SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5758)

สายน้ำ 17-12-2021 02:59

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17-18 ธ.ค. 2564

ในขณะที่บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกบางในตอนเช้า และมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส แต่ยังคงทำให้มีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็น สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-12 องศาเซลเซียส และยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆบางส่วน กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 16 - 17 ธ.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1?3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า แต่ยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาว

ส่วนในช่วงวันที่ 18 - 20 ธ.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีน จะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีอุณหภูมิจะลดลง 3?5 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 2?4 องศาเซลเซียส

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 21 - 22 ธ.ค. 64 บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 2?4 องศาเซลเซียส กับมีหมอกบางในตอนเช้า ในขณะที่คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนจะเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นบางแห่งในบริเวณดังกล่าว

สำหรับในช่วงวันที่ 16 - 18 ธ.ค. 64 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงเคลื่อนผ่านประเทศมาเลเซียและภาคใต้ตอนล่าง ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 19 - 22 ธ.ค. 64 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยสูง 1-2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

อนึ่ง พายุไต้ฝุ่น "ราอี" บริเวณทิศตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์กำลังเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกค่อนไปทางเหนือ คาดว่าจะเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์และลงทะเลจีนใต้ในวันที่ 18 ธ.ค. 64 โดยพายุนี้ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 16-17 และ 21-22 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 18 - 20 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นไว้ด้วย สำหรับในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือบริเวณภาคใต้ตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ หลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ตอนล่าง(มีผลกระทบถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2564) " ฉบับที่ 8 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2564

หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมบริเวณประเทศมาเลเซีย ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้

พื้นที่ที่คาดว่าได้รับผลกระทบมีดังนี้

วันที่ 17 ธันวาคม 2564: บริเวณจังหวัดพัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล

วันที่ 18 ธันวาคม 2564: บริเวณจังหวัดสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล

สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร สำหรับทะเลอันดามันตอนล่างคลื่นสูง 1-2 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 17-18 ธ.ค. 2564



https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds


https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds

สายน้ำ 17-12-2021 03:54

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ยันไม่เลื่อนเปิด "อ่าวมาหยา" 1 ม.ค.นี้ได้ยลโฉมแน่

กระบี่ - จังหวัดกระบี่ยืนยันไม่เลื่อนเปิด "อ่าวมาหยา" แหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง 1 ม.ค.65 นี้ นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมความสวยงามอย่างแน่นอน ภายใต้ข้อกำหนดทั้งการจำกัดจำนวนคน เวลา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องตามที่ กมธ.ที่ดินติง

https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds

จากกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เตรียมเปิดอ่าวมาหยาให้นักท่องเที่ยวเข้าได้อีกครั้ง ในวันที่ 1 ม.ค.2565 หลังถูกปิดเพื่อฟื้นฟูสภาพธรรมชาติมานานตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.61 รวมเวลา 3 ปีเศษ จนสภาพธรรมชาติฟื้นตัวกลับมาสวยงามอีกครั้ง โดยกรมอุทยานฯ เตรียมแผนรองรับการเปิดอ่าวครั้งใหม่ด้วยการสร้างท่าเทียบเรือขึ้นที่บริเวณอ่าวโละซามะ เพื่อใช้รับส่งนักท่องเที่ยวเข้าไปยังอ่าวมาหยา และเส้นทางเดินบอร์ดเวย์ จากท่าเรือไปยังอ่าวมาหยา เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเหยียบย่ำลงบนพื้นทราย

ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทางคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.กระบี่ ในฐานะรองประธาน กมธ.ที่ดินฯ นำคณะเข้าตรวจสอบกรณีบริษัทรับเหมาเอกชนร้องเรียนไปยัง กมธ.ที่ดินฯ ถึงปัญหาการก่อสร้างท่าเทียบเรือ พร้อมกับได้เข้าประชุมเรื่องดังกล่าวที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ โดยมีนายปราโมทย์ แก้วนาม หน.อุทยานฯ นายมานะ นวลหวาน ผอ.เจ้าท่าภูมิภาค สาขากระบี่ นายทศพร โชติช่วง ผอ.ทสจ.กระบี่ นายทิดฐพงษ์ พรมภักดี วิศวกรจาก บ.ไฮ-พลัส คอร์ปอเรชั่น จก. ซึ่งเป็นบริษัทที่เสียหาย น.ส.ศศิธร กิตติธรกุล นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.กระบี่ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสรุปปัญหาที่เกิดขึ้น

โดยตัวแทนของบริษัทไฮ-พลัสฯ ให้ข้อมูลกับคณะ กมธ.ที่ดินฯ ว่า การก่อสร้างท่าเทียบเรืออ่าวโล๊ะซามะ เกิดปัญหาไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามสัญญาเนื่องจากก่อนนี้กรมอุทยานฯ ทำแบบแปลนก่อสร้างท่าเทียบเรือ มีสะพานยื่นออกมารับกับโป๊ะจอดเรือลอยน้ำ แต่แบบแปลนแรกที่นำมาเปิดประมูลให้บริษัทฯ เข้าดำเนินการเกิดความผิดพลาดจึงต้องยกเลิก และทำการออกแบบใหม่ก่อนเปิดให้มีการประมูลหาผู้รับเหมารายใหม่เข้าไปดำเนินการ ทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหายจากการทำสัญญาก่อสร้างฉบับแรก เพราะมีการเตรียมอุปกรณ์ไว้แล้ว และมีการตรวจรับอุปกรณ์ตามระเบียบ แต่บริษัทกลับไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ จึงนำเรื่องนี้ไปร้องต่อศาลปกครอง เพื่อเรียกค่าเสียหายจากกรมอุทยานฯ นอกจากนี้ ในแบบแปลนของกรมอุทยานฯ ที่ออกมาแบบที่ 2 ไม่สามารถติดตั้งเข้ากับโป๊ะจอดเรือแบบลอยน้ำได้ จนต้องปรับแก้รูปแบบท่าเรือใหม่

ซึ่งทาง กมธ.ที่ดินฯ มองว่า รูปแบบที่ก่อสร้างใหม่อาจไม่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอหากมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในการปรับแบบใหม่ ทางกรมอุทยานฯ ไม่ได้ยื่นขอแก้แบบไปยังกรมเจ้าท่า มีเพียงการยื่นขออนุญาตไปครั้งแรกในรูปแบบเก่าเท่านั้น จึงอาจผิดระเบียบของกรมเจ้าท่าได้ ทาง ผอ.เจ้าท่า สาขากระบี่ จึงเสนอให้ทางอุทยานฯ ดำเนินการยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างให้ถูกต้องก่อน

นายสฤษฎ์พงษ์ กล่าวว่า ปัญหาเรื่องท่าเทียบเรืออ่าวมาหยา เกิดปัญหาจากการร้องเรียนของผู้รับเหมารายแรกที่ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ตามสัญญา เพราะมีปัญหามาจากแบบแปลนการก่อสร้าง ทำให้ทางผู้รับเหมาต้องไปร้องต่อศาลปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหาย ต่อมา มีการนำเอาบริษัทรับเหมาอีกรายเข้ามาดำเนินการต่อ ซึ่งรายที่ 2 จะเข้ามาถูกต้องตามกระบวนการหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องรูปแบบของท่าเทียบเรือ ที่ทางวิศวกรก่อสร้าง มองว่ามีความไม่มั่นคงปลอดภัยเพียงพอ จึงต้องปรับแก้กันอยู่ในตอนนี้

รอง ปธ.กมธ.ที่ดินฯ กล่าวด้วยว่า ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวต้องมาเป็นอันดับแรกหากเร่งรีบเปิดอ่าวมาหยา ทั้งที่ความพร้อมยังไม่มี จะเกิดผลเสียตามมาในภายหลังได้ รวมถึงการขออนุญาตก่อสร้างจากกรมเจ้าท่า และทราบว่ามีการยื่นขออนุญาตก่อสร้างไปเพียงครั้งแรกครั้งเดียว แต่เกิดปัญหาต้องมาแก้ไขรูปแบบจึงยังไม่ได้ยื่นขออนุญาตกรมเจ้าท่าใหม่ แต่หลังจากที่ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส.มาที่กระบี่ มาให้นโยบายว่าต้องเปิดอ่าวมาหยาให้ได้ในวันที่ 1 ม.ค.65 ทำให้หน่วยงานในพื้นที่ต้องเร่งดำเนินการจนอาจจะผิดกฎหมายได้

นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวอีกว่า เมื่อเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมา ทาง กมธ.ที่ดินจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมใหญ่ เพื่อดูมติว่าอาจจะต้องเสนอกรมอุทยานฯ ให้เลื่อนการเปิดอ่าวมาหยาออกไปก่อน เพราะยังไม่มีความพร้อมเพียงพอ ทุกอย่างต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน แต่หากยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้ หากจะต้องขยายเวลาปิดอ่าวมาหยา ออกไปอีก หรือหากแก้ไขแบบไม่ได้ถึงขนาดต้องทุบท่าเรือทิ้งไปต้องดูความเห็นจากวิศวกรอีกครั้ง ซึ่งการจะต้องเลื่อนการเปิด หรือขยายเวลาปิดอ่าวมาหยาออกไปอีก เชื่อว่าภาคเอกชนน่าจะเข้าใจ เพราะต้องคำนึงเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก

ล่าสุด นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ได้เรียกประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ซึ่งมีทั้งตัวแทนภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว และผู้นำท้องถิ่นใน จ.กระบี่ เข้าประชุมที่ห้องประชุมสำนักงานอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี โดยมีวาระที่สำคัญคือ การเตรียมความพร้อมเปิดอ่าวมาหยา เพื่อมอบเป็นของขวัญให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ประกอบการนำเที่ยว และผู้ประกอบกิจการต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของ จ.กระบี่ หลังจากที่กรมอุทยานแห่งชาติปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวอ่าวมาหยา รวม 3 ปีเศษ

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พูดถึงเรื่องการดำเนินการสร้างสะพานบริเวณทางขึ้นของบริษัทเอกชนผู้รับเหมา และเรื่องที่ กมธ.ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ได้รับการร้องเรียนจากผู้รับเหมาเอกชนว่าการก่อสร้างท่าเรือโล๊ะซามะทางเข้าอ่าวมาหยา เกิดปัญหาจากแบบแปลนก่อสร้าง ทำให้จนถึงตอนนี้ท่าเรือยังไม่เสร็จเรียบร้อย ทาง กมธ.ที่ดินฯ ติงว่าหากเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวเกรงจะเกิดปัญหาหากเปิดให้นักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้เปิดอ่าวมาหยา ตามกำหนดเดิมคือ วันที่ 1 ม.ค.65 โดยมีเงื่อนไข คือ นักท่องเที่ยวสามารถเหยียบอ่าวมาหยา ได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น. และออกจากอ่าวมาหยา เวลา 18.00 น. เรือนำเที่ยวเข้าเทียบท่าได้วันละ 11 รอบๆ ละ 375 คน รวมทั้งวัน 4,125 คน นักท่องเที่ยวลงดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นได้ 22 รอบๆ ละ 99 คน ในเวลา 45 นาที และลงเล่นน้ำหน้าชายหาดได้คนละ 1 ชั่วโมง โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าอ่าวมาหยา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จะเปิดให้จองผ่านระบบ QueQ (คิวคิว) ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.64 เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป และเปิดพื้นที่ให้สำหรับคนในท้องถิ่นส่วนหนึ่งในการเข้าจอดเรือที่อ่าวโล๊ะซามะ

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า หลังจากที่ทาง กมธ.ที่ดินฯ ได้เข้ามาตรวจสอบการก่อสร้างท่าเรือบริเวณอ่าวโละซามะ ซึ่งใช้เป็นท่าเทียบเรือให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปอ่าวมาหยาพบว่ามีปัญหาเนื่องจากในส่วนที่แก้ไขแบบยังไม่ได้มีการขออนุญาต จะให้ทางอุทยานหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้มีการขออนุญาตให้ถูกต้อง และเชื่อว่าคงจะไม่มีปัญหา และจังหวัดจะเข้าไปร่วมด้วย

และอย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 มกราคมนี้จะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าอ่าวมาหยาได้อย่างแน่นอน แต่อาจจะไม่เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ เพื่อทดสอบระบบว่าติดขัดปัญหาตรงไหนอย่างไร จะมีการดำเนินการแก้ไขต่อไปเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทุกฝ่ายคำนึงถึงการเปิดประเทศตามนโยบายของรัฐบาล


https://mgronline.com/south/detail/9640000124278


สายน้ำ 17-12-2021 03:57

ขอบคุณข่าวจาก มติชน


วางเรือหลวง 3 ลำ สร้างอุทยานเรียนรู้ใต้ทะเล เกาะลันตา เผยอีก 8 ลำที่ปลดประจำการ เตรียมจม มี.ค.65

จ.กระบี่ ทำพิธีวางฝูงเรือรบอย่างสมเกียรติ สร้างอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเล เกาะลันตา

https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 ธันวาคม) นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีจมเรือรบหลวง รวม 3 ลำ ใกล้กับเกาะหมา ท้องทะเล อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ลงสู่ใต้ทะเล เป็นอุทยานการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรทางทะเล และเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำระดับโลก ในพื้นที่ทะเลเกาะลันตา จ.กระบี่ โดยมี นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พลเรือตรี พัลลภ เขม้นงาน รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 นายชวน ภูเก้าล้วน ประธานสภาการศึกษาจังหวัดกระบี่ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ และประชาชน เข้าร่วม

ก่อนการวางเรือหลวงทั้ง 3 ลำ คือเรือหลวงปราบปรปักษ์ เรือ ต.15 หรือเรือหลวงสู้ไพรินทร์ และเรือ ต.16 หรือเรือหลวงหาญหักศัตรู ลงสู่ใต้ท้องทะเล ได้มีพิธีวางพวงมาลาไว้อาลัยอย่างสมเกียรติ พร้อมทำการนำน้ำเข้าเรือใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าเรือจะจมดิ่งสู่ก้นทะเลทั้ง 3 ลำ

สำหรับพิธีจมเรือดังกล่าวเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำของ จ.กระบี่ และจังหวัดฝั่งอันดามัน ตามโครงการอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล โดยความร่วมมือระหว่าง จ.กระบี่ ร่วมกับกองทัพเรือ และสภาการศึกษา จ.กระบี่

https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds
ภาพโดย ทัพเรือภาคที่ 3

นายไชยยศกล่าวว่า โครงการสร้างอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลจังหวัดกระบี่ได้รับการอนุเคราะห์จากกองทัพเรือมอบเรือปลดประจำการ จำนวน 11 ลำ ซึ่งเป็นเรือที่ปลดประจำการเพื่อจมใต้ท้องทะเลเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ โดยในวันนี้ทำการจมเรือรบปลดประจำการ จำนวน 3 ลำ ได้มีการทำพิธีวางเรือไปแล้ว จำนวน 3 ลำ เพื่อเป็นการจัดสร้างปะการังเทียม ตามโครงการอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเล จ.กระบี่ ส่วนอีก 8 ลำ จะนำมาจมอีก ประมาณเดือนมีนาคม 2565 ซึ่งจากนี้ไปเรือรบทั้ง 3 ลำ จะทำหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ตามโครงการอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเลจังหวัดกระบี่ตลอดไป

ด้านนายสมชาย กล่าวว่า เชื่อว่าในอนาคต จ.กระบี่ จะเป็นศูนย์กลางการดำน้ำดูปะการังที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในท้องทะเลฝั่งอันดามัน เนื่องจากมีปะการังที่เป็นโครงการอุทยานเรียนรู้ และปะการังธรรมชาติ โดยก่อนหน้านี้ทาง จ.กระบี่ นำเรือรบที่ปลดประจำการไปวางไว้ท้องทะเล จำนวน 2 จุด ได้แก่ บริเวณเกาะยาวาซำ และเกาะพีพีเล ต.อ่าวนาง พบว่ามีปะการังเริ่มเจริญงอกงามและกำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว

ขณะที่นายชวนกล่าวว่า จากการติดตามข้อมูลพบว่ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 1 แสนที่เดินทางเข้าไปดำน้ำดูปะการังโครงการอุทยานเรียยรู้ใต้ท้องทะเล ทำให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวมีเงินสะพัดปีละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และยังเป็นการดึงนักดำน้ำให้ออกจากแหล่งปะการังธรรมชาติ ลดความเสื่อมได้อีกด้วย


https://www.matichon.co.th/politics/news_3090710



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:10

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger