ขับรถท่องเที่ยวเทียวไป ทั่วแคว้นแดนไกล...หนองคาย...ลาว...เลย...ภาคที่ 3
|
หลังจากขับรถท่องเที่ยวในลาวกับ Fortuner Club อยู่ 6 วัน....เราเดินทางกลับเข้าไทย และนอนพักค้างคืนที่หนองคายอยู่หนึ่งคืน พอวันรุ่งขึ้น ก็ออกเดินทางแต่เช้าเข้า จังหวัดเลย โดยจะใช้เมืองเชียงคาน เป็นจุดพำนักพักแรม... เส้นทางที่เราใช้ คือ เส้นทางหลวงหมายเลข 211(เชียงคาน-ปากชม) ซึ่งเป็นเส้นทางสายสวยที่ลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำโขง จากตัวเมืองหนองคาย ไปถึงเมืองเชียงคาน รวมระยะทาง 190 กิโลเมตร |
ก่อนจะออกนอกเขตเมืองหนองคาย...เราแวะทำบุญและไหว้ หลวงพ่อพระเจ้าองค์ตื้อ ที่วัดศรีชมภูองค์ตื้อ ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย พระเจ้าองค์ตื้อ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ฝีมือช่างฝ่ายเหนือ และล้านช้างผสมกัน นับเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามมาก เป็นพระประธานซึ่งสร้างด้วยทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัด นั่งขัดสมาธิปางมารวิชัยหน้าตักกว้าง 3 เมตร 29 เชนติเมตร สูง 4 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่มีประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เคารพนับถือมาก วัดศรีชมภูองค์ตื้อ ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2105 ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชครองเมืองเวียงจันทร์ มีเรื่องเล่าว่า พระสงฆ์ในวัดศรีชมภูองค์ตื้อได้ประชุมปรึกษาหารือกัน ลงมติจะหล่อพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นในบ้านน้ำโมง (เดิมเรียกว่าบ้านน้ำโหม่ง) เพื่อเป็นที่เคารพสักการะแก่อนุชนรุ่นหลังต่อ ๆ มา ในวันสุดท้ายเป็นวันหล่อตอนพระเกศ ในตอนเช้าได้ยกเบ้าเทแล้วแต่ไม่ติด เมื่อเอาเบ้าเข้าเตาใหม่ ทองยังไม่ละลายดี ก็พอดีเป็นเวลาจวนพระจะฉันเพล พระทั้งหมดจึงทิ้งเบ้าไว้ในเตา แล้วก็ขึ้นไปฉันเพลบนกุฏิ ฉันเพลเสร็จแล้วลงมาหมายจะเทเบ้าที่ค้างไว้ กลับปรากฏว่ามีผู้เททองติด และตอนพระเกศสวยงามกว่าเดิม เป็นที่น่าอัศจรรย์ เมื่อสืบถาม ได้ความว่า มีชายผู้หนึ่งนุ่งห่มผ้าขาวมายกเบ้านั้นเทจนสำเร็จ แต่ด้วยเหตุที่เบ้านั้นร้อน เมื่อเทเสร็จแล้ว ชายผู้นั้นจึงวิ่งไปทางเหนือบ้านน้ำโมง มีผู้เห็นยืนโลเลอยู่ริมหนองน้ำแห่งหนึ่ง แล้วหายไป หนองน้ำนั้นภายหลังชาวบ้านเรียกว่าหนองโลเลมาจนถึงปัจจุบันนี้ และชายผู้นั้นก็เข้าใจกันว่าเป็นเทวดามาช่วยสร้าง เมื่อได้นำพระพุทธรูปที่หล่อแล้วมาประดิษฐานไว้ในวัด มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่แห่งเมืองเวียงจันทร์ มาเที่ยวบ้านน้ำโมงสองท่านชื่อว่า ท่านหมื่นจันทร์ กับ ท่านหมื่นราม ทั้งสองท่านนี้ได้เห็นพระเจ้าองค์ตื้อ ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสที่จะช่วยเหลือ จึงได้ช่วยกันก่อฐาน และทำราวเป็นการส่งเสริมศรัทธาของผู้สร้าง ครั้นเมื่อขุนนางทั้งสองได้กลับถึงเมืองเวียงจันทร์แล้ว ได้กราบทูลพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ซึ่งครองเมืองเวียงจันทร์ในเวลานั้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้เสด็จมาทอดพระเนตรก็ทรงเกิดศรัทธา จึงได้สร้างวิหารประดิษฐาน ขอบคุณข้อมูลจาก...www.wikipedia.org |
ออกจากวัดศรีชมภูฯแล้ว...เราขับรถต่อไปตามถนนหมายเลข 211 ซึ่งเป็นถนนลาดยางสองเลนให้รถวิ่งสวนทางกัน ถนนค่อนข้างจะคดโค้ง ขึ้นๆลงๆ ลัดเลาะไปตามเชิงเขาเตี้ยๆ เลียบไปตามลำน้ำโขง ที่ยามนั้นค่อนข้างจะแห้งขอด เห็นสันทรายและกองหินโผล่ขึ้นมา เป็นเกาะแก่งชัดเจน... http://i835.photobucket.com/albums/z...ei/Loei_02.jpg น่าลงไปเดินเล่นจริงๆค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...ei/Loei_01.jpg |
วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน เราวิ่งผ่านอำเภอปากชม และเข้าเขตอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ในช่วงใกล้เที่ยง ก่อนถึงเมืองเชียงคานราว 6 กิโลเมตร...มีทางแยกซ้ายมือ เข้า บ้านอุมุง วิ่งตรงไปตามทางระยะทางราว 3 กิโลเมตร ก็ถึงทางขึ้นเขาสูงชัน แต่เป็นทางปูนซีเมนต์อย่างดีระยะทางราว 1 กิโลเมตร ลัดเลียบผาสู่ยอดเขา อันเป็นที่ตั้งของวัดดังนาม วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_01.jpg พอขึ้นไปได้ถึงยอดเขา...เราเห็นลานกว้างให้จอดรถ..มีกระต่ายตัวเล็กตัวน้อย อ้วนกระปุ๊กลุก หลากหลายสีและลาย วิ่งไปวิ่งมา http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_13.jpg ความที่เข่าบวมและยังเจ็บอยู่มาก...สายชลเลยขอนั่งดูกระต่ายอยู่ในรถ ปล่อยให้คุณสายน้ำ ลงไปถ่ายภาพรอบๆบริเวณวัดแต่ผู้เดียว http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_12.jpg เจ้ากระต่ายน้อย กระโดดหยองแหยงมาเยี่ยมทักทาย เจ้า "กระต่ายขาว" รถฟอร์จูนเนอร์ของเรา...น่ารักมากๆค่ะ http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_05.jpg |
มองไปด้านหนึ่ง เห็นปูนปั้นเป็นรูปควายสีดำ ไม่ใช่ควายเงินอย่างชื่อวัด... http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_02.jpg จากหลักฐานที่บันทึกประวัติความเป็นมาของวัด ได้ระบุไว้ว่าวัดพระพุทธบาทภูควายเงินสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2300 เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตร มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า…. ในอดีตวัดแห่งนี้เป็นวัดร้าง แต่มักจะมีพระธุดงค์เดินทางมากปักกลดบำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ ในบริเวณวัด มีรอยพระพุทธบาทปรากฏอยู่ภายใต้ซุ้มอิฐใหญ่ ขนาดพอที่คนจะเข้าไปนั่งได้ 2 คนซึ่งในภาษาถิ่นจะเรียกสิ่งปลูกสร้างในลักษณะนี้ว่า “อุบมุง” ซึ่งต่อมา ได้กลายเป็นชื่อหมู่บ้านทางทิศตะวันออกของวัดคือ บ้านอุมุง ที่หมู่บ้านอุมุงแห่งนี้ มีชาวนาผู้หนึ่งที่มักพาควายขึ้นมาหาหญ้ากินบนภูเขาบริเวณวัด และเมื่อมีพระธุดงค์ผ่านมา ชาวนาผู้นี้ก็จะนำเอาอาหาร มาถวายแก่พระธุดงค์เป็นประจำ ซึ่งอานิสงส์แห่งการถวายทานนี้เอง ทำให้ชาวนาทำนาขายข้าวได้เงินมากทุกปี จนร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐี และด้วยสำนึกในบุญคุณของควาย ที่ช่วยไถนาปลูกข้าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ชาวนาจึงเรียกควายตัวนี้ว่า “ควายเงิน” วัดแห่งนี้จึงตั้งชื่อว่า “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” ตามเรื่องเล่านี้เอง ในวันที่เราเดินทางไปถึง...กำลังมีการก่อสร้างมณฑป ครอบพระพุทธบาทอยู่ เราจึงไม่สามารถเข้าไปกราบตัวพระพุทธบาท และถ่ายภาพได้ |
ตามประวัติที่เล่าสืบต่อกันมา สรุปได้ว่าวัดพระพุทธบาทภูควายเงินสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2300 เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 400 เมตร ถือเป็นโบราณสถานเก่าแก่ทางพระพุทธศาสนาสำคัญ ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเชียงคานมานาน โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ในอดีตแต่เก่าก่อนเชื่อกันว่า ใครก็ตามที่จะมาถึงวัดพระพุทธบาทภูควายเงินได้ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาจริงๆเท่านั้น ส่วนคนที่มีบุญหรือมีวาสนาไม่ถึงก็จะมีเหตุและอุปสรรค์ต่างๆ หรือไม่ก็หลงทาง ทำให้มาไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจไว้ เหตุเพราะทางไปและทางขึ้นลงเขา ลำบากมาก หาความสดวกสบายไม่ได้ ผิดกับสมัยนี้ ที่การเดินทางสะดวกสบาย ใครใคร่ขึ้นไปไหว้ก็ได้ http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_08.jpg ส่วนกระต่ายใหญ่น้อยที่เห็นอยู่นั้น ได้ยินมาว่าเป็นกระต่ายป่า ที่เข้ามาอาศัยอยู่อย่างมีความสุข บริเวณรอบๆวัด (ในขณะที่วัดอื่นมีให้เห็นแต่หมากับแมว) http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_06.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_10.jpg http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_09.jpg |
ทุกปีในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 3 ทางวัดจะจัดงานสมโภชประจำปี ถือเป็นงานสำคัญของชาวบ้านในแถบนี้... กุฏิพระสงฆ์ ที่แสดงถึงความสมถะอย่างแท้จริง... http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_15.jpg วิวทิวทัศน์ที่พอจะมองผ่านแมกไม้ ที่ขึ้นอยู่หนาแน่นบนยอดเขา งามใช้ได้ทีเดียวค่ะ...หมู่บ้านที่เห็นนั้น เข้าใจว่าจะเป็นหมู่บ้านอุมง ที่มีเรื่องเล่าขานในตำนาน http://i835.photobucket.com/albums/z...i-Ngern_14.jpg |
แก่งคุดคู้ ออกจากทางเข้าวัดพระพุทธบาทภูควายเงิน เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 211 ตามเส้นทางมุ่งหน้าไปเชียงคาน แต่เราจะยังไม่เข้าเชียงคานกันหรอกค่ะ เพราะยังเพิ่งบ่ายคล้อยเท่านั้นเอง... วิ่งออกมาได้ราว 3 กิโลเมตร...ขวามือมีทางแยกบอกว่าทางไป "แก่งคุดคู้" แวะเข้าไปชมกันซะหน่อย เพราะเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังของที่นี่ค่ะ วิ่งทื่อๆตรงไปตามทางที่บอก ไม่นานก็เจอลานจอดรถของแก่งคุดคู้ สัญลักษณ์คือเสาหลักกิโลเมตรอันใหญ่ สูงท่วมหัว ด้านหลังเป็นบันไดสูงชัน ใช้เดินลงสู่แม่น้ำโขง ที่แห้งจนเห็นสันทรายโผล่ขึ้นมา ทิวเขายาวเขียวขจีที่ฝั่งลาว ทำให้ทิวทัศน์ของที่นี่ดูสวยขึ้นมากค่ะ.. http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_01.jpg ด้านหน้า เขียนไว้ว่า "แก่งคุดคู้ กม. 0"...ด้านใต้ ของเสาเขียนบอกระยะทางไว้ว่า "ปากชม 44 หนองคาย 185" ส่วน ด้านเหนือ บอกไว้ว่า "ท่าลี่ 55 หลวงพระบาง 425".... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_02.jpg ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อยนะคะ... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_03.jpg |
เขาบอกว่า หากใครมาเที่ยวเชียงคาน ถ้าไม่ได้ไปเยือนแก่งคุดคู้ ก็ถือว่าไปไม่ถึงเชียงคาน ความสวยงามของแก่งคุดคู้ เกิดจากการทอดตัวของแนวหิน ที่อยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ทำให้หินเหล่านี้มีสีสันสวยงาม ตัวแก่งกว้างใหญ่เกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านช่องแคบ ๆ ใกล้ฝั่งไทยเท่านั้นเอง กระแสน้ำจึงเชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้ที่สุดคือ เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้ง มองเห็นเกาะแก่งได้ชัดเจน แต่ตอนที่เราไปนั้น เป็นช่วงกลางเดือนธันวาคม จึงเห็นความงามของแก่งคุดคู้ได้เท่านี้เองค่ะ มีเรือรับจ้างพานักท่องเที่ยวล่องลำน้ำโขง จอดคอยอยู่ที่ชายน้ำ http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_10.jpg สะพานขึ้นลงบริเวณแก่งคุดคู้ สูงชันเสียจนสายชลได้แต่มองไม่กล้าเดินลงไป เพราะเกรงว่าจะปีนขึ้นไม่ไหว... http://i835.photobucket.com/albums/z...-Kudkoo_05.jpg |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:13 |
vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger