SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=13)
-   -   สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2563 (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=5232)

สายน้ำ 30-07-2020 03:22

สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฏาคม 2563
 
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักไว้ด้วย

อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้มีกำลังแรงขึ้น และคาดว่าจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือสู่บริเวณชายฝั่งประเทศจีนตอนใต้ ซึ่งจะส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 1-2 สิงหาคม 2563


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 29 ? 30 ก.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุกประเทศลาวและเวียดนามตอนบน ทำให้ภาคเหนือตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนต่อเนื่อง สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 31 ก.ค. - 4 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรง ประกอบกับจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้นและเคลื่อนตัวมาทางทิศตะวันตกผ่านบริเวณเกาะไหหลำ ประเทศจีน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าฟ้าคะนองจะคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 31 ก.ค. - 4 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ และขอให้ชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย



https://lh3.googleusercontent.com/Dw...-no?authuser=0


https://lh3.googleusercontent.com/Z1...-no?authuser=0


https://lh3.googleusercontent.com/V4...-no?authuser=0

สายน้ำ 30-07-2020 04:33

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


ช็อก หญิงเก่ง อดีตประธาน Kipling ถูกฉลามขาวขย้ำเสียชีวิตที่รัฐเมน

หญิงเก่งชาวอเมริกันวัย 63 อดีตผู้บริหารธุรกิจแฟชั่น และเคยดำรงตำแหน่งประธานKipling ถูกฉลามขาวจู่โจมทำร้าย ขณะว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาวที่รัฐเมน ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนเสียชีวิต

https://lh3.googleusercontent.com/Er...-no?authuser=0

เมื่อ 29 ก.ค.63 เกิดเหตุการณ์สุดสลด ตำรวจยืนยัน Julie Dimperio Holowach (จูลี่ ดิมเพริโอ โฮโลวอช) หญิงชาวอเมริกันวัย 63 ปี ซึ่งเพิ่งวางมือ-เกษียณการทำงานในตำแหน่งผู้บริหารธุรกิจแฟชั่นในนครนิวยอร์ก รวมทั้งตำแหน่งประธานบริษัทผลิตกระเป๋าชื่อดัง Kipling ใน USA ได้เสียชีวิตจากการถูกฉลามขาวขย้ำ ขณะเธอลงไปว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาว ใกล้เกาะเบลลีย์ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองพอร์ตแลนด์ ในรัฐเมน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา จนถือเป็นเหตุการณ์ฉลามทำร้ายคนจนเสียชีวิตในรัฐเมนเป็นครั้งแรก

ตามรายงานของพอร์ตแลนด์ เพรสส์ เฮอรัลด์ ระบุว่า นางโฮโลวอช ซึ่งมีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่รัฐเมน ถูกฉลามขาวทำร้ายขณะที่เธอกำลังว่ายน้ำในทะเลกับลูกสาว อยู่ห่างจากชายฝั่งเพียงแค่ 18 เมตรเท่านั้น ที่บริเวณใกล้กับอ่าว Mackerel Cove โดย ทอม ไวท์ เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า เขาได้มองเห็นจากที่ทำงานขณะนางโฮโลวอชว่ายน้ำอยู่ในทะเลกับลูกสาว ซึ่งตอนแรกเขาได้ยินเสียงเธอหัวเราะคิกคัก ทว่าต่อมากลับเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ และทันใดนั้น นายไวท์ก็เห็นนางโฮโลวอชจมลงไปใต้น้ำทะเล ซึ่งเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างดึงลงไป ขณะที่ลูกสาวของเธอก็รีบว่ายน้ำตรงมาหาแม่ทันที

https://lh3.googleusercontent.com/2l...-no?authuser=0
ภาพจาก facebook : Julie Dimperio Holowach

หลังเกิดเหตุร้ายสะเทือนใจ มีคนพายเรือคายัค 2 คนที่กำลังพายเรือใกล้กับที่เกิดเหตุได้รีบช่วยกันนำร่างของนางโฮโลวอช ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสขึ้นมายังชายหาด จากนั้นมีรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ ทว่านางโฮโลวอชได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนลูกสาวของนางโฮโลวอชไม่ได้ถูกฉลามทำร้ายแต่อย่างใด ซึ่งจากร่องรอยคมเขี้ยวของฉลาม ทำให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ระบุว่าฉลามที่ทำร้ายนางโฮโลวอช เป็นฉลามขาว

ตามรายงานยังระบุว่า นางโฮโลวอช ซึ่งเป็นคนชอบออกกำลังกาย สุขภาพแข็งแรง ทั้งเคยวิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ได้สวมชุดดำน้ำลงไปว่ายน้ำในทะเล ขณะที่ลูกสาวของเธอไม่ได้สวมชุดดำน้ำ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่า ฉลามขาวตัวนี้อาจเข้าใจผิดคิดว่านางโฮโลวอช เป็นแมวน้ำก็เป็นได้ นอกจากนั้น ตามปกติแล้ว ฉลามขาวมักไม่ค่อยอาศัยอยู่ในทะเลบริเวณนี้ เนื่องจากน้ำทะเลจะเย็นกว่าบริเวณที่ฉลามขาวชอบอาศัยอยู่ แต่ฤดูร้อนไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีฉลามขาวมาป้วนเปี้ยนในทะเลที่รัฐเมนมากขึ้น เนื่องจากมีแมวน้ำอาศัยอยู่จำนวนมาก


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1899371


สายน้ำ 30-07-2020 04:48

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


สุดงง! แนวรั้วสังกะสีโผล่บนชายหาดบางเทา จ.ภูเก็ต

ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สุดงง! แนวรั้วโผล่บนชายหาดบางเทา จ.ภูเก็ต ทำได้ด้วยหรือ ขณะที่นายก อบต.เชิงทะเล ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พบเป็นแนวเขตที่ดินราชพัสดุที่มีคนครอบครอง เตรียมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันที่ 31 ก.ค.นี้

https://lh3.googleusercontent.com/9w...-no?authuser=0

จากกรณีมีการแชร์ภาพการปักเสาเหล็ก และพีวีซี บนชายหาดบางเทา ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต และนำสังกะสีมาปิดกั้นเป็นแนวยาว จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก และรู้สึกงง เนื่องจากจุดที่ปักเสาและนำสังกะสีมาปิดกั้นนั้นอยู่บนชายหาด ต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบพื้นที่ที่มีการปักแนวเขตดังกล่าว

ล่าสุด วันนี้ (29 ก.ค.) นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล พร้อมด้วย ผอ.กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล นายช่างเขตหมู่ที่ 3 และเจ้าหน้าที่เทศกิจ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแนวเขตการก่อสร้างรั้วสังกะสี บนหาดบางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต พร้อมประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่า สภาพพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ราชพัสดุที่มีผู้ครอบครอง ซึ่งมีแนวเขตยาวไปถึงทะเล

แต่จากสภาพปัจจุบันพบว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นชายหาด ซึ่งเรื่องนี้จะต้องประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานเจ้าท่า และสำนักงานธนารักษ์จังหวัดภูเก็ต โดยข้อเท็จจริงแล้วพื้นที่ที่น้ำทะเลขึ้นลงจะต้องมีการถอนสภาพจากที่ดินราชพัสดุเป็นพื้นที่ชายหาดสาธารณะ แต่ปัจจุบันพบว่ายังไม่มีการถอนสภาพ ทางผู้ครอบครองก็ยึดแนวเขตเดิม และทำรั้วขึ้นมาเพื่อกั้นบริเวณแนวเขตที่ตนเองครอบครอง

นายมาแอน กล่าวต่อไป เรื่องนี้เคยเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งทางผู้ครอบครองที่ดินราชพัสดุแปลงดังกล่าวได้มีการปักแนวรั้วเหมือนกับครั้งนี้ ตอนนี้ทางเทศบาลก็ได้เข้าไปพูดคุยขอให้ทางผู้ครอบครองรื้อถอนซึ่งเขาก็ยินดีและรื้อออกไป ส่วนครั้งนี้ในเบื้องต้นก็ได้ขอร้องให้มีการรื้อถอนรั้งสังกะสีออกไปก่อน ซึ่งเขาก็ยินดีแต่ระบุว่าจะต้องใช้ระยะเวลา 2-3 วัน ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายนั้นทางเทศบาลไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นพื้นที่ชายหาดสาธารณะ แม้ว่าสภาพความเป็นจริงจะเป็นชายหาดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีดังกล่าวนั้นจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ สำนักงานเจ้าท่าภูเก็ต ธนารักษ์ องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อหาความชัดเจนเกี่ยวกับชายหาดบริเวณดังกล่าวว่าจะมีการถอนสภาพที่ดินราชพัสดุให้มาเป็นชายหาดสาธารณะตามสภาพความเป็นจริงหรือไม่ เพราะถ้าไม่ถอนสภาพทางเทศบาลก็ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการอย่างไรได้ ซึ่งจะมีการประชุมในวันที่ 31 ก.ค.นี้ ที่ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต


https://mgronline.com/south/detail/9630000077506


สายน้ำ 30-07-2020 04:51

ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก


นทท.แห่ไปพิสูจน์บ่อน้ำจืดผุดกลางทะเล ดื่มได้แทนน้ำ

นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง รอเวลาน้ำทะเลลดลงต่ำสุดเพื่อไปพิสูจน์บ่อน้ำจืดในทะเล ซึ่งสามารถดื่มได้แทนน้ำ สิ่งมหัศจรรย์กลางทะเลที่มีเพียงหนึ่งเดียวใน จ.ตรัง

https://lh3.googleusercontent.com/dU...-no?authuser=0

วันนี้(29 ก.ค) ที่เกาะลิบง ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง มีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งซึ่งประกอบอาชีพอิสระ เดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะลิบง เพื่อพิสูจน์ความหัศจรรย์ของบ่อน้ำจืดซึ่งผุดขึ้นกลางทะเล ใกล้ ๆ กับสะพานหลีกภัย ห่างฝั่งประมาณ 200 เมตร โดยรอเวลาให้น้ำทะเลลดลงต่ำสุด เพื่อให้เห็นบ่อน้ำจืดอย่างชัดเจน ซึ่งชาวบ้านบอกว่าต้องตักน้ำเค็มที่ขังอยู่ในบ่อออกให้หมดก่อน จึงจะเห็นน้ำจืดผุดขึ้นจากชั้นใต้ดิน ไหลออกมาเป็นสายแทนที่น้ำทะเล เป็นน้ำที่ใสสะอาดและสามารถดื่มกินได้ โดยชาวประมงที่เกาะลิบงใช้อาศัยดื่มกินแทนน้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษนานกว่า 200 ปี ซึ่งนักท่องเที่ยวที่โชคดีเดินทางไปตรงกับในช่วงที่น้ำทะเลลดลงต่ำสุด จะได้แวะไปชิมน้ำจืดในบ่อน้ำที่อยู่กลางทะเลและมีเพียงแห่งเดียวใน จ.ตรัง

ซึ่งในอดีตชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะลิบง มีน้ำทะเลล้อมรอบ หาแหล่งน้ำจืดไม่ได้ นอกจากน้ำฝนหรือน้ำจืดที่ต้องขนจากฝั่งขึ้นไปบนเกาะ ต่อมามีชาวประมงพื้นบ้านไปพบว่า ตรงจุดดังกล่าวมีตาน้ำผุดขึ้นมาเป็นสาย จึงทดลองดื่มกินและพบว่าเป็นน้ำจืด หลังจากนั้นชาวประมงจึงได้อาศัยน้ำจืดที่บ่อแห่งนี้กินแทนน้ำเรื่อยมา จนกระทั่งมีการขุดเจาะบ่อบาดาลและซื้อน้ำถังเข้ามาในหมู่บ้าน บ่อน้ำจืดกลางทะเลจึงเหลือไว้เพียงตำนาน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์และเป็นจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ส่วนที่ไม่มีปักป้ายหรือก่ออิฐถาวรเนื่องจากตรงจุดดังกล่าวมีคลื่นลมแรง มีน้ำทะเลท่วมสูง 6-8 เมตร และมีพะยูนว่ายเข้ามาบ่อย ๆ เกรงว่าจะเกิดอันตรายกับพะยูน จึงก่อก้อนหินขึ้นมาล้อมรอบไว้ให้ดูกลมกลืนกับธรรมชาติสูงประมาณ 1 คืบ เพื่อสะดวกในการวิดน้ำเค็มออกจากบ่อ โดยมีเพียงธงสีเหลืองปักไว้เป็นสัญลักษณ์เท่านั้น

ด้านนางกมลทิพย์ วัดโคก อายุ 45 ปีนักท่องเที่ยวจากอำเภอเมืองตรังกล่าวว่า ตนพิสูจน์แล้วว่าเป็นน้ำจืดจริง เมื่อเทียบกับน้ำข้างนอก สามารถดื่มแทนน้ำได้ และนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าประทับใจ ซึ่งตนเพิ่งเดินทางมายังเกาะลิบงเป็นครั้งแรก เพราะนึกว่ามายากแต่จริง ๆ แล้วมาไม่ยาก สามารถเดินทางเช้าไปเย็นกลับได้อย่างสบาย ๆ


https://www.komchadluek.net/news/reg...B8%B5%E0%B9%89


สายน้ำ 30-07-2020 04:56

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


รายงานพิเศษ : กรมประมงนำปลาทูไทยกลับมาแล้ว... จะบริหารจัดการร่วมกันต่อไปอย่างไรให้ยั่งยืน

https://lh3.googleusercontent.com/5d...-no?authuser=0

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปลาทูในอ่าวไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจนน่าตกใจ โดยเฉพาะระหว่างปี 2558-2561 ปริมาณการจับปลาทูในอ่าวไทยมีแนวโน้มลดลง จากเดิมเคยจับได้ 1.2 แสนตันต่อปีลดลงเหลือเพียง 33,931 ตันในปี 2558 และลดลงต่อเนื่อง เพราะปลาทูถูกจับ ?เกินศักยภาพการผลิต? ประกอบกับเครื่องมือทำประมงถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้พ่อแม่พันธุ์และปลาทูสาวถูกจับขึ้นมาใช้ประโยชน์มากขึ้น กรมประมงจึงปรับเปลี่ยนมาตรการบริหารจัดการทรัพยากร เพื่อจะนำปลาทูกลับคืนมา กระทั่งปี 2562 พบมีปริมาณการจับปลาทูเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2561 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลำดับ

นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ปัจจุบันปลาทูไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว เนื่องจากเดิมปลาทูถูกจับไปใช้ประโยชน์ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่ทันสมัย ปลาทูสาวร้อยละ 90 ที่พร้อมไปวางไข่ที่อ่าวไทยตอนกลางถูกจับในอัตราที่สูงขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้นและหลุดรอดไปยังแหล่งวางไข่น้อยมาก เป็นเหตุให้พ่อแม่พันธุ์ที่พร้อมวางไข่เหลือปริมาณน้อย ปลาทูรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาทดแทนจึงลดลงไปด้วย จึงส่งผลให้ปริมาณปลาทูที่จับได้ลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปี 2561 กรมประมงจึงได้เพิ่มมาตรการอนุรักษ์ทรัพยากรปลาทูอย่างต่อเนื่องมีการจัดระเบียบการทำประมงทั้งในประเทศและน่านน้ำทั่วไปภายใต้พระราชกำหนดการทำประมง พ.ศ.2558 และพระราชกำหนดการทำประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 (ฉบับแก้ไข) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้การบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล

ภายหลังจากการลดลงของปริมาณปลาทู กรมประมงเพิ่มมาตรการฟื้นฟูทรัพยากรปลาทูอย่างต่อเนื่องเช่น การใช้ปริมาณผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืนเป็นจุดอ้างอิงในการพิจารณาจัดสรรใบอนุญาตทำการประมงและจำนวนออกทำการประมง ขยายพื้นที่และเวลาปิดอ่าว เช่น การประกาศห้ามทำการประมงในพื้นที่ 7 ไมล์ทะเล นับจากชายฝั่งในพื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลางเป็นระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่ 16 พ.ค.-14 มิ.ย. เพื่ออนุรักษ์พื้นที่ชายฝั่งซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของลูกสัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงการประกาศห้ามทำการประมงหรือปิดอ่าวบริเวณรอยต่อของพื้นที่ปิดอ่าวไทยตอนกลางและอ่าวไทยรูปตัว ก เขตพื้นที่ อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ถึงอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.-14 มิ.ย.ของทุกปี และปรับปรุงประกาศปิดอ่าวไทยตัว ก ให้สอดคล้องกับรูปแบบการอพยพของปลาทู โดยประกาศปิดอ่าวเป็นสองช่วงได้แก่ อ่าวไทยตอนในฝั่งตะวันตกระหว่างวันที่ 15 มิ.ย.-15 ส.ค. และอ่าวไทยตอนในด้านเหนือระหว่างวันที่ 1 ส.ค.-30 ก.ย.ของทุกปี

นอกจากนี้ ยังห้ามเครื่องมือทำการประมงบางชนิดในเขตทะเลชายฝั่ง เช่น อวนล้อมจับ อวนติดตาที่มีความยาวอวนมากกว่า 2,500 เมตร และเครื่องมือทำการประมงที่ใช้ประกอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ปั่นไฟ) เป็นต้น และยังกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้ชาวประมงจับสัตว์น้ำวัยอ่อนที่ยังไม่ได้ขนาดอีกหลายมาตรการ เช่น ห้ามใช้เครื่องมือบางชนิดทำการประมงในเขตชายฝั่ง ห้ามทำการประมงอวนล้อมจับ โดยใช้ตาอวนขนาดต่ำกว่า 2.5 ซม.ในเวลากลางคืน การขยายขนาดตาอวนก้นถุงอวนลากเป็น 4.0 ซม.และยกเลิกเครื่องมือประมงบางชนิดที่ทำลายลูกพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งกำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2558

https://lh3.googleusercontent.com/Y9...-no?authuser=0

อย่างไรก็ดี นอกจากมาตรการบังคับใช้ทางกฎหมาย รวมถึงมาตรการกำหนดพื้นที่ทำการประมงในระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่เลี้ยงตัวอ่อน หรือที่เรียกว่ามาตรการปิดอ่าวที่แบ่งเป็น 5 ระยะเป็นเวลาประมาณ 225 วัน นั้นแม้จะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ยังถือว่าไม่เพียงพอต่อการฟื้นตัวของปลาทูที่ลดลงมากมาตั้งแต่ปี 2558 จำเป็นต้องมีมาตรการทางสังคมเข้ามาช่วยฟื้นฟูปลาทูให้กลับคืนมาอีกทางหนึ่ง เช่น รณรงค์ให้หยุดบริโภคปลาทูขนาดเล็ก หยุดใช้เครื่องมือประมงผิด และหยุดจับพ่อแม่พันธุ์ปลาทูก่อนช่วงวางไข่ จึงจะช่วยให้ปลาทูไทยฟื้นฟูกลับมาได้เร็วขึ้น อีกทั้ง กรมประมงยังอยากให้มีมาตรการเพิ่มเติมในระยะที่ 6 เพื่อให้ครอบคลุมวงจรชีวิตปลาทูในเขตชายฝั่งอ่าวไทย ซึ่งเป็นรอบนอกวงจรชีวิตปลาทูจากมาตรการปิดอ่าวทั้ง 5 ระยะ เนื่องจากเป็นเส้นทางการเดินทางของปลาทูของวัยหนุ่มสาวที่จะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ แต่มาตรการนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากชาวประมงในการบริหารจัดการร่วมกันภายใต้ข้อมูลทางวิชาการ และผลกระทบต่อชาวประมงน้อยที่สุด เพื่อขับเคลื่อนภายใต้การจัดการที่ดีก็จะช่วยให้ปลาทูคืนกลับมาสมบูรณ์อย่างแน่นอน

"กรมประมงได้พยามยามฟื้นฟูทรัพยากรปลาทูมาอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม กรมและภาครัฐไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงหากไม่ได้รับความร่วมมือร่วมใจจากชาวประมง ซึ่งนโยบายของ รมว.เกษตรฯมุ่งคืนความสุขกับชาวประมง ในการอนุรักษ์สัตว์น้ำให้ชาวประมงได้ประกอบอาชีพ แต่การคืนความสุขนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากพี่น้องชาวประมงช่วยดูแล และต้องเกิดการยอมรับจากทุกภาคส่วน ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายภายใต้หลักการทางวิชาการรองรับและการตกผลึกทางความคิดร่วมกัน โดยมีเป้าหมายให้ทรัพยากรสัตว์น้ำกลับคืนมาเพื่อใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนมีปริมาณปลาทูเพียงพอให้พี่น้องชาวประมงได้ประกอบอาชีพ และรับประโยชน์จากสัตว์น้ำอย่างเต็มที่และเหมาะสม ซึ่งต่อจากนี้ไปเราจะไม่ถามว่าปลาทูหายไปไหน แต่จะถามว่าเราจะเอาปลาทูกลับมาอย่างไรให้ยั่งยืนกรมประมงและพี่น้องชาวประมงจะร่วมกันบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ปลาทูอย่างไร เพื่อให้ปลาทูกลับมาสมบูรณ์อยู่คู่กับวิถีชีวิตของเราไปอีกนาน" อธิบดีกรมประมง ฝากทิ้งท้าย


https://www.naewna.com/local/508288


*********************************************************************************************************************************************************


'ดร.ธรณ์' โพสต์เซอร์ไพรส์ 'แม่เต่ามะเฟือง' ขึ้นวางไข่103ฟองที่?พังงา?

https://lh3.googleusercontent.com/ec...-no?authuser=0

วันที่ 29 กรกฎาคม 2563 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว ?Thon Thamrongnawasawat? ได้โพสต์คลิปวีดีโอขณะที่แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่ที่บนหาด จ.พังงา โดยระบุข้อความว่า ?เซอร์ไพรส์! แม่เต่ามะเฟืองเพิ่งขึ้นมาวางไข่ที่พังงาครับ คราวนี้เจอตัวด้วย ยาวเกือบ 2 เมตร วางไข่รวดเดียว 103 ฟอง เย้ ! ความมีอยู่ว่า เจ้าหน้าที่อุทยานท้ายเหมืองออกลาดตระเวนแถวเขาหน้ายักษ์ บริเวณที่พบเต่ามะเฟืองมาวางไข่นอกฤดูกาลถึง 3 รังก่อนหน้านี้ เจอเงาตะคุ่มบนหาด เข้าไปดู เป็นเต่ามะเฟืองจริงด้วยครับ แม่เต่าเพิ่งวางไข่ เจ้าหน้าที่รีบแจ้งศูนย์และเฝ้าดูโดยไม่รบกวนจนเต่ายักษ์เริ่มกลบหลุม จึงถ่ายคลิปไว้ เมื่อกลบเสร็จ เต่าคลานกลับทะเล เข้าไปวัดได้ พบว่าแม่รายนี้ยาว 1.9 เมตร กว้าง 0.85 เมตร

แม่เต่าลงทะเลไปอย่างปลอดภัย หลังวางไข่ไว้ 103 ฟอง ขอบคุณจ้ะ เนื่องจากรังไข่อยู่ใกล้แนวน้ำ จึงย้ายมาที่คอกของรังก่อนหน้านี้ จะได้ดูแลสะดวก เชื่อว่าน่าจะเป็นแม่เต่าตัวเดียวกันกับ 3 รังก่อนหน้านี้ และน่าจะมีไข่รวมเกือบ 400 ฟอง (บางรังไม่ได้ขุด บอกจำนวนไม่ได้) ตั้งแต่ปลายปี 62 ถึงตอนนี้ เต่ามะเฟืองวางไข่ไปแล้ว 15 รัง ฟักไปแล้วเกือบ 500 ตัว จะเพราะล็อคโควิดหรือเปล่า? ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเยอะจริงๆ ลูกๆ ของแม่เต่ารายใหม่ น่าจะเริ่มฟักเป็นตัวปลายเดือนหน้าต่อเนื่องถึงเดือนถัดไป (60 วันนับแต่วาง) จำสถิติเดิมไม่ได้ แต่เชื่อว่าในรอบ 10 ปี ไม่น่ามีช่วงไหนที่เต่ามะเฟืองวางไข่รัวๆ ขนาดนี้ ดีใจมากๆ ทะเลไทยเยี่ยมจริง ขนาดนอกฤดูกาลยังมีเต่ามาวางไข่เลยครับ เต่ามะเฟืองคือเต่าใหญ่สุดในโลกและเป็นเต่าที่ถูกคุกคามอย่างมาก ยังเป็นสัตว์สงวน คลิปนี้จึงหายากมาก ขอบคุณอุทยานท้ายเหมืองที่ช่วยดูแลและนำข้อมูล/ภาพมาฝากคนรักทะเลครับ เย้ๆๆ ดีใจจริงครับ คุณแม่เต่า สุดยอดจริง พวกเราคนไทย ต้องสุดยอดให้ไม่แพ้คุณแม่เต่า ช่วยกันลดขยะพลาสติกให้มากที่สุด อย่าให้ถุงในมือคุณไปอยู่ในพุงยอดคุณแม่รายนี้นะจ๊ะ ช่วยๆ กัน


https://www.naewna.com/likesara/508269

สายน้ำ 30-07-2020 05:01

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเสือโคร่งไทย ใน 2 กลุ่มป่าใหญ่

https://lh3.googleusercontent.com/LT...-no?authuser=0

กทม. 29 ก.ค. 63- ไทยประสบความสำเร็จเพิ่มประชากรเสือโคร่งในธรรมชาติ พบมีจำนวนกว่า 130-160 ตัว กรมอุทยานฯ ตั้งเป้าขยายประชากรเสือโคร่งใน 2 กลุ่มป่าใหญ่ ที่ยังศักภาพรองรับประชากรเสือได้

กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมกับคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานวันเสือโคร่งโลก ประจำปี 2563 ในหัวข้อ ป่าไทยไม่ไร้เสือ Roar for Thai Tigers ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์การอนุรักษ์เสือโคร่งทั่วโลก ให้สามารถดำรงชีวิตในผืนป่าธรรมชาติ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต โดยมีนายพงศ์บุญย์ ปองทอง รองปลัดกระทรวงทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดกิจกรรม

https://lh3.googleusercontent.com/5W...-no?authuser=0

นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า จากการสำรวจโดยทีมวิจัยเสือโคร่ง กรมอุทยานแห่งชาติฯ ร่วมกับเครือข่ายอนุรักษ์ ใช้นวัตกรรมเครื่องติดตามปลอกคอสัญญานดาวเทียม และกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า ในแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือโคร่งในผืนป่าของไทย พบว่าปัจจุบันมีประชากรเสือโคร่งในป่าธรรมชาติประมาณ 130 ? 160 ตัว มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และติดอันดับต้นของโลก ขณะที่กลุ่มป่าห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร มีประชากรเสือโคร่งมากที่สุดประมาณ 80 ตัว

ขณะที่กลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ เป็นอีกพื้นที่ที่น่าจับตามอง ด้วยพบข้อมูลการอาศัยหากินของเสือโคร่งในป่าทับลาน และปางสีดา ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติฯ มีแผนสำหรับการอนุรักษ์เสือโคร่งในผืนป่า โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนเสือโคร่งใน 2 กลุ่มป่าใหญ่ ได้แก่ กลุ่มป่าดงพยาเย็นเขาใหญ่ กลุ่มป่าภูเขียว ซึ่งมีผืนป่าขนาดใหญ่ และแหล่งอาหารที่เหมาะสม เพิ่มโอกาสการขยายพันธุ์ของประชากรเสือในอนาคตได้ โดยเฉพาะกลุ่มป่าดงพญาเย็นเขาใหญ่ ที่ได้สร้างทางเชื่อมและอุโมงค์สัตว์ป่า ทำให้ผืนป่าทับลาน ปางสีดา และเขาใหญ่ เชื่อมเป็นกลุ่มป่าขนาดใหญ่ เป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชากรสัตว์ป่า

https://lh3.googleusercontent.com/i2...-no?authuser=0

รวมทั้งเสือโคร่งที่อยู่ในทับลานและปางสีดา อาจขยายประชากรมายังป่าเขาใหญ่ได้ในอนาคต นอกจากนี้การลาดตระเวณเชิงคุณภาพ รวมทั้งนโยบายป้องกันการล่า และค้าสัตว์ป่าของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เสือในธรรมชาติได้รับการปกป้องดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2553 สามารถเพิ่มมีประชากรเสือโคร่งจากเดิมให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2565

ด้านนายสมโภชน์ ดวงจันทราศิริ หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยประชากรเสือโคร่ง มีข้อมูลสำคัญพบว่าในรอบ 10 ปี เสือรุ่นใหม่จากป่าห้วยขาแข้ง ได้ออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในกลุ่มป่าใกล้เคียง เช่น ป่าแม่วงศ์ ป่าคลองลาน ป่าสลักพระ ป่าบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ รวมกว่า 10 ตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าประชากรเสือในห้วยขาแข้ง-ทุ่งใหญ่นเรศวร มีการขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เสือรุ่นใหม่ออกไปสร้างถิ่นฐานบริเวณอื่นที่มีพื้นที่ และแหล่งอาหารมากพอ .


https://tna.mcot.net/Line+Today+%E0%...0%B8%A1-482775


สายน้ำ 30-07-2020 05:06

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เซอร์ไพรส์ "แม่เต่ามะเฟือง" วางไข่ 103 ฟองชายหาด จ.พังงา

เซอร์ไพรส์ แม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่นอกฤดู บนชายหาดจ.พังงา เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพคลิปแม่เต่าลงทะเลหลังวางไข่สำเร็จ เป็นภาพที่หาดูยาก อาจารย์ธรณ์ ระบุอาจเป็นแม่เต่าตัวเดิมที่เคยวางไข่นอกฤดูกาลมาแล้ว 3 รัง มีขนาดตัวเกือบ 2 เมตร รออีก 2 เดือนได้พบลูกเต่าชุดใหม่

https://lh3.googleusercontent.com/3u...-no?authuser=0

วานนี้ (28 ก.ค.2563) นายหฤษฎ์ชัย ฤทธิช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จ.พังงา กล่าวว่า ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจที่ออกลาดตระเวนการขึ้นวางไข่ของเต่าทะเล โดยพบเต่ามะเฟือง กำลังขึ้นมาวางไข่ จึงได้ประสานให้นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จ.ภูเก็ต เข้าร่วมตรวจสอบในพื้นที่

พบเต่ามะเฟืองกำลังวางไข่ อยู่บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ 3 ห่างจากเขาหน้ายักษ์มาทางทิศใต้ประมาณ 1.5 กิโลเมตร จากนั้นได้เฝ้าดูการวางไข่จนแม่เต่าวางไข่เสร็จ เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปทำ การวัดขนาดของแม่เต่า มีความยาว 190 เซนติเมตร ความยาวกระดอง 150 เซนติเมตร ความกว้างของลำตัว 85 เซนติเมตร โดยแม่เต่าใช้เวลาตั้งแต่วางไข่จนกระทั่งกลับลงสู่ทะเลเป็นเวลา 2 ชั่วโมง และได้เฝ้าดูแลจนกระทั่งแม่เต่าได้เดินทางกลับลงสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว

ต่อมาได้พิจารณาสภาพแวดล้อมบริเวณหลุมไข่และพบว่าหลุมไข่ ที่แม่เต่าวางไข่ไว้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุด อาจจะทำให้ไข่เต่าเสียหายได้ จึงย้ายไข่ทั้งหมดมาฟักยังหลุมฟักที่อยู่ในคอกกั้น ซึ่งเป็นคอกเดียวกันกับไข่ของเต่ามะเฟือง ที่ขึ้นมาวางไข่เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยแม่เต่าวางไข่ทั้งหมด 103 ฟอง เป็นไข่ดี 87 ฟอง และไข่ลม 16 ฟอง หลุมไข่มีความลึก 80 เซนติเมตร จากนี้จะจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามบริเวณหลุมฟักไข่ตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าไข่เต่าจะฟักออกเป็นตัว คาดว่าใช้เวลาประมาณ 55-60 วัน


นักวิชาการ คาดเป็นแม่เต่าตัวเดียววางไข่ 3 รัง

ด้านนายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) โพสต์เฟซ บุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า เซอร์ไพรส์ แม่เต่ามะเฟืองเพิ่งขึ้นมาวางไข่ที่พังงาคราวนี้เจอตัวด้วย ยาวเกือบ 2 เมตร วางไข่รวดเดียว 103 ฟอง

ความมีอยู่ว่า เจ้าหน้าที่อุทยานท้ายเหมืองออกลาดตระเวนแถวเขาหน้ายักษ์ บริเวณที่พบเต่ามะเฟืองมาวางไข่นอกฤดูกาลถึง 3 รังก่อนหน้านี้ เจอเงาตะคุ่มบนหาด เข้าไปดู เป็นเต่ามะเฟืองจริงด้วย แม่เต่าเพิ่งวางไข่ เจ้าหน้าที่รีบแจ้งศูนย์ และเฝ้าดูโดยไม่รบกวนจนเต่ายักษ์เริ่มกลบหลุม จึงถ่ายคลิปไว้

เมื่อกลบเสร็จ เต่าคลานกลับทะเล เข้าไปวัดได้ พบว่าแม่รายนี้ยาว 1.9 เมตร กว้าง 0.85 เมตร (ก่อนเต่าวางไข่ ต้องเงียบสุด ต้องไม่มีแสง พอวางใกล้เสร็จค่อยถ่ายภาพแบบนิดๆ พอคลานลงน้ำค่อยถ่ายภาพเยอะขึ้น และวัดขนาดตัว เจ้าหน้าที่ทำตามตำราเป๊ะ เยี่ยมครับ)

https://lh3.googleusercontent.com/OP...-no?authuser=0
อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง

แม่เต่าลงทะเลไปอย่างปลอดภัย หลังวางไข่ไว้ 103 ฟอง ขอบคุณจ้ะเนื่องจากรังไข่อยู่ใกล้แนวน้ำ จึงย้ายมาที่คอกของรังก่อนหน้านี้ จะได้ดูแลสะดวก

"เชื่อว่าน่าจะเป็นแม่เต่าตัวเดียวกันกับ 3 รังก่อนหน้านี้ และน่าจะมีไข่รวมเกือบ 400 ฟอง แต่บางรังไม่ได้ขุด บอกจำนวนไม่ได้ตั้งแต่ปลายปี 62 ถึงตอนนี้ เต่ามะเฟืองวางไข่ไปแล้ว 15 รัง ฟักไปแล้วเกือบ 500 ตัว"

จะเพราะล็อกโควิดหรือเปล่า ? ไม่ทราบแน่ชัด แต่ว่าเรือในทะเลน้อยลงเยอะ หาดก็เงียบสงบมากๆ

นั่นก็อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แม่เต่าตัดสินใจวางไข่ หากพลุกพล่าน เรือในทะเลเพียบ แม่เต่าไม่กล้าขึ้นมาวางไข่ บางงานวิจัยบอกว่าแม่เต่าอาจไข่ทิ้งในน้ำ นั่นคือตายหมด


ลูกๆ ของแม่เต่ารายใหม่ น่าจะเริ่มฟักเป็นตัวปลายเดือนหน้าต่อเนื่องถึงเดือนถัดไป (60 วันนับแต่วาง)

"จำสถิติเดิมไม่ได้ แต่เชื่อว่าในรอบ 10 ปี ไม่น่ามีช่วงไหนที่เต่ามะเฟืองวางไข่รัวๆ ขนาดนี้ เต่ามะเฟืองคือเต่าใหญ่สุดในโลก และเป็นเต่าที่ถูกคุกคามอย่างมาก ยังเป็นสัตว์สงวน"


https://news.thaipbs.or.th/content/294997


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:21

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger