SaveOurSea.NET

SaveOurSea.NET (http://www.saveoursea.net/forums/index.php)
-   ท่องเที่ยวทั่วแผ่นดิน (http://www.saveoursea.net/forums/forumdisplay.php?f=5)
-   -   ปฐมบท....สู่แดนดินถิ่นอินคา "จากคุสโก ถึง มาชูปิกชู" (http://www.saveoursea.net/forums/showthread.php?t=2243)

สายชล 20-11-2012 15:40

ปฐมบท....สู่แดนดินถิ่นอินคา "จากคุสโก ถึง มาชูปิกชู"
 


ปฐมบท....สู่แดนดินถิ่นอินคา "จากคุสโก ถึง มาชูปิกชู"


http://i835.photobucket.com/albums/z...-Picchu_24.jpg


สายชล 20-11-2012 16:11



มนุษย์เราล้วนมีดินแดนในฝัน ที่อยากจะดั้นด้นไปให้ถึงสักครั้งหนึ่งในชีวิต....ฉันเองก็เช่นกัน ฉันมีดินแดนในฝันที่อยากจะไปให้ถึง แม้ออกจะโลภมาก เพราะมีมากมายหลายแห่งไปหน่อย แต่หนึ่งในดินแดนนั้น ที่ฉันอยากจะไปในระดับต้นๆ ต้องยกให้ "มาชูปิกชู" เมืองโบราณที่สร้างขึ้นโดยชาวอินคาแห่งเปรู ที่อยู่ไกลแสนไกลคนละฟากฟ้ากับกรุงเทพฯ...


และแล้ววันหนึ่ง...ความฝันที่จะไปให้ถึงมาชูปิกชู ก็เกิดเป็นจริงขึ้นมา คงไม่ต้องบอกหรอกนะคะ ว่าฉันดีใจเพียงใดที่ฝันเกิดเป็นจริง แม้เมื่อถึงวันนั้น อายุของฉันกำลังก้าวย่างเข้าสู่วัยชรา แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าที่วันนั้นจะไม่มาถึงเสียเลย....




สายชล 20-11-2012 16:53


ในช่วงกลางปี 2554...ฉันและบัดดี้คู่ชีวิตร่วมกับเพื่อนๆอีก 5 คน คือ น้องก้อย น้องอ้อย น้องติ๋ว น้องหมอฮวง และน้องไพโรจน์ ได้เริ่มต้นวางแผนที่จะไปดำน้ำเที่ยวที่ กาลาปากอส (Galapagos) มรดกแห่งมนุษยชาติ ในเขตประเทศอิเควดอร์ (Ecuador) ทวีปอเมริกาใต้ แต่ไหนๆจะไปทั้งที เราก็คิดจะไปเที่ยว มาชูปิกชู (Machu Picchu) เมืองอินคาโบราณ ซึ่งถือเป็นมรดกโลกที่ขึ้นชื่อลือชาในความมหัศจรรย์ชวนพิศวง แห่งประเทศเปรู ที่อยู่ติดๆกับประเทศอิเควดอร์ด้วย


น้องอ้อย เป็นผู้จัดการเรื่องการเดินทางท่องเที่ยวของพวกเรา ในครั้งนี้อย่างแข็งขัน แต่กว่าทุกอย่างจะลงตัว ก็ล่วงเข้ากลางเดือนมีนาคม ปี 2555 โดยสรุปแผนการเดินทางได้ว่า เรา 5 คน คือ น้องก้อย น้องอ้อย น้องติ๋ว ฉันและบัดดี้ จะใช้เส้นทางบิน จากกรุงเทพฯ ข้ามมหาสมุทรอินเดีย มุ่งไปที่เมืองมาดริด (Madrid) ประเทศสเปญ ก่อนจะต่อเครื่องบิน ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปที่เมือง กิโต (Quito) เมืองหลวงของประเทศอิเควดอร์ เพื่อพักค้างคืน และทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้ารวมทั้งอุปกรณ์ดำน้ำ ที่ยังไม่ได้ใช้ไว้ที่กิโต ก่อนที่วันรุ่งขึ้น เราจะบินเข้าเปรู เพื่อมุ่งสู่มาชูปิกชู ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางหลัก ในขณะที่น้องหมอฮวง และน้องไพโรจน์ จะบินไปกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ ก่อนจะบินไปพบเราที่กรุงลิมา (Lima) ประเทศเปรู




เราห้าคน เดินทางออกจากกรุงเทพฯตอนเที่ยงคืนของวันที่ 12 มีนาคม และไปถึงสนามบินมาดริดเมื่อราว 7 โมงเช้า (เวลาท้องถิ่น) รวมใช้เวลาเดินทางกว่า 11 ชั่วโมง แต่เราทั้งห้าคน ก็ยังสดชื่่นดีค่ะ ไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียอะไรนัก ทั้งที่ไม่ค่อยได้นอนเท่าไรเลย...




สายชล 20-11-2012 16:59



สนามบินของมาดริด ใหญ่โตมโหฬารมาก...เราต้องใช้รถไฟใต้ดิน ที่บางครั้งก็โผล่มาบนดิน แล่นจากเทอร์มิเนิลหนึ่งไปยังอีกเทอร์มิเนิลหนึ่ง ซึ่งห่างไกลกันหลายกิโล ซึ่งเราไม่เดือดร้อนใจนัก แต่กลับสนุกสนานครื้นเครงกันมาก...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_06.jpg


ลงจากรถไฟ...ก็ต้องเดินหาเคาเตอร์เพื่อเช็คอิน..


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_05.jpg


กว่าจะหาเคาเตอร์เช็คอินได้ก็เล่นเอาเหนื่อย...แต่ก็ดีใจมาก ที่เราไม่ต้องเสียค่าน้ำหนักกระเป๋าที่เกินไปหลายกิโลกรัม เหตุเพราะทางสายการบินไทย ที่เราใช้บริการบินมาจากกรุงเทพฯ ได้ทำการเช็คกระเป่าเราตรงไปให้ถึงกิโตเลย มิฉะนั้นแล้ว เราคงจะถูกค่าปรับกันคนละหลายพันบาททีเดียว...รักคุณเท่าฟ้าจริงๆค่ะ



สายชล 20-11-2012 17:02



ชอบโคมไฟของสนามบินมาดริดมาก...เก๋ไก๋ดีค่ะ


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_02.jpg


หลังคาห้องพักผู้โดยสาร เปิดรับแสงจากภายนอก ประหยัดไฟฟ้าไปได้มากเชียวค่ะ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_03.jpg


สายชล 20-11-2012 18:55


เมื่อออกจากมาดริดยามใกล้เที่ยง ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ไปกรุงกิโต ประเทศอิเคว์ดอร์ ซึ่งเป็นการวิ่งย้อนจากตะวันออกไปตะวันตก เราเจอพระอาทิตย์สว่างจ้าไปตลอดทาง (ซึ่งผิดกับช่วงที่ออกจากกรุงเทพฯ ไปมาดริด ที่มืดไปตลอดทาง) ฉันเพลิดเพลินกับการชมวิวเบื้องล่าง ที่เห็นแต่ทะเล...ทะเล...และ ทะเล


แต่เมื่อเครื่องบินเริ่มบินเข้าเขตทวีปอเมริกาใต้ ท้องฟ้าที่แจ่มใส ทำให้เห็นภูมิประเทศที่เปลี่ยนไป จากทะเลกลายเป็นป่าไม้เขียวขจีที่หนาทึบ และแม่น้ำกว้างใหญ่ที่คดเคี้ยวไปมา ประเทศที่เราเห็นเบื้องล่างคือเวเนซูเอลา และอีกไม่นานก็ถึงโคลัมเบีย


เมื่อเข้าเขตอิเควดอร์ ภูมิประเทศก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันเริ่มเห็นยอดเขาสูงๆต่ำ


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_02.jpg


มีสายน้ำที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามหุบผา...



http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_01.jpg


บนยอดเขาสูงๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาแอนดิส (Andes or Sierra) มีหิมะจับขาวโพลน พอใกล้กรุงกิโต เมืองหลวงของอิเควดอร์ ที่อยู่สูง 2,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งนับเมืองหลวงที่สูงเป็นที่สองรองจากกรุงลาปาซ ประเทศโบลิเวีย เราเห็นบ้านเมืองที่ปลูกอยู่หนาแน่น เรียงรายกันอยู่ตามเนินเขาและในหุบผา ไม่ไกลกันนัก เห็นยอดภูเขาไฟ Pichincha ที่มีหิมะปกคลุมดูสวยงามยิ่งนัก




สายชล 20-11-2012 19:03



เครื่องบินเริ่มลดระดับลง ฉันเห็นสนามบินที่อยู่ในหุบเขา ที่ดูเหมือนจะเป็นที่ราบเพียงแห่งเดียวของที่นี่...


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_07.jpg


เครื่องบินเริ่มวนและปักหัวลง...


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_08.jpg


ช่างเป็นเมืองบนเขาที่น่าทึ่งมากค่ะ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_09.jpg


บ้านเมืองสร้างอยู่ชิดติดสนามบิน....


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_13.jpg


สายชล 20-11-2012 20:09


ลุ้นตอนเครื่องบินลงแล้ว...เราต้องลงมาลุ้นว่าไกด์จะมารับเราหรือไม่ เพราะลงมาคอยอยู่หน้าที่พักผู้โดยสารขาออก ที่หนาวจับใจ อยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่มาสักที


พวกคนรับจ้างเข็นของก็จับตามองเราอยู่ไม่วางตา...เอ...มองทำไมนะ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_11.jpg



ฟ้าเริ่มมืดมัว...เรายืนชมสถาปัตยกรรม ที่ตั้งอยู่หน้าสนามบินกิโตจนเบื่อ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_07.jpg


เกือบครึ่งชั่วโมง...ไกด์รูปร่างผอมสูง หน้าเสี้ยม ก็วิ่งกระหืดกระหอบมา แก้ตัวว่า ไปคอยเราผิดที่ พอเราจะยกของขึ้นรถตู้ที่ไกด์นำมาจอด เจ้าคนรับจ้างขนของก็รีบกุลีกุจอมาช่วยยกของขึ้นรถ ทีนี้เราก็ถึงบางอ้อ ต้องจ่ายค่าทิปให้ไป 5 เหรียญ


ไกด์ของเรา..ขับรถไปตามเมืองกิโต ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สวยงามและสะอาดสะอ้าน เต็มไปด้วยตึกรามที่เก่าแก่และตึกใหม่ๆ ที่พยายามสร้างเลียนแบบของเก่า บนภูมิประเทศสูงๆต่ำๆ มีต้นไม้และสวนสวยปลูกแทรก ด้วยเหตุผลนี้ เมืองกิโต จึงได้เป็นมรดกโลกอย่างไม่ยากเย็นเลย


เมื่อถึงโรงแรมฟ้าก็มืดมิด อุณหภูมิที่ลดต่ำลงเหลือ 10 องศาเซลเซียส ทำให้เราต้องรีบวิ่งลงจากรถเข้าไปในห้องรับรองของโรงแรม Quito Hotel อย่างเร็วรี่...





มีปัญหาเรื่องการจองห้องพักอีก..ทำให้เราต้องนั่งคอย อยู่ที่ล๊อบบี้ของโรงแรมอยู่นาน แต่ไม่เป็นไรค่ะ ที่นี่มีดอกไม้สวยๆให้เราชื่นชม และมีอินเตอร์เน็ทให้เราได้ใช้ แต่พอได้ห้องพัก และขึ้นไปทานข้าวเย็น (เมื่อตอนสามทุ่มเศษ) เราก็หมดแรง ทั้งง่วงทั้งเพลีย...



สายชล 20-11-2012 21:58



เช้ามืดวันรุ่งขึ้น...เราต้องรีบตื่น แล้วก็รีบนั่งรถไปสนามบิน พ่อเจ้าประคุณไกด์ของเรา พาเราไปส่งที่ตึกสายการบินท้องถิ่น ทั้งที่เราจะไปเปรู กรรมของเราที่ต้องวิ่งลากกระเป๋าสัมภาระ ไปตึกสายการบินนานาชาติ โชคดีที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ฉันเข้าใจว่า เขาคงไม่อยากนำรถเข้าไปส่งเราให้เสียค่าจอดรถ เลยโมเมให้เราเดินไปกันเอง....


เราบินลัดฟ้าจากกิโต สู่เมืองลิมาของเปรู ซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ...





ระหว่างทางเมฆมากมาย ทำให้ยากที่จะถ่ายภาพ...แต่โชคดีเหลือเกินค่ะ ที่ช่วงหนึ่ง ได้เห็นภาพมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออก ที่ติดกับประเทศเปรู อยู่ข้างล่างลิบๆ..






สนามบินกรุงลิมา ประเทศเปรู ซึ่งจัดเป็นศูนย์กลางการบิน ที่สำคัญของทวีปอเมริกาใต้แห่งหนึ่ง แต่ดูไม่ใหญ่โตและวุ่นวายนัก...





เราบินไปถึงสนามบินกรุงลิมาอย่างราบรื่นปลอดภัย.... แต่พอลงจากเครื่องได้ ก็ต้องรีบวิ่งจากสนามบินนานาชาติ ไปยังส่วนที่เป็นสนามบินท้องถิ่น เพราะมีเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลาทะยานขึ้นฟ้าของเครื่องบินที่จะพาเราไปยังเมือง คุสโก (Cusco หรือ Cuzco)เมืองมรดกโลก และเมืองหน้าด่าน ที่จะเปิดประตูสู่มาชูปิกชู ให้พวกเราได้เดินทางไปค้นหา...



Super_Srinuanray 20-11-2012 22:19

มาเกาะขอบจอ รอไปดูด้วยคนค่ะ...

สายชล 20-11-2012 22:33



ในที่สุด...เราก็ได้ขึ้นไปนั่งเอ้เต้บนเครื่องบินที่จะเดินทางไปคุสโกได้ทันเวลา ภูมิประเทศระหว่างทางจากลิมาถึงคุสโกนั้น ดูไม่แตกต่างกับช่วงจากกิโตมาลิมานัก กล่าวคือ มีแต่เขาสูงมากมาย บางยอดก็มีหิมะจับขาวโพลน การเดินทางในสมัยก่อน คงลำบากและใช้เวลานานเหลือเกิน กว่าจะข้ามจากยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดเขาหนึ่ง...



http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_03.jpg



เมื่อใกล้คุสโก...พอจะมีที่ราบใช้ปลูกพืชผักให้เราได้ชื่นชมบ้าง...


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_11.jpg



มีธารน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่านที่ราบ ซึ่งน่าจะใช้หล่อเลี้ยงพืชสวนไร่นา แถบที่ราบลุ่มเชิงเขาได้เป็นอย่างดี...


http://i835.photobucket.com/albums/z...ir-View_12.jpg



บ้านเมืองที่คุศโก อยู่ลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ค่อนข้างจะแออัดทีเดียวค่ะ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_15.jpg






สายชล 22-11-2012 11:50



คุสโก (Cusco)


ถึงแล้วค่ะเมืองคุสโก...

เขาบอกว่า ถ้ามองจากที่สูง จะเห็นผังเมืองเป็นภาพเสือพูมา ที่ชาวอินคาโบราณนับถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ลองดูแผนที่ข้างล่างนี้นะคะ แล้วลองจินตนาการดูว่า เหมือนเสือพูมาอย่างที่ว่าไหม....


http://i835.photobucket.com/albums/z.../Cusco-Map.jpg



ตัวอาคารผู้โดยสารของสนามบินคูสโก ไม่ใหญ่โตนัก แต่สะอาดสะอ้านดีค่ะ


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_16.jpg



ด้านหน้าสนามบิน มีอนุสาวรีย์ใหญ่โตตั้งอยู่ ชาวพื้นเมืองนั่งๆนอนกันอยู่แถวชานอนุเสาวรีย์ เลยไม่ได้เข้าไปอ่านว่าเป็นอนุสาวรีย์อะไร...





บริเวณอนุสาวรีย์ทำเป็นลานจอดรถมีร้านค้าขายของพื้นเมืองเรียงรายอยู่ ทำให้พวกเราฝ่ายหญิงกระดี๋กระด๋า ไปด้อมๆมองๆจองไว้ ก่อนที่จะไปซื้อหากันต่อไปในภายหน้า...




สายชล 22-11-2012 14:39


รถมินิบัสที่เราจะนั่งเข้าเมืองมาจอดคอยอยู่ มีไกด์สาวชาวพื้นเมืองมาคอยต้อนรับ และต้อนเราขึ้นรถ


รถแล่นไปตามถนนที่มุ่งสู่กลางเมืองคุสโก ซึ่งเป็นเมืองหลวงของชาวเผ่าอินคา คำว่าคุสโค (Cusco) นี้ เป็นภาษาอินคา ที่แปลได้ว่า "สะดือของโลก" เพราะชาวอินคาซึ่งนับถือพระอาทิตย์ เชื่อว่าเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์และน้องสาว ได้ลงมาหาดินแดนเหมาะสมที่จะตั้งเมือง และก็เลือกดินแดนแห่งนี้ได้ และตั้งเมืองนี้ขึ้นมา


ระหว่างทาง...เราผ่านอนุสาวรีย์ของปาชากูติ หรือปาชากุเทค ( Pachacuti or Pachacutec) วีรจักรพรรดิ์ผู้รวบรวมดินแดนตั้งเป็นจักรวรรดิ์อินคาที่ยิ่งใหญ่...


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_18.jpg


อนุสาวรีย์นักรบอินคา ยังมีให้เห็นอีกหลายแห่ง ในระหว่างที่รถผ่านไป....


http://i835.photobucket.com/albums/z...d-Cuzco_19.jpg



สายชล 22-11-2012 16:35



รถเริ่มวิ่งไปตามถนนแคบๆ ปูด้วยหินแผ่นใหญ่ๆที่เรียงต่อกัน บ้านเรือนที่ด้านล่างเป็นหิน ด้านบนเป็นปูนผสมไม้ มีระเบียงรูปทรงต่างๆ เริ่มปรากฎให้เห็น


ฉันตื่นตาตื่นใจกับภาพที่ได้เห็นยิ่งนัก..ช่างเป็นบ้านเมืองที่น่ารักเหลือเกินค่ะ...




สายชล 22-11-2012 17:07

ถนนที่นี่แคบเหลือเกิน จนถนนทุกสายต้องเดินรถทางเดียว รถมินิบัสของเราแล่นมาได้สักครึ่งชั่วโมง ก็จอดลงหน้าตึกแถวสีขาว หน้าตารูปทรงโบราณ มีระเบียงสีฟ้ายื่นออกมา


ไกด์บอกเราว่า..."ถึงแล้ว...โรงแรม Royal Inca I ที่พักของคุณ"

อืมมมม...โรงแรมตึกแถว.... !!!





เราขนของลงจากมินิบัส แล้วเดินเข้าประตูของโรงแรม ไปยังล้อบบี้ ซึ่งตกแต่งไว้สวยงามหรูหรา ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในวังกษัตริย์อินคา ยืนมองนู่นมองนี่อยู่เพลินๆ ไกด์สาวก็มาบอกว่า นี่เป็นโรงแรม Royal Inca II เราต้องย้ายไปอีกตึกหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน และหน้าตาก็เหมือนๆกัน และเป็นโรงแรม Royal Inca I...อ้าวววววว


ดีนะคะที่เดินไปนิดเดียวก็ถึง...


ภายในล้อบบี้เล็กๆ ตกแต่งไว้คล้ายๆกับที่เราเห็นมาแล้ว...ไกด์และน้องอ้อย จัดการเรื่องห้องพัก และเรื่องเอกสารให้เราอย่างขมีขมัน...




พนักงานบริการของโรงแรม นำ ชาโคคา มาเสริฟพวกเรา เขาว่าชานี้จะช่วยให้เราสดชื่น ไม่ปวดหัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรง จากโรคที่เกิดจากการเมาความสูง (Altitude Sickness) ทั้งนี้เนื่องจากเมืองคุสโกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,400 เมตร สูงกว่าเมืองกิโตที่เราไปนอนมาซะอีกนะคะ




สายชล 22-11-2012 17:19


เราลากกระเป่าไปขึ้นลิฟท์เล็กๆ เพื่อขึ้นไปยังห้องพักชั้น 3....พอลิฟท์เปิด เราก็เห็นระเบียงไม้สีแสด รายรอบเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีห้องเรียงรายอยู่ติดระเบียง...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_11.jpg


เมื่อมองลงไปจากระเบียง...มีสวนสวยน่านั่งเล่น อยู่ที่ชั้นสอง...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_14.jpg


อยากไปนั่งเล่นในสวนสวยค่ะ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_12.jpg


ยืนมองสวนสวยอยู่ บัดดีั้ก็บอกให้ไปเก็บของเข้าห้อง และออกไปทานข้าวเที่ยงกันก่อนดีกว่า...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_13.jpg


สายชล 22-11-2012 17:34


เข้าไปในห้อง....โอ้แม่เจ้า ห้องใหญ่โต ตู้ใส่ของสองตู้ใหญ่ๆ เตียงคู่ก็ขนาด Queen Size ผ้าปูที่นอนสีเหลืองอ๋อย มีผ้าสีแดงปักลวดลายแบบอินคาสีเหลือง ประดับอยู่ที่ปลายเตียง บัดดี้ของฉันยิ้มชอบใจ...เหลืองแดงแสงธรรมศาสตร์วิไล

ส่วนฉันก็ยิ้ม...ยิ้มที่เห็นสีเหลืองกับสีแดง ก็อยู่ด้วยกันได้....


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_15.jpg


ห้องน้ำก็สะอาดสะอ้านมาก แถมมีตู้และลิ้นชักมากมายให้ใช้...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_16.jpg


ในห้องเย็นเฉียบ ไม่แพ้อากาศข้างนอก เราต้องเปิด Heater แต่เปิดได้สักพักก็ร้อนจนรู้สึกอึดอัดและคอแห้ง เลยต้องขอเปิดหน้าต่าง ให้ความเย็นข้างนอกไหลเข้ามาถ่ายเท...


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_17.jpg


สายชล 22-11-2012 17:52



หลังจากเก็บของ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้ว เราก็พร้อมจะไปทานข้าวและเดินเล่นในเมืองคุสโกค่ะ ไกด์บอกว่าเป็นการเดินเที่ยว โดยจะใช้เวลาราว 3-4 ชั่วโมง...


อืมมมมม....ฉันจะเดินไหวไหมเนี่ย...แต่งานนี้ ไม่ไหวก็ต้องไหวค่ะ เพราะนี่คือหนึ่งในสองไฮไลต์ ของการเดินทางมาปรูในครั้งนี้...


http://i835.photobucket.com/albums/z...usco-Map-4.jpg



เราพากันเดินออกไปจากประตูโรงแรม ด้วยความชื่นบาน ไม่มีอาการเมาความสูงแม้แต่น้อย



http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_09.jpg



ป้ายชื่อโรงแรม Royal Inca I....


http://i835.photobucket.com/albums/z...A-Hotel_18.jpg



อีกฟากถนนของโรงแรมที่พัก...มีสวนสวยให้นั่งเล่นได้ มีชื่อว่า Plaza de Regocijo Park ต้องหาเวลามานั่งเล่นที่นี่สักหน่อยแล้วล่ะค่ะ...



สายชล 22-11-2012 17:56



หน้าสวนเป็นที่ตั้งของที่ทำการเทศบาลของเมืองนี้ ที่ดูสง่างามภูมิฐาน...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_01.jpg


ที่นี่คงเป็นที่จัดงานของทางการเป็นประจำ เพราะช่วงที่เราพักอยู่ที่โรงแรมนี้ มีการจัดงาน และจุดพลุปังๆกันอยู่ทุกคืน...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_02.jpg



เราเดินผ่านตึกที่ทำการเทศบาลเมืองคุสโกและสวนสวย ไปตามทางเดินที่ทอดตัวลงเนินไปทางด้านตะวันตก ที่สองข้างทางเป็นตึกแถว มีร้านขายสินค้าและร้านอาหารนานาชนิด ตั้งเรียงรายอยู่



http://i835.photobucket.com/albums/z...n-View_103.jpg


สายชล 22-11-2012 18:24



เมื่อผ่านทะลุแนวตึกออกมา เราก็ถึงจัตุรัสกลางเมืองคุสโก ที่เรียกว่า "พลาซาเดอาร์มาส (Plaza de Armas)" ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของอินคามาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จนมาถึงยุคปัจจุบันก็ยังมีความสำคัญ ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวของเปรู ...


เราหาอาหารจานด่วนทานกัน แถวๆริมจัตุรัส นั่นเอง จากนั้น ก็เริ่มต้นเดินเที่ยวเมืองคุสโก ด้วยความคึกคัก...





จากประวัติของเมืองคุสโก...ในช่วงศตวรรษที่ 13 (ค.ศ. 1438-1533) จักรวรรดิ์อินคา (Inca Empire) ได้แผ่แสนยานุภาพออกไปจนครอบครองดินแดนในแถบอเมริกาใต้ได้เกือบหมด คือ เปรู เอกวาดอร์ ตอนใต้ของโคลอมเบีย ภาคตะวันตกและภาคใต้ของโบลิเวีย ตอนเหนือของชิลี และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินา ทั้งด้วยการรบและสันติวิธี และได้นำดินจากเมืองขึ้นทั้งหลาย มาไว้ที่บริเวณจัตุรัสพลาซาเดอาร์มาส...




สายชล 22-11-2012 19:06




มีสถานที่สำคัญสองแห่งที่อยู่บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ นั่นคือ โบสถ์กอมปาเนีย (Church of the Society of Jesus..Iglesia La Compañía de Jesús) ซึ่งมีคนกล่าวว่าสวยที่สุดในคุสโก





วันแรกที่เราจะไปชมข้างใน...โบสถ์แห่งนี้ ปิดไปแล้ว เลยได้แต่ถ่ายภาพกับประตูด้านข้างโบสถ์ เป็นที่ระลึก




สายชล 22-11-2012 19:43



สถานที่ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจัตุรัสแห่งนี้ ก็คือโบสถ์ Basilica de la Cathedral







ตามที่เคยเล่าแล้วว่า ผังเมืองคุสโกเป็นรูปเสือพูม่า ในบริเวณ La Cathedral นี้ จะเป็นส่วนที่เป็น "หัวใจ" ของเสือพูม่า ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของจัตุรัสแห่งนี้ ได้เป็นอย่างดี...





โบสถ์แห่งนี้ ส่วนหนึ่งเรียกว่า Capilla del Triunfa เคยเป็นวิหารแห่งเทพเจ้า ของอินคา ซึ่งเดิมประดับไปด้วยเพชรนิลจินดาและทองคำมากมายมหาศาล แต่เมื่อชาวสเปญมารุกรานได้ขนสมบัติที่มีค่ากลับไปสเปญหมด แล้วก็สร้างโบสถ์ทับลงไป แต่ก็สร้างได้วิจิตรบรรจง สวยงามมาก






อีกส่วนหนึ่งจะเป็นพระราชวังเดิมของราชวงศ์อินคา ก็ถูกยึดไปทำเป็นโบสถ์ Cathedral



lazyoctopussy 22-11-2012 19:52

สุดยอดสมกับที่รอคอยจริงๆค่ะพี่น้อย พี่จ๋อม ทั้งรูปภาพและคำบรรยาย

lazyoctopussy 22-11-2012 19:57

พี่เก็บรายละเอียดได้เยี่ยมไปเลยค่ะ อ่านไปอมยิ้มไป ขนาดแค่ปฐมบทยังไม่ถึงยอดมาชูปิคชูเลยนะฮับ พี่จ๋อมรีบทำรูปนะค๊า...แควนๆรอยู้ ^_____^

สายชล 22-11-2012 19:59



ที่นี่ต้องซื้อบัตรเข้าชม และห้ามถ่ายภาพอีกเหมือนกับโบสถ์กอมปาเนีย ที่เราได้เข้าไปชมในเวลาต่อมา...



สายชล 22-11-2012 20:04



555555....จำเรื่องราวได้เกือบหมด แต่ลืมชื่อไกด์สนิทเลยค่ะ น้องอ้อย lazyoctopussy เหตุเพราะบันทึกที่เก็บไว้ตอนเที่ยว หายไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ...


สายชล 22-11-2012 20:15



ความสวยงามของจัตุรัสแห่งนี้ ทำให้เราวนเวียน มาเดินเล่นแถวนี้กันหลายรอบ แม้ในยามเย็น ที่ฝนตกพรำๆ ที่สำคัญคือด้านที่ไม่ใช่โบสถ์ เป็นอาคารตึกแถว ซึ่งมีซุ้มทางเดินหน้าร้าน ให้เดินหลบฝน แวะหาของกิน และเดินชมหรือซื้อสินค้าของที่ระลึก ที่วางขายเกลื่อนกล่น...


สายชล 22-11-2012 20:24



มีร้านกาแฟให้ขึ้นไปนั่งชมบรรยากาศสบายๆ ที่ตึกแถวริมจัตุรัสแห่งนี้ด้วยนะคะ..


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_24.jpg



http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_35.jpg


gengzilla 22-11-2012 20:31

สุดยอดครับภาพได้อารมณ์มาก เนื้อหาน่าติดตามได้ความรู้ไปด้วยเพลินเลยครับ

สายชล 22-11-2012 20:41



ขอบคุณค่ะ น้องเก่ง....เรื่องยังอีกยาววววววว....โปรดติดตามไปเรื่อยๆนะคะ...


สายชล 22-11-2012 21:18



จากจัตุรัสเดอาร์มาส...ไกด์พาเราเดินไปตามซอยแคบๆ ข้างๆโบสถ์กอมปาเนีย ถนนแห่งนี้ชื่อ Calle Loreto ตัวถนนตัดตรงแน่วจากถนนด้านหนึ่ง ไปยังอีกด้านหนึ่ง พื้นถนนปูด้วยก้อนกรวดแม่น้ำก้อนโตๆ สลับกับหินแกรนิตแผ่นใหญ่ๆ เป็นแถวเป็นแนว ส่วนผนังทั้งสองข้างทำด้วยหินที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ แล้วนำมาเรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม...ช่างเป็นถนนที่มีเสน่ห์จริงๆค่ะ


http://i835.photobucket.com/albums/z...n-View_104.jpg


ด้านหลังกำแพงหลังโบสถ์กอมปาเนีย เป็นร้านขายของพื้นเมือง ที่ไกด์บอกว่าให้ดูเฉยๆ อย่าเพิ่งซื้อ เพราะว่าแพงกว่าของพื้นเมืองข้างนอก..ช่างน่ารักเหลือเกิน พ่อคุณ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...n-View_106.jpg


ข้างกำแพง...มีหญิงชาวพื้นเมืองวัยชรา นั่งขายของอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เชิญชวนให้ซื้อของ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...n-View_111.jpg


สายชล 22-11-2012 21:22




ผิดกับสาวน้อยคนนี้...ที่นั่งอยู่ในซอกเล็กๆ เธอไร้รอยยิ้ม อีกทั้งดวงตาช่างแห้งผากซะจนฉันเห็นแล้วใจอ่อน...แต่จนใจไม่รู้ว่าจะอุดหนุนเธอได้อย่างไร ก็ฉันยังไม่หิวฮ้อตด้อกที่เธอขายนี่คะ...




สายชล 23-11-2012 00:56



เราเดินไปจนทะลุถึงถนนด้านหลังที่ชื่อ Romeritos ซึ่งเป็นถนนสายหลัก ที่ไกด์จะพาเรา ไปที่จุดสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองคุสโก นั่นคือ วิหารแห่งสุริยเทพ (Temple of the Sun, Qoricancha) ซึ่งมีโบสถ์ชื่อ Santo Domingo ที่สเปญสร้างครอบวิหารแห่งสุริยเทพไว้ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขาเล็กๆ


แต่ฝนที่ตกพรำๆ ทำให้เราต้องแวะเข้าไปหลบฝน อยู่ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ด้านหน้า Santo Domingo ซึ่งเราสามารถเห็นยอดโบสถ์ของที่นี่ได้ถนัดตา เมื่อมองผ่านลานกว้าง ที่มีฐานของสิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยหิน ยาวเป็นแถวเป็นแนว


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_50.jpg



ไกด์อธิบายว่า ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านของชาวอินคาโบราณ ที่มีทางน้ำเล็กผ่ากลางทางเดิน เพื่อส่งน้ำจากแม่น้ำหรือธารน้ำไปให้ผู้คนในหมู่บ้านได้ใช้ โดยมีโมเดลแสดงลักษณะของบ้านชาวอินคา ที่อยู่ในบริเวณนี้ ไว้ให้ชมด้วย...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_51.jpg




มีวิกุนยา (Vicuña) ญาติของตัวลามา (Llama) วัยรุ่นตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปยืนอย่างสง่าผ่าเผย บนฐานหิน...ช่างน่ารักเหลือเกินค่ะ


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_52.jpg


พวกเรารุมถ่ายภาพเจ้าวิกุนยา ที่ยืนเป็นแบบให้เราถ่ายภาพกันอย่างเต็มอกเต็มใจ...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_53.jpg


สายชล 23-11-2012 01:07



ขณะที่เรากำลังถ่ายภาพเจ้าวิกุนยากันอยู่...ก็มีเจ้าอัลปาคา (Alpaca) โผล่หน้าออกมาจากคอกที่อยู่ใกล้ๆกันนั้น...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_54.jpg


อู๊ยยยยย...น่ารักเหลือเกินค่ะ


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_55.jpg


ขนสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวสลวยทั้งตัว มีไหมพรมผูกขนไว้สองข้างปลายหู อีกทั้งตาที่โต ใสซื่อ ทำให้เราผละจากวิกุนยา มารุมถ่ายภาพอัลปากาแทน...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_56.jpg


เจ้าอัลปากา ที่ขนของมันนำมาใช้ทำเป็นไหมพรม สำหรับถักทอเป็นเสื้อราคาแพง ดูจะเป็นกันเองกับเรามาก...มันเดินรี่เข้ามาทักทายพวกเราอย่างใกล้ชิด


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_57.jpg


สายชล 23-11-2012 01:28




ไกด์เข้าไปลูบเนื้อตัวเจ้าอัลปากา...ทำให้เรากล้า ที่จะตามเข้าไปลูบขนมันบ้างอย่างเอ็นดู...


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_58.jpg



ดวงตาที่ฉายแววใสซื่อ ขนที่หนานุ่ม และไม่มีกลิ่นเหม็น ทำให้เราเล่นกับมันได้สนิทใจ


http://i835.photobucket.com/albums/z...wn-View_62.jpg



แต่สักพักเดียว เจ้าอัลปากาก็เริ่มออกฤทธิ์...มันเริ่มเดินไปกัดร่มของพวกเราที่วางไว้กับพื้น พอเราไปแย่งเอาร่มคืนมา มันก็เริ่มหันมาไล่แทะพวกเราแทน น้องหมอฮ้วง ดูจะได้รับความสนใจจากมันเป็นพิเศษ มันวิ่งไล่และเล็ม จนต้องเผ่นหนีกระเจิง...




ตอนแรกเราก็นึกว่าเจ้าอัลปาคาจะแค่แหย่พวกเราเล่นๆ เราก็เลยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน..แต่หลังจากภาพนี้ เราต้องวิ่งหนีกันกระเจิง โดยเฉพาะน้องหมอฮ้วง วิ่งหนีหน้าตั้งนำหน้า โดยมีเจ้าอัลปาคาวิ่งไล่ตาม...


เฮ้ออออ กว่าจะหนีรอดจากปากเจ้าอัลปากาได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง....





สายชล 23-11-2012 13:34



เราวิ่งหนีอัลปาคาออกมาจากพิฑิธภัณฑ์ เลี้ยวขวาไปเล็กน้อย ก็ถึงถนนเล็กๆที่ชื่อ Romeritos ที่อยู่ติดกับรั้วพิพิธภัณฑ์ ฉันเพิ่งมาทราบที่หลังว่าถนนแห่งนี้มีชื่อเสียงที่ผู้คนต้องมาเยือน เพราะเป็นถนนแห่งเดียวในคุสโก ที่มีทางน้ำไหลผ่านกลางถนน เหมือนกับที่เราได้เห็นในพิพิธภัณฑ์


เดินไปได้ไม่นาน ก็ถึงโบสถ์ซานโต โดมิงโก (Santo Domingo) ซึ่งสร้างครอบ "วิหารแห่งสุริยเทพ" หรือ คอริกันชา (Qorikancha) มีเรื่องเล่าว่า ตอนสเปญมายึดคอริกันชานั้น ต้องตกตะลึงกับความมลังเมลืองของทอง และเพชรนิลจินดา ที่ประดับประดาอยู่ในคอริกันชา





แน่นอน...ผู้ครอบครองอย่างสเปญกวาดทรัพย์สิน ที่อยู่ในคอริกันชาไปหมด แถมยังทำลายมัมมี่กษัตริย์ของอินคา ที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนบันลังก์ทอง เท่านั้นไม่พอ ได้สร้างโบสถ์คริสต์ และตั้งเป็นโรงเรียนสำหรับสตรีหรือคอนแวนต์ ทับบนวิหารคอริกันชาดื้อๆ





อาคารด้านหลังโบสต์ มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น ต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ตรงกลางปล่อยว่างเป็นสนามหญ้ากว้าง ประดับประดาด้วยไม้ดอกไม้ประดับ มีหระถางดอกไม้สวยๆ ตั้งเรียงรายอยู่ตามระเบียงทางเดิน ที่ทำเป็นช่องโค้งต่อๆกันอย่างสวยงาม


http://i835.photobucket.com/albums/z...icancha_01.jpg



แต่เดิมนั้น...อินคาจะทำบริเวณนี้เป็นสวนธรรมชาติ มีทั้งต้นไม้ ดอกไม้ และสัตว์อาศัยอยู่ในสวน


http://i835.photobucket.com/albums/z...icancha_04.jpg


สายชล 23-11-2012 13:54



ดอกไม้ที่ประดับอยู่บนระเบียงของคอริกันชา สวยงามและสีสันสดใสมาก รู้สึกจะเป็นพันธุ์เดียวกัน แต่สีแตกต่างกัน...ได้ทราบจาก น้องก้อย (เพื่อนแม่หมูน้ำ) ที่ไไปอาศัยอยู่ในอิสราเอล บอกมาว่า ดอกไม้พันธุ์นี้ มีชื่อว่า "ไซคลาเมน (Cyclamen)" เป็นพืชที่ใช้หัวปลูก มีถึง 20 สายพันธุ์ ออกดอกได้ทั้งปีค่ะ





สายชล 23-11-2012 22:04



ไกด์สุดหล่อของเรา พาเรามาที่นี่ เพื่อจะปูพื้นฐาน ให้เราได้รู้จักกับชีวิตความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าอินคาให้ดีขึ้น ก่อนเราจะเดินทางไปมาชูปิกชู...เขากางตำราที่หอบมา แล้วอธิบายให้เราฟังอย่างตั้งใจ....




คำว่า "อินคา (Inca") แปลว่า "จักรพรรดิ์ (Emperor)" ส่วน "ซาปาอินคา (Sapa Inca) มีความหมายว่า "จักรพรรค์ผู้เป็นหนึ่งเดียว หรือ เอกอัครมหาจักรพรรดิ์ ( Only Emperor)" ซึ่งหมายถึงผู้ครองดินแดนแห่งอินคา.... ซึ่งชื่อที่เรียก แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของชนเผ่าที่ถือกำเนิดมาบนโลกแห่งนี้


มีการค้นพบว่าชนเผ่าอินคา ได้ถือกำเนิดเกิดมาก่อนคริสต์ศักราช 5000 - 2000 ปี.... แต่สำหรับชาวอินคาเองแล้ว ต่างมีความเชื่อว่า สุริยเทพได้สร้างอินคาคนแรกให้ถือกำเนิดเกิดมา มีนามว่า แมนโก (Manco) พร้อมกับน้องสาว (ที่ไม่มีชื่อ) และได้มีรับสั่งให้แมนโกและน้องสาวไปแสวงหาดินแดน ที่เหมาะสมที่จะตั้งบ้านเมือง ในที่สุดแมนโกก็ได้เลือกดินแดนที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ ตั้งเป็นเมืองชื่อว่า "คุสโก" ตามที่สุริยเทพมีรับสั่ง และแมนโกได้ตั้งตนเองเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้ โดยการรวบรวมชนเผ่าต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้เป็นหนึ่งเดียว


ชาวอินคาเชื่อว่า พวกตนเกิดมาจากสุริยเทพ ฉะนั้น สุริยเทพจึงเป็นเทพสูงสุด เหนือเทพทั้งหลายที่ชาวอินคานับถือ อันได้แก่เทพเจ้าที่สถิตย์อยู่ในธรรมชาติทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นเทพแห่งจันทรา..น้ำ..ฟ้า..ต้นไม้ใบหญ้า...ฯลฯ ฉะนั้นเมื่อแมนโกตายลงในวัยชราภาพ ลูก 400 คนของแมนโก ได้สร้าง "วิหารแห่งสุริยเทพ" ขึ้นตรงจุดที่แมนโกตาย เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับเขา...




ก่อนปี ค.ศ. 1100...ดินแดนแถบเทือกเขาแอนดิสอันเป็นที่ตั้งของประเทศเปรูในปัจจุบัน ปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์ วารี (Wari หรือ Huari) แต่ต่อมาราชวงศ์นี้ได้ล่มสลายลง เหตูเพราะเกิดความแห้งแล้งกันดาร มีการแย่งน้ำกันใช้ และมีการปล้นทรัพย์สินกันเอง พวกที่ทนไม่ได้ก็หนีขึ้นไปอยู่บนเขาสูงๆ (กว่า 4,000 เมตร) หรือไม่ก็หนีไปอยู่ในป่าแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอน มีส่วนน้อยที่จะหนีไปอยู่แถวทะเลทราย (ที่ยาวกว่า 2,000 กม. และกว้างกว่า 200 กม.)


พวกอินคาที่อยู่แถวเมืองคุสโก ที่มีดินดี น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกพืชไร่เลี้ยงชีพและมีเหลือไว้ขาย ไม่ยอมหนีไปไหน แต่กลับร่วมกันต่อต้านผู้รุกราน รวบรวมผู้คน แล้วตั้งเป็นราชอาณาจักรอินคา มีกษัตริย์ปกครองดินแดนแห่งนี้ มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12




ในปี ค.ศ. 1430...ปาชากูตี (Pachacuti) จักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของอินคา ได้ขยายราชอาณาจักรอินคา ออกไป โดยใช้พระคุณมากกว่าพระเดช กล่าวคือ ไม่ฆ่าศัตรูผู้รุกราน หรือผู้ไม่ยอมศิโรราบ แต่กลับอภัยโทษ แถมให้ความเมตตา เชื้อเชิญเข้ามาร่วมสร้างบ้านแปลงเมือง สร้างโรงเรียน และสาธารณูปโภคให้เมืองของคนที่เคยเป็นศัตรู หากยังกระด้างกระเดื้อง ไม่อยู่ในโอวาท ก็จัดการเนรเทศไปอยู่ในที่ไกลๆ แล้วตั้งพระญาติพระวงศ์ไปครองเมืองแทน ด้วยวิธีนี้ ราชอาณาจักรอินคา จึงยิ่งใหญ่แพร่ไพศาล ครอบครองพื้นที่ไปเกือบทั่วทวีปอเมริกาใต้ และจากราชอาณาจักร ได้ถูกเปลี่ยนเป็น "จักรวรรดิตาวันตินซูยู" ซึ่งใช้ระบบสหพันธรัฐ โดยมีรัฐบาลกลางที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และรัฐบาลท้องถิ่นสี่เขต คือเขตเหนือ เขตตะวันออก เขตตะวันตก และเขตใต้

และ จักรพรรดิ์ปาชากูตี (Pachacuti) นี่เอง ที่เป็นผู้สร้าง "มาชูปิกชู (Machu Picchu)" ขึ้นเป็นพระราชวังฤดูร้อนของพระองค์ขึ้น บนยอดเขาทางเหนือของคุสโก...




gengzilla 23-11-2012 22:48

เจ้าอัลปากามันคงทวงค่าโชว์น่ะครับ...555

lazyoctopussy 23-11-2012 23:02

คืนนี้จบเร็วจังค่ะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:01

vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger