #saveม่วงงาม #saveหาดม่วงงาม คัดค้านการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Tonchirat Songsurin ได้โพสต์คลิประบุว่า เต่าตนุ ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ได้กลับมาวางไข่ที่หาดม่วงงาม ต.ม่วงงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา ในรอบ 50 ปี และเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ลูกเต่าตนุจำนวน 68 ตัว กำลังถูกปล่อยลงทะเล พร้อมใส่แฮชแท็ก #saveม่วงงาม #saveหาดม่วงงาม ซึ่งหมายถึงการคัดค้านการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมชายหาดม่วงงาม อ.สิงหนคร ระยะทาง 710 เมตร เพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและปรับปรุงภูมิทัศน์ริมชายหาดม่วงงาม

ทั้งนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Sayan Thongsri ได้โพสต์เมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ว่า เช้าวันนี้ 10 เมษายน 2563 บันทึกไว้ว่า ชายหาดจังหวัดสงขลาได้พบการวางไข่ของเต่าตนุ ณ บริเวณชายหาด หน้าสำนักสงฆ์บ้านในไร่ หมู่ที่ 2 ตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) ม่วงงาม (กะยะห์) ได้รับการแจ้งจากผู้ใหญ่บ้าน นายวรพล ใสสะอาด ได้พบร่องรอยของเต่าขึ้นมาวางไข่ จึงประสานไปยังศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง เพื่อมาตรวจสอบและให้คำแนะนำในการเฝ้าระวังการฟักไข่ในระยะฟักพบไข่ประมาณ 50-60 ฟอง

https://i1198.photobucket.com/albums...psictlmuly.jpg

ด้านเพจ Beach for life ได้แชร์โพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Sayan Thongsri ดังกล่าว โดยระบุว่า "เต่าตนุวางไข่บนชายหาดม่วงงาม ในขณะที่กรมโยธาธิการฯ กำลังเตรียมสร้างกำเเพงกันคลื่นริมชายหาดม่วงงาม"


https://mgronline.com/south/detail/9630000058113


สายน้ำ 05-06-2020 04:55

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ดินถล่มสูบบ้านหลายหลัง หายลงทะเล นอร์เวย์ไม่เคยเจอใหญ่ขนาดนี้

https://i1198.photobucket.com/albums...psijv2wzb1.jpg

ดินถล่มสูบบ้านหลายหลัง - ซีเอ็นเอ็น รายงานเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. เกิดดินถล่มไหลลงทะเลสูบเอาบ้านบริเวณนั้นหายวับไปกับตาที่เทศบาลเมืองอัลตา ทางเหนือของประเทศนอร์เวย์

เหตุการณ์ดังกล่าวมีภาพวิดีโอบันทึกไว้ พร้อมกับนายแอนเดอร์ส ยอร์ดัล วิศวกรสำนักงานน้ำและพลังงานนอร์เวย์ที่เล่าเหตุการณ์ที่เห็นกับตาตนเองว่า ดินสไลด์กินพื้นที่ใหญ่มาก ช่วงเวลา 4 โมงเย็นของวันพุธที่ 4 มิ.ย.

นายยอร์ดัลได้รับแจ้งจากตำรวจและหน่วยกู้ภัยให้รุดไปดูเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อจะได้แนะนำการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี

ต่อมา เจ้าหน้าที่สำรวจความเสียหาย พบว่าดินสไลด์เป็นระยะกว้าง 650 เมตร ลึก 150 เมตร สูบทำลายบ้านเรือน 8 หลัง เคบินสำหรับเป็นที่พักช่วงสุดสัปดาห์อีก 4 ตู้ แต่โชคดีว่า ไม่มีใครเป็นอะไร เพราะอพยพออกไปทัน

นายยอร์ดัล กล่าวว่า เหตุการณ์ดินโคลนถล่มที่กินพื้นที่กว้างขนาดนี้แทบไม่เกิดขึ้นในนอร์เวย์ ปีหรือสองปีจะมีสักครั้ง และสำหรับเทศบาลเมืองอัลตาแล้ว ไม่เคยเกิดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน




อัลตาเป็นเทศบาลเมืองที่อยู่เหนือสุดของประเทศ มีชื่อเสียงว่าอุดมไปด้วยป่าเขา มีทิวทัศน์ชายฝั่ง อีกทั้งยังเป็นสถานที่ชมแสงเหนือ

จากนี้ไป เจ้าหน้าที่จะจับตาว่าดินจะเคลื่อนตัวอย่างไรในสองสามวันข้างหน้า เช่นเดียวกับทะเล และระดับพื้นทะเล จากนั้นสัปดาห์หน้าจึงจะสำรวจดิน


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_4256537


สายน้ำ 05-06-2020 04:59

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


รัสเซียประกาศภาวะฉุกเฉิน ดีเซล20,000ตันรั่วใกล้อาร์กติกเซอร์เคิล

รัสเซียประกาศภาวะฉุกเฉิน ดีเซล20,000ตันรั่วใกล้อาร์กติกเซอร์เคิล
เหตุนี้เกิดขึ้น 48 ชั่วโมงแล้ว แต่ผู้นำรัสเซียเพิ่งได้รับรายงาน

https://i1198.photobucket.com/albums...pswn0neywv.jpg

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ลงนามคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศที่เมืองโนริลสค์ เมืองเขตอุตสาหกรรมอันห่างไกลในแถบไซบีเรีย หลังได้รับรายงานว่าคลังเก็บน้ำมันดีเซลของบริษัท Norilsk Nickel ผู้ประกอบการเหมืองแร่และโลหะรายใหญ่ของรัสเซีย เกิดพังทลายลงมาเป็นเหตุให้มีน้ำมันดีเซลล็อตใหญ่ไม่น้อยกว่า 20,000 ตัน รั่วไหลลงแม่น้ำใกล้เคียงหลายสายแถบเขตอาร์ตติกเซอร์เคิลส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแม่น้ำดังกล่าวมีปลายทางไหลลงทะเลคาราของมหาสมุทร์อาร์กติก

รายงานระบุว่า ผู้นำรัสเซียได้ตำหนิผู้บริหารโรงไฟฟ้านี้ รวมถึงหน่วยงานในท้องถิ่นถึงการรับมือที่ล่าช้า เนื่องจากเหตุดังกล่าวคาดว่าเกิดตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมาแล้ว แต่ผู้นำรัสเซียเพิ่งได้รับรายงานเหตุใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ โดยไม่ชัดเจนว่าจะมีการดำเนินคดีต่อผู้บริการดังกล่าวหรือไม่

ภาพจากหน่วยงานท้องถิ่นแสดงให้เห็นสภาพของแม่ในสายสำคัญใกล้เคียง แปรสภาพเป็นสีแดงจากน้ำมันที่รั่ว

นาย Yevgeny Zinichyev รัฐมนตรีกระทรวงบริการเหตุฉุกเฉินของรัสเซียกล่าวว่า เบื้องต้นได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่แล้ว 100 คนเพื่อรับมือสถานการณ์ในการกักกันน้ำมันที่รั่วลงแหล่งน้ำ แต่ยอมรับว่าอาจต้องพึ่งการสนับสนุนจากหน่วยงานของกองทัพในการรับมือด้วย เนื่องบริเวณที่ได้รับผลกระทบกินวงกว้างมาก โดยเฉพาะแม่น้ำ Ambarnaya และ Daldykan ซึ่งไหลลงสู่ทะเล เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อาจต้องใช้สารเร่งปฏิกิริยาให้น้ำมันระเหย แต่สิ่งสำคัญคือการกักกันน้ำมันไม่ให้น้ำมันไหลออกทะเลให้มากที่สุด


https://www.posttoday.com/world/625220


สายน้ำ 05-06-2020 05:00

ขอบคุณข่าวจาก บ้านเมือง


สลด! โลมาเกยตื้นหาดซันไรซ์ เมืองคอน

https://i1198.photobucket.com/albums...pslwdjp5zi.jpg

เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.วันที่ 3 มิ.ย.63 นายสุพงษวิณัย ชูยก นายอำเภอท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซากโลมาเกยตื้นนอนตาย ริมชายหาดซันไรซ์ พื้นที่หมู 9 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช จึงเดินทางไปตรวจสอบพร้อมประสานหน่วยงานด้านประมงที่เกี่ยวข้องและจนท.กู้ภัยต่างในพื้นที่ร่วมตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบซากโลมาสีดำ ลักษณะโตเต็มวัย ไม่ทราบเพศจำนวน 1 ตัว วัดความความยาวได้ 150 เซนติเมตร น้ำหนัก 33 กิโลกรัม

ตรวจสอบบริเวณลำตัวพบว่ามีบาดแผลหลายแห่งคล้ายกับติดอวนดักปลาของชาวประมง เบื้องต้นเสียชีวิตไม่เกิน 1 ชั่วโมง เนื่องจากสภาพลำตัวยังไม่เน่าเปื่อย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ทราบแน่ชัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จะนำไปผ่าชันสูตรหาสาเหตุการตายต่อไป สอบถามชาวบ้านที่แจ้ง ทราบว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา มีชาวบ้านเห็นโลมาสีดำตัวหนึ่ง แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ ว่ายเล่นน้ำวนเวียนอยู่ในทะเล ห่างจากริมฝั่งจุดที่พบซากประมาณ 100 เมตร กระทั้งช่วงเย็น มีชาวบ้านพบซากโลมาลอยเกยตื้นตายดังกล่าว


https://www.banmuang.co.th/news/region/194794


สายน้ำ 05-06-2020 05:04

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ปะการังอ่อน 7 สีฟื้นตัว หลังปิดตะรุเตา 2 เดือน

https://i1198.photobucket.com/albums...psfw3ylcit.jpg

สตูล 4 มิ.ย.- หลังจากปิดการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล เจ้าหน้าที่พบว่าทรัพยากรธรรมชาติฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะแนวปะการังอ่อน 7 สี และปะการังเขากวาง ที่เจริญเติบโตดี สีสันสวยงาม และเป็นแหล่งอาศัยของฝูงปลาสวยงามที่หาดูยาก

นี่เป็นภาพหมู่ปะการังใต้ท้องทะเลในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งนักวิทยาศสตร์ทางทะเลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำน้ำลงไปสำรวจสภาพทรัพยากรธรรมชาติ หลังมีคำสั่งให้ปิดแหล่งท่องเที่ยวในเขตอุทยานฯ ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าผ่านมา 2 เดือนเศษๆ สภาพทรัพยากรมีการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะแนวปะการังที่เคยเป็นแหล่งดำน้ำและจุดท่องเที่ยวสำคัญในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา มีการฟื้นฟูเกือบ 100%

นายกาญจนพันธ์ คำแหง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา บอกว่า นับเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจากการสำรวจพบว่าปะการังส่วนใหญ่ได้ฟื้นตัว และกลับมามีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มปะการังอ่อน เช่น ปะการังอ่อน 7 สี ซึ่งเป็นปะการังที่มีสีสันสวยงาม อยู่บริเวณร่องน้ำจาบัง เห็นชัดเจนถึงการเจริญเติบโตและเปล่งสีเป็นประกายสายรุ้งงดงาม รวมถึงปะการังเขากวาง ก็กลับมางอกงามสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังพบฝูงปลานานาชนิด โดยเฉพาะปลาสวยงามแหวกว่ายมาอาศัยในหมู่ปะการัง ซึ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่กำลังกลับมาอีกครั้ง

และเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในอนาคต อุทยานแห่งชาติตะรุเตาเตรียมความพร้อม ทั้งปรับปรุงบ้านพัก เส้นทางชมธรรมชาติ และเตรียมจัดระบบการท่องเที่ยวที่เหมาะสม เพื่อให้การท่องเที่ยวหลังจากนี้เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่ที่คำนึงถึงความปลอดภัย และสอดคล้องกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย.


https://www.mcot.net/viewtna/5ed90cbfe3f8e40af9451441


*********************************************************************************************************************************************************


แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟฟอกขาวครั้งร้ายแรงเป็นประวัติการณ์

https://i1198.photobucket.com/albums...ps86vzbv3k.jpg

ออสเตรเลีย 4 มิ.ย.- สภาพอากาศร้อนจัดส่งผลให้แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย เกิดภาวะปะการังฟอกขาวครั้งร้ายแรงเป็นประวัติการณ์ บรรดานักวิทยาศาสตร์หวั่นจะไม่สามารถฟื้นตัวกลับไปเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนได้

ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาแนวปะการัง มหาวิทยาลัยเจมส์ คุก ในออสเตรเลีย ระบุว่า ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวตามแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟในออสเตรเลีย เป็นครั้งที่ 3 ในช่วง 5 ปี ส่งผลให้บรรดานักวิทยาศาสตร์วิตกว่าแนวปะการังแห่งนี้จะไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์

แทรี ฮิวส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแนวปะการัง ระบุว่า นับวันปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นจากปัญหาโลกร้อน และเขามั่นใจว่าสภาพของแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟจะไม่สามารถฟื้นฟูจนกลับไปอยู่ในสภาพเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อน

ทั้งนี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดนับตั้งแต่ปี 2443 ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำตลอดแนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย ครอบคลุมพื้นที่ถึง 348,000 ตารางกิโลเมตร ถูกจัดเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2524.


https://www.mcot.net/viewtna/5ed90c78e3f8e40af844d395


สายน้ำ 05-06-2020 05:07

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


น้ำมันรั่ว 20,000 ตัน! รัสเซียประกาศภาวะฉุกเฉิน

ประธานาธิบดีวลาดิเมีย ปูติน ประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองโนริลสก์ ทางตอนเหนือของรัสเซีย หลังน้ำมันดีเซลรั่วไหลถึง 20,000 ตันตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำสิ่งแวดล้อมเสียหายหนัก

https://i1198.photobucket.com/albums...psfgskhkd1.jpg

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมีย ปูตินแห่งรัสเซีย ได้ตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาลกลางในเมืองโนริลสก์ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคครัสโนยาสค์ ทางตอนเหนือของรัสเซีย หลังจากเกิดการรั่วไหลของน้ำมันดีเซลในพื้นที่ดังกล่าว

ในระหว่างการประชุมออนไลน์เมื่อคืนวานนี้ (3 มิ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการกำจัดน้ำมันที่รั่วไหลนั้น ปธน.ปูตินได้สอบถามนายเยฟเจนี ซินิเชฟ รัฐมนตรีฝ่ายสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซีย เกี่ยวกับแนวทางในการรับมือกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งนายซินิเชฟให้คำตอบว่า เมื่อประเมินขอบข่ายความเสียหายแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลกลางจะต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน

มีรายงานว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุน้ำมันดีเซลราว 20,000 ตัน ได้รั่วไหลในเขตอุตสาหกรรมของ Nadezhdinsky Metallurgical Plant ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือของ Nornickel ผู้ประกอบการเหมืองแร่และโลหะรายใหญ่ของรัสเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโนริลสก์ และส่งผลให้เกิดมลภาวะในแม่น้ำสายต่างๆ ในท้องถิ่น

บริษัท Nornickel แถลงบนเว็บไซต์ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ มาจากความร้อนใต้ภาวะชั้นดินเยือกแข็ง(Permafrost) ซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวภายใต้ถังกักเก็บเชื้อเพลิง และทำให้น้ำมันรั่วไหลออกมา

เมื่อวันเสาร์ที่ 30 พ.ค. หน่วยงานท้องถิ่นของคณะกรรมาธิการการตรวจสอบของรัสเซียได้เปิดการพิจารณาคดีอาญาเพื่อเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการจัดเก็บเชื้อเพลิงอย่างไม่เหมาะสม จนทำให้เกิดมลภาวะ และความเสียหายอื่นๆ ต่อสิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากสารเคมีที่มีอันตรายร้ายแรง

อย่างไรก็ตาม ปธน.ปูตินได้สั่งการให้นายซินิเชฟจัดตั้งคณะทำงานเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการรั่วไหลของน้ำมันดังกล่าวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พร้อมกับสั่งการให้หน่วยงานด้านกฎหมายทำการประเมินการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

ทั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 4 ปีหลังสุดแล้ว ที่บริษัท Nornickel เกิดเหตุสารพิษรั่วไหลจนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


https://www.nationtv.tv/main/content/378779518/


สายน้ำ 05-06-2020 05:11

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


งานเข้ารับวันสิ่งแวดล้อมโลก น้ำมันรั่วที่ไซบีเรีย อาจารย์จุฬาฯ ชี้ งานนี้ฟื้นฟูยาก ................ โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์

รัสเซียประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน น้ำมันดีเซล 20,000 ตันรั่วไหลลงแหล่งน้ำในขั้วโลกเหนือ กระทบระบบนิเวศและสัตว์ขั้วโลกหายาก คาดสาเหตุเพราะชั้นดินน้ำแข็งใต้คลังน้ำมันละลายเพราะโลกร้อน อาจารย์วิทยาศาสตร์ทะเล จุฬาฯ ชี้ ทีมฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเจองานหินแน่ เหตุอาร์กติกช่วงฤดูร้อนสั้น มีเวลาทำความสะอาดคราบน้ำมันเพียง 3 เดือน

เพียง 2 วันก่อนหน้าวันสิ่งแวดล้อมโลกในวันนี้ (5 มิถุนายน) สำนักข่าว The Guardian ประเทศอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2563 ว่า Vladimir Putin ประธานาธิบดีรัสเซีย ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังจากน้ำมันดีเซลกว่า 20,000 ตันรั่วไหลลงแม่น้ำ Ambarnaya ในไซบีเรีย ทางตอนเหนือของรัสเซีย ซึ่งไหลลงสู่มหาสมุทรอาร์กติก เกิดเป็นคราบน้ำมันสีแดงปกคลุมทั่วแม่น้ำและจุดไฟติดได้

https://i1198.photobucket.com/albums...psp4gzrcm5.jpg
น้ำมันรั่วไหลลงแม่น้ำ Ambarnaya // ขอบคุณภาพ: The Siberian Times

เหตุเกิดเพราะคลังเก็บน้ำมันในโรงไฟฟ้าใกล้เมือง Norilsk พังทลาย เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม แต่บริษัท Norilsk Nickel ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้รายงานเหตุการณ์ล่าช้า เป็นเหตุให้กว่ารัฐบาลรัสเซียจะทราบเหตุก็ล่วงเวลาไปแล้วถึง 2 วัน จากภาพความเสียหายจากน้ำมันรั่วที่มีผู้เผยแพร่ไปทั่วบนโซเชียลมีเดีย

ด้านสำนักข่าว BBC รายงานว่า ประธานาธิบดี Putin ได้แสดงความไม่พอใจอย่างมาก ที่กว่าเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับรู้เหตุน้ำมันรั่วก็เป็นเวลาล่วงกว่า 2 วันหลังเกิดเหตุแล้ว จนน้ำมันได้รั่วไหลลงแม่น้ำ Ambarnaya กระทบพื้นที่ไปไกลกว่า 12 กิโลเมตร จากจุดเกิดเหตุ เปลี่ยนแม่น้ำเป็นสีแดงเข้ม และปนเปื้อนระบบนิเวศทุ่งทุนดราในเขตขั้วโลกกว่า 350 ตารางกิโลเมตร

โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ประธานาธิบดี Putin ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเร่งส่งกำลังพลเจ้าหน้าที่เข้าไปทำความสะอาดน้ำมันที่รั่วไหลโดยเร็วที่สุด

แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยสาเหตุที่คลังเก็บน้ำมันระเบิด สำนักข่าว The Siberian Times เผยว่า จากคำอธิบายของบริษัทผู้รับผิดชอบ สันนิฐานว่า เหตุน้ำมันรั่วครั้งร้ายแรงนี้อาจเกิดจากชั้นดิน Permafrost ทรุดตัว จากสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าปกติ จนทำให้คลังน้ำมันชำรุดและเกิดการรั่วไหล

"ชั้นดิน Permafrost ที่รองรับคลังเก็บน้ำมันมากว่า 30 ปีโดยไม่มีปัญหาทรุดตัวกะทันหัน เป็นเหตุให้ถังเก็บน้ำมันดีเซลชำรุดและรั่วไหล" บริษัท Norilsk Nickel ผู้ประกอบการเหมืองแร่นิกเกิลและแพลเลเดียมรายใหญ่แถลง

ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว หรือ Permafrost คือลักษณะพื้นดินที่คงสภาพเยือกแข็งอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่พบได้ทั่วไปในแถบขั้วโลกและภูเขาสูง อย่างไรก็ดี อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะโลกร้อนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปัจจุบัน ชั้น Permafrost ทั่วโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้พื้นดินในบริเวณดังกล่าวทรุดตัว สร้างความเสียหายต่อสิ่งก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อีกทั้งยังปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลที่กักเก็บไว้สู่ชั้นบรรยากาศ เร่งให้อุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น

ขณะที่ กรีนพีซ รัสเซีย กล่าวกับสำนักข่าว Forbes ว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นเหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์กติก ร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากเรือ Exxon Veldes บริเวณชายฝั่งอลาสก้า เมื่อปี พ.ศ.2532 ซึ่งคร่าชีวิตสัตว์กว่าสองแสนตัว แม้ปริมาณน้ำมันรั่วไหลรอบนี้จะปริมาณน้อยกว่าเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นั้นกว่า 10 เท่า เพราะน้ำมันที่รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมรอบนี้เป็นน้ำมันดีเซลที่มีความเป็นพิษมากกว่าน้ำมันดิบ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่า

https://i1198.photobucket.com/albums...ps1zidhl2j.jpg
น้ำมันรั่วที่ไหลลงแม่น้ำ Ambarnaya เปลี่ยนลำน้ำให้กลายเป็นสีแดงทั้งสาย // ขอบคุณภาพ: The Siberian Times

ด้าน รศ.สุชนา ชวนิชย์ หัวหน้าภาคและอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนักวิจัยไทยที่เคยเดินทางไปศึกษาผลกระทบสภาวะโลกร้อนที่ขั้วโลกเหนือ แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อเหตุการณ์นี้ โดยระบุว่า งานทำความสะอาดน้ำมันรั่วไหลในเขตอาร์กติกทำได้ยาก และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศที่เปราะบางของขั้วโลกเหนือ

"เหตุน้ำมันรั่วไหลที่เกิดในเขตหนาวจะเสียหายมากกว่าเวลาเกิดในเขตร้อน เนื่องจากเขตหนาวจะมีฤดูร้อนสั้นแค่ 3 เดือน (มิถุนายน ? สิงหาคม) เลยมีช่วงเวลาทำความสะอาดน้ำมันที่รั่วไหลสั้น บางครั้งแม้หน้าร้อนก็ยังมีน้ำแข็งอยู่ ดังนั้นจึงเป็นอุปสรรคให้เก็บกวาดได้ยาก" รศ.สุชนา กล่าว

เธอชี้ว่า วิธีทำความสะอาดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล คือต้องนำน้ำมันออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด สำหรับกรณีนี้ มีผู้เสนอให้ปล่อยให้น้ำมันดีเซลระเหยเองหรือจุดไฟเผาเพื่อผลาญเชื้อเพลิงทั้งหมด ทว่ารัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมรัสเซียแย้งความคิดดังกล่าวว่าจะเกิดผลกระทบระบบนิเวศที่ยากจะคาดคิดและเสนอให้เร่งศึกษาหาวิธีอื่น

"นอกจากผลกระทบต่อพื้นที่แล้ว เหตุน้ำมันรั่วยังกระทบกับสัตว์ขั้วโลกที่เป็นสัตว์หายาก เช่น นกและวาฬ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนนี้ ซึ่งเป็นหน้าร้อน สัตว์จะอพยพจากบริเวณเหนือลงมาทางตอนกลางและล่างที่อุ่นกว่าเช่นบริเวณที่เกิดเหตุ แม้ว่าโอกาสที่สัตว์สปีชีส์หนึ่งจะสูญพันธุ์ไปเลยจากผลกระทบน้ำมันรั่วครั้งนี้จะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากสิ่งมีชีวิตอาจกระจายอยู่บริเวณอื่นด้วย" เธอกล่าว

"ถ้าสัตว์ยังไม่ตาย เราสามารถช่วยอนุบาลพวกมัน เช่น นกปีกมันเต็มไปด้วยน้ำมัน ก็จะทำความสะอาด แต่ถ้าสัตว์ตายและสูญหายไปจากบริเวณนั้นแล้วจะนำมาปล่อยคืนพื้นที่ได้ยาก เพราะสัตว์หลายอย่างที่นั้นเรายังเพาะพันธุ์ไม่ได้และต้องคำนึงว่าเป็นสายพันธุ์ในพื้นที่นั้นไหม"

รศ.สุชนา ย้ำว่า สำหรับคนไทยเราอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เหตุน้ำมันรั่วไหลมีผลกระทบกับธรรมชาติโดยรวมของโลก และพฤติกรรมการใช้พลังงานของเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งนี้

"คำถามสำคัญคือทำไมต้องขุดเจาะน้ำมันที่อาร์กติกแต่แรก ถ้าคนไม่ใช้มาก เราคงไม่ต้องไปขุดเยอะ อาร์กติกมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น ธุรกิจขุดเจาะน้ำมันเลยยังทำได้ค่อนข้างยาก แต่นับได้ว่าเป็นแหล่งขุดเจาะน้ำมันที่ถูกจับตา เพราะมีปริมาณมาก" เธอกล่าว


https://greennews.agency/?p=21152


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:29

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger