สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมบริเวณอ่าวไทยตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมถึงดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้ตอนล่างยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ฝุ่นละอองในระยะนี้: ประเทศไทยตอนบนมีการสะสมของฝุ่นละออง/หมอกควันลดลง เนื่องจากมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วนกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 13 - 18 ม.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ทำให้มีลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในระยะแรก ในขณะที่ในช่วงวันที่ 13 ? 17 ม.ค. 67 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งเกิดขึ้นได้ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยอุณหภูมิจะลดลง 1 - 3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลางและภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย สำหรับบริเวณยอดดอยของภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนยอดภูของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งในช่วงวันที่ 15 ? 18 ม.ค.67 ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณาและสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยในช่วงวันที่ 15 ? 18 ม.ค. 67 ประชาชนในภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง ****************************************************************************************************** ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง อากาศแปรปรวนบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 4 (4/2567) (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 16 มกราคม 2567) ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค. 67 คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบน ประกอบกับบริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลให้มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมอ่าวไทยตอนบน ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง ส่วนมากบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงมีฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง โดยบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง รวมถึงดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย โดยมีพื้นที่ได้รับผลกระทบดังนี้ วันที่ 13-14 มกราคม 2567 ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ นครราชสีมา ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสาคร รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วันที่ 15-16 มกราคม 2567 ภาคเหนือ: จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร และตาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย ภาคกลาง: จังหวัดกาญจนบุรี https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds |
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
วอนขอลมหายใจสะอาด .................. คอลัมน์ บทบรรณาธิการ https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่โลกก็ยังต้องประสบภัยพิบัติต่อไป ทั้งที่เกิดจากภัยธรรมชาติเช่น ฝนแล้งและน้ำท่วม และภัยที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่นภัยฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่กำลังระบาดในประเทศไทย ถึง 53 จังหวัด จากทั้งหมด 77 จังหวัด ภาพที่กระทบต่อสุขภาพระดับสีแดง 5 จังหวัด 5 จังหวัดที่มีฝุ่นพิษขนาดจิ๋วระดับสีแดง ได้แก่ อ่างทอง ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี และสิงห์บุรี จังหวัดที่รองลงไป เช่น ลพบุรี สมุทรสาคร สระบุรี นครสวรรค์ อยุธยา อุทัยธานี สุพรรณบุรี นครปฐม เป็นต้น รวมทั้ง กทม. ที่อยู่ในระดับอันตรายสูง ที่เขตดอนเมือง หลักสี่ และบางเขน เมื่อพูดถึงฝุ่นพิษซึ่งเป็นภัยประจำปี สิ่งแรกที่คนไทยนึกถึงคือภาคเหนือ ที่มีการเผาป่า เผาไร่ข้าวโพด และอื่นๆมากสุด ทำให้นครเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆของไทยและของโลก กลายเป็นพื้นที่ที่อากาศย่ำแย่ที่สุดในโลกในบางปี ส่วน กทม.ก็คงต้องฉีดน้ำตามถนนต่างๆ เหมือนเดิม การเผาป่าเผาไร่เพื่อทำการเกษตร เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีใครใส่ใจปฏิบัติ แม้แต่อาเซียนก็มีสัญญาหรือความตกลงร่วมกัน เพื่อควบคุมการเผาป่า แต่ไม่มีผลบังคับใช้จริงจัง ระหว่างไทย ลาว พม่า และกัมพูชา เพื่อป้องกันการเผาไร่เผาป่า ทั้งๆที่ 4 ประเทศมีดินแดนติดกัน และมีสัญญาร่วมกัน แต่สัญญาห้ามเผาสวนปาล์มน้ำมันกลับใช้ได้ผล ระหว่างสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เพราะสิงคโปร์ทำการรณรงค์ห้ามผู้บริโภคใช้น้ำมันปาล์ม จากสวนที่ใช้วิธีเผาไร่และเผาป่า ประเทศ ไทยน่าจะจับมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย แต่สัญญาจะกลายเป็นแค่ "ตัวอักษรบนแผ่นกระดาษ" หรือไม่ แม้แต่ภายในประเทศก็ยังมีการโต้เถียง สส.พรรคก้าวไกลโวยว่า สภารับร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดไว้ดำเนินการ 4 ฉบับ ได้แก่ฉบับของ ครม. ฉบับพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคพลังประชารัฐ แต่ทำไมจึงไม่รับร่างพรรคก้าวไกลด้วย ทั้งๆที่เป็นร่างกฎหมายที่มีเนื้อหาตรงกัน และมีวัตถุประสงค์สำคัญ คือขอลมหายใจที่สะอาดให้คนไทยทั้งประเทศ กว่า 66 ล้านคน ให้ได้สูดได้เต็มปอด เรื่องนี้เป็นปัญหาการเมืองหรือไม่ เนื่องจากพรรคก้าวไกลกลายเป็นคู่แข่งของพรรคเพื่อไทย จึงต้องใช้ทุกยุทธวิธี รวมทั้งเตะตัดขาคู่ต่อสู้. https://www.thairath.co.th/news/loca...0yJnJ1bGU9Mg== ****************************************************************************************************** PM 2.5 วิกฤติ ส่งผลโรคทางสมอง..ระบบประสาท https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds ต้องยอมรับว่าเวลานี้ค่าฝุ่น PM 2.5 ในเมืองไทยเข้าสู่ภาวะวิกฤติ และกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดต่อสุขภาพอนามัยของคนไทย ที่ส่งผลกระทบทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งค่าเฉลี่ยฝุ่นละออง PM 2.5 ในอากาศว่าหากมีเกินกว่า 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยกำหนดอันตรายของฝุ่น PM 2.5 อยู่ที่เกินกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งต่างจากเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกอยู่ประมาณครึ่งหนึ่ง สาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดมาจาก 2 แหล่งคือ แหล่งกำเนิดปฐมภูมิ เช่น การคมนาคมขนส่ง, การเผาในที่โล่งแจ้ง, โรงงานอุตสาหกรรม, โรงงานผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล แหล่งกำเนิดทุติยภูมิ เช่น การปฏิกิริยาเคมีในอากาศโดยมีสารเคมีกลุ่มซัลเฟอร์ หรือกลุ่มไนโตรเจนและแอมโมเนียเป็นสารตั้งต้น รวมทั้งสารเคมีต่างๆที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท, แคดเมียม, อาร์เซนิก, โพลีไซคลิกอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน และสารก่อมะเร็งจำนวนมาก ปัจจัยที่ทำให้ PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาในปัจจุบันคือ ยังคงมีแหล่งสร้างมลพิษทางอากาศซึ่งไม่สามารถควบคุมให้ปริมาณมลพิษทางอากาศจากแหล่งที่มาเหล่านี้ลดลงได้ รวมถึงสภาพความกดอากาศต่ำ ทำให้การเคลื่อนย้ายของฝุ่นมลภาวะทางอากาศไม่ถ่ายเทออกไปโดยง่าย ฝุ่น PM 2.5 สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพทั่วไประยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะถ้ามีการสะสมในร่างกายเป็นระยะเวลานานๆ เช่น ระบบผิวหนัง ทำให้มีปัญหาผื่นคัน ผื่นแพ้, ลมพิษ, ผิวหน้าเหี่ยวแพ้ง่าย และเกิดริ้วรอยบริเวณร่องแก้มมากยิ่งขึ้นด้วย ระบบทางเดินหายใจ กระตุ้นภูมิแพ้, โรคหืด, โรคถุงลมโป่งพอง, ทำให้เกิดปัญหาโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, มะเร็งปอด ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจเรื้อรัง มีผลต่อการพัฒนาการ สติปัญญาของเด็ก และกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็ก และสามารถส่งผลถึง ทารกในครรภ์มารดา ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือคลอดก่อนกำหนดได้ เดิมทีเราอาจไม่ได้คิดว่า PM 2.5 จะส่งผลกระทบใดๆต่อสุขภาพ เพราะมีขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นได้ แต่ด้วยขนาดที่เล็กมากๆ นี่เอง ที่ทำให้ฝุ่นจิ๋วสามารถแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะสำคัญๆในร่างกายได้ โดยเฉพาะสมองและระบบประสาทที่หลายคนอาจไม่คาดคิด PM 2.5 เข้าสู่อวัยวะต่างๆได้อย่างไร... เท่าที่มีข้อมูลขณะนี้ พบว่า ฝุ่นจิ๋วสามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายได้อย่างน้อย 3 ช่องทาง คือ 1.ผ่านผนังโพรงจมูกส่วนติดต่อสมองรับกลิ่น โดยจะซึมผ่านขึ้นไปที่สมองส่วนหน้าด้านล่าง 2.ผ่านเข้าไปในปอด เข้าไปถึงหลอดลม แล้วซึมเข้าสู่กระแสเลือดที่ไหลเวียนไปยังสมอง และ 3.ผ่านเข้าสู่ทางเดินอาหาร โดยการกลืนลมที่มีฝุ่นจิ๋วปะปนในระหว่างการพูดคุยแล้วดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด หรือไปเปลี่ยนจุลชีพและสภาวะแวดล้อมในทางเดินอาหารก่อนจะไหลเวียนไปที่สมอง มีการศึกษาในงานวิจัยหลายฉบับ พบว่า มีการสะสมของอนุภาคฝุ่นจิ๋วในสมองจริง โดยเฉพาะในสมองส่วนหน้า ซึ่งผ่านมาจากผนังโพรงจมูกส่วนติดต่อสมองรับกลิ่น โดยจะซึมผ่านขึ้นไปที่สมองส่วนหน้าด้านล่าง จากการตรวจพบอนุภาคฝุ่นจิ๋วในสมองส่วนหน้าคล้ายๆกลุ่มโรคที่เกิดขึ้นในสมองโดยทั่วไป โดยพบว่าในเด็กเล็กที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต หากมีการสะสมของ PM 2.5 ในสมอง จะส่งผลถึงพัฒนาการของสมองช้ากว่าเด็กที่ไม่ได้รับการสะสมของฝุ่นจิ๋ว นอกจากนี้ ในสมองส่วนลึกยังพบว่ามีโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันระบบประสาทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเชื่อมโยงตรงกับช่วงเวลาที่มีการเพิ่มขึ้นของ PM 2.5 ในทางการแพทย์อธิบายได้ว่า PM 2.5 มีผลกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบในระบบประสาทส่วนกลาง และหากผลกระทบนี้ลุกลามไปยังสมองที่ทำหน้าที่อื่นๆ ก็จะส่งผลให้การทำงานของสมองในตำแหน่งนั้นผิดปกติไป เช่น ทำให้เกิดความจำเสื่อม ฯลฯ การป้องกันและดูแลสุขภาพจากฝุ่น PM 2.5 ทำได้โดยสวมหน้ากากป้องกัน โดยต้องเป็นหน้ากากที่มีคุณภาพ เช่น N95 หากไม่มีอาจใช้หน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้น แต่การสวมใส่หน้ากากควรสวมใส่อย่างถูกต้อง คือ ควรสวมใส่ปิดให้แนบสนิทกับใบหน้าทุกส่วน ควรอยู่ในอาคาร บ้าน หรือพื้นที่ปิดมิดชิดมากกว่าการอยู่นอกบ้านหรือในพื้นที่โล่ง เพราะจะมีโอกาสสัมผัสฝุ่นน้อยลง และควรเปิดเครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรองที่มีคุณสมบัติในการกรองฝุ่น PM 2.5 ในกรณีที่ไม่มีการเปิดแอร์ ก็ควรเปิดพัดลมร่วมกับเปิดเครื่องฟอกอากาศ โดยปิดห้องให้มิดชิดไม่ให้อากาศภายนอกเข้ามาภายในห้อง ซึ่งแม้จะไม่สามารถป้องกันอันตรายจาก PM 2.5 ได้ 100 % แต่ก็ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อระบบอวัยวะสำคัญในร่างกายลงได้ไม่มากก็น้อย. https://www.thairath.co.th/lifestyle...0zJnJ1bGU9Mw== |
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ทช.ร่วมตำรวจสัตหีบล่อซื้อจับกุมพ่อค้าสัตว์อนุรักษ์ทางทะเลใน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ศูนย์ข่าวศรีราชา - ทช.ร่วมตำรวจสัตหีบ ล่อซื้อจับกุมหนุ่มแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ลักลอบค้าสัตว์อนุรักษ์ทางทะเล ซ้ำยังโพสต์ขายผ่านโลกออนไลน์ ยึดของกลางหลายรายการ https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds วานนี้ (11 ม.ค.) นายวุฒิพงษ์ วงศ์อินทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล พร้อมด้วย นายปฏิภาน บุปะเท ผู้อำนวยการ ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน และนายบรรณดิษฐ วรรณทอง ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรชายเลน จ.สมุทรปราการ ได้สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สัตหีบ และตำรวจ ส.รน.5 กก.5 วางแผนล่อซื้อจับกุมตัว นายแรม ชาวสวน อายุ 42 ปี พ่อค้าสัตว์อนุรักษ์ทางทะเล ยึดของกลาง หอยมือเสือ 3 ตัว ดอกไม้ทะเล 4 ต้น ซากปะการังเขากวาง 23 กิ่ง และธนบัตรล่อซื้อ จำนวน 4,000 บาท การจับกุมดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องจากที่ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 ได้สืบทราบว่า ผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักลอบจำหน่ายสัตว์อนุรักษ์ในทะเลในเขตพื้นที่ ต.แสมสาร และยังได้โพสต์ขายลงในสื่อโซเชียล จึงให้สายลับติดต่อทำการล่อซื้อผ่านทาง LINE และโดยนัดหมายส่งมอบกันริมถนน ซอยบ้านไร่ชายนาม ม.4 ต.แสมสาร กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่ซุ่มโป่งโดยรอบจะได้รับสัญญาณจากสายลับให้เขาทำการจับกุม เบื้องต้น ได้ตั้งข้อหาในความผิดฐาน ล่าหรือทำลายอันตรายด้วยประการอื่นใดแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของ และอยู่อย่างอิสระครอบครองซึ่งสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง หรือซากสัตว์ป่าดังกล่าว และค้าสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าดังกล่าวมาตรา 3 ประกอบมาตรา 12 มาตรา 17 และมาตรา 29 มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 และมาตรา 92 ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ2562 ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สัตหีบ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป https://mgronline.com/local/detail/9670000003262 |
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
คลิปใจฟู!!! นาทีช่วยชีวิต'เต่ามะเฟือง'ติดสายเชือกพันคอ คาดมีน้ำหนักใหญ่ยักษ์ 200 กก. https://hosting.photobucket.com/imag...720&fit=bounds กรมทะเลชายฝั่งขอบคุณและชื่นชมพลเมืองดี อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ชาวประมงในพื้นที่ ที่ให้การช่วยชีวิตเต่ามะเฟืองติดสายเชือกพันคอ บริเวณเกาะปลิง หน้าเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา วันที่ 11 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา นายครรชิต พัดตัน (บังเล็ก เรือลอบ บ้านทุ่งละออง) ชาวบ้าน ม.4 ต.บางวัน อ.คุระบุรี จ.พังงา ได้เข้าช่วยเหลือ ?เต่ามะเฟืองติดสายเชือกพันคอ? หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจตายได้ เต่ามะเฟืองตัวดังกล่าวคาดว่าน้ำหนักประมาณ 200 กก. จุดที่พบบริเวณเกาะปลิง หน้าเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ขอขอบคุณที่ท่านเป็นกำลังสำคัญในการดูแล อนุรักษ์ ปกป้องสัตว์ทะเลหายาก และท้องทะเลไทย ขอขอบคุณ คลิปใจฟู จากเจ้าของคลิปด้วยค่ะ https://www.naewna.com/likesara/780408 |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:51 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger