ผมได้เข้าใจแล้วว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว ที่ทำให้ผู้คนในสังคมไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร แน่นอนว่าการทำลายป่าผืนใหญ่ที่เป็นตัวผลิตออกซิเจน ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และเป็นแหล่งสะสมความหลากหลายทางพันธุกรรมชั้นยอด คงไม่เห็นผลกระทบในวันนี้ แต่สร้างเขื่อนเราได้กระแสไฟฟ้าพอใช้กับศูนย์การค้าขนาดใหญ่หนึ่งหลังแน่นอน เช่นเดียวกับเมื่อร้อยปีก่อนที่มนุษย์ได้ค้นพบน้ำมัน และปลดปล่อยมันขึ้นสะสมในชั้นบรรยากาศเป็นเวลานาน ไม่มีใครรู้เลยว่า จะก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่เราเรียกว่า โลกร้อน และกลายเป็นปัญหาที่มนุษย์ยังไม่มีทางออกมาจนถึงทุกวันนี้
งานเขียนทางด้านสิ่งแวดล้อมยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย คนที่เขียนงานทางด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นงานสารคดี หรือการรายงานข่าวสิ่งแวดล้อม มักจะเห็นข้อจำกัดว่า ข้อมูลด้านนี้แทบจะไม่มีการบันทึกหรือมีข้อมูลสะสมมาก่อนเลย ทุกอย่างแทบจะเป็นเรื่องใหม่หมด ที่คนเขียนจะต้องลงมือเก็บข้อมูลด้วยตนเอง การอ้างอิงจากข้อมูลหรืองานวิชาการที่เคยทำมาก่อนหน้านั้น นับว่าน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับงานด้านอื่น นักข่าวสิ่งแวดล้อมตามหน้าหนังสือพิมพ์เคยบอกกับผมเสมอว่า หากพวกเขาและเธอย้ายไปอยู่โต๊ะการเมือง โต๊ะเศรษฐกิจ โต๊ะกีฬา หรือโต๊ะการเมือง อาจจะทำงานง่ายกว่านี้ เพราะอย่างน้อยมีข้อมูลสะสมมากมาย อาทิเรามีข้อมูลประวัตินายกรัฐมนตรีเมืองไทย ประวัตินักการเมือง ประวัติดารามากมาย แต่เราแทบจะไม่มีประวัติป่าหรือแม่น้ำแต่ละแห่งหรือปริมาณฝนย้อนหลังในเมืองไทยเลย ผมจำได้ดีเมื่อประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำสมัยฟองสบู่แตกเมื่อสิบกว่าปีก่อน หน้าข่าวสิ่งแวดล้อมของหนังสือพิมพ์หรือสื่อทีวีถูกลดพื้นที่ก่อนข่าวด้านอื่น นักข่าวสิ่งแวดล้อมหลายคนไม่ถูกย้ายไปอยู่ฝ่ายอื่น ก็ถูกยกเลิกการจ้างงาน บรรณาธิการส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อว่า ข่าวการเมือง ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา เป็นพื้นฐานสำคัญในการรายงานข่าว ส่วนข่าวสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงข่าวลูกเมียน้อยมาโดยตลอด จะมีหรือไม่ก็ไม่มีนัยะสำคัญ ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ผมจำได้ว่าคนทำข่าวสิ่งแวดล้อมรุ่นแรก ๆ ที่ผมรู้จัก ส่วนใหญ่ก็เลิกลากันไป ผมเฝ้ามองคนทำข่าวสิ่งแวดล้อมรุ่นน้อง มาจนถึงรุ่นลูก หลายคนยังยืนหยัดอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็ถอยหรือย้ายงาน เพราะตระหนักดีว่า งานเขียนหรืองานข่าวด้านสิ่งแวดล้อม เป็นงานที่ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูล เป็นงานยากที่ต้องใช้ความรู้หลายด้าน ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ฯลฯ แถมเป็นข่าวที่ไม่ค่อยมีคนสนใจมาก เมื่อเปรียบเทียบกับข่าวด้านอื่นๆ แต่ยี่สิบกว่าปีในการเขียนหนังสือ ผมก็ยังเขียนงานเขียนด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ตั้งแต่ประเด็นใหญ่ๆ อาทิ เรื่องเขื่อนปากมูล ปัญหามลภาวะในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด การรุกป่าโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่งานเขียนอีกด้านมักเป็นประเด็นเล็ก ๆ ที่คนอาจจะไม่ค่อยสนใจ อาทิ เรื่องที่สวนสัตว์เชียงใหม่จะนำเอาหมีขั้วโลกมาจัดแสดงในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา โดยให้เหตุผลว่าเป็นการแก้ปัญหาโลกร้อนและเพื่อทำวิจัยหมีขั้วโลก มันเป็นประเด็นเล็ก ๆ แต่ผมเชื่อว่าได้สะท้อนวิธีคิดของคนมีอำนาจในสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
ผมค้นพบตัวเองว่าชอบเขียนหนังสือ แม้ว่าจะยังเขียนได้ไม่ค่อยดี การค้นพบตัวเองเป็นสิ่งที่โชคดีมากกับชีวิต ครั้งหนึ่งเมื่อสิบปีก่อน ตอนที่ผมกับพรรคพวกมาเดินป่าที่เกาะแทสมาเนียเป็นเวลายี่สิบวัน กลางป่าวันหนึ่งผมได้พบว่า ความต้องการในชีวิตของผมมีอยู่สามประการด้วยกัน อย่างแรกคือ การได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก อย่างที่สองคือ การได้เดินทางไปทั่ว อย่างที่สามคือ การได้ช่วยเหลือคนรอบข้างตามกำลังของตัวเอง ผมรักการเขียนหนังสือมาโดยตลอด และตั้งใจมาโดยตลอดว่าจะไม่ทำให้คนอ่านเสียเวลากับงานเขียนชิ้นนั้น ผมชอบการเดินทาง เพราะรู้สึกว่านอกจากจะรู้ว่ายังมีสิ่งให้เรียนรู้อีกมากมายแล้ว ยังค้นพบว่ายิ่งเดินทาง ตัวตนของเรายิ่งลดลงไปเรื่อยๆ คนเราจะโด่งดังคับฟ้าเพียงใด แค่ออกนอกประเทศก็แทบจะไม่มีใครรู้จักแล้ว และการช่วยเหลือคนรอบข้างเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ไม่อาจอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ เราคงอดตายหรือไม่มีบ้านอยู่แน่ หากไม่มีชาวนาหรือกรรมกร เช่นเดียวกับที่ชาวนาก็หวังพึ่งหมอ วิศวกร หรือพ่อค้า ดังนั้น การช่วยเหลือกันและกันจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้งหนึ่งคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ เคยเขียนไว้ว่า “ในเวลาสงบ ท้องฟ้าโปร่ง สว่างจ้าด้วยแสงตวัน ใคร ๆ ก็แลเห็นว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เวลาพายุกล้าฟ้าคนอง ผงคลีฟุ้งตลบไปในอากาส ไม่เห็นตัวกัน ต่อพายุสงบฟ้าสว่าง ไคร ๆ ก็จะเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า เรายืนหยู่ที่เดิม และจักหยู่ที่นั่น...”
ผมหวังว่าที่เหลือชีวิตของผมจะเป็นเช่นนั้น การเขียนหนังสือเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องทำไปตลอดชีวิต และผมเชื่อมั่นว่า หากทุกคนในสังคมได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ว่าเขาและเธอจะมีอาชีพหรืออยู่ในบทบาทอะไร สังคมไทยจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ผมขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ให้ทุกสิ่งแก่ผมมาตลอด พี่น้อง ทุกคน พี่มดผู้ให้ผมรู้จักคนจน เพื่อนฝูง มิตรสหายทุกคน คุณสุวพร ทองธิว เจ้าของนิตยสารสารคดี ผู้ให้โอกาสผมได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก โรงเรียนอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สองสถาบันที่หล่อหลอมชีวิตผม และสุดท้ายขอขอบคุณ คุณสรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ผู้เคียงข้างและให้กำลังใจมาโดยตลอด"
ผมอ่านปาฐกถานี้จบและไ้ด้ข้อคิดหลายอย่างมากมาย ..
หลายๆครั้งที่ผมเห็นความตั้งใจของพี่สองสายที่บ้านหลังนี้ ถูกถ่ายทอดผ่านการทำกิจกรรม ผ่านงานเขียน ข่าวสาร รายงานต่างๆครั้งแล้วครั้งเล่า .. ปาฐกถานี้เหมือนจะให้คำตอบกับผมว่า ทำไมพี่ทั้งสองถึงได้มีพลัง มีความพยายามอุตสาหะ ขนาดนี้
ผมถือโอกาสนี้แทนสมาชิก SOS ขอบคุณพี่สองสายด้วยปาฐกถานี้ ผมเชื่อว่าพี่ทั้งสองกับคุณวันชัยคงคิดหลายๆอย่างเหมือนๆกัน ..
ใช่ไหมครับพี่ ..