SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5032)

สายน้ำ 18-01-2020 03:24

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่บริเวณยอดดอย ในภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น

ฝุ่นละออง ในระยะ 1-2 วันนี้ บริเวณภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ลมที่พัดปกคลุมบริเวณดังกล่าวเป็นลมอ่อน และมีฝนเล็กน้อยทำให้ฝุ่นละอองยังคงสะสมได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 17 - 18 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 1-13 องศาเซลเซียส

ในช่วงวันที่ 19 - 21 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเพิ่มมากขึ้น และ

ในช่วงวันที่ 22 - 23 ม.ค. 63 บริเวณภาคเหนือตอนบนอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส

สำหรับภาคใต้ ในช่วงวันที่ 19 - 22 ม.ค. 63 จะมีฝนเพิ่มมากขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 18 - 23 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนรักษาสุขภาพเนื่องสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย และในการสัญจรผ่านบนิเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ในช่วงวันที่ 19 - 22 ม.ค. 63 ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ



https://i1198.photobucket.com/albums...psdlnxirbz.jpg

https://i1198.photobucket.com/albums...ps6xi46gim.jpg

สายน้ำ 18-01-2020 04:11

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ชาวประมงชลบุรีรวมตัวเตรียมพร้อมรับมือโครงการถมทะเลแหลมฉบังในพื้นที่ 3,000 ไร่

https://i1198.photobucket.com/albums...psmulw3kds.jpg

ศูนย์ข่าวศรีราชา - ชาวประมงชายฝั่งชลบุรี รวมตัวหารือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ หลังภาครัฐสั่งให้มีการศึกษาความเป็นไปได้โครงการถมทะเลแหลมฉบังในพื้นที่ 3,000 ไร่

นายรังสรรค์ สมบูรณ์ ชาวประมงชายฝั่งชลบุรี เผยว่า ขณะนี้ตัวแทนชาวบ้าน และประมงพื้นบ้าน ประมงชายฝั่ง จ.ชลบุรี ได้มีการหารือร่วมกันเกี่ยวกับผลกระทบจากโครงการถมทะเล 3,000 ไร่ ตามที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติให้การนิคมอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการดังกล่าว เพื่อรองรับการลงทุนส่วนขยายโครงการปิโตรเคมีของกลุ่มเอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น

"พวกเราเชื่อว่า ถ้ามีการถมทะเลก็เท่ากับหายนะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะจะสูญเสียทรัพยากรทางทะเลอย่างถาวร ตอนนี้ชายฝั่งทะเลที่นี่ไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว อ่าวบางละมุง แหลมฉบัง อ่าวอุดม ถือเป็นผืนน้ำแหล่งสุดท้ายของอาชีพพวกเรา ที่เราถอยไม่ได้อีกแล้ว ที่ผ่านมา ชุมชนและชาวบ้านรอบพื้นที่ที่มีการพัฒนาจากโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด พวกเราต้องเผชิญต่อผลกระทบทั้งในด้านทรัพยากร สิ่งแวดล้อม มาเกือบ 30 ปีแล้ว โดยที่ภาครัฐไม่ได้ให้ความสำคัญกับมาตรการชดเชย เยียวยาที่ชัดเจน"

นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า โดยเฉพาะอาชีพการทำประมงพื้นบ้านที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียไป เพราะในอดีตแนวเขตทะเลชายฝั่งอ่าวบางละมุง-อ่าวอุดม ถือว่าอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรสัตว์ทะเล และที่นี่ยังถือเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ที่ขึ้นชื่อ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนเฉลี่ย 280 ล้านบาทต่อปี และหากรวมกับสัตว์ทะเลอื่นๆ ที่จับส่งขาย สามารถสร้างรายได้ให้ชาวประมงพื้นบ้านในชุมชนสูงถึงกว่า 400 ล้านบาทต่อปี ตลอดช่วงที่ถูกคุกคามจากอุตสาหกรรมอย่างหนัก พื้นที่หากินทางทะเลลดลง อีกทั้งสัตว์น้ำชายฝั่งหายไปจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นแทบไม่เคยได้รับการเหลียวแลและเยียวยาอย่างเหมาะสมจากภาครัฐ ดังนั้น หากมีโครงการถมทะเลเกิดขึ้นอีก ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาที่ชาวบ้านที่นี่แบกรับกันมาตลอด

ขอยืนยันอีกครั้งว่า ภาครัฐควรยุติแนวคิดที่จะสร้างปัญหาซ้ำเติมชาวบ้าน และสิ่งแวดล้อม หากภาครัฐยังไม่สนใจเสียงของชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ ที่ต้องสูญเสียอาชีพทำกิน พวกเราจะไม่ยอมอีกต่อไป จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด เพราะจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่เพื่อสอบถามความคิดเห็นของชาวประมงเลย และเมื่อปลายปี 2562 ที่ผ่านมา พวกเราได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมาธิการการที่ดินทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งถึงความเดือดร้อนและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากโครงการดังกล่าวเกิดขึ้น

สำหรับพื้นที่ทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กำลังศึกษาความเหมาะสม มีทั้งหมด 4 แห่ง คือ พื้นที่ที่ 1 เป็นพื้นที่บนบก เนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ พื้นที่นี้มีผู้ถือกรรมสิทธิ์การเช่ารวม 7 ราย จำนวน 14 แปลง ปัจจุบันเป็นคลังสินค้า ลานจอดรถยนต์และรถบรรทุกเพื่อการส่งออกและอู่ต่อเรือ สิทธิการเช่าเหลือตั้งแต่ 1-15 ปี

พื้นที่ที่ 2 เป็นพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เชิงพาณิชย์ ประกอบไปด้วย โรงกลั่นน้ำมัน และชุมชนที่กระจายตัวและแทรกตัวอยู่ระหว่างโรงกลั่นน้ำมัน คลังน้ำมัน และคลังก๊าซ พื้นที่รวมประมาณ 5 พันไร่

พื้นที่ที่ 3 พื้นที่ถมทะเลในบริเวณเขาบ่อยาและเขาภูไบ ด้านทิศเหนือของท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง หรือบริเวณอ่าวอุดม เบื้องต้น กำหนดพื้นที่เป้าหมายการถมทะเลประมาณ 2,500-3,000 ไร่

พื้นที่ที่ 4 เป็นพื้นที่การก่อสร้างแหล่งเก็บตะกอนในอนาคต ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการการก่อสร้างขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังระยะที่ 3 เนื้อที่ประมาณ 1,875 ไร่ บริเวณนี้คือด้านหลังของเกาะสีชัง


https://mgronline.com/local/detail/9630000005343


*********************************************************************************************************************************************************


จีนเดินหน้าพัฒนาวิถีสู้นานามลพิษ หลังเห็นผลลัพธ์ดีในปี 2019

https://i1198.photobucket.com/albums...psdnhr1mrz.jpg
จีนได้กำหนดให้ปี 2020 เป็นปีที่ต้องบรรลุเป้าหมายของแผนปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับมลพิษทางอากาศระยะ 3 ปี (ภาพซินหวา สื่อทางการจีน)

สำนักข่าวซินหัว สื่อทางการจีน รายงาน (15 ม.ค.) หน่วยงานสังเกตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอันดับต้นๆ ของจีนได้ตอกย้ำปณิธานในการต่อสู้กับมลภาวะด้านสิ่งแวดล้อมปี 2020 หลังเห็นผลบวกจากความพยายามในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในปีที่ผ่านมา

"การลงมือปฏิบัติจริงในปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ทิศทางและเส้นทางการควบคุมมลพิษในปัจจุบันนั้นถูกต้อง และควรได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นต่อไปในระยะยาว" หลี่กั้นเจี๋ย รัฐมนตรีกระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมกล่าวเมื่อวันจันทร์ (13 ม.ค.) ในการประชุมประจำปีของกระทรวงที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน

หลี่กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ควรหลีกเลี่ยงการนำ "วิธีเดียวสำหรับทุกด้าน" (one-size-fits-all approach) มาใช้ในการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อม ทั้งยังควรส่งเสริมการนำวิธีการที่แม่นยำและเป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ในการควบคุมมลพิษ

ด้านการควบคุมมลพิษทางอากาศ จีนได้กำหนดให้ปี 2020 เป็นปีที่ต้องบรรลุเป้าหมายของแผนปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับมลพิษทางอากาศระยะ 3 ปีที่เผยแพร่โดยคณะรัฐมนตรีในปี 2018

แผนดังกล่าวกำหนดเป้าหมายว่า การปล่อยซัลเฟอร์ไดออกไซด์และไนโตรเจนออกไซด์โดยรวมจะลดลงมากกว่าร้อยละ 15 ภายในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015

ความหนาแน่นของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่ส่งผลให้เกิดหมอกควัน ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานระดับแคว้นต่างๆ ของจีน จะลดลงมากกว่าร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปี 2015

อีกทั้งในระดับแคว้น อัตราส่วนของวันที่คุณภาพอากาศดีจะแตะที่ร้อยละ 80 และอัตราส่วนของวันที่มีมลพิษรุนแรงจะลดลงมากกว่าร้อยละ 25 ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015

ด้านการควบคุมมลพิษทางน้ำ กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม (MEE) จะดำเนินการสอบสวนแหล่งบำบัดน้ำเสียต่างๆ ที่ปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำเหลือง อีกทั้งจะดำเนินการเพื่อให้โรงบำบัดน้ำเสียที่อยู่ตามแนวแม่น้ำแยงซีและใกล้ทะเลโป๋ไห่สามารถตรวจสอบได้มากขึ้น

"ในปีนี้ จีนจะบรรลุเป้าหมายการนำเข้าขยะมูลฝอยเป็นศูนย์" หลี่กล่าวพร้อมเสริมว่าจีนจะเสริมสร้างการควบคุมและการแก้ไขปัญหามลพิษทางดินในพื้นที่ก่อสร้าง และจัดให้มีการตรวจสอบพิเศษและการบำบัดของเสียอันตราย

หลี่ชี้ว่า ในปี 2019 การต่อสู้กับมลภาวะของจีนคืบหน้าอย่างยิ่ง โดยมีสถิติการปล่อยมลพิษสำคัญๆ ที่ลดลง อีกทั้งความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในเมืองที่ไม่ได้มาตรฐานก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงฯ ระบุว่า เมืองส่วนใหญ่ในจีนรายงานผลการปรับปรุงคุณภาพอากาศเป็นบวก โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2019 ความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในแคว้น 337 แห่งหดตัวลงร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบปีต่อปี มาอยู่ที่ 34 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

การควบคุมมลพิษทางน้ำก็ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของปีก่อน โดยหลี่ให้ข้อมูลว่า ในปี 2019 พบการฝ่าฝืนกฎระเบียบที่ได้รับการแก้ไขแล้ว 3,626 กรณีในมณฑล 899 แห่ง ซึ่งเป็นพื้นที่จัดสรรแหล่งน้ำดื่มของผู้คน อีกทั้งกระทรวงฯ ยังได้จัดการทำความสะอาดแหล่งน้ำที่สกปรกจนมีสีดำและกลิ่นเหม็น 2,513 แห่งในแคว้นต่างๆ

ด้านการต่อสู้กับมลพิษทางบกก็ก้าวหน้าอย่างมั่นคง โดยเมื่อปี 2019 จีนได้ดำเนินการสำรวจเกี่ยวกับมลพิษทางดินในพื้นที่เกษตรกรรมโดยละเอียดจนเสร็จสิ้น

หลี่กล่าวว่า การห้ามนำขยะต่างประเทศเข้ามาในจีนทำให้ปริมาณการนำเข้าขยะมูลฝอยจริงทั่วประเทศลดลงร้อยละ 40.4 เมื่อเทียบระหว่างปี 2019 กับ 2018

นอกจากนี้ ในเดือนธันวาคม 2019 กระทรวงฯ ประกาศไว้ว่า จีนจะเปิดตัวกองทุนเพื่อการพัฒนาสีเขียวแห่งชาติอย่างเป็นทางการในปี 2020 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงระบบนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการปกป้องระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม

สวีปี้จิ่ว เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ระบุในการแถลงข่าวเกี่ยวกับกองทุนว่า นโยบายเศรษฐกิจด้านสิ่งแวดล้อมสามารถกระตุ้นพลังภายใน (endogenous power) บรรดาผู้ประกอบการสำหรับการควบคุมมลพิษ ทั้งยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย

หลี่ทิ้งท้ายว่า ปี 2020 เป็นปีเป้าหมายในการบรรลุการสร้างสังคมมั่งคั่งระดับปานกลางในทุกด้าน ปีสุดท้ายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 และปีชี้ขาดผลการต่อสู้กับมลพิษของจีนด้วย


https://mgronline.com/china/detail/9630000005123


สายน้ำ 18-01-2020 04:14

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


พ่อเมืองพังงาชวนนักท่องเที่ยว ร่วมรับขวัญลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี

จ.พังงา ผู้ว่าพังงาชวนร่วมรับขวัญลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี 2563 ภายใน 2-3 วันนี้ ขณะที่นักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางมาดูไม่ขาดสาย

https://i1198.photobucket.com/albums...ps3l3cwunv.jpg

17 พฤศจิกายน 2563 ที่ศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟือง หาดท้ายเหมือง จ.พังงา นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เข้าเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์พร้อมติดตาม ลูกเต่ามะเฟืองที่อยู่ในไข่จำนวน 85 ฟอง ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่จะออกจากไข่สู่โลกภายนอกทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมความพร้อมด้วยการ ปรับพื้นที่หาดทรายเปิดทางให้ลูกเต่ามะเฟืองคลานลงสู่ทะเลสำหรับไข่เต่ามะเฟืองรังแรกของฤดูกาลนี้ แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ที่หาดท้ายเหมือง บริเวณปากน้ำเก่า หมู่ที่ 9 ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา และทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการย้ายไข่เต่าไปทำการฟักที่จุดนี้ ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ ได้ชิญชวนชาวจังหวัดพังงา ร่วมกันลุ้นต้อนรับการกำเนิดของลูกเต่ามะเฟืองรังแรกของปี 2563 โดยตนเองจะเดินทางมาร่วมลุ้นที่ชายหาดด้วยอย่างแน่นอน

https://i1198.photobucket.com/albums...psxj25urw9.jpg

ขณะที่ประชาชนทราบข่าวว่า วันนี้รังไข่เต่ามะเฟืองจะฟักออกมาเป็นตัว ต่างทยอยมาดูรังไข่เต่าโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจเช็คอุณหภูมิภายในรังไข่เต่า พบว่า อุณหภูมิยังคงคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 30.33 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิภายนอกรังไข่อยู่ที่ 29.30 องศาเซลเซียส ซึ่งถ้าไข่เต่ามะเฟืองเริ่มมีการฟักตัวอุณหภูมิในรังไข่เต่าจะเริ่มลดลงจนเกือบเท่ากับอุณหภูมิภายนอกรังเจ้าหน้าที่จัดเวรยามเฝ้าดูรังไข่เต่ามะเฟืองตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประชาชนที่สนใจสามารถเข้ารับชมได้ที่เว็บไซต์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง http://loveseaturtle.dmcr.go.th ซึ่งเป็นกล้อง CCTV ติดตั้งไว้รอบหลุมฟักไข่เต่า ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงเช่นกัน


https://www.naewna.com/local/467002



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:15

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger