ขับรถท่องเที่ยวเทียวไป ทั่วแคว้นแดนไกล...หนองคาย...ลาว...เลย...ภาคที่ 3
|
หลังจากขับรถท่องเที่ยวในลาวกับ Fortuner Club อยู่ 6 วัน....เราเดินทางกลับเข้าไทย และนอนพักค้างคืนที่หนองคายอยู่หนึ่งคืน พอวันรุ่งขึ้น ก็ออกเดินทางแต่เช้าเข้า จังหวัดเลย โดยจะใช้เมืองเชียงคาน เป็นจุดพำนักพักแรม... เส้นทางที่เราใช้ คือ เส้นทางหลวงหมายเลข 211(เชียงคาน-ปากชม) ซึ่งเป็นเส้นทางสายสวยที่ลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำโขง จากตัวเมืองหนองคาย ไปถึงเมืองเชียงคาน รวมระยะทาง 190 กิโลเมตร |
ก่อนจะออกนอกเขตเมืองหนองคาย...เราแวะทำบุญและไหว้ หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ ที่วัดศรีชมภูองค์ตื้อ ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พระเจ้าองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ฝีมือช่างฝ่ายเหนือ และล้านช้างผสมกัน นับเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามมาก เป็นพระประธานซึ่งสร้างด้วยทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัด นั่งขัดสมาธิปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 3 เมตร 29 เชนติเมตร สูง 4 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เคารพนับถือมาก วัดศรีชมภูองค์ตื้อ ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2105 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองเมืองเวียงจันทร์ มีเรื่องเล่าว่า พระสงฆ์ในวัดศรีชมภูองค์ตื้อได้ประชุมปรึกษาหารือกัน ลงมติจะหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นในบ้านน้ำโมง (เดิมเรียกว่าบ้านน้ำโหม่ง) เพื่อเป็นที่เคารพสักการะแก่อนุชนรุ่นหลังต่อ ๆ มา ในวันสุดท้ายเป็นวันหล่อตอนพระเกศ ในตอนเช้าได้ยกเบ้าเทแล้วแต่ไม่ติด เมื่อเอาเบ้าเข้าเตาใหม่ ทองยังไม่ละลายดี ก็พอดีเป็นเวลาจวนพระจะฉันเพล พระทั้งหมดจึงทิ้งเบ้าไว้ในเตา แล้วก็ขึ้นไปฉันเพลบนกุฏิ ฉันเพลเสร็จแล้วลงมาหมายจะเทเบ้าที่ค้างไว้ กลับปรากฏว่ามีผู้เททองติด และตอนพระเกศสวยงามกว่าเดิม เป็นที่น่าอัศจรรย์ เมื่อสืบถาม ได้ความว่า มีชายผู้หนึ่งนุ่งห่มผ้าขาวมายกเบ้านั้นเทจนสำเร็จ แต่ด้วยเหตุที่เบ้านั้นร้อน เมื่อเทเสร็จแล้ว ชายผู้นั้นจึงวิ่งไปทางเหนือบ้านน้ำโมง มีผู้เห็นยืนโลเลอยู่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง แล้วหายไป หนองน้ำนั้นภายหลังชาวบ้านเรียกว่าหนองโลเลมาจนถึงปัจจุบันนี้ และชายผู้นั้นก็เข้าใจกันว่าเป็นเทวดามาช่วยสร้าง เมื่อได้นำพระพุทธรูปที่หล่อแล้วมาประดิษฐานไว้ในวัด มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งเมืองเวียงจันทร์ มาเที่ยวบ้านน้ำโมงสองท่านชื่อว่า ท่านหมื่นจันทร์ กับ ท่านหมื่นราม ทั้งสองท่านนี้ได้เห็นพระเจ้าองค์ตื้อ ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสที่จะช่วยเหลือ จึงได้ช่วยกันก่อฐาน และทำราวเป็นการส่งเสริมศรัทธาของผู้สร้าง ครั้นเมื่อขุนนางทั้งสองได้กลับถึงเมืองเวียงจันทร์แล้ว ได้กราบทูลพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งครองเมืองเวียงจันทร์ในเวลานั้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้เสด็จมาทอดพระเนตรก็ทรงเกิดศรัทธา จึงได้สร้างวิหารประดิษฐาน ขอบคุณข้อมูลจาก...www.wikipedia.org |
ออกจากวัดศรีชมภูฯแล้ว...เราขับรถต่อไปตามถนนหมายเลข 211 ซึ่งเป็นถนนลาดยางสองเลนให้รถวิ่งสวนทางกัน ถนนค่อนข้างจะคดโค้ง ขึ้นๆลงๆ ลัดเลาะไปตามเชิงเขาเตี้ยๆ เลียบไปตามลำน้ำโขง ที่ยามนั้นค่อนข้างจะแห้งขอด เห็นสันทรายและกองหินโผล่ขึ้นมา เป็นเกาะแก่งชัดเจน... http://i835.photobucket.com/albums/z...ei/Loei_02.jpg น่าลงไปเดินเล่นจริงๆค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ei/Loei_01.jpg |
วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน เราวิ่งผ่านอำเภอปากชม และเข้าเขตอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ในช่วงใกล้เที่ยง ก่อนถึงเมืองเชียงคานราว 6 กิโลเมตร...มีทางแยกซ้ายมือ เข้า บ้านอุมุง วิ่งตรงไปตามทางระยะทางราว 3 กิโลเมตร ก็ถึงทางขึ้นเขาสูงชัน แต่เป็นทางปูนซีเมนต์อย่างดีระยะทางราว 1 กิโลเมตร ลัดเลียบผาสู่ยอดเขา อันเป็นที่ตั้งของวัดดังนาม วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_01.jpg พอขึ้นไปได้ถึงยอดเขา...เราเห็นลานกว้างให้จอดรถ..มีกระต่ายตัวเล็กตัวน้อย อ้วนกระปุ๊กลุก หลากหลายสีและลาย วิ่งไปวิ่งมา http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_13.jpg ความที่เข่าบวมและยังเจ็บอยู่มาก...สายชลเลยขอนั่งดูกระต่ายอยู่ในรถ ปล่อยให้คุณสายน้ำ ลงไปถ่ายภาพรอบๆบริเวณวัดแต่ผู้เดียว http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_12.jpg เจ้ากระต่ายน้อย กระโดดหยองแหยงมาเยี่ยมทักทาย เจ้า "กระต่ายขาว" รถฟอร์จูนเนอร์ของเรา...น่ารักมากๆค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_05.jpg |
มองไปด้านหนึ่ง เห็นปูนปั้นเป็นรูปควายสีดำ ไม่ใช่ควายเงินอย่างชื่อวัด... http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_02.jpg จากหลักฐานที่บันทึกประวัติความเป็นมาของวัด ได้ระบุไว้ว่าวัดพระพุทธบาทภูควายเงินสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2300 เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตร มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า…. ในอดีตวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง แต่มักจะมีพระธุดงค์เดินทางมากปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ ในบริเวณวัด มีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่ภายใต้ซุ้มอิฐใหญ่ ขนาดพอที่คนจะเข้าไปนั่งได้ 2 คนซึ่งในภาษาถิ่นจะเรียกสิ่งปลูกสร้างในลักษณะนี้ว่า “อุบมุง” ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นชื่อหมู่บ้านทางทิศตะวันออกของวัดคือ บ้านอุมุง ที่หมู่บ้านอุมุงแห่งนี้ มีชาวนาผู้หนึ่งที่มักพาควายขึ้นมาหาหญ้ากินบนภูเขาบริเวณวัด และเมื่อมีพระธุดงค์ผ่านมา ชาวนาผู้นี้ก็จะนำเอาอาหาร มาถวายแก่พระธุดงค์เป็นประจำ ซึ่งอานิสงส์แห่งการถวายทานนี้เอง ทำให้ชาวนาทำนาขายข้าวได้เงินมากทุกปี จนร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี และด้วยสำนึกในบุญคุณของควาย ที่ช่วยไถนาปลูกข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชาวนาจึงเรียกควายตัวนี้ว่า “ควายเงิน” วัดแห่งนี้จึงตั้งชื่อว่า “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” ตามเรื่องเล่านี้เอง ในวันที่เราเดินทางไปถึง...กำลังมีการก่อสร้างมณฑป ครอบพระพุทธบาทอยู่ เราจึงไม่สามารถเข้าไปกราบตัวพระพุทธบาท และถ่ายภาพได้ |
ตามประวัติที่เล่าสืบต่อกันมา สรุปได้ว่าวัดพระพุทธบาทภูควายเงินสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2300 เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตร ถือเป็นโบราณสถานเก่าแก่ทางพระพุทธศาสนาสำคัญ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมานาน โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ในอดีตแต่เก่าก่อนเชื่อกันว่า ใครก็ตามที่จะมาถึงวัดพระพุทธบาทภูควายเงินได้ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาจริงๆเท่านั้น ส่วนคนที่มีบุญหรือมีวาสนาไม่ถึงก็จะมีเหตุและอุปสรรค์ต่างๆ หรือไม่ก็หลงทาง ทำให้มาไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจไว้ เหตุเพราะทางไปและทางขึ้นลงเขา ลำบากมาก หาความสดวกสบายไม่ได้ ผิดกับสมัยนี้ ที่การเดินทางสะดวกสบาย ใครใคร่ขึ้นไปไหว้ก็ได้ http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_08.jpg ส่วนกระต่ายใหญ่น้อยที่เห็นอยู่นั้น ได้ยินมาว่าเป็นกระต่ายป่า ที่เข้ามาอาศัยอยู่อย่างมีความสุข บริเวณรอบๆวัด (ในขณะที่วัดอื่นมีให้เห็นแต่หมากับแมว) http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_06.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_10.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_09.jpg |
ทุกปีในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 3 ทางวัดจะจัดงานสมโภชประจำปี ถือเป็นงานสำคัญของชาวบ้านในแถบนี้... กุฏิพระสงฆ์ ที่แสดงถึงความสมถะอย่างแท้จริง... http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_15.jpg วิวทิวทัศน์ที่พอจะมองผ่านแมกไม้ ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นบนยอดเขา งามใช้ได้ทีเดียวค่ะ...หมู่บ้านที่เห็นนั้น เข้าใจว่าจะเป็นหมู่บ้านอุมง ที่มีเรื่องเล่าขานในตำนาน http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_14.jpg |
แก่งคุดคู้ ออกจากทางเข้าวัดพระพุทธบาทภูควายเงิน เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 211 ตามเส้นทางมุ่งหน้าไปเชียงคาน แต่เราจะยังไม่เข้าเชียงคานกันหรอกค่ะ เพราะยังเพิ่งบ่ายคล้อยเท่านั้นเอง... วิ่งออกมาได้ราว 3 กิโลเมตร...ขวามือมีทางแยกบอกว่าทางไป "แก่งคุดคู้" แวะเข้าไปชมกันซะหน่อย เพราะเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังของที่นี่ค่ะ วิ่งทื่อๆตรงไปตามทางที่บอก ไม่นานก็เจอลานจอดรถของแก่งคุดคู้ สัญลักษณ์คือเสาหลักกิโลเมตรอันใหญ่ สูงท่วมหัว ด้านหลังเป็นบันไดสูงชัน ใช้เดินลงสู่แม่น้ำโขง ที่แห้งจนเห็นสันทรายโผล่ขึ้นมา ทิวเขายาวเขียวขจีที่ฝั่งลาว ทำให้ทิวทัศน์ของที่นี่ดูสวยขึ้นมากค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_01.jpg ด้านหน้า เขียนไว้ว่า "แก่งคุดคู้ กม. 0"...ด้านใต้ ของเสาเขียนบอกระยะทางไว้ว่า "ปากชม 44 หนองคาย 185" ส่วน ด้านเหนือ บอกไว้ว่า "ท่าลี่ 55 หลวงพระบาง 425".... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_02.jpg ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยนะคะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_03.jpg |
เขาบอกว่า หากใครมาเที่ยวเชียงคาน ถ้าไม่ได้ไปเยือนแก่งคุดคู้ ก็ถือว่าไปไม่ถึงเชียงคาน ความสวยงามของแก่งคุดคู้ เกิดจากการทอดตัวของแนวหิน ที่อยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ทำให้หินเหล่านี้มีสีสันสวยงาม ตัวแก่งกว้างใหญ่เกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านช่องแคบ ๆ ใกล้ฝั่งไทยเท่านั้นเอง กระแสน้ำจึงเชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้ที่สุดคือ เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้ง มองเห็นเกาะแก่งได้ชัดเจน แต่ตอนที่เราไปนั้น เป็นช่วงกลางเดือนธันวาคม จึงเห็นความงามของแก่งคุดคู้ได้เท่านี้เองค่ะ มีเรือรับจ้างพานักท่องเที่ยวล่องลำน้ำโขง จอดคอยอยู่ที่ชายน้ำ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_10.jpg สะพานขึ้นลงบริเวณแก่งคุดคู้ สูงชันเสียจนสายชลได้แต่มองไม่กล้าเดินลงไป เพราะเกรงว่าจะปีนขึ้นไม่ไหว... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_05.jpg |
มีนิทานพื้นบ้านที่เล่าสืบทอดกันมาถึงแก่งคุดคู้อยู่เรื่องหนึ่งว่า...
มีพรานป่าคนหนึ่งชื่อ ตาจึ่งขึ่งดั้งแดง ผู้ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ จมูกบานโต ขนาดที่เด็กๆ สามารถเข้าไปวิ่งเล่นในฮูดัง (รูจมูก) ได้ วันหนึ่งแกตามล่าควายเงินมาจากฝั่งลาว และเฝ้ามองจนกระทั่งควายเงินมานอนแช่น้ำ อยู่ที่แก่งคุดคู้ในปัจจุบัน ระหว่างที่ยกหน้าไม้หมายจะยิง บังเอิญมีพ่อค้าส่งเสียงดังถ่อเรือผ่านมาพอดี ทำให้ควายเงินตื่นตกใจวิ่งหนีขึ้นไปบนภูเขา ภูเขาลูกนั้นจึงได้ชื่อว่า ?ภูควายเงิน? ทำให้พรานป่าแค้นเคืองคนที่นั่งเรือไปมาตามแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก จึงได้แบกเอาก้อนหินมาถมกั้นแม่น้ำไว้ เพื่อไม่ให้เรือแล่นผ่าน จนสร้างความเดือนร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้นไปทั่ว เมื่อพระอินทร์ที่อยู่บนสวรรค์เห็นดังนั้น ก็ทรงแปลงกายลงมาเป็นจั่วน้อย (เณรน้อย) และได้ออกอุบายให้ใช้ไม้ไผ่หรือไม้เฮี้ยะ มาทำเป็นคานแบกก้อนหินแทน และด้วยน้ำหนักของหินที่มากเกินไป เลยทำให้ไม้คานหัก บาดคอตาจึ่งขึ่งดังแดงตายอยู่ในท่าคุดคู้ แก่งแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ?แก่งคุดคู้? ตามนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้นี่เอง.. เข้าใจว่า....ควายภูเงินในเรื่องแก่งคุดคู้นี้ น่าจะเป็นคนละตัวกับควายภูเงิน ที่ชาวนาได้นำไปเลี้ยงไว้ บนยอดเขาวัดพระพุทธบาทควายภูเงิน เพราะควายภูเงินที่แก่งกระทู้นี้ วิ่งหนีนายพรานจมูกโตไปทางฝั่งลาว และกลายเป็นภูเขา ที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้าเราในวันนี้... |
รอบๆลานจอดรถ และริมชายโขง มีพ่อค้าแม่ขายมาจับจองพื้นที่เปิดซุ้มจำหน่ายอาหาร ซึ่งมีทั้งปลา กุ้ง หอย ที่ต่างก็มีชื่อแม่น้ำโขงห้อยท้าย ไปจนถึงส้มตำ ไก่ย่าง ลาบ น้ำตก ฯลฯ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_13.jpg แต่ที่น่าทานมากๆ เห็นจะเป็น "กุ้งทอด" ที่แม่ค้าใช้กุ้งฝอยตัวเล็กๆ มาชุบแป้งทอด เป็นแพใหญ่เท่าจานข้าว http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_18.jpg อดใจไม่ไหว...ต้องซื้อมาชิมเสียหน่อย อืมมมมม....อร่อยถูกปากจริงๆ ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มใส่ถั่วลิสงบดและแตงกวา ให้เสียรสชาติเลยค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_19.jpg |
ที่ต้องซื้ออีกอย่างก็คือ "มะพร้าวแก้ว" แสนอร่อย ที่ทำมาจากมะพร้าวกะทิเนื้อหนานุ่ม หรือมะพร้าวน้ำหอมรสละมุน เคี่ยวกับน้ำตาลสูตรเฉพาะ ที่พี่สาวสั่งซื้อไว้ ตั้งแต่รู้ว่าเราจะมาเชียงคาน http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_20.jpg มะพร้าวที่นำมาใช้ทำมะพร้าวแก้ว ที่ต้องไปสั่งซื้อมาจากที่ไกลๆ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_22.jpg มะพร้าวแก้วมีหลายเกรด หลายราคา หลายคนทำ เลือกซื้อหาได้ตามอัธยาสัยค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_23.jpg แต่สายชลเลือกเจ้านี้ เพราะดูสะอาด และน้ำใจไมตรีดูดีกว่าเจ้าอื่นๆ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_21.jpg แถวๆนั้นยังมี "อุ" เหล้าพื้นเมืองของท้องถิ่นนี้ ที่ไหใส่ไว้ในชะลอมน่ารัก ให้ซื้อมาฝากคอเหล้า...เสียดายไม่ได้ถถ่ายภาพไว้ค่ะ |
เกือบเย็นแล้ว....ชักหิวแล้วล่ะค่ะ...เราเลือกร้านของกลุ่มแม่บ้านแก่งคุดคู้ ซึ่งเป็นเรือนไม้ตั้งอยู่ริมฝั่งโขง บรรยากาศดีใช้ได้ทีเดียวค่ะ อาหารที่เราสั่ง ประกอบด้วย ต้มยำปลาแม่น้ำโขงหม้อไฟ รสชาติแซ่บซ่าน สะท้านไปถึงทรวง http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_15.jpg จานที่สอง เป็น ปลาเนื้ออ่อนแม่น้ำโขง ทอดกระเทียมพริกไทย ทั้งกรอบ หอมหวล ชวนรับประทานยิ่งนัก http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_16.jpg จานที่สามเป็น "กุ้งฝอยทอดกรอบ" ที่สั่งเพิ่มมาอีกแพหนึ่ง คราวนี้มีน้ำจิ้มมาเสริมแก้เลี่ยนด้วย กับ จานสุดท้าย "ส้มตำไทย" รสชาติกลมกล่อม http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_14.jpg ข้าวสวยร้อนๆ กับอาหารพื้นบ้านเพียงสี่อย่างนี้ กว่าเราจะทานหมด ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะค่ะ... |
วัดท่าแขก ระหว่างทางจากแก่งคุดคู้ จะออกไปสู่ถนนหลวงหมายเลข 211 เราเห็นภาพแสงที่ลอดผ่านแมกไม้สูงใหญ่ข้างทาง ทำให้อดที่จะจอดรถถ่ายภาพไม่ได้ http://i835.photobucket.com/albums/z...ha-Kaek_03.jpg เราเห็นทางลูกรังแล่นฝ่่าดงไม้ใหญ่ จึงเลี้ยวรถไปตามทางเหมือนต้องมนต์... http://i835.photobucket.com/albums/z...ha-Kaek_01.jpg ผ่านม่านหมอกเข้าไป...เราเห็นโบสถ์เล็กๆตั้งอยู่เบื้องหน้าอย่างสง่างาม.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ha-Kaek_04.jpg ป้ายที่เห็นอยู่ในบริเวณหน้าโบสถ์ ทำให้เราทราบว่า วัดนี้คือ "วัดท่าแขก" ซึ่งตามประวัติจัดเป็นวัดเก่าแก่ ปรากฎบนหลักศิลาจารึกที่พบในวัด กล่าวว่า วัดแห่งนี้สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ พ.ศ.2209 ตรงกับ จุลศักราช 1028 วันเสาร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย ตัวหนังสือ กล่าวว่า ท้าวสุวรรณแผ้วพ่าย พระโอรสของกษัตริย์ลานช้าง แห่งเมืองหลวงพระบาง เป็นผู้ก่อสร้าง |
วัดนี้ถูกทิ้งร้างมานานจนกระทั่งปี พ.ศ.2469 พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต...พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล...พระอาจาจย์ฝั้น อาจาโร และคณะอาจารย์สายพระอาจารย์มั่น ได้เดินธุรงค์มาพักจำพรรษา และปฏิบัติธรรมที่วัดท่าแขก จึงได้มีการบูรณะและฟื้นฟูวัดนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในโบสถ์ เราเห็นองค์พระสีทองอร่าม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางโบสถ์ แต่ในตำนานที่ปรากฏ กล่าวไว้ว่า พระประธานในวัดท่าแขก เป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ และเก่าแก่ อายุประมาณ 300กว่าปี แกะสลักด้วยหินทั้งก้อน และมีถึง 3 องค์ คือ องค์ที่ 1...เป็นพระพุทธรูปนั่งปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 2 ศอก สูงประมาณ 1.20 เมตร องค์ที่ 2...เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้างประมาณ 0.70 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร องค์ที่ 3...เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก หน้าตักกว้างประมาณ 0.65 เมตร สูงประมาณ 1.20 เมตร ฉะนั้นพระองค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโบสถ์นี้ จึงหาใช่พระประธานที่ว่าไว้ในตำนานไม่.... เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ...จึงเห็นว่ามีแท่นสูงขึ้นไป เหนือด้านหลังองค์พระใหญ่ สร้างอยู่ติดกับผนังโบสถ์ บนแท่นมีพระพุทธรูปสามองค์ ลักษณะเหมือนที่ตำนานว่าไว้ และนั่นคือประประธานของวัดท่าแขกที่แท้จริง ของวัดแห่งนี้นั่นเอง.... พระประธานทั้งสามองค์ เป็นพระพุทธรูปที่สวยงาม และมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เป็นที่สักการะบูชาของชาวเชียงคาน และจังหวัดใกล้เคียง จึงนับเป็นบุญยิ่งนัก ที่บังเอิญให้เราได้มากราบไหว้... |
เชียงคาน ออกจากวัดท่าแขก เลี้ยวขวาไปได้ไม่นาน ก็ถึงปากทางเชื่อมต่อถนนหลวงหมายเลข 211...เราเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองเชียงคาน เพียง 2 กิโลเมตรจากวัดท่าแขก เราก็ถึง เมืองเชียงคาน... เมืองเชียงคาน เดิมตั้งอยู่ที่ เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดยขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งมีพระเจ้ากีสราชเป็นกษัตริย์ และ อาณาจักรเวียงจันทน์ ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์ ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน ต่อมา พ.ศ. 2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อันเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย และได้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมืองพิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทยโดยยกกำลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมา แต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงคาน ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบางและได้เข้าปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) เป็นจำนวนมาก ครั้นต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออำเภอเชียงคานปัจจุบันโดยสิ้นเชิง แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณ วัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณ วัดโพนชัย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมีพระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ในปี พ.ศ.2484 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้ (ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org) ฝ่ากลางเมืองเชียงคานที่วุ่นวายด้วยรถราและผู้คน...เรามุ่งหน้าสู่บ้านพัก "ตาหน่วมโฮมสเตย์" ซอย 3 ถนนชายโขง ที่เราตั้งใจจองให้เป็นที่พักของเรา ตลอดสามวันที่จะอยู่ในเมืองเชียงคาน จังหวัดเลย ถึงแล้วค่ะ...บ้านตาหน่วมฯ บ้านเล็กๆติดริมแม่น้ำโขง...น่าอยู่ทีเดียวค่ะ... ด้านล่างของบ้าน...เป็นบ้านพักของ คุณไสว และครอบครัว ซี่งมีระเบียงให้เรานั่งเล่น พร้อมขนมทานเล่น น้ำชาและกาแฟพร้อม ด้านข้างๆเป็นบ้านพักใหญ่ สำหรับครอบครัวที่มากัน 7-8 คน ให้พักรวมกันอยู่แบบสบายๆ ส่วนด้านบน...มีห้องพักเพียงสองห้อง ซึ่งหนึ่งในสองคือห้องพักของเราเอง เป็นห้องแอร์ ห้องน้ำในตัว มีทีวี และระเบียงน่ารัก ให้เรานั่งชมวิวไปดื่มชากาแฟที่จัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพ ... |
จอดรถได้ที่แล้ว คุณไสว...ลูกเขยของตาหน่วม ก็พาเราปีนบันไดสูงชันขึ้นไปบนห้องพัก http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_03.jpg เราเห็นความสะอาดสะอ้านของบันไดและทางเดินก่อนถึงห้องพัก ก็อุ่นใจว่าเราน่าจะเลือกบ้านพักได้ถูกต้องแล้ว... แล้วก็จริงดังคิด...เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เราก็ได้เห็นห้องนอนเล็กๆ แต่สะอาด และน่าอยู่มาก... http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_07.jpg มองออกไปนอกหน้าต่าง จะเห็นทิวทัศน์แม่น้ำโขง อย่างนี้ค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_08.jpg ระเบียงห้องพัก น่านั่งทีเดียวค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_09.jpg |
เย็นย่ำสนธยาพอดี เมื่อเราจัดสมบัติเข้าที่เสร็จ เหนื่อยและปวดขาซะจนไม่อยากออกไปไหน เราเลยออกมานั่งคุยกันอย่างมีความสุข ที่ระเบียงห้องพักของบ้านตาหน่วม... http://i835.photobucket.com/albums/z...n_River_06.jpg นกกระยางฝูงใหญ่ที่ไปหากินที่ฝั่งลาวตั้งแต่เช้า กินกลับมานอนที่ฝั่งไทยเมื่อยามเย็น...ซึ่งคุณไสวบอกว่า เป็นกิจวัตรที่หาดูได้ทุกวันที่เชียงคานค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...n_River_09.jpg |
ดูตามเว็บท่องเที่ยว มาเชียงคานต้องตื่นเช้ามืด เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทอกตอนพระอาทิตย์ขึ้น ... เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม คำโบราณท่านว่าไว้ ผมต้องตื่นแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวขึ้นรถสามล้อเครื่อง ที่คุณไสวติดต่อไว้ให้ เพื่อออกเดินทางจากที่พักตอนตี 5 ไปฟ้าสางที่ภูทอกพอดี มีน้องหนุ่มสาว 1 คู่ห้องข้างๆไปด้วยกัน แต่คุณสายชลไม่ไปด้วย ไปถึงตีนภู ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถกระบะ ที่เจ้าของสถานที่คือ สถานีเรดาร์ มีไว้บริการ เพื่อขึ้นไปถึงยอดภูอีกทอดหนึ่ง แจ็คพอต ... วันนี้อุณหภูมิไม่เหมาะ ความชื้นไม่พอ หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ หมอกไม่ยอมมาก่อตัวเป็นทะเล ตามที่นัดกันไว้ ที่พอมองเห็น แทนที่จะเป็นทะเลหมอก กลับเป็นแค่ลำธารเท่านั้นเอง |
มีพวกไม่มีดวงเหมือนๆกันขึ้นมารอชมทะเลหมอกหลายสิบคนด้วยกันครับ http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_07.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_04.jpg |
หันไปหันมา เพื่อมองหาหมอกที่จะมาก่อตัวเป็นทะเล ไม่เจอเลย แต่กลับพบว่า ไอ้ที่เรามองเห็นแล้วนึกว่าหมอกน่ะ ไม่ใช่เสียอีก กลายเป็นควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินด้านล่าง ไม่นึกเลยว่า ถึงขนาดต้องพึ่งเครื่องทำหมอกเทียมกันเชียวหรือนี่ http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_02.jpg |
เดินหงุดหงิด งุ่นง่านกันอยู่สักพักหนึ่ง เรา 3 คนก็หันมามองหน้ากัน แล้วชวนกันเกาะกระบะลงจากภู กลับเชียงคานดีกว่า ..... เก๊กซิมจริงๆเลย http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_09.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_10.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...hu-Thok_11.jpg |
อุ๊ยยยย...นั่นยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว ลอยอยู่บนท้องฟ้า ฉายแสงลงมาเหนือยอดเขา หรือเปล่าคะ..:eek:...:confused: |
สายชลไม่ได้ตามคุณสายน้ำไปขึ้นภูท่อกด้วย เพราะหัวเข่ายังปวดอยู่ เลยถือโอกาสอันดีตื่นสาย (ที่ไม่ได้ทำมานานตั้งแต่เดินทางเทียวตามที่ต่างๆที่ผ่านมา) พออาบน้ำแต่งตัวแล้ว ก็ออกมานั่งดื่มกาแฟ ชมวิวริมน้ำโขงที่ระเบียงหน้าห้องนอนบ้านตาหน่วม... หมอกบางๆโรยตัวอยู่เหนือลำน้ำโขง และ ตามยอดเขาสูงริมน้ำ http://i835.photobucket.com/albums/z...n_River_01.jpg ในแม่น้ำโขง หน้าบ้านตาหน่วม เป็นเวิ้งอ่าว มีแพและเรือหางยาวจอดอยู่หลายลำ http://i835.photobucket.com/albums/z...n_River_02.jpg มีคนหาปลาออกเรือไปวางเบ็ดราวง่วนอยู่ ที่นี่น่าจะมีปลาชุกชุมนะคะ http://i835.photobucket.com/albums/z...n_River_03.jpg |
ดอกไม้ริมเขื่อนหน้าบ้านตาหน่วมสวยดีค่ะ มีดอกบัวตอง และ ดอกลั่นทม เป็นอาทิ http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_16.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_17.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_18.jpg |
แหล่งท่องเที่ยวเมืองเชียงคาน http://i835.photobucket.com/albums/z...owntown_01.jpg เมื่อคุณสายน้ำกลับจากภูท่อกมาถึงบ้านตาหน่วม...สายชลซึ่งเริ่มหิวข้าวเช้าเต็มแก่ ก็เดินไปขึ้นรถที่จอดคอยอยู่แล้ว... http://i835.photobucket.com/albums/z...Ta-Nuam_06.jpg เราขับรถจากที่พักผ่านถนนชายโขง ซอย 3 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนศรีเชียงคาน จุดหมายปลายทางของเรา คือ ตลาดสดเชียงคาน ที่อยู่ระหว่างถนนศรีเชียงคาน ซอย 9 และ 10.. บ้านเรือนในเมืองเชียงคาน ที่ตั้งอยู่บนถนนชายโขง ยังพยายามรักษาเอกลักษณ์ ที่เป็นมาเมื่อหลายสิบปีไว้ได้ดี บ้านส่วนมากเป็นบ้านไม้แถวสองชั้น เก่าคร่ำคร่า http://i835.photobucket.com/albums/z...owntown_06.jpg แต่พอออกมาที่ถนนศรีเชียงคาน (ซึ่งทับอยู่บนถนนหลวงสาย 211) ก็เริ่มมีบ้านตึกโผล่มาแทรกกับบ้านไม้ ให้เห็นบ้าง ทั้งคนทั้งรถวุ่นวายอยู่บนถนนสายนี้... 7/11 ก็มีให้เห็นนะคะ http://i835.photobucket.com/albums/z...owntown_03.jpg |
ถึงตลาดสดเชียงคานแล้วค่ะ...พอไปถึงก็สะดุดตากับป้ายนี้.. ปลานิลดิ้นได้ http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_01.jpg แล้วก็เห็นปลาเป็นๆถูกขังแน่นอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่...ทราบว่าเป็นปลานิล เลี้ยงในกระชังที่ริมแม่น้ำโขงฝั่งไทย และส่งขายไปทั่ว ทั้งในไทยและลาว เพิ่งเห็นปลานิลตัวเป็นๆก็ที่นี่เองค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_02.jpg ที่สะดุดตาอีกอย่างหนึ่งก็ "หนังควายตากแห้ง" ที่หมักเกลือกันเน่าไว้ด้วย....กึ๋ยยยยส์ !!!...มีขนติดมาด้วย แม่ค้าบอกว่า จะทานก็ต้องเอาไปย่างไฟให้ขนไหม้ พอสุกหนังควายจะพอง กินแซ่บนักหนา... http://i835.photobucket.com/albums/z..._Market_03.jpg |
หิวค่ะ...หิวมากๆ.... ได้ยินว่าที่ตลาดสดเชียงคาน มีร้านขายปาท่องโก๋ทรงเครื่องอร่อยมากๆ เลยไปเดินหา เนื่องจากมากันจนสายโด่ง ร้านขายปาท่องโก๋ฯ เจ้าดัง ขายเกลี้ยงแต่เช้า และปิดร้านไปเรียบร้อยแล้ว เราจึงต้องเดินไปอีกเจ้าหนึ่ง ดูๆแล้วสะอาดสะอ้านดี ก็เลยไปนั่งและสั่งปาท่องโก๋ กับกาแฟโบราณ (มีน้ำชาร้อนๆแถมให้ด้วย) มานั่งรับประทานกันสองตายาย.... http://i835.photobucket.com/albums/z...atonggo_01.jpg ปาท่องโก๋ร้อนๆที่สั่งมาสองจาน (จานละ 30 บาท)...จานหนึ่งเป็นปาท่องโก๋ไส้หมูสับ มีน้ำจิ้มเปรี้ยวๆหวานๆแกล้มแก้เลี่ยน และอีกจานเป็นไส้กล้วย ราดหน้าด้วยนมข้นหวาน... http://i835.photobucket.com/albums/z...atonggo_04.jpg ด้วยความอร่อย บวกกับความหิว...ปาท่องโก๋สองจานก็หมดไปในเวลาไม่นานนัก http://i835.photobucket.com/albums/z...atonggo_05.jpg |
หนังท้องตึง แต่หนังตายังไม่หย่อน ที่นี้ ก็ถึงเวลาเที่ยวในตัวเมืองเชียงคานกันแล้วล่ะค่ะ... ไปค่ะ...ไปเที่ยวเมืองเชียงคานด้วยกัน... ก่อนจะเริ่มต้นเที่ยว..เราไปหาข้อมูลเพิ่มเติมกันก่อน ที่ ศูนย์ข้อมูลเมืองเชียงคาน ที่ตั้งอยู่บริเวณสวนสาธารณะ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ระหว่างซอย 21 และ 22 ซึ่งที่นั่น มีทั้งแผนที่และข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเมืองเชียงคาน ให้เราได้หยิบมาศึกษาก่อนเที่ยว ซึ่งนับเป็นประโยชน์แก่เรา และนักท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เพิ่งเคยมาเยือนเชียงคานเป็นครั้งแรก... http://i835.photobucket.com/albums/z...owntown_02.jpg บริเวณถนนที่ศูนย์ข้อมูลเมืองเชียงคานตั้งอยู่ เราเห็นทิวต้นสักสูงใหญ่ ให้ร่มเงาครึ้มดูสวยงาม เห็นแล้วสบายตาสบายใจเป็นที่สุด จากข้อมูลที่ได้รับ ทำให้เราทราบว่า ไม่ไกลจากศูนย์ฯนัก มีถนนสายหนึ่ง มีต้นสักปลูกเป็นแถวตลอดความยาวของถนน ต้องไปชมกันหน่อยแล้วล่ะค่ะ "ถนนสายต้นสัก" อยู่ในซอยเชื่อมระหว่างถนนชายโขงและถนนศรีเชียงคาน ด้านหนึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเชียงคาน ช่างร่มรื่นและสวยงามจริงๆค่ะ อยากให้ถนนเมืองไทยทุกสาย เป็นอย่างนี้... |
จากข้อมูลที่เราพอมีอยู่ผสมกับข้อมูล ที่ได้มาจากศูนย์ฯ เราตกลงใจกันว่า ภายในวันนี้...เราจะไป "ไหว้พระเก้าวัด" ซึ่งทุกวัดจะอยู่ในเมืองเชียงคาน เพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิตของเรา วัดแรกที่เราจะไป คือวัดที่ตั้งอยู่ที่ถนนศรีเชียงคานซอย 21 ด้านติดกับลำน้ำโขง ไม่ไกลจากศูนย์ข้อมูลเมืองเชียงคานที่สุด นั่นคือ "วัดท่าคก" ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองเชียงคาน ที่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากๆ ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ไว้ และยังมีพระประธานที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพบูชาของชาวเชียงคานมาช้านาน http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_03.jpg อ่านประวัติของวัด ทำไมจึงชื่อ "ท่าคก" จากป้ายหน้าวัดเองนะคะ http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_01.jpg วัดท่าคกถูกสร้างขึ้นในสมัยที่เมืองเชียงคานยังขึ้นอยู่กับมณฑลพิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ.2395 โดยพระศรีอรรคฮาต (สีทา) เจ้าเมืองเชียงคานในสมัยนั้น ร่วมกับชาวบ้าน เพื่อที่จะปกป้องผืนแผ่นดินสยาม มิให้ถูกฝรั่งเศสรุกล้ำพื้นที่เข้ามาจากการล่าอาณานิคมเมืองขึ้น พระศรีอรรคฮาตจึงได้ออกอุบายสร้างวัดท่าคกนี้กันพื้นที่เอาไว้ http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_02.jpg วัดท่าคก นอกจากจะเป็นปูชนียสถานสำคัญแห่งหนึ่ง ในอำเภอเชียงคานแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมงานศิลปะและวัฒนธรรมจากหลายชนชาติอีกด้วย http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_04.jpg |
อุโบสถที่มีศิลปะลวดลายแบบฝรั่งเศสอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าโบสถ์ และขอบหน้าต่าง ที่คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากสมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองดินแดนฝั่งลุ่มน้ำโขง (ลาว) เป็นเมืองขึ้น http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_07.jpg ตัวอุโบสถจะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ตามแบบศิลปะล้านช้าง ตกแต่งด้วยปูนปั้น เพดานไม้วาดลายเขียนสีแบบโบราณ http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_08.jpg ภายใน ตั้งแท่นขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระประธาน 3 องค์ ปางมารวิชัย ศิลปะปูนปั้นล้านช้าง ที่ชาวเชียงคานเคารพบูชามาช้านาน พระพุทธรูปองค์ใหญ่ด้านหน้า เข้าใจว่าจะสร้างมาประดิษฐานในภายหลัง เหมือนที่วัดท่าแขก ที่เราเคยไปกราบไหว้มาแล้ว http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_11.jpg วัดท่าคก แม้จะเป็นเพียงวัดเล็กๆ หากแต่เรื่องราวในอดีต ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_06.jpg |
ศาลที่ตั้งอยู่นอกอุโบสถ ไม่ปรากฎข้อมูลว่า เป็นศาลอะไร และตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร... http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_15.jpg ป้ายแผ่นนี้ แขวนอยู่ข้างศาล....โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ http://i835.photobucket.com/albums/z...Tha-Kok_16.jpg สิ่งที่ทำให้เราเสียอารมณ์ไปมาก จากการไปชมวัดท่าคกครั้งนี้ เห็นจะเป็นตัวหนังสือโย้ๆเย้ๆ ที่เขียนไว้ที่ทางเข้าประตูอุโบสถ ซึ่งมีทั้งชื่อผู้บริจาคเงิน และจำนวนเงินที่บริจาคไว้หรา ทั้งบนหน้าบันกรอบประตู และบนผนังข้างประตู ทำให้ภาพปูนปั้นที่งดงามของประตู และผนังโบสถ์ หมดงามไปมาก ช่างน่าเสียดายจริงๆค่ะ... |
วัดมหาธาตุ จากวัดท่าคก...เราย้อนไปทางใต้ มุ่งหน้าไป "วัดมหาธาตุ" ที่ได้กล่าวถึงในประวัติเมืองท่าคก ที่ได้กล่าวว่า ที่ทำการเมืองเชียงคาน เคยตั้งอยู่บริเวณวัดพระธาตุ ที่ปัจจุบันตั้งอยู่ถนนศรีเชียงคาน ระหว่างซอย 14 และ 15 หาตัววัดไม่ยากเลยค่ะ เพราะประตูทางเข้าวัดตั้งอยู่ริมถนนใหญ่... เข้าไปก็งงๆ...สงสัยเราจะเข้าประตูด้านข้างมากกว่า เพราะตัวโบสถ์ และอาคารในวัด ล้วนหันหน้าไปทางทิศใต้ และยังมีประตูอยู่ในซอย 14 แต่ปิดไว้ด้วยประตูซี่ลูกกรงเหล็กดัด รถจึงเข้าไม่ได้ แต่ก็มีประตูเล็กให้เดินเข้าออกได้เท่านั้น ที่แปลกอีกอย่างหนึ่งคือ มีรูปปั้นยักษ์สองตน ยืนถือกระบองอยู่หลังประตู แทนที่จะเป็นหน้าประตู อย่างที่เคยเห็นอยู่ทั่วไป... ทราบมาว่า...วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคาน ก่อตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ.๒๑๙๗ พร้อมกับการสร้างเมืองเชียงคาน เคยเป็นที่ว่าการงานเมืองของเจ้าเมืองเชียงคานมาหลายสมัย http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_05.jpg [/IMG] ป้ายไม้ที่เขียนไว้หน้าบันไดทางขึ้นอุโบสถเก่า ทำให้รู้ว่า เชียงคาน เดิมเป็นที่ตั้งของ "บ้านท่านาจันทร์" http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_07.jpg |
พระอุโบสถ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "สิม" หลังเก่าทำด้วยไม้ สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2202 ปัจจุบันทรุดโทรมมาก คงจะมีการบูรณะซ่อมแซมมาแล้วหลายครั้ง ปัจจุบัน แทบไม่ค่อยจะมีไม้ให้เห็นแล้ว (นอกจากที่กองทิ้งไว้อยู่ข้างๆโบสถ์) http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_05.jpg สภาพแวดล้อมโดยรอบอุโปสถหลังเก่า ไม่ค่อยจะเจริญหูเจริญตานัก โดยเฉพาะถังปูนใส่น้ำฝน ที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์ทั้งสองข้าง และศาลาการเปรียญที่ต่อออกไปจากอุโบสถ นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์ทั้งตุ๊กๆและรถกระบะ มาจอดประชิดติดอยู่ข้างตัวอุโบสถอีกด้วย http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_09.jpg หลังคาโบสถ์ที่คงผุพังไปหมด ถูกสร้างครอบไว้ด้วยหลังคาสังกะสี ที่บัดนี้เก่าคร่ำคร่าแล้ว ไม่แน่ใจว่าน้ำฝนจะรั่ว หรือสาดเข้ามาจนถึงประตูหน้าโบสถ์ด้วยหรือไม่ http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_11.jpg หน้าบรรณของโบสถ์ มีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวประวัติเมืองเชียงคาน ซึ่งบัดนี้เลอะเลือนจางหายไปอย่างน่าเสียดาย http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_12.jpg |
ภาพวาดสวยๆ ที่กำลังลบเลือนหายไป....เห็นแล้วเสียดาย...เสียใจ...อยากร้องไห้ค่ะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_14.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_15.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_16.jpg |
ประตูทางเข้าที่ทรุดโทรม แต่มองผ่านเข้าไปเห็นพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนแท่น ช่างงามจับตาจับใจ http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_17.jpg พระประธานองค์นี้ มีชื่อว่า "หลวงพ่อใหญ่" ชาวบ้านจึงเรียกวัดมหาธาตุนี้ติดปากว่า "วัดหลวงพ่อใหญ่" http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_18.jpg พระพุทธรูปองค์นี้ศักดิ์สิทธิมาก เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเชียงคานตลอดมา... http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_19.jpg ในอุโบสถหลังเก่านี้ มีตู้พระธรรมไม้ลงรักปิดทอง หีบพระธรรมไม้ลงรักปิดทอง และแท่นที่นั่งของเจ้าเมืองเชียงคาน ตั้งแสดงไว้ด้วย http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_21.jpg น่าเสียดาย...ที่พระอุโบสถเก่าแก่หลังนี้ มีหยากไย่ใยแมงมุม คราบสกปรก และริ้วรอยต่างๆ ปรากฎให้เห็นทั่วไป แสดงให้เห็นว่าถูกปล่อยประละเลย ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ให้สมกับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณการณ์... |
เยื้องๆด้านหน้าพระอุโบสถหลังเก่า และศาลาการเปรียญ...เป็นที่ตั้งของอุโบสถหลังใหม่ ที่สร้างขึ้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง http://i835.photobucket.com/albums/z...ahathat_04.jpg พระอุโบสถหลังใหม่ดูสวยดีค่ะ...แต่อาคารสูง ที่ปลูกอยู่ด้านหลัง ซึ่งทราบมาว่าเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม และศูนย์เด็กเล็กก่อนวัยเรียน รวมทั้งด้านข้างที่เป็นกุฏิเจ้าอาวาสวัด ซึ่งด้านหน้า ประดับประดาด้วยระฆังเหล็กใบใหญ่ๆหลายสิบใบ รูปปั้นพญานาค รูปหล่อเทพเจ้าต่างๆ ได้ทำให้ความสวยสง่างาม ของพระอุโบสถหลังใหม่นี้ ดูด้อยค่าลงไปได้อย่างมากมายทีเดียว ความสวยสง่างามที่ลดลงไปนั้น...ยังนับรวมไปถึงคราบสกปรก และฝุ่นละออง ที่ปรากฎให้เห็นได้ทั่วไป รอบๆตัวอุโบสถด้วย... มองข้ามลานกว้าง ไปทางด้านขวามือของอุโบสถหลังใหม่ จะเห็นอาคารเล็กๆรูปทรงสี่เหลี่ยมสีขาวขลิบฟ้า ตั้งอยู่ระหว่างโรงจอดรถ อ่านในหนังสือพบว่า นั่นคือ "ส้วมโบราณ" ที่สร้างมานานหลายสิบปี เราไม่ได้ถ่ายเจาะภาพส้วมโบราณมาให้ดูกัน เหตุผลเพราะว่า หลังจากนั้น มีสาวๆไปยืนรอเข้าห้องน้ำอยู่หลายคน เราเองก็ไม่มีเวลาพอจะไปนั่งรอคุณเธอค่ะ.... ที่สำคัญคือ พระอุโบสถแห่งนี้ ปิดประตูลั่นดานไว้สนิท ผู้ที่จะเข้าไปกราบไหว้ และชื่นชมความงามภายในนั้น ไม่สามารถจะเข้าไปได้ ต้องใช้วิธีมองผ่านหน้าต่าง ที่มีลูกกรงไม้กลึงกั้นไว้... |
ครบถ้วนสวยงามทั้งภาพและเรื่องราวคะ ขอบคุณกับการเดินทางดีๆที่มีมาแบ่งปันให้น้องๆ เสมอคะ
:p |
ขอบคุณจ้ะ น้องกุ้ง...:) ขนาดว่าภาพถ่ายที่ได้มาก็มากมายแล้ว แต่พอจะเขียนเรื่อง ก็ให้รู้สึกว่า ภาพที่ถ่ายมานั้น มีไม่ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นอ่ะค่ะ...:p |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:58 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger