|
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
หนุ่ม เจอ "อ้วกวาฬ" อำพันทะเลหนักกว่า 20 กก. ส่งตรวจสอบแล้ว ของจริง หนุ่มสะเดาโชคดี เจออำพันทะเลหนักกว่า 20 กก. หลังไปช่วยเก็บขยะริมทะเล นำส่งพิสูจน์ที่ มหาลัยสงขลานครินทร์แล้ว ระบุเป็นของจริง https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds วันที่ 21 ม.ค.65 นายอิสดาฤทธิ์ บาวแดง อายุ 43 ปี เปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาได้กลับไปที่บ้านเดิมที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา พร้อมไปช่วยเก็บขยะที่คลื่นซัดมาเกยฝั่งในช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมา เผอิญเท้าไปเหยียบกับก้อนไขมันขนาดใหญ่แล้วรู้สึกลื่นเท้าจึงเอะใจ จึงเก็บก้อนเล็กๆ ซึ่งมีกลิ่นโชยไปให้ญาติดู ซึ่งทุกคนสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอ้วกวาฬ ตัวเองจริงนำลังพลาสติกขนาดใหญ่ไปใส่ แล้วนำมาเก็บไว้ที่บ้านพักใน อ.สะเดา จากนั้น นายอิสดาฤทธิ์ ได้นำอำพันทะเล หรืออ้วกวาฬ มาให้ดู พบว่ามีสีคล้ายกะปิเป็นครีมขนาดใหญ่ น้ำหนัก 27 กก. กว้างกว่า 2 ฟุต มีกลิ่นโชยแต่ไม่รุนแรง ใส่อยู่ในลังพลาสติก เมื่อนำมาลนไฟดู พบมีการละลายเหมือนไขมัน ทิ้งไว้สักพักให้เย็นลง ก็จะจับตัวกลับมาเป็นก้อนเหมือนเดิม นายอิสดาฤทธิ์ เผยอีกว่า ตนได้นำตัวอย่างอ้วกวาฬส่งไปยังคณะวิทยาศาสตร์ สำนักเครื่องมือวิทยาศาสตร์และการทดสอบ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ตรวจสอบว่าเป็นอำพันทะเล หรืออ้วกวาฬหรือไม่ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ทำหนังสือรับรองมาให้ว่าเป็นอ้วกวาฬ หรืออำพันทะเลจริง จึงได้นำมาเผยแพร่ ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจ หรือหน่วยงานเอกชนไหนที่สนใจขอตัวอย่างเพื่อการศึกษา ก็สามารถติดต่อมาขอซื้อที่ตนได้. https://www.thairath.co.th/news/local/south/2292850 |
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ด่วน! แจ้งเตือนนักท่องเที่ยว จระเข้ ลอยคอทะเลหาดบางเทา ห่างฝั่ง 200 เมตร นักท่องเที่ยวผวา พบจระเข้ลอยคออยู่ในหาดบางเทา ห่างจากฝั่งประมาณ 200 เมตร นายก อบต.เชิงทะเล แจ้งเตือนคนเล่นน้ำระมัดระวัง https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds เมื่อวันที่ 21 ม.ค. เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวบริเวณชายหาดบางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ได้รับการประสานมาจากเรือสปีดโบ๊ตที่ได้ออกเรือจากฝั่งไปตกหมึกอยู่กลางทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 200 เมตร ว่าได้พบจระเข้ ลอยตัวอยู่กลางทะเล จากนั้นได้ประสานมายังเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ได้นำโดรนบินไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นจระเข้ซึ่งกำลังว่ายน้ำมุ่งหน้าไปทางหาดสุรินทร์ ตำบลเชิงทะเล ในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยได้รายงานให้ นายมาโนช พันธ์ฉลาด นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ได้รายงานให้ทาง นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ทราบแล้ว พร้อมแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวที่เล่นน้ำอยู่ชายฝั่งให้ระมัดระวังหวั่นจะเกิดอันตรายได้ https://www.dailynews.co.th/news/689864/ |
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
โลกร้อนสุดขั้ว! เมืองออนสโลว์ ออสเตรเลีย อุณหภูมิแตะ 50.7 C https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds การวิเคราะห์แบบจำลองยุโรปอุณหภูมิสูงในวันจันทร์ที่ออสเตรเลีย พื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 50 องศาเซลเซียส (122 องศา) (WeatherBell) สถานที่ร้อนที่สุดในประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือ เมืองออนสโลว์ (Onslow) ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย โดยที่ปรอทวัดอุณหภูมิพุ่งขึ้นไปแตะถึง 50.7 องศาเซลเซียส ซึ่งเท่ากับอุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในซีกโลกใต้ ซิดนีย์ (AFP) รายงานว่าเมืองห่างไกล ในรัฐเวสเทิร์นมีอุณหภูมิเท่ากับวันที่ร้อนที่สุดของประเทศเป็นประวัติการณ์ โดยรายงานยืนยันอุณหภูมิที่แผดเผา 50.7 องศาเซลเซียส (123.26 องศาฟาเรนไฮต์) สำนักอุตุนิยมวิทยาของรัฐเวสเทิร์น เผยว่าระดับอุณหภูมิดังกล่าวอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในออสเตรเลียเนื่องจากภาวะโลกร้อน สภา Climate ของประเทศออกคำเตือน เมืองชายฝั่ง Onslow พุ่งขึ้นสูงสุดในบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 13 ม.ค.2022 สำนักอุตุนิยมวิทยาคาดว่าจะยืนยันบันทึกอย่างเป็นทางการในบ่ายวันศุกร์หลังจากการตรวจสอบการควบคุมคุณภาพเสร็จสิ้น "ออนสโลว์ทำสถิติใหม่ อุณหภูมิร้อนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นับเป็นสถิติของ WA และเท่ากับวันที่ร้อนที่สุดของออสเตรเลียเมื่อ 62 ปีที่แล้ว (2 ม.ค.1960) ที่สนามบิน ในเมือง Oodnadatta SA ของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย " ดร.มาร์ติน ไรซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Climate Council กล่าวว่า บันทึกดังกล่าว "เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มภาวะโลกร้อนในระยะยาวซึ่งได้รับแรงหนุนจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซ" เขากล่าวว่าอุณหภูมิที่สูงมาก กำลังมี "ผลร้ายแรง" ในออสเตรเลียอยู่แล้ว ?คลื่นความร้อนเป็นตัวฆ่าเงียบในออสเตรเลีย ทำให้เกิดการเสียชีวิตมากกว่าเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอื่นๆ" เขากล่าว ออสเตรเลียประสบปัญหาไฟป่าในฤดูร้อนทางตะวันตกของประเทศ และน้ำท่วมบริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศ ไรซ์กล่าวอีกว่า หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในออสเตรเลียในทุกปี "ในซิดนีย์และเมลเบิร์น เราคงจะเห็นวันฤดูร้อน 50 องศาภายในปี 2030" เขากล่าว https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000006676 |
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
เร่งเก็บกู้ซากอวนเกือบ 100 เมตร ติดแนวปะการัง จุดดำน้ำดังพังงา https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds 21 ม.ค.2565 - พลเรือตรี อาภากร อยู่คงแก้ว รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 ,พลเรือตรี สุชาติ เปรมประเสริฐ รองผอ. ศรชล. ภาค3 และชุดปฏิบัติการพิเศษ ทัพเรือภาคที่3 แถลงข่าวภารกิจเก็บกู้ซากอวนจากบริเวณซากเรือคิงส์ครุยส์เซอร์ ในพื้นที่จังหวัดพังงา ณ บริเวณสโมสรเรือใบ ทัพเรือภาคที่ 3 พลเรือตรี อาภากร อยู่คงแก้ว รองผู้บัญชาการ ทัพเรือภาคที่ 3 กล่าวว่า จากการที่ทัพเรือภาคที่ 3 ได้รับทราบข้อมูลจากผู้ประกอบการดำน้ำว่า บริเวณจุดดำน้ำซากเรือคิงส์ครุยเซอร์ ในพื้นที่จังหวัดพังงา มีอวนค่อนข้างยาวไปติดอยู่กับแนวปะการัง ซึ่งจุดดังกล่าวเป็นจุดดำน้ำที่น่าสนใจมีนักดำน้ำจากทั่วโลกมาดำน้ำกันจำนวนมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน จากการสำรวจ จุดดำน้ำลึก King Cruiser Wreck ณ เวลานี้ พบขยะพลาสติก และ พบอวนประมงชนิดตาข่ายเอ็นใส พัน ปะการังอ่อนอันสวยงาม มีความเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายให้กับปะการังอ่อน จึงมีการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมมากที่สุด เพราะปะการังบริเวณดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์สวยงามมากหากกระทบกระเทือนจะทำให้เสียหายได้ ในวันนี้ (21 มกราคม 2565) ทัพเรือภาคที่ 3 /ศรชล.ภาค 3 ร่วมกับ สทช.6 และภาคเอกชน เรือ MV.Mandarin Queen ดำเนินการในภารกิจเร่งด่วนภายใต้โครงการรักษ์ทะเลไทยตามแนวพระราชดำริฯ ดำน้ำเก็บกู้ซากอวนที่บริเวณซากเรือคิงส์ครุยเซอร์ในพื้นที่จังหวัดพังงา โดยระดมกันช่วยเก็บกู้ซากอวนขึ้นมา ในพื้นที่ดังกล่าวน้ำค่อนข้างลึกประมาณ 30เมตร เวลาทำการใต้น้ำค่อนข้างจำกัดนักดำน้ำแต่ละคนใช้เวลาดำใต้น้ำไม่เกิน25นาที เมื่อดำลงไปที่จุดได้พยายามตัดเอาซากอวนออกมาทำงานแข่งกับเวลาถือว่ามีอุปสรรคพอสมควรและเมื่ออยู่ลึกลงไปการมองเห็นจึงน้อยลง ที่ผ่านมาผู้ประกอบการดำน้ำได้เคยเอาขึ้นมาแล้วแต่ครั้งนี้ซากอวนค่อนข้างยาวมาก เกือบ100เมตร ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ปลาสวยงาม สัตว์น้ำต่างๆเข้าไปติดทำให้แนวปะการังที่มีความสมบูรณ์จะเสื่อมโทรมลง กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่ 3/ ศรชล. ภาค 3 ตั้งใจว่า การทำงานรักษาแนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลต้องร่วมกันในหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการดำน้ำต้องช่วยกันและตามแนวทางพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระองค์ท่านเคยเสด็จมาทรงดำน้ำในพื้นที่หลายครั้ง ได้ทอดพระเนตรแนวปะการังต่างๆมีรับสั่งว่าเป็นที่น่าเสียดายที่แนวปะการังของเราถ้าไม่ช่วยกันรักษาจะถูกทำลาย จึงขอให้ทุกภาคส่วนมาช่วยกันให้ทรัพยากรใต้น้ำคงอยู่อย่างยั่งยืน ในส่วนเรือท่องเที่ยวดำน้ำ ในจุดดำน้ำธรรมชาติใต้น้ำมีหลายจุดในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น พังงา กระบี่ ตรัง สตูล เป็นต้น เป็นพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่3และศรชล.ภาค3 จึงอยากฝากผู้ประกอบการดำน้ำว่าถ้าพบเห็นสิ่งใด ตามแนวปะการังเกิดความเสียหาย ขอให้แจ้งมาที่ทัพเรือภาคที่3 /ศรชล.ภาค3 หรือหน่วยงานอื่นในศรชล.เพื่อช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล และในอนาคตจะมีการจัดตั้งทีมให้มีความใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อมีจุดใดที่ได้รับความเสียหายขอให้แจ้งข่าวมา ทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน จิตอาสาต่างๆจะไปช่วยกัน อีกทั้ง ในเร็วๆนี้ ทางศรชล.ภาค3 จะมีการจัดสัมมนาใหัความรู้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรทางทะเล และการรักษากฎหมาย ให้ช่วยกันอนุรักษ์ดูแลทรัพยากรทางทะเลแนวปะการัง ฟื้นฟูรักษาให้ดียิ่งขึ้น https://www.thaipost.net/district-news/69636/ |
| เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:31 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger